ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 569-570

ตอนที่ 569 แค่คำว่าจีเพียงอักษรเดียวก...

 

ตัวเขากับคนผู้นั้นสมควรจะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น ทำไมเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถึงได้เอ่ยเรียกเขาเช่นนั้น? 


 


 


“เจ้าจำคนผิดแล้ว” เจ้าสำนักเอ่ยอย่างเย็นชา เขากำหมัดค้างเอาไว้ เกือบจะต่อยลงไปอยู่แล้ว 


 


 


“เหล็กแหลมแท่งนี้ มีแต่เมื่อสัมผัสกับสายเลือดของคนในราชวงศ์จีเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง หากว่าเจ้าไม่ใช่จีเฉวียน แล้วจะเป็นผู้ใด?” 


 


 


ยามที่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเอ่ยออกมา น้ำเสียงก็ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง 


 


 


แค่คำว่าจีเพียงอักษรเดียวก็เพียงพอจะทำให้เขาบ้าคลั่งได้แล้ว 


 


 


ความทุกข์ทรมานทั้งหลายทั้งปวงของเขา ล้วนเกิดจากคนในสกุลจี แม้ว่าต้องทนมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยจะมีวันใดที่คิดจะเลิกล้มการกำจัดราชวงศ์จีให้หมดสิ้น! 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านเจ้าสำนักก็ต้องเหลือบตาไปมองดูเหล็กแหลมในมือของเขาชิ้นนั้นรอบหนึ่ง เหล็กแหลมชิ้นนั้นแดงก่ำราวกับเลือดจะหยดออกมา ช่างบาดตายิ่งนัก 


 


 


เขาพยายามครุ่นคิดอย่างละเอียดลออครั้งหนึ่ง ก็ยังจดจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด 


 


 


เนื่องเพราะจีเฉวียนที่เขารู้จักนั้น มาจากข้อมูลของดินแดนโบราณ และคำพูดจากปากของศิษย์น้อยเพียงเป็นส่วนใหญ่ 


 


 


หากว่าเขาคือคนผู้นั้นจริงๆ ทำไมเมื่อได้ยินชื่อของตนเอง ในใจถึงได้ไม่มีคลื่นลมใดๆทั้งสิ้น? 


 


 


และแม้แต่อารมณ์อ่อนไหวสักนิดก็ยังไม่มี? 


 


 


ดังนั้นเพียงแค่การเปลี่ยนสีของเหล็กแหลมชิ้นนั้น ก็จะสามารถบอกได้อย่างแม่นยำว่าเขาคือจีเฉวียนจริงๆนะหรือ? 


 


 


โอรสสวรรค์แคว้นต้าโจวผู้นั้น เป็นเพียงแค่มนุษย์หยาบกร้านธรรมดาๆผู้หนึ่งเท่านั้นไม่มีทางที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างเขาได้เลย 


 


 


แม้ว่าครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แต่หมัดของเขาก็ยังคงต่อยลงไปอีกอยู่ดี 


 


 


เขาเคยบอกเอาไว้แล้วว่า ต้องการมารับวิญญาณของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน นี่ย่อมมิใช่แค่เพียงสายลมที่พัดผ่านใบหู 


 


 


……………….. 


 


 


ใต้เกาะลอยฟ้า เดิมทียามนี้เป็นเวลาเย็นที่แสงสีส้มของดวงอาทิตย์จับขอบฟ้า แต่ว่าอยู่ๆท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสีไป  


 


 


แผ่นฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำมืด สายลมปีศาจพัดหวีดหวิวอย่างรุนแรง ราวกับว่าอยู่ๆก็มีปีศาจโผล่ขึ้นมา ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวจนไม่น่าดู 


 


 


โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงพิณดีดออกมาเมื่อครู่นี้ แต่ละคนต่างก็พากันรู้สึกย่ำแย่ขึ้นมา 


 


 


