หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 566-571

 บทที่ 566 ดวงดาวสะเทือน!

Ink Stone_Fantasy

“จับปลาใหญ่หรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเป็นคนฉลาด เก่งกาจด้านการวิเคราะห์ ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของมนุษยชาติ เชี่ยวชาญทั้งการฝึกตนและวงแหวนปราณ หากหวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบนี้ ดูจากทักษะการวิเคราะห์ของนางแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงน่าจะมีโอกาสสูงมากที่จะติดหนึ่งในสิบ


เพราะเหตุนี้นางจึงเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดในทันที นางพอจะเดาได้ว่าชายหนุ่มต้องการจะบอกอะไร กงเต๋านั้นช้ากว่านิดหน่อย สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวพอจะช่วยให้เขาอนุมานได้เช่นกัน


“เป่าเล่อ เจ้าจะบอกว่าเจ้าอยาก…” กงเต๋าเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบไป ไม่ยอมพูดต่อจนจบ เขาหรี่สายตามองแผนที่จากมุมสูงและกลุ่มกุญแจส่องสว่างราวกับดวงดาวบ่งบอกตำแหน่งของห้าอัจฉริยะ!


หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็ก คิดคำนวณในสมอง ก่อนจะสุดหายใจลึกและพูดขึ้น “ตามข้ามา ไปจัดการเจ้านั่นกัน!” พูดจบ ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ เขาก้าวออกจากยอดเขาก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณพุ่งทะยานไปในอากาศ


หัวใจของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเต้นแรงแม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ลังเลใจรีบตามหวังเป่าเล่อไปอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนจะถึงการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป อาจบอกได้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นไปอย่างสงบเงียบ แต่ก็ถูกทำลายลงด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มหวังเป่าเล่อที่เป็นดังก้อนหินโยนลงแม่น้ำนิ่งสงบเรียกความสนใจจากทุกคนให้หันมาจับตามอง!


หวังเป่าเล่อไม่สนในดวงตามากมายที่แอบเฝ้ามองอยู่ เขาพุ่งทะยานไปยังจุดหมายด้วยความเร็วอันเหนือชัด ความเร็วของเขาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ภายใน และเพลิงดังกล่าวก็ไม่ได้มาจากความโกรธแค้น แต่เป็นความกระหายอยากสู้รบ!


‘ปลาใหญ่’ ที่ว่าคือ…ห้าศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!


พวกเขาเป็นเพียงห้าคนที่เก็บรวบรวมกุญแจได้เกือบสองร้อยดอก หากกำจัดใครสักคนไปได้ก็จะได้กุญแจมาเพิ่มหลายเท่า แต่ก็จะกลายเป็นจุดสนใจในทันที


หวังเป่าเล่อไม่สนว่าตนจะกลายเป็นเป้าสนใจหรือเปล่า เขาคิดว่าหากศัตรูของเขาเป็นหนึ่งในห้าคนนี้…แม้จะมั่นใจว่าสามารถล้มอีกฝ่ายลงได้ แต่พวกเขาก็ต่างจากศิษย์คนอื่นๆ ถ้าใครในห้าคนนี้เสียกุญแจไปก็จะหายไปจากแผนที่ ก็จะกลายเป็นภัยอันตรายร้ายแรงหากพวกเขากลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาหรือแอบมาซุ่มโจมตีในภายหลัง


ถ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นก็ต้องเชือดพวกเขาทิ้ง แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าหากปลิดชีพศิษย์ธรรมดาทั่วไปก็ยังจะพอหาทางรอดได้บ้าง แต่ถ้าลงมือสังหารศิษย์เอกขึ้นมาแล้วละก็ แม้แต่เฟิ่งชิวหรันก็คงไม่สามารถห้ามอาจารย์ของศิษย์เอกคนนั้นไม่ให้ตามมาล้างแค้นได้


จังหวะ…จึงเป็นสิ่งสำคัญ! เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับผุดยิ้มบางขึ้นบนใบหน้า ชายหนุ่มคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อนและสามารถหาคำตอบได้แล้ว ที่เขารอก็คือจังหวะตอนที่กำลังจะทำการเคลื่อนย้าย!


พูดให้ชัดคือครึ่งชั่วโมงก่อนการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไปเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด!


ครึ่งชั่วโมงถือว่าไม่ได้นานหรือสั้นเกินไป เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการต่อสู้ดุเดือด อีกทั้งยังเพียงพอที่จะทำให้ใครเสียสติไปได้ ผู้ฝึกตนแต่ละคนที่ไม่ปรากฏในแผนที่จะคลุ้มคลั่งกันตลอดช่วงครึ่งชั่วโมงเพราะจะถูกคัดออกถ้าไม่สามารถหากุญแจได้!


ช่วงครึ่งชั่วโมงก่อนการเคลื่อนย้าย ทุกคนที่ถือกุญแจอยู่จะระวังตัวเป็นพิเศษ ไม่มีใครอยากโดนแย่งกุญแจไปในช่วงนาทีสุดท้ายและโดนขัดออกจากการทดสอบโดยไม่มีเวลาให้แก้สถานการณ์!


