ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 569-589

 ตอนที่ 569 เตาหลอมลิ่วเสิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ทำไม่ถึงไม่รู้จักคนผู้นี้? เขามีระดับของเหลวเพียงหนึ่งเดียวที่กลายเป็นศิษย์สายตรงของนิกายยอดบริสุทธิ์ในระยะเวลาหมื่นปีมานี้ และก็จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของศิษย์สายตรงนิกายยอดบริสุทธิ์ในปัจจุบัน เจ็ดร้อยปีก่อนเขาก็เคยบุกวังมายานภาหยก คิดไม่ถึงว่าเงาร่างมายานี้จะลอกเลียนแบบเขามา มิน่าถึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้” หญิงสาวชุดม่วงเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย นางก็เผยสีหน้าแปลกใจออกมา และพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ใช้วิชาส่งเสียง


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


แต่เขายังไม่ทันตอบอะไรกลับไป ชายหนุ่มครึ่งปีศาจก็พุ่งเข้ามาถึงบริเวณที่ทั้งสองอยู่ และทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา


“ไม่เพียงแต่เท่านี้ คนผู้นี้ยังเคยแลกมือกับปรมาจารย์เทียนเซี่ยง ทั้งยังล่าถอยมาได้อย่างปลอดภัย ต่อให้เป็นเงาร่างระดับของเหลว พวกเราทั้งสามร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา และเขาก็เป็นผู้บุกวังนภาหยกในปีนั้นเพียงหนึ่งเดียวที่เดินทางมาจนถึงตอนท้ายได้ ผู้บุกวังคนอื่นๆ ต่างก็ถูกเขาทำให้ได้รับบาดเจ็บ และถูกส่งออกไปนอกวังโดยตรง”


หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา


คิดไม่ถึงว่าคนระดับนี้จะมาจากนิกายเดียวกับเขา แต่ตนเองก็เข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาสองปีกว่าแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักชื่อเสียงของคนผู้นี้


“สหายทั้งสอง มีคนผู้นี้อยู่ หากพวกเราทั้งสามจะแยกกันหลบหนี เกรงว่าคงถูกเขาโจมตีได้ อย่างเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถูกเตะออกจากวังมายานภาหยกไป อย่างหนักก็เกรงว่าอาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่หากเราสามคนเดินทางด้วยกันล่ะกัน เวลาพบเจอกับอันตรายยังพอจะช่วยกันรับมือได้บ้าง อีกอย่างการทดสอบในวังมายานภาหยกก็เหลือเวลาแค่ราวๆ หนึ่งวันแล้ว เพียงแค่ยืนหยัดให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ พวกเราก็สามารถถอยไปได้อย่างปลอดภัย” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น


พอหลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดม่วงได้ยินก็สบตากันทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ


ดังนั้นทั้งสามจึงผลัดเปลี่ยนกันต้านทานแสงกระบี่ตรงด้านหลัง และหลบหนีต่อ


จะว่าไปก็น่าแปลก ดูเหมือนว่าเวลาที่เงาร่างจินเลี่ยหยางเผชิญกับผู้แข็งแกร่ง ก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย เผชิญกับผู้อ่อนแอก็จะอ่อนแอตามไปด้วย ขณะที่ทั้งสามหลบหนีนั้นกลับไม่ลงมือสังหารแต่อย่างใด เพียงแค่ตามไล่มาตลอดทาง และสะบัดแสงกระบี่ออกไปด้านหน้าอยู่เป็นระยะๆ ดูเหมือนจะบีบให้ทั้งสามทำการต้านทาน เพื่อสิ้นเปลืองพลังเวทของทั้งสาม


ในระหว่างเวลานี้ ทั้งสามเคยพบเจอกับผู้บุกวังสองคนในก่อนหน้านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงปล่อยอาวุธจิตวิญญาณเพื่อรับการโจมตีวิชาขี่กระบี่ของเงาร่างชายหนุ่มโดยตรง


สุดท้ายหนึ่งในนั้นที่นำโล่จิตวิญญาณออกมาก็ถูกฟันจนแตกกระจาย ภายใต้สถานการณ์ลุกลี้ลุกลน เขานำยันต์ป้องกันออกมาหลายผืน จึงถูกเตะออกไปนอกวังด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส


อีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้โชคดีถึงขนาดนั้น อาวุธจิตวิญญาณในมือรวมถึงปราณแกร่งคุ้มร่างถูกปราณกระบี่ฟันจนขาด ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง เขาก็ถูกฟันเป็นสองส่วนก่อนถูกส่งออกนอกวังไป


หลังจากทั้งสองถูกสังหารแล้ว ก็ทิ้งไว้เพียงมุกนภาหยกที่ร่วงเต็มพื้น “ฟู่!” เงาร่างชายหนุ่มดูดมันเข้าไปทั้งหมด


เวลาต่อมา ทั้งสามอยู่ในห้องที่ไม่มีที่สิ้นสุด และพบเจอกับผู้บุกวังคนอื่นๆ อีกหลายคน และก็ไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีจากเงาร่างมายาของจินเลี่ยหยางได้ จึงพากันได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกเตะออกไปนอกวัง


มาถึงเวลาครึ่งวันสุดท้าย แสงกระบี่ที่ชายหนุ่มชุดสีทองโบกสะบัดออกมาก็ดูถี่ขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย ก็ดูเหมือนว่าจะมีแสงกระบี่สีทองพุ่งเข้ามาทุกๆ สิบอึดใจ


ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสามแอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด ก็ทำได้แค่ดูดซับหินจิตวิญญาณ กลืนกินโอสถอย่างบ้าคลั่ง และผลัดกันปล่อยอาวุธจิตวิญญาณในมือออกไปต้านทานการโจมตี


ภายใต้การโจมตีของแสงกระบี่สีทอง นอกจากมีดบินปีกตาข่ายในมือหญิงสาวชุดม่วงจะต้านทานได้เล็กน้อย และถูกเก็บกลับมาโดยที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แล้ว อาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย อย่างหนักก็ถูกฟันเป็นสองส่วน อย่างเบาก็สูญเสียซึ่งพลังจิตวิญญาณ


หลังจากที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดในมือชายหนุ่มเผ่าปีศาจต่างก็สูญเสียพลังจิตวิญญาณไปมากแล้ว เขาก็กัดฟันหยิบอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงโดยทั่วไปออกมาไม่น้อย และกระตุ้นให้มันระเบิดตัวออกมา เพื่อลดทอนอานุภาพของแสงกระบี่สีทองไว้ชั่วคราว


และหลังจากหลิ่วหมิงนำอาวุธจิตวิญญาณสองสามชิ้นสุดท้ายในแหวนย่อส่วนออกมา และทำให้มันระเบิดแล้ว เขาก็จำต้องนำถุงมือสีดำข้างที่ปีศาจหยินหยางทิ้งไว้ออกมา และอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงอื่นๆ ก็ค่อยๆ ถูกนำออกมา ส่วนกระบี่สีแดงก็สลายไปพร้อมกับแสงกระบี่สีทองในช่วงเวลาสุดท้าย


ขณะที่ในมือหลิ่วหมิงเหลือแค่ทรายทองคำร่วงและของอื่นๆ นั้น ก็ยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของปีศาจหยินหยางกับชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ราวกับเจดีย์เหล็กในก่อนหน้านั้น ขณะที่กำลังลังเลว่าจะรับมือกับการโจมตีอันรุนแรงของชายหนุ่มชุดสีทองอย่างไรนั้น อากาศรอบๆ ตัวเขาก็สั่นสะท้านเบาๆ


จากนั้นก็มีเสียงดังก้องจนหูจะหนวก เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองที่อยู่ด้านหลังกลายเป็นหมอกควันสีขาวหายไปจากที่เดิมในฉับพลัน แสงกระบี่สีทองแต่ละสายที่เข้ามาถึง ก็หายไปในพริบตา


“เวลาในการทดสอบได้หมดลงแล้ว” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็หยุดแสงหลบหลีกลง และกล่าวด้วยความดีใจ


แม้หญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างจะมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ แต่ก็ถอนหายใจยาวออกมาเช่นกัน


และหลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังเวทภายในร่างที่ใกล้จะแห้งเหือด ยังไม่ทันเอ่ยปากก็รู้สึกว่ามีแสงสีขาวเจิดจ้าปรากฏตรงหน้า ครู่ต่อมาก็ค้นพบว่าตนเองมาอยู่ในห้องโถงแปลกหน้าแห่งหนึ่ง และด้านหน้ายังมีแท่นบูชาสีเขียวสลัวๆ ตั้งโดดเดี่ยวอยู่


หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย พอกวาดสายตาดูสถานการณ์รอบด้าน ก็ค้นพบว่าชายหนุ่มครึ่งปีศาจกับหญิงสาวชุดม่วงไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้ว ตอนนี้เขาจึงสังเกตแท่นบูชาตรงหน้าอย่างละเอียด


แท่นบูชานี้สูงแค่สองสามจั้ง ม่านแสงสีฟ้าลอยอยู่ด้านบน มีชื่ออาวุธเวท โอสถจิตวิญญาณ และวัสดุจิตวิญญาณต่างๆ เขียนอยู่บนนั้น แต่ละตัวล้วนมืดมิดไร้แสง


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอปล่อยพลังจิตไปสัมผัสม่านแสง กลิ่นไอไม่คุ้นเคยก็พุ่งออกจากบนนั้น


ที่แท้แท่นบูชานี้ก็คือสิ่งที่บรรพบุรุษของวังนภาหยกสร้างขึ้นมาเพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ที่ผ่านการทดสอบ สามารถใช้มุกนภาหยกในมือแลกกับของล้ำค่าต่างๆ บนแท่นบูชา แต่การเข้าวังในแต่ละครั้ง สามารถเลือกของล้ำค่าได้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น


แถวบนสุดล้วนเป็นอาวุธเวทต่างๆ ในสมัยบรรพกาล บางอย่างแค่ได้ยินชื่อก็ทำให้หลิ่วหมิงกลืนน้ำลายแห้งๆ จนตาแดงแล้ว และพอพลังจิตสัมผัสกับอักขระที่เกี่ยวข้อง ก็จะมีการแนะนำง่ายๆ ปรากฏในสมอง


ในนั้นมีมีระฆังราชาบูรพา ที่ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล พื้นผิวเรียบง่ายและมีสีเหลืองเข้ม มีลวดลายจิตวิญญาณปกคลุมอยู่เต็มพื้นผิว เป็นสมบัติของวังมายานภาหยกนี้ อานุภาพของมันแข็งแกร่งจนยากที่จินตนาการได้


อาวุธเวทอีกชิ้นคือกระจกรวมอัคคี สูงราวๆ สามฉื่อ กรอบเป็นทองสัมฤทธิ์ มีอักขระโบราณเลี่ยมฝังอยู่ด้านบน พอมองดูก็เหมือนกระจกธรรมดาบานหนึ่ง แต่ทว่ากลับมีความสามารถในการกลืนฟ้าดินได้อย่างน่าหวาดกลัว


หลิ่วหมิงตั้งสติในทันที เขารู้ดีว่าที่ไม่มีใครเอาอาวุธเวทเหล่านี้ไปตั้งแต่สมัยบรรพกาลมาจนถึงบัดนี้ ดูท่าคงจะแลกได้ยากยิ่งนัก ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถพิจารณาได้


ดังนั้นเขาจึงหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็กวาดสายตามองลงไปด้านล่าง


แถวที่สองก็เป็นต้นแบบอาวุธเวทต่างๆ ที่มีสามสิบหกชั้นจำกัด เช่น ดาบ หอก กระบอง กระบี่ แม้กระทั่งเครื่องมือใช้สอยสมัยบรรพกาลที่ได้หายสาบสูญไปในปัจจุบัน ล้วนมีหมด


แม้จะบอกว่าไม่สามารถเทียบกับอาวุธเวทได้ แต่หากวางอยู่ในแผ่นดินจงเทียน ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้คนพากันแย่งชิง


หลังจากมองดูสิ่งของบนนั้นแล้ว หลิ่วหมิงก็กวาดสายตาดูแถวที่เหลือแบบผ่านๆ


แต่จะเห็นว่าแถวที่สามเป็นโอสถจิตวิญญาณ แร่วัสดุอื่นๆ ที่พบเจอได้น้อยมากในรอบพันปีมานี้ และอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีคุณสมบัติพิเศษและพบเจอได้น้อย


แถวที่สี่ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดกับวัสดุมีชีวิตที่ผู้ฝึกฝนในสมัยบรรพกาลใช้กัน และแถวที่ห้าลงมาคืออาวุธจิตวิญญาณกับวัสดุที่สามารถหาซื้อได้ในตลาด แถวสุดท้ายมีแม้กระทั่งหินจิตวิญญาณ


ขณะนี้ แหวนย่อส่วนบนมือหลิ่วหมิงมีมุกนภาหยกสีต่างๆ หลายร้อยเม็ด ทันใดนั้นเขาก็นำมันออกมาวางไว้ในหลุมลึกขนาดชุ่นกว่าๆ ตรงหน้าแท่นบูชา


ไม่นาน อักขระแถวสุดท้ายบนม่านแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายขึ้นมา


จากนั้นเขาก็นำมุกนภาหยกหลากสีที่เหลือวางลงไปในหลุม หลังจากมุกนภาหยกกระพริบหายไปแล้ว รายชื่อแต่ละแถวบนม่านแสงก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา


สุดท้ายพอมาถึงแถวที่สี่ มันก็หยุดชะงักลง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับสิ่งของในแถวที่สี่


ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ นำมุกสีทองของอสูรมายาระดับผลึกขั้นปลายออกมาอย่างระมัดระวัง และวางลงในหลุม


แสงสีทองกระพริบผ่านไป ในที่สุดรายชื่อบางอย่างในแถวที่สามก็สว่างขึ้นมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจระคนดีใจออกมา หลังจากรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งแล้ว ถึงใช้จิตรับรู้กวาดดูรายชื่อวัสดุอาวุธจิตวิญญาณบนแถวที่สาม


หลินจือพันชั้น สมุนไพรจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่พบเจอได้น้อยมาก พบเจอแค่ในทุ่งกว้างเปล่าเปลี่ยวเท่านั้น เป็นเพราะว่าทุ่งกว้างเปล่าเปลี่ยวจะมีพายุหยินโจมตีตลอดปี ในรอบพันปีจะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่พายุเย็นอ่อนกำลังลง ถึงสามารถเข้าไปเก็บได้ ด้วยเหตุนี้สมุนไพรชนิดนี้ต่างก็มีอายุราวๆ พันปี ซึ่งเป็นหนึ่งในวัสดุที่จำเป็นสำหรับการเตรียมระดับของเหลว


ฝุ่นแสงทมิฬ วัสดุเสริมในการหลอมอาวุธเวท หากเพิ่มวัสดุนี้ในขณะหลอมอาวุธเวทล่ะก็ สามารถทำให้อาวุธเวทโปร่งใสภายในร้อยวัน ทำให้ผู้อื่นป้องกันไม่หวาดไม่ไหว


เรือเหาะสายรุ้ง……


หลังจากเลือกดูอย่างละเอียดแล้ว ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เลือกเตาหลอมโอสถที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดมาชิ้นหนึ่ง ‘เตาหลอมลิ่วเสิน’


จากคำแนะนำ เตาหลอมนี้เป็นเตาหลอมที่ปรมาจารย์ที่มีชื่อว่า ‘ลิ่วเสินเจินเหริน’ เคยใช้มาก่อน ท่านได้เพิ่มค่ายกลชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้ โดยทั่วไปสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการปรุงโอสถได้มากถึงสองส่วน แม้กระทั่งบางครั้งยังอาจจะยกระดับความบริสุทธิ์ของโอสถได้


บวกกับอาวุธจิตวิญญาณประเภทเตาหลอมโอสถนี้ เดิมทีก็พบเจอได้ในโลกภายนอกได้น้อยมาก  ยิ่งเป็นระดับสุดยอดยิ่งเป็นสิ่งที่ยากจะพบเจอได้ ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงเลือกของสิ่งนี้


เขาใช้นิ้วแตะม่านแสงสีฟ้าเบาๆ จากนั้นเตาหลอมสีเขียวหยกเล็กๆ ที่มีสูงจั้งกว่าๆ ก็ก่อตัวขึ้นบนแท่นบูชา และลอยเข้ามาในมือของเขา


ขณะเดียวกัน แท่นบูชาตรงหน้าก็บิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหายไปอย่างไรร่องรอย


ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงสังเกตเตาหลอมเล็กๆ ในมืออย่างละเอียด


พื้นผิวเตาหลอมถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณหกสี ได้แก่แดง เหลือง เขียว ดำ ฟ้า ม่วง ทั้งยังทำให้รู้สึกถึงความบ้าระห่ำ คงเป็นลวดลายจิตวิญญาณบางอย่างในสมัยบรรพกาล


ด้านในก้นเตาหลอมมีค่ายกลเล็กๆ ขนาดฉื่อกว่าๆ มันเปล่งแสงสีทองจางๆ ออกมา


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยพลังเวทใส่


เตาหลอมหมุนตัวติ้วๆ จากนั้นก็ลดขนาดลงและหายเข้าไปในแหวนย่อส่วน


ตอนที่ 570 ผู้อาวุโสขุยมู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเพิ่งจะเก็บเตาเล็กๆ เข้าไป อากาศบริเวณรอบๆ ก็สั่นสะเทือนขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เกิดเสียงดังโครมคราม


หลังจากฟ้าหมุนติ้วๆ แล้ว ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิมอย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกัน นอกวังมายานภาหยก


มีเสียงดังโครมครามบนท้องฟ้า


พอบรรดาผู้ฝึกฝนที่ยังไม่จากไปได้ยินเสียงที่ดังเข้ามา ต่างก็แหงนหน้ามองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และจ้องมองไปยังวังนภาหยกสีเขียวกลางอากาศด้วยสีหน้าตกใจ


จะเห็นว่าเงาร่างวังมายานภาหยกกำลังปรากฏขาดๆ หายๆ เหมือนกับวันแรกที่มันปรากฏตัว ทันใดนั้นแสงสีเขียวเจิดจ้าก็แผ่ออกมารอบด้าน จากนั้นมันก็กระพริบหายไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน


ฝูงชนบังเกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง มีเสียงอุทานออกมาอย่างไม่ขาดสาย


และบริเวณที่วังมายานภาหยกหายไปนั้น ก็มีเงาร่างสามเงาโซซัดโซเซปรากฏออกมา


ซึ่งก็คือหลิ่วหมิง ชายหนุ่มเผ่าปีศาจ กับหญิงสาวชุดม่วงตระกูลโอวหยางนั่นเอง


“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว……” หญิงสาวชุดม่วงทรงตัวไว้เล็กน้อย หลังจากมองไปรอบด้านแล้วก็กล่าวด้วยความดีใจ


แม้หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มเผ่าปีศาจจะไม่พูดอะไร แต่หลังจากสังเกตดูรอบด้านอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน


จะว่าไปแล้ว ต่อให้จะเป็นผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หลังจากผ่านการสังหารทุกวันเป็นระยะเวลาติดต่อกันสามเดือน ย่อมไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย ซึ่งไม่แตกต่างจากทั้งสามเท่าไหร่


และเมื่อรวมกับข่าวลือในก่อนหน้า ทุกครั้งหลังจากที่วังมายานภาหยกนี้เปิดออกมา ในความเป็นจริงมีไม่กี่คนที่สามารถอยู่ได้นานสามเดือน และเดินออกจากวังอย่างปลอดภัย


และผู้ที่พ่ายแพ้ อย่างเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็เสียชีวิตคาที่ ดูท่ามันคงไม่ค่อยเหมือนสถานที่ทดสอบทั่วไป


แน่นอน!  เนื่องจากซากวัตถุนี้ไม่มีคนดูแล ภายใต้การน้าวนำของชั้นจำกัดพิเศษ ทำให้มียอดฝีมือจากภายนอกบุกเข้ามาอยู่ตลอด ทำให้ระดับความยากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ดีที่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ทั้งสามเองก็แลกสมบัติได้แล้ว นับว่าไม่เสียแรงที่มา


ขณะนั้นเอง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขนของทั้งสาม และเกิดเสียงดังก้องฟ้า!


เศษกระจกนภาหยกทั้งสามหลุดลอกลงมา และพุ่งไปคนละทิศทางราวกับฝนดาวตก แต่ว่าพุ่งออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ถูกแสงสีดำ เขียว และขาวม้วนตัวกลับมา


ผู้ที่ลงมือย่อมเป็นเฮ่าเยวี่ย ชายแซ่ไต้ และผู้อาวุธผมขาวที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้


ผู้ฝึกฝนที่ยังอยู่บริเวณนั้นในขณะนี้ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะกร่นด่าอยู่ในใจ


ตั้งแต่ทั้งสามมาถึงที่นี่ เศษกระจกนภาหยกเกือบครึ่งหนึ่งที่ออกมาจากวังมายานภาหยก ต่างก็ตกอยู่ในกำมือของผู้แข็งแกร่งทั้งสาม


และหลังจากทารกเฮ่าเยวี่ยกับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสองเก็บเศษกระจกนภาหยกไปแล้ว แสงหลบหลีกก็เปล่งประกายในทันที จากนั้นก็ร่อนลงตรงหน้าหลิ่วหมิงทั้งสามที่อยู่ไม่ไกล แต่สายตาของพวกเขาต่างก็ตกอยู่บนตัวของชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้น


“เผ่าปีศาจ!”


ทารกเฮ่าเยวี่ยขมวดคิ้วกล่าวออกมา


ผู้อาวุโสผมขาวที่อยู่ด้านข้าง ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมาเช่นกัน


ขณะนี้ ชายหนุ่มชุดขาวเผ่าปีศาจได้เก็บร่างปีศาจคืนไปแล้ว และกลับมามีรูปร่างเหมือนคนไม่มีผิด แต่กลิ่นไอปีศาจบนตัวยังเก็บเข้าไปไม่หมด จึงเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้แข็งแกร่งทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัย


เผ่าปีศาจกับเผ่าค้างคาวแตกต่างจากเผ่าเนตรอินทนิล ซึ่งอย่างหลังถือเป็นกิ่งก้านสาขาของมนุษย์ แต่สองอย่างแรกกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะไม่นับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ แต่ในสายตาของผู้ฝึกฝนโดยทั่วไป ย่อมไม่นับว่าเป็นพวกเดียวกัน จะต้องมีความคิดที่ไม่ดี และถูกมองเป็นศัตรูไม่น้อย


แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฮึดฮัดดังมาจากปากชายหน้าเขียว!


สายตาของเขาที่มองชายหนุ่มเผ่าปีศาจเผยแววเยือกเย็นออกมา แต่กลับไม่มีการลงมือใดๆ ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และพุ่งไปยังชายหนุ่มเผ่าปีศาจ


แสงสีเขียวรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และผสมปนเปไปด้วยเสียงที่ดังโครมคราม ดูเหมือนว่ามันจะมาถึงตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าปีศาจภายในพริบตาเดียว ความเร็วระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิงจะสามารถตอบสนองได้ทัน


ขณะที่ชายหนุ่มเผ่าปีศาจกำลังจะถูกโจมตีนั้น ก็มีเงาร่างสีเขียวเปล่งประกายท่ามกลางฝูงชน และพุ่งมาขวางอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าปีศาจอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีมือแห้งเหี่ยวขนาดใหญ่ปรากฏออกมาข้างหนึ่ง และตบแสงสีเขียวจนกระเด็นออกไป


เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ แฝงตัวอยู่บริเวณนี้ด้วย และตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย


หลังจากคนสวมชุดเขียวใส่หมวกคลุมผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ถึงเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน


คนผู้นี้ดูมีอายุไม่มาก เหมือนจะมีอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปีเท่านั้น โครงหน้าเป็นสี่เหลี่ยม แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามีความสง่างามแฝงอยู่ด้วย เพียงแต่ว่ามีเส้นผมสีเขียวหยิกโผล่ออกจากทั้งสองด้านของหมวกคลุมเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีเขียวจางๆ แลดูแปลกๆ


“ผู้อาวุโสขุยมู่จากหุบเขาปีศาจสวรรค์!” บรรดาผู้ฝึกฝนที่มุงดูอยู่ มีคนจำคนผู้นี้ได้จึงหลุดปากตะโกนออกมา


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขาไม่เคยได้ยินชื่อผู้อาวุโสขุยมู่มาก่อน แต่ชื่อของหุบเขาปีศาจสวรรค์นั้นเขาพอรู้จักอยู่บ้าง


นั่นคือมันมีสถานะแตกต่างจากสี่ยอดนิกายใหญ่อย่างนิกายยอดบริสุทธิ์และสำนักเฮ่าหรานไม่มากนัก เป็นกลุ่มอิทธิพลเผ่าปีศาจในแผ่นดินจงเทียนที่มีจำนวนน้อยจนงอนิ้วนับได้


แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา หุบเขาปีศาจสวรรค์มีศิษย์ออกไปข้างนอกไม่มากนัก ทั้งยังเคลื่อนไหวเร้นลับ น้อยมากที่คนนอกจะรู้ตัว ไม่เหมือนนิกายยอดบริสุทธิ์และนิกายอื่นๆ


“ไต้เทียนอิ้ง เจ้าลงมือกับคนของหุบเขาปีศาจสวรรค์โดยไม่มีเหตุไม่มีผล หมายความว่าอย่างไรกัน? คิดจะรังแกคนของหุบเขาปีศาจสวรรค์หรือ?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเขียวจ้องมองชายหน้าเขียว และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“ข้าก็ว่าใคร? ที่แท้ก็เป็นสหายขุยมู่ หนึ่งในกลุ่มดาวยี่สิบแปดกลุ่มของหุบเขาปีศาจสวรรค์นั่นเอง ต้องเสียมารยาทที่ไม่ได้ต้อนรับแล้ว” ชายหน้าเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่พูดถึงเรื่องที่ตนเองลงมือเลย


ชายชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าโมโหขึ้นมา ขณะที่กำลังจะลงมือนั้น ชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นมือมาห้ามปรามไว้ ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“ช่างเถอะอาจารย์อาขุยมู่ การเดินทางในครั้งนี้ พวกเราไม่ได้คิดจะต่อสู้กับมนุษย์ผู้ฝึกฝน”


ดวงตาขุยมู่เป็นประกายแวววาว หลังจากหันไปมองชายหนุ่มชุดขาวทีหนึ่งแล้ว ก็ถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


“ได้ของมาหรือยัง?”


ชายหนุ่มชุดขาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม


พอผู้อาวุโสขุยมู่ได้ยินก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง หลังจากกวาดสายตามองดูทารกเฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ แล้ว ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาพยุงตัวทั้งสองขึ้น


ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มเผ่าปีศาจก็หันไปมองหลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดม่วงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


“ข้าน้อยเซวียผานจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ สหายทั้งสองมีนามว่าอย่างไร?”


“โอวหยางเชี่ยนจากตระกูลโอวหยาง” หญิงสาวชุดม่วงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มพราย


“หลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา


“ดี! ดีมาก! หวังว่างานประตูสวรรค์ในอีกหลายสิบปีให้หลัง ข้าจะได้พบกับท่านทั้งสองอีก!” เซวียผานกล่าวอย่างทระนงองอาจ


ชายวัยกลางคนก็มองดูหลิ่วหมิงทั้งสองทีหนึ่ง หลังจากแสงสีเขียวบนตัวเปล่งประกาย เขากับเซวียผานก็กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งจากไป


เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ กลับไม่มีใครลงมือขัดขวางแต่อย่างใด


“คุณหนู พวกเราไปกันเถอะ!” เฉียวจื้ออีเหาะออกจากฝูงชนมาอยู่ข้างตัวหญิงสาวชุดม่วง และค่อยๆ กล่าวออกมา


หลังผ่านการบำรุงรักษามาสามเดือน สีหน้าซีดขาวของผู้อาวุโสแซ่เฉียว ก็กลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง แต่กลิ่นไอของเขากลับไม่มั่นคงเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าพลังสะท้อนกลับของบันไดห้าสีในวันนั้น ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย


หญิงสาวชุดม่วงพยักหน้าแล้วหันไปกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“ครั้งนี้ข้าติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วแล้ว หากภายหน้ามีโอกาสจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”


พอหลิ่วหมิงได้ยินก็อดทำตามองบนไม่ได้ ที่โอวหยางเชี่ยนพูดถึงก็คือ เรื่องที่นางตั้งใจล่อเงาร่างของจินเลี่ยหยางให้มาพัวพันกับเขา


สำหรับเรื่องนี้ หลิ่วหมิงย่อมโมโหมาโดยตลอด แต่หากเขาเป็นนางก็คงทำเช่นนี้เหมือนกัน


แน่นอน! เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า หากเขาเหมือนกับผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่พอเจอหน้าก็ถูกเงาร่างจินเลี่ยหยางเตะออกจากวังมายาล่ะก็ ตอนนี้นางคงไม่พูดกับเขาเช่นนี้


พอเห็นสีหน้าของหลิ่วหมิง หญิงสาวชุดม่วงก็หัวเราะเบาๆ และจากไปพร้อมกับผู้อาวุโสแซ่เฉียวอย่างรวดเร็ว


“จุ๊ๆ! สหายเฮ่าเยวี่ย เจ้าเด็กนี่ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะยืนหยัดได้จนถึงตอนท้าย หากไม่มีเหตุที่คาดไม่ถึงล่ะก็ คงมีโอกาสกลายเป็นศิษย์สายในของนิกายท่านไม่น้อย” ผู้อาวุโสผมขาวจากหอการค้าเชียนเหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่กลับเอามือลูบหนวดแล้วกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ


“สหายหร่วนชมเกินไปแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วยังต้องฝึกฝนอีกเล็กน้อย” แม้ว่าทารกเฮ่าเยวี่ยจะรู้สึกประหลาดใจที่เห็นหลิ่วหมิงอีกครั้ง แต่กลับกล่าวอย่างนอบน้อมด้วยสีหน้าสงบ


หลังจากทั้งสองทักทายปราศรัยไปสองประโยค ผู้อาวุโสผมขาวก็กลายเป็นแสงหลบหลีกแล้วพุ่งไปทางตลาดฉางหยาง แต่ว่าก่อนไป ก็หันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่งด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง


ชายหน้าเขียวแห่งสำนักเฮ่าหรานก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานมากนัก ทันใดนั้น เขาก็พาศิษย์แซ่ซังที่มีสีหน้าเศร้าหมองกับบัณฑิตวัยกลางคนและคนอื่นๆ จากไปโดยไม่ร่ำลา


ซาทงเทียนที่อยู่ด้านข้างเฮ่าเยวี่ย ก็มองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าอึมครึม ประจักษ์ชัดว่ายังจดจำเรื่องที่หลิ่วหมิงกับปีศาจเลี้ยงสองตัวโจมตีเขาจนต้องออกจากวังมายาอย่างลึกซึ้ง


จั้งเสวียนกลับยิ้มให้หลิ่วหมิงอย่างเป็นมิตร


หลังจากผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่มุงดูอยู่ เห็นว่าวังมายานภาหยกหายไปแล้ว ก็พากันแยกย้ายจากไปเป็นกลุ่มๆ บ้างก็จากไปเพียงคนเดียว


พริบตาเดียวก็เหลือแค่เฮ่าเยวี่ยกับศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ไม่กี่คนที่ยังอยู่ในสถานที่แห่งนี้


“ครั้งนี้ทำได้ไม่เลว หวังว่างานประลองใหญ่ในอีกไม่นาน จะมีการแสดงออกที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม” เฮ่าเยวี่ยจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าแปลกๆ สองสามที หลังจากพยักหน้าและทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยคแล้ว ก็หมุนตัวเหาะจากไป


“ครั้งหน้าต่อให้จะมีอสูรจิตวิญญาณคอยช่วย ข้าก็จะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้” ซาทงเทียนจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น จากนั้นแสงกระบี่สีเขียวก็เปล่งประกายตรงใต้เท้า และเขาก็พุ่งตามเฮ่าเยวี่ยไป


หลิ่วหมิงได้ยินกลับยิ้มบางๆ อย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น


“พี่หลิ่ว คิดไม่ถึงว่าตั้งแต่จากกันในแดนอบอ้าว จะได้มาพบเจอกันในสถานที่แห่งนี้ ที่แท้พี่หลิ่วก็มีเศษกระจกนภาหยกชิ้นหนึ่งเช่นกัน” เมื่อเฮ่าเยวี่ยกับซาทงเทียนจากไปไกลแล้ว จั้งเสวียนก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม


“พี่จั้งไม่รู้อะไร ข้ากำลังทำภารกิจนิกายอยู่ในตลาดฉางหยาง และบังเอิญโชคดีถึงได้เศษกระจกนภาหยกมา ถึงเข้าวังมายานี้ได้” หลิ่วหมิงก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


ตอนที่ 571 ท้าสู้

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนไม่นับว่ามีความสนิทสนมกันมาก แต่เพราะว่าเคยร่วมมือต่อสู้กับศัตรูมาครั้งหนึ่ง ย่อมไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าแต่อย่างใด


หลังจากทั้งสองสนทนากันสองสามประโยคแล้ว จั้งเสวียนก็ลาจากไป


หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปทางตลาดฉางหยาง


……


ครึ่งเดือนกว่าต่อมา ศิษย์พี่ซูที่ประจำการหอร้อยหลอมแต่เดิมก็กลับมาก่อนกำหนด หลังจากหลิ่วหมิงส่งมอบช่วงต่อให้เขาแล้ว ก็ไปที่ร้านค้าของเผ่าค้างคาวอีกครั้ง เขาใช้โอสถผลึกเย็นแลกผลผลึกเขียวมาจำนวนมาก จากนั้นก็ออกเดินทางกลับนิกายยอดบริสุทธิ์


สิบกว่าวันต่อมา หลิ่วหมิงเดินออกจากค่ายกลส่งตัวในวิหารหินที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาหมื่นวิญญาณ หลังจากมองดูทิวทัศน์ที่คุ้นเคยแล้ว ก็เหาะจากไปด้วยรอยยิ้ม


ไม่นานเขาก็ไปที่หอลี้ลับอีกครั้ง หลังจากส่งมอบภารกิจแล้ว ก็ขี่เมฆมายังหอความเป็นความตาย เพื่อส่งมอบศีรษะปีศาจหยินหยาง


แม้ว่าใบหน้าของศีรษะใบนี้จะกลับมาเป็นใบหน้าของชายหนุ่มแล้ว แต่ไม่รู้ว่าผู้ดำเนินการในหอความเป็นความตายใช้เคล็ดวิชาอะไร ถึงทำให้ศีรษะของชายหนุ่มกลับมาเป็นใบหน้าของปีศาจหยินหยางอีกครั้ง


หลังจากผู้ดำเนินการยืนยันสถานะที่แท้จริงของศีรษะใบนี้ได้แล้ว ย่อมเผยสีหน้าตกใจออกมา และมอบรางวัลเป็นแต้มคุณูปการให้หลิ่วหมิงสามหมื่นแต้ม


……


“พี่หลิ่ว ไม่เจอกันนานเลย!”


พอหลิ่วหมิงกลับถึงอากาศบริเวณสาขาห่านฟ้า และกำลังจะกลับไปยังยอดเขาที่เป็นถ้ำที่พักของตนเองนั้น กลับพบเจอกับผู้ที่เหาะมาตรงหน้า


ซึ่งก็คือเยี่ยนหมิงนั่นเอง


“ที่แท้ก็เป็นพี่เยี่ยนนั่นเอง ทำไมถึงไม่เห็นศิษย์น้องเสวี่ยอวิ๋นล่ะ?” หลิ่วหมิงย่อมหยุดเหาะ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“พี่หลิ่วพูดอะไรกัน ศิษย์น้องเสวี่ยกำลังฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พักของตนเอง ข้าได้ยินมาว่าหนึ่งปีกว่าๆ มานี้พี่หลิ่วไปทำภารกิจด้านนอก แม้แต่งานประลองเล็กก็ไม่เข้าร่วม” เยี่ยนหมิงได้ยินก็กล่าวด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ


“ก่อนหน้านั้นข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการเล็กน้อย มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


เวลาครึ่งปีกว่าๆ นี้ เขาอยู่ในตลาดฉางหยางมาโดยตลอด นับๆ เวลาดูแล้ว งานประลองเล็กได้สิ้นสุดลงเมื่อไม่นานมานี้


“ใช่สิ! พี่หลิ่วอาจจะยังไม่รู้ ถ้ำที่พักของท่านมีปราณจิตวิญญาณหนาแน่น เดิมทีก็เป็นหนึ่งในรางวัลของงานประลองเล็ก หลังงานประลองเล็กเสร็จสิ้น จึงได้มอบให้กับศิษย์พี่หลัวเกิ่งที่ได้อันดับที่ห้าแล้ว” เยี่ยนหมิงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นในฉับพลัน


หลิ่วหมิงได้ยินก็อึ้งไปทันที ตอนที่เข้ามาในนิกาย ศิษย์ที่พาเขามาเลือกถ้ำที่พัก ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้จริงๆ


แม้ตอนนี้เขาจะมีโอสถจิตวิญญาณต่างๆ ที่ช่วยในการฝึกฝน แต่ปราณจิตวิญญาณภายในถ้ำแห่งนี้ ยังคงมีประโยชน์ต่อเขามาก เขาย่อมไม่ละทิ้งไปเช่นนี้อย่างแน่นอน


ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็สอบถามเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็เอามือกอดอกแล้วเหาะจากไป


เยี่ยนหมิงจ้องมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงที่จากไปไกลๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ในที่สุดก็พูดพึมพำออกมา


“ไม่เจอกันแค่ระยะเวลาสั้นๆ กลิ่นไอของศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้กลับลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้ หลัวเกิ่งผู้นั้นก็เป็นผู้ที่เก่งกาจผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองใครจะเหนือกว่าใครหนึ่งขั้น?”


หลังจากพูดจบ เยี่ยนหมิงก็รีบเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว


……


ขณะที่หลิ่วหมิงมาถึงหน้าถ้ำที่พักของตัวเองนั้น ประตูหินดันปิดสนิท แต่ดูเหมือนว่าชั้นจำกัดบนนั้นไม่ได้ถูกเปิดออกมา


หลิ่วหมิงพักอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาหลายปี และก็คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มาก พอสังเกตดูเล็กน้อยก็รู้ว่ามีคนอยู่ด้านใน


“ปังๆ……”


หลิ่วหมิงใช้นิ้วเคาะประตูหินเบาๆ


ไม่นานประตูหินก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลเดินออกมาจากในนั้น หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ขมวดคิ้วถามออกไป


“เจ้าเป็นใคร? มีเรื่องอะไร?”


เห็นได้ชัดว่าเขามีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ถูกรบกวน


“ข้าน้อยหลิ่วหมิง ท่านคงเคยได้ยินชื่อข้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสงบ


“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเจ้า ผู้ที่ครอบครองถ้ำแห่งนี้ในก่อนหน้านั้น!” หลัวเกิ่งรู้สึกอึ้งในตอนแรก แต่ก็หรี่ตามองออกไปอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงสุภาพกลายเป็นเย็นชาอย่างหาที่เปรียบมิได้


“ในเมื่อศิษย์พี่รู้จักข้า ก็คงจะเดาได้ว่าข้ามาเพราะเหตุใด ข้าอยู่ที่ถ้ำนี้มาหลายปี และคุ้นเคยกับมันแล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะยอมคืนถ้ำให้กับข้าหรือไม่ ข้ายินดีจ่ายสามแสนหินจิตวิญญาณเป็นค่าชดเชย” หลิ่วหมิงถามอย่างราบเรียบ


“ฮึ! สำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวแล้ว สามแสนหินจิตวิญญาณนับว่าเป็นทรัพยากรจำนวนมาก เพียงพอที่จะซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่ไม่เลวมาได้หนึ่งชิ้น แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ขาดแคลนหินจิตวิญญาณ ข้าพอใจกับถ้ำนี้มากไม่คิดจะมอบให้กับใคร” หลัวเกิ่งได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา และปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ลังเล


“ห้าแสนหินจิตวิญญาณล่ะ?” หลิ่วหมิงยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน


“ฮึ! ศิษย์น้องหลิ่วมีสมบัติมากมายจริงๆ แต่ข้าแนะนำให้เจ้าไปหาถ้ำอื่นแต่โดยเร็วเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวดึกแล้วจะไม่มีที่อยู่” หลัวเกิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไป


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ขอเชิญพี่หลัวไปพบกันที่ลานประลองเถอะ!” หลิ่วหมองเลิกคิ้วแล้วกล่าวออกมา


“เจ้าพูดอะไร!” หลัวเกิ่งได้ยินก็ชะงักฝีเท้า และหันกลับมาในทันที สายตาดูเคร่งขรึมอย่างถึงขีดสุด


“ตามกฎของศิษย์สายนอก ศิษย์แต่ละคนที่ไม่ได้เข้าร่วมประลองเล็กเพราะติดภารกิจของนิกาย ภายในระยะเวลาครึ่งปีก็มีสิทธิ์ท้าสู้ศิษย์ที่ติดสิบอันดับแรกในการประลองเล็กได้หนึ่งครั้ง หากว่าชนะก็จะได้รางวัลที่เขาได้ในงานประลองเล็ก ช่างบังเอิญเสียจริง! ข้าเหมาะสมกับเงื่อนไขนี้พอดี และอยากจะท้าสู้พี่หลัว หากข้าชนะ ถ้ำแห่งนี้ย่อมตกเป็นของข้าแล้ว!” น้ำเสียงของหลิ่วหมิงก็เยือกเย็นลง


แม้ว่าคนตรงหน้าก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน แต่หลังจากเขาผ่านอุปสรรคต่างๆ ในเมืองฉางหยาง เมื่อเจอกับผู้ฝึกฝนเดียวกันในขณะนี้ ย่อมขี้เกียจจะพูดมากแล้ว


“เฮ่อๆ! ดูท่าชื่อเสียงของข้าหลัวเกิ่งคงยังไม่ดังพอในสาขาสินะ! เจ้าเด็กที่เพิ่งเข้ามาไม่กี่ปี ก็กล้าท้าสู้กับข้าแล้ว ดีมาก! ข้ารับปากแล้ว” หลัวเกิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็ตกปากรับคำออกไป


ชื่อของหลิ่วหมิง แต่ก่อนก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้ยิน ว่ากันว่าพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เขากลับเชื่อมั่นในพลังของตนเองมากกว่า


หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า ทันใดนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นตรงใต้เท้า และพาเขาเหาะไปยังหอใหญ่ของสาขาห่านฟ้า


หลัวเกิ่งก็กลายร่างเป็นลูกแสงสีขาว และพุ่งตามติดไป


หนึ่งเค่อต่อมา ทั้งสองก็มาปรากฏตัวบนลานประลองบริเวณหอใหญ่ของสาขาห่านฟ้า


ลานประลองนี้มีขนาดร้อยหมู่ มันเต็มไปด้วยแท่นประลองขนาดต่างๆ สิบกว่าแห่ง ปกติจะใช้ในการแลกมือของศิษย์สายนอก


มุมแท่นประลองทั้งสี่มีเสาหินเรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ มีอักขระสีต่างๆ สลักเต็มอยู่บนนั้น


ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ในลานมีศิษย์สาขาห่านฟ้าอยู่ไม่น้อย


ไม่นาน ทั้งสองก็มารออยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว ภายใต้การดูแลของผู้ดำเนินการระดับผลึกผู้หนึ่ง ทั้งสองก็ยืนเผชิญหน้ากันอยู่บนแท่นประลอง


ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นสังเกตเห็นสถานการณ์ทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว และพากันมามุงดู


“เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่หลัวเกิ่งที่ได้อันดับที่ห้าในงานประลองเล็กหรอกหรือ?”