เสียงพิณเมื่อครู่มีกลิ่นอายฆ่าฟันที่พิเศษเฉพาะมากเกินไป ผู้ที่มายังเมืองว่านฮวาเฉิงล้วนเป็นผู้ที่มีศักดิ์ฐานะ และตำแหน่งแห่งที่ประมาณหนึ่ง ล้วนเป็นคนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน 


 


 


ในบรรดาพวกเขามีอยู่ค่อนข้างมากที่เคยเข้าร่วมงานสุดยอดการประลองมาแล้ว พวกเขาย่อมมีความคุ้นเคยกับเสียงพิณเมื่อครู่เป็นอย่างดี นี่เป็นเสียงพิณที่ในใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถลอกเลียนเสียงได้ 


 


 


ในตอนนั้น เจ้าแคว้นทองคำก็บังเอิญผ่านทางมาพอดี พอได้ยินเสียงเขาก็ต้องรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมา 


 


 


“เป็นเจ้าสำนักหยินหยาง….นี่เขา ลบล้างวังตันติ่งกงไปแล้ว ก็คิดจะหันดาบเข้าหาตำหนักซิวหลัวเตี้ยนด้วยหรือ?” 


 


 


น้ำเสียงของเขาดังไปทั่วทุกมุม ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างรุนแรง 


 


 


ที่แท้….คนที่ติดตามขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า…..ก็คือท่านเจ้าสำนักหยินหยางนั่นเอง! 


 


 


เขาไปเอาความหาญกล้าเช่นนี้มาจากที่ใด ทำลายวังตันติ่งกงไปแล้ว ไม่เพียงแต่ปรากฏตัวอย่างเอิกเกริกบนเกาะลอยฟ้า ทั้งยังลงมือกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน? 


 


 


มิหน้าเล่าเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถึงถูกเขาบีบคั้นจนต้องลงมือ….ก็ในดินแดนนจิ่วโจวนี้ยังจะมีผู้ใดที่จะสามารถเล่นงานเขาได้กัน? 


 


 


พวกเขารู้สึกสมองบวมกันไปหมดแล้ว อนาคตข้างหน้ามีหวังต้องย่ำแย่เป็นแน่ 


 


 


เจ้าสำนักหยินหยาง เลือดเย็นไร้ความรู้สึก ทั้งยังเข่นฆ่าล้างเลือด คนเช่นนี้กลายเป็นประมุขของดินแดนจิ่วโจว …..ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคงไม่ต้องคาดคิดแล้ว 


 


 


“ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดออกมาเองว่า บนดินแดนจิ่วโจว ผู้ที่ต่อต้านเขา มีหนึ่งคนสังหารหนึ่งคน มีคู่หนึ่งก็สังหารคู่หนึ่ง แม้แต่ประมุขแคว้นเช่นข้าก็เกือบจะต้องจบชีวิตไปในสำนักหยินหยางแล้ว” เจ้าแคว้นทองพูดพลางขบฟันจนเจ็บปวด 


 


 


เดิมทีในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติครั้งนี้ เขาได้ทำการติดต่อกับประมุขของสี่แคว้นใหญ่ คิดจะรวมกำลังจัดการกับเจ้าสำนักหยินหยางที่เป็นดั่งจอมมารผู้นี้ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ 


 


 


 


 


 


ใครจะไปนึกว่า ยังไม่ทันจะได้วางแผนกำจัดเขา เขากลับฮึกเหิมถึงขนาดขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้าเพื่อสังหารเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนแล้ว 


 


 


พอเสียงพิณนั้นหยุดลง ความมืดครึ้มในอากาศก็โรยตัวลงมามากกว่าเดิม สายลมปีศาจที่เย็นเสียดกระดูกพัดผ่านอากาศอบอุ่นของเมืองว่านฮวาเฉิง แทรกเข้าไปใต้ผิวหนังของผู้คนอย่างไม่คิดชีวิต ราวกับว่าจะจับผิวจนผู้คนกลายเป็นแท่งน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


แม้แต่กลีบดอกไม้ที่ปลิวลงมาจากบนเกาะลอยฟ้าก็ยังมีเกล็ดหิมะเกาะกุมอยู่ 


 


 


