ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 571-572
ตอนที่ 571 เรียกท่านเป็นท่านตาสักคำ จ...
เสียงเรียกขาน ฟ่านอิง ทำให้เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ดุร้ายชะงักไปในทันที
เขายืนอยู่บนลูกแก้วสีดำ ปรายตามองไปยังสาวน้อยที่งดงามผู้นั้น
กลีบดอกไห่ถางมิได้หยุดเคลื่อนไหว ยังคงพลิ้วผ่านข้างกายของนางขึ้นมาราวกับเริงระบำ
ชั่วขณะนั้นเอง แววตาของเขาเหมือนได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาเมื่อหลายสิบปีก่อน….
อาเย่วเองก็มันจะยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นร้องเรียกชื่อของเขาแบบนี้
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาตะลึงงันไป ก็ยิ่งมั่นใจขึ้นถึงแปดเก้าส่วน
ริมฝีปากสีแดงของนางขยับ เรียกเขาอีกครั้ง “ฟ่านอิง ข้ารู้ว่าเป็นท่าน”
แม้ว่าทั้งกริยาท่าทางและน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจะมั่นใจ แต่หากให้พูดออกมาตามจริงตู๋กูซิงหลันก็แทบจะไม่อยากเชื่อ
เพราะตอนนั้นในความทรงจำของท่านยาย นางได้เห็นอย่างชัดเจน ฟ่านอิงถูกปฐมฮ่องเต้จีจ้านตัดศีรษะ ซากศพถูกโยนทิ้ง
คนที่สมควรจะตายไปตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า แถมยังกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
หากมิใช่เพราะว่าเขามีรอยประทับรูปดอกไห่ถางนั่น ตู๋กูซิงหลันก็คงจะจดจำเขาไม่ออก
ฟ่านอิงในความทรงจำของท่านยายเป็นบุรุษรูปงามที่โดดเด่นผู้หนึ่ง แต่ใบหน้านั้นถูกเพลิงเผาทำลายจนกลายเป็นอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว เผาผลาญความหล่อเหลาที่เขาเคยมีจนหมดสิ้นไป…..
รอยขาดบนลำคอที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนทำให้คนทั้งหวาดกลัวและปวดใจไปพร้อมๆกัน
เพราะในความทรงจำที่ตู๋กูซิงหลันได้เห็นนั้น…..แจ่มชัดและครบถ้วนราวกับว่าเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริง ภาพของโลหิตท่วมท้นและความโหดเ**้ยมที่ได้เห็น หัวใจที่แตกสลายเพราะบ้านเมืองวอดวายผู้คนล้มตายอนาถ ทั้งหมดเหมือนเกิดขึ้นตรงหน้า จนตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนนางอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย
ใครจะไปคาดคิดได้ว่า….ในวันแต่งงานคู่หมั้นจะถูกผู้อื่นบังคับกระทำ…..ต่อหน้าต่อตาของเขา
ทั้งบ้านเมืองและผู้คนในแคว้นล้วนถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นในวันเดียว
ตัวเขาเองก็ถูกตัดศีรษะทิ้ง โยนศพลงไปในเหวลึก
ที่เขายังสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ เป็นเพราะอาศัยความมุ่งมั่นอันแข็งแกร่ง….. หรืออาจเรียกว่าความเคียดแค้นอันล้ำลึกเพียงใด
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ก็คือคู่หมั้นของท่านยาย ฟ่านอิง….