“หรือว่าศิษย์พี่หลัวจะต่อสู้กับใครที่นี่? คู่ต่อสู้เป็นใคร?”


“ไม่เคยเห็นศิษย์ชุดเขียวผู้นั้นมาก่อน เป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่หรือ? แต่ว่ากล้าต่อสู้กับศิษย์พี่หลัวเช่นนี้ ช่างใจกล้าไม่เบา”


ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ก็มีศิษย์สาขาห่านฟ้ามามุงดูหลายร้อยคนแล้ว และมีบางคนที่ได้รับข่าวก็ตั้งใจมาดูโดยเฉพาะ ในขณะนี้สายตาทุกดวงล้วนจับจ้องอยู่บนตัวหลิ่วหมิง


หลัวเกิ่งนับว่าเป็นอันดับหนึ่งในสาขาห่านฟ้า และเนื่องจากหลิ่วหมิงเข้าร่วมทดสอบในแดนอบอ้าวเพียงครั้งเดียว ศิษย์เก่าเหล่านี้ย่อมรู้สึกแปลกหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งต่างก็พากันแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา


“ศิษย์หลิ่วหมิง เป็นเพราะออกไปทำภารกิจนอกนิกายจึงไม่ได้เข้าร่วมงานประลองเล็กในครั้งนี้ วันนี้จึงขอท้าสู้กับหลัวเกิ่งที่ถูกจัดอยู่อันดับที่ห้า ผู้ชนะจะได้รางวัลของงานประลองเล็ก” ผู้ดำเนินการระดับผลึกเป็นชายหนวดยาวที่มีอายุสี่สิบกว่าปี พอเหาะมาบนอากาศเหนือแท่นประลองแล้ว ก็ประกาศสาเหตุของการประลองในครั้งนี้


พอคำพูดนี้ประกาศออกไป ศิษย์ที่ล้อมรอบแท่นประลองก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา คนจำนวนไม่น้อยชี้มาที่หลิ่วหมิง และก็มีคนมองดูหลัวเกิ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ


ดูเหมือนหลัวเกิ่งจะรับรู้ได้ สีหน้าของเขาจึงดูไม่ได้ขึ้นมา


“แม้พวกเจ้าจะรู้กฎกันอยู่แล้ว แต่ข้ายังต้องพูดอีกรอบ การประลองในครั้งนี้ไม่ใช่การประลองตัดสินความเป็นความตาย ผู้ที่ยอมแพ้หรือผู้ที่ออกไปจากแท่นประลองจะถือว่าเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ห้ามทำร้ายฝ่ายตรงข้ามจนได้รับบาดเจ็บถึงแก่ชีวิต ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตามกฎของนิกาย อีกอย่าง หากข้ารู้สึกว่าการประลองได้แสดงผลลัพธ์แล้ว ก็จะใช้อำนาจให้หยุดการประลอง” ชายหนวดยาวจ้องมองคนทั้งสอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นเล็กน้อย


หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า ทางด้านหลัวเกิ่งก็ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าดุร้าย


ผู้ดำเนินการระดับผลึกเห็นเช่นนี้ ก็ไม่พูดอะไรมากอีก จากนั้นก็ปล่อยแสงสีเขียวไปยังมุมทั้งสี่


อักขระบนเสาหินทั้งสี่มุมเปล่งประกายแวววาว ม่านแสงสีเขียวเข้มปรากฏออกมา และปกคลุมแท่นประลองไว้


“เริ่มการประลองได้!” หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ชายหนวดยาวก็กำชับออกไป


พอหลัวเกิ่งพลิกมือข้างหนึ่ง กระบี่ยาวสีเทาสลัวๆ ก็เปล่งประกายออกมาบนเอว และหมุนวนรอบตัวเขา


กระบี่นี้ยาวสามฉื่อซึ่งไม่นับว่าเป็นกระบี่บินแล้ว สามารถจัดอยู่ในกระบี่ขนาดใหญ่


“กระบี่เล่มนี้คืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ศิษย์พี่หลัวใช้ออกหน้าออกตาในงานประลองเล็ก คงจะเป็นกระบี่ลิ่วฮวงสินะ!” ด้านล่างแท่นประลอง มีคนร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ


พอหลัวเกิ่งชี้นิ้วออกไป กระบี่ยาวสามฉื่อก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเทา และพุ่งใส่หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา เขากำมือทั้งสองในทันที ทันใดนั้น ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ภายใต้การส่งเสียงคำราม เขาก็ทุบใส่แสงกระบี่ในทันที


“เพล้ง!”


หลังจากโดนไปหนึ่งหมัด แสงกระบี่สีเทาก็พุ่งกลับไปด้วยแสงที่มืดลง


“เอ๊ะ!”


ผู้ดำเนินการที่อยู่กลางอากาศเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และจ้องมองไอดำบนตัวหลิ่วหมิง ร่องรอยแห่งความกระจ่างปรากฏในแววตาของเขา


พอหลัวเกิ่งเห็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของตนเองถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีกระเด็นในหมัดเดียว เขาก็มีสีหน้าตกใจมาก จากนั้นดวงตาของเขาก็ดูเฉียบขาดขึ้นมา และชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาไปด้วย


แสงกระบี่สีเทาหมุนวนหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ฟันใส่หลิ่วหมิงอีกครั้ง


มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”


ภายใต้การเปล่งประกายของแสงกระบี่สีเทา คิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นไหมกระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


ตอนที่ 572 ราวกับหักไม้แห้งผุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างของหลิ่วหมิงสั่นสะท้าน ไอดำรอบตัวก็หนาแน่นขึ้นมาทันที ระหว่างที่ไอดำพวยพุ่งนั้น มังกรหมอกสีดำสองตัวกับพยัคฆ์หมอกหนึ่งตัวก็ก่อตัวขึ้นมา และร่างของเขาก็จมอยู่ในนั้น


เกิดเสียง “ฟิ้วๆ!” ดังติดต่อกัน


พอไหมกระบี่สีเทาแทงเข้าไปภายในไอดำ มันก็ถูกเงาร่างมังกรพยัคฆ์รัดพันไว้ และกลืนลงไป


หลัวเกิ่งเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก หลังจากตะคอกด้วยความโมโหแล้ว มือทั้งสองก็ปล่อยพลังออกไปติดต่อกันสิบกว่าสาย


แสงกระบี่สีเทาขยายตามแรงลมจนมีขนาดใหญ่หลายเท่า และกลายเป็นเงาร่างปีศาจยักษ์ ดวงตาทั้งคู่ประกายด้วยความดุร้าย และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว


“ปราณกระบี่แปลงร่าง?”


ท่ามกลางไอดำที่อยู่ด้านล่าง หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน นี่นับได้ว่าเป็นวิชาขี่กระบี่ขั้นสุดยอด เขาเคยเห็นในขณะที่ซาทงเทียนแสดงออกมาเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นวิชานี้ด้วย


“ไม่ ไม่ถูกต้อง!”


ภายใต้การหรี่ตามองของหลิ่วหมิง ก็ค้นพบเส้นสนกลในทันที


มันไม่ใช่ปราณกระบี่แปลงอย่างแต่อย่างใด แม้ว่ามันจะคล้ายมาก แต่บนตัวหมาป่ายักษ์กลับไม่มีไอกระบี่ที่ดุเดือดเป็นพิเศษของวิชาขี่กระบี่


แสงกระบี่ในก่อนหน้านั้นก็เช่นกัน เพียงแค่ดูคล้ายปราณกระบี่เท่านั้น ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะถูกเขาโจมตีกลับได้อย่างง่ายดาย


ดูท่าหลัวเกิ่งก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่อย่างใด คงเสริมความสามารถที่คล้ายเคียงกับการฝึกกระบี่เท่านั้น


เงาร่างหมาป่ายักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ มันขยับตัวแค่ทีเดียวก็มาอยู่ห่างจากเหนือศีรษะของหลิ่วหมิงไม่ถึงจั้งกว่าๆ และอ้าปากงับลงมาอย่างโหดเหี้ยม


แววตาหลัวเกิ่งเผยแววเยาะเย้ยออกมา ราวกับเห็นภาพหลิ่วหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และคุกเข่าร้องขอชีวิตอยู่บนพื้น


หลิ่วหมิงกลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นิ้วทั้งห้ากางออกอีกครั้ง ไอดำมารวมตัวอยู่เหนือฝ่ามือ พอกำนิ้วทั้งห้า ก็คว้าเอาคอของหมาป่ายักษ์ไว้ได้


นิ้วทั้งห้าราวกับตะขอ ไม่ว่าหมาป่ายักษ์จะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดรอดได้


หลัวเกิ่งเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกตกใจมาก เขารีบทำท่ามืออย่างสุดความสามารถ เพื่อกระตุ้นเงาร่างหมาป่ายักษ์ให้หลุดรอดออกมา


แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงปล่อยพลังออกไปด้วยมือข้างหนึ่งแล้ว ส่วนอีกข้างก็กำไปในอากาศอย่างโหดเหี้ยม


หลังจากเงาร่างปีศาจยักษ์ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเวทนา ร่างของมันก็ถูกฝ่ามือยักษ์สีดำบีบจนแตกกระจาย และคืนร่างกลับมาเป็นกระบี่ยาวสีเทาเช่นเดิม มันบิดตัวไปมาท่ามกลางไอดำอยู่ไม่หยุด


ภายใต้ความตกใจ หลัวเกิ่งทำท่ามือติดต่อกันอยู่ไม่หยุด เพื่อกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณให้พ้นจากพันธนาการ


“ผนึก!”


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดออกมา มือทั้งคู่ต่างก็ปล่อยพลังแปลกประหลาดออกไป หลังจากเอามือทั้งสองถูกันแล้ว ก็ชี้ขึ้นบนฟ้า


ทันใดนั้น อักขระสีดำจำนวนมากก็พุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา และห่อหุ้มกระบี่ยักษ์สีเทาไว้ หลังจากประสานสลับกันไปมา ก็กลายเป็นค่ายกลลี้ลับหลังหนึ่ง


ครู่ต่อมา อักขระสีดำก็กระพริบหายไปเข้าในผิวกระบี่


“พรึ่บ!” ไม่นานแสงบนตัวกระบี่ยาวสีเทาก็สลายไปจนหมดสิ้น และตกลงบนแท่นประลองโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีก


“ปิดผนึก?” ผู้ดำเนินการระดับผลึกที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำด้วยความประหลาดใจ


นี่คือวิธีการคุมขังอาวุธจิตวิญญาณชั่วคราว ซึ่งหลิ่วหมิงเรียนรู้มาจากการหลอมอาวุธจิตวิญญาณในก่อนหน้านั้น โดยทั่วไปแล้วจะใช้ในขณะที่ตนเองมีพลังเวทและพลังจิตเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม และเมื่อตอนที่ได้เปรียบถึงจะแสดงออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน


ขณะนี้บรรดาศิษย์ที่ล้อมดูอยู่ใต้แท่นประลอง ต่างก็ส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจอยู่ไม่หยุด


ในใจหลัวเกิ่งรู้สึกเย็นยะเยือก และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


หลัวเกิ่งเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาก ยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ เงาร่างมนุษย์สีดำก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย จากนั้นกำปั้นที่มีไอดำปกคลุมอยู่หนาแน่น ก็พุ่งเข้ามาถึง


กำปั้นยังเข้าไม่ทันถึงตัว พลังไร้รูปบางอย่างก็ปะทะเข้ามาตรงหน้า


หลัวเกิ่งมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา แสงสีเทาเปล่งประกายบนกระบี่สีเทาในมือ ภายใต้การกระตุ้นของเขา โล่กลมๆ สีขาวเงินที่มีอักขระลี้ลับประทับอยู่ ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า และต้านทานอยู่ตรงหน้า


“ตู้ม!” มือข้างที่ถือโล่ของหลัวเกิ่งสั่นสะท้านอยู่คู่หนึ่ง และร่นถอยออกไปหลายจั้งถึงพอที่จะตั้งหลักได้


“เจ้า……”


พอเห็นหลิ่วหมิงออกจากไอดำอันพวยพุ่ง หลัวเกิ่งก็เผยสีหน้าหวาดผวาออกมา พอก้มหน้ามองดูโล่ในมือ สีหน้าของเขาก็ซีดขึ้นมาอีกครั้ง


เมื่อเห็นร่างของหลิ่วหมิงพร่าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็รีบพ่นโลหิตลงบนโล่อย่างรวดเร็ว


ภายใต้การกระตุ้นของพลังเวท แสงสีเงินก็เปล่งประกายบนโล่สีเงินทันที ขณะเดียวกัน หลัวเกิ่งก็แผ่ปราณแกร่งคุ้มร่างที่ส่องแสงเจิดจ้าออกมา ทั้งสองผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นม่านป้องกันโปร่งแสงกลมๆ ลูกหนึ่ง และห่อหุ้มร่างของหลัวเกิ่งไว้


หลังจากหลัวเกิ่งหลบอยู่ในม่านป้องกันที่คุ้มกันอย่างแน่นหนาแล้ว สีหน้าเขาถึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย


ขณะนี้ พอแสงสีดำเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าม่านป้องกันที่โปร่งแสง ไอดำสั่นสะเทือนในทันที ทันใดนั้นมันก็หมุนวนอยู่บนกำปั้น และก่อตัวเป็นหัวพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่ง


หลังจากมีเสียงแผดร้องของพยัคฆ์ดังออกมา เงากำปั้นสีดำก็กระพริบออกไป


“ตู้ม!” มีรอยกำปั้นลึกๆ ปรากฏบนม่านโปร่งแสงกลมๆ


“ไม่ เป็นไปไม่ได้……” หลัวเกิ่งคำรามอย่างเหลือเชื่อ


ขณะนี้กำปั้นลูกที่สองก็โจมตีลงบนจุดเดิม


ม่านโปร่งแสงสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง และเกิดรอยร้าวเป็นรูปใยแมงมุม


ท่ามกลางสายตาสิ้นหวังของหลัวเกิ่ง กำปั้นลูกที่สามก็พุ่งเข้ามาในฉับพลัน ม่านโปร่งแสงกลมๆ แตกกระจายออกมา


ขณะเดียวกัน เขาก็อ้าปากพ่นโลหิตออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว


ปราณแกร่งคุ้มร่างถูกโจมตีอย่างรุนแรง ภายใต้การสะท้อนกลับของพลังเวท ตัวเขาเองย่อมได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก ทันใดนั้น ร่างของเขาก็อ่อนระโหยโรยแรงลง


บังเกิดคลื่นสั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ!


มือสีดำขนาดใหญ่ปรากฏเหนือศีรษะของหลัวเกิ่งราวกับปีศาจ และตบลงมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


ร่างของหลัวเกิ่งขยับเล็กน้อย ดูเหมือนเขาคิดที่จะหลบหลีก แต่เนื่องจากก่อนหน้านั้นได้รับบาดเจ็บไม่น้อย พลังเวทภายในร่างก็เคลื่อนไหวติดขัด ไหนเลยจะสามารถหลบหลีกได้พ้น


“ตู้ม!” มือขนาดใหญ่โจมตีใส่ไหล่ของหลัวเกิ่ง ทำให้เขากระเด็นออกไปด้านหลังราวกับกระสอบทราย จากนั้นก็ปะทะใส่ม่านแสงบนแท่นประลอง และค่อยๆ ไถลลงมา ตอนนี้เขาได้หมดสติไปแล้ว


“การต่อสู้ในครั้งนี้ หลิ่วหมิงชนะ!” ชายหนวดยาวจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นก็มาปรากฏตัวในม่านแสง และรีบประกาศผลออกมา


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หลัวจะแพ้แล้ว……” ศิษย์สาขาห่านฟ้าที่อยู่ด้านล่างต่างก็มองหน้ากัน ดูเหมือนว่ายอมรับผลการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ได้


หลิ่วหมิงเก็บไอดำบนตัว หลังจากคารวะผู้ดำเนินการแล้ว ก็เดินออกไปจากลานประลองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเหาะไปยังถ้ำที่พัก


พอมาถึงหน้าประตูถ้ำ ชายหนุ่มผอมแห้งที่มีใบหน้างดงามก็รออยู่ที่นั่นแล้ว พอมองดูดีๆ กลับเป็นอวี๋ซิ่นที่เคยพบเจอกับหลิ่วหมิงในตอนจัดสรรที่พักให้ในปีนั้น


“ยินดีกับชัยชนะของพี่หลิ่วที่สามารถชิงถ้ำที่พักกลับมาได้!” อวี๋ซิ่นเงยหน้ามองหลิ่งหมิง และทักทายด้วยรอยยิ้ม


“ข่าวของพี่อวี๋ช่างไวจริงๆ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“พอข้าทราบข่าวว่าพี่หลิ่วชนะ ก็รีบมาช่วยจัดการถ้ำที่พักให้เหมาะสม” อวี๋ซิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่อวี๋แล้ว” ขณะที่พูดหลิ่วหมิงก็นำป้ายถ้ำที่พักบนเอวไปให้ฝ่ายตรงข้ามประทับลวดลายจิตวิญญาณสองสามเส้น จากนั้นก็โบกไปทางประตู ทันใดนั้นมันก็ค่อยๆ เปิดออกมา


“พี่หลิ่วไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อถ้ำที่พักไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ข้าต้องขอลาก่อน” อวี๋ซิ่นประสานมือคารวะหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ลาจากไป


เวลาที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่งวัน ข่าวหลัวเกิ่งที่ได้อันดับห้าในการประลองเล็ก ถูกหลิ่วหมิงที่เป็นศิษย์สายนอกโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย ก็ถูกเล่าลือออกไปอย่างรวดเร็วจนเกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง


ผ่านไปไม่นาน ข่าวใหญ่อีกข่าวก็เผยแพร่ในบรรดาศิษย์สายนอกอย่างรวดเร็ว


ปีศาจหยินหยางที่มีชื่ออันดับสิบสามในบัญชีความเป็นความตาย ก็ถูกศิษย์สายนอกที่ชื่อหลิ่วหมิงเป็นคนสังหาร ว่ากันว่ามีคนไปยืนยันข่าวนี้ที่หอความเป็นความตายมาแล้ว ทันใดนั้นก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนหนึ่ง


……


ภายในวิหารหลักของยอดเขาเมฆาเขียว ทารกเฮ่าเยวี่ยกับชายแซ่หลูกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่


“อ๋อ! พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าช่วงนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ตลาดฉางหยางจำนวนไม่น้อย” ชายแซ่หลูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักถามอย่างราบเรียบ


“เป็นเช่นนี้จริงๆ นอกจากผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถไม่ทราบชื่อผู้นั้นแล้ว ปีศาจหยินหยางก็ปรากฏตัวบริเวณตลาดฉางหยาง ทั้งยังลอบโจมตีศิษย์นิกายเราไปหลายคน แต่ว่าโชคดีที่หลิ่วหมิงผู้นั้นสังหารเขาอย่างราบรื่น มิเช่นนั้นชื่อเสียงของเราในตลาดฉางหยาง คงจะได้รับผลกระทบไม่น้อย” ทารกเฮ่าเยวี่ยถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา


ชายซาหลูได้ยินก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรออกมา


“หลิ่วหมิงผู้นี้ ไม่กี่ปีก่อนยังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง ตอนนี้ฝึกฝนจนถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ทั้งยังสามารถสังหารปีศาจหยินหยางได้ และยืนหยัดในวังมายานภาหยกจนถึงวันสุดท้าย ดูเหมือนว่าพลังที่แท้จริงจะเหนือกว่าซาทงเทียนด้วยซ้ำ หากเพิ่มการบ่มเพาะล่ะก็ บางทีอาจจะ……” ทารกเฮ่าเยวี่ยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


“การต่อสู้จริงของหลิ่วหมิงผู้นั้นแสดงออกมาได้ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ อีกอย่างการฝึกฝนรุดหน้าเร็วเช่นนี้ น่าจะใช้วิธีการกระหายความสำเร็จบางอย่าง เช่นนี้แล้วเส้นทางการฝึกฝนในภายหน้าก็เหมือนถูกตัดขาด มีโอกาสเข้าสู่ระดับผลึกไม่ถึงหนึ่งในหมื่น ไม่คุ้มค่าแก่การบ่มเพาะสักเท่าไหร่ อีกไม่นานก็เป็นการประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกแล้ว พวกเราเลือกศิษย์ที่มีพลังไม่เลวจากในนั้นมาหนึ่งถึงสองคน พลังศักยภาพของพวกเขาจะต้องไม่ใช่สิ่งที่หลิ่วหมิงสามารถเปรียบเทียบได้” ชายแซ่หลูพยักหน้าโดยไม่ถือว่าจะเป็นเช่นนั้น


ได้ยินชายแซ่หลูกล่าวเช่นนี้ เฮ่าเยวี่ยก็พยักหน้า และไม่พูดอะไรออกมาอีก


……


ภายในวิหารใหญ่แห่งหนึ่งของหุบเขาเลื่อนลอย ศิษย์สายในของหุบเขาเลื่อนลอยจำนวนสิบกว่าคน กำลังนั่งฟังยายเฒ่าผมขาวอธิบายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าอธิบายเคล็ดวิชาอย่างตั้งอกตั้งใจ


หลังจากยายเฒ่าอธิบายอยู่พักหนึ่ง ก็หยุดลง และให้ศิษย์ทั้งหลายทำความเข้าใจกันเอง


เจียหลานนั่งอยู่บนเบาะที่อยู่ด้านหลัง ม้วนหนังสือบนมือมีอักขระสลับซับซ้อนบันทึกอยู่เต็มไปหมด มืออีกข้างก็เท้าคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ตอนที่ 573 สำเร็จเป็นอาวุธเวท

โดย

Ink Stone_Fantasy

“…… ได้ยินข่าวหรือยัง ผู้สังหารปีศาจหยินหยางเป็นศิษย์สายนอกผู้หนึ่งที่ชื่อหลิ่วหมิง ดูเหมือนว่าเพิ่งจะเข้านิกายได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังน่าตกใจเช่นนี้…..” ศิษย์หญิงสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่ได้ใจจดใจจ่ออย่างเจียหลาน ขณะนี้กำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย


พอเจียหลานได้ยินคำว่า ‘หลิ่วหมิง’ นางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้


……


ภายในบ้านหลังคามุงจากแห่งหนึ่ง หลงเหยียนเฟยกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ หน้าผากขาวราวกับหยกของนางมีแผ่นหยกสีขาวแปะไว้ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงนำมันออกมา


“หลิ่วหมิง…… ปีศาจหยินหยาง……” นางพูดพึมพำด้วยแววตาประหลาดใจ


……


ภายในถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขากระบี่สวรรค์ ซาทงเทียนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิงตัวหนึ่ง เขาก้มหน้าฟังศิษย์ชุดเหลืองที่กำลังพูดอะไรบางอย่างเบาๆ ได้ยินลางๆ ว่ามีหลิ่วหมิง การประลอง บัญชีความเป็นความตาย เป็นต้น


“เอาล่ะ! ออกไปเถอะ!” ซาทงเทียนฟังจบก็โบกมืออย่างทนรำคาญไม่ได้


ศิษย์ชุดเหลืองโค้งคารวะแล้วถอยออกไป จากนั้นซาทงเทียนก็นั่งตัวตรงด้วยสีหน้าอึมครึม มือขวาลูบถุงกระบี่บนเอวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก……


……


หลังจากได้ถ้ำที่พักกลับคืนมาแล้ว หลิ่วหมิงก็ทำการแก้ไขห้องหลอมอาวุธที่ก่อนหน้านั้นใช้งานน้อยมาก และนำความรู้ที่บรรยายไว้ในคัมภีร์หลอมอัคคีมาผนึกกับการบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่หอร้อยล้อม โดยขุดร่องลึกฉื่อกว่าๆ  กว้างจั้งกว่าๆ ไว้ตรงกลางห้อง


สำหรับเขาที่กลับนิกายมาแล้ว วัสดุที่ใช้ประทับชั้นจำกัดสุดท้ายบนโล่เก้ากะโหลก เพื่อทำให้มันกลายเป็นต้นแบบอาวุธเวทนั้น ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว


และระดับการหลอมอาวุธของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ตั้งแต่มีประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธอย่างเหยียนเจวี๋ยคอยช่วยเสริม เขาก็มีความเชื่อมั่นในความสำเร็จไม่น้อย


ตอนนี้เขาเพียงแค่ใช้เวลาในการหาอาวุธจิตวิญญาณที่มีคุณภาพสูงมาฝึกฝนเพิ่มอีกเล็กน้อย ก็สามารถลงมือได้แล้ว


หลังจากหลิ่วหมิงจัดการถ้ำที่พักเสร็จ ก็ไปที่ตลาดของนิกายอีกครั้ง เขาใช้หลายแสนหินจิตวิญญาณซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับกลางสิบกว่าชิ้น และวัสดุหลอมอาวุธจิตวิญญาณมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปยังห้องหลอมอาวุธที่เขาทำการปรับแต่งใหม่ และเก็บตัวหมกมุ่นอยู่กับการหลอมอาวุธจิตวิญญาณ


เวลาในหนึ่งเดือนกว่าต่อมา เขาลองประทับชั้นจำกัดลงบนอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางติดต่อกันสิบกว่าชิ้น


สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจก็คือ ในระหว่างเวลานี้ นอกจากจะประทับชั้นจำกัดไม่สำเร็จแค่สามครั้งแล้ว ที่เหลือล้วนสำเร็จทั้งหมด ทั้งยังมีอาวุธจิตวิญญาณสองสามชิ้นที่เพิ่มชั้นจำกัดได้มากถึงสองชั้น


และสามครั้งที่ล้มเหลว เขาก็ไม่ได้ทำให้พลังจิตวิญญาณของอาวุธเหล่านี้เสียหายแต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงมีความมั่นใจมากขึ้น หลังจากเตรียมการไปหนึ่งรอบแล้ว เขาก็เตรียมทำการเพิ่มชั้นจำกัดสุดท้ายให้กับโล่เก้ากระโหลก


วันนี้หลิ่วหมิงหยุดพักสองสามชั่วยาม หลังจากปรับสภาพร่างกายและจิตใจจนถึงระดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ก็นำวัสดุที่จำเป็นต้องใช้ในการประทับชั้นจำกัดโล่เก้ากระโหลกออกมาวางไว้ด้านข้าง


เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบธงค่ายกลสามสี่ชุดที่ได้เตรียมไว้ตั้งแต่แรกออกมา จากนั้นก็โยนไปยังมุมทั้งสี่ของห้อง


หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาถึงนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะผืนหนึ่ง และร่ายคาถาออกมา ระหว่างที่โบกแขนเสื้อไปยังทั้งสี่ด้าน เขาก็เปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด และปล่อยพลังเวทใส่ธงค่ายกล


ทันใดนั้นธงค่ายกลก็เปล่งแสงสีต่างๆ ออกมา แสงจิตวิญญาณหลากสีพุ่งยิงทอสลับกันไปมา และกลายเป็นม่านแสงสีทองจางๆ ทำให้เงาร่างของหลิ่วหมิงพร่ามัว


พอเขาโบกมือสะบัดแขนเสื้อ ก็ค่อยๆ ใส่น้ำหยินโสมม ผงปีศาจอีกา และวัสดุอื่นๆ ลงในร่องตรงหน้าจนเต็ม ขณะเดียวกัน กลิ่นคาวเลือดแสบจมูกจากบ่อก็แผ่กระจายไปทั่วห้องหลอมอาวุธ


ผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา โลหิตในบ่อตรงหน้าก็พวยพุ่ง ขณะเดียวกันก็ปล่อยม่านแสงสีเลือดออกมา ลวดลายค่ายกลสีแดงสดในบ่อก็เริ่มชัดเจนขึ้น ลวดลายค่ายกลเหล่านี้ประสานสลับกันไปมาอย่างไม่ขาดสาย  และโยงใยเข้าด้วยกันจนก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดจั้งกว่าๆ และโลหิตในบ่อก็รวมตัวกันตรงใจกลางค่ายกล


พอหลิ่วหมิงขยับแขนข้างหนึ่ง กล่องหยกโปร่งใสใบหนึ่งก็เปิดออกมา ผงสีขาวพุ่งเข้าไปในบ่อโลหิตอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ละลายหายเข้าไปในบ่อโลหิต


โลหิตในบ่อพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ และเหนียวขึ้นมากขึ้น


ดวงตาของหลิ่วหมิงเป็นประกาย พอโบกแขนเสื้อ โล่เล็กสีดำก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นโล่สีดำที่มีขนาดจั้งกว่าๆ และลอยอยู่เหนือค่ายกล


หลังจากปล่อยพลังออกไปสายหนึ่งแล้ว ลวดลายจิตวิญญาณบนโล่สีดำก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด หมอกดำพวยพุ่งอยู่บนพื้นผิว ใบหน้าปีศาจอัปลักษณ์เก้าตัวที่มีขนาดเท่ากำปั้นยื่นออกมาจากโล่ แสงสีเขียวเปล่งประกายในแววตาอยู่ไม่หยุด


ขณะที่หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทอย่างต่อเนื่อง โลหิตสีดำในบ่อก็พวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง และค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นสีดำ


ขณะนี้ โล่ที่อยู่กลางอากาศเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ และหัวกระโหลกทั้งเก้าก็อ้าปากดูดซับอย่างเต็มที่


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็หยุดทำท่ามือลง มือข้างหนึ่งชี้ไปทางค่ายกลที่อยู่บนอากาศ เสาวารีสีดำขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ หมุนวนขึ้นฟ้า


เมื่อเสาวารีอยู่ห่างจากแผ่นโล่ฉื่อกว่าๆ มันก็แยกตัวเป็นเสาวารีที่มีขนาดเท่าปากถ้วยจำนวนแปดสาย และม้วนตัวเข้าไปในปากของหัวกระโหลกทั้งเก้า


หัวกะโหลกทั้งเก้าค่อยๆ ดูดกลืนของเหลวสีดำ!


สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันสามคืน


และหลังจากดูดกลืนของเหลวสีดำอยู่ไม่หยุด แสงสีเขียวในดวงตาของหัวกะโหลกก็ค่อยๆ กลายเป็นสีทองจางๆ


พริบตาที่ของเหลวสีดำข้นในบ่อถูกดูดกลืนไปจนหมดสิ้นนั้น ก็มีเสียงดังมาจากแผ่นโล่ในฉับพลัน


แสงสีทองในดวงตาของหัวกะโหลกทั้งเก้าเปล่งประกายออกมา จากนั้นก็พุ่งออกจากผิวโล่ และหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ มันพุ่งชนม่านแสงสีทองรอบด้านอยู่ไม่หยุด ทำให้ม่านแสงสั่นสะเทือนขึ้นมา ขณะเดียวกันพื้นในห้องหลอมอาวุธก็เริ่มสั่นไหวเบาๆ


หลิ่วหมิงกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา และชี้ไปกลางอากาศ จากนั้นโลหิตบริสุทธิ์ก็จมหายไปในโล่อย่างรวดเร็ว


ขณะนี้มีเสียงดังหวึ่งๆ กลางอากาศ หลังจากหมอกดำรวมตัวกันบนพื้นผิวโล่แล้ว มันก็ระเบิดออกมา และหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบก่อนพุ่งไปทางแผ่นโล่


“ตู้ม!”


จากนั้นก็มีเสียงดังออกมา หมอกดำที่พวยพุ่งแตกกระจายในทันที เผยให้เห็นโล่ที่มีแสงสีดำเปล่งประกาย และลวดลายชั้นจำกัดที่สามสิบหกก็ค่อยๆ ปรากฏบนแผ่นโล่ และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


“สำเร็จแล้ว!”


หลิ่วหมิงพูดพึมพำด้วยความเบิกบานใจ


เขาแตะแผ่นโล่กลางอากาศเบาๆ พริบตานั้นมันก็ขยายใหญ่ห้าหกจั้ง ดูเหมือนว่าจะค้ำยันห้องหลอมอาวุธทั้งห้องไว้ หลังจากเปลี่ยนท่ามือ มันก็ลดขนาดลงเหลือหนึ่งชุ่นกว่าๆ


พอเขาโบกมือข้างหนึ่ง โล่เล็กสีดำก็พุ่งกลับมา และหายเข้าไปในปากของเขาอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงหลับตาทั้งคู่ลง พอกวาดจิตดูภายในทะเลจิตรับรู้ ก็ค้นพบว่าโล่อันนี้ลอยอยู่ข้างศิลาหุนเทียนอย่างเงียบๆ


“ไม่รู้ว่าเมื่ออาวุธจิตวิญญาณถูกยกระดับเป็นต้นแบบอาวุธเวทแล้ว จะมีอานุภาพเช่นใดกันแน่” เขาพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว และไอหมอกสีดำก็ม้วนตัวออกมาหนึ่งสาย ซึ่งก็คือแมงป่องกระดูกสีเงินนั่นเอง


“ยินดีด้วยนายท่าน ปรับแต่งต้นแบบอาวุธเวท……..สำเร็จแล้ว” พอแมงป่องกระดูกปรากฏตัวตรงหน้า เสียงเด็กสาวก็ดังขึ้นข้างหู


เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว คำพูดของมันรื่นหูกว่ามาก


หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เชื่อมจิตกับมัน เมื่อมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับในวังมายานภาหยกได้ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว เขาก็สั่งให้มันไปโจมตีโล่เก้ากระโหลก


พอเขาสะบัดแขนเสื้อ ก็มีไอหมอกพวยพุ่งบนโล่เล็กสีดำในมือ และขยายใหญ่จั้งกว่าๆ ก่อนที่จะขวางอยู่ตรงหน้าเขา


ร่างแมงป่องกระดูกขยายใหญ่สามสี่จั้ง ลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกายบนก้ามยักษ์ทั้งสอง จากนั้นก็ทุบลงพื้นอย่างรุนแรง


ทันใดนั้น มีเสียงดังตูมตามภายในห้องหลอมอาวุธ พอก้ามยักษ์สัมผัสกับโล่อันนี้ มันก็สั่นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นแมงป่องกระดูกก็ถูกดีดกระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง


ไม่มีร่องรอยใดๆ บนโล่ยักษ์เลยแม้แต่น้อย


“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลิ่วหมิงหายวับมาปรากฏตัวข้างแมงป่องกระดูก และลูบก้ามยักษ์ของมันเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


แมงป่องกระดูกโบกก้ามยักษ์แสดงว่าตนเองไม่เป็นอะไรมาก


หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกไม่วางใจเล็กน้อย เพราะอาการบาดเจ็บของแมงป่องกระดูกเพิ่งหายเป็นปกติ


พอเขาตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว แมงป่องกระดูกก็กลายเป็นไอดำม้วนตัวเข้าไป


เขากวาดจิตดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอีกใบ หัวบินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในก่อนหน้านั้น ขณะนี้ยังคงหลับสนิทอยู่ข้างใน


หลิ่วหมิงมองดูโล่ยักษ์ที่ไม่มีร่องรอยความเสียหายเลยแม้แต่น้อย หลังจากพยักหน้าแล้ว มือทั้งสองก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง และปล่อยลำแสงเข้าไปในโล่


ทันใดนั้น โล่ยักษ์ก็พร่ามัวกลายเป็นไอหมอกแผ่กระจายไปทั่วห้องหลอมอาวุธ และเปลวไฟสีทองก็ปรากฏออกมาสิบแปดลูก ซึ่งก็คือเปลวไฟในตาดวงตาของหัวกะโหลกทั้งเก้า


หลิ่วหมิงชี้ไปยังก้อนหินสีดำตรงมุมห้องหลอมอาวุธ กะโหลกปีศาจทั้งเก้าปรากฏออกมาท่ามกลางหมอกดำ และพ่นเปลวไฟสีทองโจมตีลงบนหินเกือบจะพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย


หลังจากมีเสียงดังอู้อี้ ก้อนหินสีดำก็ถูกเปลวไฟสีทองเผาไหม้จนกลายเป็นควันสีดำ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก!


หลังจากโล่นี้กลายเป็นต้นแบบอาวุธเวทแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีอานุภาพร้ายกาจถึงเพียงนี้!


หากว่าในขณะทำการต่อสู้กับศัตรู เขากักขังฝ่ายตรงข้ามไว้ในหมอกดำ ลำพังแค่หัวกะโหลกทั้งเก้า ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามป้องกันไม่หวาดไม่ไหว และสังหารฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร้ร่องรอย


ขณะที่หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่นั้น ก็โบกมือข้างหนึ่งออกไป ไอหมอกดำในห้องหลอมอาวุธพวยพุ่งอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ มารวมตัวกันใจกลางห้อง


ผ่านไปสักพัก ไอดำพวยพุ่งรวมตัวกันเป็นโล่ยักษ์สีดำอีกครั้ง หัวกะโหลกทั้งเก้าหัวเราะแปลกประหลาด และกลายเป็นภาพหัวกะโหลกเก้าใบที่ดูราวกับมีชีวิต


พอหลิ่วหมิงอ้าปาก แสงสีดำก็เปล่งประกายบนโล่และขยายใหญ่ชุ่นกว่าๆ หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่!” มันก็กลายเป็นแสงสีดำจมหายเข้าไปในปากอย่างไร้ร่องรอย


ตอนที่ 574 ร่างแปลงปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

มาถึงวันนี้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ปรับแต่งชั้นจำกัดสุดท้ายของโล่เก้ากะโหลกจนสำเร็จ ทำให้เขามีต้นแบบอาวุธเวทแท้จริงที่มีสามสิบหกชั้นจำกัด


ส่วนขนปีศาจยักษ์ที่เป็นวัสดุสำคัญที่สุด ก็ถูกบดเป็นผงละลายลงไปน้ำโลหิตที่ใช้ปรับแต่งในก่อนหน้านั้นแล้ว


มิเช่นนั้นชั้นจำกัดที่สามสิบหกของโล่นี้อาจจะพังทลายในระหว่างการปรับแต่งก็ได้ ซึ่งไม่อาจสำเร็จได้โดยเด็ดขาด


วันนี้เขามีโล่นี้แล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข่งแกร่งระดับผลึกก็ยังคงไม่สามารถรับมือได้ แต่ว่าก็สามารถป้องกันได้โดยไม่เป็นกังวลแล้ว


ส่วนการเผชิญหน้ากับเงามายาที่ลอกเลียนแบบมาจากผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอย่างจินเลี่ยหยาง คิดว่าเขาคงมีโอกาสหลุดรอดมาได้โดยใช้อาวุธนี้


ต่อมา หลิ่วหมิงนำพัดดับวิญญาณของชายหนุ่มชุดเขียวกับค้อนเล็กสีดำของชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ออกจากแหวนย่อส่วน


ตอนที่ต่อสู้กับชายหนุ่มชุดสีทองในวังมายา นอกจากหลิ่วหมิงจะระเบิดอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำจำนวนไม่น้อยเพื่อรับมือกับศัตรูแล้ว แม้แต่กระบี่บินสีแดงเองก็ระเบิดไปด้วย แต่เขากลับตัดใจไม่ได้ที่จะนำอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดทั้งสองออกมา


หลิ่งหมิงลองกระตุ้นพัดดับวิญญาณอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค้นพบว่าพัดนี้ไม่ค่อยเหมาะกับพลังของเขาจริงๆ หลังจากส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้ว ก็เก็บมันเข้าไป


ต่อมาเขาก็หยิบค้อนเล็กสีดำขึ้นมาชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง  แต่ทว่าพลังที่ค้อนเล็กแสดงออกมากลับทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


เขาเพียงแค่จับค้อนเล็กไว้ และคิดที่จะปล่อยพลังเวทเข้าไปในนั้นเล็กน้อย เพื่อลองดูอานุภาพของมัน


แต่พอเขาใส่พลังเวทเข้าไป ค้อนเล็กสีดำกลับเปล่งแสงและสั่นสะท้านเบาๆ ขณะเดียวกันแรงดึงดูดมหาศาลก็ออกมาจากในนั้น ทำให้พลังเวทภายในร่างของหลิ่วหมิงเดือดพล่านอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และทะลักเข้าใส่ค้อนเล็กในมือโดยไม่รู้ตัว


ภายใต้ความตกใจ พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาระงับพลังเวทไว้ได้แล้ว ก็โยนค้อนเล็กสีเขียวลงพื้นไปทันที


“เต๊ง!”