เหล่าคนธรรมดาคงจะคิดว่าในช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงนี้ กลุ่มคนที่ไม่มีกุญแจคงจะออกตามหากุญแจกันอย่างบ้าคลั่ง กลุ่มคนที่มีกุญแจ ถ้าไม่บ้าเกิน ก็คงจะไม่ไปสู้หรือแย่งชิงกุญแจในช่วงเวลานี้ คงจะรอให้การเคลื่อนย้ายจบก่อนค่อยลงมือ


การลงมือโจมตีก่อนการเคลื่อนย้าย ถึงจะชนะก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอันตราย ถ้าแพ้ก็จะถูกคัดออก แต่ถ้าชนะก็ยังต้องคอยระวังผู้เข้าร่วมทดสอบคนอื่นๆ ที่ปรากฏในแผนที่มาโจมตีแย่งชิงไปอีกทอด ความเสี่ยงที่ต้องแบกรับนั้นมากกว่าสิ่งที่จะได้มา


ทุกคนไม่ว่าจะมีกุญแจหรือไม่ต่างตกอยู่ในสภาพจิตที่แตกต่างออกไปเมื่อการเคลื่อนย้ายเริ่มคืบคลานเข้ามา เป็นเหตุให้…ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนในการทดสอบหรือเหล่าผู้ชม ทุกคนต่างเฝ้าจับตาดูช่วงเวลาก่อนการเคลื่อนย้ายเพื่อคอยระวังกลุ่มคนที่ไม่ปรากฏตัวในแผนที่เริ่มเปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือด!


ในสหพันธรัฐมีคำกล่าวตั้งแต่ครั้งโบราณกาลว่า จะทำการใดสำเร็จได้ต้องอาศัยความบ้าคลั่ง คำกล่าวนี้เหมาะสำหรับใช้อธิบายคนมากความสามารถบางคนเช่นหวังเป่าเล่อ…ที่มีนิสัยตรงตามนั้นไม่มีผิด!


สิ่งที่เขารอคอยมาตลอดคือช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มตั้งใจจะไม่ทำตามหลักเหตุผล โดยจะใช้การเคลื่อนย้ายที่ใกล้เข้ามาในการกำจัดตัวตนที่เป็นภัยต่อตนเองไป!


หลังจากครุ่นคิดพิจารณาก็ตัดสินใจได้ว่าเป้าหมายนั้นคือ…ศิษย์เอกที่อยู่ใกล้ตนเองมากที่สุด เขาไม่รู้ว่าศิษย์เอกคนนั้นจะเป็นใครและไม่จำเป็นต้องรู้ รู้เพียงแค่ว่า…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ขึ้นตรงต่อฝ่ายไหน ชายหนุ่มก็จะลงมือโจมตี!


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังทะยานข้ามฟากฟ้าพุ่งไปหาเป้าหมาย ไกลออกไปในท้องนภา มีศิษย์เอกอีกคนที่มีแผนการเช่นเดียวกันกับชายหนุ่ม!


คนผู้นั้นคือตู้กูหลิน!


เขาเห็นแสงส่องประกายจากกุญแจของหวังเป่าเล่อบนแผนที่กำลังมุ่งหน้าห่างออกไปจากตนเองด้วยความเร็วสูง แม้จะไม่รู้ว่าแสงจากกุญแจที่เห็นเป็นของใคร แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรเมื่อเห็นการเคลื่อนไหว


น่าสนใจ ใครกัน โจวชู่เต๋าหรือ ใครก็ตามที่กล้าทำการอุกอาจในเวลาเช่นนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่! ตู้กูหลินหรี่ตาลง เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นแสงจากกลุ่มกุญแจที่ไม่ใช่จากห้าอัจฉริยะบนแผนที่จากมุมสูง คิดเอาไว้ว่าคงมีแค่พวกตนห้าคนที่สามารถรวบรวมกุญแจได้มากเพียงนี้


ข้าหวังว่าคนผู้นี้จะเหลือรอดถึงช่วงสุดท้าย ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าใครกันที่ซ่อนความแข็งแกร่งเช่นนี้ไว้! ชายหนุ่มผุดยิ้มบาง ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้ามุ่งหน้าไปหาศิษย์เอกที่ใกล้ตัวที่สุดด้วยความเร็วเต็มพิกัด


หวังเป่าเล่อและตู้กูหลินอยู่ห่างกันออกไปไกลจึงไม่ได้เลือกโจมตีกันเองแต่เลือกศิษย์เอกที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดเป็นเป้าหมายแทน ตู้กูหลินทะยานแหวกฟากฟ้าด้วยความเร็วสูงจนได้แปลงกายเป็นสายฟ้าพุ่งทะยานไปในแผนที่จากมุมสูง ทั้งตนและหวังเป่าเล่อไม่คิดปิดบังจุดมุ่งหมายของตนเอง การกระทำของทั้งสองทำให้ผู้ฝึกตนในการทดสอบตื่นตกใจ ศิษย์ที่จับตาดูการทดสอบอยู่ผ่านนอกก็อึ้งไปตามๆ กัน


พวกเขาเห็นดวงดาวสองดวงบนแผนที่จากมุมสูงอันสงบเงียบกำลังพุ่งทะยานตรงไปหาดาวอีกดวงที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว!


“หวังเป่าเล่อกับตู้กูหลิน สวรรค์ พวกเขาเลือกลงมือตอนนี้!”


“เป้าหมายของหวังเป่าเล่อคือ…โจวชู่เต๋า!”


“เป้าหมายของตู้กูหลินคือ…สวีหมิง!”


กลุ่มศิษย์ที่อยู่ตรงลานกว้างตื่นตกใจไป พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ว่าสถานการณ์จะสงบไปจนจบการเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นถึงจะเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินจะเลือกช่วงเวลานี้ที่แสนจะไม่เหมาะสมแต่ก็ถือว่าเหมาะสมในการลงมือ!


ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครคาดคิด หลังจากครุ่นคิดสักพักก็พบว่าเป็นการลงมือที่เหมาะสม แต่หลายคนก็ยังตื่นตกใจอยู่ดี แม้แต่กลุ่มผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณยังตาส่องแสงเป็นประกาย เฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันตั้งใจจับตาดูการทดสอบมากยิ่งขึ้น


ไม่จำเป็นต้องมีขั้นการฝึกตนที่สูงเพื่อลงมือโจมตีในช่วงเวลานี้ ขอแค่ใจกล้าบ้าบิ่นก็เพียงพอแล้ว!


กลุ่มคนที่ตื่นเต้นและเป็นกังวลที่สุดคือพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่พากันอารมณ์เหวี่ยงขึ้นๆ ลงๆ มาตลอด โดยต้นเหตุก็คือหวังเป่าเล่อ ตอนนี้บางคนก็เป็นกังวลหนัก ขณะที่อีกส่วนก็ฮึกเหิมขึ้นมา


หวังเป่าเล่อทะยานไปในอากาศท่ามกลางสายตาหลายหมื่นคู่ที่จับจ้องมา เขาเห็นว่าตู้กูหลินก็ลงมือเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างตรงที่เมื่อชายหนุ่มเห็นการเคลื่อนไหวนั่น ภาพของตู้กูหลินก็ปรากฏขึ้นในทันที เป็นผลมาจากสัญชาตญาณและการวิเคราะห์ของตนเองจนได้ข้อสรุป!


ต้องเป็นเขาแน่!


หวังเป่าเล่อละสายตาจากแผนที่และลดความเร็วลง พอเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตามมาได้ทันจึงเร่งความเร็วอีกครั้ง พวกเขาพุ่งทะยานแหวกฟากฟ้ายามราตรีเห็นเหมือนเป็นดังดาวตกที่กำลังมุ่งหน้าไปหาโจวชู่เต๋า!


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงจะถึงการเคลื่อนย้ายต่อไป บนแผนที่จากมุมสูง ดวงดาวที่เป็นตัวแทนของตู้กูหลินมาถึงจุดหมายแล้ว เขาเริ่มลงมือในทันใด แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ยินเสียงแต่ก็สามารถเดาได้ว่าคงเป็นการสู้กันอันดุเดือด!


ตาข้าแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ความกระหายอยากสู้รบพุ่งขึ้นขณะทะยานไปเบื้องหน้า ชายหนุ่มเห็น โจวชู่เต๋านั่งอยู่บนยอดเขาถัดไปไม่ไกล กำลังทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกับชาวนาเฒ่า!


โจวชู่เต๋าทอดถอนใจเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ


“ทำไมต้องทำเช่นนี้…กะแล้วเชียวว่าต้องเป็นเจ้า!”


บทที่ 567 ล้มเจ้าด้วยห้าหมัด!

Ink Stone_Fantasy

โจวชู่เต๋านึกสงสัยดาวดวงที่หกที่ปรากฏบนแผนที่ไม่ต่างกับตู้กูหลิน แม้จะไม่สามารถส่งข้อความเสียงในสนามทดสอบได้ แต่เนื่องจากตนเป็นศิษย์เอกของโยวหรันที่เป็นกลางระหว่างการสู้กันของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน อีกทั้งยังนิสัยดี จึงทำให้มีเพื่อนฝูงมากมาย


ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงรู้ตัวตนของดาวดวงที่หกจากคนที่เสียกุญแจไป ถึงจะทราบมาเช่นนั้นก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้ลง พอได้มาเห็นกับตาจึงเริ่มจะเชื่อตามนั้นขึ้นมาได้ ความเคร่งขรึมฉายชัดขึ้นในแววตา


โจวชู่เต๋ามองไปทางผู้ที่เพิ่งมาถึง หวังเป่าเล่อหยุดกลางอากาศพร้อมกับกุมกำปั้นขึ้นทักทายอีกฝ่าย


“สหายแห่งเต๋าโจว!”


“สหายแห่งเต๋าหวัง จำเป็นต้องสู้กันจริงๆ หรือ ฝีมือของเจ้า…อาจจะเทียบไม่เท่าข้า” ชายหนุ่มอยากจะโน้มน้าวให้หวังเป่าเล่อเลิกล้มความตั้งใจไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


หลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้น


“การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อตัวของข้า โปรดเข้าใจข้าด้วย สหายแห่งเต๋าโจว เชิญ….ลงมือได้”


“ทำไมเราต้องทำแบบนี้ด้วย…” โจวชู่เต๋าส่ายหัวพร้อมกับลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พลังรัศมีรุนแรงขนาดสั่นสะท้านฟ้าดินแผ่ออกมาจากร่าง!


เกิดเสียงดังสนั่น พายุพลันปรากฏขึ้นรอบตัวโจวชู่เต๋า พายุหมุนกระจายวงกว้างออกไป สร้างลมปั่นป่วนทั่วบริเวณ มองดูไกลๆ เห็นเหมือนพายุหมุนจะก่อตัวกลายเป็นกระแสลมวนที่มีชายหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลาง


พลังที่แผ่พุ่งออกจากร่างกายโจวชู่เต๋าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะกระแสลมวนพัดกระหน่ำ ในชั่วพริบตาพลังนั่นก็แผ่พุ่งไปทั่วทิศทาง ผู้ฝึกตนหลายคนที่ยืนอยู่ใกล้รีบถอยหนีไปด้วยความตื่นตกใจ ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางกระแสลมวงบนยอดเขาก็ดังขึ้น


“ศิษย์น้อง อย่าเข้ามาใกล้เกินกว่าสามเมตร ถ้าอยากดู ก็จงดูอยู่ไกลๆ!”


