หมอดูยอดอัจฉริยะ 570-571
ตอนที่ 570 หักล้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
อี้เวินเม่าพูดคำนี้ออกไป สีหน้าของคนภายในงานเกือบครึ่งก็เปลี่ยนไป มองไปที่จั่วเจียจวิ้นด้วยสายตาที่สงสัย
ต้องรู้ว่า ย่านคฤหาสน์หรูของฮ่องกงอยู่ที่ยอดเขาวิกตอเรียก็จริง แต่ก็ไม่ใช่มหาเศรษฐีทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่
ก็เหมือนกับที่อยู่ของหลี่เชาเหรินที่ตั้งอยู่ในอ่าวลึกทางตอนใต้ของฮ่องกง ที่นั่นก็เป็นสถานที่รวมตัวของคนรวยเช่นกัน
ดังนั้นคำพูดของอี้เวินเม่า จึงมีผลกระทบต่อคนในงานเป็นส่วนมาก
ถ้าเป็นอย่างที่อี้เวินเม่าพูดจริงๆ สำนักฮวงจุ้ยของจั่วเจียจวิ้นได้ย้ายโชคลาภของฮ่องกงทั้งหมดไปที่เขตกลางภูเขา อย่างนั้นโชคลาภตรงที่พักของพวกเขาก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอี้เวินเม่า จั่วเจียจวิ้นก็หัวเราะออกมา เอ่ยปากพูดว่า “ประธานอี้ คุณสามารถมองสำนัก ฮวงจุ้ยที่ผมจัดออกไหมครับ??”
ภายในใจของจั่วเจียจวิ้นนั้นเข้าใจดี ถ้าไม่แก้ไขปัญหาที่อี้เวินเม่าซักถาม ตัวเองจะต้องผิดใจกับมหาเศรษฐีในฮ่องกงกลุ่มใหญ่ อย่าเพิ่งพูดถึงตำแหน่งอาจารย์ฮวงจุ้ยอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย เกรงว่าต่อไปคงจะเป็นเรื่องยากที่ตัวเองจะมีที่ยืนอยู่ในฮ่องกงอีก
ในเมื่ออีกฝ่ายมาหาเรื่อง จั่วเจียจวิ้นก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป จึงแสดงท่าทางดูถูกที่ตัวเองจึงถามอี้เวินเม่าอย่างไม่มีการปิดบัง
“ก็แค่การสร้างค่ายกลซ้อนกัน ใช้ค่ายกลจิ่วกงปากว้ากับค่ายกลสี่ปรากฏการณ์ เพื่อรวบรวมดวงชะตามาที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
อี้เวินเม่าหัวเราะเยาะ” แต่ว่าน้องจั่วทำแบบนี้ดูจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือเปล่า? ดวงชะตาและโชคลาภของฮ่องกงคือของทุกคนที่สร้างมันออกมา นายเอามารวบไว้ที่ทิศตะวันออกแบบนี้ แล้วคนอื่นจะทำยังไง?”
อี้เวินเม่าเป็นคนที่หน้าซื่อใจเหี้ยมมาก ทุกคำที่เขาพูดพยายามจะสื่อถึงสำนักฮวงจุ้ยที่จั่วเจียจวิ้นก่อตั้งขึ้น มันจะทำลายสำนักฮวงจุ้ยทั้งหมดที่อยู่ในฮ่องกง เพื่อกระตุ้นความโกรธต่อผู้คน
การปลุกเร้าของอี้เวินเม่าได้ผลเป็นอย่างมาก พอสิ้นเสียงของเขา หลี่เชาเหรินก็ทนไม่ได้เลยเอ่ยปากถามออกไปว่า “ปรมาจารย์จั่ว เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ?”
อี้เวินเม่ามีชื่อเสียงเรื่องฮวงจุ้ยชัยภูมิภูเขาและสุสานอยู่ในเกาะฮ่องกงมาตลอด แต่ก่อนหน้านี้จั่วเจียจวิ้นได้ยึดการดู ดวงทำนายโชคชะตาไปครอง ทำให้ขอบเขตความชำนาญของทั้งสองคนไม่เหมือนกัน
แต่เมื่อเห็นจั่วเจียจวิ้นที่ไม่ได้มีความถนัดฮวงจุ้ยได้ตั้งสำนักฮวงจุ้ยขึ้นมา กลับทำให้อี้เวินเม่าที่มีความชำนาญในด้านฮวงจุ้ยออกมาประณาม ทำให้ตราชั่งจิตใจของทุกคน เอนไปข้างอี้เวินเม่าโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าจะมีเพียงหลี่เชาเหรินที่ซักถาม แต่คนที่อยู่ข้างๆ เหล่านั้นก็ส่งสายตาความสงสัยขึ้นมา แสดงว่าในใจของพวกเขาก็เกิดความสงสัยอยู่เหมือนกัน
จั่วเจียนจวิ้นหากเวลานี้พูดจาที่อ่อนแรง จะทำให้คนภายในงานเกิดความสงสัยมากขึ้น ทันใดนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “คุณหลี่ เดิมที่เขาก็ไม่ได้มีความรู้และเข้าใจอะไรเกี่ยวกับสำนักฮวงจุ้ย ก็แค่คุยโวโอ้อวด น่าขำ น่าขำจริงๆ…”
ปกติคนในสำนักฉีเหมินจะมีความแค้นต่อกันน้อยมาก แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งกันแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบถ้าไม่ตายก็ไม่เลิกรา อี้เวินเม่าออกมือครั้งนี้ก็เพื่อต้องการบีบจั่วเจียจวิ้นออกไปจากฮ่องกง ดังนั้นจั่วเจียจวิ้นจึงไม่ไว้หน้าเขาใดๆ ทั้งสิ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ สำนักเหมินในตอนนั้นก็ปัดแข้งปัดขาคนอาชีพเดียวกันแบบนี้ใช่ไหม?”