รอยร้าวลึกฉื่อกว่าๆ ปรากฏบนพื้นห้องภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีดำ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


แม้ว่าอาวุธจิตวิญญาณนี้จะมีอานุภาพมาก แต่เวลาใช้ก็สิ้นเปลืองพลังเวทไม่น้อย ทำให้ผู้ที่มีพลังเวทมากกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอย่างเขารู้สึกรับไม่ไหว มันคงจะเหมาะสมกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกจริงๆ


ดังนั้นหลังจากเขาคิดใคร่ครวญไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ตัดสินใจขายอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ก่อน คิดว่าคงขายได้ราคาไม่เลว


หลังจากเขาวางแผนไว้ในใจแล้ว ก็เก็บค้อนเล็กสีดำเข้าไปด้วยเช่นกัน


เวลาต่อมา เขานำมุกหุ่นเกราะทองคำสี่เม็ดนั้นออกมาอีกครั้ง หลังจากโยนขึ้นไปบนอากาศเบาๆ ก็ปล่อยพลังเวทออกไปสี่สาย


มุกสีทองอร่ามกลายเป็นหุ่นนักรบเกราะสีทองสี่ตัวที่สูงจั้งกว่าๆ และร่วงลงบนพื้น


เนื่องจากเวลากระชั้นชิด การเข้าวังมายานภาหยกในก่อนหน้านั้น เขาไม่ได้ฝึกใช้หุ่นทั้งสี่ให้ชินมือ จึงไม่ได้นำออกมารับมือกับศัตรู และหากเขาสามารถใช้ผู้ช่วยทั้งสี่ที่มีพลังเกือบเทียบเท่ากับระดับผลึกขั้นต้นนี้ได้อย่างชำนาญล่ะก็ บางทีการเดินทางในวังมายาในก่อนหน้านั้นอาจจะสบายขึ้นมามาก หรืออาจจะได้รับมุกนภาหยกมากกว่านี้


และการประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกในนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็จะเริ่มขึ้นในอีกไม่นานแล้ว


แม้เขาจะรู้ตัวว่าโอกาสที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ถูกใจ และรับเข้าเป็นศิษย์สายในนั้นมีไม่มาก แต่ก็ไม่คิดที่จะละทิ้งโดยง่าย


อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่รางวัลตอบแทนของสิบอันดับแรกก็มากมายแล้ว โดยเฉพาะอันดับหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถเลือกฝึกฝนวิชาที่ศิษย์สายในฝึกฝนได้หนึ่งวิชา สิ่งนี้แม้แต่เขาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ พอโบกมือก็มีอักขระพุ่งออกไปสี่สาย และค่อยๆ จมหายไประหว่างคิ้วของหุ่นทั้งสี่


แสงสีทองเปล่งประกายรอบตัวหุ่นทั้งสี่ในทันที


……


ครึ่งเดือนต่อมา ภายในห้องหลอมอาวุธ หลิ่วหมิงกำลังลอยอยู่กลางอากาศ นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง


และด้านล่างของเขาก็มีเสียงดัง “โครมคราม!” หุ่นนักรบชุดเกราะทั้งสี่ที่เปล่งแสงสีทองกำลังถูกหลิ่วหมิงกระตุ้นให้ยืนอยู่ตรงมุมทั้งสี่ และย้ายตำแหน่งไปมาอยู่ไม่หยุด กลิ่นไอมหาศาลทั้งสี่สายดูเหมือนจะเข้าถึงระดับผลึกแล้ว


หุ่นเกราะทองคำทั้งสี่หยุดชะงักลง และภายใต้การหมุนวนของแสงสีทองรอบด้าน มันก็หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน


“แปลกจริง แม้ว่าจะควบคุมหุ่นทั้งสี่ได้ดั่งใจแล้ว แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ” หลิ่วหมิงหยุดทำท่ามือ แต่กลับพูดพึมพำด้วยสีหน้าฉงน จากนั้นเขาก็จมดิ่งเข้าสู่ความเงียบ


……


หนึ่งเดือนต่อมา มีเสียงมังกรคำรามและเสียงนานาชนิดดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดัง “ตู้ม!” ถ้ำทั้งหลังสั่นสะเทือนเบาๆ และเสียงหัวเราะของหลิ่วหมิงก็ดังออกมา


“ฮ่าๆ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นี่ถึงจะเป็นความลับแท้จริงของหุ่นทั้งสี่ตัวนี้ หากมีคนรู้ว่าหุ่นทั้งสี่ยังมีไม้เด็ดเช่นนี้ล่ะก็ เกรงว่าแม้มูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้นอีกเท่า ก็ยังมีคนแย่งจนหัวชนกันอย่างแน่นอน


และภายในห้องลับ หุ่นทั้งสี่ยืนอยู่ตรงมุมทั้งสี่ไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับมีคลื่นพลังจิตวิญญาณอันน่าตกใจแผ่กระจายอยู่กลางอากาศ


หลิ่วหมิงเพียงแค่ดีดนิ้วออกไปด้วยความดีใจ พลังเวทสี่สายก็กระพริบตาหายไปในร่างของหุ่นทั้งสี่


หลังจากมีเสียง “กรอบแกร่บ!” ดังอยู่ครู่หนึ่ง หุ่นเหล่านี้ก็กลายเป็นมุกกลมๆ สี่เม็ดอีกครั้ง และถูกเขาเก็บเข้าไป


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ทานโอสถผลึกเย็นแล้วตั้งใจเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในห้องลับ เพื่อเตรียมตัวขั้นสุดท้ายสำหรับการประลองใหญ่ที่จะมาถึง


นอกจากฝึกพลังแล้ว เขายังเข้าไปในศิลาหุนเทียนอย่างต่อเนื่อง และใช้พลังจิตของหนอนพลังจิตกระตุ้นดวงตามายาปีศาจ เพื่อเข้าไปฝึกฝนในแดนมายา


วันนี้ หลิ่วหมิงคิดที่จะเปลี่ยนคู่ต่อสู้ในแดนมายาเป็นครั้งแรก โดยเปลี่ยนจากหลานสี่มาเป็นราชาปีศาจสมุทรที่อยู่ระดับแก่นแท้


แต่ทว่าพอเข้าไปในแดนมายา เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา พริบตาเดียวก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย


เขายังไม่ทันแสดงวิชาออกมา เปลวไฟสีดำก็ลุกขึ้นมาทันที และเผาไหม้อย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็มีเสียงแตกร้าวของข้อต่อกระดูกดัง “เปรี๊ยะๆ!” ติดต่อกัน ร่างของเขาขยายใหญ่กว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงปรากฏบนผิวหนังในพริบตา


หลิ่วหมิงยื่นแขนทั้งสองออกมาดูอย่างละเอียด


เป็นเหมือนกับที่คาดเดาไว้ก่อนหน้า ตอนนี้เขากลายเป็นร่างแปลงปีศาจจริงๆ ด้วย!


ตอนที่อยู่ตรงแท่นบูชาปีศาจยักษ์ในเหวลึกนั้น หลิ่วหมิงเคยเห็นร่างแปลงปีศาจของตนเองในตอนที่ได้สติอยู่ และฉากที่สังหารร่างแปลงปีศาจหลานสี่กับพลังกดดันของราชาปีศาจสมุทรนั้น เขายังจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้ราวกับเป็นภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


ตอนนี้เขาสามารถควบคุมร่างกายนี้ได้อย่างอิสระ จึงรู้สึกคาดหวังขึ้นมาลางๆ อย่างอดไม่ได้


ขณะนั้นเอง สถานที่อยู่ห่างจากเขาไปหลายจั้ง ชายหนุ่มชุดขาวใบหน้างดงามผู้หนึ่ง กำลังจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาที่เยือกเย็น เขาก็คือราชาปีศาจสมุทรนั่นเอง!


ครู่ต่อมา ราชาปีศาจสมุทรก็โบกสะบัดดาบสั้นแวววาวในมือ จนแสงเย็นสะท้านสีฟ้าม้วนตัวออกไปเป็นชั้นๆ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กระทืบเท้าทั้งคู่ลงพื้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างของเขาถอยออกไปด้านหลัง พริบตาเดียวก็ไปปรากฏอยู่ห่างออกไปสามสิบกว่าจั้ง


แต่ทว่าหลิ่วหมิงยังปรับตัวเข้ากับร่างแปลงปีศาจไม่ได้ หลังจากโซเซไปทีหนึ่งแล้ว ถึงพอที่จะทรงตัวไว้ได้


ขณะนั้นเอง พอราชาปีศาจสมุทรดีดนิ้วออกไปเบาๆ ดาบสั้นแวววาวก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ทันใดนั้นก็มีจุดแสงสีฟ้าปรากฏออกมา


พอมีเสียงดังก้องกังวาน จุดแสงสีฟ้าก็รวมตัวกันกลางอากาศอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหอกยาวสีฟ้า


แววตาหลิ่วหมิงเยือกเย็นขึ้นมา พอสะบัดแขนเสื้อ มือทั้งสองก็กำมุกพลังวารีทั้งสองไว้แน่น และพุ่งไปทางราชาปีศาจสมุทร


จากการคาดเดาของเขา ความน่ากลัวของกายเนื้อหลังแปลงร่างเป็นปีศาจ ไม่เพียงแต่เคลื่อนไหวขึ้นไม่น้อย อานุภาพก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี การรับมือกับราชาปีศาจสมุทรคงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร


ราชาปีศาจสมุทรที่เผชิญหน้ากับหลิ่วหมิงโบกแขนข้างหนึ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นหอกยาวสีฟ้าก็ขยายใหญ่ขึ้นมาทันที หลังจากสั่นท้านกลางอากาศเบาๆ แล้ว ก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็คำรามออกมา ลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกายบนแขนที่มีหมอกดำลอยวนอยู่ พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่หลายเท่า และพุ่งออกไปรับหอกยาวที่โจมตีเข้ามา เขาตัดสินใจลองรับการโจมตีนี้ดู


“เต๊ง!”


ไอดำพวยพุ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่งจากนั้นก็สลายไป แต่พอแขนทั้งสองที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดกำลังจับหอกยาวสีฟ้าไว้มั่นนั้น ไอเย็นสะท้านกลางอากาศก็ประสานกันไปมากับไอปีศาจ และกลายเป็นแสงสีฟ้าดำ


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นที่มือ ไอเย็นสะท้านแผ่ออกมา เกล็ดสีแดงค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง มือทั้งสองค่อยๆ แข็งทื่อขึ้นมา


ภายใต้ความตกใจ เขาก็รับรู้ได้ว่าตนเองประเมินผู้มีพลังระดับแก่นแท้อย่างราชาปีศาจสมุทรต่ำไปหน่อย


หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็คำรามเสียงออกมา ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนแขนทั้งสองเปล่งประกายสองสามที พลังมหาศาลบางอย่างพุ่งทะลักออกมา มือทั้งสองที่จับหอกน้ำแข็งสีฟ้าอยู่กับบีบแน่นกว่าเดิม


“เพล้ง!”


หอกน้ำแข็งสีฟ้าแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ  และกลายเป็นจุดแสงแวววาว


และภายใต้พลังสะท้อนกลับของการระเบิดตัวของหอกน้ำแข็งสีฟ้า ทำให้มีบาดแผลจำนวนมากปรากฏบนแขนทั้งสอง และมีโลหิตไหลออกจากบาดแผล


แต่ทว่าครู่ต่อมา เขารับรู้ได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกจากมือ พอมองลงไป กลับพบว่ามันคือไอปีศาจสีดำที่มุดเข้าไปในมืออยู่ไม่หยุด และบาดแผลก็สมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว


ขณะนั้นเอง ราชาปีศาจสมุทรที่อยู่ตรงหน้าไม่ไกลพลันชี้นิ้วไปกลางอากาศ ดาบสั้นแวววาวตรงหน้าสั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็ระเบิดออกมาภายในพริบตา และกระแสไอเย็นก็พุ่งขึ้นมา


“แย่แล้ว!”


หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปปรากฏอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง แต่บริเวณแขนและขาทั้งสี่กลับมีน้ำแข็งเกาะอยู่


ขณะนั้นเอง ร่างของราชาปีศาจสมุทรก็พร่ามัวมาปรากฏตัวอยู่เหนือศีรษะของเขา ขณะเดียวกันแรงกดดันมหาศาลก็โจมตีเข้ามา เงาฝ่ามือยักษ์สีฟ้าร่วงลงมา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วในทันที เขากระตุ้นไอปีศาจทั่วร่างให้โจมตีใส่ฝ่ามือนี้ ไอดำพวยพุ่งรวมตัวกันในนั้น และกลายเป็นฝ่ามือปีศาจขยาดจั้งกว่าๆ ก่อนพุ่งขึ้นฟ้า


เรื่องที่เขาคาดคิดไม่ถึงได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


พอฝ่ามือยักษ์ที่กลายร่างมาจากไอปีศาจปะทะกับฝ่ามือยักษ์สีฟ้า มันก็กลายเป็นไอดำและสลายไปกลางอากาศ


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศรอบตัวแน่นขึ้นมา พลันมีเสียงดังหวึ่งข้างหู ภาพตรงหน้าพร่ามัว และตัวเขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ อีกครั้ง


ตอนที่ 575 การสู้รบอันดุเดือด

โดย

Ink Stone_Fantasy

หนึ่งเดือนต่อมา


“ตู้มต้าม!”


ยอดเขาสีดำลูกหนึ่งระเบิดออกมาในฉับพลัน ชายหนุ่มที่มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงปกคลุมเต็มตัวพุ่งออกมาท่ามกลางเศษหินที่กระเด็นไปทั่วทิศ และด้านหลังของเขาก็มีมังกรสีฟ้าที่ยาวสิบกว่าจั้งตามติดไม่ปล่อย


ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงหลังจากแปลงร่างเป็นปีศาจกับราชาปีศาจสมุทรที่กลายร่างเป็นมังกรนั่นเอง


หลังผ่านการฝึกฝนมาเดือนกว่าๆ หลิ่วหมิงก็สามารถควบคุมร่างแปลงปีศาจได้ดั่งใจแล้ว เขากระตุ้นไอปีศาจทำการโจมตี และมักจะกดดันจนราชาปีศาจสมุทรต้องใช้ร่างมังกรในการต่อสู้


ที่น่าเสียดายก็คือแม้หลังจากแปลงร่างเป็นปีศาจแล้วจะมีพลังเพิ่มขึ้นทวี อานุภาพของไอปีศาจก็เหนือกว่าการโจมตีปกติในก่อนหน้านั้นมาก แต่พลังในการควบคุมไอปีศาจของเขายังคงมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงพ่ายแพ้แก่ราชาปีศาจสมุทรมาโดยตลอด


ทันใดนั้น มังกรสีฟ้าตรงด้านหลังก็สะบัดหางทันที กรงเล็บข้างหนึ่งยื่นไปด้านหน้า “ฟู่!” พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ห่างจากด้านหลังหลิ่วหมิงไม่กี่จั้ง


ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนตรงหน้ากรงเล็บสีฟ้าอย่างรุนแรง เงากรงเล็บยักษ์สีดำพุ่งเข้ามาถึง


“เพล้ง!”


กรงเล็บยักษ์สีดำปะทะกับกรงเล็บยักษ์สีฟ้า ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกมา


ครู่ต่อมา ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีดำมันก็กดแสงสีฟ้าได้ภายในพริบตา หลังจากขยี้จนแสงสีฟ้าแตกกระจายแล้ว มังกรสีฟ้าตรงด้านหลังก็กระเด็นออกไป


“เพล้ง!”


ภายใต้สถานการณ์ที่มังกรสีฟ้าไม่ทันได้ระวัง จึงถูกกรงเล็บยักษ์สีดำโจมตีอย่างรุนแรง จนมีบาดแผลลึกถึงกระดูกปรากฏออกมา


นี่คือผลลัพธ์ที่หลิ่วหมิงฝึกฝนในระช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้เขาสามารถควบคุมไอปีศาจรอบด้านให้เปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ ในการโจมตีได้เหมือนกับการควบคุมปราณกระบี่แล้ว แม้ว่าจะมีอานุภาพมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็โจมตีจนราชาปีศาจสมุทรได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง


มังกรสีฟ้าคำรามด้วยความเจ็บปวด พริบตานั้นมันก็อ้าปากพ่นลำแสงสีฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยออกมา ขณะเดียวกันก็สะบัดหางมังกรจนพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเป็นกำแพงวายุโอบล้อมอากาศรอบๆ ตัวหลิ่วหมิงไว้ ทำให้หลิ่วหมิงไม่อาจหลบหลีกได้ชั่วขณะหนึ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนตัวหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไอปีศาจรอบตัวก็รวมตัวขึ้นมาอีกครั้ง


เขาหันหน้ากลับมาและสะบัดแขนในทันที ไอปีศาจกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากมือไปรับมือกับลำแสงสีฟ้า


“ฟิ้ว!” ลำแสงสีฟ้าจมเข้าไปในไอปีศาจสีดำ แต่กลับไม่อาจทะลุไปได้ ทั้งสองต่างก็คุมเชิงกันอยู่


“ตู้ม!”


ไอปีศาจสีดำต้านทานอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็แตกสลายไป หลิ่วหมิงกลับมาปรากฏตัวข้างมังกรสีฟ้าที่กลายร่างมาจากราชาปีศาจสมุทรอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ลำแสงสีฟ้าเพิ่งจะทะลุไอปีศาจสีดำไปได้ แต่กลับคว้าน้ำเหลว


หลิ่วหมิงโบกสะบัดแขนทั้งสองอยู่ไม่หยุด เงากรงเล็บสีดำกว่าอันพุ่งยิงออกไปอย่างหนาแน่น


ภายใต้ความตกใจ มังกรสีฟ้าเพียงแค่เอียงตัวเล็กน้อยพร้อมกับคว้ากรงเล็บทั้งสองไปกลางอากาศ กรงเล็บแสงสีฟ้าสองข้างก็เปล่งประกายออกมา และพุ่งไปทางหลิ่วหมิงเพื่อป้องกันการโจมตี


มีเสียงทุ้มต่ำดังเข้ามา “ชื่อๆ!”


แม้ว่ามังกรสีฟ้าจะหลบเงากรงเล็บปีศาจส่วนใหญ่ไปได้ แต่ยังคงถูกโจมตีบนตัวไม่น้อย ความเจ็บปวดประเดประดังเข้ามา เกล็ดจำนวนมากถูกคว้าออกไป แสงสีโลหิตเปล่งประกายบนพื้นผิวลางๆ


ภายใต้การพร่ามัวของร่างหลิ่วหมิง ก็สามารถหลบกรงเล็บแสงสีฟ้าทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว


ต่อมา ร่างของหลิ่วหมิงมาปรากฏอยู่ห่างจากด้านหลังของมังกรสีฟ้าไปหลายจั้ง หลังจากลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนแขนทั้งสองเปล่งประกาย ไอปีศาจที่พวยพุ่งอยู่บนแขนก็มุดเข้าไป นิ้วทั้งห้าขยายใหญ่หลายเท่า และแสงสีม่วงที่ยาวหลายชุ่นก็ถูกปล่อยออกจากปลายนิ้ว


พอแสงสีม่วงเปล่งประกาย แสงสีม่วงที่ยาวจั้งกว่าๆ ก็พุ่งยิงออกไป


ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังมาจากขอบฟ้า


มังกรสีฟ้าไม่สนใจแสงสีม่วง แต่กลับหมุนตัวล้อมร่างหลิ่วหมิงไว้ และพ่นอักขระสีทองใส่ร่างของหลิ่วหมิงด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ


“แย่แล้ว!”


หลิ่วหมิงเกือบจะลืมไปว่าราชาปีศาจสมุทรยังมีกระบวนท่านี้อยู่ ทันใดนั้นเขาขยับตัวเพื่อจะหลบ แต่กลับสายไปเสียแล้ว


มีเสียงอู้อี้ดังเข้ามา ภายใต้การเปล่งประกายของอักขระสีทอง มันก็ระเบิดตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง


ร่างหลิ่วหมิงสั่นสะเทือน จากนั้นก็ร่วงออกมาจากกลุ่มแสงสีทอง และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง


มังกรสีฟ้าเห็นเช่นนี้ก็อ้าปากพ่นอักขระสีทองออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว หลังจากหยุดนิ่งกลางอากาศ มันก็กลายเป็นสายฟ้าสีเงินที่มีขนาดเท่าปากถ้วย


หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่และส่งเสียงคำรามออกมา


ลำแสงสีดำพุ่งออกจากปาก และพุ่งใส่มังกรสีฟ้าโดยตรง


ราชาปีศาจสมุทรเห็นเช่นนี้ก็กระตุ้นสายฟ้าทันที แสงสีเงินเปล่งประกายไปฟันใส่ลำแสงสีดำ แต่กลับจมหายไปในนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง และไม่มีการตอบสนองใดๆ อีก


มังกรสีฟ้าหายวับไปด้วยความตกใจ จากนั้นถึงพอที่จะหลบแสงสีดำไปได้อย่างน่าหวาดเสียว และถูกมันแฉลบผ่านข้างตัวไป


มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนา!


มังกรถูกไอปีศาจม้วนเอาเกล็ดไปจำนวนมาก รอยแผลสีดำขนาดฉื่อกว่าๆ ปรากฏขึ้นบนตัวอย่างเห็นได้ชัด


และขณะนั้นเอง ม่านแสงที่เป็นจุดตัดมิติบนอากาศเหนือแท่นบูชา ก็ถูกลำแสงสีดำแทงทะลุจนเป็นรูขนาดจั้งกว่าๆ


เดิมทีราชาปีศาจสมุทรก็โดนพิษประหลาดอยู่แล้ว ภายใต้การต่อสู้กับหลิ่วหมิงอย่างดุเดือด เกล็ดบนตัวก็หลุดออกไปไม่น้อย มีโลหิตไหลออกมาจากบาดแผลขนาดต่างๆ อยู่ไม่หยุด พลังต้นกำเนิดถูกทำลายไปมาก จึงยากที่จะทำการต่อสู้กับหลิ่วหมิงแล้ว


หลิ่วหมิงกระโดดขึ้นจากพื้น และกระตุ้นลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนตัว เพื่อที่จะโจมตีราชาปีศาจสมุทรให้เสียชีวิต


แต่ขณะนั้นเอง “ฟู่!” มังกรสีฟ้าที่กลายร่างมาจากราชาปีศาจสมุทรก็พุ่งเข้ามา และกลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าจมหายไปในจุดตัดมิติ


แสงสีดำบนตัวหลิ่งหมิงเปล่งประกาย และคิดที่จะตามเข้าไปในจุดตัดมิติ แต่ขณะนั้นเอง รอยแยกของจุดตัดมิติก็สั่นสะเทือน และผนึกเข้าหากันดังเดิม


การที่ไม่สามารถตามไปได้ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งใจไม่น้อย


เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้ราชาปีศาจสมุทรหลบหนีอย่างกระเซอะกระเซิงได้


แต่เป็นเพราะว่าฝ่ายตรงข้ามหายตัวไป แดนมายาจึงไม่มีความหมายที่จะดำรงอยู่อีก ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นตรงข้างหูของเขา ภาพตรงหน้าพร่ามัวขึ้นมา……


ในช่วงระยะเวลาต่อมา เขาก็มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมพลังของไอปีศาจมากขึ้นเรื่อยๆ หลิ่วหมิงค่อยๆ กลายเป็นฝ่ายจู่โจมราชาปีศาจสมุทรก่อน แต่ทุกครั้งถ้าไม่เป็นราชาปีศาจสมุทรที่ได้รับบาดเจ็บจนหนีเข้าไปในจุดตัดมิติ ก็ถูกเขาโจมตีจนเสียชีวิตไปพร้อมกัน ซึ่งยังคงไม่อาจสังหารราชาปีศาจได้อย่างสิ้นเชิง


หลิ่วหมิงยังเปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่นๆ โดยลองใช้ทรายทองคำร่วงกักขังราชาปีศาจสมุทรไว้ แต่มันกลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีของราชาปีศาจสมุทรได้ และก็แตกสลายไปอย่างรวดเร็ว


สามเดือนต่อมา


ยอดเขาสีดำลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณแท่นบูชา มังกรสีฟ้าที่มีบาดแผลเต็มตัวได้กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าพุ่งหนีออกไป หางมังกรกลายเป็นเงาสะบัดใส่เนินเขาลูกเล็กๆ บริเวณนั้นอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นก็มีเสียงดังโครมครามตามด้วยเศษหินดินทรายที่ปลิวว่อน


ห่างจากด้านหลังของมันไปไม่ไกล เงาสีดำพร่ามัวกำลังตามเข้ามาด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ


จะเห็นว่าลวดลายสีม่วงที่ปกคลุมอยู่เต็มร่างเงาดำเปล่งประกาย พริบตาเดียวก็ปรากฏอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง แสงสีม่วงกลางอากาศที่เงาดำปล่อยออกมาเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้ามังกรสีฟ้าอย่างน่าประหลาดใจ ทันใดนั้น เงาฝ่ามือยักษ์สองข้างก็คว้าออกไปกลางอากาศ


“ตู้มๆ!”


ฝ่ามือยักษ์สีดำระเบิดตัวกลายเป็นไอปีศาจเหนือร่างมังกร และหลังจากสลายตัวกลายเป็นหมอกดำแล้ว กรงเล็บมังกรสีเทาขนาดใหญ่สองข้างก็ปรากฏออกมา และบนกรงเล็บก็เปื้อนไปด้วยโลหิต


มังกรสีฟ้าส่งเสียงโหยหวนออกมาทันที!


จากนั้นก็อ้าปากพ่นลำแสงสีฟ้าใส่เงาดำด้วยแววตาเดือดดาล


เงาดำทำเสียงฮึดฮัด ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนตัวเปล่งประกายอีกครั้ง  “ฟู่!” เขาสามารถหลบลำแสงสีฟ้าได้อย่างง่ายดาย และมาปรากฏตัวอยู่ห่างจากด้านหลังมังกรไปหลายจั้ง


จากนั้นแสงสีม่วงบนนิ้วมือทั้งสองข้าง ก็โจมตีใส่ร่างของมังกรสีฟ้าอย่างบ้าคลั่ง


ความเจ็บปวดประดังเข้ามาเป็นระยะๆ มังกรสีฟ้าคำรามเสียงออกมา หางมังกรที่มีเกล็ดปกคลุมได้กลายเป็นเงาสีฟ้าก่อนฟาดออกไป


แต่ครู่ต่อมา เงาร่างสีดำก็เคลื่อนไหวมาปรากฏอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ไอหมอกสีดำสลายไปเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าพร่ามัว ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจนั่นเอง


ส่วนมังกรสีฟ้าย่อมเป็นราชาปีศาจสมุทรแล้ว


มังกรตัวนี้เคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวเหนือเปลวเพลิงสีเงินที่ลุกไหม้อย่างรุนแรง  ซึ่งก็คือเปลวเพลิงผู่ถัวที่หลงเหลืออยู่


เปลวเพลิงผู่ถัวนี้เป็นสิ่งแปลกประหลาดของศาสนาพุทธ ค่อนข้างมีผลต่อการควบคุมหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจมาก ก่อนหน้าเขาถูกราชาปีศาจสมุทรบีบมาถึงที่นี่อยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกราชาปีศาจสมุทรใช้พลังของเปลวไฟนี้กดดันจนเขาต้องถอยออกไป


ตอนนี้มาเผชิญกับเหตุการณ์เช่นเดียวกันอีก หลิ่วหมิงกลับเผยสีหน้าดีใจออกมา


ในเมื่อราชาปีศาจสมุทรเลือกที่จะหนีมาบริเวณเปลวเพลิงผู่ถัว คงจะไม่หนีเข้าไปในจุดตัดมิติที่อยู่ด้านบนแล้ว นับว่าเปิดโอกาสอันดีให้เขาสังหาร


พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา ไอปีศาจที่พวยพุ่งรอบตัวก็ถูกเก็บเข้าไปเล็กน้อย และปกป้องร่างของเขาไว้


นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการควบคุมไอปีศาจที่เขาเพิ่งจะเรียนรู้มาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ว่าเรียนรู้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงสามารถเก็บและปล่อยไอปีศาจออกมาได้ไม่มาก ยังไม่อาจแสดงอานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้


แต่ว่าความก้าวหน้าในครั้งนี้ ก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อยเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงผู่ถัว!


เพราะมีไอปีศาจคุ้มกันอยู่ด้านนอก ภายใต้การหักล้างของทั้งสอง ร่างแปลงปีศาจก็สามารถสัมผัสกับเปลวไฟสีเงินได้โดยตรง และลดการปะทะอย่างรุนแรงได้


หลังจากเขาทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็หยิบมุกพลังวารีสองเม็ดออกจากแขนเสื้ออีกครั้ง หลังจากนำมันมาถูเข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นม่านวารีสีฟ้าปกคลุมร่างทั้งหมดไว้ด้านใน


ภายใต้การผสมปนเประหว่างม่านวารีกับไอปีศาจมันก็กลายเป็นสีฟ้าดำอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 576 สังหารราชาปีศาจสมุทร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะนั้นเอง มังกรสีฟ้าแผดเสียงร้องออกมา และมุดลงไปท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงินอันคุโชน จากนั้นก็พร่ามัวกลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง ชุดสีขาวฉีกขาดและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต บาดแผลบนตัวเห็นได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนเขาจะจนมุมเป็นอย่างมาก


หลังจากราชาปีศาจสมุทรแปลงร่างเสร็จแล้ว ก็โบกมือข้างหนึ่งทันที ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีเงินก็ม้วนตัวขึ้นมา และกลายเป็นหอกเปลวเพลิงสีเงินพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว เงากรงเล็บยักษ์สีดำข้างหนึ่งพุ่งออกจากม่านวารี


“ตู้ม!”


เงากรงเล็บปะทะกับหอกเปลวเพลิงสีเงินที่พุ่งเข้ามา จากนั้นก็ระเบิดตัวออกมา


ราชาปีศาจสมุทรเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แขนทั้งสองถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสีเงินม้วนตัวพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง หอกเปลวเพลิงจำนวนมากก่อตัวขึ้นกลางอากาศ และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีแววตาเยือกเย็นขึ้นมา ภายใต้การเปล่งประกายของลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนตัว เขาก็พุ่งเข้าราชาปีศาจสมุทรท่ามกลางการปกคลุมของม่านวารีสีดำฟ้า


ระหว่างที่ทำการโจมตีนั้น ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว และแหวกผ่านหอกเปลวเพลิงสีเงินจำนวนมากไปได้ ส่วนหอกเปลวเพลิงส่วนมากที่หลบไม่พ้นนั้น เขาก็กระตุ้นม่านแสงสีดำฟ้าให้ทำการสลายมัน


หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเปลวเพลิงสีเงินอันคุโชน หลังจากคำรามออกมาด้วยความโมโห ม่านวารีสีดำฟ้าก็ขยายใหญ่จนทำให้เปลวไฟสีเงินตรงหน้าหลบออกไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กระโดดเข้าไปต่อสู้กับราชาปีศาจสมุทรที่อยู่ด้านใน


เนื่องจากเปลวเพลิงผู่ถัวมีผลในการควบคุมไอปีศาจ พอไอปีศาจรอบตัวหลิ่วหมิงสัมผัสกับมันเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดเสียงดัง “ฟรี้ๆ!” และกลายเป็นควันสีดำ ดีที่ว่ามีม่านวารีที่กลายร่างมาจากมุกพลังวารีคอยคุ้มกันไว้ ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ลดช้าลงไปไม่น้อย


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วร่างกาย ราชาปีศาจสมุทรที่อยู่ตรงหน้าก็โจมตีเข้ามาอย่าสุดชีวิต


ดูจากประสบการณ์การต่อสู้ในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงรู้ว่าราชาปีศาจสมุทรใกล้จะหมดสิ้นหนทางแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าอีกไม่นาน ฝ่ายตรงข้ามก็จะหนีเข้าไปในจุดตัดมิติแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงต้องเผด็จศึกให้ไวที่สุด


ขณะนี้เขากลายเป็นเงาตามติดราชาปีศาจสมุทรโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจากแผลไฟไหม้อีกต่อไป หลังจากกระตุ้นไอปีศาจรอบตัวให้กลายเป็นกรงเล็บปีศาจแล้ว ก็โจมตีใส่อย่างรุนแรง


ราชาปีศาจสมุทรในขณะนี้ เห็นได้ชัดว่าเริ่มรับมือไม่ไหวแล้ว ด้านหนึ่งกระตุ้นเปลวเพลิงสีเงินรอบตัวให้หลอมละลายกรงเล็บปีศาจ ขณะเดียวกันก็พยายามบิดตัวเพื่อหลบเลี่ยงจุดสำคัญ และโบกสะบัดดาบแวววาวในมือเพิ่มการต้านทาน


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เงากรงเล็บสีดำฟ้าก็กระพริบเข้าไปบริเวณเอวของราชาปีศาจสมุทร “ฟู่!”


ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเป็นประกาย แสงสีม่วงเปล่งออกมาจากแขน ไอปีศาจสีดำบนแขนกลายเป็นแสงสีดำ และทะลักเข้าไปในบาดแผลอย่างบ้าคลั่ง


ราชาปีศาจสมุทรคำรามเสียงแหลมและเศร้ากำสรดออกมา ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีฟ้ารอบตัว เขาก็กลายเป็นมังกรสีฟ้าอีกครั้ง กรงเล็บมังกรข้างหนึ่งจับแขนหลิ่วหมิงที่เจาะเข้าไปในร่างไว้แน่น หางมังกรก็กลายเป็นเงาสีฟ้าฟาดลงพื้นอย่างรุนแรง


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง หลิ่วหมิงไม่อาจหลุดพ้นไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ทำได้แค่กระตุ้นไอปีศาจให้มารวมตัวกันบนแขนอย่างสุดชีวิต และใช้เกล็ดสีแดงเป็นชั้นๆ คอยต้านทานไว้


“ตู้ม!”


ภายใต้การปะทะกันระหว่างหางมังกรกับแขน ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเจ็บปวดที่แขนอย่างรุนแรง ครู่ต่อมาก็ถูกพลังมหาศาลบางอย่างฟาดใส่จนกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และกระแทกใส่เสาหินที่สูงสิบกว่าจั้ง


ขณะนั้นเอง มังกรสีฟ้าก็จ้องมองจุดตัดมิติกลางอากาศที่เปล่งแสงแวววาว และพ่นอักขระสีทองออกมา


อักขระสีทองอ่อนหมุนติ้วๆ กลางอากาศ และกลายเป็นสายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยก่อนพุ่งออกไป


เกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!


สายฟ้าสีเงินแลบลงบนจุดตัดมิติ แสงสีเงินเปล่งประกายบนม่านแสงสีขาว และถูกฉีกขาดจนเป็นรูขนาดจั้งกว่าๆ


ทันใดนั้นร่างของมังกรสีฟ้าก็พร่ามัวพุ่งออกจากเปลวเปลวสีเงิน และพุ่งไปบนอากาศ


“คิดจะหนีหรือ!”


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำเสียงฮึดฮัดและกระตุ้นพลังเวททันที ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนพื้นผิวเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าจุดตัดมิติ


เขาส่งเสียงคำรามและนำพลังเวทกับไอปีศาจทั้งหมดมารวมตัวบนแขนอีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ และตบอออกไป


“ฟู่!”


พริบตาที่ฝ่ามือยักษ์สีดำสลัวๆ ตบออกไป มันก็โจมตีลงบนร่างของมังกรทันที


แม้ว่ามังกรสีฟ้าจะพยายามหลบหลีกอยู่กลางอากาศอย่างสุดชีวิต แต่ดูเหมือนว่าเงาฝ่ามือยักษ์จะเข้ามาถึงภายในพริบตา และเจาะทะลุบริเวณหน้าท้องของเขาไป


มังกรส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา มันร่วงลงจากพร้อมโลหิตที่สาดกระเซ็น และตกลงพื้นอย่างรุนแรง


หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกไม่วางใจ ทันใดนั้นม่านวารีรอบตัวก็กลับมาเป็นมุกพลังวารีหนึ่งเม็ด พอโยนออกไป มันก็กลายเป็นเขาลูกเล็กๆ ที่สูงสิบกว่าจั้งกดทับร่างของราชาปีศาจสมุทรไว้ ทำให้เขาบิดตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก


เมื่อหลิ่วหมิงไม่รับรู้ถึงกลิ่นไอของราชาปีศาจสมุทรแล้ว เขาก็ถอนใจยาวออกมา และค่อยๆ ร่อนลงจากฟ้า


ครู่ต่อมา พลันมีเสียงดังหวึ่งข้างหูของเขา จากนั้นภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัวขึ้นมา


……


ตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงเข้าแดนมายา และคุ้นเคยกับร่างแปลงปีศาจ จนกระทั่งสามารถสังหารราชาปีศาจสมุทรได้เป็นครั้งแรกในตอนท้ายนั้น เขาใช้เวลาสามเดือนกว่า


เวลาในสองเดือนต่อมา หลิ่วหมิงยังคงทานโอสถฝึกฝนทุกวัน และใช้วิธีการต่างๆ ต่อสู้กับราชาปีศาจสมุทรหลากหลายครั้ง


แม้เขาจะไม่อาจรับรองได้ว่าสามารถสังหารราชาปีศาจสมุทรได้ทุกครั้ง แต่สถานการณ์ที่ตรงตามความคาดหมายก็คือ หลิ่วหมิงที่มีพลังของร่างแปลงปีศาจ สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างง่ายดาย


และในระหว่างเวลานี้ เขาทานโอสถผลึกเย็นระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยกระดับพลังเวทได้อย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ ซึ่งรวดเร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก


วันนี้ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งเข้าฌานอยู่นั้น ก็มีน้ำเสียงใสๆ ดังออกจากตัวของเขา


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาคว้ามือไปที่เอวแล้วหยิบแผ่นค่ายกลสีขาวออกมา มีอักขระสีเงินเล็กๆ ลอยขึ้นมาแถวหนึ่ง


หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองไป ก็ต้องหรี่ตาทั้งคู่ลงแล้วพูดพึมพำออกมา


“ครึ่งเดือนให้หลังหรือ? ในที่สุดงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกก็ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว”


เขาเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไป จากนั้นก็ไม่ได้ทานโอสถผลึกเย็นต่ออีก แต่กลับนั่งเข้าฌานอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อทำให้พลังเวทมั่นคง และปรับสภาพร่างกายและจิตใจของตนเองให้อยู่ในระดับที่สมบูรณ์ที่สุด


หลายวันก่อนหน้าวันประลองใหญ่ หลิ่วหมิงออกจากถ้ำที่พักไปอีกครั้ง เขาขี่เมฆไปยังตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์


ภายในตลาด หลิ่วหมิงใช้เวลาครึ่งวันเดินเข้าไปซื้อยันต์จำนวนมากจากร้านค้าและแผงลอยจำนวนหนึ่ง


ส่วนมากเป็นยันต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ส่วนโอสถฟื้นฟูพลังเวทที่อาจจำเป็นต้องใช้ในระหว่างการประลองนั้น ในมือเขามีโอสถจินหยวนคุณภาพต่างๆ อยู่หลายสิบเม็ด ดังนั้นย่อมไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้แล้ว


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไปหาร้านหลอมอาวุธสองแห่ง และขายพัดดับวิญญาณกับค้อนเล็กสีดำที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดให้กับร้านค้าทั้งสอง


คิดไม่ถึงว่าพอเถ้าแก่ร้านทั้งสองแห่งเห็นอาวุธจิตวิญญาณทั้งสอง ก็เสนอราคาออกมาทันที โดยที่พัดดับวิญญาณถูกเสนอราคาหนึ่งล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ ค้อนเล็กสีดำถูกเสนอราคาสองล้านหินจิตวิญญาณ


ภายใต้ความดีใจ หลิ่วหมิงจึงขายมันให้กับร้านค้าทั้งสองทันที


นอกจากนี้ เนื่องจากเขาสูญเสียกระบี่บินสีแดงในตอนเข้าวังมายานภาหยก จึงได้ซื้อกระบี่บินจิตวิญญาณระดับสูงจากร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่งในราคาสี่แสนเก้าหมื่นหินจิตวิญญาณ ซึ่งมียี่สิบหกชั้นจำกัด


ไม่ใช่ว่าหลิ่วหมิงไม่อยากจะซื้อกระบี่บินระดับสุดยอด แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากมาก


อีกอย่างเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ของเขาในตอนนี้ก็มาถึงจุดสำคัญแล้ว หากใช้กระบี่บินระดับสุดยอดล่ะก็ มีโอกาสที่จะหลอมรวมกับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ ทำให้ส่งผลไม่ดีต่อการใส่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณในภายหลัง สิ่งนี้ทำให้เขายอมที่จะใช้แค่กระบี่บินระดับสูง


เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พักด้วยความพอใจ ก็เดินเข้าไปในห้องหลอมอาวุธโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และใช้โลหิตบริสุทธิ์สังเวยกระบี่บินเล่มใหม่อีกครั้ง


หลายวันต่อมา แสงสีเทาลำหนึ่งกระพริบผ่านภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง


ภายใต้การเปล่งประกายของแสงกระบี่ เผยให้ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งที่กำลังถือกระบี่อยู่ ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


และที่ถืออยู่ในมือของเขาก็คือกระบี่บินสีเทาที่เพิ่งที่ซื้อมาใหม่เล่มนั้น


พอหลิ่วหมิงชี้ไปยังด้านหนึ่งของผนังหิน กระบี่เล็กสีเทาก็กลายเป็นแสงสีเทากระพริบผ่านไปพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่ทรงพลัง


ครู่ต่อมา ผนังหินก็ถูกแสงสีเทาฟันจนกลายเป็นรอยกระบี่ที่ลึกหลายฉื่อ


“ฟัน!”