ขณะเดียวกัน เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าก็มาถึง พวกเขาได้ยินเสียงแข็งกร้าวของหวังเป่าเล่อ


“เยี่ยเหมิง ตั้งวงแหวนปราณ กงเต๋า กันบริเวณนี้ไว้ อย่าให้ใครเข้ามาขัดขวางการต่อสู้ของข้ากับโจวชู่เต๋า!”


เจ้าเยี่ยเหมิงพยักหน้าพร้อมกับหยิบเอาเข็มทิศขึ้นมากางวงแหวนปราณรอบยอดเขา วงแหวนปราณที่สร้างขึ้นมีกลไกใช้ป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาใกล้เพียงอย่างเดียว หวังเป่าเล่อรู้ว่ายังมีหลายคนแอบอยู่ภายในวงแหวนปราณแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เจ้าเยี่ยเหมิงเพียงแค่เหลือบตามอง ไม่ได้ยุ่งอะไรอีก


หลังจากกางวงแหวนปราณเสร็จและให้กงเต๋าคอยคุ้มกันรอบๆ หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบรุดโจมตีในทันที แต่รอให้พลังรัศมีรอบตัวโจวชู่เต๋าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระแสลมวนกลายเป็นไต้ฝุ่นพร้อมจะฉีกกระชากทุกอย่าง เห็นดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงพูดขึ้น


“สหายแห่งเต๋าโจว จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว มา…เริ่มกันเถอะ!” หวังเป่าเล่อมองโจวชู่เต๋า สายตาของทั้งคู่กลายเป็นกระบี่คมประกาศจิตวิญญาณพร้อมรบ!


พริบตาต่อมา โจวชู่เต๋าก็พาสายลมที่พัดกระจายไปรอบทิศทางพุ่งทะยานออกจากยอดเขา ชายหนุ่มเป็นดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงรังสีรุนแรงตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันจะเข้าใกล้ รัศมีแผ่พุ่งออกจากร่างเสียงดังส่งพลังรุนแรงทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า!


“หวังเป่าเล่อ เจ้าไม่คู่ควรเป็นศัตรูข้า!” เสียงกัมปนาทของโจวชู่เต๋าดังก้องกังวาน เป็นดังมือที่มองไม่เห็นและคลื่นปะทะเข้ากดดันหวังเป่าเล่อ


ภาพที่เห็นทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตื่นตกใจไป คนที่แอบดูอยู่ภายในวงแหวนปราณหายใจถี่รัว แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังจับตามองการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินอยู่ในลานกว้างก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กันเมื่อได้เห็นพลังกล้าแกร่งที่แผ่ออกจากโจวชู่เต๋า


ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจกัน หวังเป่าเล่อก็หัวเราะขึ้นพร้อมกับก้าวออกมาประจันหน้า เขาเป็นผู้ท้ารบ มิใช่ผู้ถูกท้า จึงไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับพลังรัศมีของอีกฝ่ายเป็นได้ ทันใดที่เท้าลงเหยียบพื้น ความกระหายอยากสู้รบอันแรงกล้าก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของชายหนุ่ม!


หวังเป่าเล่อกำมือขวาแน่น พลังกายตื่นขึ้นพร้อมๆ กับแก่นในสายฟ้าและแก่นในแห่งความมืด ผสานรวมกับความกระหายอยากสู้รบส่งพลังปราณและดวงจิตอันมุ่งมั่นสะท้อนก้องกังวาน!


ปราณกังวานที่ก้องออกมาบ่งบอกว่าหวังเป่าเล่อสามารถปลดปล่อยพลังเหนือความสามารถของตนได้ตามระดับของปราณกังวาน!


หากพลังที่แผ่พุ่งออกมาจากโจวชู่เต๋าเป็นดั่งคลื่นมรสุม หวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับหน้าผาไร้เทียมทานที่คลื่นแกร่งกล้าไม่สามารถทำอะไรได้!


จะเปรียบเปรยชายหนุ่มเป็นหน้าผาก็คงจะไม่เหมาะ เพราะว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อได้แผ่พลังรัศมีทันทีที่เท้าลงเหยียบ ก่อนจะยกมือขวาต่อยโจวชู่เต๋าที่กำลังพุ่งเข้ามาหาในอากาศ!


ระเบิดกำเนิดดวงดารา!


เสริมพลังจากปราณกังวานอีกร้อยละสิบ!


ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกัน เป็นการสู้กันระหว่างพลังรัศมีและจิตอันแกร่งกล้า คลื่นปะทะพลันระเบิดออกส่งพลังพัดกระจายและเสียงกึกก้องดังไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นดังนั้น


“โจวชู่เต๋า ข้าจะล้มเจ้าด้วยห้าหมัด เมื่อครู่เป็นหมัดแรก ต่อไป…เป็นหมัดที่สอง!” ความกระหายการต่อสู้ในดวงตาชายหนุ่มลุกโชนขึ้นกว่าเดิม ผมยาวปลิวไสวกับความดุดันในแววตา ประกอบกับพลังรัศมีแกร่งอำนาจและความกล้าในการท้าสู้กับโจวชู่เต๋าอย่างเท่าเทียมทำให้ผู้อื่นต้องหวาดกลัว!


พูดจบ เขาก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนดังดาวตกเปล่งแสงรัศมีแกร่งกล้าพุ่งเข้าใส่โจวชู่เต๋า ความเร็วของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แหวกอากาศว่างเปล่าส่งคลื่นเสียงดังก้อง เมื่อเข้าประชิด หมัดขวาก็พุ่งทะยานไปด้านหน้าเกิดแรงปะทะขนาดเขย่าฟ้าดิน!


เสริมพลังจากปราณกังวานอีกร้อยละสามสิบ!