เมื่อได้เห็นท่าทางต่อตาฟันต่อฟันของจั่วเจียจวิ้นกับอี้เวินเม่าตาแบบนี้ เยี่ยเทียนจึงถอนหายใจเบาๆ ทั้งที่สำนักฉี เหมินก็เสื่อมถอยขนาดนี้แล้ว คนพวกนี้ยังไม่ไม่รู้จักการสามัคคีกันอีก แล้วยังจะมาหาเรื่องคนอาชีพเดียวกันเนี่ยนะ
“ศิษย์น้องเล็ก ฉีเหมินไม่เคยสามัคคีกันมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้มีการแตกแยกที่รุนแรงมากขึ้น!”
โก่วซินเจียก็รู้สึกเหมือนกัน ขึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “สำนักฉีเหมินในตอนนั้นก็บริหารกันในแต่ละพื้นที่ ปกติจะไม่มีใครข้ามเขตกัน แม้ว่าจะต้องต่อสู้กัน แต่ภายนอกก็ยังรักใคร่กลมเกลียวปรองดองกัน…”
ตอนที่โก่วซินเจียบุกตะลุยสำนักฉีเหมินในยุทธภพนั้น เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นรุกรานพอดี ต่อหน้าคุณธรรม พวกคนสำนักฉี เหมินเหล่านี้จึงเก็บบุญคุณความแค้นไว้ก่อน และพร้อมใจกันต่อต้านญี่ปุ่นเพื่อกอบกู้ประเทศชาติ
แต่ไม่เหมือนกับตอนนี้แล้ว หลังจากสำนักฉีเหมินในประเทศจีนได้ผ่านการปฏิรูปประเทศหลายครั้ง ทำให้ชื่อเสียงหายสาบสูญไป เป็นเหตุให้การสืบทอดหายไปมากมาย มีเพียงบริเวณชายฝั่งทะเลเท่านั้น ที่ยังมีการถ่ายทอดสืบไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ที่ผ่านมานี้ พวกคนที่มีวิชาฉีเหมินกับสำนักต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะฮ่องกงที่มีฮวงจุ้ยเจิญรุ่งเรือง จึงทำให้เกิดการแย่งชิงรุนแรงผิดปกติ
ตอนนั้นอี้เวินเม่ากับจั่วเจียจวิ้นแย่งตำแหน่งประธาน ก็เพื่ออยากยกระดับชื่อเสียงของตัวเอง แต่ทางสำนักชีซิงกลับมีการพัฒนายิ่งใหญ่และแข็งแรงมากในฮ่องกง
การกระทำของจั่วเจียจวิ้นในครั้งนี้ ได้สะเทือนอารมณ์ของอี้เวินเม่าเข้าแล้ว ถ้าจั่วเจียจวิ้นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฮวงจุ้ยชัยภูมิภูเขาและสุสาน อย่างนั้นก็ไม่เท่ากับแย่งงานของสำนักชีซิงหรอกเรอะ?
แต่ประธานอี้กลับไม่รู้เลย เยี่ยเทียนที่ก่อตั้งสำนักฮวงจุ้ยนี้ แท้จริงแล้วเพื่อต้องการสร้างค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณในคฤหาสน์ขอตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ที่จะแย่งชิงอะไรกับพวกเขา
คนที่มีความคิดน่ารังเกียจ มักจะคิดว่าคนอื่นก็คิดเหมือนเขา
เวลานี้อี้เวินเม่าคิดแต่จะบีบให้จั่วเจียจวิ้นออกไปจากฮ่องกง จะว่าไปแล้วคนในสำนักชีซิงของเขาใช่ว่าจะไม่มียอดฝีมือในด้านการทำนายพยากรณ์ เพียงแต่ตอนนั้นถูกจั่วเจียจวิ้นกดทับไว้ก็เท่านั้นเอง
“น้องจั่ว สำนักชีซิงของฉันดูฮวงจุ้ยชัยภูมิภูเขาและสุสานมาโดยตลอด แต่ไม่รู้ว่านายสืบทอดมากจากสำนักอะไรกันแน่ อยู่ในฮ่องกงก็มักจะใช่แต่การดูโหงวเฮ้ง คิดจะมาพูดเรื่องฮวงจุ้ยกับฉัน นายไม่รู้สึกว่าน่าขำไปหน่อยเหรอ?”