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแคว้นต้าโจวทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้ว
มีแต่ฟ่านอิงเท่านั้น ที่จะเกลียดชังและเคียดแค้นราชวงศ์จีได้ถึงเพียงนี้
ตู๋กูซิงหลันเองก็คิดไม่ถึง เดิมทีนางมาที่ดินแดนจิ่วโจวก็เพื่อเสาะหาพี่รองและชือหลี ….แต่แล้วกลับได้ค้นพบฐานะที่แท้จริงของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
นางไม่ได้ไต่ถามว่าเขากลายเป็นเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนได้อย่างไร
นางพูดไม่ออก
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมองเห็นความเห็นอกเห็นใจจากนัยตาดอกท้อคู่นั้นอย่างเต็มเปี่ยม
เขาอาศัยความเคียดแค้นที่ล้ำลึกปีนป่ายขึ้นมาจากหุบเหวที่ลึกชัน คนที่ได้รับการเกิดใหม่อีกครั้ง แต่กลับมาเกิดใหม่ในร่างกายเช่นนี้
ตอนที่เขาได้เห็นร่างกายนี้ อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย แม้แต่ตัวของเขาก็ยังรังเกียจตนเอง
ในที่สุดเขาก็หยุดพลังของลูกแก้วสีดำลูกนั้นเอาไว้ ไอสีดำบนร่างกำจายออกมาอย่างเข้มข้น เขามองดูสาวน้อยที่งามล้ำผู้นั้น “เจ้าก็คือ…..หลานสาวของอาเย่ว”
ภาพของฮ่องเต้หญิงจากแผ่นดินโบราณ ผู้คนในดินแดนจิ่วโจวน้อยนักจะไม่เคยได้พบเห็น
เขาเคียดแค้นราชวงศ์จีทั้งหมด และก็เคยเกลียดชังอาเย่ว
ตอนนั้นที่แคว้นกู่เย่วต้องประสบกับความล่มสลาย ก็เป็นเพราะเมตตาอันโง่เขลาของนาง ช่วยเหลือผู้ที่ไม่สมควรจะช่วย…..
แถมต่อมานางยังแต่งงานกับแม่ทัพของศัตรู ……แล้วยังคลอดบุตรสาวออกมาคนหนึ่ง
ดังนั้นแม้แต่ตระกูลตู๋กู เขาเองก็พลอยชิงชังอย่างที่สุดด้วยเช่นกัน….เรื่องที่ฉางซุนซิ่วเคยวางแผนลงมือกับนาง ล้วนมีเขาชักใยอยู่ด้านหลัง
เขาคือคนที่ป่ายปีนขึ้นมาจากความตาย คือสิ่งที่มืดมิดและชั่วร้าย จึงไม่อาจไปยังดินแดนแห่งนั้นด้วยตนเอง…..ได้แต่อาศัยส่งร่างแบ่งภาคจากดินโคลนเหล่านั้นออกไป
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เขาต้องเจ็บปวดไปจนถึงแก่นกระดูก
ตู๋กูซิงหลันได้แต่พยักหน้า พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
นี้จะเรียกว่าอะไรดี…..คู่แค้นพบกันบนทางแคบงั้นหรือ?
ใครจะไปคิดกันว่า สักวันหนึ่งนางจะได้พบกับคู่หมั้นของท่านยายด้วยความบังเอิญในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ความบังเอิญเช่นนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องปวดศีรษะจนสมองพองโตด้วยกันทั้งนั้น