“ประกาศออกมาเองหรือว่าจะสู้อย่างไร น่าสนใจดี! ถ้าเจ้าทำได้ตามที่พูดก็จะเป็นการแสดงให้ทุกเห็นถึงความยอดเยี่ยมของเจ้าโดยใช้ข้าเป็นตัวอย่าง มาดูกันว่าเจ้าจะใช้ข้าประกาศศักดาได้จริง หรือว่า…จะล้มเหลวไม่เป็นท่าไป!”


ดวงตาของโจวชู่เต๋าฉายแสงวาบ ปราศจากความดูหมิ่นในแววตา พลังรัศมีปะทุออกจากกาย สัมผัสได้ถึงความเฉียบคม ตู้กูหลินยกย่องชายหนุ่มในเรื่องนี้


โจวชู่เต๋ายกมือขวาขึ้นตั้งผนึกมือและชี้นิ้วขึ้นขณะพูด ทันใดนั้นลูกไฟสีม่วงก็ปรากฏขึ้นบนนิ้วก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงและกลายเป็นทะเลเพลิงล้อมรอบกายในทันใด ทันทีที่หมัดของหวังเป่าเล่อพุ่งตรงเข้ามา ทะเลเพลิงที่ห้อมล้อมชายหนุ่มอยู่ก็กลายสภาพเป็นกะโหลกอสูรเพลิงขนาดใหญ่!


อสูรเพลิงมีลักษณะเหมือนกิเลนที่บรรยายไว้ในตำนานของสหพันธรัฐ หัวกิเลนพุ่งไปปะทะกับหมัดที่สองของหวังเป่าเล่อจนเกิดเสียงดังสนั่น


เสียงปะทะดังไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม ปราณโลหิตในกายปั่นป่วน หัวกิเลนที่สร้างขึ้นจากทะเลเพลิงแตกออก เผยให้เห็นโจวชู่เต๋าที่แววตาเต็มไปด้วยความกระหายการต่อสู้แบบเดียวกัน เขาตั้งผนึกมือ ปราณโลหิตในกายปั่นป่วน


“เหล็กหมาดสุญ!” โจวชู่เต๋ายกมือขวาขึ้นโบก ดวงตาฉายแสงวาบ รอบตัวหวังเป่าเล่อพลันปรากฏรอยแตกเก้าแห่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเหล็กหมาดสีม่วงเก้าเล่มพุ่งตรงเข้าใส่!


เหล็กหมาดแต่ละเล่มปล่อยพลังระดับเดียวกันกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย พลังรวมกันของทั้งเก้าเล่มแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ยังต้องตื่นตกใจ!


โจวชู่เต๋าไม่ได้หยุดนิ่งหลังจากปล่อยเหล็กหมาดสุญ เขาพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับชี้นิ้วเปล่งแสงเปลวเพลิงไปที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ!


หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่พุ่งออกมาแต่ก็ไม่ได้ถอยหนี ไม่ได้ใช้กระบวนเวทเกราะจักรพรรดิมาป้องกันตนเสียด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับที่โจวชู่เต๋าพูด ชายหนุ่มจะแค่ล้มอีกฝ่ายลงไม่ได้ แต่ต้องใช้ศึกครั้งนี้ในการประกาศศักดาของตนเอง!


เขาโบกมือขวาส่งแถบผ้าจากกระเป๋าคลังเวทออกมาพันล้อมรอบตัวเพื่อกันเหล็กหมาดทั้งเก้าเล่ม เสียงกัมปนาทของชายหนุ่มดังขึ้นขณะกำหมัดขวาพุ่งทะยานไปด้านหน้า!


“สหายแห่งเต๋าโจว นี่…คือหมัดที่สาม!”


บทที่ 568 ลับฝีมือ

Ink Stone_Fantasy

เสริมพลังจากปราณกังวานอีกร้อยละเจ็ดสิบ!


หวังเป่าเล่อเอ่ยพูดขึ้นขณะที่ทั้งสองพุ่งเข้าหากัน กำปั้นและนิ้วมือเข้าปะทะกัน พลังปราณของทั้งคู่พวยพุ่งออกมาในทันใด สองพลังประสานรวมกันเป็นอานุภาพกล้าแกร่งที่สามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่ง!


 ท่ามกลางเสียงปะทะดังสนั่น เลือดสดไหลออกจากมุมปากของโจวชู่เต๋าที่กำลังล่าถอยไป ด้านหวังเป่าเล่อเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องสว่าง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับหัวเราะชอบใจ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปโจมตีโจวชู่เต๋าอีกครั้ง!


เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อทั้งคู่เข้าปะทะกัน โจวชู่เต๋าถอยหลังไปจากแรงปะทะ หวังเป่าเล่อไม่ยั้งมือ พลังรัศมีของหวังเป่าเล่อผู้มาท้าสู้ทรงอำนาจมากยิ่งขึ้นขณะกำลังปลดปล่อยพลังปราณแกร่งกล้าพุ่งเข้าไปหาโจวชู่เต๋าอีกรอบ


“หมัดที่สี่!” เสียงแกร่งกล้าราวอัสนีสวรรค์ดังลั่นผสานเขากับพลังรัศมีที่แผ่พุ่งส่งให้ชายหนุ่มดูไร้เทียมทาน โจวชู่เต๋าหายใจถี่รัว สังหรณ์ใจว่าหากอีกฝ่ายยังสามารถเพิ่มพูนพลังขึ้นไปได้เรื่อยๆ เช่นนี้ หมัดที่ห้าซึ่งเป็นหมัดสุดท้ายคงจะทรงพลังขนาดสั่นสะเทือนฟ้าดินได้!


ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้! จิตวิญญาณนักสู้ในตาโจวชู่เต๋ายังไม่เลือนหายไป กลับลุกโชนโชติช่วงยิ่งกว่าเดิม เขาถอยหลังไปยกมือขวาตั้งขณะมือขณะอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นแสงจันทราก็ส่องสว่างออกมาจากทรวงอก แสงจันทร์ส่องจ้า ชายหนุ่มตั้งผนึกมืออย่างต่อเนื่อง พลันแสงจันทราก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพดวงจันทร์มาปรากฏเบื้องหน้า!


แม้ดวงจันทร์จะส่องแสงสุกสว่าง แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความบริสุทธิ์ ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก เสียงแช่งสั่นคลอนประสาทดังออกมาจากภายใน


แสงแช่งฟังดูราวกับเป็นคำสาปอำมหิต!


“จันทราต้องสาป!” โจวชู่เต๋าร้องคำรามพร้อมกับหันผนึกมือชี้ไปทางหวังเป่าเล่อ ทันใดที่นิ้วชี้มา หวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงไปเมื่อสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่ระเบิดออกภายในจิตใจ แต่ก็ไม่มีเวลาให้ชายหนุ่มได้ไตร่ตรองอะไรมาก เขาปรับสรีระจนอยู่ในท่วงท่าแปลกๆ ขณะกำลังทะยานพุ่งด้านหน้าอย่างรวดเร็ว


ศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลที่ได้รับการยอมรับจากตู้กูหลินอย่างโจวชู่เต๋านั้นแกร่งกล้ากว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ยังไม่แน่ว่าจะล้มเขาลงได้หรือไม่


เสียงของโจวชู่เต๋าดังก้องพร้อมกับส่งนิ้วมือพุ่งทะยานไป หวังเป่าเล่อไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ทัน พลันแสงจันทราก็เข้าห้อมล้อม ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงที่มองไม่เห็น ภาพทับซ้อนของตนเองปรากฏขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่จันทรากำลังรวมแสงอย่างรวดเร็ว ภาพดวงจันทร์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าโจวชู่เต๋าก็โอบล้อมรอบศัตรู หวังเป่าเล่อในตอนนี้เหมือนได้กลายร่างเป็นจันทราไป!


หวังเป่าเล่อรู้สึกอ่อนแรงเมื่อโดนดวงจันทราห้อมล้อม ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ตัวสั่นเทา หนังตาเริ่มหนักอึ้ง เกือบจะปิดตาหลับไป ความอ่อนเพลียกระจายไปทั่วร่างราวกับคลื่นยักษ์ ความรู้สึกอ่อนแรงที่สัมผัสถึงได้แปรเปลี่ยนตนไปเป็นคนธรรมดา!


อารมณ์ความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด ความเศร้า ความสิ้นหวัง ความคิดอยากฆ่าตัวตาย ความรู้สึกด้านลบต่างๆ ผุดขึ้นในใจ!


พลังปราณของเขาก็ได้รับผลกระทบไปด้วย พูดให้ชัดเจนคือพลังในการควบคุมต่างหากที่ได้รับผลกระทบ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มสามารถคุมพลังปราณของตนเองได้ดั่งใจนึก แต่พอได้รับความคิดด้านลบต่างๆ  พลังในการควบคุมก็ลดทอนลงไปถึงครึ่ง!


นี่คือหนึ่งในไพ่ตายของโจวชู่เต๋า วิชาจันทราต้องสาป!


หากเป็นผู้อื่น ชายหนุ่มคงจะพุ่งเข้าไปสังหารในทันทีเพื่อไม่ให้เปลืองพลังปราณหรือสมบัติเวท แต่คู่ต่อสู้ของเขาคือหวังเป่าเล่อ แม้จะไม่เข้าใจในตัวอีกฝ่ายมากนัก แต่หลังจากประมือกันไม่นาน เขาก็ประเมินความสามารถของหวังเป่าเล่อได้ว่ามีฝีมือเทียบเท่ากับตู้กูหลิน!


โจวชู่เต๋าจะประมาทไม่ได้เมื่อพบกับคู่ต่อสู้เก่งกาจเช่นนี้ ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเย็นยะเยือก แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบจากจันทราต้องสาปอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ เลือกที่จะหยิบเอารูปไม้แกะสลักออกมาจากกระเป๋าคลังเวท!


รูปแกะสลักสีดำปล่อยรัศมีเย็นยะเยือกทันทีที่หยิบออกมา เป็นรูปสลักของหมาล่าเนื้อที่มีแสงดุร้ายแฝงอยู่ในแววตา หมาล่าเนื้อกัดลิ้นของตนเองและบ้วนเลือดสดออกมากองหนึ่ง ทันใดนั้นพลังปราณมืดจำนวนมากก็แผ่พุ่งออกมา


เสียงคำรามดุร้ายดังสนั่นสั่นสะเทือนฟ้าดิน รูปสลักไม้พลันตื่นชีวิต กลายร่างเป็นหมาล่าเนื้อสีดำสูงสามสิบเมตร!


มันมีฟันแหลมคม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด หมาล่าเนื้อร้องคำรามลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ หมายจะกลืนกินคนตรงหน้า!


ภาพเบื้องหน้าเหมือนดัง…จันทรุปราคาที่มีหมาล่าเนื้อกำลังจะกลืนกินดวงจันทร์!


“จบแค่นี้แหละ เสียดายที่เจ้าไม่สามารถประกาศศักดาให้ผู้อื่นรู้ได้!” โจวชู่เต๋าหรี่ตาเล็กพร้อมกับเอ่ยขึ้นช้าๆ หมาล่าเนื้อพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ มันอ้าปากเตรียมจะกัดกินภาพจันทราและชายหนุ่มที่อยู่ภายใน!


