หมอดูยอดอัจฉริยะ 572-575
ตอนที่ 572 สองเจ้าสำนักประลอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ผมให้พวกคุณออกจากฮ่องกงเหรอ?”
เยี่ยเทียนมองไช่หยางชิวอย่างประหลาดใจ “เหมือนผมไม่เคยพูดแบบนั้นนะ? ผมแค่ให้คุณขอโทษศิษย์พี่จั่ว แต่ถ้าคุณไม่กล้าอยู่ฮ่องกงต่อ ก็เชิญตามสบาย!”
สีหน้าไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงของเยี่ยเทียน ทำให้หลายคนที่มองอยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก แต่ในใจแอบด่าเยี่ยเทียนที่ไม่มีความยุติธรรม
ต้องเข้าใจว่าการมีตัวตนในยุทธจักรนั้น ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าอี้เหวินเม่ายอมก้มหัวขอโทษ แล้วเขาจะอยู่ในยุทธจักรต่อไปได้อย่างไร?
โดยเฉพาะคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการดูฮวงจุ้ย ถ้ายอมรับว่าวิชาของตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ ครั้งต่อไปใครจะกล้าเชิญไปพยากรณ์ฮวงจุ้ยล่ะ?
ไช่หยางชิวโกรธจนหน้าแดงเป็นพัก ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยเทียน ถึงขั้นคิดจะสั่งสอนเยี่ยเทียน แต่ถ้าเขาทำในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยผู้คน และทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บไปด้วย เขาอยากแก้ตัวอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นข้อกล่าวหา
หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว ไช่หยางชิวคำนับต่อหน้าจั่วเจียจวิ้น และพูดว่า “คุณจั่ว ผมละลาบละล้วงเกินไป วันนี้ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้ ไว้คราวหน้าผมจะมาเยี่ยมใหม่!”
ไช่หยางชิวเพิ่งสิ้นเสียง เยี่ยเทียนเริ่มกวนประสาทอีกครั้ง “ไม่สิ ไม่ต้องคราวหน้าหรอก เรื่องเกิดวันนี้ก็จบวันนี้แหล่ะ แค่ขอโทษ คำเดียวเอง”
“ไอ้หนุ่ม อย่ามากเกินไปนะ!”
ไช่หยางชิวที่กำลังเดินออกไปถึงกับหันกลับมาที่เยี่ยเทียน ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักเจ็ดดาว เวลาประจำสำนักเขามีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย เคยโดนเบียดเบียนแบบนี้เมื่อไหร่?
“ศิษย์พี่ของผมจัดงานเฉลิมฉลองแต่พวกคุณมาทำลายงาน เรื่องยังไม่เคลียแล้วยังจะหนีอีก ใครกันแน่ที่มากเกินไป?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและค่อย ๆ เดินออกจากมุม “ขอโทษและยอมรับว่าไม่เก่งพอ ต่อจากนี้ไปถือว่าเรื่องนี้จบและผมจะไม่ยุ่งกับสำนักเจ็ดดาวของคุณอีก!”
ในมุมมองของเยี่ยเทียน การเข้ามาทำลายงานเป็นสิ่งต้องห้ามในยุทธภพฉีเหมิน การที่เยี่ยเทียนไม่ได้ทำอะไรลงไป ถือว่าเป็นความปราณีสูงสุดแล้ว เพราะถ้าพวกเขาทำลายงานสำเร็จ หนทางเดียวที่จั่วเจียจวิ้นทำได้ก็คือออกจากเกาะฮ่องกงไป
แต่สำหรับไช่หยางชิว เขามองว่าเยี่ยเทียนกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่และอยากจะใช้โอกาสนี้ขับไล่สำนักเจ็ดดาวออกจากฮ่องกง
ฮ่องกงใช้ระบอบการปกครองหนึ่งประเทศสองระบอบ อาชีพซินแซฮวงจุ้ยเป็นสิ่งที่ถูกต้องและถูกอนุญาตให้ทำได้ ฉะนั้นแผงลอยฮวงจุ้ยหวังต้าเซียนจึงเห็นได้ทั่วไป พูดได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนในสำนักฉีเหมินเลยก็ว่าได้
ในวันนี้ เยี่ยเทียนจะขับไล่สำนักเจ็ดดาวของพวกเขาออกจากฮ่องกง นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่และความตายของสำนัก แม้ไช่หยางชิวจะมีความกังวลต่อจั่วเจียจวิ้น แต่เขาก็ยอมอ่อนข้อแล้ว
“คุณจะบีบบังคับกันขนาดนี้เลยเหรอ?”
ไช่หยางชิวหรี่ตาลง ในดวงตาแสดงความอาฆาตรออกมา สุภาษิตเคยกล่าวไว้ ตัดเส้นทางการเงินของคนเหมือนฆ่าพ่อแม่เขา สำนักเจ็ดดาวมีอายุนานกว่าสิบปีในฮ่องกง จะหวาดกลัวเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของเยี่ยเทียนได้อย่างไร?
ที่สำคัญพวกเขาแตกต่างจากจั่วเจียจวิ้นที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สำนักเจ็ดดาวมีลูกน้องในฮ่องกงและบริเวณแถบทางทะเลมากมาย แม้จะสู้เดี่ยวไม่ไหว แต่ไช่หยางชิวมั่นใจ เขาใช้กลยุทธ์คนหมู่มากจัดการคนแค่นี้ได้
“บีบบังคับงั้นเหรอ? พวกคุณเนี่ยนะ?”
เยี่ยเทียนเยาะเย้ยใส่ ร่างผอมบางเข้าใกล้ไช่หยางชิวที่ห่างออกไป 4-5 เมตร หน้าที่ซีดมีอาการทางจิตออกมา ทำให้ผู้คนที่ล้อมอยู่งุนงงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนได้ความมั่นใจนี้มาจากไหน
ไช่หยางชิวก็ไม่ต่าง เขาเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ ก่อนหน้านี้เขาปล่อยพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมออกไปเพื่อทดสอบเยี่ยเทียน
แต่เขาไม่ได้รับการตีกลับของพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมจากคนตรงข้ามเลยแม้แต่นิดเดียว และภายในร่างกายของเยี่ยเทียน ลมเลือดต่ำอันเนื่องจากมาจากการได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เหมือนคนธรรมดาเท่านั้น
“หาที่ตายเองนะ อย่าโทษผมก็แล้วกัน!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เกิดสายฟ้าแลบที่ตาของไช่หยางชิว สองมือเดิมทีที่ประชิดอยู่ข้างลำตัว ทันใดนั้นก็ม้วนหมัดเข้าไปในแขนเสื้อสไตล์ราชวงศ์ถัง
เมื่อครู่ที่เยี่ยเทียนอยู่ตรงมุม ไช่หยางชิวเกรงว่าผู้อื่นจะโดนลูกหลง เขาจึงไม่ลงมือแต่เยี่ยเทียนกลับเดินออกมาอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ ทำให้ไช่หยางชิวก็อดไม่ได้ อยากสั่งสอนให้เยี่ยเทียนหลาบจำ
สำหรับคนนอก การกระทำของไช่หยางชิวเหมือนกับการรับความอุ่นจากแขนเสื้อซึ่งเป็นความชอบของคนภาคเหนือ แต่สำหรับเยี่ยเทียนเขาสัมผัสถึงลมแรงอันสูงสุด ซึ่งจุดที่จะโดนโจมตีคือท้องน้อยของเขานั่นเอง
“บัดซบเอ้ย ลงมือแรงขนาดนี้เลยเหรอ แต่นี่เป็นการใช้ลมปราณแฝง ไม่ใช่วิชานี่ อย่าบอกนะว่าวิชาโจมตีของสำนักเจ็ดดาวสาบสูญหมดแล้ว?”
ระยะห่างของทั้งสองห่างกันแค่ 4-5 เมตร ระหว่างที่ไช่หยางชิวกำลังจะปล่อยพลังแฝงออกมา เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ทันที แต่เนื่องจากมีคนอยู่ข้างหลังเขา ทำให้ไม่สามารถหลบได้ทัน จึงทำได้เพียงใช้มือบังเท่านั้น
ถ้าพูดถึงการฝึกฝนวิชากำลังภายในไช่หยางชิวไม่ได้ด้อยกว่าใคร 80 กว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์ วิชาที่มีอยู่ทั้งตัวได้รับการฝึกจนชำนาญถึงที่สุด อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว
ฉะนั้นหลังจากที่พลังลมปราณปล่อยออกจากหมัดไปโดนแขนซ้ายของเยี่ยเทียน มีเสียงปังดังออกมา ทำให้เยี่ยเทียนที่ไม่ได้ใช้วิชาป้องกันแต่ใช้ลมปราณแฝงรับมือ ถึงกับต้องถอยไปข้างหลังสามก้าว
อาจเป็นเพราะบาดแผลภายในที่ยังไม่หายดี พลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมทั้งหมดที่มีก็หล่อเลี้ยงบาดแผลอยู่ ทำให้เยี่ยเทียนถึงกับต้องถอยหลังสามก้าว เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งเจ้าสำนักเจ็ดดาวของไช่หยางชิวก็ไม่ใช่ย่อย
“ศิษย์น้องเล็ก?!”
สองเสียงที่ตกใจดังขึ้น ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นต่างก็กรูเข้าไปหาเยี่ยเทียนตรงหน้า แม้โก่วซินเจียจะอยู่ไกลกว่า แต่กลับไปถึงก่อนจั่วเจียจวิ้น และใช้แขนข้างเดียวกั้นไช่หยางชิวกับเยี่ยเทียนไว้
“สำนักเจ็ดดาว เก่งจริงนะ?”