ขณะนี้หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือชี้ไปยังก้อนหินยักษ์ที่อยู่ในห้องลับ


กระบี่เล็กสีเทาหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์สีเทาร่วงลงมา


“เพล้ง!” ก้อนหินยักษ์ที่สูงหลายจั้งส่งเสียงระเบิดดังออกมา มุมหนึ่งของมันถูกแสงสีเทาฟันออกมา บริเวณที่ถูกฟันนั้นราบเรียบเป็นอย่างมาก


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังชื่นชมกระบี่เล็กสีเทาในมือด้วยสีหน้าพอใจนั้น ก็มีน้ำเสียงคุ้นเคยดังเข้ามาจากนอกถ้ำ


“ศิษย์น้องหลิ่วอยู่ในถ้ำหรือไม่? ข้าคนแซ่เยี่ยนมาเยี่ยมเยียนแล้ว”


หลิ่วหมิงได้ยินก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง หลังจากกระบี่เล็กสีเทาหมุนติ้วๆ และหยุดนิ่งกลางอากาศแล้ว แสงสีเทาก็กระพริบจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ


“พี่เยี่ยนโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”


เขาส่งเสียงออกไปอย่างราบเรียบ จากนั้นก็ปัดเสื้อผ้าก่อนเดินออกไปห้องลับ พอเดินมาถึงหน้าประตู ก็ยกมือปล่อยพลังสีเขียวออกไป


ประตูหินยักษ์ส่งเสียงดังหวึ่ง และค่อยๆ เปิดออกมาเอง เผยให้เห็นเงาร่างของคนสองคน ซึ่งก็คือเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นนั่นเอง


“พี่เยี่ยน ศิษย์น้องเสวี่ยอวิ๋น ไม่เจอกันนานเลย” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็ให้ทั้งสองเข้ามาด้านใน


“ที่จริงพวกข้าทั้งสองตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียนตั้งนานแล้ว อยากมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกฝน น่าเสียดายที่พี่หลิ่วกักตัวฝึกฝนมาโดยตลอด หลายวันนี้ถึงมีคนบอกว่าเห็นท่านปรากฏตัวในตลาด พวกข้าถึงได้มาเยี่ยมเยียนถึงที่” เยี่ยนหมิงก็ประสานมือโค้งคารวะด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เดินไปด้วยเขาก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับการสังหารปีศาจหยินหยางกับเรื่องที่เข้าไปในวังมายานภาหยกไปด้วย


หลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร นอกจากจะบอกเรื่องการชิงอาวุธจิตวิญญาณกับรางวัลที่ได้รับในวังมายานภาหยกอย่างคลุมเครือแล้ว เรื่องอื่นๆ เขาก็บอกทั้งสองอย่างละเอียด


ทั้งสองเองก็ฟังจนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เสวี่ยอวิ๋นดูมีสีหน้าชื่นชมเป็นอย่างมาก


ไม่นานทั้งสองก็ถูกหลิ่วหมิงพามาถึงในห้องโถง และนั่งลง


ตอนที่ 577 ประลองใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คิดไม่ถึงว่าเวลาแค่ไม่กี่ปี พี่หลิ่วก็มีประสบการณ์อกสั่นขวัญหายเช่นนี้….. ใช่สิ! คิดว่าพี่หลิ่วคงเข้าร่วมการประลองใหญ่ของสาขาทั้งแปดด้วย” เยี่ยนหมิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาพูดถึงเรื่องการประลองใหญ่


“การประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกเป็นงานใหญ่ของสาขาทั้งแปดเรา ข้าย่อมเข้าร่วมอย่างแน่นอน พูดถึงเรื่องนี้ ข้ากักตัวฝึกฝนนานไปหน่อย ช่วงนี้จึงไม่ได้สนใจเรื่องภายในสาขา ไม่ทราบว่าในสาขาทั้งแปดมีใครโดดเด่นบ้าง และยังมีคนจำพวกไหนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามไปตามน้ำ


“พี่หลิ่วถามได้ถูกคนแล้ว ภายในสาขาห่านฟ้านี้ ถ้าพูดถึงพลังล่ะก็ ตอนนี้ศิษย์พี่โจวโดดเด่นเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมี……”


หลังจากเวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา เยี่ยนหมิงก็บอกชื่อผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นในสาขาทั้งแปดตามที่เขารู้ให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด


ในระหว่างนั้นเสวี่ยอวิ๋นก็ช่วยพูดเสริม โดยบอกชื่อศิษย์สายนอกสองสามคนที่ต้องระวังเป็นพิเศษด้วย


หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าติดต่อกัน และพูดแทรกออกมาสองสามประโยคเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกันก็จดจำเรื่องราวที่ได้ยินทั้งหมดไว้ในใจ


“ครั้งนี้ต้องขอบคุณมาก เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องสับสนเมื่อเข้าร่วมงานประลองใหญ่แล้ว” หลิ่วหมิงฟังจบก็กล่าวขอบคุณอีกครั้ง


“พี่หลิ่วไม่ต้องเกรงใจไป พวกข้าทั้งสองเชื่อมั่นคะแนนในงานประลองใหญ่ของพี่หลิ่วมาก เพียงแค่เข้าสิบอันดับแรกได้ ก็มีโอกาสเป็นที่ถูกใจของผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ในนิกาย และเข้าไปเป็นศิษย์สายในได้ ใช่สิ! ข้ากับเสวี่ยอวิ๋นยังต้องไปตลาด เพื่อเตรียมของสำหรับการประลองใหญ่ในครั้งนี้ คงไม่รบกวนศิษย์พี่หลิ่วแล้ว อีกสามวันให้หลังเจอกันที่ลานประลองก็แล้วกัน” เยี่ยนหมิงกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความเกรงใจอีกเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวลาไปพร้อมกับเสวี่ยอวิ๋น


หลิ่วหมิงส่งทั้งสองออกไปแล้ว ก็กลับมานั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ในห้องลับ


หลายวันต่อมา


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับนั้น แผ่นค่ายกลที่อยู่บริเวณเอวก็สั่นสะท้านขึ้นมาเบาๆ และมีน้ำเสียงราบเรียบดังออกมา


“การประลองใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ศิษย์ทุกคนรีบมารวมตัวกันที่ยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ”


หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่แล้วลุกขึ้นมาทันที หลังจากตรวจสอบแหวนย่อส่วนอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ และเปิดแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณออกมาดูแล้ว เขาก็ออกไปจากถ้ำที่พัก และขี่เมฆเหาะไปยังยอกเขาเมฆาเลิศล้ำ


ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือภูเขาหลายลูกที่อยู่บริเวณนั้น ก็มีแสงหลบหลีกหลากสีพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และล้วนพุ่งไปทางยอดเขาเมฆาเลิศล้ำเช่นกัน


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวก็มาปรากฏตัวบนพื้นราบเรียบที่มีขนาดเกือบพันหมู่บนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ


ยอดเขานี้มีความสูงอยู่ในสิบอันดับแรกของบรรดายอดเขาบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณ สูงราวๆ เจ็ดแปดพันจั้ง มีเมฆหมอกลอยวนอยู่รอบๆ ราวกับว่าเป็นแดนเซียน


และตอนที่หลิ่วหมิงมาถึงนั้น พื้นราบเรียบบนยอดเขาก็มีคนมารวมตัวกันมากถึงสามสี่พันคนแล้ว และยังมีคนเหาะมาอย่างต่อเนื่อง


คนเหล่านี้ส่วนมากมีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี แต่ก็ยังมีศิษย์ธรรมดาอยู่จำนวนหนึ่ง แม้กระทั่งยังพอมองเห็นผู้ที่สวมชุดศิษย์สายในบ้างเป็นครั้งคราว


และใจกลางพื้นราบเรียบมีแท่นประลองหินสีดำที่สูงครึ่งจั้ง กว้างหลายสิบจั้งตั้งอยู่สิบกว่าแห่ง


และด้านหลังแท่นประลองทั้งสิบยังมีแท่นสูงสีขาวหยกขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ตั้งอยู่ มีเงาร่างคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น


สองคนในนั้น คนหนึ่งสวมชุดนักพรตสีเทาทั้งตัว มีหนวดยาว เขาก็คือเจียงจ้งที่เป็นหัวหน้าสาขานั่นเอง และผู้ที่มีหัวคิ้วตั้งขึ้นที่อยู่ด้านข้างของเขาก็คือเหลียงจ้านเกอที่เป็นรองหัวหน้าสาขา


นอกจากนี้ก็เป็นผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่มีใบหน้าซีดเซียวกับหญิงงดงามสวมชุดกรุยกราย รูปร่างค่อนข้างดี และคนอื่นๆ ซึ่งหลิ่วหมิงเคยเห็นในตอนที่เข้าแดนอบอ้าวแล้ว พวกเขาล้วนเป็นหัวหน้าสาขาของสาขาทั้งแปด


ส่วนคนที่เหลือนั้น กลิ่นไอบนตัวยากที่จะคาดเดาได้ ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งหมด


หลังจากหลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ไปหามุมยืนอยู่อย่างเงียบๆ


ไม่นาน ศิษย์สายนอกก็พากันมามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นสีขาวหยกก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น


บ้างก็ขี่เมฆหลากสีร่อนลงมาโดยตรง บ้างก็นั่งเรือเหาะหรือวิหคยักษ์มา


ทันใดนั้น สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากขอบฟ้า มันกระพริบแค่ไม่กี่ทีก็ร่อนลงบนแท่นสีขาวหยก หลังจากแสงแวววาวดับลงแล้ว ก็เผยให้เห็นร่างของผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อีกหลายคน


หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุสิบสองสิบสามปีกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีขาว และถือพัดสีเขียวอยู่ด้ามหนึ่ง พวกเขาก็คือผู้อาวุโสแซ่หลูกับทารกเฮ่าเยวี่ยที่เป็นผู้อาวุโสของหุบเขาเมฆาหยกนั่นเอง ด้านข้างยังมีหญิงวัยกลางคนสวมชุดสีเขียว อายุราวๆ สามสิบกว่าปี ใบหน้างดงามอยู่ด้วยผู้หนึ่ง


คนเหล่านี้พูดคุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างคุ้นเคยสองสามประโยค จากนั้นก็ไปรอคอยอยู่บนมุมแท่นสูง


หนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อยอดเขาทั้งลูกเต็มไปด้วยคนจำนวนมาก ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นสูงที่หัวหน้าสาขาทั้งแปดอยู่ ก็มีมากถึงห้าหกสิบคน


แน่นอนว่าคนเหล่านี้ไม่อาจเป็นตัวแทนของยอดเขาทั้งหมดในนิกายยอดบริสุทธิ์ เพียงแต่มีจำนวนศิษย์สายในอยู่ในมือ ทั้งยังมีความสนใจต่อการประลองใหญ่ในครั้งนี้ จึงได้ส่งคนมาดู


ขณะนี้ หญิงสาวงดงาม รูปร่างค่อนข้างดีที่ยืนอยู่ในบรรดาหัวหน้าสาขาทั้งแปดได้เงยหน้าขึ้นมาดูสีของท้องฟ้า ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาอย่างทนรำคาญไม่ได้


“ได้เวลาพอประมาณแล้วล่ะ”


“อืม! เวลาไม่เช้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเถอะ!” ชายอ้วนเตี้ยที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ


เจียงจ้งและหัวหน้าสาขาคนอื่นๆ ย่อมพยักหน้าโดยไม่มีข้อคัดค้านใดๆ


ดังนั้นชายอ้วนเตี้ยจึงก้าวไปด้านหน้าสองก้าว และกระแอมไอเบาๆ ก่อนประกาศออกมา


“การประลองใหญ่ของแปดสาขาที่สิบปีมีครั้ง จะถูกจัดขึ้นที่นี่ในวันนี้ ตอนนี้ข้าเป็นตัวแทนของทั้งแปดสาขามาประกาศกฎการประลองใหญ่”


แม้น้ำเสียงของชายอ้วนเตี้ยจะไม่ดังมาก แต่ดังสะเทือนไปทั่วทั้งยอดเขา ทำให้ศิษย์ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน


ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งหมดก็ค่อยๆ เงียบลง และมองไปยังแท่นสูงสีขาวหยก


ชายอ้วนเตี้ยกวาดสายตามองดูหนึ่งรอบ จากนั้นก็ประกาศต่อ


“กฎการประลองใหญ่ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเหมือนกับที่ผ่านมา ศิษย์สายนอกของสาขาทั้งแปดทุกคนต่างก็สามารถเข้าร่วมได้ รอบแรกจะใช้ระบบคัดออก ศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมจะต้องเสี่ยงทายหาคู่ต่อสู้ก่อน หลังจากทำการต่อสู้กันแล้ว ผู้ชนะเข้ารอบต่อไป และใช้ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนได้หนึ่งร้อยอันดับแรก”


“การแข่งขันรอบก่อนชิงชนะเลิศ จะใช้การเสี่ยงทายต่อสู้อีกครั้ง เพื่อหาสิบอันดับแรก ผู้ชนะสิบอันดับแรกจะทำการหมุนเวียนกันต่อสู้  ส่วนรายละเอียดกฎเกณฑ์นั้น จะอธิบายอย่างละเอียดอีกทีเมื่อตัดสินสิบอันดับแรกได้แล้ว”


“นอกจากนี้ผู้ชนะร้อยอันดับแรก จะได้รับหินจิตวิญญาณและแต้มคุณูปการเป็นรางวัล และผู้ชนะสิบอันดับแรกจะได้รับหินจิตวิญญาณและแต้มคุณูปการที่มากยิ่งกว่า และยังได้รับรางวัลอื่นๆ ที่ทางนิกายเตรียมไว้ให้ ด้วยเหตุนี้จึงหวังว่าทุกคนจะทำอย่างสุดความสามารถ นอกจากนี้ในระหว่างที่ทำการประลอง ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง แต่หากศิษย์คนใดตั้งใจทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือสังหารพวกพ้องเดียวกันตามอำเภอใจล่ะก็ จะถูกลงโทษสถานหนัก อย่างเบาก็แค่ถูกส่งไปที่คุกห้าขุนเขาสองขั้ว อย่างหนักก็ถูกทำลายพลังเวท และขับไล่ออกจากนิกาย”


“สำหรับกฎการต่อสู้ มีอธิบายอยู่บนกำแพงหินตรงแท่นประลองแล้ว อีกครึ่งชั่วยามให้หลังจะทำการเสี่ยงทาย ครึ่งวันให้หลังจะเริ่มการประลองทั้งสิบแท่นประลองพร้อมกัน”


หลังจากชายอ้วนเตี้ยพูดออกไปจำนวนมากภายในอึดใจ เขาก็ถอยหลังไปสองสามเก้า และพูดคุยสัพเพเหระกับหัวหน้าสาขาคนอื่นๆ


และบรรดาศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาก็เกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที แม้ว่าจะรู้กฎการประลองอย่างแจ่มแจ้งตั้งแต่แรกแล้ว แต่ยังคงกรูกันไปดูที่กำแพงหินใหญ่อย่างอดไม่ได้


……


“หัวหน้าเจียง ได้ยินมาว่าช่วงนี้สาขาห่านฟ้าของท่านมีผู้มีความสามารถคับคั่ง! นอกจากจะมีโจวเทียนรุ่ยที่ติดสิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งก่อนแล้ว ช่วงนี้ยังมีศิษย์แซ่หลิ่วเพิ่มขึ้นมาอีกคน คิดไม่ถึงว่าจะผ่านการทดสอบในวังมายานภาหยกมาได้” บนแท่นหยก ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองกำลังกล่าวกับเจียงจ้งด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง


“ที่ไหนกัน หัวหน้าเฉินชมเกินไปแล้ว! ข้ากลับได้ยินมาว่าสาขาวายุทะยานฟ้าของท่านมีศิษย์แซ่หลินที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าผู้อื่นเช่นกัน ทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาต่างๆ ของสายปีศาจ นอกจากนี้เฉินเติงที่เป็นหลานของท่าน ก็มีชื่อเสียงขจรไกลมาตั้งนานแล้ว วิชาค่ายกลของเขายากที่จะหาใครมาเทียบได้ มีทั้งสองคนนี้อยู่ คิดว่างานประลองใหญ่ในครั้งนี้ สาขาวายุทะยานฟ้าจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน” เจียงจ้งกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


พอคนอื่นๆ ได้ยินต่างก็ยิ้มบางๆ และไม่กล่าวอะไรออกมา


หญิงงดงามวัยกลางคนผู้นั้นกลับเม้มปากกลั้นหัวเราะเอาไว้


หัวหน้าสาขาทั้งแปดย่อมให้ความสำคัญกับการประลองใหญ่เป็นอย่างมาก ศิษย์ที่เข้ารอบสิบอันดับแรกได้ ไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้น สาขาที่สังกัดอยู่ก็จะได้รับการยกย่องจากนิกาย และได้รับทรัพยากรจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาของสาขาในสิบปีให้หลังมาก


หากศิษย์โชคดีได้ชนะเลิศมา ก็ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มเรื่องทรัพยากรฝึกฝนในช่วงสิบปีให้หลังอีก


จุดสำคัญอีกอย่างก็คือ ผลลัพธ์ของการประลองใหญ่ในแต่ละครั้ง จะตัดสินชื่อเสียงและผลประโยชน์ของพวกเขาในนิกาย ดังนั้นพวกเขาย่อมให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ของการประลองใหญ่มาก


พริบตาเดียว เวลาครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ในระหว่างเวลานั้น หลิ่วหมิงก็ไปอ่านประกาศของการประลองรอบแรกบนกำแพงหินอย่างละเอียดอีกครั้ง


การประลองรอบแรกแบ่งออกเป็นสิบเขต ใช้วิธีการต่อสู้เป็นคู่ๆ สิบคนสุดท้ายที่เหลือจะเป็นผู้ชนะสิบอันดับแรกของเขตนั้นๆ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งร้อยอันดับแรกขึ้นมา


และหลังจากคัดผู้แข็งแกร่งร้อยอันดับแรกมาได้แล้ว ก็จะทำการเสี่ยงทายอีกครั้ง ซึ่งยังคงต่อสู้กันเป็นคู่ๆ เพื่อตัดสินผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรก


สุดท้ายหลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองไปทางฝูงชนสองสามที จากนั้นก็เดินไปหน้าแผ่นศิลาที่สูงสิบกว่าจั้งตรงด้านหนึ่งของยอดเขา เพื่อทำการเสี่ยงทาย


ขณะนี้ แผ่นบนศิลามีชื่อของศิษย์จำนวนมากปรากฏอยู่เต็มไปหมด


เขานำป้ายนิกายที่อยู่บนเอวออกมา และโบกไปยังแผ่นศิลา จากนั้นแสงสีเขียวก็กระพริบหายเข้าไปในนั้น


มุมขวาล่างของม่านแสงสีเทาที่ปกคลุมศิลาจารึกอยู่ มีชื่อหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าปรากฏอยู่เขตที่เก้า


“เขตที่เก้า”


หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค


ขณะนั้นเอง ไม่รู้ว่าเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นเดินออกจากฝูงชนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมองเห็นฉากที่หลิ่วหมิงเสี่ยงทายพอดี


“เอ๋! ของศิษย์น้องหลิ่วเป็นเขตที่เก้า” เยี่ยนหมิงมองดูแผ่นศิลาแล้วกล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เยี่ยนกับศิษย์น้องเสวี่ย ท่านทั้งสองทำการเสี่ยงทายหรือยัง?” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วถามออกไป


“พวกข้าทั้งสองกำลังมาเสี่ยงทาย และมาเจอกับศิษย์น้องหลิ่วพอดี” เสวี่ยนอวิ๋นที่สวมชุดสีขาวยิ้มให้เล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา


ขณะที่พูดทั้งสองก็พากันนำป้ายนิกายโบกไปยังแผ่นศิลา


สีแสงสีเขียวสองลำกระพริบออกมาแล้วจมหายเข้าไปในแผ่นศิลาเช่นกัน


จากนั้นชื่อของทั้งสองก็ดูเหมือนจะปรากฏออกมาพร้อมกัน เยี่ยนหมิงถูกแยกไปอยู่เขตที่ห้า และเสวี่ยอวิ๋นก็ถูกแยกไปอยู่ที่เขตที่หนึ่ง


“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขตที่ห้า” เยี่ยนหมิงจ้องมองแผ่นศิลาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย


หลิ่วหมิงชำเลืองมองแผ่นศิลาทีหนึ่ง ในเขตที่ห้ามีชื่อผู้แข็งแกร่งสองคนที่เยี่ยนหมิงเคยพูดถึงในก่อนหน้านั้น


“ศิษย์พี่เยี่ยน การประลองใหญ่ของนิกายเป็นการแลกมือกันเท่านั้น หากเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็ให้คิดเสียว่าเป็นประสบการณ์ต่อสู้จริงที่หาได้ยากก็พอแล้ว” ดูเหมือนเสวี่ยอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างจะอ่านความในใจของเยี่ยนหมิงออก นางจึงเอ่ยคำพูดปลอบใจออกมา


เยี่ยนหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูรายชื่อบนเขตที่เก้าอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากดวงตาของเขาเป็นประกาย ก็ค้นพบว่ามีชื่อของจั้งเสวียนอยู่ในนั้นด้วย


นอกจากนี้แล้ว ยังมีศิษย์อีกสองคนที่เยี่ยนหมิงบอกว่ามีชื่อเสียงไม่เบา ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน


แต่ว่าทุกเขตการประลองต่างก็มีสิบตำแหน่งที่เข้าเป็นผู้แข็งแกร่งร้อยอันดับแรก ดังนั้นก่อนเข้าสู่ร้อยอันดับแรก ก็ใช่ว่าเขาจะได้เจอกับคนเหล่านี้เสมอไป


ตอนที่ 578 ประลองใหญ่แปดสาขา (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากเสี่ยงทายเสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็บอกลาเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋น เมื่อมาถึงบริเวณแท่นประลองที่เก้า เขาก็หาสถานที่ที่มีคนน้อยแล้วนั่งขัดสมาธิพักผ่อน


ไม่นาน ชายอ้วนเตี้ยที่อยู่บนแท่นหยกก็หยุดการสนทนากับคนรอบข้าง และเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็เริ่มประกาศด้วยเสียงอันดัง


“ได้เวลาแล้ว การประลองใหญ่ในรอบแรกเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้ ขอให้ศิษย์ทุกคนไปประจำที่แท่นประลองที่เสี่ยงทายมา และเริ่มประลองตามดำลับหมายเลขที่ได้รับ”


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ศิษย์หลายพันคนที่อยู่ด้านล่างก็แยกย้ายกันไปล้อมแท่นประลองของตนเอง


และบนแท่นประลองของแต่ละเขต ต่างก็มีผู้ดำเนินการระดับผลึกอยู่หนึ่งคน เขากำลังประกาศการจับคู่ต่อสู้ และเรื่องราวบางอย่างที่ต้องระวัง


ตอนนี้หลิ่วหมิงก็ยืนอยู่ในกลุ่มคนที่ล้อมรอบแท่นประลองที่เก้าแล้ว ขณะที่รับฟังการบรรยายของผู้ดำเนินการ เขาก็กวาดสายตามองดูรอบด้านไปด้วย และก้มมองหมายเลขบนป้ายของนิกาย


เขตที่เก้ามีศิษย์ทั้งหมดสี่ร้อยกว่าคน เขาอยู่ลำดับที่สามร้อยหกสิบสอง ก่อนหน้านั้นจะมีการต่อสู้กันหนึ่งร้อยกว่าครั้ง และตอนนี้ก็เหลือเวลาแค่ครึ่งวัน คิดว่าตนเองคงยังไม่ได้ขึ้นไปประลองในวันนี้


……


“รอบต่อไป หมายเลขยี่สิบห้าต่อสู้กับหมายเลขยี่สิบหก!”


ที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ เวลาแค่หนึ่งถ้วยชา ก็ตัดสินแพ้ชนะไปได้สิบกว่ารอบแล้ว นี่ห่างจากที่เขาคาดคิดไว้มาก


และคู่ต่อสู้บนแท่นประลองแต่ละคู่ ต่างก็มีระดับการฝึกฝนห่างกันไม่มาก ในนั้นย่อมมีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นมากที่สุด ศิษย์จำนวนหนึ่งที่มีพลังอ่อนแอ ยังไม่ทันจะนำอาวุธจิตวิญญาณออกมา ก็ถูกเคล็ดวิชาของฝ่ายตรงข้ามควบคุมไว้จนพ่ายแพ้ไปในพริบตา


พอศิษย์ระดับของเหลวขั้นต้นจำนวนหนึ่งพบเจอกับขั้นปลาย พวกเขาก็ยอมแพ้โดยไม่ต้องทำการต่อสู้เลย


พอมองออกไป แท่นประลองอื่นๆ ก็แตกต่างกันไม่มากนัก


แน่นอนว่าย่อมมีศิษย์ที่มีการฝึกฝนระดับเดียวกัน พลังใกล้เคียงกันที่ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดสักระยะเวลาหนึ่งถึงจะตัดสินแพ้ชนะได้


แต่เนื่องจากไม่ใช่การต่อสู้ความเป็นความตาย พอมีคนตกเป็นเบี้ยล่าง หรือรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม ก็จะยอมแพ้แล้วกระโดดออกมาจากม่านแสง


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันรู้สึกถึงสายตาที่มองมาทางด้านหลัง เขาจึงหันกลับไปดูในทันที แต่กลับพบว่าเป็นจั้งเสวียน ชายฉกรรจ์ดวงตาสีม่วงผู้นั้น ซึ่งกำลังเดินออกจากแท่นประลองที่แปด และก้าวมาทางหลิ่วหมิง


“หลังจากกันที่วังมายานภาหยก ดูเหมือนว่าพลังเวทของพี่หลิ่วจะบริสุทธิ์ขึ้นมาไม่น้อย” หลังจากจั้งเสวียนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว ก็กุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา


“พี่จั้งเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ บรรลุระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว คิดว่าคงมีพลังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ข้าน้อยจะกล้าเทียบกับพี่หลิ่วได้อย่างไร วันนั้นพี่หลิ่วสังหารปีศาจหยินหยางด้วยตนเอง ทั้งยังผ่านการทดสอบของวังมายานภาหยก พลังของท่านแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์ของผู้คนจำนวนมาก” พอนึกถึงเรื่องการทดสอบในวังมายานภาหยก จั้งเสวียนก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้


“ที่แท้คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่สังหารปีศาจหยินหยางผู้นั้น?” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


ทันใดนั้น ผู้คนที่อยู่รอบด้านก็มองมาทางหลิ่วหมิง และกระซิบกระซาบกันเบาๆ


ในขณะเดียวกัน สีหน้าหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปทันที พอหันหน้าไปบริเวณแท่นประลองที่เก้า ก็เจอกับชายหนุ่มร่างอ้วนที่จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม ในมือถือขนมอบที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน และกำลังกัดแทะอยู่


สายตาของคนผู้นี้เคร่งขรึมผิดปกติ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกดดันอยู่ลางๆ คิดว่าคงไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาแต่อย่างใด แต่เขาไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน และคนผู้นี้ก็ไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้มากความสามารถตามที่เยี่ยนหมิงพูดถึงด้วย


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงทำการคาดเดาอยู่ในใจชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็เรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และหันมาพูดกับจั้งเสวียนต่อ


“พี่จั้งชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น แต่ว่าพรสวรรค์เนตรอินทนิลของพี่จั้งน่าตกใจเป็นอย่างมาก การประลองใหญ่ในครั้งนี้จะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน”


จั้งเสวียนหัวเราะอย่างขมขื่น ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น การต่อสู้บนแท่นประลองที่เก้าก็ตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว และหลังจากทั้งคู่ลงจากแท่นประลองไป น้ำเสียงเยือกเย็นของผู้ดำเนินการระดับผลึกก็ดังขึ้นมา


“รอบต่อไป หมายเลขสามสิบเอ็ดต่อสู้กับหมายเลขสามสิบสอง”


“พี่หลิ่ว ข้าต้องขึ้นแท่นประลองก่อนแล้ว” จั้งเสวียนได้ยินก็กุมมือคารวะ ทันใดนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวสองสามที และกระโดดขึ้นบนแท่นประลองที่เก้า


หมายเลขสามสิบเอ็ดก็คือเขานั่นเอง


คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายหนุ่มเตี้ยเล็ก หน้าตอบปากแหลม มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น


ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหนุ่มเตี้ยเล็กไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกจั้งเสวียนปล่อยกำปั้นผ่านอากาศจนกระเด็นออกไปนอกแท่นประลองภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ


เวลาค่อยๆ ผ่านไป การประลองในแต่ละรอบก็ดำเนินไปตามลำดับขั้นตอน


เขตการประลองแต่ละเขต มีเสียงร้องไชโยและเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ขณะนี้ ผู้ที่มีพลังเหนือผู้คนเหล่านั้น ต่างก็เป็นคนเก่งกาจที่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญ พอเดินขึ้นแท่นประลอง ก็ดึงเสียงเรียกร้องของผู้ชมที่อยู่ด้านล่างได้


โจวเทียนรุ่ยที่เป็นหนึ่งในนั้นอยู่เขตที่สาม ขณะนี้มีเสียงชื่นชมออกมาเป็นระยะๆ ที่แท้ชั่วระยะเวลาเทียบเท่ากับการยกแขนยกขา เขาก็สามารถโจมตีศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายคนหนึ่งจนพ่ายแพ้ไปแล้ว


ไม่นาน ตรงเขตการประลองที่สอง การขึ้นแท่นประลองของหญิงชุดดำที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็ดูเหมือนจะก่อให้เกิดเสียงอุทานดังออกมา ชั่วเวลาเพียงไม่นาน หญิงสาวที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็โจมตีชายหนุ่มจนสลบไปได้อย่างง่ายดาย


หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ยังคงสังเกตดูการต่อสู้บนแท่นประลองด้านหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย และรอคอยอย่างเงียบๆ


การประลองใหญ่ในครั้งนี้ เขาได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้ว อย่างน้อยจะต้องชิงตำแหน่งสิบอันดับแรกมาให้ได้ แน่นอน! หากเป็นไปได้ล่ะก็ การชิงที่หนึ่งมาได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง


เช่นนี้แล้ว เขาไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรจำนวนมาก แต่หากถูกผู้อาวุโสยอดเขาลูกไหนถูกใจเข้า ก็สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้โดยตรง จะได้ไม่ต้องไปเดินเส้นทางอื่นให้ยุ่งยาก


เมื่อยามตะวันรอน ในที่สุดก็ถึงตาหลิ่วหมิงแล้ว


“รอบต่อไป หมายเลขสามร้อยหกสิบเอ็ดต่อสู้กับหมายเลขสามร้อยหกสิบสอง”


พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กระโดดขึ้นแท่นประลองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และร่อนลงด้านหนึ่งของแท่นประลอง


ม่านแสงรอบด้านปรากฏออกมาปกคลุมแท่นประลองไว้ทั้งหมด


ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบกว่าปี เป็นชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาที่มีใบหน้าหล่อเหลา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงขึ้นเวที ก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวออกมา


“ข้าน้อยจูอู้เทียนจากสาขาเซียวเซียง ขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่ด้วย”


“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ พอใช้จิตกวาดดูก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น


“อะไรนะ! ท่านคือหลิ่วหมิง!” จูอู้เทียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้าน แต่ก็เผยสีหน้าระแวดระวังออกมาในทันที


หลิ่วหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย


ขณะนี้ ผู้ดำเนินการระดับผลึกที่อยู่บนอากาศก็กล่าวออกมา “เริ่มได้” จากนั้นก็เหาะออกจากม่านแสง


ชายหนุ่มชุดเทาสะบัดแขนเสื้อในทันที ง่ามสั้นสีเหลืองอันหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ


หลิ่วหมิงจ้องมองง่ามสั้นในมือชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่มียี่สิบห้าชั้นจำกัด แต่เขายังคงยืนเอามือไขว้หลัง โดยไม่คิดจะลงมือเลยแม้แต่น้อย


“แม้พี่หลิ่วจะมีชื่อเสียงมาก แต่การกระทำเช่นนี้จะดูถูกกันไปหน่อยแล้ว” ท่าทีเมินเฉยของหลิ่วหมิง ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มชุดเทารู้สึกโมโหเล็กน้อย และขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึม


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง มือทั้งสองก็ปล่อยพลังเวทใส่ง่ามที่อยู่กลางอากาศ และชี้ออกไป


มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา ง่ามบินกลายเป็นสายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายเยือกเย็น เขากระตุ้นเคล็ดวิชาจนหมอกดำพวยพุ่งบนตัว พอยกมือขึ้นมา หมอกดำก็รวมตัวเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำ และพุ่งเข้าหาสายฟ้าสีทอง


เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” กลางอากาศ มือยักษ์สีดำกับสายฟ้าต่างก็ไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง


พอเห็นฉากเช่นนี้ดูเหมือนจะเหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเผยแววเฉียบขาดออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเงาหายไปจากที่เดิม


ขณะเดียวกัน บังเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” สายฟ้ากับฝ่ามือยักษ์สีดำระเบิดตัวกลางอากาศ และมีสายฟ้าพุ่งออกจากหมอกควันที่พวยพุ่ง


ขณะนั้นเอง เงาร่างราวกับปีศาจก็มาปรากฏตัวด้านหลังชายหนุ่มชุดเทา และตบฝ่ามือยักษ์สีดำใส่หลังของเขาเบาๆ โดยไร้สุ้มเสียง


ชายหนุ่มชุดเทาไม่ทันได้ตอบสนองแต่อย่างใด ปราณแกร่งคุ้มร่างจึงถูกฝ่ามือยักษ์สีดำตบใส่จนแตกกระจายภายในพริบตา และกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้งพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนาก่อนหล่นลงด้านนอกแท่นประลอง


เนื่องจากง่ามสั้นกลางอากาศขาดการติดต่อกับเจ้าของ มันจึงร่วงหล่นลงพื้นเสียงดัง “เพล้ง!”


ตั้งแต่ชายหนุ่มชุดเทาปล่อยง่ามสั้นออกมา จนถึงตอนที่ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนกระเด็นออกไป เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น


“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ” ผู้ดำเนินการระดับผลึกกลางอากาศเห็นเช่นนี้ก็ประกาศออกมาทันที แต่ดวงตากลับเผยแววประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้


“ออมมือแล้ว!”


หลิ่วหมิงพูดเบาๆ ไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลองไป


ด้านล่างแท่นประลอง ชายผอมสูงที่ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ร่วมสาขากับชายหนุ่มชุดเทาได้ก้าวเข้ามาประคองตัวเขา


ไม่นานชายผอมสูงก็ประคองชายหนุ่มชุดเทาหายไปจากฝูงชนโดยไม่ปริปากออกมา


หลังผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม การประลองในวันแรกก็ปิดฉากลง


หลิ่วหมิงไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง เขาก็ขี่เมฆดำเหาะกลับไปยังถ้ำที่พัก


……


เช้าตรู่วันที่สอง มีผู้คนมารวมตัวกันอย่างหนาแน่นบนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำอีกครั้ง


แต่เทียบกับวันแรกแล้ว ดูเหมือนจะลดลงไปหนึ่งในสามส่วน


หลังจากผ่านการต่อสู้วันแรกไปแล้ว มีคนถูกคัดออกครึ่งหนึ่ง ผู้คนที่มาในวันนี้มีจำนวนหนึ่งที่ถูกคัดออกไปแล้ว เพียงแค่มาชมการต่อสู้เท่านั้น


เพราะหากได้เห็นคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือระดับสูง ก็จะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนและยกระดับประสบการณ์ต่อสู้จริงในภายหน้าได้


บนแท่นหยก เมื่อนับรวมหัวหน้าสาขาทั้งแปดกับรองหัวหน้าสาขาแล้ว กลับมีแค่ราวๆ สิบคน ซึ่งน้อยกว่าวันแรกเล็กน้อย


และผู้อาวุโสยอดเขากลับมีมากกว่าวันแรกหลายคน


หลิ่วหมิงมาถึงบริเวณแท่นประลองที่เก้าตั้งแต่เช้า หลังจากหาพื้นที่สงบได้แล้วก็สังเกตดูอย่างเงียบๆ


พอเขากวาดจิตออกไป ก็ค้นพบว่าหลังผ่านการต่อสู้ในวันแรก ศิษย์ที่เหลืออยู่ส่วนมากก็มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง มีส่วนน้อยที่เป็นระดับของเหลวขั้นต้น


และหลังจากเริ่มประลองได้ไม่นาน การต่อสู้ระหว่างศิษย์ระดับของเหลวขั้นกลางกับขั้นปลายก็ดุเดือดกว่าวันแรกมาก เวลาในการต่อสู้ก็ยาวนานกว่าวันแรกด้วย


ครึ่งวันต่อมา ในที่สุดก็ถึงตาหลิ่วหมิงขึ้นไปต่อสู้อีกครั้ง


“รอบต่อไป หมายเลขสามร้อยหกสิบสองต่อสู้กับหมายเลขสามร้อยหกสิบสี่” ผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เดินออกจากฝูงชนด้วยรอยยิ้มจางๆ และกระโดดขึ้นบนแท่นประลอง


ตอนที่ 579 ประลองใหญ่แปดสาขา (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

อีกด้านหนึ่งของแท่นประลองก็ยังไม่มีคนเดินขึ้นมา


“หมายเลขสามร้อยหกสิบสี่ พานเทียนเฟิงจากสาขาเสวียนเหมี่ยว หากไม่ขึ้นแท่นประลองล่ะก็ จะถือว่าสละสิทธิ์ล่ะนะ” ผู้ดำเนินการระดับผลึกรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม


พอคำพูดนี้หลุดออกไป ฝูงชนด้านล่างก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมา


“ไม่ต้องเร่ง ข้าอยู่นี่แล้ว” ขณะนั้นเองชายหนุ่มขาวอวบสวมชุดผ้าแพรสีเงิน ท่าทีสะโอดสะอง ก็มาปรากฏตัวบนแท่นประลอง


พอคนผู้นี้เหยียบลงบนแท่นประลอง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา


“ว่ากันว่าแม้พานเฟิงเทียนผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังแท้จริงของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับผลึกเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด”


“ท่านกล่าวไม่ถูกต้อง แม้ข้าจะไม่รู้พลังที่แท้จริงของคนผู้นี้ แต่ตระกูลพานก็นับว่ามีหน้ามีตาในนิกายไม่น้อย ว่ากันว่าพานเทียนเฟิงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายเมื่ออายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น สาเหตุส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการที่ทางตระกูลให้โอสถเพิ่มพลังเวทที่มีชื่อเสียงต่างๆ จนบรรลุขั้นขึ้นมาได้”


ขณะที่ด้านล่างแท่นประลองกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น พานเทียนเฟิงก็มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ ค้อนเล็กสีดำก็ปรากฏอยู่ในมือ และกล่าวออกมาด้วยท่าทีหยิ่งยโส


“ข้าพานเทียนเฟิงจากสาขาเสวียนเหมี่ยว ศิษย์น้องผู้นี้ไม่ต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามแล้ว ขอใช้ชัยชนะในวันนี้มาเปิดคมอาวุธจิตวิญญาณของข้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่นี้เถอะ”


หลิ่วหมิงไม่ตอบกลับแต่อย่างใด แต่พอหดรูม่านตาสังเกตดูค้อนเล็กที่เปล่งแสงสีดำอยู่ในมือของชายหนุ่ม เขาก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


ค้อนเล็กนี้เป็นสิ่งที่เขานำไปขายในตลาดด้วยราคาสองล้านหินจิตวิญญาณเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ร้านหลอมอาวุธแห่งนั้นก็แซ่พานเช่นกัน


หลิ่งหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองดูพานเทียนเฟิงตรงหน้าอีกครั้ง และค่อยๆ เหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อย


พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้กลับรู้สึกโมโหอย่างอดไม่ได้ มือทั้งสองทำท่ามือกระตุ้นพลังเวทไปยังค้อนเล็กสีดำอย่างบ้าคลั่ง พอสะบัดข้อมือ ค้อนเล็กสีดำก็ถูกโยนขึ้นบนอากาศ


ค้อนเล็กสีดำสั่นไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก็เปล่งแสงสีดำออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ อักขระสีดำจำนวนมากเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว


ขณะที่พลังจิตวิญญาณสั่นสะเทือนไปทั่วทิศร่างรุนแรง ก็ทำให้ผู้ชมบริเวณอื่นๆ รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และพากันหันมามองแท่นประลองที่เก้า


บนแท่นสูงที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้หลายคนก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ได้ จึงละสายตามองมา


เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ พานเทียนเฟิงก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็กัดฟันปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน


ค้อนยักษ์สีดำแผดเสียงออกมา ลวดลายสีดำบนพื้นผิวค่อยๆ ชัดเจนขึ้น


หลิ่วหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และจ้องมองค้อนยักษ์กลางอากาศด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


ค้อนเล็กสีดำเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบชั้นจำกัด ตอนนี้ดูเหมือนจะมีอานุภาพน่าตกใจมาก แต่พานเทียนเฟิงกลับกระตุ้นชั้นจำกัดแค่ยี่สิบกว่าชั้น ดูท่าหากไม่ใช่ว่าพลังเวทของเขาไม่เพียงพอ ก็คงทำการปรับแต่งไม่ทัน


ขณะนั้นเอง พานเทียนเฟิงก็คำรามเสียงต่ำและกระโดดขึ้นมาทันที จากนั้นก็คว้าค้อนเล็กกลางอากาศไว้ และโบกไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรุนแรง


“ฟู่!”


มีเสียงดังขึ้นบนพื้นแท่นประลอง เงาค้อนสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา และพวยพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่งหมิงเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศที่สูงสิบกว่าจั้ง ซึ่งสามารถหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย


เงาค้อนสีดำโจมตีลงบนขอบม่านแสงทันที หลังจากส่งเสียงดังตู๊ม มันก็กลายเป็นจุดแสงสีดำสลายไป แต่ม่านแสงก็สั่นสะท้านเบาๆ เห็นได้ชัดว่ามันมีอานุภาพไม่น้อย


ศิษย์จำนวนมากเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน สายตาที่มองดูค้อนสีดำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


พอพานเทียนเฟิงเห็นว่าหลิ่วหมิงหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย หน้าเขาก็เริ่มแดงขึ้นมา


จากนั้นเขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาและโบกสะบัดค้อนยักษ์หนึ่งที ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีดำ เงาค้อนสิบกว่ากลุ่มก็ม้วนตัวออกไป


ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกาย หลังจากร่างของเขาพร่ามัว ก็มาปรากฏตัวตรงมุมแท่นประลอง ทำให้เงาค้อนโจมตีใส่แต่ความว่างเปล่า


หลังจากผ่านการโจมตีเช่นนี้ไปสามสี่ครั้ง พานเทียนเฟิงก็มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย และหายใจถี่ขึ้น แต่นอกจากหลิ่วหมิงจะหลบหลีกอยู่บ่อยครั้งแล้ว ก็ไม่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย


ค้อนนี้สิ้นเปลืองพลังเวทเป็นอย่างมาก แม้แต่หลิ่วหมิงเองก็รับไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์คนนี้ล่ะ


ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ชมรอบแท่นประลองหัวเราะออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


“เจ้าหลบหลีกอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้ จะนับว่าเป็นประลองได้อย่างไร! หรือว่าแค่เห็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของข้า ก็กลัวแล้วหรือ?” พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ก็ตะคอกด้วยความโกรธ


“ไม่ผิด” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถูจมูกแล้วพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด


พอคำพูดนี้ออกจากปาก ศิษย์จำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้นก็หัวเราะออกมา


“เจ้า……เจ้ากล้าต่อสู้กับข้าอย่างองอาจหรือไม่!” พานเทียนเฟิงประนามด้วยความโมโห


ขณะนี้ ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาของเขากลับแดงขึ้นมา พอนึกถึงว่าตนเองเป็นถึงนายน้อยตระกูลพาน แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นลูกไม้เช่นนี้ เขาก็เรียกค้อนยักษ์กลับมาด้วยความโมโห และใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ค้อนยักษ์สีดำเปล่งแสงสีดำออกมา


“ได้!” หลิ่วหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ยังคงไม่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย เขาเอามือทั้งสองไขว้หลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย


พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ ก็ถือค้อนยักษ์พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


ขณะที่พานเทียนเฟิงพุ่งเข้ามาถึงตรงหน้านั้น หลิ่วหมิงกลับตั้งใจเผยช่องโหว่ออกมา


ผลลัพธ์คือดวงตาของคนผู้นี้เผยแววดีใจออกมา และทุบค้อนยักษ์ใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นเงาสีดำสลัวๆ ม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง


แต่หลิ่วหมิงแค่ขยับตัวเบาๆ ก็สามารถหลบเงาค้อนจำนวนมากไปได้อย่างเหลือเชื่อ และมาปรากฏตัวอีกแห่งหนึ่ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคว้าน้ำเหลว


“เจ้า……” พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ก็เบิกตาสองข้าง สุดท้ายยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา สีหน้าของเขาก็ซีดขาว และหมดสติก่อนล้มลงพื้นด้วยเสียงดัง “โครม!”


ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีในก่อนหน้านั้น ทำให้พลังเวทของเขาถูกค้อนสีดำดูดจนหมดสิ้น และไม่อาจยืนหยัดได้อีก


ตั้งแต่ตอนที่พานเทียนเฟิงนำค้อนเล็กสีดำออกมา จนถึงตอนที่หมดสติล้มลงบนพื้นนั้น ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น และตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วหมิงก็ไม่ได้นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย และยังไม่เคยลงมือโจมตีด้วย แต่กลับได้ชัยชนะมาแล้ว


สิ่งนี้สามารถกล่าวได้ว่าไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การประลองใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน


และผู้ชมที่ดูอยู่ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


แน่นอน! นี่ก็เป็นเพราะว่าพานเทียนเฟิงอาศัยโอสถในการสะสมพลังเวท พลังต้นกำเนิดจึงไม่บริสุทธิ์ มิเช่นนั้นต่อให้จะใช้พลังเวทแค่ไหน ก็ไม่ถึงกับทนรับไม่ไหวเช่นนี้


“การประลองในรอบนี้ หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!”


หลังจากมีเสียงประกาศผลดังออกมา หลิ่วหมิงก็ยิ้ม และหายวับไปจากแท่นประลอง


“จุ๊ๆ! พานเทียนเฟิงผู้นี้เป็นศิษย์สาขาเสวียนเหมี่ยวของพวกท่านล่ะสิ!” หญิงงดงามหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา


ชายอ้วยเตี้ยที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


พานเทียนเฟิงผู้นี้มีคุณสมบัติไม่เลว แต่กลับมีนิสัยเกียจคร้าน แม้ว่าพลังเวทส่วนมากจะเกิดจากการทานโอสถมหาศาล แต่วันนี้ก็เข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีอยู่หลายชิ้น ย่อมมีโอกาสเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันค่อนข้างมาก


แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ศิษย์ผู้นี้จะนำอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ออกมา ผลลัพธ์ถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้


“อ่ะแฮ่ม! ศิษย์สาขาห่านฟ้าผู้นั้นก็ไม่ธรรมดาจริงๆ พอมองก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ใช้พลังเวทค่อนข้างมาก…..ท่านหัวหน้าเหลียง คนผู้นี้คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ!” ชายอ้วนเตี้ยกระแอมไอเบาๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที


“ไม่ผิด! เป็นเขานั่นเอง” เหลียงจ้านเกอตอบกลับอย่างสุภาพ


“ได้ยินมาว่าวิชาที่คนผู้นี้ฝึกฝนในก่อนหน้า ก็เป็นวิชาของศิษย์สายใน การทดสอบในแดนอบอ้าวก็ได้เผยแววโดดเด่นออกมา ดูจากวันนี้แล้วคงมีความสามารถอยู่จริงๆ” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


เหลียงจ้านเกอได้ยินกลับยิ้มให้เล็กน้อย และไม่พูดอะไรมาก


ชายอ้วนเตี้ยเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก


เจียงจ้งกลับเอามือฟั่นหนวด และยิ้มโดยไม่กล่าวอะไรออกมาเลย


ขณะนี้ หัวหน้าสาขาอีกหลายคนกับรองหัวหน้าสาขาต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็ไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย สนใจแต่ศิษย์ของตัวเองเท่านั้น


แต่ทางด้านทารกเฮ่าเยวี่ยก็มองแท่นประลองที่เก้าทีหนึ่งด้วยแววตาที่เป็นประกาย


ชายแซ่หลูที่เป็นผู้อาวุโสดูแลยอดเขาและหญิงที่อยู่ด้านข้างกลับจดจ่ออยู่กับการต่อสู้อย่างดุเดือดบนแท่นประลองอีกแห่ง


แท่นประลองแต่ละแห่งกำลังทำการต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลิ่วหมิงเพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมเงียบสงบบางแห่งอย่างเงียบๆ และไม่ค่อยสนใจสถานการณ์การต่อสู้อื่นๆ มากนัก


ตอนบ่าย หลิ่วหมิงก็เอาชนะผู้ฝึกฝนกระบี่ที่ในมือถือกระบี่เล็กสีเขียวได้อย่างง่ายดาย ฝ่ายตรงข้ามเพิ่งจะฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ได้ไม่นาน ซึ่งยังไม่สำเร็จขั้นต้นด้วยซ้ำ จึงถูกหลิ่วหมิงใช้ประสบการณ์คว้าเอาช่องโหว่ และโจมตีจนพ่ายแพ้ภายในกำปั้นเดียว


ขณะที่การต่อสู้ในวันที่สองใกล้จะสิ้นสุดนั้น หลิ่วหมิงก็เห็นว่าวันนี้ตนเองไม่มีการต่อสู้อีก และเขาก็ไม่สนใจการต่อสู้ของคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย จึงขี่เมฆกลับไปยังที่พักของตนเอง


การประลองในวันที่สามยังคงดำเนินต่อด้วยความตื่นเต้น


ไม่รู้จะบอกว่าหลิ่วหมิงโชคดีหรือว่าคู่ต่อสู้ใช้ความโชคดีหมดแล้วหรืออย่างไร คู่ต่อสู้รอบที่สี่ของเขาถึงเป็นแค่ชายหนุ่มร่างเตี้ยที่มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ก่อนหน้านั้นชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยเจอกับศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายเลย ซึ่งถือว่าโชคดีมาก


ผลลัพธ์คือเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ปราณแกร่งคุ้มร่างของชายหนุ่มร่างเตี้ย ก็ถูกหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬโจมตีจนแตกสลาย จนเขาต้องรีบยอมแพ้ก่อน


จากการประลองอย่างเป็นลำดับขั้นตอน สถานการณ์ในเขตการประลองแต่ละแห่งก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา ขณะนี้เขตประลองที่หลิ่วหมิงอยู่ ก็มีคนเหลือแค่ยี่สิบกว่าคนแล้ว


และตามกฎการประลองในรอบแรก การประลองเพื่อคัดออกในรอบที่ห้า ก็มีการต่อสู้แค่สิบรอบเท่านั้น ส่วนอีกไม่กี่คนที่เข้ารอบโดยไม่มีคู่ต่อสู้ในก่อนหน้านั้น ก็สามารถเลือกทำการต่อสู้กับหนึ่งในสิบอันดับแรกได้ตามใจ หากเอาชนะได้ก็จะให้แทนที่ไปเลย


ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าแผ่นศิลาที่มีการเขียนสถานการณ์การต่อสู้ติดอยู่ เขาค้นพบว่าคู่ต่อสู้ในรอบสุดท้ายเป็นชายฉกรรจ์ชุดฟ้าที่เยี่ยนหมิงเคยพูดถึง ซึ่งติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งก่อน


ตอนที่ 580 ประลองใหญ่แปดสาขา (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงกำลังยืนคุมเชิงอยู่กับชายฉกรรจ์ชุดฟ้าบนแท่นประลองที่เก้า


พอผู้ดำเนินการประกาศให้เริ่มการต่อสู้ได้ ชายชุดฟ้าผู้นั้นก็ตบไปที่เอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หมอกควันสีขาวสามสายม้วนตัวออกมาทันที หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นปีศาจกระดูกขาวสามตัว แต่ละตัวสูงสามจั้งกว่าๆ ทั้งยังมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางด้วย


พอชายหนุ่มชุดฟ้าส่งเสียงตะคอก ปีศาจกระดูกทั้งสามก็พ่นไหมสีขาวออกมา และก้าวยาวๆ ไปทางที่หลิ่วหมิงยืนอยู่


พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาด้วยสีหน้าเฉียบขาด หมอกดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ตามมาด้วยเสียงมังกรร้อง ภายใต้การรวมตัวของหมอกดำทั้งสองด้าน พริบตาเดียวก็กลายเป็นมังกรหมอกสองตัวหมุนวนออกมา และพุ่งใส่ปีศาจกระดูกสองตัวทันที


พอทั้งสี่ปะทะกัน มังกรหมอกดำทั้งสองที่มีอานุภาพเหนือกว่า ก็แหวกไหมสีขาวเข้าไปประชิดตัวปีศาจกระดูกได้อย่างง่ายดาย และไอดำบนตัวก็พวยพุ่งไม่หยุด


ปีศาจกระดูกทั้งสองหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่งโดยไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย


ชายชุดฟ้าเปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด แต่ไม่ว่าปีศาจกระดูกสองตัวที่ถูกขังจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดออกมาได้


สีหน้าของชายชุดฟ้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ขณะนี้ ปีศาจกระดูกอีกตัวเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงไม่ไกล และหัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาด จากนั้นก็อ้าปากพ่นเข็มกระดูกสีเขียวหยกออกมา


ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากทำเสียงฮึดฮัดออกมา เขาก็ชกเข็มกระดูกจนกระเด็นออกไปทั่วทิศ และโจมตีใส่ปีศาจกระดูกอย่างไม่หยุดยั้ง


ประจักษ์ชัดว่า ชายหนุ่มชุดฟ้าคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย ภายใต้สถานการณ์จวนตัวเช่นนี้ เขาคิดที่จะกระตุ้นปีศาจกระดูกให้หลบหลีกก็ไม่ทันแล้ว


ได้ยินแค่เสียงพยัคฆ์ที่คำรามออกมา!


จากนั้นคลื่นยักษ์สีดำก็พุ่งขึ้นฟ้า พยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งทะลุผ่านร่างของปีศาจกระดูกไป หลังจากหยุดชะงักกลางอากาศเล็กน้อยแล้ว ก็กระโจนไปด้านหน้าพร้อมกับกรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่ง


ชายชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา พอสะบัดแขนเสื้อโบกสะบัดง่ามกระดูกสองอันบนมือ หอกเพลิงสีแดงก็ก่อตัวขึ้น และม้วนตัวเข้าหาพยัคฆ์ทมิฬด้วยเสียงอันดัง “ฟู่!”


แสงไฟกลางอากาศสว่างขึ้นมา พยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่สลายตัวเป็นหมอกควันสีดำ


หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เขาหรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูง่ามกระดูกทั้งคู่ของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด


ผิวด้านหนึ่งมีลวดลายจิตวิญญาณสีแดงเปล่งประกายไม่หยุด มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่บนนั้น ส่วนลวดลายจิตวิญญาณอีกด้านกลับเป็นสีฟ้า และกำลังแผ่ไอสีขาวออกมาเป็นเส้นๆ


ง่ามกระดูกชุดนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณธาตุน้ำกับธาตุไฟที่พบเจอได้น้อยมาก!


หลิ่วหมิงชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


มังกรหมอกสองตัวหยุดนิ่งในทันที กะโหลกของปีศาจกระดูกสองตัวที่ถูกปิดล้อมไว้ระเบิดตัวเสียงดัง “โพล๊ะ!” “โพล๊ะ!” ร่างไร้ศีรษะกลายเป็นเนินกองกระดูกอย่างรวดเร็ว


ชายชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก


แม้จะบอกว่าสามารถฟื้นฟูปีศาจกระดูกทั้งสามกลับมาได้ แต่ก็ต้องสูญเสียไม่น้อย


แต่ยังไม่ทันที่ชายชุดฟ้าจะแสดงวิธีการใดๆ ออกมา หลิ่วหมิงก็ชิงลงมือก่อนแล้ว


พอแขนทั้งสองสั่นสะท้านผลักไปด้านหน้า มังกรหมอกดำทั้งสองก็หมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ และพุ่งเข้าหาชายชุดฟ้า


ชายชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ก็ร่ายคาถาออกมา ลวดลายจิตวิญญาณบนง่ามกระดูกทั้งสองเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง หลังจากเอามันมาตั้งตัดสลับกันและแยกออกจากกันอีกครั้ง เสาวารีสีฟ้ากับเปลวเพลิงสีแดงก็พุ่งออกมาพร้อมกัน


เกิดเสียงดังขึ้นกลางอากาศ “ฟู่ๆ!”


พริบตาเดียว เปลวเพลิงก็หมุนรอบเสาวารีแล้วกลายเป็นสีแดงฟ้า


หลิ่วหมิงเอามือทั้งสองถูกัน มังกรหมอกดำกลางอากาศรวมตัวเป็นหนึ่งในทันที และกลายเป็นมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าหาเสาอัคคีวารีสองสี


เกิดเสียงดังขึ้นมา!


เปลวเพลิงสีแดงกับคลื่นวารีสีฟ้าม้วนตัวออกไปทั่วทิศ และต่อสู้กับมังกรหมอกกลางอากาศโดยไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง


พื้นที่สิบกว่าจั้งบนแท่นประลองถูกปกคลุมไปด้วยพลังสามสี ได้แก่สีฟ้า สีแดง สีดำ และมีเสียงตูมตามออกมาอย่างไม่ขาดสาย


การเคลื่อนไหวการอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้บนแท่นสูงพากันมองมาโดยไม่รู้ตัว


ขณะนั้นเอง พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็มาปรากฏตัวรอบตัวชายชุดฟ้า ม่านทรายสีทองห่อหุ้มตัวเขาไว้ มันคือทรายทองคำร่วงที่หลิ่วหมิงปล่อยออกมาโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ตัวนั่นเอง


จากนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนท่ามือไม่หยุด ทรายทองคำหมุนวนอย่างรวดเร็ว หนามแหลมสีทองยื่นออกมาภายในม่านทราย และทิ่มแทงใส่ชายชุดฟ้า


ภายใต้สถานการณ์ที่ชายชุดฟ้าไม่ทันได้ระวัง จึงได้แต่พยายามกระตุ้นง่ามกระดูกในมือ จากนั้นมันก็กลายเป็นกำแพงอัคคีกับกำแพงวารีช่วยต้านทานไว้


แม้ว่ากระดูกอัคคีวารีคู่นี้จะมีอานุภาพมาก แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิด เมื่อเผชิญหน้ากับม่านทรายทองคำที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ เห็นได้ชัดว่าการป้องกันเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังเวทมาก และไม่อาจยืนหยัดได้นาน


ชายชุดฟ้าส่งเสียงคำรามออกมา ง่ามกระดูกในมือถูกนำมาไขว้กันทันที และกลายเป็นบุปผาแสงสีแดงฟ้าสองดอก จากนั้นค่อยๆ บานออกไปรอบด้าน


ม่านทรายสีทองที่หมุนวนรอบตัวเขาไม่หยุด ถูกแสงบุปผาทั้งสองดันออกมา


แต่จะเห็นว่ามีเส้นเอ็นปูดโปนบนหน้าผากของชายชุดฟ้า มีเหงื่อออกเต็มศีรษะ ประจักษ์ชัดว่าวิชานี้ก็เป็นท่าไม้ตายของเขาเช่นกัน


ขณะนี้ หลิ่วหมิงกลับคว้ามือทั้งสองไปกลางอากาศ มีมุกกลมๆ อยู่ในฝ่ามือสองเม็ด หลังจากเอามาถูกันจนรวมเป็นหนึ่งแล้ว ก็โยนออกไปกลางอากาศทันที


“ฟู่!”


เงาภูเขาเล็กๆ สีเหลืองที่สูงเจ็ดแปดจั้งปรากฏตัวด้านบนอากาศเหนือร่างของชายชุดฟ้า และกดทับลงมา


เดิมทีบุปผายักษ์ที่ดันม่านแสงสีทองอยู่ก็สิ้นเปลืองพลังมากแล้ว พอถูกเงาภูเขาลูกเล็กๆ กดลงมาเช่นนี้ มันก็ระเบิดตัวออกมาราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้าย


หลังจากมีเสียงอู้อี้ดังขึ้น คลื่นสีฟ้าแดงก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ……


พอหลิ่วหมิงกวาดจิตออกไปดู และหยุดทำท่ามือ ทรายทองคำร่วงที่อยู่ไกลๆ ก็หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ และกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


เงาภูเขาสีเหลืองก็กลับมาเป็นมุกสีดำเช่นเดิม และพุ่งเข้ามาหาเขา


หลังจากหลิ่วหมิงเก็บอาวุธจิตวิญญาณทั้งสองชิ้น และคลื่นพลังทั้งหมดแล้ว ร่างของชายหนุ่มชุดฟ้าก็ปรากฏออกมา


ขณะนี้ เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง มีบาดแผลขนาดต่างๆ เต็มตัว ง่ามกระดูกบนมือทั้งสองก็ดับแสงลง ดูกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก


“ข้า……ยอมแพ้” ชายชุดฟ้ามองหลิ่วหมิงตรงหน้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ และได้แต่กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ


“ออมมือแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ จากนั้นก็กระพริบหายไปจากแท่นประลอง และเดินออกไปไกลๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา


การที่หลิ่วหมิงเอาชนะคู่ต่อสู้สิบอันดับแรกในการประลองใหญ่ครั้งก่อนได้ ย่อมทำให้ศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่เกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง


และศิษย์คนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องต่อสู้ ต่างก็ไม่มีใครกล้าท้าสู้กับเขา จึงได้แต่เลือกคนอื่นๆ เท่านั้น


หลิ่วหมิงก็ไปหาที่สงบๆ รอการต่อสู้รอบแรกสิ้นสุดอย่างเงียบๆ


แต่หลังจากมองออกไปครู่หนึ่ง สายตาของเขาก็ตกลงบนแท่นประลองที่เก้าอีกครั้ง


ผู้ที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดบนแท่นประลองนี้ก็คือจั้งเสวียนชายหนุ่มเนตรอินทนิลนั่นเอง ประจักษ์ชัดว่าการต่อสู้ในช่วงสำคัญของร้อยอันดับแรก ในที่สุดก็ได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง


คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายรูปร่างอวบ อาวุธจิตวิญญาณของคนผู้นี้เป็นตราประทับสีดำ มันสามารถขยายขนาดใหญ่เล็กได้ตามใจ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา


หลิ่วหมิงรู้สึกคุ้นเคยกับคนผู้นี้เล็กน้อย ตอนงานประลองรอบแรกเพิ่งเริ่มต้น คนผู้นี้ก็กัดแทะขนมอบราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ทำให้สายตาจำนวนมากมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ


ขณะนี้ จั้งเสวียนกำลังกระตุ้นกระบี่ยาวสีเหลืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พอฟันมันลงมา ปราณกระบี่สีเหลืองจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง อานุภาพของมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก


เห็นได้ชัดว่า หลังจากชายหนุ่มสายเลือดเนตรอินทนิลผู้นี้เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีเช่นกัน


แต่ทว่าพอเผชิญหน้ากับปราณกระบี่ที่ทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำ ชายร่างอ้วนกลับปล่อยพลังออกไปด้วยสีหน้าสงบ และกระตุ้นตราประทับเหนือศีรษะให้พ่นแสงสีดำที่ดูคล้ายกับม่านวารีออกมาต้านทานไว้ตรงหน้า


พอปราณกระบี่สีเหลืองจำนวนมากโจมตีลงบนม่านแสง ก็มีเสียงดังราวกับฝนตก จากนั้นม่านแสงสีดำก็ดีดปราณกระบี่เหล่านี้จนกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย


“พี่อู่ ท่านป้องกันอย่างเดียวไม่ทำการโจมตีเช่นนี้ กำลังดูถูกข้าอยู่หรือ?” จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วถาม


ชายร่างอ้วนได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย และไม่ตอบคำถามอะไรออกมา


จั้งเสวียนมีแววตาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาแสดงอาการโมโหออกมา พอกระตุ้นท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง กระบี่ยาวสีเหลืองบนมือก็เปล่งแสงออกมา และพอชี้นิ้วออกไป ปราณกระบี่สีเหลืองที่กว้างหนึ่งจั้งกว่าๆ ก็พุ่งยิงออกมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นแสงสีม่วงหกลำให้ตามติดปราณกระบี่ไป


หลิ่งหมิงจำสิ่งที่จั้งเสวียนนำออกมาได้ มันคือชุดมีดบินสีม่วงที่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้กับราชาอัคคีจิตวิญญาณในแดนอบอ้าวในตอนนั้น ดูท่าตอนนี้จั้งเสวียนคงจะฟื้นฟูมันได้แล้ว


ครู่ต่อมา สายรุ้งยาวสีเหลืองกระพริบมาตรงหน้าชายร่างอวบ พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ก็เกิดรอยร้าวเส้นหนึ่งบนม่านแสงสีดำ และแสงสีม่วงทั้งหกที่ตามติดเข้ามา ก็แทงทะลุม่านแสงไปหาชายร่างอวบ


“ขึ้น!”


ชายหนุ่มร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็คำรามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ครู่หนึ่ง ตราประทับสีดำเหนือศีรษะพร่ามัวหายไปในฉับพลัน ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ภายใต้การเปล่งประกายของม่านแสงสีดำ ทำให้แสงสีม่วงทั้งหกกระเด็นกลับไปหาจั้งเสวียน


จั้งเสวียนทำท่ามือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาสีม่วงทั้งสองเป็นประกาย แสงสีม่วงทั้งหกดับลง และกลายเป็นมีดบินสีม่วงพุ่งเข้าไปในปากเขาอีกครั้ง


ตราประทับสีดำตรงหน้าชายร่างอวบกลับขยายใหญ่หลายเท่า จนมีขนาดใหญ่ราวกับบ้านหลังหนึ่ง และดันเข้าหาจั้งเสวียนราวกับเป็นกำแพงยักษ์ ทำให้เขาไม่อาจหลบหลีกได้


จั้งเสวียนรู้สึกใจเย็นสะท้าน กระบี่ยาวสีเหลืองหลุดจากมือกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเหลืองเล่มหนึ่ง และฟันลงบนตราประทับอย่างรุนแรง


พอแสงสีดำเปล่งประกาย กระบี่ยักษ์สีเหลืองก็ถูกดีดกระเด็นไปในพริบตา ตราประทับสีดำเปล่งแสงแวววาว และกดดันมาพร้อมกับน้ำหนักมหาศาล


จั้งเสวียนมีสีหน้าซีดขาวอยู่ครู่หนึ่ง มือทั้งคู่ทำท่ามือติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีม่วงทั้งคู่เป็นประกาย พริบตานั้นม่านแสงสีม่วงจางๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


ตอนที่ 581 ประลองใหญ่แปดสาขา (4)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตราประทับสีดำถูกแสงสีม่วงต้านทานไว้ ทันใดนั้นมันก็หยุดชะงักในพริบตา


ขณะนั้นเอง ชายร่างอวบก็ตะโกนและผลักมือทั้งสองออกไปด้านหน้าอย่างรุนแรง


จั้งเสวียนหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีก จึงกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และตกลงนอกแท่นประลอง


“ออมมือแล้ว!” ชายร่างอวบโบกมือปล่อยพลังออกไป ตราประทับสีดำหดตัวลงเป็นตราขนาดเล็ก และพุ่งกลับเข้าไปในมือเขา


“อู่หมิงจากสาขาเสวียนจีชนะ!” ศิษย์ดำเนินการที่อยู่ใต้แท่นประลองประกาศออกมาทันที


จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา เขารู้ดีว่าพลังของตนเองสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ จึงพลิกตัวขึ้นแล้วเดินจากไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา


ขณะเดียวกัน ศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่บริเวณรอบๆ ก็วิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้เมื่อครู่ด้วยสีหน้าตื่นเต้น


“อู่หมิง……” หลิ่วหมิงมองดูชายร่างอวบบนแท่นประลองด้วยตาที่เป็นประกาย คนผู้นี้มีพลังเหนือกว่าที่เขาคาดหมายเล็กน้อย โดยเฉพาะตราประทับที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้หลายรูปแบบ มันจะต้องไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไปอย่างแน่นอน ตอนต่อสู้บนแท่นประลองยิ่งได้เปรียบไม่น้อย


หัวหน้าสาขาทั้งแปดที่อยู่บนแท่นสูง ก็มองดูการต่อสู้เมื่อครู่นี้


เมื่อการประลองรอบแรกดำเนินการมาถึงจุดนี้ ผู้ที่ขึ้นแท่นประลองย่อมเป็นศิษย์แกนนำของแต่ละสาขา ดังนั้นหัวหน้าสาขาเหล่านี้ย่อมให้ความสนใจขึ้นมา


“ศิษย์น้องเฉา สาขาเสวียนจีของพวกเจ้ามีต้นกล้าดีจริงๆ ก่อนหน้านั้นข้าไม่เคยได้ยินชื่อศิษย์ที่ชื่ออู่หมิงผู้นี้มาก่อน คิดว่าคงเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่สินะ” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองของสาขาวายุทะยานฟ้าเอามือฟั่นหนวดกล่าวกับหญิงงดงามที่อยู่ด้านข้าง


“ศิษย์พี่เฉินชมเกินไปแล้ว อู่หมิงผู้นี้ยังต้องผ่านการฝึกฝนอีกมาก” หญิงงดงามกล่าวอย่างนอบน้อม แต่นางย่อมแสดงสีหน้าชื่นอกชื่นใจออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย


“อู่หมิงก็แค่พึ่งพาอาวุธจิตวิญญาณในมือเท่านั้น ถึงได้เปรียบในการต่อสู้บนแท่นประลองแคบๆ เช่นนี้ หากเป็นการต่อสู้จริงล่ะก็ ฮึ! มันก็ไม่แน่!” ชายอ้วนเตี้ยที่เป็นผู้ดำเนินงานประลองหัวเราะแล้วกล่าวออกมา


ศิษย์ที่เขาฝากความหวังไว้ เพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับศิษย์ที่มีแผลเป็นบนใบหน้าในเขตประลองที่สอง ซึ่งเป็นศิษย์ในสังกัดของหญิงงดงาม เขาจึงหงุดหงิดจนเอ่ยปากแทรกอย่างอดไม่ได้


“พูดเช่นนี้ เจ้าคิดว่าศิษย์ของข้าชนะอย่างไม่สมเกียรติงั้นหรือ ไม่รู้ว่าศิษย์สาขาเจ้ามีคนไหนบ้างที่ชนะอย่างสง่าผ่าเผย” หญิงงดงามได้ยินกลับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น


“เจ้า……” ชายอ้วนเตี้ยหน้าแดงขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่าถูกสะกิดบาดแผลเข้าอย่างแรง


ในการประลองรอบแรก ศิษย์สาขาเขาแพ้มากกว่าชนะ แม้แต่ศิษย์เก่าหลายคนที่ทำผลงานดีในงานประลองใหญ่ครั้งก่อน ก็ต้องเผชิญกับศัตรูแข็งแกร่งจนพากันตกรอบไป เขาจึงหาคำพูดตอบโต้ไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง


ในขณะเดียวกัน เจียงจ้งกลับยืนยิ้มอยู่คนเดียวโดยไม่กล่าวอะไรออกมา


สำหรับตอนนี้แล้ว การแสดงออกของหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้ามีผลการต่อสู้ที่ไม่เลว


ยังไม่ต้องพูดถึงศิษย์เก่าหลายคนที่ตั้งความหวังเอาไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งตอนนี้ทะลุร้อยอันดับแรกแล้ว  แม้แต่หลิ่วหมิงที่โดดเด่นในช่วงนี้ก็บุกมาถึงรอบก่อนชิงชนะได้ นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง


แน่นอน จั้งเสวียนที่หมายตาไว้กลับเผชิญกับศัตรูแข็งแกร่ง จึงต้องหลุดออกจากร้อยอันดับแรกไป เขาย่อมรู้สึกเสียใจเล็กน้อย


…….


ขณะที่การต่อสู้รอบสุดท้ายบนแท่นประลองสิ้นสุดลง เขตประลองที่เก้าก็คัดศิษย์จำนวนสิบคนที่จะเข้าต่อสู้ในรอบก่อนชิงชนะได้


ตั้งแต่หลิ่วหมิงเอาชนะชายหนุ่มชุดฟ้าที่ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของงานประลองในครั้งก่อนได้ เขาก็ไม่ได้รับการท้าสู้จากคนอื่นๆ อีก ตอนนี้ย่อมเข้าสู่ร้อยอันดับแรกอย่างราบรื่น


และก่อนรอบการชิงชนะ เขาก็จะไม่มีการต่อสู้เป็นการชั่วคราว หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว จึงเดินดูแท่นประลองอื่นๆ ทันที


“ยินดีที่ศิษย์น้องหลิ่วเข้าสู่ร้อยอันดับแรกแล้ว” หลิ่วหมิงเพิ่งจะเดินมาถึงบริเวณแท่นประลองที่ห้า เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นที่เดินเข้ามา ก็ประสานมือกล่าวแสดงความยินดี


“ศิษย์พี่เยี่ยนชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงยิ้มและกล่าวอย่างนอบน้อม


“คิดว่าตอนนี้ศิษย์น้องหลิ่วคงจะดูการต่อสู้ของเขตประลองอื่นสินะ สองวันมานี้พวกข้าได้เห็นศิษย์สายนอกที่มีพลังมาไม่น้อย จึงพอที่จะแนะนำให้ศิษย์น้องได้บ้าง” ทั้งสามพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นเยี่ยนหมิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน


แม้พวกเยี่ยนหมิงทั้งสองจะมีพลังไม่เลว แต่การเผชิญกับผู้แข็งแกร่งในงานประลองใหญ่ของนิกายเช่นนี้กลับไม่โดดเด่นพอ ย่อมถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ด้วยเหตุนี้จึงมีเวลาไม่น้อยในการไปดูการต่อสู้บนแท่นประลองอื่นๆ


“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ต้องรบกวนศิษย์พี่เยี่ยนแล้ว” หลิ่วหมิงก็ต้องการเช่นนี้พอดีจึงไม่ได้บอกปัดแต่อย่างใด


ต่อมา หลิ่วหมิงเดินดูการต่อสู้บริเวณรอบๆ พร้อมกับเยี่ยนหมิงและเสวี่ยอวิ๋น ขณะเดียวกัน ก็ฟังทั้งสองเล่าถึงผู้มีพลังแข็งแกร่งที่เพิ่งมาปรากฏตัวในงานประลองใหญ่ครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับข้อมูลมาค่อนข้างมาก


การต่อสู้ในเขตประลองทั้งสิบ นอกจากเขตที่เก้ากับเขตที่เจ็ดที่คัดเลือกสิบอันดับแรกเสร็จแล้ว เขตประลองอื่นๆ ก็เข้าสู่ขั้นดุเดือดเช่นกัน


ศิษย์เก่าที่เคยโดดเด่นในงานประลองใหญ่ครั้งก่อน ขณะนี้ก็เริ่มแสดงพลังที่แท้จริงออกมา


จะเห็นว่าลำแสงของวิชาต่างๆ บนแท่นประลองทั้งแปดพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องให้กำลังใจของผู้ชมก็ดังไม่ขาดสาย


เมื่อทั้งสามเดินมาถึงบริเวณเขตประลองที่สาม ก็มีแสงหลบหลีกจำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และกลิ่นไออันแข็งแกร่งก็ร่วงลงบนแท่นหยกสูงใหญ่


“พวกนี้ก็คือผู้ควบคุมยอดเขา และผู้อาวุโสยอดเขาต่างๆ คงเห็นว่าการคัดเลือกร้อยอันดับแรกใกล้จะเสร็จแล้ว ถึงมาสังเกตดูการต่อสู้ และเมื่อถึงช่วงเวลาช่วงชิงสิบอันดับแรก จะมีคนมามากกว่านี้อีก” เยี่ยนหมิงสังเกตเห็นสายตาของหลิ่วหมิง จึงอธิบายออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา งานประลองใหญ่ดำเนินมาถึงจุดนี้ ย่อมพอจะมองเห็นศิษย์ภายนอกที่มีความโดดเด่นบ้างแล้ว


บนแท่นประลองที่สาม โจวเทียนรุ่ย ชายหนุ่มชุดฟ้าจากสาขาห่านฟ้ากำลังถือน้ำเต้าสีเหลืองต่อสู้กับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งอย่างดุเดือด


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้น กำลังโบกสะบัดธงยักษ์ที่เปล่งแสงสีเขียวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็มีคมวายุสีเขียวรูปจันทราครึ่งดวงม้วนตัวออกมา มันโจมตีแสงสีเหลืองตรงหน้าจนแตกกระจาย และพุ่งเข้าหาโจวเทียนรุ่ยอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง


โจวเทียนรุ่ยเห็นเช่นนี้กลับตบน้ำเต้าอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นดินจิตวิญญาณสีเหลืองก็พุ่งออกมาหมุนวนรอบตัวเขา พอมีเสียงดัง “แคล่กๆ!” มันก็ก่อตัวเป็นเกราะพสุธาสีเหลืองหนาๆ


ครู่ต่อมา มีเสียงโจมตีกันอย่างรุนแรง และลำแสงสีเขียวเหลืองก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


แต่ทว่าหลังจากแสงสีเขียวสลายไป เกราะบนตัวโจวเทียนรุ่ยกลับมีรอยโดนฟันแค่สิบกว่าเส้นเท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย


“คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณธาตุดินผู้หนึ่ง นับว่าพบเจอได้น้อยมาก” หลิ่วหมิงมองดูการต่อสู้บนแท่นประลองแล้วกล่าวออกมา


“ไม่เพียงแต่เท่านี้ น้ำเต้าบนมือของศิษย์พี่โจวยังเป็นอาวุธจิตวิญญาณธาตุดินระดับสุดยอดด้วย ดูท่าฝ่ายตรงข้ามคงต้องเจอกับความยุ่งยากเข้าแล้ว” เยี่ยนหมิงได้ยินก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา


ระหว่างที่ทำการสนทนากันนั้น  ร่างของโจวเทียนรุ่ยก็โจมตีคมวายุสีเขียวจนแตกกระจายอีกครั้ง จากนั้นก็เทน้ำเต้าสีเหลืองในมือลง ทำให้มีแสงสีเหลืองพุ่งออกมา คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นมุกกลมๆ สิบกว่าเม็ดที่มีขนาดเท่านิ้วมือ


แค่พอมุกสีเหลืองเหล่านี้ร่วงลงบนแท่นประลอง มันก็เปล่งประกายกลายเป็นหุ่นนักรบสีเหลือง


พอมองออกไป หุ่นนักรบแต่ละตัวต่างก็สวมชุดเกราะพสุธาแบบเดียวกับโจวเทียนรุ่ยไม่มีผิด ในมือถือดาบที่ยาวครึ่งจั้ง ภายใต้การยกแขนข้างหนึ่งของโจวเทียนรุ่ย พวกมันก็พุ่งไปหาชายรูปร่างสูงใหญ่อย่างดุเดือด


พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาเผยแววเฉียบขาดออกมา พลังเวททั้งหมดถูกส่งเข้าไปในธงยักษ์อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็มีเสียงดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


“ให้ไว!”


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตะโกนออกมา ภายใต้การโบกสะบัดธง คมวายุขนาดหลายจั้งก็พุ่งออกมา และแทงทะลุหน้าอกหุ่นนักรบห้าหกตัวก่อนที่จะสลายไป


“ตู้ม!” “ตู้ม!”


หุ่นนักรบห้าหกตัวล้มลงพื้นทันที จากนั้นร่างของมันก็กลายเป็นดินจิตวิญญาณสีเหลือง


ขณะนี้ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่มีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าคมวายุยักษ์นี้ ก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังเวทไม่น้อย แต่ว่าผลลัพธ์ของมันก็ทำให้เขารู้สึกปลื้มปิติอยู่บ้าง


แต่ทว่าครู่ต่อมา ขณะที่เขาจะโบกสะบัดธงค่ายกลอย่างบ้าคลั่งเพื่อใช้คมวายุโจมตีหุ่นนักรบตัวที่เหลือทางด้านขวานั้น ใบหน้าปลื้มปีติของเขาก็ต้องหยุดชะงักไปในพริบตา


มีแสงสีเหลืองเปล่งประกายบนกองดินจิตวิญญาณทางด้านซ้าย จากนั้นมันก็ก่อตัวเป็นหุ่นนักรบ และเข้ามาบุกโจมตีอีกครั้ง


และดูเหมือนว่าจะไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างของมันเลยแม้แต่น้อย


ในขณะเดียวกัน โจวเทียนรุ่ยที่อยู่ด้านหลังกลับยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ตบน้ำเต้าสีเหลืองด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


ชายรูปร่างสูงใหญ่เห็นเช่นนี้กลับมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด แต่ทว่าภายใต้การพุ่งเข้ามาของหุ่นนักรบจำนวนมาก เขาก็ได้แต่โบกสะบัดธงในมือติดต่อกันเพื่อปล่อยคมวายุออกมา


แต่ดูเหมือนว่าหุ่นนักรบเหล่านี้จะฆ่าไม่ตาย เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็หมดพลังเวทไปกว่าครึ่งหนึ่ง และค่อยๆ ถูกบีบไปยังมุมหนึ่งของแท่นประลอง


ขณะนั้นเอง โจวเทียนรุ่ยที่อยู่ไม่ไกลกลับทำเสียงฮึดฮัดอย่างเยือกเย็น  จากนั้นก็ปล่อยแสงสีเหลืองลงบนตัวหุ่นนักรบทั้งหมด


ดาบบนมือหุ่นนักรบเหล่านี้ฟันออกไปพร้อมกันอย่างรุนแรง แสงดาบจำนวนมากกระพริบออกไป และประสานกันไปมาจนกลายเป็นแสงดาบยักษ์ที่มีขนาดเกือบเจ็ดแปดจั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เห็นเช่นนี้ ก็กระทืบเท้าทั้งคู่ลงพื้นด้วยความตกใจ จากนั้นร่างของเขาก็ถอยออกไปจากแท่นประลอง


ครู่ต่อมา มีเสียงดังก้องจนหูแทบหนวก “ตู้ม!”


แสงดาบยักษ์โจมตีลงบนชั้นกำจัดป้องกันของแท่นประลอง ทำให้มีแสงเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากสั่นสะท้านสองสามทีแล้ว ก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติ


ประจักษ์ชัดว่าม่านป้องกันนี้ไม่ได้กีดกั้นให้คนออกไป แต่มีผลในการต้านทานการโจมตีต่างๆ ของคนที่อยู่ในนั้นได้


“โจวเทียนรุ่ยชนะ!”


เมื่อศิษย์ดำเนินการส่งเสียงออกมา พวกหลิ่วหมิงทั้งสามก็มาถึงบริเวณแท่นประลองที่สองแล้ว


บนแท่นประลองในขณะนี้ หญิงสาวที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากำลังอาศัยกรงเล็บบินสีเงินในมือคู่หนึ่งคว้าไปคว้ามาราวกับเป็นสายฟ้าสีเงิน เพื่อทำการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างอุตลุต


ตอนที่ 582 ประลองใหญ่แปดสาขา (5)

โดย

Ink Stone_Fantasy

คู่ต่อสู้ของนางเป็นชายชุดขาวที่ใช้ค้อนคู่ในการต่อสู้ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างรวดเร็ว เขาก็โบกสะบัดค้อนสีแดงเพลิงทั้งสองอย่างรวดเร็วจนแม้แต่พายุก็ไม่อาจเล็ดลอดผ่านไปได้ เงาค้อนกลางอากาศจำนวนมากก่อตัวเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่ง


 ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หน้าผากของชายชุดขาวก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว


 ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!”


 แสงสีเงินแฉลบผ่านตรงหน้าชายหนุ่มราวกับสายฟ้าแลบ ภายใต้การเปล่งประกายของเงากรงเล็บสีเงิน เงาค้อนแน่นขนัดที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกตะกุยจนแตกกระจาย


 ภายใต้เสียงร้องอย่างเวทนา ชายชุดขาวทนไม่ไหวจนต้องถอยออกไปหลายก้าว บริเวณหน้าอกทางด้านซ้ายมีรอยกรงเล็บอยู่สามรอย และมีโลหิตสดๆ ไหลออกมา ดูเหมือนมันจะลึกจนมองเห็นกระดูก


 ชายหนุ่มชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็ตะโกนออกมา สายฟ้าสีแดงเข้มส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ และพุ่งออกจากค้อนทั้งคู่ ขณะเดียวกัน แสงสีแดงก็พุ่งออกจากร่างของเขา และรวมตัวเป็นเกราะอัสนีกลมๆ ปกคลุมร่างของเขาไว้


 หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าหัวเราะอย่างเยือกเย็น นางยื่นนิ้วออกไปพร้อมกับร่ายคาถา ทันใดนั้นแสงสีเงินจางๆ ก็ปกคลุมนิ้วมือทั้งสิบไว้


 ครู่ต่อมา พอหญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าชี้นิ้วออกไป กรงเล็บบินสีเงินทั้งสองก็เปล่งแสงสีเงินออกมา และรวมตัวเข้าด้วยกันทันที


 เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายดังออกมา กรงเล็บบินทั้งสองรวมตัวกันเป็นเสือดาวที่มีแสงสีเงินแวววาว และกระพริบหายไปจากแท่นประลอง


 ชายชุดขาวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ทันใดนั้น เขาก็ปล่อยพลังเวทใส่เกราะอัสนีอย่างบ้าคลั่ง


 ขณะที่ชายชุดขาวเพิ่งจะยกค้อนทั้งสองขึ้นมาบริเวณหน้าอกนั้น เงามายาสีเงินก็กระพริบมาถึงตรงหน้า


 “ตูม!”