เช่นนั้นในตอนนี้บนเกาะลอยฟ้า….ก็คงจะกลายเป็นลานประลองไปแล้ว 


 


 


“พวกเราไม่อาจเอาแต่นั่งรออยู่เช่นนี้ ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนั่นถึงแม้ว่าจะลึกลับและน่ากลัว แต่ก็ยังไม่เคยทำสิ่งใดเกินเลย เพื่อความสงบสุขของฟ้าดิน ในยามนี้พวกเราสมควรสามัคคีรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน กำจัดเจ้ามารปีศาจเจ้าสำนักหยินหยางผู้นี้!” เจ้าแคว้นทองเปิดประเด็นขึ้นมา 


 


 


วันนั้นหลังจากที่ได้ไปเยือนสำนักหยินหยางมารอบหนึ่ง เขาก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า ตราบใดที่มารปีศาจผู้นี้ยังมีชีวิต เขาก็คงไม่อาจอยู่ดีได้ เพราะว่าแค่คนผู้นั้นลงมืออย่างไม่ตั้งใจ…..ก็สามารถกำจัดตนเองจนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านได้แล้ว 


 


 


แม้แต่ลูกแก้ววิญญาณเพลิงของเขา….ก็น่าจะถูกคนผู้นั้นชิงไปแล้ว แต่เขากลับไม่กล้าเอะอะโวยวายออกมาเลยสักคำ 


 


 


ฆ่าคนใดดวงใจของเขาไปแล้วก็ยังไม่พอ ยังจะขโมยสมบัติล้ำค่าประจำแคว้นของเขาอีก ความแค้นนี้จะให้เขากล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร 


 


 


ตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ในเมื่อ เจ้าคนผู้นี้ส่งตัวเองมาหาความตาย โอกาสเช่นนี้จะปล่อยผ่านไปได้หรือ? 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น….สถานการณ์บนเกาะลอยฟ้าที่จริงแล้วเป็นเช่นไร ก็ยังไม่รู้แน่เลย 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเองก็เป็นตัวร้ายกาจ ย่อมไม่มีทางถูกเจ้ามารปีศาจนั้นกำจัดทิ้งได้ง่ายๆ 


 


 


หากว่าปะทะกันขึ้นมาจริงๆ มีหวังได้บาดเจ็บล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย 


 


 


สิ่งที่เขาสมควรทำในตอนนี้ก็คือ ลากผู้คนทั้งหมดมาร่วมหัวกัน รอให้เจ้าจอมมารผู้นั้นใกล้ตาย ก็ค่อยถล่มมันอีกครั้ง เช่นนี้มันย่อมไม่มีหนทางจะพลิกฟื้นคืนมาได้อีก 


 


 


เดิมที่ผู้คนทั้งหลายต่างก็มีใจหวาดผวาเพราะเรื่องสุดยอดการประลองอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อถูกเจ้าแคว้นทองคำยุแหย่ ยิ่งเพิ่มพูนความคับแค้นใจขึ้นมา 


 


 


ราวกับว่าเจ้าสำนักหยินหยางนั้นเป็นจอมมารที่แสนร้ายกาจขึ้นมาจริงๆ 


 


 


เรื่องที่เกิดบนเกาะลอยฟ้าพวกเขาไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน จึงได้แต่รอคอยอยู่ที่ด้านล่าง ขอเพียงเขาลงมา พวกเขาก็จะลงมือพร้อมกัน หรือว่ายังจะต้องพ่ายแพ้ให้กับคนผู้นั้นอีกหรือ? 


 


 


พวกเขาต่างก็มีความสามารถไม่ธรรมดา เบื้องหลังยังมีขุมอำนาจหนุนหลัง โดยเฉพาะเหล่ายอดฝีมือที่รวมตัวกันในคืนนี้ นับไปนับมาก็ได้กว่าพันคนแล้ว 


 


 


หากรวมกับลูกน้องที่ติดตามมา อย่างน้อยๆก็ต้องมีผู้คนนับหมื่นแล้ว 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย ต่างก็รอคอยอยู่ที่ใต้เกาะ 


 


 


ที่จริงแล้วตั้งแต่ในงานสุดยอดการประลองครั้งก่อน พวกเขาต่างก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวเจ้าสำนักหยินหยางอยู่แล้ว 


 


 


เมื่อมีคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นมาก่อน…..ขึ้นมาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับไร้เทียมทาน ย่อมทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างไม่อาจวางใจ ราวกับเป็นสิ่งของที่มีอันตรายชิ้นหนึ่ง สมควรฆ่าหมกตระกร้าไปตั้งแต่แรก จึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มิใช่หรือ? 