โก่วซินเจียเผยสีหน้าเย็นชาออกมา ตามสัญชาตญาณของเขาในตอนนั้น เดิมอยากจะจัดการสำนักเจ็ดดาวตั้งแต่สงครามต่อต้านจบลง แต่ใครจะรู้ว่าสำนักเจ็ดดาวกลับหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้โก่วซินเจียทำอะไรไม่ได้
แต่เวลาผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ ในที่สุดก็ได้พบฝ่ายตรงข้ามสักที และยังหาเรื่องศิษย์น้องทั้งสองของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ผู้ที่มีใจนิ่งดุจบ่อน้ำยังต้องรู้สึกอาฆาต
ตอนนั้นโก่วซินเจียเป็นคนที่ออกจากกองศพดุจภูเขาที่นองเลือดดุจทะเล เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้น เลือดภายในร่างกายก็สูบฉีด พลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมที่เก็บไว้ข้างในก็พลุ่งพล่านขึ้นในทันทีทันใด
“คุณ….คุณเป็นใคร?”
ลมปราณแฝงที่ไช่หยางชิวปล่อยออกมาเมื่อครู่ เดิมต้องการทำร้ายจุดตันเถียนของเยี่ยเทียนเพื่อซ้ำแผลเดิม แม้หมอจะรักษาเขาหายแต่ชีวิตครึ่งหลังของเขาก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยตลอด
แต่ไช่หยางชิวคิดไม่ถึง เยี่ยเทียนจะรับพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมที่เขาปล่อยออกมาด้วยแขนข้างเดียว ถ้าจะพูดว่าการทำแบบนี้เพื่อให้เขารู้สึกตกใจ ที่จริงแค่การกระทำของโก่วซินเจียก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าในร่างกายของโก่วซินเจียเหมือนดั่งสัตว์ดุร้ายก่อนยุคประวัติศาสตร์ที่ตื่นขึ้นมา เลือดลมอันแรงกล้านี้เขาไม่เคยพบมาก่อน โก่วซินเจียที่ร่างกายซูบผอม ณ เวลานี้เหมือนดั่งภูเขาลูกใหญ่ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้
“คน….คนนี้ อย่าบอกว่าเข้าถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว?”
ไช่หยางชิวยังไงก็คิดไม่ถึง ชายชราที่ดูเหมือนไม่มีกำลังภายใน แต่กลับมีวิชาที่แกร่งกล้าเพียงนี้ ไช่หยางชิวถึงกลับหน้าซีดไปเลยทีเดียว
เขาอยู่ระดับลมปราณแฝงสูงสุดมาเป็นเวลา 20-30 ปี เกือบจะคิดว่าระดับหลอมปราณสู่จิตเป็นเพียงตำนานเล่าขานเท่านั้น เพราะอาจารย์ของเขาก็ไม่เคยฝึกจนถึงระดับนั้น
แต่ชายชราที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ กลับทำให้ตำนานเล่าขานกลายเป็นความจริง มีเพียงลมปราณจากการฝึกถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตเท่านั้นที่สร้างความกดดันให้เขาได้ขนาดนี้
“แค่กๆ…….”
โก่วซินเจียไม่ทันพูดอะไร เสียงไอของเยี่ยเทียนดังขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าแกล้งคนรุ่นหลังเลย สำนักเจ็ดดาวก็เป็นสำนักหนึ่งในยุทธจักรนะ!”
เยี่ยเทียนยื่นมือผลักโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นออกและลุกขึ้น เขาเป็นเจ้าสำนักเสื้อป่านเหมือนกัน หากฝ่ายตรงข้ามเริ่มลงมือ แล้วเขามีเหตุผลอะไรที่จะไปหลบอยู่ข้างหลังศิษย์พี่ล่ะ?
“ไอ้เด็กนี่ บาดเจ็บขนาดนี้ จะไหวเหรอ?”
โก่วซินเจียจ้องมองเยี่ยเทียน สิบกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความต้องการอยากสั่งสอนคน แต่กลับโดนเยี่ยเทียนหักห้ามไว้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าสู้กับพี่ผมสู้ไม่ไหวแน่นอน แต่กับคนนี้?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา “ถ้าผมสั่งสอนเขาไม่ได้ ตำแหน่งเจ้าสำนักเสื้อป่านไปหาคนอื่นมาทำแทนเลยดีกว่า”
“ศิษย์น้องเล็ก ให้……ให้พี่จัดการดีกว่า ถ้าเธอทำ มันไม่ค่อยดีกับเธอเท่าไหร่!”
จั่วเจียจวิ้นไม่ยินยอมในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด เขารู้ว่าความอาฆาตรของเยี่ยเทียนรุนแรงมาก ถ้าฆ่าไช่หยางชิวตรงนี้จริง มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ
“ศิษย์พี่รอง พี่สบายใจได้ ผมรู้ดีครับ ในปีนั้นเขาให้พี่ถอยโดยที่ยังไม่ได้สู้ไม่ใช่เหรอ? วันนี้ให้ผมเอาคืนให้เถอะ”
เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะ ตอนนี้ให้เขาปะลองวิชากับไช่หยางชิว ไม่แน่ เยี่ยเทียนอาจไม่ใช่คู่แข่งของเขาจริง ๆ แต่การต่อสู้ในยุทธภพฉีเหมิน ล้วนเป็นการสังหารแบบไร้ตัวตน ซึ่งแตกต่างจากพวกคนโง่เขลาในยุทธภพอื่นมาก
เสียงของเยี่ยเทียนเพิ่งสิ้น ไช่หยางชิวรีบพูดต่อว่า “ได้ คุณเป็นเจ้าสำนักของสำนักเสื้อป่าน ผมเป็นผู้นำของสำนักเจ็ดดาว วันนี้ขอให้ผมได้เรียนรู้วิชาของพวกคุณหน่อยเถอะ!”
แต่กับชายชราที่อยู่ข้าง ๆ เยี่ยเทียน ไช่หยางชิวไม่กล้าคิดจะสู้เลยแม้แต่น้อย กำลังของคนนั้นน่ากลัวมากจริง ๆ ถ้าเจอกับไช่หยางชิว ก็คงมีแต่ยอมแพ้และขอไว้ชีวิตเท่านั้น
คำพูดที่ไช่หยางชิวพูดออกมา ก็ถือว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ แม้เยี่ยเทียนจะมีบาดแผล แต่เขาเป็นคนหนุ่ม ส่วนไช่หยางชิวอายุ 70-80 ปีซึ่งเป็นคนลมเลือดใกล้ล้มเหลวแล้วด้วยซ้ำ สองคนปะลองวิชากัน ยังไม่รู้เลยว่าใครเอาเปรียบใคร
“อะไรนะ?” จั่วเจียจวิ้นจ้องไปที่อี้เหวินเหม่าที่ยืนข้าง ๆ ไช่หยางชิว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคนนี้แท้ ๆ
“ทุกท่าน ขอให้ขยับไปด้านข้างหน่อย สองคนนี้จะปะลองวิชากัน ขอโทษจริง ๆ !”
จั่วเจียจวิ้นกุมมือคำนับพวกมหาเศรษฐีที่มุงดูเหล่านั้น คนเหล่านี้เป็นพวกสูงส่งทั้งนั้น ถ้าใครโดนลูกหลงก็เป็นปัญหาอีก
คนที่ยืนมุงเหล่านั้น หลังจากได้ยินเสียงของจั่วเจียจวิ้น ต่างก็ถอยหลังกันไปคนละก้าว แต่สีหน้าของทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก
ได้ยินมาตลอดว่าอาจารย์ฮวงจุ้ยเก่งกาจ แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้มาร่วมงานฉลองยังได้ดูการปะลองฟรีอีกด้วย?
ตอนที่ 573 สังหารชั่วพริบตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยุทธภพ ในวันนี้อีกห้าสิบปีให้หลัง จะกลายเป็นเพียงตำนาน
ผู้คนล้วนรู้จักยุทธภพ แต่ใคร ๆ ก็ไม่เคยเห็น ใคร ๆ ก็ไม่รู้ว่ายุทธภพที่แท้จริง คือสิ่งใด ประโยคที่ว่า “มีคนก็มียุทธภพ” นั้นครอบคลุมเกินไป จนผู้คนไม่อาจรู้เห็นได้โดยตรง
แต่ว่างานเลี้ยงค่ำคืนวันนี้ สองสำนักไม่ห้ำหั่นกัน แต่กลับแสดงละครสนุก ๆ ให้ผู้คนดู เป็นการบอกเล่าต่อพวกเขาว่าอะไรคือยุทธภพที่แท้จริง!
ว่ากันตามเจตนาเดิม เยี่ยเทียนก็ไม่อยากจะลงมือในโอกาสนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากปล่อยอาจารย์และลูกศิษย์ไช่หยางชิวจากไป พรุ่งนี้คำพูดของพวกเขาจะต้องแพร่กระจาย และนั่นจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้นหากพูดอย่างอวดดีสักหน่อย วันนี้เยี่ยเทียนจำเป็นต้องบังคับให้พวกเขาก้มหัวยอมรับความพ่ายแพ้ให้ได้
ส่วนพวกมหาเศรษฐีที่เบิ่งตาโตจดจ้องรอดูเรื่องน่าตื่นเต้น เยี่ยเทียนไม่ได้เอาพวกเขามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย การประลองวิชาเวทมนตร์ จำเป็นจะต้องมีเสียงดาบฟาดฟันกันด้วยหรือ?