ท่านเจ้าสำนักเองก็คิดไม่ถึงว่า ศิษย์น้อยกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะเป็นคนคุ้นเคยกัน พลังวิญญาณที่ผุดขึ้นมาบนฝ่ามือของเขาถูกซ่อนไปไว้ด้านหลังอย่างไร้สุ่มเสียง
ในเมื่อเป็นคนรู้จักของศิษย์น้อย ก็พอจะละเว้นชีวิตให้ได้อยู่บ้าง
แต่หากว่าศิษย์น้อยอยากให้เขาตาย….ท่านเจ้าสำนักก็พร้อมจะส่งเขาขึ้นสวรรค์โดยไม่มีลังเล
ตู๋กูซิงหลันเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจครู่หนึ่ง คิดจะหาทางเกลี้ยกล่อมฟ่านอิงให้ลืมเลือนความแค้นกลับคืนเป็นเป็นมิตรสหายกันเทือกนั้น
แต่ก็เกรงว่าหากพูดออกมา คงได้ต่อสู้กันยกใหญ่เป็นแน่
เพราะหากนางเป็นฟ่านอิง ความแค้นนั้นคงต้องให้ผู้คนทั่วทั้งต้าโจวร่วมกลบฝังไปด้วย
ยิ่งเมื่อได้เห็นฟ่านอิงที่มีสภาพเหมือนคนไม่ใช่คนเหมือนผีไม่ใช่ผี……
คนเขาไม่จับนางฉีกเป็นแปดชิ้นทิ้งไปในตอนนี้ก็ต้องถือว่าเกรงใจกันมากแล้ว
ตู๋กูซิงหลันอึกๆอักๆอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่รู้ว่าเพราะผีสางดลใจหรืออะไรถึงได้หลุดปากออกมาประโยคหนึ่ง
“ท่านผู้เฒ่า…นั่นเอ่อ มีความลับอยู่ข้อหนึ่งข้าไม่รู้ว่าสมควรจะบอกท่านดีหรือไม่”
ฟ่านอิงได้เห็นนาง บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาที่คล้ายกับอาเย่วคู่นั้น แม้ว่าในใจจะมีความเกลียดชัง แต่ก็ยังมิได้อาละวาดออกมา
ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดชังอาเย่ว แต่อย่างไรก็เป็นเพราะว่าเคยรักนางมากมายถึงเพียงนั้น…..
แม้ว่าชาตินี้จะไม่อาจได้พบกันอีกแล้ว แต่ว่าความคิดถึงก็ยังเกาะกุมลึกถึงกระดูก
เดิมทีเขาคิดว่า หากมีสักวันหนึ่ง อาเย่วปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าของเขา …..เขาก็คงจะ….สังหารนาง
แต่ว่าพอยามนี้ได้พบกับหลานสาวของนาง ถึงได้รู้ว่า กับอาเย่วแล้ว เขาไหนเลยจะมีแค้นลึกล้ำในที่ใดได้
เขากระแอมเสียง ระบายความอึดอัดในใจออกมา “เจ้าบอกมา”
หากนางพูด เขาก็จะยอมรับฟัง
“พูดไปแล้วท่านอาจจะไม่ยอมเชื่อ ที่จริงแล้วข้า ข้าคือหลานสาวแท้ๆของท่านนะ ….ท่านตา!”
เรียกท่านตา ตู๋กูซิงหลันกลับเรียกได้อย่างไม่มียางอาย!
จุ๊ จุ๊….
แม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังรู้สึกว่าหนังตากระตุกขึ้นมาแล้ว
เขาหันไปเหลือบมองดูลูกศิษย์น้อยด้วยความแปลกใจแวบหนึ่ง เจ้าแน่ใจหรือ?
เบื้องหลังของฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณนั้น เขาสืบทราบมาอย่างชัดเจนแล้ว นางเป็นหลานสาวแท้ๆของตู๋กูถิง แท้จนไม่อาจจะแท้ไปได้อีกแล้ว
ตอนนี้อยู่ๆก็จะมายกให้ผู้อื่นเป็นท่านตาของตนเอง?
นี่รีบร้อนจะให้ท่านตาของตนเองถูกสวมเขาหรือยังไงกัน?