 


 


…………….. 


 


 


บนเกาะลอยฟ้า หมัดนี้ของท่านเจ้าสำนักต่อยออกไปด้วยพละกำลังเปี่ยมล้น พื้นดินถึงกับพังทลายเป็นรูใหญ่ แรงกระแทกทะลุเกาะลอยฟ้าออกไป 


 


 


จุดศูนย์กลางของเกาะกลายเป็นรูกลวง ก้อนหินหล่นลงไปจากเกาะลอยฟ้า 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเองก็สมกับเป็นผู้แข็งแกร่ง สามารถหลบหลีกหมัดนี้ไปได้ 


 


 


เขาเหลือบตามองไป ใบหน้าที่ทั้งเกรี้ยวกราดและอัปลักษณ์จับจ้องมองดูรูใหญ่บนพื้นของเกาะลอยฟ้าด้วยความซับซ้อน 


 


 


แต่เพราะใบหน้าของเขาถูกไฟแผดเผาทำลายจนกลายเป็นตัวอัปลักษณ์….ดังนั้นมิว่าจะแสดงอารมณ์ออกมาเช่นไร หากดูอย่างผิวเผินก็คือดุร้ายอยู่ดี 


 


 


เขายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของจีเฉวียนกันแน่ …..เจ้านั่นไปเผอิญทำอะไรมาถึงได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ 


 


 


คนราชวงศ์จีล้วนชั่วช้าสามานย์ โหดเ**้ยมเกินใครเปรียบแล้วไยจึงไม่เคยได้รับกรรมตามสนองแม้แต่น้อย นี่ทำให้หัวใจของเขาไม่อาจสงบลงได้ 


 


 


ที่เขาพยายามตลอดหลายปีมานี้ ก็เพื่อจะทำลายล้างราชวงศ์จีให้ดับสูญ แต่ว่าพวกเขาไม่เพียงไม่สูญสิ้น กลับยิ่ง….. 


 


 


พอมองดูบุรุษตรงหน้า สายตาของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร 


 


 


เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าพาด จนคว้าลูกแก้วโลกาวินาศนั่นได้อีกครั้ง 

 

 

 


ตอนที่ 570 ศิษย์น้อยงดงามต้องตาที่สุด...

 

เมื่อครู่เป็นเพราะว่าเขาประมาทจนเกินไป เกือบจะโดนหมัดของมันเข้าแล้ว 


 


 


คนผู้นี้มีพละกำลังเหลือล้น ไม่ควรต่อสู้กับเขาในระยะประชิด 


 


 


ลำคอของเขาแทบจะบิดกลับไปอีกด้านหนึ่ง ขณะที่หันศีรษะไปนั้นเส้นสีแดงบนลำคอก็เคลื่อนตามไปด้วย 


 


 


แม้แต่ผิวหนังก็ถูกลากตามไป กลายเป็นภาพที่หน้าหวาดผวา 


 


 


เขานำลูกแก้วโลกาวินาศลูกนั้นมาไว้กลางอกอีกครั้ง 


 


 


ริมฝีปากก็ท่องคาถาออกมาอีกครั้ง ขณะที่เขาท่องคาถาออกไป ลูกแก้วสีดำที่เดิมทีใหญ่เท่าใบหน้าก็ขยายออกจนกินพื้นที่เกือบครึ่งห้องในชั่วเวลาเพียงสั้นๆ 


 


 


ลูกแก้วสีดำใบใหญ่นี้ ดูเหมือนโลกที่มีแต่ความมืดมิดไร้แสงสว่างใดๆใบหนึ่ง 


 