“เยี่ยเทียน ลูก……เป็นอะไรไปน่ะ?”
เมื่อครู่ซ่งเวยหลันพบเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันที่อเมริกา จึงพาสามีและเพื่อนคนนั้นไปยังห้องพักผ่อนด้านข้าง ทันทีที่ออกมาก็สัมผัสถึงบรรยากาศกดดันภายในนั้น และที่ทำให้เธอยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีกก็คือ ลูกชายกลับยืนอยู่ตรงกลางห้อง
“ไม่มีอะไรครับ แค่คุยกับเพื่อนคนนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็โอเคแล้ว”
เยี่ยเทียนส่งสายตาไปยังคุณพ่อ เยี่ยตงผิงจึงรีบดึงตัวภรรยา ไปทางด้านข้างพวกโก่วซินเจีย แม้ว่าในใจเขาจะกังวลเช่นกัน แต่ก็ไม่อยากรบกวนลูกชาย
“สำนักเจ็ดดาว โด่งดังด้านฮวงจุ้ยวางค่ายกลมาตลอด มั่นใจว่าวิชาโจมตีคงไม่ด้อยเช่นกัน วันนี้คนแซ่เยี่ยอย่างผมขอรับคำชี้แนะจากเจ้าสำนักไช่สักเล็กน้อย!”
เยี่ยเทียนประสานมือคำนับไปทางไช่หยางชิวที่อยู่ด้านหน้าสี่ถึงห้าเมตร แม้ว่าความอาวุโสจะไม่ต่ำต้อยเท่าอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างไรไช่หยางชิวก็เป็นเจ้าสำนักผู้หนึ่ง สถานะจึงเทียบเท่ากับเขา
“วิชาโจมตี?”
ขณะที่ไช่หยางชิวกำลังเดินพลังลมปราณชีวิตแท้ เตรียมตัวจะสั่งสอนเยี่ยเทียน ได้ยินประโยคอันดุดันนี้เข้าก็อดตกตะลึงไม่ได้
ในตำราโบราณของสำนักเจ็ดดาว แน่นอนว่ามีการบรรยายถึงศาสตร์แห่งการโจมตี เพียงแต่ว่าวิชาเหล่านั้นสาบสูญไปเป็นเวลานานแล้ว ที่ยังคงหลงเหลืออยู่มีเพียงการสืบทอดวิชาเกี่ยวกับฮวงจุ้ยและภูมิลักษณ์ศาสตร์
วิชาในตัวของไช่หยางชิว เป็นการผสมผสานศาสตร์ภายในยุทธภพสำนักทางใต้จำนวนมากจากเขตกวางตุ้งและกว่างซีเข้าด้วยกัน บวกกับพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของเขา จึงสามารถฝึกถึงขอบเขตสุดยอดพลังแฝง แต่ว่ากลับไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเวทมนตร์
สิบปีก่อนตอนที่เขาเสาะหาจั่วเจียจวิ้น ก็อาศัยทักษะหลอกลวงคน ไม่ใช่พวกวิชาเวทมนตร์ท้าประลอง ดังนั้นขณะนี้ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จึงพอรู้แต่ไม่ลึกซึ้ง
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าไช่หยางชิวกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากบอกกล่าวตรงหน้าแล้ว เขาก็ขับพลังจิตสังหารจากในร่างขึ้นมา
พลังจิตสังหารก็เหมือนกับจิตชั่วร้าย แม้ว่าทั้งสองอย่างนี้ก่อเกิดจากการเดินลมปราณพลังแฝงเช่นเดียวกัน แต่อย่างแรกก่อเกิดมาจากกองภูเขาศพทะเลเลือด ส่วนในจิตชั่วร้ายก็แฝงด้วยพลังอันร้ายกาจไร้เทียมทาน
เช่นเดียวกับเวลาที่แม่ทัพใหญ่ประลองกับศัตรูในสนามรบอันเต็มไปด้วยซากศพสมัยโบราณ เมื่อปล่อยพลังจิตสังหารออกไปจากร่าง มักทำให้ชนะศึกได้โดยไม่ต้องออกรบ
ตำนานเตียวหุยแห่งสามก๊กคำรามจนทหารนับแสนถอยทัพที่ศึกเนินฉางปัน แม้ว่าออกจะฟังดูเกินจริงไปหน่อย แต่ว่าเวลานั้นร่างของเขาแผ่พลังจิตสังหารสั่นสะเทือนฟ้าออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
นับตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าวงการมาก็พบเรื่องราวมากมาย ชีวิตของผู้คนที่ผ่านมือมีมากกว่าร้อยชีวิต ที่ผ่านมายังเพิ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตครั้งใหญ่ ฝังชาวญี่ปุ่นกว่าร้อยศพในหุบเขาลึกที่พม่า
เป็นที่แน่นอนว่าพลังจิตสังหารของเขาไม่อาจเทียบเท่าแม่ทัพเลื่องชื่อในสมัยโบราณเหล่านั้น แต่หากพูดถึงปัจจุบัน เกรงว่ามีน้อยคนที่มีความสามารถเหนือกว่าเขา เมื่อพลังจิตสังหารนี้พุ่งพล่าน ท่วงท่าอาการของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป
เยี่ยเทียนที่เคยซึมกระทือ เวลานี้ราวกับกระบี่แหลมคมชักออกมาจากฝัก คมดาบที่ยังไม่ถึงตัวนั้น บาดผิวไช่หยางชิวอย่างเบาบางเข้าแล้ว
และเพราะเยี่ยเทียนไม่อยากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ พลังจิตสังหารนี้จึงถูกกำหนดลงบนร่างของเจ้าสำนักไช่เท่านั้น จิตสังหารอันไร้ขอบเขตแฝงด้วยพลังอันร้ายกาจไร้เทียมทาน กัดกร่อนสติสัมปชัญญะของไช่หยางชิวโดยไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนใช้ เป็นเพียงท่าทีเท่านั้น ท่าทีเหล่านี้หากใช้กับคนธรรมดา อาจทำให้พวกเขาตกใจกลัวจนปัสสาวะราด ทว่าเมื่อใช้กับไช่หยางชิว กลับไม่อาจตัดสินผลแพ้ชนะ
“นี่หรือคือวิชาโจมตีที่นายพูดถึง? ก็แค่งั้น ๆ!”
ไช่หยางชิวเองก็มาจากยุคสงคราม มือผ่านชีวิตคนมาไม่น้อยเช่นกัน เมื่อสัมผัสพลังจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวของเยี่ยเทียนนั้นยังถึงกับผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะแสดงปฏิกิริยาออกมา
พอสูดลมหายใจลึก ร่างกายสูงใหญ่ของไช่หยางชิว พลันขยายขึ้นหลายส่วนในทันควัน ผมขาวสยายปลิวทั้งหัว ดวงตาสองข้างบนใบหน้าดุดันทรงพลังเด่นชัดอย่างประหลาด
พลังจิตสังหารซึ่งกล้ำกรายเข้าไปของเยี่ยเทียนนั้น ถูกเลือดลมทั่วร่างของไช่หยางชิวซัดกระหน่ำแตกกระเซ็น จึงไม่อาจส่งผลกระทบต่อสติสัมปชัญญะของไช่หยางชิวได้
“กบในบ่อน้ำ ไหนเลยจะรู้ว่ายุทธภพยิ่งใหญ่?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะออกมา พลันยกมือขวาซึ่งเดิมปล่อยอยู่ข้างตัวขึ้นมาข้างหน้าทรวงอก วาดวงเวทย์ลึกลับหนึ่งวงในอากาศ พ่นเสียงออกมาจากปาก “ไป!”
ตามหลังเสียงของเยี่ยเทียน แสงไฟในเขตพื้นที่สิบกว่าตารางเมตรรอบตัวเขาดูราวหรี่สลัวลง และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเครื่องปรับอากาศเปิดแรงเกินไปหรืออย่างไร ไช่หยางชิวจึงพบว่าขนบนร่างเขาลุกขึ้นมาทั้งตัว
ไอเย็นร้ายนั้นแตกต่างจากจิตสังหารที่เยี่ยเทียนปล่อยออกมา กัดเซาะเรือนร่างของไช่หยางชิวราวกับคลื่นในมหาสมุทร ทะลักไอเย็นร้ายเข้าไปในร่างของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ไช่หยางชิวถึงแม้เลือดลมแข็งแกร่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับไอชั่วร้ายที่เยี่ยเทียนปล่อยออกมา ยังสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บอันไร้ที่เปรียบทั่วร่าง นอกเหนือไปจากความหวาดหวั่นในใจ ก็ได้เข้าใจเดี๋ยวนั้นว่านี่คือวิชาที่เยี่ยเทียนกล่าวถึง
สัมผัสถึงไอเย็นร้ายนั้นสู่ร่างกาย ไช่หยางชิวรู้ว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย จึงคำรามออกมาในทันใด ร่างกายพุ่งพล่านรอออกหมัดไปทางเยี่ยเทียน
แต่ว่าขณะนั้นเอง ภายในดวงตาของเยี่ยเทียนก็ฉายแสงออกมาวาบหนึ่ง ขับพลังลมปราณชีวิตแท้ออกมา อาการเจ็บปวดภายในช่องท้องที่ถูกกดทับจึงเดินไปทั่วร่าง เขาสะกดอาการเจ็บปวดไว้แล้วระเบิดพลังลมปราณที่แข็งแกร่งเหนือกว่าไช่หยางชิวออกมา
ร่างของไช่หยางชิวกำลังรอจะพุ่งเข้าไป พลันถูกท่วงท่านี้สะกดเอาไว้ เขาคาดไม่ถึงว่าการฝึกวิชาของเยี่ยเทียนจะสมบูรณ์ถึงขั้นนี้ เทียบกับชายชราเมื่อครู่นับว่าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย จนในใจเขาเกิดความคิดล่าถอยขึ้นมาทันควัน
เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่เปิดโอกาสให้เขาถอย ขณะผลักดันลมปราณไปทั่วร่าง มือซ้ายที่วางอยู่ข้างตัวมาตลอด แอบวาดยันต์รวบรวมพลังวิญญาณร้ายขึ้นในอากาศ ด้วยแรงขับของพลังลมปราณชีวิตแท้ครั้งหนึ่ง ยันต์ก็ถูกส่งไปเบื้องหน้าไช่หยางชิว
มือขวาของเยี่ยเทียนไขว้คาถาดรรชนี เอ่ยเสียงแผ่วเบาออกจากปาก “ระเบิด!”