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่รู้สึกอับอายใดๆเลยสักนิด
“ท่านตา ท่านลืมตาโตมองดูให้ชัดเจน รู้สึกว่าข้ามีส่วนคล้ายคลึงกับท่านในวัยหนุ่มบ้างหรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันยังคงกล่าวอย่างไม่มียางอายต่อไป
เสียงที่เรียกท่านตานั้น ฟังดูใกล้ชิดสนิทสนมอย่างยิ่ง
หากท่านแม่ทัพตู๋กูผู้เฒ่าได้ยินคงต้องร้องไห้จนสลบไปในจวนแล้ว
อยู่ๆก็ถูกนางกระตุ้นเตือนขึ้นมาเช่นนี้ ฟ่านอิงก็ใคร่ครวญตามที่นางพูดออกมา พอมองซ้ายมองขวา เขาก็ชักจะรู้สึกขึ้นมาจริงๆว่า ….ตุ๊กตาหญิงตัวน้อยนางนี้มีส่วนที่ดูคล้ายคลึงกับเขาอยู่จริงๆ
จุดที่เหมือนกันอย่างชัดเจนนั่นก็คือ….พวกเขาต่างก็หน้าตาดีมาก
อย่าได้เห็นว่าตอนนี้เขามีรูปลักษณ์เหมือนผีสาง ตอนนั้นเขาคือบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในแคว้นกู่เย่วมาก่อน
แต่ว่าพอเขาคิดดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ตอนที่เขากับอาเย่วเคยคบหากัน แม้มีความรักแต่ยังคงอยู่ในขอบเขต ต่างก็รักษาตนอยู่ในกรอบประเพณี
พอคิดย้อนไปคิดย้อนไปเรื่อยๆ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป คืนก่อนวันที่จะแต่งงานกับอาเย่วนั้น เขาดื่มมากจนเกินไป
เดินเมามายเข้าไปในห้องของอาเย่วอย่างสะลึมสะลือไม่รู้เนื้อรู้ตัว
คืนนั้นเตียงสีแดงช่างอบอุ่น
พวกเขา….ร่วมเรียงเคียงหมอน เข้าหอกันก่อนงานแต่งงาน
พอมองดูสาวน้อยตรงหน้า ส่งเสียงเรียกเขาเป็นท่านตา น้ำเสียงที่อบอุ่นดังแสงอาทิตย์ หลอมละลายน้ำแข็งบนหัวใจของเขาออกมา
ตอนที่ 572 รำลึกถึงคนผู้หนึ่ง ผิดต่อค...
นาง….คือหลานสาวของเขาจริงๆน่ะหรือ?
สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว หากสามารถใช้วิธีที่ไม่ต้องคำนึงถึงหน้าตามาแก้ปัญหาได้ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างหน้าตามันไปเถอะ
เพราะอย่างไรพี่รองของตนเองก็ยังอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย ด้วยอุปนิสัยอันชั่วร้ายตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ไม่แน่ว่าจะต้องเคยให้พี่รองกินยาอะไรที่ไม่ควรกินลงไปอย่างแน่นอน
อย่างเช่นว่าหากไม่มียาแก้ก็จะเจ็บปวดเหมือนหมื่นธนูทะลวงหัวใจอะไรเทือกนั้น
หากไม่ขายชีวิตให้ ข้าก็จะไม่ช่วยชีวิตผู้หญิงของเจ้าหรอก
มีวิธีขูดรีดเลือดเนื้อทำนองนี้อยู่ตั้งมากมาย
อ้อจริงสิ ปรมาจารย์ปรุงยาตันที่เก่งกาจที่สุดในดินแดนจิ่วโจวถูกพวกนางฆ่าทิ้งไปแล้วนิ…..
หากจะหากคนปรุงยาแก้พิษขึ้นมาก็คงจะเป็นไปไม่ได้สักเท่าไหร่
หากว่าวิญญาณทมิฬยังอยู่ละก็ ก็ยังพอจะขอเลือดของมันมาสักหน่อย อย่างน้อยๆก็ยังพอจะทำยาสลายร้อยพิษ หรือไม่ก็ดึงเวลากำเริบออกไปได้
แต่ว่านับตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์จากไป มันก็พลอยหายสาปสูญไปด้วย
ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์อสูรในพันธะของนางแท้ๆ แต่ว่าวันๆกลับเอาแต่เกาะติดกับท่านอาจารย์ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ในสมองของตู๋กูซิงหลันสามารถสร้างจินตนาการไปได้กว้างไกลถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพราะนางเคยได้อ่านบทละครของโลกปัจจุบันมามากมาย
จนทำให้นางเดาเหตุการณ์ได้…..ที่ตู๋กูเจวี๋ยอึกอักอยู่นั้น ยังจะมิใช่เพราะว่ากลืนยาพิษของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเข้าไปอย่างโง่ๆอีกหรือ?