การสนทนาระหว่างสองคนกลางงานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป และเหมือนไฟโกรธจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อี้เวินเม่าชี้ถึงพูดถึงความแตกต่างของเขากับจั่วเจียจวิ้นอย่างดุเดือด ภายใต้ความหมายของคำพูด ก็คือตำหนิจั่วเจียจวิ้นที่ไม่รู้เรื่องฮวงจุ้ยชัยภูมิภูเขาและสุสานจริง
“น่าขำเสียจริงๆ…”
จั่วเจียจวิ้นก็หัวเราะฮ่าๆ พลางพูด “ประธานอี้ คุณรู้จักกิ่วกงปากว่ากับสี่ปรากฏการณ์ แต่ข้างในนั้นยังมีค่ายกลซานฉาย ไม่รู้ว่าคุณดูออกหรือไม่?”
จั่วเจียจวิ้นทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา ไม่รอให้อี้เวินเม่าเอ่ยปาก ก็ถามต่อไปว่า “ทำไมเสาฮวงจุ้ยของฉันที่อยู่ตรงหน้านี้ต้องสร้างด้วยฮวงจุ้ยบอล คุณรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
“ค่าย…ค่ายกลซานฉาย?” อี้เวินเม่าได้ยินก็ตกตะลึงงัน เพราะเขาดูเสาฮวงจุ้ยค่ายกลสามชุดนั้นไม่ออกจริงๆ
เนื่องจากค่ายกลซานฉายเกี่ยวกับฟ้าดินและมนุษย์ มีนักปราชญ์จำนวนมากที่เป็นตัวแทน อีกทั้งอี้เวินเม่าก็ไม่ได้สังเกตรูปปั้นของคนเหล่านั้น ที่เป็นค่ายกลซานฉาย?
ส่วนฮวงจุ้ยบอลนั้น อี้เวินเม่าพอจะเข้าใจวิธีการใช้ แต่เขารู้เพียงหนึ่งไม่ได้รู้ทั้งสองอย่าง
อี้เวินเม่าคิดแค่ว่าฮวงจุ้ยบอลนั้นสามารถขับเคลื่อนดวงชะตาการไหลเวียนในสถานที่นี้ กลับไม่รู้ว่าผลประโยชน์สูงสุดของฮวงจุ้ยบอลนี้ คือการเปลี่ยนจิตวิญญาณของทะเลเป็นพลังแห่งความมงคล เพื่อลดการปะทะระหว่างเสาฮวงจุ้ยกับค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณ
“สองคนนี้ใครพูดจริงใครพูดปลอมกันแน่?”
“ประธานอี้หยุดชะงักกับคำถาม ไม่แน่ข้างในอาจจะมีสิ่งที่เร้นลับอย่างอื่นอีก!”
“นั่นสิ ปรมาจารย์จั่วจะไม่ดูดูฮวงจุ้ยชัยภูมิภูเขาและสุสานให้คนบ่อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยดู ถ้าจะบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง เหตุผลมันดูขัดแย้งกันไปหน่อย!”
อี้เวินเม่าถูกจั่วเจียจวิ้นถามจนพูดไม่ออกเลย ทำให้ในใจของทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาขึ้นเล็กน้อย
ถึงอย่างไรฮวงจุ้ยชัยภูมิภูเขาและสุสานใช่ว่าพูดแล้วจะเกิดผลทันที อี้เวินเม่าเคยดูฮวงจุ้ยที่อยู่หยินหยางให้กับมหาเศรษฐีไม่น้อย แต่ใครจะบอกได้ว่าการพัฒนาในอนาคตและการลดลงของคนรวยจะเกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ยหรือไม่?