คนที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ รวมถึงกลุ่มผู้ฝึกตนนอกสนามทดสอบต่างตื่นกลัวจนตัวสั่น เหล่าพันธุ์กล้าเป็นกังวลใจหนัก!


ทันใดนั้น…เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น!


หวังเป่าเล่อที่ถูกจันทราห้อมล้อมพูดขึ้นอย่างเสียดาย


“เสียดายจริงๆ ที่เจ้าไม่ยอมเข้ามาใกล้…”


ทันใดที่เสียงดังขึ้น มือที่สร้างขึ้นจากอัสนีก็ขยายใหญ่ออกมาจากด้านในจันทราต้องสาป รวดเร็วเสียจนพุ่งเข้าไปรับคมเขี้ยวของหมาล่าเนื้อแสนดุร้ายเบื้องหน้าในพริบตา!


อัสนีพลันบังเกิด คลื่นระเบิดกระจายไปทั่วทุกทิศส่งเสียงดังกึกก้อง พลังแกร่งกล้าพวยพุ่งออกมาจากจันทราต้องสาปในทันใด ก่อนจะทลายจันทราทิ้งพร้อมกับพุ่งตรงไปอัดอสูรร้ายตรงหน้า หมาล่าเนื้อล่าถอยไปพร้อมกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จันทราต้องสาปถูกทำลายทิ้งลงในพริบตา โจวชู่เต๋าตื่นตกใจไป ในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็พุ่งออกมาจากจันทราที่ทลายลงด้วยความเร็วเหนือชั้นกว่าครั้งก่อน เขาพุ่งเข้าไปใกล้ชายเบื้องหน้าด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้าพร้อมกับต่อยหมัดตรงไป!


หมัดที่สี่!


เสริมพลังจากปราณกังวานอีกหนึ่งเท่าตัว!


หมัดที่ปล่อยออกไปแฝงด้วยพลังเสริมจากปราณกังวานที่มากกว่าเดิม เป็นดั่งคลื่นมรสุมทรงพลังกว่าครั้งก่อน หมัดของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้นั้นแข็งแกร่งเป็นสองเท่าจากพลังกาย!


เป็นผลมาจากปราณกังวานที่ช่วยดันให้พลังปราณและพลังวิญญาณพุ่งทะลุเกินขีดจำกัด หมัดพุ่งตรงไปอัดเข้าอย่างจัง โจวชู่เต๋าหลบไม่พ้น ทำได้แค่ต้านทานสุดพลังที่มี เกิดเสียงดังสนั่น คนโดนต่อยกระอักเลือดออกมากองใหญ่ วัตถุเวทป้องกันกายพังทลายไม่มีชิ้นดี ทรวงอกถูกทะลวง มีเลือดพุ่งออกมาไม่หยุด เขาถอยหลังไปพร้อมกับความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นในแววตา!


“อัสนีอวตาร!”


“ถูกต้อง!” หวังเป่าเล่อสร้างร่างอวตารขึ้นมาตอนตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จันทราต้องสาปและหมาล่าเนื้อต่างพุ่งเข้าใส่ร่างอวตารของเขากันหมด ก่อนร่างอวตารจะระเบิดออก เผยร่างจริงของหวังเป่าเล่อที่ทะยานออกมาปล่อยหมัดที่สี่


หากโจวชู่เต๋าพลาดท่าเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะจบไปแล้ว!


หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่โจวชู่เต๋าระหว่างการสนทนา ชายหนุ่มแสนดุดันและไร้เทียมทาน มองเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะโดนกำราบสิ้น!


“ต่อไปเป็นหมัดสุดท้าย!” ความกระหายอยากต่อสู้พุ่งขึ้นสูง โจวชู่เต๋าร้องคำรามขึ้นขณะหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปใกล้ ร่างที่กำลังถอยหนีพลันหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาเริ่มแดงก่ำ สัมผัสปราณกังวานปะทุออกมาจากโจวชู่เต๋า!


“เจ้าจะไม่ได้ปล่อยหมัดสุดท้าย!” เขายกมือขวาขึ้นตั้งผนึกมือ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนใบหน้า พลังปราณสั่นไหวรุนแรง!


“เก้าสมัย…”


“ลวงสังหาร!”


ทันทีที่พูดจบ ร่างมายามากมายก็ปรากฏขึ้นจากกายาของโจวชู่เต๋า แต่ละร่างเป็นภาพของตนเอง ราวกับว่าชาติภพทั้งเก้าพลันปรากฏขึ้น เขาตั้งผนึกขึ้นพร้อมกับเหล่าร่างมายา พลังรัศมีที่ทำให้คนรอบข้างตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวพลันปะทุขึ้น!


บทที่ 569 อำนาจเหนือ!

Ink Stone_Fantasy

การจุติของชาติภพทั้งเก้าสมัยมีต้นกำเนิดเดียวกันกับกระบวนเวทของตระกูลนภาห้าสมัยในสหพันธรัฐ!


แตกต่างกันตรงที่ตระกูลนภาห้าสมัยสามารถเรียกชาติภพก่อนมาจุติได้แค่ห้าสมัย ส่วนโจวชู่เต๋าสามารถเรียกออกมาได้เก้าสมัย เหล็กหมาดเก้าเล่มปรากฏขึ้นระหว่างชายหนุ่มพร้อมกับร่างมายาเบื้องหลังและหวังเป่าเล่อ!


ขณะเดียวกัน ภาพมายาเบื้องหลังก็ตั้งผนึกมือ ส่งเหล็กหมาดเก้าเล่มขึ้นมาเพิ่มเป็นเก้าสิบเอ็ดเล่ม!