เงื่อนไขข้อแรกของการเข้าร่วมตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ก็คือต้องกินยาพิษ
และยาแก้พิษนั้น มีแต่ท่านเจ้าตำหนักเท่านั้นที่มี
ต้องกินยาแก้เดือนละครั้ง หากไม่มียาแก้ ก็จะเลือดออกเจ็ดทวาร กระดูกทั่วร่างแตกสลาย ทนทรมานอยู่สี่สิบเก้าวันจนต้องตายไปในที่สุด
เรื่องนี้ เขาย่อมไม่ได้บอกน้องเล็กออกไป
ใครจะไปคิดว่าความคิดของนางจะรวดเร็วเหมือนเหินบิน กระโดดข้ามไปรับอีกฝ่ายเป็นท่านตาเช่นนี้
เดิมทีตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่คาดเดาอย่างมั่วซั่วเท่านั้น แต่พอเห็นฟ่านอิงเงียบงันไปเนิ่นนาน
ในใจก็คิดว่านางถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่เข้าแล้ว
ท่านยายคงจะไม่ได้ไปมี….ความสัมพันธ์ที่บอกอะไรไม่ได้ อธิบายไม่ออกกับฟ่านอิงก่อนที่จะแต่งงานกันกระมัง?
อยู่ๆนางก็รู้สึกว่าบนศีรษะของท่านตามีผืนหญ้าสีเขียวปกคลุม จนเปล่งประกายขึ้นมาเสียอย่างงั้น
แม้ว่าในใจจะส่งเสียงเชี่ยยยดังลั่น แต่สีหน้าภายนอกยังคงเป็นความตื่นเต้นยินดีราวกับว่า ‘ข้าตามหาท่านมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้เจอท่านแล้ว’
น้ำตาสองสายไหลพรากลงมาเป็นทางยาว
“ท่านตา ที่หลานสาวเดินทางไกลมาจากดินแดนโน้นจนมาถึงจิ่วโจว…… ยังมิใช่เพื่อจะตามหาท่านหรอกหรือเจ้าคะ?”
“ตลอดทางต้องตรากตรำลำบาก เพียงแค่เหล่าพยัคฆ์เสือร้ายนับร้อยๆ…. ปลายักษ์สัตว์ประหลาดในท้องทะเลลึกต่างก็เกือบจะจับข้ากลืนลงไปแล้ว….”
“ตอนนี้ในที่สุดก็เสาะหาท่านตาจนเจอแล้ว ผู้เป็นหลาน…..รู้สึกยินดีจนใกล้จะสลบเป็นลมไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ยิ่งเกินจริงไปใหญ่แล้ว แต่เมื่อประกอบการการแสดงที่เสมือนจริงจนไร้ข้อตำหนิของตู๋กูซิงหลัน ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าที่ผ่านทางมาพบกัน เกรงว่ายังคงต้องถูกฉากตามหาญาติจนตรากตรำนี้ทำเอาหวั่นไหวไปเช่นกัน
“ท่านตา ……ทำไมท่านถึงไม่พูดไม่จา หรือว่าท่านไม่ชอบข้าผู้เป็นหลาน?”
ขณะที่นางพูดคำพูดเหล่านี้ ท่านเจ้าสำนักก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนางอีกหลายครั้ง ศิษย์น้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น
คนที่ไม่ชอบนาง สมองคงมีปัญหาเป็นแน่
ท่านเจ้าสำนักเชื่อในความคิดของตนเองอย่างยิ่ง เพราะยิ่งเขาได้มองดูศิษย์น้อยก็ยิ่งรู้สึกสบายตา ในใต้หล้านี้เกรงว่าคงไม่อาจหาผู้ใดที่ดูแล้วสบายตาไปกว่าศิษย์น้อยได้อีกแล้ว
หลังได้ยินเสียงเรียกท่านตาเจ้าคะ ท่านตาเจ้าขาหลายครั้งหลายหนเข้า ต่อให้เป็นคนที่มั่นคงเช่นฟ่านอิงสมองก็ต้องมึนตึ้บไปแล้ว
ยามที่เจ้าตุ๊กตาหญิงตัวน้อยเรียกหาท่านตา ทั้งอ่อนหวานและน่าเอ็นดู ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความจริงใจจนคนยากที่จะปฏิเสธได้
ที่จริงแล้วไม่ว่าความจริงแล้วนางจะเป็นหลานสาวแท้ๆของเขาหรือไม่….และถึงแม้ว่าจะมิใช่หลานสาวแท้ๆ…..แต่แค่หลานสาวของอาเย่วเรียกหาเขาเป็นท่านตาอยู่ทุกคำเช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาแล้ว
เพราะรักถึงขีดสุด รักอย่างลึกซึ้ง…..