แต่ไม่เหมือนกับจั่วเจียจวิ้น เขาทำนายและพยากรณ์ให้กับคนได้แม่นยำมาตลอด ช่วยเหลือมหาเศรษฐีให้พ้นเคราะห์มากมาย ซึ่งเป็นเรื่องจริง ขณะเดียวกันจึงเป็นสาเหตุหลักที่จั่วเจียจวิ้นมีตำแหน่งที่สูงกว่าอี้เวินเม่าในฮ่องกง
ตอนนี้อี้เวินเม่าได้อึ้งไปกับคำถามของจั่วเจียจวิ้นแล้ว มหาเศรษฐีพวกนั้นก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดของเขา จึงเริ่มส่งเสียงซุบซิบนินทาขึ้นมา
“ทุกท่าน พวกคุณกับจั่วเจียจวิ้นรู้จักกันมาก็ยี่สิบกว่าปีแล้ว จั่วเจียจวิ้นเป็นคนยังไง เชื่อว่าในใจของทุกท่านคงชัดเจน ฉันไม่สามารถทำลายดวงชะตาโชคลาภของฮ่องกงได้”
เมื่อได้ยินเสียงของทุกคน จั่วเจียจวิ้นจึงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยปากพูดว่า “ค่ายกลที่ฉันสร้างขึ้นนี้ เรียกว่าค่ายกลซานฉาย ที่สามารถดึงดูดและเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของทะเล เพื่อประโยชน์และความสุขของเกาะฮ่องกง…
ความโชคดีที่เปลี่ยนจากค่ายกลนี้ ทั้งหมดถูกดึงมาจากท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ประธานอี้ไม่รู้จักค่ายกลนี้ จึงคิดมากไปแล้ว!”
“เป็นอย่างนี้เองเรอะ? ฉันก็ว่าปรมาจารย์จั่วไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
“ลงทุนมากขนาดนี้ สามารถดึงดูดดวงชะตาของทะเลออกมา เกรงว่าประธานอี้ก็คงทำไม่ได้”
“คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์จั่วจะมีความชำนาญฮวงจุ้ย วันหลังถ้าสร้างบ้านใหม่ จะต้องเชิญปรมาจารย์จั่วไปช่วยดูฮวงจุ้ยชัยภูมิให้สักครั้ง!”
จั่วเจียจวิ้นพูดคำนี้ออกไป ทำให้ทุกคนในงานไม่ลดเสียงของตัวเองแล้ว ต่างพูดจาชื่นชมจั่วเจียจวิ้นกันยกใหญ่
เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะค่ายกลนี้มันอยู่ติดทะเลใหญ่จริงๆ
อีกทั้งหลังจากที่ตัวเองสร้างค่ายกลสำเร็จ หมู่บ้านชาวประมงและสวนสนุกริมทะเล ก็ได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ทุกคนสามารถเห็นได้กับตาตัวเอง ไม่เหมือนกับอี้เวินเม่าที่เอาแต่พูดโน้มน้าวปากเปล่า
และที่สำคัญคือ ทุกคนต่างรู้ว่าการก่อตั้งสำนักฮวงจุ้ยต้องเสียเงินทุนไปมากมาย โดยจั่วเจียจวิ้นเป็นคนออกเงินเพียงคนเดียว เขาจึงไม่จำเป็นต้องไปเอาใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
แน่นอนว่า พวกมหาเศรษฐีเหล่านี้ต่างคิดว่าจั่วเจียจวิ้นแค่ออกเงินทุนกว่าสิบล้านเพื่อทำการกุศลเท่านั้น ถ้าหากพวกเขารู้ว่าสำนักฮวงจุ้ยนี้มีค่าใช้จ่ายมากกว่าพันล้านหยวนขึ้นไป เกรงว่าคงไม่มีใครคิดแบบนี้แล้ว
เสียงชมเชยของทุกคน ทำให้อี้เวินเม่าหน้าขึ้นเลือกเหมือนตับหมู แต่เขาก็ดูค่ายกลซานฉายของจั่วเจียจวิ้นไม่ออกจริงๆ จึงยากที่จะกล่าวตำหนิออกมาในทันทีทันใด และยืนอยู่ตรงนั้นอย่างยากที่ถอยออกมา
เมื่อสถานการณ์ของผู้คนในตอนนี้เบี่ยงเบนมาทางจั่วเจียจวิ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา “ฉันศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับค่ายกลฮวงจุ้ยมาหกสิบกว่าปี ไม่เคยได้ยินการดูดซับโชคดวงชะตาออกมาจากทะเลได้ พ่อหนุ่ม เธออย่าคุยโม้เกินไปหน่อยเลย!”
เมื่อไล่ไปตามเสียง ก็มีชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มผู้คน คนนี้รูปร่างสูงใหญ่ ผมสีขาวโพลน สวมเสื้อคอจีนแพรไหมทั้งชุด มีบุคลิกที่สง่ามาก
คำพูดของชายชรายังดึงดูดความสนใจของทุกคนในงาน
ถึงอย่างไรจั่วเจียจวิ้นก็อายุหกสิบกว่าปีแล้วเช่นกัน จึงพอมีตำแหน่งอยู่ในเกาะฮ่องกง ถึงแม้คนที่อายุมากกว่าเขามากมายแต่ก็ยังเรียกเขาว่าปรมาจารย์จั่ว แต่การเรียกเขาว่าเจ้าหนุ่ม จึงเป็นการดูถูกจั่วเจียจวิ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อาจารย์?” เมื่อเห็นคนที่มา อี้เวินเม่าจึงดีใจทันที และรีบเดินไปต้อนรับ
“ที่แท้ก็คือเจ้าสำนักไช่นั่นเอง?”