 


พอมันขยายตัวออกมา แม้แต่ห้องหลังนี้ก็แทบจะถูกกลืนกินลงไปด้วย 


 


 


ทั่วทั้งห้องส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ห้องที่สร้างจากไม้วัชระทั้งหลัง ยังไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดของสิ่งนี้ได้ เพียงครู่เดียวก็ถูกมันดึงดูดเข้าไปแล้วกว่าครึ่งห้อง แม้แต่พื้นไม้ที่เท้าก็ยังหลุดลอยออกมา 


 


 


ราวกับถูกมือที่มีพละกำลังข้างหนึ่งฉีกออกจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลอยเข้าไปในหลุมมืดสีดำสนิท 


 


 


แรงดึงดูดนั่นคืบคลานไปจนครอบคลุมถึงกระถางติ่งยักษ์ของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


แม้กระถางยักษ์จะยังคงสงบนิ่งไปขยับเขยื้อน แต่ว่าพื้นไม้โดยรอบกลับหลุดลอกออกไปจนหมดแล้ว นอกจากจุดที่ถูกกระถางติ่งครอบเอาไว้ พื้นที่โดยรอบก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกต่อไป 


 


 


จากนั้น กระถางติ่งใบยักษ์ก็ร่วงลงไปจากห้องที่พังทลายอย่างรวดเร็ว 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคว้าจุดอ่อนของท่านเจ้าสำนักได้แล้ว ก็ไม่คิดจะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆอีกต่อไป แต่หันไปเล่นงานตู๋กูซิงหลันแทน 


 


 


ใครๆก็รู้ว่า เพื่อเจ้าศิษย์ใหม่ผู้นี้ เจ้าสำนักหยินหยางถึงกลับกล้าเป็นปรปักษ์กับดินแดนจิ่วโจวทั้งหมดโดยไม่เสียดาย 


 


 


เขาอาจจะแข็งแกร่ง แต่ว่าทันทีที่เขามีจุดอ่อน เขาก็มิใช่ผู้ที่เอาชนะไม่ได้อีกต่อไป 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนตะโกนออกมา ผลักลูกแก้วสีดำนั้นเข้าใส่กระถางติ่ง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักก็ไล่ตามไปโดยไม่แม้แต่จะคิด 


 


 


เส้นผมสีดำบนศีรษะพลิ้วไปด้านหลัง แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกลูกแก้วสีดำนั้นฉุดกระชากจนหลวมคลาย 


 


 


แขนเสื้อข้างขวาถูกกระชากออกจนขาดไปแล้ว เผยให้เห็นท่อนแขนและหัวไหล่ 


 


 


ด้านในกระถางติ่ง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองสูญเสียการควบคุม นางซัดผ่ามืออกไปอีกหลายครั้ง แต่ว่ากระถางติ่งยักษ์ก็ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย 


 


 


กระถางติ่งใบนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สะกัดกั้นทุกสิ่งที่ภายนอกออกไป แม้แต่เสียงก็ยังไม่ได้ยิน 


 


 


พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าเหมือนถูกกาวที่เหนียวและแข็งแรงเชื่อมเอาไว้ ปิดจนแน่นสนิท 


 


 


นางจึงกระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรงอีกครั้งพื้นที่โดยรอบไม่แตกหัก แต่ว่าตรงกลางกลายเป็นหลุมเล็กๆ ตู๋กูซิงหลันก็คว้าโอกาสนี้กระทืบเท้าตามลงไปอีก จนหลุมเล็กขยายออกเป็นรูใหญ่ 


 


 


ทันใดนั้น สายลมที่รุนแรงก็พัดสวนเข้ามาในรูแตก นางจึงรีบ แทรกตัวออกไปตามรอยแตก 


 


 


ทันทีที่ก้าวเท้าออกมา ก็ถูกแรงดึงดูมหาศาลสูบไว้จากเหนือศีรษะ 


 


 