 เกราะอัสนีถูกกรงเล็บของเสือดาวสีเงินแหวกจนเป็นรูขนาดใหญ่


 แสงสีเงินกระพริบแค่ทีเดียวก็มาถึงตรงหน้าชายชุดขาว กรงเล็บแหลมคมจำนวนมากเปล่งประกาย จากนั้นร่างของเขาก็กระเด็นออกนอกแท่นประลอง


 ขณะนี้ ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่เพิ่งจะมองเห็นรอยเลือดพร่ามัวบริเวณหน้าอกของชายชุดขาว และมองเห็นรอยตะกุยลึกๆ สองรอยได้อย่างลางๆ


 บนแท่นประลอง หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าดวงตาเป็นประกาย เสือดาวสีเงินกลายเป็นกรงเล็บบินสองข้างพุ่งกลับมาในมือนางอีกครั้ง


 “ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าที่ยั้งมือให้” ด้านล่างแท่นประลอง ชายชุดขาวพยายามลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาหยิบยันต์ห้ามโลหิตมาแปะไว้บริเวณหน้าอก และกุมมือกล่าวขอบคุณหญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้า


 ประจักษ์ชัดว่า หากเมื่อครู่หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าโจมตีหนักอีกหน่อย หัวใจของเขาคงถูกควักไปแล้ว


 “หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าผู้นี้ เป็นศิษย์เก่าของสาขาเสวียนจี มีนามว่าเจ้าอั้นอิน งานประลองใหญ่ในครั้งก่อนได้แสดงพลังแข็งแกร่งออกมา กรงเล็บบินคู่นั้นก็เป็นชุดอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่พบเจอได้น้อยมาก” เยี่ยนหมิงกล่าวกับหลิ่วหมิงเบาๆ


 สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที หลังจากพยักหน้าเล็กน้อยแล้ว ก็แอบจดจำเหตุการณ์ของหญิงนางนี้อย่างเงียบๆ


 เพราะยอดฝีมือระดับนี้ ในการต่อสู้รอบก่อนชิงชนะ จนกระทั่งการช่วงชิงสิบอันดับแรก ก็มีโอกาสที่จะเจอกันค่อนข้างมาก


 ……


 ครึ่งชั่วยามผ่านไป ณ เขตประลองที่สี่


 ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ เส้นผมเป็นสีขาวหิมะ กำลังยืนอยู่บนแท่นประลองด้วยมือเปล่า ดูเหมือนเขาจะไม่ได้นำอาวุธจิตวิญญาณใดๆ ออกมา


 และคู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่ง


 อากาศตรงหน้าชายหนุ่มผมขาวมีคมวายุ ลูกเปลวไฟ ศรวารี หินยักษ์ ลอยอยู่เป็นจำนวนมาก พอเขายกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น สิ่งของเหล่านี้ก็พุ่งยิงออกไปอย่างแน่นขนัด พอโบกมืออีกข้าง ก็มีคมวายุ ลูกเปลวไฟ และอื่นๆ ก่อตัวขึ้นมาแทน


 หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มผมขาวผู้นี้ได้ฝึกฝนวิชาพื้นฐานเหล่านี้ไปจนถึงระดับที่สมบูรณ์แบบทั้งหมดแล้ว!


 อีกด้านหนึ่ง ตรงหน้าชายหนุ่มผอมสูงมีโล่ป้องกันรูปสามเหลี่ยมต้านทานอยู่ ภายใต้การโจมตีของคมวายุ ลูกเปลวไฟ ทำให้มีแสงทรงกลดแผ่ออกมาตลอดเวลา ขณะเดียวกัน กระบี่ยาวที่เปล่งประกายสีฟ้าแวววาวบนมือเขา ก็ถูกโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด แสงกระบี่สีฟ้าจำนวนมากตัดสลับกันไปมา และฟันใส่ศรวารี ก้อนหินยักษ์ที่พุ่งเข้ามาจนแตกกระจาย


 ชายร่างผอมสูงสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ ย่อมมีพลังไม่อ่อนแอ โล่สามเหลี่ยมและกระบี่ยาวสีฟ้าในมือล้วนเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่มีคุณภาพไม่เลว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขากลับมีพลังต้านทานเท่านั้น ดูเหมือนไม่คิดจะโจมตีกลับด้วย


ชายหนุ่มผมขาวปล่อยศรวารี คมวายุออกไปอย่างหนาแน่นอีกครั้ง หลังจากถูกฝ่ายตรงข้ามค่อยๆ จำกัดไปแล้ว มือทั้งสองก็ดึงจากบนลงล่าง และคมวายุสีเขียวขนาดเท่าประตูบานหนึ่งก็พุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็ว


ครู่ต่อมา มีเสียงดังขึ้น คมวายุยักษ์โจมตีลงบนโล่สามเหลี่ยม


ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงไม่ทันได้ระวัง ร่างของเขาจึงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง โลหิตสูบฉีดไปทั่วร่าง


ขณะที่เขาเพิ่งจะตั้งหลักได้นั้น คมวายุยักษ์อีกสายก็ก่อตัวบนมือของชายหนุ่มติดต่อกัน ราวกับว่ามันไม่ได้ทิ้งระยะห่างเลยแม้แต่น้อย


 พอเห็นฉากเช่นนี้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็รู้สึกตื่นตระหนกตกใจขึ้นมา แม้เขาจะสามารถปล่อยคมวายุยักษ์แบบนี้ได้ แต่ไม่อาจก่อตัวได้รวดเร็วเช่นนี้


 ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าเขารู้ดีว่าตนเองไม่มีความเชื่อมั่นที่จะรับมือกับคมวายุยักษ์ที่โจมตีถี่ๆ เช่นนี้ได้


 แต่ทว่าครู่ต่อมา เขารู้สึกแน่นที่เท้าทั้งสอง และร่างของเขาก็หยุดชะงักลง


 บนเท้าทั้งสอง มีเถาวัลย์ขนาดเท่าข้อมือรัดพันอย่างแน่นหนา!


 ขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมากนั้น ลูกเปลวไฟขนาดเท่าศีรษะเจ็ดแปดลูกก็พุ่งตามติดคมวายุยักษ์มา


 “ข้า…… ข้ายอมแพ้!” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาทั้งคู่หลับสนิทอย่างช่วยไม่ได้


 ขณะที่ผู้ชมด้านล่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ และคิดว่าชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นมา


 ชายหนุ่มผมขาวเพียงกวักมือข้างหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ คมวายุยักษ์กับลูกเปลวไฟที่พุ่งเข้าหาชายรูปร่างผอมสูงก็สลายไปในพริบตา!


 ผู้ชมด้านล่างแท่นประลองเห็นเช่นนี้ ต่างก็สูดหายใจด้วยความตะลึงจนปากอ้าตาค้าง!


 “การต่อสู้รอบนี้ โหวคุนชนะ!” ผู้ดำเนินการกลางอากาศก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็รีบประกาศผลทันที


 ด้านล่างแท่นประลอง หลิ่วหมิงกลับครุ่นคิดถึงฉากการที่เพิ่งสิ้นสุดลงต่อสู้


 อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นโจวเทียนรุ่ย เจ้าอั้นอินหญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ต่างก็เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งมาก ทั้งยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอยู่ในมือ ซึ่งมีพลังพอที่จะเทียบเคียงกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกแล้ว แต่ทว่าเมื่อเทียบกับสองคนนี้แล้ว ชายผมขาวผู้นี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกตกใจมากกว่าอีก


 ดูจากวิชาห้าธาตุในเมื่อครู่ที่สามารถเก็บและปล่อยได้ดั่งใจแล้ว การควบคุมพลังห้าธาตุของคนผู้นี้ คงเข้าถึงระดับที่ยากจะคาดคิดแล้ว!


 …….


 บนแท่นสูงสีขาวหยก บรรดาหัวหน้าสาขาทั้งแปดต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปในเมื่อครู่


 “งานประลองใหญ่ในครั้งก่อน โจวเทียนรุ่ยกับเจ้าอั้นอินต่างก็มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปสิบปีแล้ว พลังของทั้งสองจะต้องก้าวหน้าเป็นอย่างมาก”


 “ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ว่าศิษย์ผมขาวผู้นั้นกลับดูแปลกประหลาดเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนวิชาห้าธาตุถึงระดับนี้ได้”


 “พี่เจิน ชายหนุ่มผมขาวผู้นั้นเป็นศิษย์ของสาขาเสวียนเหมี่ยวสินะ ช่างซ่อนไว้มิดชิดจริงๆ”


 พอได้ยินคำพูดนี้ คนอื่นๆ ก็มองมาทางชายอ้วนเตี้ยที่ยืนอยู่ตรงกลาง


 สีหน้าของชายอ้วนเตี้ยไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย คำพูดของเขาดูสุภาพ แต่ในใจกลับรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งนัก


 ชายหนุ่มผมขาวผู้นี้เป็นศิษย์สาขาเสวียนเหมี่ยวจริงๆ เพิ่งเข้านิกายมาไม่กี่ปีก่อน แต่กลับเก็บตัวฝึกฝนอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด


 หลายปีมานี้ เขาเคยเจอศิษย์ผู้นี้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น และไม่เคยสนใจเลย คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะแสดงออกมาได้โดดเด่นเช่นนี้


 ทางด้านแท่นหยก ผู้ควบคุมยอดเขากับผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง


 ศิษย์เก่าอย่างโจวเทียนรุ่ย พวกเขาย่อมเคยเห็นมาแล้ว และวันนี้สายตาส่วนมากต่างก็ตกอยู่บนตัวของชายหนุ่มผมขาว


 “ศิษย์พี่หลู สำหรับคนผู้นี้ท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” ทารกเฮ่าเยวี่ยถามชายแซ่หลูที่อยู่ด้านข้าง


 “ดูเหมือนว่าเขาจะมีวิชาห้าธาตุที่ไม่ธรรมดา ข้าคิดว่า…… คงเป็นร่างจิตวิญญาณบางอย่างที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ” ชายแซ่หลูเงียบไปเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา


 “พี่หลูกล่าวไม่ผิด ตามที่ข้าทราบมา มีโอกาสเป็นไปได้มากว่า ศิษย์ผู้นี้จะมีร่างห้าธาตุในตำนาน” นักพรตชุดแดงที่อยู่อีกด้านเอ่ยปากแทรกออกมา


 “ร่างห้าธาตุ?” พอคนที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินเช่นนี้ ต่างก็มองมาที่นักพรตชุดแดงด้วยความตกใจ


 “ข้าเองก็พอจะรู้มาจากการอ่านตำราในนิกายโดยไม่ตั้งใจ ร่างห้าธาตุนี้มีพลังในการทำความเข้าใจวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวกับธาตุทั้งห้าค่อนข้างสูง นับว่าเป็นร่างฝึกฝนวิชาห้าธาตุที่พบเจอได้น้อยมากในรอบพันปี แต่เนื่องจากธาตุทั้งห้าต่างก็ควบคุมกัน และยากที่อยู่ภายในร่างเดียวกันได้ ด้วยเหตุนี้ร่างจิตวิญญาณระดับนี้จึงเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก” นักพรตชุดแดงยิ้มบางๆ จากนั้นก็อธิบายให้กับทุกคนฟัง


 และพอคำพูดนี้ออกจากปาก กลับทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความคิดขึ้นมา


 ขณะที่ท้องฟ้าใกล้จะมืดนั้น การต่อสู้รอบแรกในเขตประลองทั้งหมดก็สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ และศิษย์ร้อยอันดับแรกก็ถูกคัดเลือกออกมาแล้ว


 หลิ่วหมิง โจวเทียนรุ่ย เจ้าอั้นอิน และศิษย์คนอื่นๆ รวมร้อยกว่าคน กำลังยืนอยู่หน้าแท่นหยกสูง และรอบด้านก็มีศิษย์หลายพันคนรายล้อมอย่างหนาแน่น พวกเขาต่างก็มองศิษย์ร้อยคนนี้ด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป มีทั้งอิจฉา ริษยา ใฝ่ฝัน เคารพเลื่อมใส เป็นต้น


 บนแท่นสูง ชายอ้วยเตี้ยแซ่เจินที่เป็นผู้ดำเนินการประลองพลันก้าวออกมาสองสามก้าว และกวาดสายตามองดูรอบด้าน


 การแสดงออกเหนือความคาดหมายของชายหนุ่มผมขาวในก่อนหน้านั้น ทำให้สีหน้าเขาดูไม่ได้เป็นอย่างมาก หลังจากมองผ่านไปเล็กน้อยแล้ว ก็ประกาศสิ้นสุดการประลองรอบแรกด้วยเสียงอันดัง ขณะเดียวกันก็แจ้งเกี่ยวกับการประลองรอบก่อนชิงชนะในวันพรุ่งนี้


 สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการประลองรอบก่อนชิงชนะ ก็จะคัดเลือกศิษย์สิบคนจากร้อยคนที่อยู่ตรงหน้านี้


 นอกจากนี้แล้วยังใช้วิธีการเสี่ยงทายแยกทั้งหมดออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละสิบคน และใช้ระบบคัดออกเพื่อเลือกหนึ่งคนเข้ารอบสิบอันดับแรก


 และการประลองใหญ่ในวันนี้ย่อมสิ้นสุดเพียงเท่านี้ บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็พากันไปจากยอดเขา


 ศิษย์สายนอกหนึ่งร้อยคนที่ผ่านการคัดเลือก ย่อมไม่มีผู้ใดเป็นผู้อ่อนแอ หลิ่วหมิงไม่อาจประมาทการประลองในวันพรุ่งนี้ได้ พอกลับถึงถ้ำที่พักก็รีบไปนั่งพักผ่อนในห้องลับอย่างเงียบๆ เพื่อปรับร่างกายให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด


 เช้าวันที่สาม ศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์หลายพันคนก็มารวมตัวกันบนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำอีกครั้ง และหลิ่วหมิงกับศิษย์ร้อยอันดับแรกคนอื่นๆ ก็มาถึงตรงหน้าแผ่นศิลาเสี่ยงทายอีกครั้ง


ตอนที่ 583 ประลองใหญ่แปดสาขา (6)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ศิษย์ดำเนินการเพียงแค่ใช้ป้ายในมือโบกไปทางแผ่นศิลา แสงสีเขียวก็จมหายไปในนั้น


ครั้งนี้หลิ่วหมิงถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่หก ดูเหมือนว่าคนในกลุ่มจะไม่มีคนที่คุ้นเคยเลย


ส่วนโจวเทียนรุ่ย เจ้าอั้นอิน อู่หมิง โหวคุนชายหนุ่มผมขาว ต่างก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอื่นๆ


“แบ่งกลุ่มครั้งนี้ ศิษย์น้องหลิ่วโชคดีไม่น้อย ตามที่ข้าทราบมา ในนี้ไม่มีศิษย์คนใดแข็งแกร่งเป็นพิเศษ” เยี่ยนหมิงมองดูสมาชิกของกลุ่มหกแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา


“เช่นนี้ศิษย์น้องหลิ่วก็มีโอกาสเข้ารอบสิบอันดับแรกแล้วสิ” ดวงตางดงามของเสวี่ยอวิ๋นเป็นประกาย


“อันนี้ก็พูดยาก ใครจะไปรู้ล่ะว่าในนี้จะมีผู้แข็งแกร่งแฝงอยู่หรือไม่?” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


การประลองใหญ่ในรอบนี้ นอกจากวิชาขี่กระบี่แล้ว เขาไม่คิดจะปิดบังพลังที่แท้จริงใดๆ อีก ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพยายามแย่งอันดับสูงๆ มาให้ได้ ดูสิว่าจะมีโอกาสเป็นศิษย์สายในหรือไม่


การฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของเขาในภายหน้า ต้องอาศัยถ้ำวายุสวรรค์ของนิกายในการฝึกร่าง และสถานที่จิตวิญญาณแห่งนี้ มีแต่ศิษย์สายในเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าไปได้


การต่อสู้รอบก่อนชิงชนะยังคงดำเนินการบนแท่นประลองทั้งสิบ


เป็นอย่างที่เยี่ยนหมิงคาดเดาไว้ ในกลุ่มที่หกไม่มีผู้มีพลังแข็งแกร่งแต่อย่างใด หลิ่วหมิงใช้พลังกายเนื้ออันแข็งแกร่งประกอบกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็สามารถเอาชนะติดต่อกันได้หลายรอบ


“ศิษย์ที่ชื่อหลิ่วหมิงผู้นี้มีกายเนื้อแข็งแกร่งมาก เกรงว่าอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปคงยากที่จะทำร้ายเขาได้ แต่วิชาที่ฝึกฝนดูเหมือนจะเป็นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสินะ! ศิษย์สายนอกทำไมถึงฝึกฝนวิชาของศิษย์สายในได้ล่ะ?” ดูเหมือนผู้อาวุโสชุดเหลืองผู้หนึ่ง จะเกิดความสนใจในตัวหลิ่วหมิงขึ้นมาเล็กน้อย จึงถามอย่างอดไม่ได้


“ศิษย์พี่หลู ดูเหมือนข้าจะจำคนผู้นี้ได้ หลายปีก่อนอวี้ชิงซือไท่จากสำนักเสียงมหัศจรรย์เคยพาผู้สืบทอดของลิ่วยินมาที่ยอดเขาเมฆาหยกของพวกท่าน ต่อมาทางหอคุมกฎได้แนะนำให้ไปเป็นศิษย์สายนอก ดูเหมือนจะเป็นหลิ่วหมิงผู้นี้สินะ?” หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดเรียบๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็หันไปถามชายแซ่หลูที่อยู่ด้านข้าง


“ไม่ผิด ตอนที่หลิ่วหมิงผู้นี้เข้านิกายนั้น ก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว ทางหอคุมกฎได้พิจารณาแล้ว ก็ไม่ได้ทำลายวิชานี้ของเขา” ชายแซ่หลูพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คนผู้นี้มีพลังไม่เลว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับยอดเขาเมฆาหยก เหตุใดศิษย์พี่หลูถึงไม่รับเขาไว้?” ผู้อาวุโสชุดเหลืองถามด้วยความแปลกใจ


“ศิษย์ผู้นี้มีพลังไม่เลวจริงๆ น่าเสียดายที่มีคุณสมบัติด้อยเกินไป มีเพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น” ชายแซ่หลูกล่าวอย่างราบเรียบ


“ที่แท้ก็มีสามชีพจรจิตวิญญาณ…..”


ผู้อาวุโสยอดเขาอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะหมดความสนใจไปในทันที


แม้พวกเขาจะรับศิษย์สายในได้หลายคน แต่การพิจารณาถึงพลังฝึกฝนก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต้องพิจารณาถึงพลังที่มีศักยภาพในอนาคตด้วย


เพราะหากมีคุณสมบัติค่อนข้างด้อยล่ะก็ แม้ภายหน้าจะทานโอสถวิเศษจำนวนมาก หรือฝึกฝนวิชาที่ดีแค่ไหน ก็เป็นการลงทุนมากแต่ให้ผลเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยอดเขาแต่ละแห่งมีทรัพยากรจำกัด ย่อมไม่ยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรให้กับศิษย์ที่มีคุณสมบัติต่ำเช่นนี้


หลังจากหลิ่วหมิงเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดมาได้ ในที่สุดการต่อสู้ของกลุ่มที่หกก็มาถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย


คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายชุดดำที่ควบคุมหุ่นวานรสองตัว


พลังของหุ่นวานรทั้งสองพอที่จะเทียบกับระดับของเหลวขั้นปลายได้ ภายใต้การกระตุ้นของชายชุดดำ มันก็กลายเป็นเงาสีดำพุ่งไปมาบนแท่นประลองอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเงากำปั้นสีดำที่เต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม จะทำให้หลิ่วหมิงจมอยูในนั้น อานุภาพของมันยังทำให้ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่รู้สึกตาลายขึ้นมา ยิ่งทำให้เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นต้องแอบปาดเหงื่อแทนหลิ่วหมิง


แต่ทว่าหลิ่งหมิงที่ถูกเงากำกั้นห่อหุ้มอยู่ กลับดูราวกับพายุอันเบาบาง ร่างของเขาเคลื่อนไหวท่ามกลางหมอกดำที่ลอยวน ก็สามารถหลบเงากำปั้นได้อย่างง่ายดาย และบางครั้งยังถือโอกาสหาช่องว่างโจมตีกลับ ทำให้หุ่นวานรบางตัวกระเด็นออกไป


แต่วานรทั้งสองก็แข็งแกร่งราวกับเหล็ก มันพลิกตัวลุกขึ้นมาต่อสู้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


แต่ผู้ที่ตั้งใจมองดูจะค้นพบว่า หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง กลิ่นไอของหุ่นวานรทั้งสองก็เริ่มอ่อนลงไปไม่น้อย ความเร็วของมันก็ลดช้าลงกว่าก่อนหน้านั้น


ขณะที่หลิ่วหมิงสะบัดกำปั้นโจมตีหุ่นวานรทั้งสองจนกระเด็นออกไปนั้น ร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวด้านหลังชายชุดดำราวกับปีศาจ ขณะเดียวกันก็สะบัดกำปั้นทั้งสองปล่อยเงากำปั้นสีดำออกไปเช่นกัน


ชายชุดดำคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ พริบตาเดียวก็รู้สึกว่าอากาศรอบตัวหนาแน่นขึ้นมา พลังกำปั้นอันน่ากลัวปิดทางถอยไว้ทั้งหมด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง จึงได้แต่ดันทุรังอ้าปากพ่นแสงสีดำออกมา จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงสีดำปกคลุมตนเองไว้


เกิดเสียงดัง “ตูม!” ตามติดด้วยเสียงดัง “เพล้ง!”


ม่านแสงสีดำถูกมุกพลังวารีประกอบกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬโจมตีจนแตกกระจายภายในพริบตา!


ชายชุดดำกระเด็นออกจากแท่นประลองและกระอักเลือดออกมา


และในขณะเดียวกัน อาวุธป้องกันสีดำที่มีลักษณะคล้ายเปลือกหอย ก็ร่วงลงพื้น “แต๊ก!” และเกิดรอยร้าวบนพื้นผิว


“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!”


แม้ว่าหุ่นของชายชุดดำจะยังอยู่บนแท่นประลอง แต่หลังขาดการควบคุมจากเจ้าของ แสงสีแดงในดวงตาของมันก็ดับลง และยืนนิ่งอยู่กับที่ บวกกับการที่ชายชุดดำหล่นจากแท่นประลอง ประจักษ์ชัดเขาว่าพ่ายแพ้จนไม่รู้จะแพ้อย่างไรแล้ว


หลิ่วหมิงเองก็แอบถอนหายใจออกมา


หุ่นทั้งสองของฝ่ายตรงข้ามก็นับว่าไม่ธรรมดา พูดได้ว่าพอที่จะเทียบกับผู้ฝึกร่างแข็งแกร่งสองคนได้ การโจมตีและป้องกันล้วนดีงามมาก เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันคงไม่อาจทำอะไรมันได้


โชคดีที่ตนเองก็นับว่าเป็นผู้ฝึกร่างคนหนึ่ง อีกทั้งกายเนื้อก็แข็งแกร่งกว่าหุ่นทั้งสอง ด้วยเหตุนี้จึงเอาชนะได้ไม่ยากเย็นนัก


และเมื่อเขาเอาชนะในรอบนี้ได้ หลิ่วหมิงก็เข้าสู่สิบอันดับแรกในที่สุด


“ยินดีกับศิษย์น้องหลิ่วที่เข้าสู่สิบอันดับแรก!”


“คงไม่ใช่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้น คาดว่าพี่หลิ่วคงเข้าเป็นศิษย์สายในเร็วๆ นี้ด้วย”


พอหลิ่วหมิงเดินลงจากแท่นประลอง เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นก็รีบเข้ามาแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้ม ศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นก็มองมาด้วยด้วยความอิจฉา


หลิ่วหมิงย่อมตอบอย่างถ่อมตัวไปสองสามประโยค จากนั้นก็มาดูการต่อสู้ตรงแท่นประลองที่ห้า


แต่พอหลิ่วหมิงเห็นคนสองคนที่อยู่บนแท่นประลอง เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา


คนบนแท่นประลองไม่ใช่คนอื่นไกล ซึ่งก็คือโจวเทียนรุ่ยที่มีชื่อเสียงในงานประลองครั้งนี้ และอีกคนก็เป็นโหวคุน ชายหนุ่มผมขาวจากสาขาเสวียนจี


ดูเหมือนว่าทั้งสองจะโชคร้ายเหมือนกัน ถึงถูกจับอยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่นนี้ เช่นนี้แล้วก็จะมีแค่คนใดคนหนึ่งที่เข้ารอบสิบอันดับแรกเท่านั้น และขณะนี้พวกเขากำลังทำการต่อสู้เพื่อตัดสินการเข้ารอบสิบคนสุดท้ายอยู่


มุมหนึ่งของแท่นประลอง โจวเทียนรุ่ยที่มีเกราะพสุธาสีเหลืองห่อหุ้มอยู่ กำลังกระตุ้นหุ่นนักรบจิตวิญญาณแปดตัวที่อยู่ตรงหน้าให้เปลี่ยนกันรับมือกับคมวายุและศรเพลิงที่พุ่งเข้ามา ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


แม้เขาจะไม่เคยเห็นพลังแท้จริงของชายหนุ่มผมขาวกับตาตัวเองมาก่อน แต่ก็ได้ยินจากคนอื่นมาบ้างแล้ว


ตั้งแต่เปิดฉากมาจนถึงตอนนี้ ก็ต่อสู้มาไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้ว แม้วิชาห้าธาตุของชายหนุ่มผมขาวตรงหน้าจะไม่อ่อนแอ ทั้งยังเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่เขากลับโจมตีและรับมืออย่างมั่นคง และกระตุ้นหุ่นให้ปกป้องตนเองไว้อย่างแน่นหนา


โจวเทียนรุ่ยรู้แก่ใจดีว่า ตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณธาตุพสุธา ความเร็วไม่ใช่ความแข็งแกร่งของเขา ในทางตรงกันข้าม พลังป้องกันกับพลังในการยืนหยัดถึงจะเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด การทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียพลังเวทแล้วคอยตั้งรับและโจมตีกลับ เป็นวิธีการที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว


ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดขาวเปลี่ยนท่ามือในฉับพลัน ลูกเปลวยี่สิบกว่าลูกปรากฏขึ้นตรงหน้า และรวมตัวเป็นลูกเปลวไฟร้อนแรงขนาดเท่าอ่างล้างหน้าภายในพริบตา จากนั้นคลื่นความร้อนก็ม้วนตัวไปทั่วทิศ


พอโจวเทียนรุ่ยเห็นอานุภาพของลูกเปลวไฟสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบปล่อยพลังออกไปเป็นจำนวนมาก หุ่นสี่ตัวตรงหน้าเปล่งแสงสีเหลืองออกมาและรวมตัวกันเป็นหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นหุ่นยักษ์ที่สูงจั้งกว่าๆ


ครู่ต่อมา ลูกเปลวไฟยักษ์ก็พวยพุ่งเข้ามาพร้อมคลื่นความร้อน หุ่นยักษ์กลับก้าวออกไปหนึ่งก้าวอย่างไม่หวาดกลัว และโจมตีกำปั้นขนาดใหญ่ออกไป


เกิดเสียงดังโครมคราม!


ลูกเปลวไฟยักษ์กับหุ่นยักษ์ปะทะเข้าด้วยกัน ทำให้มีกระแสอากาศ เปลวไฟ และก้อนดินกระเด็นไปทั่วทิศ


ลูกเปลวไฟยักษ์ระเบิดออกมาในทันที และหุ่นยักษ์ก็กลายเป็นกองดินจิตวิญญาณท่ามกลางแสงเพลิง


“วิชาห้าธาตุของศิษย์น้องทรงอานุภาพยิ่งนัก แต่ว่ายังห่างชั้นกับการป้องกันของข้ามาก” โจวเทียนรุ่ยเห็นเช่นนี้ก็โบกมือใส่พลังให้กับดินจิตวิญญาณตรงหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น


ดินจิตวิญญาณสีเหลืองสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รวมตัวกันขึ้นมา ระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นหุ่นยักษ์พุ่งไปหาชายหนุ่มผมขาว


ประจักษ์ชัดว่าเขามองออกว่าการโจมตีของชายหนุ่มผมขาวในเมื่อครู่ ทำให้สูญเสียพลังเวทไปมาก และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจทำการโจมตีเช่นเดิมได้ จึงถือโอกาสนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรับมือไม่ทัน


ชายหนุ่มผมขาวขมวดคิ้ว ร่างของเขาสั่นสะท้านเบาๆ แสงสีเขียวเปล่งประกายออกจากตัว จากนั้นก็เคลื่อนไหวจนกลายเป็นเศษเงา พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปหลายจั้งจนสามารถหลบกำปั้นของหุ่นยักษ์ได้อย่างหวุดหวิด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจมาก


เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า แสงสีเขียวนั้นเป็นผลลัพธ์พลังเวทของวิชาตัวเบา แต่คิดไม่ถึงว่าวิชาธาตุลมธรรมดา กลับนำมาใช้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ได้


ร่างของชายหนุ่มคล่องแคล่วปราดเปรียวเป็นอย่างมาก เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็สลัดหุ่นออกไปได้ จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้าหาโจวเทียนรุ่ย


โจวเทียนรุ่ยทีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พอตบน้ำเต้าสีเหลือง แสงสีเหลืองก็เปล่งประกาย ทันใดนั้นหุ่นพสุธาจิตวิญญาณอีกสี่ตัวก็ถูกนำออกมา จากนั้นก็ก่อตัวเป็นค่ายกลรบต้านทานอยู่ตรงหน้าเขา


แต่ทว่าชายหนุ่มผมขาวอยู่ห่างจากโจวเทียนรุ่ยไม่กี่จั้งเท่านั้น เขาค่อยๆ หยุดชะงักลง นิ้วมือทำท่ามือแปลกๆ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง แสงหลากสีจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป และค่อยๆ ร่วงลงข้างตัวโจวเทียนรุ่ย


ครู่ต่อมา แสงห้าสีก็พุ่งขึ้นจากพื้นแท่นประลอง และปกคลุมหุ่นนักรบทั้งแปดของโจวเทียนรุ่ยไว้ในนั้น


“นี่คือค่ายกลยันต์?!” พอหลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป ก็รู้ว่าแสงหลากสีที่ชายหนุ่มผมขาวนำออกมานั้น แท้จริงแล้วเป็นยันต์โปร่งแสงแวววาวจำนวนมาก ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


ค่ายกลยันต์ที่กล่าวถึง เป็นสิ่งที่เกิดจากการนำเอาทางสายยันต์กับทางสายค่ายกลมารวมกัน


ปกติการวางค่ายกลขนาดใหญ่เหมือนกับที่เฉินเติงวางในแดนอบอ้าว ต้องใช้คนสิบกว่าคนร่วมมือกันจึงจะจัดวางได้สำเร็จ ค่ายกลขนาดเล็กก็ต้องการกระตุ้นอีกรอบเช่นกัน


แต่ค่ายกลยันต์กลับอาศัยแค่ยันต์ที่วาดขึ้นเป็นพิเศษจำนวนหนึ่ง ก็สามารถจัดวางได้สำเร็จแล้ว แม้ว่าโดยทั่วไปจะมีอานุภาพไม่ค่อยมาก แต่จัดวางได้สะดวกและรวดเร็ว


แต่พอพลังเวทในยันต์หมดสิ้น ค่ายกลนี้ก็จะสลายไปด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงยืนหยัดได้ไม่นาน


ตอนที่ 584 ประลองใหญ่แปดสาขา (7)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภาพตรงหน้าโจวเทียนรุ่ยพร่ามัว ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปทันที ทุกหนแห่งยังคงเป็นแท่นประลอง รอบด้านเต็มไปด้วยทะเลไร้ขอบเขต คลื่นยักษ์อัดเข้ามาจากทั่วทิศ


“แย่แล้ว!”


โจวเทียนรุ่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขามองไม่เห็นเงาของโหวคุนเลย แต่โชคดีที่ยังสามารถเชื่อมจิตกับหุ่นที่ปล่อยออกไปได้อย่างชัดเจน


แต่ทว่าสถานการณ์ของหุ่นเหล่านี้เหมือนกับเขาไม่มีผิด ทุกการเคลื่อนไหวหนักหน่วงราวกับหมื่นชั่ง


“น่าเกลียดชังยิ่งนัก!”


พอโจวเทียนรุ่ยสงบจิตเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าแม้ค่ายกลชั่วคราวนี้จะมีพลังในการกักขัง แต่กลับไม่มีพลังโจมตีเลย หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็ตบน้ำเต้าในมือทันที แสงสีเหลืองม้วนตัวออกมาต้านทานคลื่นยักษ์รอบด้านไว้อย่างสุดชีวิต และเริ่มดิ้นรนให้หลุดพ้นไปจากค่ายกลนี้


จากประสบการณ์ของเขา ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลกักขังธาตุน้ำ และตัวเขาเองก็เชี่ยวชาญวิชาธาตุดิน เมื่อนำมันมาควบคุมกัน ใช้เวลาเล็กน้อยก็สามารถทำลายได้แล้ว


ในขณะเดียวกัน หลังจากชายหนุ่มผมขาวปล่อยค่ายกลยันต์ออกไปติดต่อกันสิบกว่าชุด เขาก็สูญเสียพลังเวทไปมาก หลังจากหายใจลึกๆ ด้วยสีหน้าซีดขาว ก็เอาแขนทั้งสองมาไขว้ไว้ตรงหน้าแล้วแยกออกจากกันทันที ทันใดนั้นอสรพิษเพลิงขนาดครึ่งจั้งจำนวนสิบกว่าตัวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


“วิชาระดับกลาง วิชาอสรพิษเพลิง!”


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ แม้กระทั่งวิชาระดับกลางเช่นนี้ ชายหนุ่มผมขาวก็ประทับวิชาจนสำเร็จ มิเช่นนั้นคงไม่อาจแสดงออกมาได้รวดเร็วเช่นนี้ ขณะเดียวกันยังสามารถควบคุมอสรพิษเพลิงได้จำนวนมากด้วย


ครู่ต่อมา ชายหนุ่มผมขาวดีดนิ้วทั้งสิบใส่อสรพิษเพลิงตรงหน้า ทันใดนั้นอสรพิษเพลิงสิบกว่าตัวก็ค่อยๆ รวมตัวจนกลายเป็นมังกรเพลิงขนาดใหญ่ที่ยาวสามสิบกว่าจั้ง มันดูราวกับมีชีวิต


“ไป!”


พอชายหนุ่มส่งเสียงตะคอก มังกรเพลิงก็ส่งเสียงร้องออกมาจริงๆ จากนั้นก็ส่ายหัวส่ายหางพุ่งเข้าใส่โจวเทียนรุ่ย บริเวณที่มันพุ่งผ่านถูกเผาจนกลายเป็นสีแดง


ขณะนี้ ร่างของโจวเทียนรุ่ยถูกขังอยู่ในค่ายกล แม้ว่าจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณอย่างเต็มที่ แต่ยังต้องใช้เวลาในการทำลายค่ายกลเล็กน้อย ทันใดนั้นกลับรู้สึกถึงคลื่นพลังเวทอันรุนแรง แสงสีแดงเปล่งประกายท่ามกลางคลื่นยักษ์ตรงหน้า หัวมังกรอัปลักษณ์พุ่งออกมาจากในนั้น และพุ่งชนเข้ามาด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด


เกิดเสียงดังโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง!


โจวเทียนรุ่ยและหุ่นจิตวิญญาณพสุธา ถูกเมฆอัคคีอันพวยพุ่งม้วนเข้าไปในนั้น และเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันแท่นประลองก็สั่นไหวอย่างรุนแรง


หลังจากเมฆอัคคีพวยพุ่งไม่กี่ที ก็มีเงาร่างดำเกรียมเล็กน้อยโผล่ออกมาบนแท่นประลอง


โจวเทียนรุ่ยในขณะนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีหุ่นจิตวิญญาณธาตุดินอยู่ตรงหน้าเท่านั้น กำแพงพสุธาที่ไม่รู้ว่ามาต้านทานไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กับเกราะพสุธาก็แตกสลายด้วยเช่นกัน เขาเพียงแค่มองดูชายหนุ่มผมขาวด้วยสีหน้าซับซ้อน หลังจากหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว ก็ล้มโครมลงพื้นทันที


บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองต่างก็เงียบเป็นเป่าสาก ประจักษ์ชัดว่ารู้สึกตกใจต่อภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเองก็หดรูม่านตาลง เขาแอบคิดพิจารณาว่า หากตนเองต้องเผชิญกับวิชาอสรพิษเพลิงนี้ จะสามารถรับมือได้โดยตรงหรือไม่


……


บนแท่นหยกสูง โหวคุนชายหนุ่มผมขาวที่ได้รับชัยชนะ ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของแต่ละยอดเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่ครู่หนึ่ง มีคนจำนวนไม่น้อยที่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา


“ศิษย์ผู้นี้ไม่เพียงแต่มีร่างจิตวิญญาณที่หาได้ยาก ทั้งยังดูเหมือนจะมีความเชี่ยวชาญสายยันต์อย่างลึกซึ้งด้วย” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวเทากล่าวด้วยความเบิกบานใจ


“หรือว่าศิษย์พี่เจ้าก็ถูกใจโหวคุนผู้นี้ด้วย?” ชายชุดดำใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่ราวกับใช้มีดแกะสลักออกมากล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ฟังจากน้ำเสียงของพี่หลี่แล้ว หรือว่าคิดจะแย่งศิษย์คนนี้กับข้า?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวเทากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พี่เจ้าพูดล้อเล่นแล้ว แม้ศิษย์ผู้นี้จะมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก แต่ยอดเขากระบี่สวรรค์เราฝึกฝนสายกระบี่ ใยต้องแย่งชิงกับพี่เจ้าด้วยเล่า!” ชายชุดดำยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


แม้ว่างานประลองใหญ่ยังไม่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของแต่ละยอดเขาต่างก็แอบแย่งชิงกันอย่างเงียบๆ โดยเตรียมเลือกศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งและมีศักยภาพไว้ในใจแล้ว


และโหวคุนมีคุณสมบัติโดดเด่นเช่นนี้ ย่อมเป็นคนที่ถูกแย่งชิงมากที่สุด


……


ในขณะเดียวกัน บนเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขาเมฆาเลิศล้ำไปไม่ไกล ชายในชุดคลุมสีเหลืองสวมห่วงสีทองยืนขวางอยู่ตรงหน้าโจวเทียนรุ่ยที่พ่ายแพ้กลับมาด้วยท่าทีหน้าม่อยคอตก


“เจ้าคือโจวเทียนรุ่ยหรือ?” ชายชุดคลุมสีเหลืองกล่าวอย่งราบเรียบ


“เรียนผู้อาวุโส ศิษย์คือโจวเทียนรุ่ย ไม่ทราบว่าท่านคือ……” ขณะนี้โจวเทียนรุ่ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่หลังจากค้นพบว่าตนเองไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นไอของฝ่ายตรงข้ามได้ ก็รีบประสานมือคารวะทันที


“ดีมาก ข้าเป็นผู้อาวุโสยอดเขาสันติสงบ ได้ยินมานานแล้วว่า เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณธาตุดิน เดิมทีกะจะไปดูการต่อสู้ที่ยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” ชายชุดคลุมสีเหลืองได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา


“ข้าน้อยใช้ไม่ได้ ไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งนี้ เกรงว่าจะทำให้ผู้อาวุโสผิดหวัง…..” ตอนแรกโจวเทียนรุ่ยรู้สึกตกใจมาก แต่ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“ไม่เป็นไร คนหนุ่มประสบความพ่ายแพ้เพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องหน้าม่อยคอตกเช่นนี้ ที่ข้ามาในครั้งนี้ไม่ว่าอันดับในงานประลองของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็จะรับเจ้าเป็นศิษย์ของยอดเขาสันติสงบของเราอยู่ดี เจ้าคงรู้ดีว่ายอดเขาสันติสงบของเรา เคยมีผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณมาไม่น้อย เจ้ายินยอมเข้ายอดเขาของเราหรือไม่?” ชายชุดคลุมสีเหลืองโบกมือตัดคำพูดของโจวเทียนรุ่ย และแหงนหน้าหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“ผู้อาวุโสพูดจริงหรือ?” โจวเทียนรุ่ยได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


เขายังไม่ได้เข้าสู่สิบอันดับแรก ยอดเขาสันติสงบที่มีชื่อเสียงก็รับเขาเป็นศิษย์สายในแล้ว หลังจากพะวงในเรื่องผลได้ผลเสียส่วนตัวเล็กน้อย เขาก็ถามอย่างอดไม่ได้


“ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสในนิกาย ไหนเลยจะกล้ากล่าวเท็จ” ชายชุดคลุมสีเหลืองไม่ได้โทษศิษย์ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับโบกมือออกไป


“ศิษย์เสียมารยาทแล้ว” โจวเทียนรุ่ยรีบกราบคารวะ ความคับแค้นของเขาในขณะนี้ได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว สีหน้าดูตื่นเต้นขึ้นมา


“ผู้ควบคุมยังรอข้ากลับไปอยู่ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!” พอชายชุดคลุมสีเหลืองกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ จากนั้นแสงสีแดงก็พยุงทั้งสองขึ้น และพุ่งออกไปยังทิศทางบางแห่ง


……


“การประลองรอบนี้ อู่หมิงจากสาขาเสวียนจีชนะ!”


หลังจากการต่อสู้รอบสุดท้ายสิ้นสุดลง ผลการคัดเลือกสิบอันดับแรกก็ปรากฏออกมา


หลิ่วหมิง โหวคุน เจ้าอั้นอิน อู่หมิง และศิษย์สายนอกคนอื่นๆ อีกหกคน กำลังยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าแท่นหยกขาวอย่างเงียบๆ


และขณะนี้ ศิษย์หลายพันคนที่ยังไม่จากไป ก็ยืนล้อมรอบแท่นหยกขาวอย่างหนาแน่น เพื่อมองดูผู้ที่ได้สิบอันดับแรกในงานประลองใหญ่ครั้งนี้


ขณะที่ชายอ้วนเตี้ยเดินมาด้านหน้าสองสามก้าว และกำลังจะประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบประลองรอบถัดไปนั้น พลันมีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นมา


“ช้าก่อน!”