ดั่งคำที่ว่ารักบ้านเผื่อแผ่นกกา จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจลงมือกับทายาทรุ่นหลังของนางได้ลง
ร่างของฟ่านอิงลอยค้างอยู่กลางอากาศ หลังจากที่ตู๋กูซิงหลันเรียกหาเขาเป็นท่านตาอยู่ทุกถ้อยคำ เขาจึงได้เก็บลูกแก้วโลกาวินาศใบนั้นกลับไป
ทันทีที่ลูกแก้วใบนั้นหายลับไปจากสายตา หมอกสีดำบนร่างของเขาก็ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นมา ปิดบังร่างกายของเขาเอาไว้จนหมดสิ้น
จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่น่าหวาดกลัวนั้นได้
เขาค่อยๆเหาะเข้ามาอย่างช้าๆ ร่างที่มีแต่หมอกสีดำไปทั้งตัว หยุดยืนอยู่ที่ข้างกายนาง
นี่เป็นสาวน้อยที่งดงามอย่างยิ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นคล้ายสามารถสื่อสารแทนคำพูดได้เลย ความจริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ผู้อื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า มิว่านางพูดอะไรออกไปล้วนแต่สมควรเชื่อถือ
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้เกรงกลัวเขา ขณะที่เขาเข้ามาใกล้ นางก็เป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาก้าวหนึ่งเช่นกัน
“ท่านตา ท่านเชื่อข้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
ว่าแล้ว นางก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ข้าจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ท่านยายมักจะมองดูต้นไฮ่ถางที่ปลูกเอาไว้เต็มสวนพลางถอนหายใจอยู่เสมอ นางบอกว่านางคิดถึงคนผู้หนึ่ง รำลึกถึงคนผู้หนึ่ง รู้สึกผิดต่อคนผู้หนึ่ง”
ดอกไฮ่ถาง คือดอกไม้ที่เจียงเย่วชื่นชอบที่สุด
เกาะลอยฟ้าแห่งนี้เป็นของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน บนเกาะมีแต่ดอกไฮ่ถางอยู่เต็มไปหมด แค่มองดูก็รู้แล้วว่า เจ้าของเกาะจะต้องชื่นชอบดอกไห่ถางมากมายถึงเพียงไร
นี่ย่อมเป็นเพราะรักเจียงเย่ว….เขาถึงได้ชอบดอกไห่ถาง
ที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ดอกไม้ไม่อาจผลิบาน ดังนั้นบนเกาะลอยฟ้าในเมืองว่านฮวาเฉิงเขาถึงได้ปลูกไห่ถางเอาไว้จนเต็มไปหมด เห็นสิ่งของย่อมคิดถึงผู้คน
คนที่จากไปอย่างไม่อาจหวนกลับคืนมาอีกแล้ว…..
ความรำลึกถึงของเขาล้วนหยุดอยู่ที่ช่วงเวลาก่อนหน้าการเข่นฆ่าครั้งนั้น
น้ำเสียงที่ตู๋กูซิงหลันถ่ายทอดออกมา ราวกับเป็นเจียงเย่วพูดออกมาด้วยตนเอง
ชั่ววินาทีนั้น ฟ่านอิงถึงกับเชื่อว่าเป็นจริงแล้ว
พอเขายื่นมือข้างหนึ่งออกมา ท่านเจ้าสำนักก็ตื่นตัวเตรียมพร้อม เขาหรี่ดวงตาหงส์คู่นั้นลง หากว่าฟ่านอิงกล้าลงมือทำร้ายศิษย์น้อย เขาก็พร้อมที่จะทำลายคนผู้นี้ทิ้งไปได้ตลอดเวลา
ฟ่านอิงมิได้สนใจเขา เพียงจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น
ยามที่มือข้างนั้นยื่นออกมา ก็พลันชะงักค้างอยู่ในอากาศ กี่ปีมาแล้วที่เขาไม่เคยสัมผัสผู้อื่น?