ตามด้วยเสียงของเยี่ยเทียน ยันต์รวมพลังวิญญาณร้ายนั่นระเบิดออกต่อหน้าไช่หยางชิว ให้พลังชั่วร้ายนั้นห่อหุ้มร่างกายของไช่หยางชิวเอาไว้
ชั่วขณะนั้นเอง สายตาของผู้คนที่ล้อมอยู่รอบด้าน เสมือนเกิดภาพลวงตา
เพราะว่าพวกเขามองเห็นร่างกายของไช่หยางชิวซึ่งอยู่ภายใต้แสงไฟ กลับกลายเลือนรางเล็กน้อย คล้ายถูกหมอกควันปกคลุมเอาไว้ กระทั่งใบหน้ายังมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
แต่ว่าสภาพนั้นคงอยู่เพียงสามถึงห้าวินาที หลังจากผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ฟื้นกลับคืนเหมือนเดิม ภาพของไช่หยางชิวปรากฏต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง จนผู้คนรู้สึกว่านั่นเป็นแค่เพียงภาพลวงตาฉากหนึ่ง
แต่ภาพที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นก็เกิดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย นักพรตเต๋า เซียนฮวงจุ้ยผมขาวที่เคยสง่างาม เวลานี้กลับสีหน้าซีดขาว ผมขาวทั้งหัวลุกชูชัน ราวกับหวาดกลัวอย่างสุดขีด
“ ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
ไม่รู้ว่าไช่หยางชิวพบเหตุการณ์น่ากลัวอะไรมา สองมือปัดป่ายร่ายรำ ปากร้องตะโกนว่าฆ่าสามคำ ดวงตาทั้งคู่มองรอบด้านอย่างหวาดระแวง ราวกับว่าผู้คนที่ล้อมดูอยู่ล้วนเป็นภูตผีปีศาจ
“ให้ตายสิ ลืมไปเลยว่าตาแก่นี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา!”
เห็นไช่หยางชิวออกท่าทางอย่างนั้น ในใจของเยี่ยเทียนยังแอบก่นด่าไม่ได้ เขาใช้ยันต์เค้นพลังชั่วร้ายโจมตีสติสัมปชัญญะของไช่หยางชิวจนเกิดความวุ่นวายขึ้นชั่วขณะ แต่กลับลืมว่าตัวไช่หยางชิวมีพลังทำลายล้างอย่างรุนแรง
ถ้าหากไช่หยางชิวคลุ้มคลั่ง เรื่องราววันนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เยี่ยเทียนรีบหันกลับมองไปทางโก่วซินเจีย หวังให้ศิษย์พี่ใหญ่ยื่นมือเข้ามาควบคุมสถานการณ์
แต่ไม่ทันที่เยี่ยเทียนจะเอ่ยปาก ไช่หยางชิวก็ส่งเสียงคำรามคล้ายสัตว์ป่าระเบิดดังออกมา ม้วนตัวกระโจนพุ่งเข้าหาฝูงชน ในสายตาเขา คนเหล่านั้นล้วนเป็นศัตรูในภาพมายาของเขา
“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปครับ?”
ยังดีที่ตำแหน่งซึ่งอี้เหวินเม่ายืนอยู่ไม่ไกลจากไช่หยางชิวนัก เขาสังเกตท่าทางของทั้งสองคนอยู่ตลอด ทันทีที่สายตาเห็นสัญญาณคลุ้มคลั่งของอาจารย์ ก็รีบพุ่งตัวไปข้างหน้ากอดรัดเอวไช่หยางชิวเพื่อหยุดรั้ง
แต่ว่าเวลานี้ไช่หยางชิว กำลังอยู่ท่ามกลางสนามรบโบราณ ดวงตาเต็มไปด้วยภาพแขนขาขาด ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงตะโกนฆ่าฟัน ไหนเลยจะจดจำลูกศิษย์ของตัวเองได้? จึงจู่โจมฝ่ามือเข้าใส่กลางทรวงอกของอี้เหวินเม่า
“พรวด!”
พลังของไช่หยางชิวเป็นอย่างไร? แม้ว่าฝ่ามือนี้จะออกแรงเพียงสามส่วนด้วยสติที่กำลังสับสน แต่ยังคงทำร้ายอี้เหวินเม่าจนกระอักเลือด บนแผ่นอกเกิดเสียงดังกร๊อบ ไม่รู้เหมือนกันว่าซี่โครงหักไปกี่ซี่?
แต่ว่าเลือดสด ๆ จากปากนี้ พ่นลงยังใบหน้าของไช่หยางชิวพอดี พอสัมผัสถูกกลิ่นอายเลือดสดคาว บวกกับยันต์รวบรวมวิญญาณร้ายที่วาดขึ้นอย่างเร่งรีบของเยี่ยเทียนมีพลังจำกัด ไช่หยางชิวจึงมีสติรู้ตัวขึ้นมา
ไช่หยางชิวที่เพิ่งได้สติรู้ตัว ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงเห็นว่าด้านหน้ามีเงาคนลอยออกไป เมื่อรวบรวมสติมองดู กลับเป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ภาคภูมิใจของตน จึงก้าวไปข้างหน้าพยุงตัวอี้เหวินเม่าเอาไว้
“เหวินเม่า นี่……นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เห็นเลือดสดตรงหน้าอกเสื้อคลุมของตนเอง และจมูกได้กลิ่นคาวเลือด สมองของไช่หยางชิวออกจะสับสนขึ้นมาอีกครั้ง เขากำลังเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจึงออกหมัดทำร้ายลูกศิษย์ตนเอง?
อี้เหวินเม่ากลืนเลือดสดที่เอ่อล้นอยู่ภายในลำคอลงไป ละล่ำละลักพูดว่า “ท่าน……ท่านอาจารย์ ยอม……ยอมแพ้เถอะ!”
ภาษิตว่าผู้เล่นมักสับสนแต่ผู้ชมเห็นภาพชัดเจน เยี่ยเทียนไม่ได้ขยับตัวแม้เพียงหนึ่งก้าว ก็ทำให้สติสัมปชัญญะของไช่หยางชิวเลอะเลือนสับสน ศาสตร์พิสดารเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์และลูกศิษย์อย่างพวกเขาจะเทียบเทียมได้
“ยอมแพ้หรือ?” ไช่หยางชิวมองลูกศิษย์อย่างตกตะลึง ขณะที่กำลังไต่ถาม ร่างกายกลับสั่นไหว
ตอนที่ 574 พูดจากใจจริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
วิชาโจมตีในศาสตร์แห่งเวทมนตร์ ไม่ได้ส่งผลเพียงก่อกวนสติสัมปชัญญะของคนจนเกิดภาพหลอน พลังหยินร้ายนั่นยังส่งผลร้ายต่อร่างกายคนอย่างใหญ่หลวง
ขณะที่ไช่หยางชิวจมดิ่งสู่ห้วงมายา เส้นทางเดินเลือดลมของเขาก็ถูกตัดขาดเช่นกัน พลังจิตชั่วร้ายที่หลั่งไหลเข้าสู่กระแสเลือดทุกส่วนในร่างกายเขาเหล่านั้น ระเบิดออกมาในเวลานี้เอง
ไช่หยางชิวที่ไร้การป้องกันโดยสิ้นเชิง สัมผัสได้เพียงความเหน็บหนาวทั่วร่าง ราวกับทั้งเนื้อตัวหล่นลงไปกลางถ้ำน้ำแข็ง เรือนร่างสั่นเทาอยู่สองสามครั้งจนแทบล้มลงไปกองบนพื้น
ต่อให้ไช่หยางชิวสมองช้าแค่ไหน ก็ยังรู้ว่าตนเองติดกับของเยี่ยเทียนแล้วโดยไร้สุ้มเสียง และนี่ก็คือวิชาโจมตีที่เขาพูดถึงนั่นเอง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของร่างกาย ไช่หยางชิวก็เข้าใจว่าตนเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อสู้อีกต่อไป อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนผู้ลี้ลับที่ไม่อาจคาดเดาที่อยู่เบื้องหน้า ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มข้างหลังเขาคนนั้น ตัวเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้
ไช่หยางชิวสูดลมหายใจเข้าลึก ประคองร่างกายยืนให้มั่นคง มองไปยังเยี่ยเทียน “เจ้าสำนักเยี่ย ฉันไช่หยางชิวพ่ายแพ้แล้ว ความสามารถของฉันไม่อาจเทียบเท่า จึงน้อมรับความพ่ายแพ้จากใจ ท่านต้องการให้จัดการอย่างไร เชิญออกกฎเกณฑ์มาเถอะ?”