น้ำเสียงไม่ดังมากแต่กลับชัดเจนในหูของผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น


ขณะที่ผู้คนทั้งหมดเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจนั้น แสงสีทองก็กระพริบบนขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และพุ่งมาทางยอดเขา ครู่เดียวก็ร่วงลงบนแท่นหยก


หลังจากแสงหลบหลีกดับไป ชายหนุ่มยิ้มแป้น อายุราวๆ ยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี สวมชุดคลุมยาวสีทองก็ปรากฏออกมา


ชายหนุ่มไม่มองหน้าคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย แต่กลับเดินตรงไปหาชายอ้วนเตี้ยตรงหน้า หลังจากกุมมือคารวะแล้ว ก็มอบป้ายคำสั่งสีทองแวววาวให้ และพูดเบาๆ สองสามประโยค


ชายอ้วนเตี้ยได้ยินก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย หลังจากตรวจสอบป้ายคำสั่งในมืออย่างละเอียด ก็ต้องเผยสีหน้าตกใจออกมา แต่หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้วก็กระแอมไอเบาๆ


“อะแฮ่ม! ทุกท่านเงียบก่อน ตอนนี้ข้าขอประกาศว่า ศิษย์ที่ชื่อจินเทียนชื่อผู้นี้ มีสิทธิ์ท้าสู้หนึ่งในสิบอันดับแรกได้ ผู้ชนะถึงอยู่ในสิบอันดับแรกเพื่อเข้ารอบต่อไป”


“คนผู้นี้ไม่ได้เข้าร่วมประลองในก่อนหน้า ทำไมอาศัยแค่ป้ายคำสั่ง ก็มีสิทธิ์เข้าสิบอันดับแรกได้?”


“นั่นน่ะสิ! หากเป็นแบบนี้กันทุกคน การประลองในรอบแรกกับรอบก่อนชิงชนะจะมีประโยชน์อันใด?”


พอคำพูดของชายอ้วนเตี้ยดังออกมา ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างก็รู้สึกงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจ


แต่ทว่าเมื่อชายอ้วนเตี้ยกวาดสายตามองไปอย่างเยือกเย็น และตามด้วยแรงกดดันของผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ที่ถูกปล่อยออกไป บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็พากันปิดปากเงียบ ทำให้สถานที่บริเวณนั้นเงียบเป็นเป่าสากอยู่ครู่หนึ่ง


ขณะนี้ เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังของแท่นหยก ก็ส่งเสียงคุยกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


“เฮ่าเยวี่ยเจินเหริน หรือว่าป้ายคำสั่งนี้จะเป็นป้ายไท่หวา?” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราส่งเสียงเบาๆ ด้วยสีหน้าตกใจ


“หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ จะต้องเป็นป้ายนี้อย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่สามารถนำป้ายไท่หวาออกมาได้ ยังมีคนที่ข้าไม่รู้จักด้วย คนที่ชื่อจินเทียนชื่อผู้นี้เป็นใครกันแน่? พี่หวารู้จักหรือไม่?” เฮ่าเยวี่ยก็ส่งเสียงตอบกลับด้วยสีหน้างงงวยเช่นกัน


“แม้แต่พี่เฮ่าเยวี่ยยังไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ข้าที่กักตัวฝึกฝนตลอดทั้งวันจะรู้ได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครากล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ ก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพากันส่ายหน้า ประจักษ์ชัดว่าไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มชุดคลุมสีทองผู้นี้


ในระหว่างเวลานั้น จินเทียนชื่อก็เลือกคู่ต่อสู้อย่างไม่เกรงใจ ซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างกำยำผู้หนึ่ง


“ฮึ! ข้าไม่สน เจ้ามีโอกาสได้ท้าสู้เป็นกรณีพิเศษเช่นนี้ หากคิดว่าสามารถฉวยโอกาสชิงสิบอันดับแรกในงานประลองได้ล่ะก็ เจ้าคิดผิดแล้ว” หลังจากชายหนุ่มรูปร่างกำยำได้รับการท้าสู้จากจินเทียนชื่อ เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“เฮ่อๆ! ข้าก็แค่อยากมาร่วมสนุกเท่านั้น” จินเทียนชื่อได้ยินก็หัวเราะราวกับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด


ท่าทีเช่นนี้ของเขา ย่อมทำให้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้น


“เอาล่ะ! ในเมื่อทั้งสองต่างก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ก็เริ่มการประลองได้ ผู้ชนะจะได้เข้าร่วมประลองในรอบสิบอันดับแรก” สายตาของชายอ้วนเตี้ยที่มองจินเทียนชื่อก็ดูฉงนเล็กน้อย แต่ยังคงประกาศออกมาเช่นนี้


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีผู้ดำเนินการระดับผลึกคนหนึ่งเริ่มเปิดชั้นจำกัดบนแท่นประลองใหม่อีกครั้ง


จินเทียนชื่อกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำพุ่งขึ้นบนแท่นประลองทันที


ตอนที่ 585 การประลองของสิบอันดับแรก (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป บนแท่นประลองที่หนึ่ง


ผู้ดำเนินการระดับผลึกผู้นี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่แสดงท่าทีให้จินเทียนชื่อกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำแยกกันยืนคนละฝั่ง หลังจากพูดกำชับไปสองประโยคแล้ว ก็หายวับออกไปอยู่นอกชั้นจำกัด


ชายหนุ่มรูปร่างกำยำจ้องมองชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้าตาไม่กระพริบ พอนึกถึงฉากที่ฝ่ายตรงข้ามชี้มาที่ตนเองอย่างไม่สนใจในตอนแรกแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากกว่าเดิม


นิ้วมือทั้งสิบของเขาเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง และพ่นแสงสีเงินออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้วก็ลอยอยู่ตรงหน้าเขา มันคือตะปูกระดูกโปร่งใสสามสิบตัวที่มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงอาทิตย์ แสงสีเงินดูแสบตายิ่งนัก


“ฮึ! ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความร้ายกาจของตะปูไล่ชิงวิญญาณของข้า!”


ประจักษ์ชัดว่าเขาคิดที่จะใช้วิธีการทรงอานุภาพโจมตีชายหนุ่มผู้นี้ให้ล่าถอยไป เพื่อเชิดหน้าชูตาต่อหน้าผู้คนนับพัน และลบคำสบประมาทในก่อนหน้า


หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ กลับหรี่ตาสังเกตอาวุธจิตวิญญาณอย่างตะปูกระดูกใสนี้อย่างละเอียด


ดูจากกลิ่นไอน่าตกใจที่พวกมันแผ่ออกมา แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่ระดับต้นแบบอาวุธเวท แต่ชั้นจำกัดของมันจะต้องไม่ต่ำกว่าสามสิบชั้นอย่างแน่นอน


ตะปูสีเงินเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นชุดอาวุธจิตวิญญาณเท่านั้น ทั้งยังมีชุดละสามสิบตัว ประจักษ์ชัดว่าไม่สามารถสร้างโดยตามใจได้ น่าจะใส่ชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้


ภายใต้การเบี่ยงสายตาของหลิ่วหมิง กลับค้นพบว่าชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้ามีท่าทีสบายๆ ราวกับทุกสิ่งตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา


ชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็ค้นพบสายตาเหยียดหยามของชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้า ภายใต้ความโมโห พอเขาเปลี่ยนท่ามือ ตะปูสีเงินสามสิบตัวก็หมุนติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นแสงตะปูสีเงินแวววาวสามสิบลำ และพุ่งเข้าหาชายหนุ่มชุดคลุมสีทองด้วยเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”


“หากเจ้าสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดได้จริงๆ ก็ยังพอจะชื่นชมได้บ้าง ตอนนี้น่ะหรือ จุ๊ๆ……” จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ภายใต้การพองของแขนเสื้อ พลันมีคลื่นพลังไร้รูปม้วนตัวออกมา และม้วนเอาแสงสีเงินที่โจมตีเข้ามาไว้ในนั้น


ตะปูสามตัวเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ และจมหายไปในแขนเสื้อของเขา “ฟู่ๆ!”


ตอนแรกชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่ต่อมากลับค้นพบว่าตนเองสูญเสียการติดต่อกับตะปูสีเงินทั้งสามสิบตัว สีหน้าเขาจึงดูซีดขาวราวกระดาษ


สุดท้าย จินเทียนชื่อยกมือขึ้นโดยไม่รอให้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำทำการตอบสนองใดๆ เงามือยักษ์สีทองสลัวๆ ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ และแผดเสียงพุ่งเข้าหาชายหนุ่มรูปร่างกำยำ


ตอนนี้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเพิ่งได้สติกลับมา เขารีบส่งเสียงคำรามและพลิกฝ่ามือทันที แสงสีเขียวเปล่งประกายระหว่างนิ้ว กระดิ่งสีเขียวปรากฏออกมา พอสะบัดข้อมือมันก็กลายเป็นม่านแสงสีเขียวปกป้องเขาไว้ ขณะเดียวกันปราณแกร่งคุ้มร่างก็เปล่งประกาย ประจักษ์ว่าเขาคิดจะต้านทานการโจมตีนี้โดยตรง


แต่ครู่ต่อมา มือยักษ์กลับตบเพียงเบาๆ


ชายหนุ่มรูปร่างกำยำรู้สึกตัวสั่นสะท้าน พลังมหาศาลประชิดเข้าตัวจนกระเด็นออกไปจากชั้นจำกัด ราวกับว่าไม่มีม่านแสงกับปราณแกร่งคุ้มร่างอยู่ แต่ก็ค่อยๆ ร่วงลงด้านล่างแท่นประลองอย่างมั่นคง บนตัวไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ เลยแม้แต่น้อย


ฉากนี้ย่อมทำให้บรรดาศิษย์ที่รอคอยดูการช่วงชิงระหว่างพยัคฆ์กับมังกรอยู่ รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


“จินเทียนชื่อชนะ!” ไม่รู้ว่าผู้ดำเนินการระดับผลึกมาปรากฏตัวบนแท่นประลองตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาประกาศออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์เช่นกัน


บนแท่นหยก ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ต่างก็มองจินเทียนชื่อที่อยู่บนแท่นประลองด้วยสีหน้าตกใจ


แม้จะบอกว่าชายหนุ่มรูปร่างกำยำไม่ใช่คนที่พวกเขาถูกใจที่สุด แต่การที่เข้ามาอยู่ในสิบอันดับแรกได้นั้น ไม่ใช่เรื่องลวงแต่อย่างใด พลังที่แท้จริงจะต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน แต่กลับถูกจินเทียนชื่อจัดการอย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ


หลิ่วหมิงเองก็แอบตกใจด้วยเช่นกัน!


แม้เขาคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจินเทียนชื่อผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงระดับนี้


สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งกว่าก็คือ เขามองไม่ออกว่าเมื่อครู่จินเทียนชื่อใช้เคล็ดวิชาอันใดในการเก็บอาวุธจิตวิญญาณเหล่านั้น หากวิธีการนี้ใช้ได้ผลกับอาวุธจิตวิญญาณทุกชนิดล่ะก็ เขาจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับคนผู้นี้ในภายหลัง


ขณะนี้ ชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็ออกจากอาการสะดุ้งตกใจได้ในที่สุด หลังจากเก็บกระดิ่งเขียวเข้าไปแล้ว ก็หันไปยิ้มให้จินเทียนชื่ออย่างขมขื่น


“พี่จินฝีมือยอดเยี่ยมมาก ฝีมือข้าไม่อาจเทียบได้ นับถือยิ่งนัก”


“ออมมือแล้ว”


จินเทียนชื่อหัวเราะเฮ่อๆ! พอโบกมือข้างหนึ่ง ตะปูสีเงินสามสิบตัวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และพุ่งกลับไปในมือของชายหนุ่มรูปร่างกำยำ


ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเก็บตะปูเข้าไป และประสานมือคารวะ จากนั้นก็ขี่เมฆหน้าม่อยคอตกออกไปจากยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ


เช่นนี้แล้ว ผลผู้ชนะสิบอันดับแรกก็ปรากฏออกมาในที่สุด แน่นอนว่าจินเทียนชื่อได้แทนที่ชายหนุ่มรูปร่างกำยำผู้นั้น และยืนเรียงอยู่ตรงหน้าแท่นหยกขาวพร้อมกับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ


“ดีมาก ต่อไปข้าจะประกาศกฎการประลองของสิบอันดับแรก การประลองของสิบอันดับแรกจะใช้ระบบหมุนเวียนกันต่อสู้ ทุกคนจะต้องได้ต่อสู้กับอีกเก้าคนที่เหลือ สุดท้ายจะเอาจำนวนครั้งในการชนะมาจัดอันดับ หากมีคนได้รับชัยชนะเท่ากัน ก็จะให้ทั้งสองต่อสู้กัน ใครชนะจะได้อยู่อันดับที่สูงกว่า วันนี้จะทำการเสี่ยงทายก่อน เช้าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มงานประลองอย่างเป็นทางการ” แม้ว่าในใจของชายอ้วนเตี้ยจะคิดเรื่องของจินเทียนชื่ออยู่ แต่ก็ยังก้าวออกมาประกาศ


เนื่องจากใช้ระบบการต่อสู้แบบหมุนเวียน ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ก็จะมีโอกาสแลกมือกับฝ่ายตรงข้ามหนึ่งครั้ง มันขึ้นอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่สำคัญว่าใครจะมาก่อนมาหลัง คนทั้งสิบเพียงแค่ไปโบกป้ายนิกายตรงหน้าแผ่นศิลายักษ์ ลำดับการต่อสู้ก็ปรากฏออกมาแล้ว


หลังจากทำการเสี่ยงทายเสร็จ หลิ่วหมิงก็กล่าวลาเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋น จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนยังถ้ำที่พักของตนเอง


เช้าวันที่สอง การประลองใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ก็เริ่มเปิดฉากขึ้น


บนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ แท่นประลองที่เดิมทีมีทั้งหมดสิบแห่ง ขณะนี้ได้เปลี่ยนเป็นห้าแห่งเท่านั้น และจัดเรียงอยู่ตรงหน้าแท่นหยกขาว ทำให้พื้นที่คับแคบดูกว้างโล่งขึ้นมาไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่มาชมการต่อสู้จะมีมากกว่าสองรอบในก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่า ไม่เพียงแต่มีศิษย์สายนอกเท่านั้น ยังมีศิษย์ธรรมดามาดูด้วยเป็นจำนวนมาก


หลังจากชายอ้วนเตี้ยได้ป่าวประกาศออกไปอีกครั้ง การต่อสู้รอบแรกของสิบอันดับแรกก็เริ่มขึ้นพร้อมกัน


บนแท่นประลองทางด้านตะวันออกในขณะนี้ หลิ่วหมิงกำลังหยุดชะงักอยู่มุมหนึ่ง


ตรงหน้าเขาเป็นชายหนุ่มคิ้วรูปดาบจากสาขาอวี้เหิงที่ควบคุมตั๊กแตนสองตัว ก่อนหน้านั้นเยี่ยนหมิงก็เคยพูดถึงคนผู้นี้


แม้ว่าอสูรตั๊กแตนสองตัวนี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่กลับไม่ง่ายเหมือนอสูรจิตวิญญาณทั่วไป นับว่าเป็นแมลงจิตวิญญาณกลายพันธุ์คู่หนึ่ง ไม่เพียงแต่มีความเร็วอย่างน่าตกใจ ขาหน้าทั้งคู่ที่ดูราวกับคมดาบก็ดูแหลมคมยิ่งนัก เมื่อเทียบกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงทั่วไป มันดูเหนือกว่ามาก


ภายใต้การร่วมมือของแมลงจิตวิญญาณทั้งสอง พลังของมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไปจะสามารถเทียบได้ ทั้งยังตามติดคนผู้นี้มานาน  จึงรู้ใจกันเป็นอย่างดี ทำให้รับมือยากขึ้นกว่าเดิมอีก


เป็นดังที่คาดหมายเอาไว้ พอการต่อสู้เริ่มขึ้น คนผู้นี้ก็ตบไปที่เอวทันที ควันสีเขียวสองสายม้วนตัวออกมา และกลายเป็นตั๊กแตนสองตัวที่สูงหลายฉื่อ บนพื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวแปลกประหลาด


พอแมลงจิตวิญญาณสองตัวนี้ปรากฏออกมา ก็กลายเป็นเงาสีเขียวจางๆ พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หมอกดำพวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวออกไปรับมืออย่างรวดเร็ว


ตั๊กแตนยักษ์ทั้งสองส่งเสียงร้อง “จี๊ดๆ!” พอขยับขาหน้า แสงเย็นสะท้านก็เปล่งประกาย และกลายเป็นเงาดาบทอประสานกัน จากนั้นก็ปกคลุมไปหาหลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงบิดเอว ร่างของเขาก็ยืดยาวขึ้นมาทันที เขาหลบตาข่ายดาบไปได้ราวกับแผ่นกระดาษ หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่!” ร่างของเขาก็ปรากฏตัวบนอากาศเหนือร่างของชายหนุ่มคิ้วรูปดาบอย่างน่าประหลาดใจ พอยกมือข้างหนึ่ง มุกพลังวารีสองเม็ดก็พุ่งออกไป พริบตาเดียวก็รวมกันเป็นหนึ่ง และกลายเป็นเงาภูเขาลูกเล็กๆ กดทับลงมา


แม้จะนับว่าชายหนุ่มคิ้วรูปดาบมีประสบการณ์แลกมือมามากมาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่ภายใต้การปิดล้อมของอสูรเลี้ยงทั้งสอง จะสามารถมาปรากฏตัวตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้กระทั่งยังทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และกระตุ้นเคล็ดวิชาร้ายกาจบางอย่างอยู่ ทำให้เขาเปลี่ยนวิชาทำการหลบหลีกไม่ทัน ทำได้แต่แหงนหน้าพ่นโล่เล็กสีเขียวออกมา และกัดลิ้นพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่เข้าไปในโล่


โล่เล็กขยายใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ภายในพริบตา ลวดลายสีเขียวบนพื้นผิวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และปิดกั้นอากาศด้านบนไว้อย่างแน่นหนา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับดวงตาเป็นประกาย พอขยับแขน ฝ่ามือข้างหนึ่งที่มีไอดำลอยวนก็กางนิ้วทั้งห้าออก และกดไปยังเงาภูเขาลูกเล็กๆ ตรงหน้า


“ตูม!” เงาภูเขาลูกเล็กๆ กดทับลงมา โล่สีเขียวสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที รอยร้าวปรากฏบนพื้นผิวเป็นจำนวนมาก


ชายหนุ่มคิ้วรูปดาบส่งเสียงคำรามออกมา พอปราณแกร่งคุ้มร่างม้วนตัวขึ้นด้านบน โล่สีเขียวก็เกิดความมั่นคงขึ้นมาอีกครั้ง


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังเข้ามา!


พลังมหาศาลอีกสายพุ่งออกจากเงาภูเขาลูกเล็กๆ มันไม่เพียงแต่จะอัดโล่สีเขียวจนแตกกระจาย แม้แต่ปราณแกร่งคุ้มร่างของชายหนุ่มก็ถูกกดทับจนสลายไป เขากระอักเลือดออกมาจนสีหน้าซีดขาว จากนั้นก็อ่อนยวบยาบลงพื้นและสลบไป


ครั้งนี้ต้องชมวิชาเปลี่ยนร่างแปลกประหลาดที่หลิ่วหมิงฝึกฝนมาจากแดนมายา บวกกับการที่ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่สั่งให้ตั๊กแตนทำการโจมตี เพื่อคิดยืดเยื้อเวลาไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ตนเองเปิดเผยช่องโหว่ขนาดใหญ่ จึงถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างง่ายดาย


ขณะที่แท่นประลองอีกสี่แห่งเพิ่งจะเริ่มต่อสู้ได้ไม่นานนั้น ทางด้านหลิ่วหมิงก็ได้สิ้นสุดลงก่อนแล้ว สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดความประหลาดใจของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้หลายคนบนแท่นหยกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


“ช่างน่าเสียดายจริงๆ……” หญิงชุดแดงถอนหายใจออกมาเบาๆ


ในสายตาของนาง จากการแสดงออกของหลิ่วหมิง คงเข้าสู่สามอันดับแรกในงานประลองใหญ่ได้อย่างไม่มีปัญหา ประสบการณ์การต่อสู้กับพลังที่แท้จริงไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์สายในเหล่านั้น แต่คุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณนี้ คงทำให้เขาหยุดการฝึกฝนอยู่ในระดับปัจจุบันเท่านั้น


พอผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ เห็นฉากเช่นนี้ ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีว่าอยากรับหลิ่วหมิง ประจักษ์ชัดว่าทุกคนต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกับหญิงชุดแดง


ตอนที่ 586 การประลองของสิบอันดับแรก (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนแท่นประลอง หลังจากผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศสิ้นสุดการประลองแล้ว หลิ่วหมิงก็ประสานมือคารวะ และกระโดดลงจากแท่นประลอง ขณะเดียวกันก็กวาดสายตาสังเกตดูการประลองของคู่อื่นๆ


บนแท่นประลองที่อยู่ใกล้ที่สุด คู่ต่อสู้ทั้งสองยังคงคุมเชิงกันอยู่


จินเทียนชื่อยืนอยู่บนมุมหนึ่งของแท่นประลองด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะลงมือเลยแม้แต่น้อย ตรงหน้าของเขาก็คือชายหนุ่มร่างอวบที่ชื่ออู่หมิงจากสาขาเสวียนจีนั่นเอง


ก่อนหน้านั้น จินเทียนชื่อโบกแขนเสื้อเก็บอาวุธจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามไปอย่างน่าประหลาดใจ ดูเหมือนว่าจะทำให้ชายหนุ่มร่างอวบหวาดกลัวไม่น้อย ใบหน้าอวบอ้วนดูเคร่งขรึมขึ้นมามาก


ทั้งสองคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้ ซึ่งแตกต่างจากแท่นประลองอื่นๆ ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด


“ในเมื่อเจ้าไม่ลงมือก่อน ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!” หลังจากผ่านไปราวๆ สี่ถึงห้าอึดใจ ในที่สุดอู่หมิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ดวงตาทั้งคู่เผยแววโหดร้ายออกมา พอเขาส่งเสียงคำรามและสะบัดแขนเสื้อ ตราประทับสีดำสลัวๆ ขนาดเล็กก็พุ่งออกมา


จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน ตราประทับขนาดเล็กหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ และขยายใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ท่ามกลางแสงสีดำที่เปล่งประกาย จากนั้นก็พุ่งเข้าหาจินเทียนชื่อ


พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จินเทียนชื่อก็ยังไม่นำอาวุธจิตวิญญาณใดๆ ออกมา เพียงแค่จ้องมองตราประทับสีดำที่มาอยู่เหนือศีรษะด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็โบกแขนเสื้ออย่างง่ายดาย


ฉากอันน่าประหลาดใจได้เกิดขึ้นอีกครั้ง!


ตราประทับยักษ์เพียงแค่เปล่งประกายเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในแขนเสื้อขนาดใหญ่ของเขา “ฟู่!”


ครู่ต่อมา จินเทียนชื่อยกแขนอีกข้างขึ้นเบาๆ มือยักษ์สีทองสลัวๆ ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศเหนือศีรษะของฝ่ายตรงข้าม และตบลงมาทันที ทำให้อู่หมิงถูกส่งออกไปนอกแท่นประลองอย่างมั่นคง


พอการต่อสู้นี้เกิดขึ้น มันก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้บรรดาศิษย์ที่ชมอยู่เกิดความฮือฮาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มีคนจำนวนมากแดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา


ตอนที่อู่หมิงลงไปยืนอยู่ด้านล่างเวทีอย่างมั่นคงนั้น เขาเพิ่งจะตั้งสติได้ และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดผวา


คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ก่อนหน้านั้นตัวเขาเองได้เพิ่มยันต์ป้องกันไว้บนตัวหลากหลายชนิด แม้กระทั่งบนตัวยังสวมชุดเกราะจิตวิญญาณระดับสุดยอดอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถป้องกันมือยักษ์ของจินเทียนชื่อได้เลยแม้แต่น้อย


ขณะนี้ หลิ่วหมิงเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ในใจเขาคิดหาแผนรับมืออย่างรวดเร็ว


ขณะที่เขากำลังคิดพิจารณาอยู่นั้น การต่อสู้อย่างดุเดือดของแท่นประลองอีกสามแห่งก็ค่อยๆ สิ้นสุดลง


เป็นไปตามที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้ เจ้าอั้นอินหญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้า และโหวคุนชายหนุ่มผมขาว สามารถโจมตีศิษย์สาขาเซียวเซียงกับสาขาจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย


และผู้ชนะของแท่นประลองอีกแห่งกลับเป็นชายหนุ่มสาขาหงจวินที่ควบคุมกระบี่ทองแดงขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนวิชากระบี่ด้วยเช่นกัน และก็เป็นม้ามืดที่มาใหม่ด้วย


จากการคาดการณ์ของหลิ่วหมิง อานุภาพของวิชาขี่กระบี่ที่เขาแสดงออกมา ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย


หลังจากทั้งสิบพักผ่อนไปหนึ่งชั่วยามแล้ว การประลองรอบที่สองก็เริ่มขึ้นอย่างคึกคัก


พอการประลองเริ่มขึ้น แท่นประลองแห่งหนึ่งก็ตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว


จินเทียนชื่อใช้พลังแปลกประหลาดนั้นเก็บอาวุธจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้มือยักษ์สีทองโจมตีผ่านอากาศ ก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย


“พี่เจิน ท่านมองออกหรือไม่ว่าศิษย์ผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาอันใด?” พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองบนแท่นหยกเห็นว่าศิษย์ในสาขาตนเองถูกโจมตีพ่ายแพ้เช่นนี้ ก็หันไปถามชายอ้วนเตี้ยด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเล็กน้อย


“ลวดไม้ลายมือของคนผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก แม้นิกายเราจะมีวิชาหลายอย่างที่คล้ายคลึง แต่ว่ามีเงื่อนไขในเรื่องของพลังจิตค่อนข้างสูง ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีแค่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างพวกเราเท่านั้นที่มีคุณสมบัติฝึกฝนได้ การฝึกฝนของศิษย์ผู้นี้อยู่ที่ระดับของเหลวอย่างแน่นอน คิดว่าคงมีวาสนาได้ฝึกฝนวิชาอื่นที่พวกเราไม่รู้จัก” ชายอ้วนเตี้ยส่ายหน้าตอบ จากนั้นก็มองไปยังแท่นประลองที่โหวคุนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ในบรรดาศิษย์ที่อยู่ในสิบอันดับแรกนี้ มีโหวคุนแค่คนเดียวที่ไม่ต้องใช้อาวุธจิตวิญญาณ แต่ใช้วิชาห้าธาตุประกอบกับยันต์ในการรับมือศัตรู บางทีเขาอาจจะมีโอกาสในการเอาชนะจินเทียนชื่อก็ได้


ขณะเดียวกัน บนแท่นประลองที่โหวคุนทำการต่อสู้อยู่ มีแสงทรงกลดห้าสีปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ในระหว่างที่รู้สึกละลานตาไปหมดนั้น อสรพิษน้อยหลากสีจำนวนมาก ก็พุ่งออกจากค่ายกลที่เปล่งแสงแวววาวเหล่านี้ ดูเหมือนว่าเขาจะแสดงค่ายกลยันต์ห้าธาตุบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง


และคู่ต่อสู้ของโหวคุนในรอบนี้ กลับเป็นเจ้าอั้นอิน หญิงสาวจากสาขาเสวียนจีที่มีแผลเป็นบนใบหน้า


ขณะนี้ ร่างของนางปราดเปรียวยิ่งนัก ในระหว่างที่ขยับร่างไปมา อสรพิษหลากสีที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจับต้องนางได้


และในขณะเดียวกัน แสงสีเงินแคบยาวกลุ่มหนึ่ง ก็ส่งแสงกระพริบหลบหลีกอสรพิษน้อยเหล่านี้อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะเข้าใกล้โหวคุนมากขึ้นเรื่อยๆ


ทันใดนั้น โหวคุนก็ชี้ไปยังค่ายกลแห่งหนึ่งอยู่หลายครั้ง อสรพิษน้อยโปร่งแสงห้าตัวพุ่งออกมา และหายไปในพริบตา


ครู่ต่อมา มีเสียงดังมาจากบริเวณรอบๆ กลุ่มแสงสีเงินที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ไกล เสาหินสีเทาห้าต้นพุ่งขึ้นจากพื้นในทันที และรวมตัวกันตรงกลางจนดูคล้ายกรงขัง


พอแสงสีเงินดับลง เสือดาวสีเงินที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าก็ปรากฏออกมา แต่กลับถูกเสาหินทั้งห้าล้อมรอบไว้


โหวคุนโบกแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยันต์จำนวนมากกระพริบออกมา และค่อยๆ จมหายไปในเสาหินทั้งห้า


แต่พอมีเสียงดัง “หวึ่ง!” บนพื้นผิว อักขระสีเขียว แดง เหลือง ขาว ดำ ที่เป็นสัญลักษณ์ของธาตุทั้งห้า ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เสาหินทั้งห้าก่อตัวเป็นค่ายกลห้าธาตุที่มีขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ


ภายใต้วงล้อมของเสาหิน เสือดาวสีเงินก็ส่งเสียงคำรามออกมาเป็นระยะๆ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหลุดออกมาได้


ขณะนี้ เจ้าอั้นอินทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงหลบหลีกการโจมตีของอสรพิษน้อยจำนวนมาก แต่ในมือกลับทำท่ามือบางอย่างอยู่


พอชายอ้วนเตี้ยบนแท่นหยกเห็นการประลองนี้ ใบหน้าของเขาก็ดูเบิกบานใจมาก ประจักษ์ชัดว่าโหวคุนที่เป็นศิษย์ในสาขาเขานั้น มีพลังแข็งแกร่งเหนือความคาดหมายของเขา


และหญิงงดงามจากสาขาเสวียนจีกลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ดวงตางดงามของนางเปล่งประกาย ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ในขณะที่คนส่วนมากต่างก็คิดว่าเจ้าอั้นอินไม่มีทางชนะแล้วนั้น พลันมีเสียงร้องแหลมดังมาจากกลางค่ายกลห้าธาตุ


ครู่ต่อมา แสงสีเงินขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกจากกรงขังห้าธาตุ ส่วนบนของกรงขังที่แข็งแกร่งจนยากจะทะลวงได้ ถูกโจมตีจนเป็นรูขนาดใหญ่


กลางอากาศด้านบนกรงขัง หลังจากแสงสีเงินสลายไปแล้ว กลับมีนกอินทรียักษ์สีเงินปรากฏออกมาตัวหนึ่ง ภายใต้การกระพือปีกทั้งสอง ดูเหมือนว่ามันจะมีขนาดสามสี่จั้ง ด้านบนถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณสีทอง กรงเล็บสีเงินทั้งคู่แหลมคมจนไม่อาจต้านทานได้ แสงสีเขียวหมุนวนอยู่ในดวงตาทั้งคู่ไม่หยุด


นกอินทรียักษ์ชูคอแผดเสียงออกมา จากนั้นก็หุบปีกทั้งสองแล้วพุ่งไปยังชายหนุ่มผมขาว


โหวคุนเห็นเช่นนี้กลับยกมือข้างหนึ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เขาปล่อยพลังใส่ค่ายกลยันต์ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีแสงแวววาวเปล่งประกาย วิหคขาวสิบกว่าตัวก็บินออกจากค่ายกลยันต์ และพุ่งออกไปรับมือกับนกอินทรียักษ์สีเงิน


ลวดลายจิตวิญญาณสีทองเปล่งประกายบนพิ้นผิวนกอินทรียักษ์สีเงิน ปีกทั้งสองพัดลงด้านล่างอย่างรุนแรง ทันใดนั้น สายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยจำนวนมากที่ผสมปนเปกับพายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกมา


วิหคขาวสิบกว่าตัวที่บินมาถึง ถูกพายุบ้าระห่ำม้วนตัวใส่จนเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง จากนั้นก็กลายเป็นยันต์ขาดๆ สิบกว่าผืนและร่วงลงด้านล่าง


เกิดเสียงดังโครมครามติดต่อกัน!


พายุบ้าระห่ำที่ผสมปนเปกับสายฟ้าม้วนตัวตามมาติดๆ และดูเหมือนว่าจะทำลายค่ายกลยันต์ห้าหกหลังตรงหน้าชายหนุ่มจนพังพินาศ และแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนกลายเป็นแสงหลากสี


ชายหนุ่มผมขาวรู้สึกตกใจมาก เขาเปลี่ยนท่ามือเพื่อจะกระตุ้นค่ายกลยันต์หลังอื่นๆ


แต่ขณะนั้นเอง เขารู้สึกว่ามีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวผ่านเหนือศีรษะ นกอินทรียักษ์สีเงินปรากฏออกมาท่ามกลางพายุ ขณะเดียวกันกรงเล็บยักษ์สีเงินก็คว้าลงมา


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง โหวคุนทำได้แค่สะบัดแขนเสื้อปล่อยยันต์สีทองออกไปผืนหนึ่ง จากนั้นมันก็กลายเป็นม่านแสงปกคลุมเขาไว้


แต่หลังจากมีเสียงดังขึ้นมา ม่านแสงสีทองก็ถูกกรงเล็บยักษ์สีเงินตะกุยจนแตกกระจาย


ชายหนุ่มผมขาวได้เปิดเผยตัวด้านล่างนกอินทรียักษ์โดยสมบูรณ์


ขณะที่ผู้คนรอคอยว่าโหวคุนจะยังเหลือท่าไม้ตายหรือไม่นั้น ชายหนุ่มผมขาวกลับดวงตาเป็นประกาย ทันใดนั้นเขาก็กล่าวออกมาอย่างสงบ


“ข้ายอมแพ้!”


จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากแท่นประลองท่ามสายตาประหลาดใจของศิษย์จำนวนมาก


พอเจ้าอั้นอินโบกมือข้างหนึ่ง นกอินทรียักษ์สีเงินก็กลายเป็นกรงเล็บสีเงินอีกครั้ง หลังจากมองดูชายหนุ่มผมขาวด้านล่างแท่นประลองแล้ว นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


“การประลองในรอบนี้ เจ้าอั้นอินจากสาขาเสวียนจีชนะ!”


หลังจากได้ยินผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศผลการประลองแล้ว หญิงงดงามบนแท่นหยกถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ


ชายอ้วนเตี้ยกลับมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา


เดิมทีเขาหวังว่าม้ามืดอย่างโหวคุนจะสามารถชิงอันดับหนึ่งมาได้ แต่ทว่าการประลองรอบที่สองเมื่อครู่กลับพ่ายแพ้ให้กับศิษย์สาขาเสวียนจี เขาย่อมรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย


……


บนแท่นประลองอีกแห่ง ชายหนุ่มชุดเขียวกำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้อย่างดุเดือด


ชายหนุ่มชุดเขียวย่อมเป็นหลิ่วหมิงนั่นเอง และคู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นอู่หมิงจากสาขาเสวียนจี


ศึกในก่อนหน้าที่พ่ายแพ้ให้กับจินเทียนชื่อ ไม่ได้ทำให้อู่หมิงรู้สึกหน้าม่อยคอตกแต่อย่างใด แต่ในทางตรงข้ามกลับดูเหมือนว่าจะกระตุ้นอารมณ์การต่อสู้ที่ฮึกเหิมกว่าเดิม


นิ้วทั้งสอบของเขาในขณะนี้เคลื่อนไหวราวกับล้อรถ และกระตุ้นตราประทับสีดำให้ปล่อยแสงสีดำออกมาต่อสู้กับหลิ่วหมิงอย่างดุเดือด


หลิ่วหมิงก็ใช้วิชาเปลี่ยนร่างแปลกประหลาดหลบหลีกการโจมตีของม่านแสงสีดำที่ม้วนตัวเข้ามา ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถฝ่าด่านสกัดกั้นไปได้ชั่วขณะ


จากการสังเกตการณ์ของเขาในก่อนหน้านั้น แสงสีดำที่ตราประทับปล่อยออกมา ไม่เพียงแต่จะสะท้อนการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปเท่านั้น ทั้งยังดูเหมือนว่าจะสร้างความเสียหายให้กับจิตวิญญาณของอาวุธจิตวิญญาณเองด้วย


ในขณะที่หลิ่วหมิงหลบหลีกแสงสีดำลำหนึ่งที่ม้วนตัวเข้ามาได้นั้น อู่หมิงก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาด้วยแววตาเฉียบขาด จากนั้นมันก็กลายเป็นหมอกโลหิตจมหายไปในตราประทับสีดำ


หลังจากตราประทับยักษ์หมุนติ้วๆ กลางอากาศ แสงสีดำก็ขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่งจนมีขนาดเท่าหอหลังหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันจะมีขนาดใหญ่กว่าตอนที่ต่อสู้กับจั้งเสวียนเล็กน้อย


อู่หมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วชี้ไปกลางอากาศ


ตราประทับสีดำส่งเสียงดัง “ตู้ม!” และพุ่งมาทางหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าตอนนี้ไม่อาจหลบหลีกได้แล้ว ภายใต้การครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็กระโดดขึ้นบนอากาศ และร่นถอยออกไป ขณะเดียวกัน หมอกดำก็พวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงดังกรอบแกรบบนร่างของเขา แขนทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นมาหนึ่งเท่าตัว


ตอนที่ 587 การประลองของสิบอันดับแรก (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉากที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


ตราประทับยักษ์ที่ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว กลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง


ท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่งตรงด้านล่าง หลิ่วหมิงก็ใช้แขนข้างหนึ่งที่มีไอดำลอยวนค้ำยันตราประทับสีดำผ่านอากาศไว้


อู่หมิงอ้าปากเล็กน้อย ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น


แม้ตราประทับตาข่ายมืดนี้จะเป็นของที่เลียนแบบมาจากอาวุธเวทบางอย่างในสมัยบรรพกาล แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ชั้นจำกัดทั้งหมดถูกเปิดออกมา แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นก็ไม่อาจรับมือได้


และหลิ่วหมิงตรงหน้ากลับใช้พลังกายเนื้อทำให้มันลอยอยู่กลางอากาศได้!


ขณะนั้นเอง ดวงตาหลิ่วหมิงก็เป็นประกาย พอเขาตะโกนออกมา ก็ดันแขนทั้งสองขึ้นด้านบน ทำให้ตราประทับขยับขึ้นไป จากนั้นร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


อู่หมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีเงาดำกระพริบตรงหน้า หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวที่ด้านหลังของเขาอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นแขนข้างหนึ่งก็พร่ามัวปล่อยกำปั้นออกไป


การโจมตีรวดเร็วราวสายฟ้าแลบเช่นนี้ อู่หมิงไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ หลังจากมีเสียงดังขึ้น ปราณแกร่งคุ้มร่างก็ถูกโจมตีจนระเบิดออกมา ขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็ทะลักเข้ามาในพริบตา


ร่างของชายหนุ่มอวบอ้วนสั่นสะเทือน และถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง สองตาทั้งคู่มืดลงจากนั้นก็สลบไป


“ตู้ม!” ตราประทับสีดำเพิ่งจะหล่นลงในบริเวณที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่ในก่อนหน้านั้น


กายเนื้อกับพลังมหาศาลอันน่ากลัวของหลิ่วหมิง ย่อมทำให้ศิษย์ที่ชมการประลองอยู่รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา


บริเวณมุมบางแห่ง พอชายหนุ่มชุดคลุมสีทองที่หลับตาพักผ่อนอยู่ได้ยินเสียงนี้ ก็ต้องชำเลืองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้


การประลองอีกสองคู่ที่เหลือ ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงยักษ์สามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้อย่างราบรื่น และชายควบคุมตั๊กแตนที่หลิ่วหมิงพบเจอในรอบแรก ก็เอาชนะคู่ต่อสู้สาขาจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้เช่นกัน


หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม การประลองรอบที่สามก็เริ่มต้นขึ้น


การประลองรอบนี้ ชายหนุ่มผอมแห้งที่สะพายกระบี่ทองแดงยักษ์กลับได้ต่อสู้กับจินเทียนชื่อ


ครั้งนี้ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ละสายตามาดูการประลองนี้


หลังจากมีประสบการณ์สองรอบในก่อนหน้านั้น พอชายหนุ่มผอมแห้งที่สะพายกระบี่ทองแดงยักษ์ขึ้นไปบนแท่นประลอง เขาก็รีบทำท่ามืออย่างไม่ลังเล กระบี่ทองแดงยักษ์บนหลังพุ่งขึ้นฟ้า “ฟิ้ว!” พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่สิบกว่าจั้ง ไอกระบี่ทะลักออกจากร่างอย่างมหาศาล ทำให้ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองรู้สึกใจเย็นสะท้าน


“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”


ชายหนุ่มตะโกนออกมา ร่างของเขาพร่ามัวรวมเป็นหนึ่งกับกระบี่ทองแดงยักษ์เล่มนั้น และกลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้งก่อนพุ่งเข้าหาจินเทียนชื่อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


มีแสงสว่างเปล่งประกาย ภายใต้สถานการณ์ที่กระบี่ร่างรวมกันเป็นหนึ่ง คิดว่าคงไม่อาจเก็บอาวุธจิตวิญญาณไปได้ แต่พอจินเทียนชื่อโบกแขนเสื้ออีกครั้ง แสงกระบี่สีเขียวก็กระพริบหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


และชายหนุ่มกระบี่ทองแดงก็โซซัดโซเซมาปรากฏตัวกลางอากาศ แต่สีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่อยู่นอกแท่นประลองต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ บรรดาผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นหยก ก็พากันขมวดคิ้วขึ้นมา


ขณะที่ผู้คนต่างก็คิดว่าการประลองจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้นั้น ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบศีรษะในฉับพลัน แสงสว่างม้วนตัวออกจากศีรษะ และพ่นกระบี่เล็กสีเหลืองที่ยาวสามชุ่นออกมา


พอกระบี่นี้ปรากฏตัว ก็มีเงากระบี่จำนวนมากปรากฏออกมาบนอากาศบริเวณนั้น ขณะเดียวกันไอกระบี่ก็พุ่งขึ้นฟ้า และแผ่แสงเจิดจ้าจนผู้คนไม่กล้ามองมันโดยตรง


สิ่งนี้ทำให้บรรดาศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนหลุดปากออกมาว่า “กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ”


ในเมื่อชายหนุ่มกระบี่ทองแดงปล่อยท่าไม้ตายของตนเองออกมาแล้ว ย่อมไม่ลังเลอะไรอีกต่อไป เขาชี้นิ้วไปที่จินเทียนชื่อแล้วตะโกนออกมา


กระบี่เล็กสีเหลืองพุ่งไปหาจินเทียนชื่อทันที อากาศบริเวณที่มันพุ่งผ่านเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา และยังทำให้รู้สึกถึงความร้อนผะผ่าว


ครั้งนี้ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองไม่ได้โบกแขนเสื้ออีก พอร่างของเขาพร่ามัว กระบี่เล็กก็พุ่งผ่านเงาร่างของเขาไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม


ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่ได้จัดการคู่ต่อสู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้จ้องมองการต่อสู้ของแท่นประลองนี้อยู่ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


ดูท่าเคล็ดวิชาที่จินเทียนชื่อใช้ คงมีผลกับอาวุธจิตวิญญาณที่ต่ำกว่าต้นแบบอาวุธเวทเท่านั้น โล่เก้ากะโหลกในมือตนเองตอนนี้ ก็ได้ปรับแต่งเป็นต้นแบบอาวุธเวทแล้ว คงจะสามารถรับมือกับคนผู้นี้ได้เช่นกัน


พอผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ที่สังเกตดูการต่อสู้นี้อยู่ มองเห็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ชายหนุ่มนำออกมา ก็ต้องมองมาด้วยสายตาประหลาดใจเช่นกัน ชายที่ไว้หนวดจากยอดเขากระบี่สวรรค์ ถึงกับเอ่ยปากรับคนผู้นี้เข้ายอดเขา เพื่อฝึกฝนสายกระบี่ด้วยความดีใจ


ขณะที่ผู้คนต่างก็คิดว่าม้ามืดตัวที่ใหญ่ที่สุดในงานประลองใหญ่ได้ปรากฏออกมาแล้วนั้น จินเทียนชื่อกลับดูเหมือนยังยิ้มกริ่มอยู่เช่นเดิม


ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา กระบี่บินสีเขียวหมุนวนหนึ่งรอบ และพร่ามัวไปตรงหน้าชายหนุ่มชุดคลุมสีทอง


ครั้งนี้จินเทียนชื่อไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด แต่กลับโบกแขนเสื้อทั้งสองในฉับพลัน ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา มีแสงแวววาวสองดวงม้วนตัวออกจากแขนเสื้อ และกระพริบไปห่อหุ้มกระบี่เล็กสีเหลืองไว้


ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด กระบี่บินพลังจิตวิญญาณถูกฝ่ายตรงข้ามทำให้สั่นสะเทือนสองสามที จากนั้นก็ไม่สามารถออกมาได้


จินเทียนชื่อค่อยๆ ยิ้มออกมา พอขยับแขนข้างหนึ่ง มือยักษ์สีทองก็ปรากฏออกมาในพริบตา และคว้าลงไปทันที


ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาขยับไหล่เพื่อจะหลบหลีก แต่กลับรู้สึกว่ามีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่รอบด้าน และอากาศก็ดูแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้


ในตอนที่เขาได้สติกลับมานั้น ก็ถูกมือยักษ์สีทองคว้าขึ้นมา และสะบัดออกไปนอกแท่นประลองแล้ว


หลังจากชายหนุ่มกระบี่ทองแดงยืนตั้งหลักได้ ก็ได้แต่จำใจยอมแพ้เท่านั้น


จินเทียนชื่อแสดงความสามารถมหัศจรรย์ออกมาติดต่อกันได้ ย่อมทำให้ศิษย์คนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา


หัวหน้าสาขากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นประลอง ต่างก็แสดงสีหน้าฉงนออกมาอย่างอดไม่ได้ และไม่มีคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มชุดคลุมสีทองไปชั่วขณะหนึ่ง


การประลองรอบที่สามของคู่อื่นๆ ก็สิ้นสุดลงอย่างสงบ


เจ้าอั้นอิน โหวคุนต่างก็ได้รับชัยชนะ และอู่หมิงเองก็ได้รับชนะเป็นครั้งแรก


“เอาล่ะ! การประลองในวันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ พรุ่งค่อยดำเนินการประลองจัดอันดับรอบที่สี่ต่อ!” พอเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว ชายอ้วนเตี้ยก็ประกาศออกมาทันที


บรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ก็รีบโค้งตัวคารวะแล้วแยกย้ายกันไป และหลิ่วหมิงก็ขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พักอย่างไม่ลังเล


เช้าวันที่สอง การประลองรอบที่สี่ก็เริ่มขึ้นตามเวลาที่กำหนด


ครั้งนี้หลิ่วหมิงเจอกับโหวคุน ชายหนุ่มชุดขาวจากสาขาเสวียนเหมี่ยว


พอหลิ่วหมิงขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นประลอง เขาก็สังเกตดูชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าทันที


สำหรับวิชาห้าธาตุกับค่ายกลยันต์ของโหวคุนนั้น เขาย่อมทำความเข้าใจไปแล้วหนึ่งรอบ


โหวคุนยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่กลับมีใบหน้าไร้ความรู้สึก


“เริ่มการประลอง!”