พลังที่มหาศาลนั้นราวกับใช้คนหนุ่มฉกรรจ์ฉุดกระชากนางทั้งแขนขา คิดจะฉีกนางออกเป็นสี่ห้าส่วน 


 


 


นางขับพลังวิญญาณในร่างออกมา สร้างเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่ง 


 


 


มืออีกข้างก็ขับพลังวิญญาณออกจากใจกลางฝ่ามือ กลายเป็นคฑาไม้สีดำทะมึนด้ามหนึ่ง 


 


 


เส้นผมสีดำประกายเงินของนางกำจายออกไป ร่างเหาะอยู่กลางอากาศ 


 


 


เนื่องเพราะแรงดึงดูดของลูกแก้วโลกาวินาศรุนแรงอย่างยิ่ง กลีบดอกไห่ถางจากบนทั่วทั้งเกาะจึงถูกดูดจนลอยขึ้นฟ้าไป 


 


 


กลีบดอกไม้สีแดงมากมายพลิ้วผ่านด้านหลังของนางออกไป ราวกับว่ามันโบยบินออกมาจากตัวนาง 


 


 


กลายเป็นภาพที่งดงามจนน่าตื่นตะลึง ทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นจริง 


 


 


แรงดึงดูดที่มหาศาลนั้นยังดูดเอาเครื่องแปลงโฉมบนใบหน้าของนางหลุดลอกออกไป 


 


 


 


 


 


ถึงจะถูกเส้นผมปกคลุมเอาไว้กว่าครึ่ง แต่รูปโฉมที่งามล้ำของสาวน้อยผู้หนึ่งค่อยปรากฏขึ้นมาทีละน้อย  


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างของเขาปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ เสมือนดั่งปีศาจร้ายที่น่าเกลียดน่ากลัวตนหนึ่ง ผลักดันลูกแก้วโลกาวินาศเข้าหานาง 


 


 


แต่พอเข้าไปได้ใกล้จนได้เห็นโฉมหน้าหลังเส้นผมยาวสลวยนั่น เขาก็ต้องตกตะลึงไป 


 


 


เป็นนาง? 


 


 


ตอนแรก……เขายังมองไม่ออก! 


 


 


และเพราะชะงักงันไปเพียงชั่วครู่ ท่านเจ้าสำนักก็เหาะไปจนถึงข้างกายตู๋กูซิงหลันแล้ว มือข้างหนึ่งคว้าเอวของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว มืออีกข้างโบกสะบัดออกไป กระถางติ่งยักษ์ที่ใกล้จะหล่นถึงพื้นก็หดเล็กลงเท่ากำมือลอยขึ้นจากด้านล่างกลับเข้าสู่ฝ่ามือของเขาอีกครั้ง 


 


 


ในอากาศไม่มีสิ่งใดเกื้อหนุน แต่อาศัยเพียงพลังที่แข็งแกร่งของเขาเองหนุนนำ ก็สามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้อย่างมั่นคงแล้ว 


 


 


ชั่วขณะที่คว้าร่างของลูกศิษย์ตัวน้อยเอาไว้ได้ จิตใจของเขาถึงพอจะสงบลงได้บ้าง  


 


 


มือใหญ่ที่คว้าเอาไว้อดไม่ได้ที่จะเกาะกุมให้แนบแน่นกว่าเดิมขึ้นไปอีก ราวกับว่าเมื่อครู่เกือบจะทำศิษย์ตัวน้อยหลุดลอยไปแล้ว 


 


 


พอก้มหน้าลงไปมอง ก็เห็นโฉมหน้าที่งดงามล้ำโลกของสาวน้อย ทำเอาหัวใจของเขากระตุกไปวูบหนึ่ง 


 


 


ถึงแม้จะรู้มานานแล้วว่า ศิษย์น้อยคือฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินโบราณ….. 