หลังจากสัมผัสเวทมนตร์ของเยี่ยเทียนแล้ว ไช่หยางชิวก็ไม่มีจิตใจอยากเอาชนะอีกต่อไปแล้วจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นทางเยี่ยเทียนยังมีนักพรตเต๋าผู้มีฝีมือล้ำลึกยากหยั่งถึง เกรงว่าต่อให้อาจารย์ของตนเกิดใหม่อีกครั้งก็ยังไม่ใช่คู่มือฝ่ายตรงข้าม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ถอดใจยอมพ่ายแพ้เสียยังดีกว่า
“ให้ผมออกกฎเกณฑ์หรือ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ก็บอกไปก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องวันนี้เป็นพวกคุณสำนักเจ็ดดาวที่มาหาเรื่องก่อน มาพูดว่าฮวงจุ้ยที่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองจัดวาง อาจก่อผลร้ายต่อเกาะฮ่องกงโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง บ่อนทำลายชื่อเสียงศิษย์พี่ของผม ส่วนเรื่องกฎเกณฑ์ ผมยังยืนยันประโยคนั้นว่าแค่เพียงขอโทษก็พอ!”
“ตกลง ฉันขอโทษ!”
ไช่หยางชิวพยักหน้า เดินไปยังด้านหน้าของจั่วเจียจวิ้น โน้มตัวลงพื้น หลังจากยืดตัวแล้วก็พูดว่า “ฉันคนแซ่ไช่ ตัวแทนสำนักเจ็ดดาว ขอแสดงการขอโทษด้วยความจริงใจต่อท่านจั่วอย่างสุดซึ้ง เป็นผู้น้อยที่ไม่กระจ่างในวิชา ใช้วาจาเหลวไหลวิจารณ์ฮวงจุ้ยของท่านจั่ว ขอท่านจั่วโปรดให้อภัยด้วย!”
คำพูดที่เอ่ยออกมาของไช่หยางชิว แทนตัวลูกศิษย์สำนักเจ็ดดาวนับพันรายที่ปักหลักอาศัยอยู่บนเกาะฮ่องกงและเขตชายฝั่ง น้ำหนักของมันจึงนับว่าไม่เบา
และนี่ยังแสดงว่า นับจากวันนี้ลูกศิษย์สำนักเจ็ดดาวทั้งหลายเมื่อเห็นจั่วเจียจวิ้น ล้วนต้องยอมก้มหัวให้
เมื่อมีการยอมรับจากสำนักเจ็ดดาว ก็ไม่ต้องพูดถึงสถานะปรมาจารย์ฮวงจุ้ยอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างน้อยวันพรุ่งนี้ตำแหน่งปรมาจารย์ฮวงจุ้ยอันดับหนึ่งบนเกาะฮ่องกง ก็นับว่ามั่นคงสำหรับจั่วเจียจวิ้นแล้ว
“ศิษย์น้องเล็ก เธอเห็นว่าเป็นอย่างไร?”
แม้ว่าไช่หยางชิวจะขอโทษทางตนเอง แต่จั่วเจียจวิ้นก็ไม่กล้าตอบรับอะไรอีกฝ่าย ในเมื่อศิษย์น้องเล็กคือเจ้าสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน การตัดสินครั้งสุดท้ายต้องให้เขาเป็นคนจัดการ
ไช่หยางชิวก็เป็นคนคร่ำหวอดในยุทธภพ รู้ถึงความหมายของจั่วเจียจวิ้น จึงหันหน้าไปทางเยี่ยเทียน กล่าวว่า “เจ้าสำนักเยี่ย นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้สำนักเจ็ดดาวของเราจะถอนตัวออกจากเกาะฮ่องกงโดยสมบูรณ์ ไม่ทราบว่านี่จะทำให้ท่านพอใจหรือไม่?”
ผู้ชนะเป็นราชาผู้แพ้คือโจรกบฏมานับแต่โบราณ ตนเองเข้ามาบุกรุกทำลายถิ่นแต่กลับสูญเสียกำลังพล เพียงแค่ประโยคนี้ของเยี่ยเทียน ฮ่องกงก็ไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเขาอีกต่อไป หากยังหวังจะรุ่งเรืองอยู่ในวงการฮวงจุ้ยก็ต้องประสานมือคำนับถอนตัว ขณะที่ไช่หยางชิวพูดออกไปหัวใจแทบจะกลั่นเป็นหยดเลือด
โก่วซินเจียเอ่ยเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างหลัง “ศิษย์น้องเล็ก ที่ควรละเว้นก็ละเว้นเถอะ”
การล่มสลายของสำนักวิชา ชัดเจนว่ามีสาเหตุจากการกดดันของรัฐบาล แต่ว่าการห้ำหั่นภายในอย่างดุเดือดก็เป็นปัจจัยหนึ่ง หากว่าสำนักเจ็ดดาวกลับเข้าไปภายในแผ่นดินใหญ่ เกรงว่าภายหลังคงจะล่มสลายจนไม่อาจฟื้นคืน และสิ่งนั้นสำหรับสำนักวิชาทั้งหลาย ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“เจ้าสำนักไช่ ผมไม่ได้บอกว่าให้สำนักเจ็ดดาวของพวกคุณออกไปจากฮ่องกงนี่?”
หลังจากได้ยินคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ เยี่ยเทียนก็พึมพำอยู่สักครู่ กล่าวว่า “ การพยากรณ์ฮวงจุ้ยและภูมิลักษณ์ของสำนักเจ็ดดาวนับว่าเป็นหนึ่ง ทั้งยังมีเอกลักษณ์ของตนเอง จุดนี้ทุกคนที่นี่ต่างรู้อยู่แก่ใจ”
“ใช่แล้ว ประธานสมาคมอี้มีวิธีของตัวเองในการดูฮวงจุ้ย”
“บ้านของผมหลังนั้นเมื่อสิบปีก่อนก็ได้ประธานสมาคมอี้ดูให้ ทำการราบรื่นจนถึงปัจจุบัน ประธานสมาคมอี้ยังนับว่ามีความสามารถ!”
เมื่อเสียงของเยี่ยเทียนเงียบลง ก็มีเสียงสนับสนุนตามมาจากภายในฝูงชน อี้เหวินเม่าอยู่ในฮ่องกงมาหลายสิบปี จึงมีสัมพันธ์อันดีกับเหล่าเศรษฐีมากมาย เวลานี้ผู้คนที่ออกเสียงช่วยเหลือเขาจึงมีไม่น้อย
“ในยุทธภพสิ่งต้องห้ามร้ายแรงสุดคือมีวิชาแต่ไร้คุณธรรม นิสัยนี้ของคุณ จำเป็นต้องขัดเกลา”
…….
หลังจากรอให้เสียงภายในห้องเงียบลง เยี่ยเทียนก็เหลือบมองไปยังอี้เหวินเม่าที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น พูดต่อว่า “เขตฮวงจุ้ยที่ศิษย์พี่ของผมวางไว้ เป็นค่ายกลสามสุดยอดอันหาได้ยากในตำราฮวงจุ้ยโบราณ เดิมทีพวกคุณมีข้อ
สงสัยยังไม่เท่าไหร่ แต่จงใจทำลายสถานที่ เป็นการกระทำอันต่ำช้า
ตอนนี้ในเมื่อเจ้าสำนักไช่เป็นตัวแทนสำนักเจ็ดดาวขออภัยศิษย์พี่ของผม เรื่องนี้ก็ขอให้จบที่ตรงนี้ก็แล้วกัน สำนักวิชาล่มสลายกันเช่นนี้ ผมหวังว่าภายหลังเจ้าสำนักไช่จะสามารถชี้นำลูกศิษย์ ไม่ให้สร้างความร้าวฉานในวงการเดียวกันอีก!”
“เจ้าสำนัก เยี่ย ความ หมายของท่านคือ พวกเรายังสามารถอยู่ฮ่องกงต่อไปได้อีกใช่ไหม?”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ไช่หยางชิวแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ใครเล่าจะรังเกียจเงินทองที่ดินจำนวนมหาศาล? เนื้อติดมันมาส่งถึงข้างปาก แต่เยี่ยเทียนกลับคายออกมา?
อีกอย่างหากเปลี่ยนเป็นไช่หยางชิว เขาจะไม่พูดพล่ามทำเพลงกำจัดให้หมดสิ้น ขับไล่อีกฝ่ายออกไปจากเกาะฮ่องกง เรื่องนี้ย่อมต้องกระทำอย่างแน่นอน คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เขามองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เชื่อสายตา
เยี่ยเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “แน่นอน แม้ฮ่องกงจะไม่นับว่ากว้างขวาง แต่ก็ไม่แคบ อย่าว่าแต่สำนักของพวกเราสองคนเลย ต่อให้มีเพิ่มขึ้นอีกสามหรือห้าสำนักก็ยังสามารถคงอยู่ต่อไป หวังว่าหลังจากเจ้าสำนักไช่พบเจอเรื่องนี้แล้วจะไตร่ตรองให้มากขึ้นอีกหน่อย!”