จั่วเจียจวิ้นมองดูชายชราที่ทำให้ตัวเองต้องพ่ายแพ้แม้จะไม่ได้สู้ในตอนนั้น จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “วิชาของสำนักฉี เหมินสูงส่งยากที่จะคาดเดา แต่เรื่องที่เจ้าสำนักไช่ไม่ได้เคยยินมาก่อน ก็คิดว่ามันไม่มีจริงหรือ?”
ตอนที่ 571 กระพือข่าว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อาจารย์ ท่านมาแล้ว?”
อี้เวินเม่าเห็นชายชรา จึงรีบเดินไปรับทันที เวลานี้เขาถูกจั่วเจียจวิ้นพูดใส่จนเป็นใบ้กิน และการมาของชายชราจึงเป็นการช่วยชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“รีบร้อนอะไรนัก ปกติฉันสอนนายว่ายังไง? ไม่มีมากเอาเสียเลย!”
น้ำเสียงของชายชราค่อนข้างดัง ไม่เพียงแต่แสดงท่าทีเป็นผู้อาวุโสกับจั่วเจียจวิ้นแล้ว ยังตำหนิลูกศิษย์อายุราวหกสิบกว่าของตัวเอง อย่างไม่มีความเมตตาเลยแม้แต่น้อย
“นี่คืออาจารย์ของประธานอี้? ทำไมไม่เคยเจอมาก่อน?”
“ว่ากันว่าคือยอดฝีมือในประเทศจีนเมื่อสิบปีก่อน แต่เขาไม่เคยดูฮวงจุ้ยให้ใครมาก่อน”
“น่าจะเป็นคนเก่งแหละ? ดูประธานอี้อยู่ต่อหน้าเขาเป็นเหมือนเด็กน้อยเลย”
ชายชราที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เดิมทีที่ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์จั่วเจียจวิ้น ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
แต่ก็โทษพวกนกสองหัวไม่ได้ ประเด็นคือฮวงจุ้ยนั้นเป็นอภิปรัชญาที่ลึกลับเกินไป พวกเขาก็แยกไม่ออกว่าใครพูดความจริง ใครพูดโกหกกันแน่
หลังจากที่ตำหนิลูกศิษย์แล้ว ชายชราคนนั้นก็หันไปหาจั่วเจียจวิ้น พูดว่า “ถึงแม้เธอไม่เคยพูดการถ่ายทอดของตัวเองมาก่อน แต่ฉันก็มองออก ว่าเธอน่าจะได้รับการถ่ายทอดวิชามาอาจารย์สำนักเสื้อป่านในที่ราบกลาง ดูเหมือนว่าสำนักนี้จะไม่ชำนาญเรื่องค่ายกลฮวงจุ้ยนะ?”
ไช่หยางชิวมองจั่วเจียจวิ้น หรี่ตาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเกิดความสงสัยในใจไม่หยุด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่คุกรุ่นของจั่วเจียจวิ้น ซึ่งเหมือนกับสิบปีที่แล้วเพียงแต่วันเวลาไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ต้องรู้ว่า เมื่อสิบปีที่ก่อนจั่วเจียจวิ้นได้เข้าถึงพลังแฝงขั้นแรก ตอนนั้นไช่หยางชิวได้เข้าถึงขั้นสุดยอดของพลังแฝงแล้วแล้ว เพียงแค่ปล่อยพลังออกมา ก็ทำให้จั่วเจียจวิ้นยอมแพ้ด้วยใจจริง
แต่วันนี้ที่ทั้งสองคนได้เจอกัน ไช่หยางชิวกลับพบว่า พลังของจั่วเจียจวิ้นนั้นแรงมาก กระทั่งยังมากกว่าตัวเอง ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อ พร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“เป็นคนแก่ที่ไร้ยางอายจริงๆ สำนักฉีเหมินใหญ่ขนาดนี้ นายรู้จักดีแค่ไหน?”
ขณะที่จั่วเจียจวิ้นยังไม่ทันพูดออกไป ก็มีเสียงดังออกมาจากมุมหนึ่ง เมื่อไช่หยางชิวกับอี้เวินเม่าได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนทันที เพราะว่าเสียงนั้น เป็นเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา
แต่ยังไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยปากถาม เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก “ศิษย์พี่ใหญ่ ผม…ผมไม่ได้หมายถึงพี่นะ พี่ดูปากผมสิ มันน่าโดนตบจริงๆ”
“ก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ศิษย์พี่ใหญ่อายุขนาดนี้แล้ว ก็หน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ” โก่วซินเจียยิ้มเจื่อนมองไปที่ศิษย์น้องเล็ก จะด่าคนก็ด่าไป จะเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวทำไม?
ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็มองตามไป เดิมทีบรรยากาศในงานที่ดูอึมครึมเล็กน้อย กลับมีเสียงหัวเราะดังออกมา เพราะว่าคนที่พูดอยู่ตรงมุมนั้น นอกจากจะเป็นเด็กหนุ่มหนึ่งคนกับชายวันกลางคนแล้ว ยังมีนักพรตเต๋า ที่ดูแล้วอายุก็น่าจะไม่น้อยเลย
“เจ้าเด็กคนนี้ ปากไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ?”
เหมือนกับหลี่เชาเหรินเศรษฐีผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ก็ยังส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น แต่เมื่อรู้ว่าเยี่ยเทียนคือลูกชายของซ่งเวยหลัน พวกเขาก็ทำได้เพียงแต่เก็บคำวิจารณ์ไว้ในใจ ว่าเยี่ยเทียนไม่มีพ่อแม่สั่งสอน ที่กล้าพูดจาไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ในงานแบบนี้
“เจ้าหนู มากับผู้ใหญ่บ้านไหนเหรอ? รู้จักหลักของปลาหมอตายเพราะปากไหม?”
พวกมหาเศรษฐีที่เข้ามาในงานก่อนหน้านี้ต่างก็รู้จักฐานะของเยี่ยเทียน แต่ไช่หยางชิวทั้งสองอาจารย์ยังไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนเป็นใคร เมื่อเห็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักนอบน้อม สีหน้าของไช่หยางชิวก็หม่นลงทันที
อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าวรยุทธของจั่วเจียจวิ้นเหมือนจะพัฒนาขึ้นแล้ว ตอนนี้จึงไม่กล้าที่จะหาเรื่องจั่วเจียจวิ้น แล้วจึงใช้เยี่ยเทียนเด็กหนุ่มมาเป็นที่ดึงดูดสายตาของทุกคนมาแทน
“ศิษย์พี่ใหญ่ เขา…เขาตะโกนว่าผมเป็นเด็กน้อย?”
เยี่ยเทียนมองไปที่ไช่หยางชิวด้วยความรู้สึกตลก พูดว่า “คุณรับหน้าที่เจ้าสำนักชีซิงมาที่สมัยแล้ว? อาจารย์เป็นใคร พวกเราลองมาคุยกันหน่อยไหม มาดูว่าเธออาวุโสกว่า หรือว่าระดับผู้อาวุโสของฉันที่สูงส่งกว่า?”
“เธอเป็นคนในสำนักฉีเหมินหรือ?” ไช่หยางชิวรู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่ออี้เวินเม่าเพิ่งจะได้ยินที่จั่วเจียจวิ้นแนะนำเยี่ยเทียน รีบกระซิบข้างหูของอาจารย์ว่า “อาจารย์ เขาเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้น”
“หืม? เป็นศิษย์น้องของเขา? ทำไมเด็กขนาดนี้ ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์เหรอ?”
ไช่หยางชิวรู้สึกลังเลขึ้นมา เดิมที่เขาต้องการที่จะตำหนิสั่งสอนเยี่ยเทียนสักหน่อย ไม่คิดว่าจะดึงจั่วเจียจวิ้นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
หลังจาที่คิดอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ไช่หยางชิวก็ไม่ได้ทำอะไรเยี่ยเทียน แต่ว่ามองไปเที่ยวจั่วเจียจวิ้น พูดว่า “เสี่ยวจั่ว ฉันกับเธอพูดกันอยู่ ศิษย์น้องของเธอมาพูดแทรกแบบนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไรกระมัง?”
ความสามารถในการสัมผัสความรู้สึกอันตรายของคนสำนักฉีเหมิน ไกลเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อไช่หยางชิวสังเกตว่าพลังของจั่วเจียจวิ้นนั้นมีการพัฒนามากขึ้น ในใจจึงเกิดความรู้สึกผิดปกติ จึงเปลี่ยนท่าทีขึ้นมา ไม่พูดจาฉอดๆ เหมือนก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกหน้า จั่วเจียจวิ้นจึงมีความมั่นใจมากขึ้น และเอ่ยปากพูดว่า “เจ้าสำนักไช่ ถึงศิษย์น้องของฉันจะดูเด็ก แต่ก็เป็นเจ้าของสำนักเสื้อป่าน สถานะไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าพวกคุณเลย จึงไม่รู้ว่าทำไมถึงจะพูดแทรกไม่ได้?”
“เจ้าสำนัก? นี้มันอะไรกัน?”
“เรื่องของยุทธภพ ดูได้อย่างเดียวห้ามต้องพูด”
“คงไม่ใช่พวกสำนักหงเหมินนะ? แต่เคยได้ยินว่าสำนักใหญ่ของหงเหมินอยู่ที่อเมริกานี่?”
“พูดยากนะ ตอนนี้พวกสมาคมที่อยู่ในฮ่องกง เป็นไปได้ที่ยังมีพรรคหงเหมินแก้งชิงปังหลงเหลืออยู่ก็ได้!”