จำไม่ได้เสียแล้ว……
เขาคือความมืดมิดที่แสนจะชั่วร้าย เป็นสิ่งอัปมงคลอย่างที่สุด
เขาไม่ต้องการสัมผัสผู้ใด และก็ไม่ต้องการให้ใครมาสัมผัส แต่ว่าสาวน้อยตรงหน้าผู้นี้…..
มือของเขายังไม่ทันได้ดึงกลับไป ก็พลันถูกตู๋กูซิงหลันดึงรั้งเอาไว้
อย่างเหนีนวแน่น
แม้นว่าจะมีถุงมือสีดำกั้นอยู่แต่ก็ยังรู้สึกถึงอุณหภูมิจากฝ่ามือของนางได้
ช่างอบอุ่น
“ท่านตา ข้ารู้ว่าท่านมีข้อสงสัยมากมาย เรื่องที่ผ่านมา ข้าจะค่อยๆเล่า ค่อยๆอธิบายให้ท่านฟัง ก่อนหน้านี้ข้าเพียงได้ฟังมาว่าท่านอาจจะยังคงอยู่ในโลกนี้…. แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจริง ตอนนี้ข้ารู้สึกตื้นตันอย่างยิ่ง”
ใช่แล้ว ตื้นตันจนมือสั่นไปหมด
แม่จ๋า….ใกล้จะเป็นน้ำแข็งแล้ว
ท่านเจ้าสำนักแม้จะตัวเย็นเฉียบอยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเย็นเข้าไปข้างในจนถึงกระดูก
แต่ว่าฟ่านอิงนั้นไม่เหมือนกันชั่วร้ายเกินไป ทั่วทั้งร่างมีแต่ไอแห่งความตาย เพียงแค่สัมผัสโดนเบาๆ กลิ่นอายเหล่านั้นก็ทำให้เส้นขนทุกเส้นของนางลุกชันได้แล้ว
ทำให้ผู้อื่นเหน็บหนาวจนสั่นสะท้าน
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านเจ้าสำนักจับนางผลักเข้าไปในกระถางติ่งยักษ์ ก็ยัดลูกแก้ววิญญาณเพลิงเข้าไปในอกเสื้อของนางเรียบร้อยแล้ว
หากมิได้ความอบอุ่นจากลูกแก้ววิญญาณเพลิงคุ้มครอง ตู๋กูซิงหลันก็คงจะตัวแข็งทื่อเป็นแท่งน้ำแข็งไปนานแล้ว
“เจ้าตุ๊กตาน้อย….”
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ฟ่านอิงถึงได้เอ่ยเรียกนาง
เจ้าตุ๊กตาน้อย แต่เดิมในแคว้นกู่เย่ว นิยมเรียกแม่นางน้อยเช่นนี้
ทั้งยังมีความพอใจอยู่ในน้ำเสียง
“เอ๋!” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน “ท่านตาสามารถเรียกข้าว่าหลันหลันก็ได้นะเจ้าคะ”
ที่จริงแล้ว จากส่วนลึกของจิตใจตู๋กูซิงหลันรู้สึกสงสารคนผู้นี้จริงๆ……
ที่ต้าโจว ถึงแม้ว่าเขาจะส่งตัวหมากไปก่อกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าก็มิได้กระทำเรื่องเลวร้ายใดต่อไพร่ฟ้าประชาราษฎร์
บรรพชนตระกูลจีติดค้างเขามากเกินไป สิ่งที่ติดค้างจะอย่างไรสมควรคืนให้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น