ความจริงแล้วที่เยี่ยเทียนทำอย่างนี้ แน่นอนว่าเพราะไม่อยากมีปัญหาภายในวงการ แต่สาเหตุที่ให้โอกาสสำนักเจ็ดดาวอีกครั้งนั้นยังมีปัจจัยอื่นอยู่ภายใน
ความจริงแล้วสำนักฮวงจุ้ยต่าง ๆ ในเกาะฮ่องกงนั้นมีไม่น้อย ประมาณกว่าสิบสำนัก ที่โด่งดังมีชื่อเสียงที่สุดในนั้นก็คือสำนักเจ็ดดาว พวกเขาครอบครองสัดส่วนธุรกิจฮวงจุ้ยต่าง ๆ บนเกาะฮ่องกงถึงหกสิบเปอร์เซนต์ขึ้นไป
ธุรกิจที่ยังเหลืออยู่สี่สิบเปอร์เซนต์ ล้วนถูกครอบครองโดยนักทำนายเร่ร่อนหรือไม่ก็สำนักเล็กสำนักน้อยพวกนั้น ส่วนจั่วเจียจวิ้นอยู่เพียงลำพัง อีกทั้งยังทำธุรกิจกับมหาเศรษฐีเท่านั้น จึงไม่อยู่ในเส้นทางนี้
ถ้าหากสำนักเจ็ดดาวถอนตัวออกจากเกาะฮ่องกงโดยสมบูรณ์ จะก่อให้เกิดการล้างไพ่ใหม่อีกครั้งในวงการฮวงจุ้ย อาศัยสมาชิกสำนักเสื้อป่านเพียงสามถึงห้าคนของพวกเขา ย่อมไม่มีทางครอบครองสัดส่วนนี้ในตลาดได้ พวกเขาต่างมีใจแต่ไร้ซึ่งกำลัง
ดังนั้นแทนที่จะไล่สำนักเจ็ดดาวออกไป แล้วดึงดูดสำนักอะไรอื่นเข้ามา สู้ให้สำนักเจ็ดดาวคงอยู่ต่อไป แบบนี้ยังแสดงความใจกว้างของสำนักเสื้อป่านของพวกเขาได้อย่างเด่นชัด ภายหลังหากมีเรื่องบาดหมางอะไรขึ้นอีก พวกเขายังสามารถใคร่ครวญดูอีกหน
“เจ้าสำนักเยี่ยมีน้ำใจ ฉันละอายใจยิ่งนัก!”
เมื่อคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนกล่าวออกไป ทำให้ไช่หยางชิวตะลึงงันอยู่กับที่กว่าหลายนาที หลังจากตั้งสติกลับมาได้ ก็เดินไปข้างหน้าเยี่ยเทียน ทำความเคารพอย่างลึกซึ้ง กล่าวว่า “ภายหลังฉันจะต้องชี้แนะลูกศิษย์ในสำนัก ให้พวกเขาถือคำพูดของเจ้าสำนักเยี่ยเป็นคำเตือน วงการฮวงจุ้ยในฮ่องกง ก็จะดำเนินตามแนวทางของสำนักเสื้อป่านเช่นกัน!”
ต่อหน้าเงินทองและความรุ่งเรือง หน้าตาอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น สามารถรั้งอยู่ในฮ่องกงที่เต็มไปด้วยทองคำนี้ ความโกรธแค้นในใจของไช่หยางชิวที่เคยมีต่อเยี่ยเทียนทั้งหมดก็สลายหายไปในพริบตา
อีกทั้งไช่หยางชิวเองก็รู้ว่า แม้ผู้คนในสำนักเจ็ดดาวของตนจะมีมากมาย แต่ไม่มีใครที่สามารถทัดเทียมศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าได้
ดังนั้นแทนที่จะผูกใจเจ็บกับเยี่ยเทียน ไม่สู้เชิดชูอีกฝ่ายบนที่สูง พวกเขาได้หน้า ส่วนตัวสำนักเจ็ดดาวเองก็หากำไรได้ต่อ ไช่หยางชิวคิดคำนวณไว้แล้วอย่างแจ่มแจ้งเช่นกัน
“เจ้าสำนักไช่เกรงใจแล้ว พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้อง จะไม่ยื่นมือเข้าไปในวงการฮวงจุ้ยเกาะฮ่องกง ภายหลังขอให้เจ้าสำนักไช่ทุ่มเทยิ่งขึ้น!”
เมื่ออีกฝ่ายให้เกียรติตนอย่างเต็มที่ น้ำเสียงของเยี่ยเทียนก็อ่อนโยนลงไปด้วย
สำนักเสื้อป่านของพวกเขามีผู้คนเบาบางมาตลอด และไม่อาจรับลูกศิษย์กว้างขวางได้อย่างสำนักเจ็ดดาว พื้นที่เขตฮ่องกงนี้จึงไม่น่าดึงดูดอะไรนักสำหรับเยี่ยเทียน
ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามไม่ลุกขึ้นต่อต้านหลักฮวงจุ้ย จนส่งผลกระทบต่อค่ายกลรวบรวมวิญญาณบ้านเขา เยี่ยเทียนก็ขี้เกียจจะโต้ตอบเรื่องเส็งเคร็งในวงการฮวงจุ้ยบนเกาะฮ่องกง
“ความอดทนของเจ้าสำนักเยี่ย คนธรรมดายากจะเทียบเท่า ฉันขอรับคำชี้แนะ!”
เมื่อได้รับความอับอายเช่นนี้ ไช่หยางชิวกลับยังมีความคิดหลบหลีกหายนะขึ้นอีกอย่าง ชมเชยเยี่ยเทียนอีกหลายประโยค แล้วเอ่ยปากว่า “ลูกศิษย์ฉันได้รับบาดเจ็บหนัก ฉันขอตัวลาก่อน สามวันให้หลังจะจัดเลี้ยงเพื่อเป็นการขอขมาสำนักท่าน ขอเชิญเจ้าสำนักเยี่ยมาเยี่ยมเยียนพบปะกัน!”
“ได้ ต้องไปแน่นอน!” เยี่ยเทียนพยักหน้า ความมั่นคงของสำนักวิชาบนเกาะฮ่องกง มีประโยชน์ต่อเขาเช่นกัน ในเมื่อให้ที่ยืนอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกวนน้ำให้ขุ่นอีก
“จบแค่นี้เหรอ? ประลองวิชาอะไรกันน่ะ?”
“นั่นสิ ตาเฒ่านั่นเกิดคลั่งโจมตีคนของตัวเองไป แต่เจ้าหนุ่มคนนั้นยังไม่ขยับเลย?”
หลังจากรอให้ไช่หยางชิวพยุงลูกศิษย์ถอยออกไปจากการประชุมแล้ว ภายในก็ระเบิดเสียงฮือฮาขึ้นมา ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ฉากพิสดารที่เพิ่งเกิดขึ้น
ไม่มีการต่อสู้อย่างดุเดือดเหมือนในจินตนาการของพวกเขา และไม่มีมีดบินทำร้ายผู้คนอย่างในเรื่องเล่า ดูเหมือนเยี่ยเทียนจะใช้ไม่กี่กระบวนท่า ไช่หยางชิวก็พลันสูญเสียสติสัมปชัญญะ เหตุการณ์ช่างออกจากแปลกประหลาดเหลือเกิน
หวนนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น พวกมหาเศรษฐีเหล่านี้ต่างรู้สึกเหน็บหนาวถึงก้นบึ้งของจิตใจ สายตาที่มองไปทางเยี่ยเทียนมีความหวั่นเกรงไม่มากก็น้อย ถ้าหากวิชานั้นกำหนดให้ใช้บนร่างของตน จะก่อให้เกิดสถานการณ์แบบไหนกัน?
ภาษิตว่า “สำนักหรูใช้กวีก่อกวนกฎ นักรบใช้วิทยายุทธ์ฝืนข้อห้าม” วิธีการของสำนักพยากรณ์ ห่างไกลจนไม่อาจเทียบเทียมกับผู้มีวิทยายุทธ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ปรมาจารย์ ล้วนถูกกดดันจากผู้มีอำนาจในแต่ละยุคสมัย
เห็นสีหน้าของผู้คนแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็ออกมายืนกล่าวว่า ” ทุกท่าน เรื่องนี้จบลงที่นี่ ประธานสมาคมอี้เองก็ทำไปเพื่อเกาะฮ่องกง ทุกท่านอย่าได้วิพากษ์วิจารณ์ให้มากเลย ผมจะอธิบายความหมายเชิงลึกของค่ายกลสามสุดยอดให้ทุกท่านฟังก็แล้วกัน!”
เมื่อคำพูดนี้ของจั่วเจียจวิ้นเอ่ยออกมา ความสนใจของผู้คนก็ถูกดึงดูดเข้าหา พวกเขาเองก็อยากรู้ ว่าเขตฮวงจุ้ยซึ่งดึงดูดคลื่นลมมหาศาล ที่แท้แล้วมีคุณสมบัติพิสดารอย่างไรกัน
เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่กลางลานถอนหายใจ โล่งอก ค่อย ๆ ถอยหลังออกไป หลังจากอยู่ในมุมแล้ว รู้สึกถึงรสหวานในลำคอ จึงรีบยกมือมาอุดปากไว้ พอคลายมือออก มุมปากก็เต็มไปด้วยเลือด
โก่วซินเจียยืนอยู่ข้างเยี่ยเทียน รีบพยุงเยี่ยเทียนเอาไว้ พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงกึ่งตำหนิว่า “ศิษย์น้องเล็ก เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? คราวหลังอย่าได้ต่อสู้เพื่อหวังเอาชนะอย่างนี้อีก!”