คราวนี้จั่วเจียจวิ้นก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนในงานจนส่งเสียงดังเกรียวกราวขึ้นมา พวกมหาเศรษฐีพวกนี้ต่างก็มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่กลับไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของสำนักฉีเหมิน ทุกคนต่างก็คาดเดากันต่างๆ นานา และอีกหลายคนที่เพ่งมองไปที่หวาเหล่าป่านของสมาคมของหวาเซิ่ง
“เยี่ยเทียน วันนี้มาเพื่อฉลองความสำเร็จให้กับศิษย์พี่ พยายามอย่าสร้างปัญหาเลยนะ?”
ตอนที่ทุกคนกำลังส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ถังเหวินหย่วนก็เดินออกมาทันที เขากับอี้เวินเม่าค่อนข้างสนิทสนมกัน จึงรู้ว่าเทียนเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยม จึงอยากออกมาเป็นคนช่วยไกล่เกลี่ย
“เหล่าถัง จะมาฉลองความสำเร็จให้ศิษย์พี่ใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนโบกมือไปมา สายตามองไปที่อาจารย์ไช่หยางชิวและลูกศิษย์ แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “แมวสามหมาสี่กระโดดออกมาหมดแล้ว คิดว่าสำนักเสื้อป่านของแนไม่มีคนแล้วใช่ไหม?!”
พวกมหาเศรษฐีที่นั่งกันอยู่นั้น ให้ความสำคัญที่สุดคือความสงบและความมั่งคั่ง มีคำพูดหนึ่งเรียกว่าการถอยออกมาหนึ่งก้าวจะทำให้เรื่องรบรื่นขึ้น แต่สำหรับเรื่องนี้ ไม่สามารถใช้ได้กับสำนักฉีเหมินและยุทธภพ
ในเมื่อมีคำว่า “ยุทธภพ” สองคำนี้ อย่างนั้นก็ต้องสะสางบุญคุณความแค้น โดยเฉพาะการดึงเรื่องการต่อสู้ของสำนักเข้ามาเกี่ยวข้อง เยี่ยเทียนในฐานะหัวหน้าสำนักเสื้อป่าน จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องถอยอยู่แล้ว
“เหล่าถัง เรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ขอเพียงพวกเขายอมขอโทษศิษย์พี่ของผม ยอมรับว่าเรียนวิชาไม่แตกฉาน ก็จะถือว่าเรื่องนี้จบไป!”
เรื่องมาถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่สนใจสายตาคนรอบข้างแล้ว พระพุทธศาสนาสอนความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน ทฤษฎีลัทธิเต๋าเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรม ให้สรรพสิ่งเป็นเหมือนสุนัขเคี้ยวเอื้อง ความหมายก็เหมือนกับพระพุทธศาสนา สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนเหมือนกันหมด
ดังนั้นที่เรียกกันว่ามหาเศรษฐีอยู่เหนือระดับทั่วไป ในสายตาของเยี่ยเทียนไม่มีความแตกต่างระหว่างสามัญชนที่ขายไข่ปลาบนถนน และจากการฝึกวรยุทธของเขาในตอนนี้ ในเมื่อถูกปล่อยออกมา วันนี้ก็ต้องกระพือข่าวให้คนรู้ไปทั่ว
แต่พอเยี่ยเทียนพูดออกไป ทำให้เกิดความโกลาหลในงาน ถังเหวินหย่วนกับหลี่เชาเหรินเป็นผู้อาวุโสในโลกธุรกิจเศรษฐีผู้มีอิทธิพล
อีกทั้งตระกูลของถังเหวินหย่วนก็ไม่เหมือนกับพวกเขาสองคนนั้น แต่คนมากมายต่างรู้กันว่า เบื้องหลังของเขามีความซับซ้อนมาก อิทธิพลในฮ่องกงนั้นจึงไม่น้อยไปกว่าผู้นำในธุรกิจจีนสองคนนั้น
แต่เยี่ยเทียนกลับเรียกเขาว่าเหล่าถัง ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการตำหนิ ทำให้ทุกคนยากที่จะยอมรับได้ มีหลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับถังเหวินหย่วน ลุกขึ้นเดินออกมาเตรียมที่จะตำหนิเยี่ยเทียน
“ได้ ผมไม่ยุ่ง ถือว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้พูดอะไรนะ…”
ถังเหวินหย่วนกับเยี่ยเทียนคบหากันนานพอสมควร หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จึงรู้ว่าเรื่องนี้ยากที่จะจัดการแล้ว ถึงแม้ว่าเขากับอี้เวินเม่าจะมีความสนิทสนมกัน แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งพอที่จะทำให้เขาผิดใจกับเยี่ยเทียนได้
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
พวกคนที่ยืนขึ้นมาพยายามที่จะส่งเสียงช่วยเหลือถังเหวินหย่วน เมื่อเห็นว่าชายชราคนนี้ถอยหลังกลับ ทุกคนต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก รู้สึกสับสนอยู่ในใจ
แต่คนที่สามารถทำธุรกิจได้ในระดับนี้ อีคิวจะไม่ต่ำ หลังจากได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วน ในใจจึงเข้าใจขึ้นมาทันที สงสัยฐานของเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่ใช่แค่เป็นลูกชายของซ่งเงยหลันง่ายๆ ขนาดนั้น
อย่าบอกว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักเยี่ยเทียนเลย แม้แต่ซ่งเวยหลันก็ยังตกใจจนต้องเอามือปิดปากไว้ เธอกับถังเหวินหย่วนสนิทกันมาหลายปี อีกทั้งยังเคารพนับถือต่อกันอีกฝ่ายมาก เรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับคุณอา
แต่ซ่งเลยหลันคิดไม่ถึงว่า ลูกชายตัวเองกลับเรียกเขาว่าเหล่าถัง และถังเหวินหย่วนก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดีมาก แต่กลับถูกเรียกขานแบบนี้
“ตงผิง ลูก…ลูกชายของพวกเราทำอะไรกันแน่?”