ผู้ตัดสินเป็นผู้อาวุโสผอมแห้งคนหนึ่ง หลังจากกระตุ้นชั้นจำกัดบนแท่นประลองแล้ว ก็พุ่งออกจากแท่นประลองไป


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง แขนทั้งสองของโหวคุนก็พร่ามัวในทันที จากนั้นก็ปล่อยยันต์สิบกว่าผืนไว้รอบตัว


“ขึ้น!”


ชายหนุ่มชุดขาวตะโกนออกมาเบาๆ ยันต์แต่ละผืนเปล่งแสงสีเหลืองออกมา และรวมตัวกันเป็นค่ายกลป้องกันรูปทรงกลมรี


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง เท้าข้างหนึ่งกระทืบพื้นในฉับพลัน ไอดำพวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกันก็มีเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นร่างของเขาก็หายตัวไปท่ามกลางไอดำ


โหวคุนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คมวายุสีเขียวสิบกว่าสายแฉลบผ่านหน้าไป


“เพล้ง!” “เพล้ง!”


ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัว จากนั้นก็หายวับมาปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่มชุดขาว ไอดำบนร่างกลายเป็นหนวดสัมผัส และกวาดออกไปรอบด้านทันที หลังจากคมวายุถูกกวาดออกไปทั้งหมด กำปั้นสีดำก็ชกลงบนค่ายกล


ร่างของโหวคุนสั่นสะท้าน ค่ายกลยันต์สีเหลืองเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดคลื่นที่ดูคล้ายระรอกคลื่น แต่กลับไม่แตกกระจายออกมา


เมื่องานประลองใหญ่ดำเนินมาถึงจุดนี้ ศิษย์ที่เข้าสู่สิบอันดับแรกอย่างพวกเขา ต่างก็ทำความเข้าใจวิชา อาวุธจิตวิญญาณ และอื่นๆ ของกันและกันได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว


โหวคุนรู้ดีว่าตนเองเชี่ยวชาญวิชาห้าธาตุกับค่ายกลยันต์ แม้มันจะมีอานุภาพไม่เลว แต่ก็ไม่เพียงพอในการรับมือกับหลิ่วหมิงที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ดังนั้นพอการประลองเริ่มขึ้น เขาก็วางค่ายกลป้องกันไว้ก่อนหนึ่งชั้น


ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ก็ประจักษ์ชัดว่าเขาทำถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นอานุภาพของกำปั้นในเมื่อครู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาพ่ายแพ้ในรอบนี้ได้


ตอนนี้โหวคุนโบกแขนเสื้อทั้งสองใส่หลิ่วหมิงที่ปรากฏขาดๆ หายๆ ตรงหน้า จากนั้นแสงหลากสีสิบกว่าลำก็พุ่งยิงออกไป และร่วงลงรอบตัวหลิ่วหมิงราวกับสายฟ้าแลบ


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปทันที ร่างของเขามาอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าสีเทาสลัวๆ แห่งหนึ่ง คิ้วของเขาขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


ความสามารถในการใช้งานค่ายกลยันต์ของโหวคุนนั้นไม่ต่ำเลย ลงมือรวดเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก ดูท่าวิธีการทั่วไปคงไม่อาจโจมตีให้คนผู้นี้พ่ายแพ้ได้


พอโหวคุนเห็นว่าสามารถกักขังหลิ่วหมิงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ยันต์แต่ละผืนพุ่งยิงออกไปบริเวณค่ายกลยันต์ที่กักขังหลิ่วหมิงอยู่ และก่อตัวเป็นค่ายกลยันต์อีกสี่หลัง จากนั้นเขาถึงหยุดมือลง


ค่ายกลทั้งห้าหลังนี้เป็นกำแพงกีดขวาง เชื่อว่าต่อให้หลิ่วหมิงอยากจะทำลาย ก็ต้องใช้พลังไม่น้อย


หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ โหวคุนก็กลืนโอสถลงไปหนึ่งเม็ดทันที พอโบกมือข้างหนึ่ง แท่นประลองก็ร้อนขึ้นมาผิดปกติ ท่ามกลางแสงสีแดงเพลิง มีอสูรเพลิงบิดตัวไปมาอยู่ข้างตัวเขา


พอศิษย์ที่ชมการต่อสู้มาตั้งแต่รอบแรกเห็นฉากนี้ ก็รู้ว่าโหวคุนคิดจะใช้ลูกไม้เดิมๆ โดยแสดงเคล็ดวิชาอสรพิษเพลิงขั้นสมบูรณ์แบบอีกครั้ง


ขณะที่บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็คิดว่าฉากที่ต่อสู้กับโจวเทียนรุ่ยจะเกิดซ้ำอีกครั้งนั้น ค่ายกลยักษ์ที่กักขังหลิ่วหมิงอยู่ก็สั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดังโครมคราม ขณะเดียวกัน แสงจิตวิญญาณบนนั้นก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง


ท่ามกลางค่ายกลยันต์ มีไอดำวนเวียนรอบตัวหลิ่วหมิง มันหนาแน่นราวกับของเหลวที่เดือดพล่านอย่างรุนแรง หลังจากหมุนวนรอบตัวขึ้นไปด้านบนแล้ว ก็ก่อตัวเป็นมังกรหมอกดำสองตัวกับพยัคฆ์ดำอีกสองตัว


หลังจากหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬด้วยพลังทั้งหมด ก็สามารถกระตุ้นพลังของมังกรสองตัวและพยัคฆ์สองตัวได้


ตอนที่ 588 การประลองของสิบอันดับแรก (4)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เพล้ง!”


กำแพงแสงชั้นในสุดที่ค่ายกลยันต์สร้างขึ้นมา เกิดรอยแตกร้าวเป็นรูปแมงมุมและแตกกระจายออกมาทันที


หลิ่วหมิงเก็บกำปั้นกลับมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


สีหน้าโหวคุนเปลี่ยนไปมาก ค่ายกลยันต์เหล่านี้เชื่อมต่อกับจิตของเขา ดังนั้นเขาย่อมรู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ท่ามือที่ทำอยู่จึงหยุดชะงักในทันที


ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังตูมตามติดต่อกัน!


หลังจากไอดำม้วนตัวออกมา เงาร่างคนผู้หนึ่งก็พุ่งออกจากค่ายกลที่ล้อมรอบ บริเวณที่เคลื่อนตัวผ่านมีเสียงดังอู้อี้ และมีระลอกคลื่นจางๆ ปรากฏออกมา


เกิดเสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!” ติดต่อกันสี่ครั้ง จากนั้นค่ายกลสี่หลังก็แตกกระจายออกมา!


เงาดำเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง หลิ่วหมิงได้พุ่งออกจากค่ายกลยันต์ และมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าโหวคุนแล้ว


ไอดำบนตัวพวยพุ่งรวมตัวเป็นมังกรไอดำตัวหนึ่ง และกลายเป็นกรงเล็บยักษ์สีดำที่มีขนาดเท่าแผ่นโม่ นิ้วทั้งห้าแหลมคมราวกับเหล็ก และดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก จากนั้นก็คว้าออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


“เปรี้ยะ!”


ค่ายกลป้องกันที่โหวคุนปล่อยออกมาในสถานการณ์ฉุกละหุก ถูกกรงเล็บยักษ์สีดำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนแตกร้าวราวกับกระดาษ


ภายใต้สถานการณ์ที่พลังของกรงเล็บยักษ์ยังเหลืออยู่ พอมันกระพริบผ่านไป อสรพิษเพลิงสิบกว่าตัวที่เพิ่งปรากฏตัวตรงหน้าโหวคุน ก็ถูกพายุบ้าระห่ำพัดจนดับไป


วิชาอสรพิษเพลิงของโหวคุนถูกทำลาย และภายใต้สถานการณ์ที่พลังเวทสะท้อนกลับ ทำให้ใบหน้าเขาแดงก่ำและกระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ทรุดร่างลงพื้นในฉับพลัน


กรงเล็บยักษ์สีดำหยุดอยู่ห่างจากศีรษะของโหวคุนไม่ถึงครึ่งฉื่อ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว พอโบกมือข้างหนึ่ง กรงเล็บยักษ์ก็กลายเป็นไอดำก่อนสลายไป


“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!”


พอผู้อาวุโสผอมแห้งเห็นฉากตรงหน้าก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และประกาศออกมา


การแลกมือเมื่อครู่ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น หากหลิ่วหมิงยั้งมือไม่ทัน เขาไม่อาจรับรองได้ว่าจะสามารถช่วยโหวคุนได้ทัน


ผู้คนที่อยู่ด้านล่างแท่นประลอง ต่างก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป


หากหลิ่วหมิงสามารถเอาชนะได้หนึ่งถึงสองครั้ง ยังนับว่าโชคดีไม่น้อย แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยพ่ายแพ้เลย ประจักษ์ชัดว่าเขามีพลังที่เพียงพอ


และการต่อสู้ไม่กี่รอบนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะอาศัยกายเนื้ออันแข็งแกร่งกับวิชาร่างแปลกประหลาดในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามโดยตรงเท่านั้น และชัยชนะก็ดูใสสะอาดมาก


ศิษย์สาขาอื่นๆ ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าลือของหลิ่วหมิงมาก่อน ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างอดไม่ได้ และยังไปสอบถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิ่วหมิงจากคนอื่นๆ ด้วย


เจียงจ้งที่อยู่บนแท่นหยกก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเอามือฟั่นหนวดด้วยรอยยิ้ม


สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของยอดเขาเมฆาหยกทั้งสาม ชายแซ่หลูเพียงแค่มองดูด้วยสายตาราบเรียบเท่านั้น เฮ่าเยวี่ยกลับเผยสีหน้าครุ่นคิด และสายตาของหญิงงดงามสวมชุดสีเขียวที่จ้องมองหลิ่วหมิง ก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ


หลังจากผ่านศึกในครั้งนี้แล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของยอดเขาอื่นๆ ย่อมรู้สึกสนใจเขาขึ้นมาอีกครั้ง


ขณะที่หลิ่วหมิงเดินลงจากแท่นประลอง และนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวทนั้น การประลองคู่อื่นๆ ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว


คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มร่างผอมที่สะพายกระบี่ทองแดงในรอบนี้ก็คืออู่หมิง เขาแสดงวิชาขี่กระบี่ต้านทานตราประทับของอู่หมิงไว้ก่อน จากนั้นก็ปล่อยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมาโจมตีอู่หมิงได้อย่างง่ายดาย


เจ้าอั้นอินกับจินเทียนชื่อต่างก็เอาชนะได้อีกคนละหนึ่งรอบ


ขณะที่เริ่มการประลองรอบที่ห้านั้น หลิ่วหมิงก็ได้พบกับชายหนุ่มกระบี่ทองแดงในที่สุด


ตั้งแต่ประลองจัดอันดับมา ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงจากสาขาหงจวินผู้นี้ นอกจากจะแพ้ให้กับจินเทียนชื่อหนึ่งครั้งแล้ว เขาก็อาศัยวิชาขี่กระบี่ที่ไม่ธรรมดากับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ เอาชนะการประลองอีกสามรอบได้อย่างรวดเร็ว


“พี่เจียง วิชาขี่กระบี่ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณอยู่ในมือ เกรงว่าศิษย์แซ่หลิ่วของท่านผู้นั้น คงจะเจอกับอันตรายเล็กน้อยแล้ว” ชายอ้วนเตี้ยหัวเราะเฮ่อๆ แล้วหันมากล่าวกับเจียงจ้ง


เมื่อครู่ โหวคุนที่เป็นศิษย์สาขาของเขาพ่ายแพ้ในมือหลิ่วหมิง เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา ตอนนี้เห็นหลิ่งหมิงเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ ก็อดที่จะยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นไม่ได้


“การต่อสู้บนแท่นประลองเปลี่ยนแปลงหมื่นครั้งในพริบตา กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเพียงเล่มเดียว ไหนเลยจะตัดสินแพ้ชนะได้” เจียงจ้งตอบอย่างราบเรียบ สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย


“เฮ่อๆ! ถ้าย่างนั้นพวกเราก็เช็ดหน้าเช็ดตาคอยดูกันเถอะ!” ชายอ้วนเตี้ยหัวเราะ


ทางด้านแท่นประลอง ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง กระบี่ทองแดงยักษ์บนหลังก็พุ่งขึ้นฟ้า และฟันไปยังอากาศด้านหน้า


เกิดเสียงดังขึ้นมา เงากระบี่สีเหลืองที่ยาวหลายจั้งปรากฏเหนือศีรษะหลิ่วหมิง และฟันลงมาอย่างดุดัน


ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พอแสงสีทองเปล่งประกายในแขนเสื้อ ทรายทองคำร่วงก็ม้วนตัวออกมา และก่อตัวเป็นกำปั้นสีทองข้างหนึ่ง ครู่ต่อมามันก็โจมตีลงบนเงากระบี่ยักษ์


เกิดเสียงดังโครมคราม!


เงากระบี่ยักษ์แตกกระจายในทันที และกำปั้นสีทองที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วงก็เกิดรอยร้าวเส้นหนึ่งที่ลึกหลายฉื่อ จากนั้นก็แตกกระจายเป็นทรายทองคำร่วงปกคลุมเต็มฟ้า


ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พอเขาปล่อยเคล็ดวิชากระบี่ออกไป กระบี่ทองแดงยักษ์ก็พร่ามัวอีกครั้ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงากระบี่สีเหลืองกระพริบผ่านไป และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทิศ


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองเปลี่ยนท่ามือในฉับพลัน ทรายทองคำร่วงกลางอากาศกลายเป็นแสงสีทองแปดลำ และพุ่งออกไปรับมือไว้


เสียงเปรี้ยงปร้างราวกับเสียงฟ้าร้องดังขึ้นรอบตัวหลิ่วหมิงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าแสงกระบี่จะดุดันเพียงใด และเปลี่ยนทิศทางอย่างไร ก็ไม่อาจทะลวงการกีดขวางของแสงสีทองที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วงได้


ในที่สุดชายหนุ่มกระบี่ทองแดงก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา คิดไม่ถึงว่านอกจากหลิ่วหมิงจะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งแล้ว ยังจะมีอาวุธจิตวิญญาณร้ายกาจระดับนี้ด้วย


หลังจากเขาทำเสียงฮึดฮัดออกมาแล้ว ก็โบกมือข้างหนึ่ง ทำให้แสงกระบี่ทั้งแปดลำรวมตัวเป็นกระบี่ยักษ์อีกครั้ง และพร่ามัวก่อนพุ่งกลับมา


หลิ่วหมิงชี้ออกไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น


“ฟู่!”


ทรายทองคำร่วงกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวไปด้านหน้า


ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงโบกมือข้างหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงกระบี่สีเหลืองลำหนึ่งพุ่งออกจากระหว่างคิ้วของเขา ทันใดนั้นกลิ่นไอกระบี่ก็แผ่ออกมา มันคือกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนั้นนั่นเอง


พอกระบี่เล็กสีเหลืองปรากฏออกมา ลำแสงอันน่าตกใจก็ถูกเปล่งออกมาทันที จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก และฟันใส่แสงสีทองตรงหน้า


“เต้ง!” “เต้ง!”


ภายใต้การม้วนตัวของไอกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้า ทำให้แสงสีทองแตกสลายในทันที และพุ่งยิงกลับไปเป็นจุดแสงสีทองอีกครั้ง


“แสงกระบี่แหลมคมยิ่งนัก นี่ก็คือกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสินะ!”


หลิ่วหมิงโบกมือเก็บทรายทองคำร่วงด้วยตาที่เป็นประกาย


หลังจากชายหนุ่มกระตุ้นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณตรงหน้าแล้ว มันก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ กลิ่นไอกระบี่ที่ติดตัวมาก็แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม จนมีอานุภาพล้นหลาม


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน กระบี่บินพลังจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้เข้าสู่ต้นแบบอาวุธเวทแล้ว เขาจึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป พอยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น ลูกกลมๆ สีเหลืองสี่ลูกก็ร่วงลงพื้นตรงหน้า หลังจากมีเสียงดัง “คล่อกแคล่ก!” มันก็กลายเป็นหุ่นนักรบสีทองอร่ามสี่ตัว


ขณะเดียวกัน ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว หลังจากมีแสงแวววาวเปล่งประกายระหว่างคิ้ว พลังจิตอันมหาศาลก็ม้วนตัวออกไป มันก่อตัวเป็นระลอกคลื่นไร้รูปเหนือศีรษะ หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว พลังจิตมหาศาลของหนอนพลังจิตบนตัว ก็ถูกหมุนเวียนมาใช้ และมันก็ทะลักขึ้นไปบนอากาศเช่นกัน


ระลอกคลื่นเหนือศีรษะหลิ่วหมิงขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง พื้นที่ของมันเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่า และเริ่มแผ่แสงสีขาวออกมา


“แยก!”


พอหลิ่วหมิงตะโกนออกมา ระลอกคลื่นพลังจิตก็แยกตัวเป็นสี่ และกลายเป็นแสงสีขาวจางๆ สี่ลำก่อนจมหายไปในหน้าผากของหุ่นนักรบทั้งสี่


ด้วยพลังจิตของเขาในตอนนี้ เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นโดยทั่วไปแล้ว บวกกับพลังจิตของหนอนพลังจิตที่ลอกเลียนแบบออกมา ต่อให้จะแยกจากหนึ่งเป็นสี่ ก็ยังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไปเล็กน้อย


พอหุ่นนักรบทั้งสี่ได้รับจากควบคุมจากพลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ แกนค่ายกลที่อยู่ด้านในก็เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นลำแสงสีทองสี่ลำก็พุ่งออกจากร่าง มีเงาร่างของมังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง เต่าดำ ที่เป็นสัตว์จตุรเทพทั้งสี่มาปรากฏอยู่รำไร หลังจากมันหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นม่านแสงสีทองสลัวๆ


นี่ถึงเป็นความสามารถที่แท้จริงของหุ่นสี่ทิศ เกรงว่าผู้ที่ดำเนินการประมูลในตอนแรก ก็ไม่รู้ว่ามันมีความสามารถเช่นนี้


หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงใส่พลังจิตที่เพียงพอให้กับแกนกลางของหุ่นนักรบทั้งสี่พร้อมกันโดยไม่ตั้งใจล่ะก็ เกรงว่าก็ไม่อาจค้นพบเช่นกัน


ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าเฉียบขาดออกมา เขาชี้มือข้างหนึ่งไปทางหลิ่วหมิง และตะโกนออกมา “ฟัน!”


กระบี่เล็กสีเหลืองที่หมุนวนอยู่กลางอากาศพร่ามัวในทันที จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมา หลังจากเกิดคลื่นอันน่าตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เงากระบี่สีเหลืองที่ยาวสามสิบจั้ง ก็มาปรากฏตัวเหนือม่านแสงสีทองทันที และฟันลงมาอย่างโหดเหี้ยม


“ตู้ม!” เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แท่นประลองสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด


หลังจากม่านแสงสีทองถูกเงากระบี่ค้ำฟ้าฟันลงมา มันก็ยุบลงไปด้วยเสียงอันดัง ราวกับว่าเป็นสายยางที่ถูกดึงให้ตึง แต่กลับไม่พังทลายลงมา


สีหน้าของชายหนุ่มกระบี่ทองแดงเปลี่ยนไปในทันที เขารู้ดีว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้มีอานุภาพแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันกลับไม่สามารถฟันทะลุม่านแสงชั้นนี้ได้


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่อยู่ภายในม่านแสงก็มีไอดำพวยพุ่งออกจากตัว และรวมตัวเป็นเงามังกรกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสองตัว


ครู่ต่อมา ท่ามกลางเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำราม กำปั้นสีดำที่มาพร้อมกับมังกรพยัคฆ์อย่างละสองตัวก็พุ่งขึ้นมา และโจมตีใส่เงากระบี่ค้ำฟ้าอย่างรุนแรง


ราวกับว่าเกิดฟ้าผ่าในขณะที่อากาศยังสดใส!


ขณะที่เงากระบี่ยักษ์ถูกหลิ่วหมิงโจมตีและถูกพลังม่านแสงสีทองสะท้อนกลับ มันก็กระเด็นขึ้นบนที่สูง


“เป็นไปได้อย่างไร!”


ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็หลุดปากออกมา


ตั้งแต่เขาฝึกฝนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จ ไม่มีสิ่งใดที่มันฟันไม่ได้


แต่ทว่าการประลองใหญ่ในครั้งนี้ ก่อนหน้านั้นก็ถูกจินเทียนชื่อใช้วิธีการแปลกประหลาดกักขังกระบี่บินพลังจิตวิญญาณไว้ และตอนนี้ก็ถูกหลิ่วหมิงต้านทานการฟันด้วยพลังทั้งหมดของเขาไว้ได้


คนผู้นี้ก็เป็นผู้ที่มีใจหนักแน่นมาก หลังจากเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็วแล้ว มือทั้งสองที่ทำท่ามืออยู่ก็เคลื่อนไหวทันที หลังจากเงากระบี่ยักษ์ค้ำฟ้าที่กระเด็นออกไปค่อยๆ สั่นสะท้าน มันก็ร่วงลงมาอีกครั้ง


แต่ขณะนั้นเอง เขาก็รู้สึกประหลาดใจกับหลิ่วหมิงตรงหน้ามาก


ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงพลันรับรู้ได้ถึงความเย็นสะท้านจากด้านหลัง แสงสีทองเปล่งประกายออกมา ฝ่ามือสีทองอร่ามข้างหนึ่งโจมตีทะลุปราณแกร่งคุ้มร่าง และพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญของเขา


ตอนที่ 589 การประลองของสิบอันดับแรก (5)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงก็มือไม้คล่องแคล่วเป็นอย่างมาก เขาขยับตัวเพื่อที่จะหลบไปด้านข้าง


แต่ทว่าหลังจากฝ่ามือสีทองหักทิศทาง มันก็โจมตีลงบนสะโพกของชายหนุ่ม ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เขากระเด็นออกไปเท่านั้น ยังทิ้งบาดแผลที่ยาวหลายชุ่นไว้ด้วย โลหิตทะลักออกมาทันที กระดูกสีขาวโพลนโผล่ออกมาอยู่รำไร


หลังจากชายหนุ่มกระบี่ทองแดงร่วงลงพื้นและโซเซสองสามก้าวแล้ว ถึงฝืนทรงตัวไว้ได้ และในที่สุดก็มองเห็นว่ามีนักรบยันต์เกราะทองคำอยู่ด้านหลังเขาตัวหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็คำรามด้วยความตกใจปนโมโห และคิดที่จะกระตุ้นกระบี่ทองแดงยักษ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศให้โจมตีกลับ


“หยุดลงมือเถอะ! สถาพของเจ้าในตอนนี้ไม่สามารถต่อสู้ได้แล้ว” มีน้ำเสียงที่ดูเฉยเมยดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นแสงสีขาวก็ม้วนตัวลงมาห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มกระบี่ทองแดงไว้ และส่งเขาออกไปนอกแท่นประลอง


ครู่ต่อมา ร่างของผู้ดำเนินการระดับผลึกก็ปรากฏบนแท่นประลอง หลังจากมองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งแล้ว ก็ประกาศออกมา


“ผู้ชนะคือ หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า!”


หลังจากหลิ่วหมิงประสานมือคารวะแล้ว ก็เก็บหุ่นนักรบทั้งสี่กับยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองเข้าไป และตัวเขาเองก็แอบโล่งใจไม่น้อย


การประลองในรอบนี้ เขาไม่ได้เปรียบมากนัก เมื่อเผชิญหน้ากับอานุภาพของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ เขาก็ได้แต่ใช้วิธีการป้องกัน หากไม่ใช้ทรายทองคำร่วงแอบส่งยันต์พลังผ้าเหลืองไปอยู่ข้างตัวชายหนุ่มกระบี่ทองแดงตั้งแต่แรก และกระตุ้นให้มันทำการโจมตีล่ะก็ เกรงว่าคงไม่อาจปิดศึกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้


……


“หุ่นนักรบชุดเกราะทั้งสี่ตัวเมื่อครู่มีโครงสร้างยอดเยี่ยมมาก แม้แต่การป้องกันสี่ทิศยังสามารถปล่อยออกมาได้ คงมาจากฝีมือของผู้เชี่ยวชาญนิกายเทียนกงสินะ พี่เจียงศิษย์ในสาขาของท่านผู้นี้ น่าสนใจขึ้นทุกทีแล้ว ไม่แน่อาจจะชิงที่หนึ่งมาได้ก็เป็นไปได้” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองมองดูหลิ่วหมิงที่เดินลงแท่นประลองด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเจียงจ้ง


“พี่เฉินชมเกินไปแล้ว ศิษย์ผู้นี้จะเดินไปถึงขั้นไหนได้นั้น ก็เป็นความโชคดีของเขา” เจียงจ้งหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงเป็นศิษย์หนึ่งเดียวของสาขาห่านฟ้าที่เข้าสู่รอบจัดอันดับได้ และการประลองในรอบห้าครั้งที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้เลย ทำให้สาขาของเขามีหน้ามีตาไม่น้อย


“ฮึ!” หญิงชุดแดงได้ยินกลับทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ


อีกด้านหนึ่ง ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงที่แต่งชุดนักพรต ก็มีสีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย ซึ่งชายหนุ่มกระบี่ทองแดงผู้นั้นก็เป็นศิษย์ในสาขาของเขานั่นเอง


การประลองแต่ละรอบดำเนินไปเช่นนี้ ศิษย์หลายคนที่ถูกจับตามองในก่อนหน้านั้นต่างก็มีแพ้มีชนะ


เมื่อการประลองรอบที่เจ็ดก็สิ้นสุดลง อู่หมิง โหวคุน ต่างก็ชนะสามแพ้สี่ ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงแพ้ไปสองรอบ รอบที่หกเจ้าอั้นอินกับกับจินเทียนชื่อต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่กรงเล็บบินถูกจินเทียนชื่อกักขังไว้จนพ่ายแพ้ไปหนึ่งรอบ


ตอนนี้มีแค่หลิ่วหมิงและจินเทียนชื่อเท่านั้น ที่ยังคงรักษาชัยชนะมาโดยตลอด


แต่ทว่าการประลองในรอบที่แปด หลิ่วหมิงกับเจ้าอั้นอินก็ยืนอยู่บนแท่นประลองเดียวกัน


หลิ่วหมิงโชคดีไม่น้อย จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เจอกับจินเทียนชื่อเลย และตัวเจ้าอั้นอินเองนอกจากจะแพ้ให้กับจินเทียนชื่อแล้ว ที่เหลือล้วนได้ชัยชนะมาหมด


ตอนนี้ก็มาถึงสองรอบสุดท้ายแล้ว เมื่อผลลัพธ์ของรอบนี้ปรากฏออกมา ก็อาจจะส่งผลต่อสามอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งนี้


ด้วยเหตุนี้ทั้งสองยังไม่ทันได้ลงมือ ก็ดึงดูดสายตาของคนจำนวนมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ต่างก็เพ่งเล็งมาทางด้านนี้


บนแท่นประลอง เจ้าอั้นอินเพียงแค่กุมมือคารวะหลิ่วหมิงเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีเงินสองลำพุ่งออกจากแขนเสื้อของนาง หลังจากทอประสานรวมตัวกันกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นเสือดาวสีเงินตัวหนึ่ง


พอปีศาจอสูรตัวนี้ปรากฏออกมา มันก็กลายเป็นลำแสงสีเงินแคบยาวพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง พอทำท่ามือ ไอดำบนตัวก็พวยพุ่ง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาดำพุ่งยิงออกไปรับมือกับแสงสีเงินที่พุ่งเข้ามา


ในระหว่างเวลานั้น แสงสีเงินหนึ่งลำกับแสงสีดำหนึ่งลำต่างก็พาดผ่านซึ่งกันและกันกลางอากาศ มีเสียงดังโครมครามดังออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงคำรามแหลมดังออกมา ทำให้อากาศบริเวณนั้นสั่นสะเทือนเป็นระยะๆ


ชั่วเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ แสงประหลาดทั้งสองลำก็โจมตีกันสิบกว่าครั้ง จากนั้นถึงแยกออกออกไปคนละทิศทาง


พอเงาดำหายไป ร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา บนตัวยังคงมีไอดำพวยพุ่ง สีหน้ายังคงเป็นปกติ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มีรอยยับเลยแม้แต่น้อย


คิดไม่ถึงว่าเขารับมือกับอสูรที่กลายร่างมาจากอาวุธจิตวิญญาณของหญิงผู้นี้ด้วยมือเปล่านานขนาดนี้ ก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลยแม้แต่น้อย


“กายเนื้อกับความเร็วของศิษย์ผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” บนแท่นหยก ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่เป็นหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้าเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวชมเชยอย่างอดไม่ได้


หญิงดงามจากสาขาเสวียนจีที่อยู่ด้านข้างก็ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน


แม้ว่ากรงเล็บของเจ้าอั้นอินผู้นี้จะห่างจากต้นแบบอาวุธเวทหนึ่งขั้น แต่อสูรที่มันกลายร่างมานี้ ล้วนมีความรวดเร็วและเชี่ยวชาญในการโจมตีมาก แต่ทว่าหลิ่วหมิงกลับอาศัยเพียงกายเนื้ออันแข็งแกร่ง ก็ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของความรวดเร็วและการโจมตีนี้แล้ว


ชั่วระหว่างเวลานั้น หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย นิ้วทั้งสิบทำท่ามืออย่างรวดเร็วจนดูพร่ามัว ทันใดนั้นนางก็ตะโกนคำว่า “เปลี่ยน!” ออกมา


เสือดาวที่เผยตัวด้านบนอากาศเหนือตัวของนางดวงตาเป็นประกาย ลวดลายจิตวิญญาณบนตัวเปล่งประกายระยิบระยับ พริบตาเดียวร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นมา


ไม่นาน นกอินทรียักษ์สีเงินที่มีปีกยาวสามสี่จั้งก็ปรากฏเหนือศีรษะของหญิงผู้นี้


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองก็เปล่งประกาย หุ่นเกราะทองคำทั้งสี่ปรากฏออกมาอยู่รอบตัวเขา


ขณะเดียวกัน เขาก็เอานิ้วแตะบนหน้าผาก ทันใดนั้นพลังจิตก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง และก่อตัวเป็นระลอกคลื่นอีกครั้ง จากนั้นก็แยกตัวจากหนึ่งเป็นสี่แล้วพุ่งไปยังศีรษะของหุ่นทั้งสี่


หลังจากลำแสงสีทองเปล่งประกายออกมา ก็มีเงาร่างอสูรสี่ทิศปรากฏเหนือศีรษะของหลิ่วหมิงอีกครั้ง


หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าดวงตาเป็นประกาย พอโบกมือข้างหนึ่ง กรงเล็บนกอินทรีสีเงินก็พุ่งออกไป หลังจากหมุนวนบนอากาศหนึ่งรอบแล้ว กรงเล็บอันแหลมคมของมันก็คว้าไปทางหุ่นนักรบเกราะทองคำตัวหนึ่ง


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน หญิงผู้นี้มีสายตาที่แม่นยำมาก มองดูแค่ทีเดียวก็รู้ว่าหุ่นที่มีการป้องกันอ่อนแอสุดก็คือหุ่นหงส์แดงตัวนั้น เขารีบโบกมือในทันที เงาร่างอสูรสี่ทิศพร่ามัวกลายเป็นม่านแสงสีทองหนึ่งชั้น และกลายเป็นโซ่สีทองขนาดเท่าถังน้ำที่มีความยาวสิบกว่าจั้ง มันขดตัวไปมาราวกับสายฟ้าแลบ


ครู่ต่อมา นกอินทรียักษ์สีเงินก็ส่งเสียงร้องรันทดออกมา ร่างของมันถูกโซ่สีทองรัดพันไว้อย่างแน่นหนา


หลิ่วหมิงโบกมือทั้งสองติดต่อกัน โซ่สีทองรัดตัวนกอินทรียักษ์รอบแล้วรอบเล่า พริบตาเดียวนกอินทรียักษ์ก็ถูกมัดจนกลายเป็นขนมบ๊ะจ่างสองสี และถูกลากลงไป


หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดในทันที นางเปลี่ยนท่ามือทั้งสองอย่างรวดเร็ว


มีเสียงแผดร้องดังขึ้น


สิ่งที่ถูกห่ออยู่ในโซ่สีทองแผ่กลิ่นไออันน่าตกใจออกมา จากนั้นลำแสงสีเงินเจิดจ้าก็พุ่งขึ้นฟ้า โซ่สีทองแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นหมาป่าเงินสามหัวตัวหนึ่งยืนแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่


บนตัวของหมาป่าถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณสามสี ประกอบไปด้วยสีแดง สีฟ้า และสีเขียว ลำตัวมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ยาวราวๆ สามจั้งกว่า ดวงตาแต่ละคู่ก็เป็นสีแดง สีฟ้า สีเขียว แตกต่างกันไป แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก


พอหมาป่ายักษ์หลุดออกมาได้ ก็มีลำแสงสีเขียวขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งออกจากหัวที่อยู่ตรงกลาง และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงโดยตรง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ปล่อยพลังออกจากมือทั้งสอง หลังจากเงาร่างอสูรสี่ทิศปรากฏออกมาอีกครั้ง มันก็กลายเป็นม่านแสงสีทองต้านทานไว้ตรงหน้าหนึ่งชั้น


“ตู้ม!”


ลำแสงสีเขียวโจมตีลงบนม่านแสงสีทอง จากนั้นก็เกิดเสียงกัดกร่อนดัง “ซู่ๆ!” ม่านแสงสีทองสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง และพื้นผิวของมันก็บางลงไปมาก


หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ ก็ปล่อยพลังออกไปอย่างไม่ลังเล


หัวอีกสองหัวที่เหลือของหมาป่าเงิน ต่างก็อ้าปากพ่นลำแสงสีแดงกับสีฟ้าออกมา


ลำแสงแปลกประหลาดทั้งสามรวมตัวกัน และก่อตัวเป็นลำแสงเจิดจ้าที่สว่างราวกับกลางวัน จากนั้นก็ระเบิดลงบนม่านแสงสีทอง!


“ตู้ม!”


ภายใต้การสั่นสะท้านของม่านแสงสีทอง บนพื้นผิวมีเปลวไฟสีแดงกับไอเย็นสีฟ้าเปล่งประกาย หลังจากยืนหยัดได้เพียงไม่กี่อึดใจ มันก็ส่งเสียงแตกหักและพังทลายลงมา


หมาป่าเงินสามหัวกระทืบเท้าลงพื้น และกลายร่างเป็นแสงสีเงินกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงในทันที


หลิ่วหมิงไม่เผยสีหน้าหวาดผวาใดๆ ออกมา แต่กลับมีเสียงกำปั้นสองลูกดัง “ฟู่!” “ฟู่!” พลังไร้รูปสองสายพุ่งออกไปทันที ทำให้หมาป่าเงินสามหัวที่กระโจนเข้ามาต้องหยุดชะงักลง และไม่สามารถร่วงลงมาได้ชั่วขณะ


ขณะนี้ไอดำสองกลุ่มม้วนตัวออกจากถุงหนังบนเอวของเขา หลังจากหมุนติ้วๆ หนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแมงป่องกระดูกกับหัวบิน


“ไป!”


หลิ่วหมิงชี้นิ้วไปกลางอากาศ


แมงป่องกระดูกพุ่งออกไปทันที หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว มันก็ยกกล้ามยักษ์ทั้งคู่ชนใส่ร่างของหมาป่าเงินสามหัว


ทางด้านหัวบิน มันก็ถือโอกาสเข้าใกล้ตัวหมาป่าเงินท่ามกลางเสียงหัวเราะแปลกประหลาด พอมันสะบัดหัว เส้นผมสีเขียวก็พุ่งออกไป มันถักทอจนกลายเป็นตาข่ายสีเขียว และรัดพันหมาป่ายักษ์ไว้อย่างแน่นหนา


“เอ๊ะ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์ผู้นี้จะมีอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณระดับของเหลวขั้นปลายด้วย  ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของมันจะไม่ต่ำเลย นับว่าเขาเป็นผู้ที่มีวาสนาไม่เบา” บนแท่นหยก พอหญิงงดงามจากสาขาเสวียนจีเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา


เจียงจ้งเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าสีประหลาดใจเช่นกัน


ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ ที่ติดตามการประลองนี้ ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป


หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และกระตุ้นท่ามืออย่างต่อเนื่อง


แสงสีเงินเปล่งประกายบนตัวหมาป่าเงินสามหัวทันที หลังจากร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นมา มันก็คิดที่จะสลัดตัวให้หลุดออกจากเส้นผมสีเขียว


แต่ครู่ต่อมา หัวบินก็หัวเราะแปลกประหลาด พอมันส่ายหัวจนแยกร่างออกเป็นเก้าร่าง เส้นผมสีเขียวนับไม่ถ้วนก็พุ่งยิงไปห่อหุ้มหมาป่าเงินจนกลายเป็นขนมบ๊ะจ่างภายในพริบตา


แมงป่องกระดูกก็ส่ายหางตะขอหัวมังกรโจมตีออกไปจนกลายเป็นเส้นสีดำสิบเส้น และโจมตีลงบนตัวของหมาป่าเงินสามหัวจนเกิดเสียงดัง “แกร๊งๆ!”


แม้ว่าการโจมตีนี้จะไม่สามารถทำร้ายอสูรแปลกประหลาดตัวนี้ได้มากนัก แต่ก็ทำให้มันคำรามอยู่ไม่หยุด และไม่สามารถหลุดออกมาได้


หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา นางพลิกฝ่ามือนำดาบไม้สีขาวที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณออกมาอย่างไม่รีรอ


ทันใดนั้น ไอดำก็ม้วนออกจากตัวหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้า หลังจากกระพริบวิบวับไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงสาวราวกับปีศาจ พอสะบัดแขนเสื้อ สิ่งที่ตามเข้ามาก็คือแสงสีทองเต็มฟ้าที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วง


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)