ตอนที่ 575 หนึ่งสำนักสามปรมัตถ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นไรครับ รักษาตัวไม่กี่วันก็หายแล้ว” เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ สติอ่อนแรงลงเล็กน้อย
เมื่อครู่ตอนที่วาดยันต์ลงในอากาศ ใช้พลังลมปราณชีวิตจนถึงแก่น ทำให้อวัยวะภายในซึ่งบาดเจ็บยังไม่ฟื้นตัวดีของเยี่ยเทียน กระทบกระเทือนขึ้นอีกครั้ง อาการบาดเจ็บที่เคยถูกสกัดกั้นเอาไว้จึงปะทุขึ้นมาอีก
แต่ว่าหลังจากเมื่อครู่กระอักเอาเลือดข้นเหล่านั้นออกมาแล้ว กลับไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักยิ่งขึ้น เพียงแต่จำเป็นต้องบำรุงรักษาตัวให้มากสักสองสามวันเท่านั้นเอง
ความจริงแล้วในเหตุการณ์เมื่อครู่ ตัวโก่วซินเจียลงมือก็สามารถกำราบไช่หยางชิวได้อย่างง่ายดายเช่นกัน แต่ว่าเยี่ยเทียนมีสถานะเป็นเจ้าสำนัก จึงไม่มีเหตุผลให้ทำตัวเป็นเต่าหดหัว
“ศิษย์น้องเล็ก จิตสังหารรุนแรงเกินไป ภายหลังฉันจะแนะนำเจ้าอาวาสให้เธอรู้จักสักคน เธอเรียนพุทธศาสนาเสียบ้างเถอะ”
โก่วซินเจียมองเยี่ยเทียนอย่างเหลืออด เขาและจั่วเจียจวิ้นต่างชราแล้ว อนาคตของสำนักพยากรณ์เสื้อป่านและความหวังล้วนฝากฝังที่ตัวศิษย์น้องเล็กคนนี้ เขาจึงไม่อยากให้มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ใหญ่ นักพรตเต๋าอย่างท่านย้ายเข้านับถือศาสนาพุทธตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
เยี่ยเทียนหยอกล้อ ค่อย ๆ ลดพลังลมปราณชีวิตแท้ลงทีละน้อย รู้สึกเพียงความอึดอัดในช่วงอก อากาศขุ่นมัวที่นี่ลดทอนการฟื้นตัวของเขา จึงเอ่ยปากออกมาว่า “เรื่องของศิษย์พี่รองจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เห็นทางเยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน เถาซานอี้ซึ่งยืนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงอยู่ด้านข้างมาตลอดก็รีบพูดขึ้น “ศิษย์อาเยี่ย ศิษย์ลุง อาจารย์ของผมคงใกล้จะมาถึงแล้ว ผมจะไปรับเขาที่สนามบินก่อน จากนั้นต้องไปหาท่านที่ไหนครับ?”
เห็นภาพนั้นเมื่อครู่ด้วยตาตัวเอง เถาซานอี้จึงได้รู้ว่าสัมผัสทุกอย่างของตนเองไม่ผิดพลาด เด็กหนุ่มสีหน้าอิดโรยคนนี้มีวิชาแกร่งกล้าอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา ไม่แน่จุดจบอาจกลายเป็นพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนา
สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของเถาซานอี้เกิดความหวาดกลัวอย่างเหลือล้น เขาจินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าเยี่ยเทียนผู้ยังหนุ่มแน่น กลับฝึกวิชาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ขณะที่พูดคุย เถาซานอี้จึงแฝงความเคารพเยี่ยเทียนเป็นหลัก เขาไม่อยากเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มเยี่ยเทียนผู้นี้หงุดหงิดใจ จากการลำดับเรียกขานชื่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตัดสินใจก็แล้วกัน”
เยี่ยเทียนหันหน้ามองไปยังโก่วซินเจีย เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่กับหนานไหวจิ่นคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน คู่ควรพอจะให้เขารับรู้เรื่องค่ายกลรวมวิญญาณหรือไม่
โก่วซินเจียครุ่นคิดอยู่สักครู่ ตอบว่า “น้องไหวจิ่นเป็นสหายที่คบกันมานานของฉันเอง เมื่อในอดีตท่านอาจารย์เองก็เคยชี้แนะเรื่องบางอย่างแก่เขา ว่าไปแล้วยังถือว่ามีรากฐานต่อสำนักพยากรณ์เสื้อป่านอยู่บ้าง ให้เขามาที่บ้านเถอะ”
ค่ายกลรวบรวมวิญญาณที่ฮ่องกงนี้นับว่าเป็นความลับยิ่งใหญ่ของสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน กระทั่งโก่วซินเจียและหนานไหวจิ่นคบหากันอย่างสนิทใจ ยังต้องผ่านการไตร่ตรองถึงจะตัดสินใจได้
“ตกลงครับ ผมอยู่ที่…… พอถึงเวลาคุณไปรับคุณหนานก็ตรงมาหาได้เลย”
เมื่อศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างนี้ เยี่ยเทียนก็ให้ที่อยู่กับเถาซานอี้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เรื่องราวของผู้มากพรสวรรค์ที่ท่านอาจารย์มักพูดติดปากอยู่เสมอ เยี่ยเทียนเองก็สงสัยมากเช่นกัน
“ครับ ขอบคุณศิษย์อาเยี่ย!”
เถาซานอี้รับคำ ถอนตัวออกไปจากลานประชุม ในใจยังมีข้อสงสัยไม่คลายบางส่วน ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างท่านอาจารย์และโก่วซินเจีย มายังฮ่องกงแน่นอนว่าต้องเยี่ยมเยือนถึงประตูบ้าน แต่ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะลังเลอยู่ชั่วขณะ
เห็นว่าพ่อแม่กำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่ไกล ๆ เยี่ยเทียนจึงร้องเรียกโจวเซี่ยวเทียน กล่าวว่า “เซี่ยวเทียน ไปบอกลากับทางพ่อฉัน จากนั้นพวกเราค่อยกลับกัน!”
ซ่งเวยหลันแม้อยากใกล้ชิดกับลูกชายให้มากขึ้น แต่ว่าวันนี้คนที่มาเยี่ยมเยียนสามีภรรยาอย่างพวกเขานั้นมากมายจริง ๆ จึงได้แต่บอกลาลูกชายด้วยความรู้สึกผิดจากที่ไกล
ในที่แห่งนี้มีบางคนที่พุ่งเป้าความสนใจมาที่ตัวเยี่ยเทียนตลอดเวลาเช่นกัน แต่วิธีการเมื่อครู่ของเยี่ยเทียนนั้นพิสดารเกินไป คนพวกนั้นจึงไม่กล้ารบกวน ด้วยเหตุนี้กลุ่มของเยี่ยเทียนจึงถอนตัวออกมาจากงานได้อย่างเงียบเชียบ
“เฮ้อ คราวหลังจะไม่เข้าร่วมงานชุมนุมประเภทนี้อีกแล้ว!”
หลังจากออกมาจากห้องประชุมแล้ว เยี่ยเทียนก็ถอนหายใจโล่งอกยาว อากาศอันขุ่นมัวและบรรยากาศกดดันภายในนั้น ทำให้เขายากจะต้านทานไหว
“กลัวว่าการตัดสินใจจะไม่ขึ้นอยู่กับเธอน่ะสิ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของเยี่ยเทียน เมื่อหันกลับไปมอง กลับเป็นถังเหวินหย่วนพาหลานสาวตามออกมา
“เยี่ยเทียน ฉันพอรู้จักมักคุ้นกับอี้เหวินเม่า ขอบคุณเธอมากที่ยั้งมือ”
ถังเหวินหย่วนรู้จักเยี่ยเทียนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไม สองสามปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่พบเยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าพลังในกายเขาแกร่งกล้าขึ้นทุกวัน กระทั่งตาแก่ที่ใกล้จะลงโลงอย่างตน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขายังรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
“เหล่าถัง เมื่อครู่ผมผิดเอง ที่พูดจาไม่เห็นแก่หน้าคุณ”
เยี่ยเทียนโบกมือกล่าวว่า “เรื่องวันนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างสำนัก ผมไม่สามารถปล่อยผ่าน ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของสำนักพยากรณ์เสื้อป่านจะต้องพังทลาย คุณเข้าใจความหมายของผมใช่ไหม?”
ตอนเยี่ยเทียนก่อร่างสร้างตัว ได้พึ่งพิงชื่อเสียงของท่านผู้เฒ่าตรงหน้านี้ เมื่อครู่หักหน้าถังเหวินหย่วนในห้องประชุม แท้จริงแล้วภายในใจของเขาเองก็รู้สึกผิดบ้างเช่นกัน
“ไม่เป็นไร เธอไม่โทษฉันก็พอแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจกล่าวว่า “งานเลี้ยงครั้งนี้อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์ ฉันกำลังจะกลับพอดี ให้คนขับรถไปส่งพวกเธอสักหนแล้วกัน พอดีว่าฉันเองก็ยังไม่เคยไปบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ของเธอ วันนี้ขอไปเป็นแขกหน่อยนะ”
ก่อนหน้านี้ถังเหวินหย่วนขอให้เยี่ยเทียนทำนายดวงชะตาให้เขา รู้ว่าภายในสามปีนี้ตนเองจะประสบภัยพิบัติ ได้แต่เฝ้ามองเวลาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ คนอย่างเขาจึงทนอยู่เฉยไม่ได้
“ใช่แล้ว พี่เยี่ยเทียน พี่มาฮ่องกงยังไม่ชวนเสวี่ยเสวี่ยไปที่บ้านเลย!”