หลังจากที่ซ่งเวยหลันตกใจแล้ว ก็ดึงมือของสามี พร้อมกับทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสงสัย ว่าลูกชายมีความสามารถ ดังนั้นคนเป็นแม่จึงต้องดีใจเป็นธรรมดา
“ลูกน่ะเหรอ? ลูกก็คือจอมปีศาจที่ปะปนอยู่ในโลกมนุษย์”
เยี่ยตงผิงยิ้มเจื่อนๆ เพราะเยี่ยเทียนอยู่ที่ปักกิ่งยังอวดดีไม่พอ แถมยังมามีเรื่องที่ฮ่องกงโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด จึงรีบพูดกระซิบกับภรรยาทันที “หลานสาวที่ป่วยของถังเหวินหย่วน ก็ได้เยี่ยเทียนช่วยรักษาให้หาย ดูเหมือนว่าไอ้ลูกคนนี้จะมีระดับอาวุโสในแก๊งอะไร ซึ่งตำแหน่งยังสูงกว่ากว่าถังเหวินหย่วนเสียอีก”
“สูงกว่าถังเหวินหย่วนเหรอ? อย่างนั้นก็อยู่ในพรรคหงเหมินน่ะสิ?”
ครั้งนี้ซ่งเวยหลันตกใจจริงๆ หลายปีมานี้เธอคบค้าสมาคมกับหงเหมินมาตลอด จึงรู้อิทธิพลของสมาคมชาวจีนต่างประเทศนี้ว่ามีมากแค่ไหน และรู้อีกว่าภายในสมาคมนี้ให้ความสำคัญกับระดับอาวุโสมาก
เยี่ยเทียนมีลำดับศักดิ์สูง แน่นอนว่ามีคุณสมบัติที่จะปฏิบัติต่อถังเหวินหย่วนอย่างนี้
อย่าว่าแต่คนพวกนี้ที่ให้ตำแหน่งใหม่กับเยี่ยเทียนเลย ตอนที่เยี่ยเทียนพูดประโยคนั้นออกมา สีหน้าของอาจารย์ไช่หยางชิวและลูกศิษย์ก็แขวนไว้ไม่อยู่แล้ว
ให้พวกเขาก้มศีรษะและยอมรับความผิดพลาดของพวกเขา แบบนี้ต่อไปพวกเขายังจะมีหน้ามีตาทำธุรกิจฮวงจุ้ยในฮ่องกงได้อย่างไร? มันเหมือนเป็นการขับไล่พวกเขาออกจากเกาะฮ่องกง
ไช่หยางชิวก่อนหน้านี้ก็มีความคิดที่ยอมอ่อนข้อเพื่อให้จบเรื่อง แต่ตอนนี้ไม่สามารถถอยกลับได้อีกแล้ว เขาจึงเดินไปหาเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าหม่นหมอง พูดว่า “ถึงแม้ว่าอายุของเธอยังน้อย แต่ว่าการพูดการจาของเธอนั้นไม่ได้น้อยเลยนะ?
อยากให้สำนักชีซิงของฉันออกไปจากฮ่องกงก็ได้ อย่างนั้นก็ต้องเอาความสามารถออกมาสู้กัน!”
ถ้าหากไช่หย่างชิวกับจั่วเจียจวิ้นประลองฝีมือกัน เขาก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ไม่แน่ยังพอจะหาทางให้ตัวเองลงจากเวทีได้
แต่ว่าสีหน้าของเยี่ยเทียนที่เหมือนกเด็กหนุ่มที่กำลังป่วยนั้น เหมือนจะทำให้เจ้าสำนักไช่มองเห็นลูกพลับนุ่ม ถึงอย่างไรก็ต้องบดขยี้เสียหน่อย?
…………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น