 


 


แต่ว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ไม่เคยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เขาได้เห็นมาก่อนเลย 


 


 


ถึงแม้ว่าหลังจากที่แปลงโฉมแล้วจะมีความละม้ายคล้ายคลึง…..แต่ว่ารูปโฉมที่แท้จริงของนางย่อมผุดผาดงดงามกว่ามากนัก 


 


 


ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน เขาเคยได้เห็นภาพเหมือนของนาง…..ภาพเหมือนที่นางสวมใส่ชุดสีแดงตลอดร่าง ดวงตาและหัวคิ้วที่เย็นชา เหมือนยอดโฉมงามผู้เย็นชาที่ผลักไสผู้คนออกไปไกลนับพันลี้ 


 


 


แต่ว่าพอได้พบกับตัวจริง ถึงได้รู้ว่าภาพเหมือนนั้นไม่อาจเทียบกับความงดงามของนางได้แม้แต่หนึ่งในสิบ 


 


 


นางในตอนนี้….ทำให้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยจากส่วนลึกภายใน 


 


 


ราวกับว่า พวกเขานั้นรู้จักกันมาเนิ่นนานมากแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาจ้องมอง ก็ได้แต่จับจ้องกลับไป เอวของนางถูกเขาคว้าเอาไว้จนเจ็บ 


 


 


นางบ่นออกมาเบาๆว่า “ฉุยซือ ข้ารู้ตัวว่าข้างดงาม เจ้าไม่จำเป็นต้องจ้องมองมากขนาดนั้น….” 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “…..” 


 


 


เขาเหมือนถูกเคาะความในใจออกมา จึงต้องเบนสายตาออกไปทางอื่น กลับไปมองดูเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนใหม่อีกครั้ง 


 


 


เดิมทีความงามหรืออัปลักษณ์ใดๆ ไม่เคยมีผลต่อจิตใจของเขา เพียงแค่มองดูแล้วสบายตาหรือไม่สบายใจ ก็เท่านั้น 


 


 


แต่ว่าช่างแปลกจริงๆ รูปโฉมนี้ของศิษย์น้อยกลับต้องตาของเขาอย่างยิ่ง 


 


 


พอมองดูเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอีกครั้ง ท่านเจ้าสำนักก็ต้องรู้สึกเหมือนแสบตาจนตาจะบอด 


 


 


เมื่อสิ่งที่ต้องตาและบาดตามาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คน…….. 


 


 


ภายใต้แรงดูดของลูกแก้วสีดำ ต้นไห่ฮางต่างถูกโยกคลอนจนหลุดออกมา 


 


 


ผืนดินบนเกาะลอยฟ้าก็หลุดออกไปมากมาย จนไม่รู้ว่าลูกแก้วโลกกาวินาศนั่นดูดดึงสิ่งต่างๆเข้าไปมากน้อยเพียงไรแล้ว ราวกับกระเพาะที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเต็ม 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็เก็บสีหน้ากลับไปกลบเกลื่อนความรู้สึก นางเหลือบตาไปมองดูลูกแก้วสีดำแวบหนึ่ง สุดท้ายก็หันเหสายตาไปทางร่างของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 


 


 


หมอกสีดำบนร่างของเขายังคงหนาแน่นแต่ก็สามารถมองเห็นใบหน้าที่น่าหวาดกลัวและรอยเย็บสีแดงสดบนลำคอนั้นได้อย่างชัดเจน 


 


 


เส้นสีแดงนั้นร้อยผ่านผิวเนื้อบนลำคอ เย็บศีรษะและร่างกายให้ติดกัน ดูแล้วทำให้คนต้องขนลุกทั่วร่าง 


 


 


สายตาของตู๋กูซิงหลันทอประกายแหลมคม นางมองผ่านหมอกสีดำเขาไป จนเห็นว่าที่ใต้ใบหูด้านหลังของเขามีรอยประทับรูปดอกไห่ถาง 


 


 


ทันใดนั้นเอง สมองของนางก็แล่นชิว ปรากฏภาพของเมืองกู่เย่วดั่งเดิมและบุคคลผู้หนึ่งในความทรงจำของท่านยายขึ้นมา 


 


 


ขณะที่เขาผลักดันลูกแก้วสีดำเข้าหานั้น นางก็ร้องเรียกออกไปคำหนึ่ง 


 


 


“ฟ่านอิง” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)