ถังเสวี่ยเสวี่ยเองก็ดึงแขนเสื้อของเยี่ยเทียนไปมา เธอกับเยี่ยเทียนผ่านช่วงเวลาดีร้ายด้วยกันเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน จึงติดพี่ชายคนนี้มาก
“ไปบ้านหลังนั้นของผมเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะออกมา อย่าว่าแต่เชิญไปเป็นแขกวันนี้เลย หากไม่มีเหตุจำเป็นก็ให้เขาไปไม่ได้ จึงส่ายหน้าทันควัน กล่าวว่า “เหล่าถัง บ้านของผมหลังนั้นคุณยังไม่สะดวกไปตอนนี้หรอกครับ รอเวลาผ่านไปสักพักแล้วผมจะเชิญคุณไปเป็นแขก”
“ไม่เหมาะสมหรือ?”
ถังเหวินหย่วนได้ยินเข้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ฉับพลันนึกถึงค่ายกลรวมวิญญาณที่เมืองหลวง สีหน้าก็อดเปลี่ยนสีไม่ได้ ถามหยั่งเชิงว่า “เยี่ยเทียน บ้านหลังนั้นของเธอคงไม่ได้วางค่ายกลอะไรไว้ใช่ไหม?”
ขณะที่พูด ถังเหวินหย่วนพลันนึกถึงเสาฮวงจุ้ยต้นนั้น ยิ่งเป็นการยืนยันความคิดของเขามากขึ้น
“เอาเถอะครับ เดาได้ก็เดาไปเถอะ แต่อย่าได้แพร่งพรายออกไปเชียว พวกเราขอตัวก่อนล่ะครับ”
เยี่ยเทียนเดิมทีไม่เคยนึกปิดบังถังเหวินหย่วน อีกทั้งจะช่วยให้เขาผ่านพ้นภัยพิบัตินั่นได้ ยังต้องพึ่งพาบ้านใหม่หลังนี้ วันหลังเขาย่อมต้องรู้อยู่ดี
หลังจากบอกลาถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนก็เรียกรถรับส่งแขกวีไอพีคันหนึ่ง แล้วตรงกลับไปบ้าน
คำนวณเวลาแล้ว กว่าหนานไหวจิ่นจะมาถึงคงใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนจึงเข้าห้องอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งลงบนฟูกตรงระเบียงชมวิวเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
……-
ในเขตคฤหาสน์ซึ่งมหาเศรษฐีชั้นนำอาศัยอยู่บนสุดด้านใต้ของเกาะฮ่องกง แพทย์ประจำตัวผู้หนึ่งเพิ่งจะทำการรักษาอี้เหวินเม่าสำเร็จ กล่าวกับไช่หยางชิวด้วยสีหน้ากังวล “ท่านผู้เฒ่าไช่ครับ คุณอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน แต่ว่าซี่โครงหักไปสองซี่ ช่วงนี้ต้องพักผ่อนรักษาร่างกายถึงจะหายดี”
อี้เหวินเม่าทำงานในฮ่องกงมาหลายปี ธุรกิจที่พวกเขารับอย่างสูงก็ข้าราชการและเศรษฐีบนเกาะฮ่องกง อย่างต่ำก็คือชาวบ้านทั่วไป หลายปีที่ผ่านมากอบโกยเงินทองได้ไม่น้อยไปกว่าจั่วเจียจวิ้น
ดังนั้นเบื้องหลังชีวิตของพวกเขา จึงร่ำรวยหรูหราเช่นกัน อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ชั้นเลิศในฮ่องกง ส่วนแพทย์ประจำตัวก็เรียกหาได้ตลอดเวลา
“ขอบคุณครับหมอหลิว” ไช่หยางชิวร้องเรียกคนในสำนักมาคนหนึ่งมา แล้วออกคำสั่ง “อาจวิน ส่งหมอหลิวกลับไปที!”
สภาพจิตของไช่หยางชิวแม้จะอ่อนล้า แต่เขาเพียงถูกพลังหยินร้ายแทรกซึมเข้าไปในร่างกายเท่านั้น เพียงใช้วิชากำจัดออกไปไม่กี่วันก็หมดสิ้น อีกทั้งยังไม่หลงเหลือเชื้อร้ายซ่อนอยู่
แต่ว่าที่ทำร้ายลูกศิษย์ของตนเองจนบาดเจ็บหนัก ทำให้ในใจไช่หยางชิวรู้สึกละอายอยู่บางส่วน อย่างไรเสียลูกศิษย์คนนี้ก็ติดตามตนเองมาเป็นเวลาสี่ถึงห้าสิบปี ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงไม่ด้อยไปกว่าพ่อลูก
หลังจากรอให้นายแพทย์หลิวจากไปแล้ว อี้เหวินเม่าก็พูดขึ้นมาอย่างละอายใจ “ท่านอาจารย์ วันนี้……ผมทำให้ท่านขายหน้า!”
ความจริงหลายปีที่ผ่านมา น้อยนักที่ไช่หยางชิวจะถามถึงเรื่องราวภายในสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอี้เหวินเม่าจัดการ ดังนั้นเรื่องในวันนี้ ตอนแรกเขาจึงไม่รู้อะไรเลย
จากนั้นหลังจากที่อี้เหวินเม่าเห็นพวกเยี่ยเทียนแล้ว ในใจรู้สึกสถานการณ์ไม่สู้ดี ถึงได้ส่งคนให้ไปรับอาจารย์มาจากบ้าน แต่คิดไม่ถึงว่า กลับทำให้อาจารย์และตนเองได้รับความอับอายไปด้วยกัน
“ท่านอาจารย์ ท่านวางใจเถอะ ผมจะไม่ละเว้นสกุลจั่วนั่น คนในสำนักเจ็ดดาวของพวกเรามีมากมาย เหตุการณ์นี้ผมจะต้องเอาคืนให้ได้!”
อี้เหวินเม่าไม่ได้ปะทะกับเยี่ยเทียน เขาจึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวไช่หยางชิว ดังนั้นจึงยังมีใจนึกแค้นเคืองพวกเยี่ยเทียนโดยเฉพาะกับจั่วเจียจวิ้น
“แกพูดอะไรน่ะ?”
ไช่หยางชิวที่เดิมทีกำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บของลูกศิษย์ ได้ยินคำพูดนี้ดวงตาก็เบิกกว้าง ตบลงไปบนหัวของอี้เหวินเม่าทีหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าอยากตายล่ะก็ฉันจะปลิดชีพแกเอง แต่อย่าให้ลำบากถึงสำนักเจ็ดดาวของฉัน!”
“ท่านอาจารย์ ท่าน……ท่านทำอะไรครับนี่?” อี้เหวินเม่าโดนตบจนมึนไปเล็กน้อย
“ไอ้เด็กบ้า พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนนั้น ล้วนเข้าถึงปรมัตถ์แล้ว แกจะเอาอะไรไปล้างแค้น?”
ไช่หยางชิวถอนหายใจยาว สังคมทั่วไปว่ากันด้วยกฎหมาย แต่ภายในสำนักวิชาพยากรณ์ ล้วนเป็นไปตามกฎระเบียบหนึ่งมาแต่โบราณ นั่นก็คือกำลัง ใครกำลังแข็งแกร่งกว่า คนผู้นั้นคือกฎ!
ด้วยร่างกายที่เจ็บหนักของเยี่ยเทียนยังสามารถทำให้เขาจมดิ่งสู่ภาพลวงตา ไช่หยางชิวหวนคิดกลับไปกลับมาอีกครั้ง เยี่ยเทียนผู้ที่มีอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ คนนั้น เกรงว่าการฝึกฝนของเขาจะเข้าสู่ขั้นปรมัตถ์แล้ว
หนึ่งสำนักสามปรมัตถ์ นั่นเพียงพอจะกวาดล้างทุกสำนักในปัจจุบัน ต่อให้ไช่หยางชิวเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่กล้าเกิดความคิดย้อนกลับไปแก้แค้นอะไรอีก
“ปรมัตถ์?” อี้เวินเม่าที่สมองออกจะมึนงง กลับกลายเป็นกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันควัน บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อละเอียดไหลซึม
ท่านอาจารย์เข้าถึงพลังลมปราณแฝงมายี่สิบถึงสามสิบปี กระทั่งปัจจุบันยังไม่อาจเข้าสู่ระดับปรมัตถ์ได้ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามกลับมียอดฝีมือระดับปรมัตถ์ถึงสามคน หากว่าตนเองยังคงแส่หาเรื่อง ย่อมกลายเป็นรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
“ภายหลังเมื่อเห็นสามคนนี้ แกต้องทำความเคารพ ห้ามเข้าไปยั่วยุอีกเด็ดขาด!”
ไช่หยางชิวคิดอยู่สักครู่ แล้วกำชับว่า “พรุ่งนี้รวบรวมคนในสำนัก ให้พวกเขาคอยระวังเอาไว้ แล้วจองโรงแรมที่ดีที่สุดในฮ่องกง อาจารย์จะไปขอขมาอีกครั้ง หวังว่าจะสามารถกำจัดความบาดหมางครั้งนี้ลง”
ไม่ว่าใครก็ตามหากถูกเยี่ยเทียนนับเป็นศัตรู จะต้องอยู่ไม่สุขเช่นเดียวกับไช่หยางชิวเป็นแน่ ในขอบเขตความเป็นความตายของสำนัก เกียรติยศศักดิ์ศรีของตนนับว่าไม่มีความหมายใด ๆ
……………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น