ทันทีที่เหล็กหมาดเก้าสิบเอ็ดเล่มปรากฏ ก็เกิดคลื่นพลังสั่นสะเทือนทั่วพื้นที่จนแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีบิดเบี้ยว ลมแรงปั่นป่วนพลันบังเกิด ยอดเขาใต้เท้าสั่นไหวรุนแรง เศษหินมากมายร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างราวกับว่าภูผาแห่งนี้กำลังจะถล่ม


พื้นพสุธาไม่อาจต้านทานพลังได้เช่นกัน เริ่มปริร้าวพังทลายลงจากภูผาที่สั่นคลอน!


โจวชู่เต๋าตาแดงก่ำ เขาร้องคำรามพร้อมกับยกสองมือขึ้น ร่างมายาเบื้องหลังทำตามทันที ส่งเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่มพุ่งตรงไปยังหวังเป่าเล่อ!


“ขังเจ้านั่นไว้!” ชายหนุ่มประกาศก้อง ร่างมายาด้านหลังเผยสีหน้าดุร้ายในทันใด พวกเขาเปิดปากร้องคำรามขึ้นพร้อมกันจนเกิดระเบิดเป็นคลื่นเสียง พลังรัศมีน่าพรั่นพรึงปะทุออกจากเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่ม แต่ละเล่มทับไขว้กันสร้างเป็นกรงขังขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อพร้อมกับพลังกดดัน!


รังสีสังหารจากเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่มและภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามาทำให้ชายหนุ่มสามารถปล่อยหมัดที่ห้าได้!


ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถปล่อยหมัดที่ห้าได้ หากแต่กำลังตื่นกลัวเหล็กหมาดเบื้องหน้าจนสูญเสียความมั่นใจในหมัดที่จะนำตนไปสู่ชัยชนะได้ไป!


กรงเหล็กหมาดพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ พลังกดต้านมหาศาลราวกับคลื่นยักษ์พลันปะทุพุ่งกดดันราวกับจะทำลายเขาให้ย่อยยับ!


นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขณะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาไม่คิดจะหลบหรือเรียกเกราะจักรพรรดิขึ้นมาเร็วเกินไป ชายหนุ่มหรี่ตาพร้อมกับยกมือขวาเรียกอาวุธเทพระดับแปดแบบใช้ได้ครั้งเดียวสามชิ้นออกมาห้อมล้อมตนไว้!


อาวุธเวททั้งสามชิ้นมีลักษณะคล้ายนาฬิกา แต่ละเรือนขยายขนาดใหญ่ไม่เท่ากันทันใดที่ปรากฏ ก่อนจะทับซ้อนคุ้มกันหวังเป่าเล่อไว้เป็นดั่งหินภูผาที่แม้แต่คลื่นยักษ์ก็ทลายไม่ได้ พลังกดดันจากอาวุธเวทพุ่งเข้าปะทะกับเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่ม!


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเหล็กหมาดแปดสิบเอ็ดเล่มก็พุ่งปะทะกับอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้แล้วทิ้งของหวังเป่าเล่อ!


“กันไม่ได้หรอก!” โจวชู่เต๋าร้องคำรามพร้อมกับก้าวไปด้านหน้า ทันใดที่เท้าลงแตะพื้น เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้น


“การป้องกันไม่ใช่วิถีแห่งเต๋าของข้า!” จิตวิญญาณนักสู้ปรากฏขึ้นในแววตาชายหนุ่มใต้การคุ้มกันของนาฬิกา เขาผลักมือออกไปสองด้านพร้อมกับร้องคำรามเสียงทุ้ม


“จงระเบิด!”


ทันใดที่เสียงดังขึ้น นาฬิกาด้านนอกสุดก็สั่นไหวและระเบิดออก พลังกล้าแกร่งพัดกระจายไปทั่วทุกทิศก่อนจะบังเกิดเป็นมือที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าใส่เหล็กหมาดที่ทะยานเข้ามาดั่งคลื่นยักษ์!


ยังไม่จบเพียงแค่นั้น!


จิตวิญญาณนักสู้ในตาของหวังเป่าเล่อลุกโชติช่วง เสียงของชายหนุ่มดั่งขึ้นอีกครั้งเมื่อสั่งให้เกิดการระเบิดตามมาอีกสองครั้ง นาฬิกาอีกสองเรือนระเบิดขึ้นพร้อมกันเสริมแรงปะทะให้กับการระเบิดครั้งแรกส่งมือที่มองไม่เห็นตะปบลงใส่เหล็กหมาดลงอย่างรุนแรง!


ราวกับว่าเขาต้องการเบิกทางจากกรงขังเหล็กหมาด!


การต่อสู้ในครั้งนี้ ทั้งสองได้ใช้คาถาและกลยุทธ์ในระดับยอดฝีมือของขั้นกำเนิดแก่นใน สามารถใช้เป็นกรณีศึกษาได้ หากคู่ต่อสู้ของทั้งสองเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนทั่วไปคงจะโดนกำราบไปนานแล้ว


แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องสมมติ จิตวิญญาณนักสู้ในตัวหวังเป่าเล่อลุกโชน โจวชู่เต๋าเองก็เช่นกัน เหมือนว่าเขาจะอ่านกลยุทธ์ของหวังเป่าเล่อออก ชายหนุ่มตั้งผนึกมือชี้ไปทางนาฬิกาทันทีที่มันระเบิดออกส่งมือที่มองไม่เห็นตะปบลง!


ทันใดนั้น เหล็กหมาดก็แปรเปลี่ยนจากกรงขังไปเป็นเกราะกำบัง!


เกราะกำบังรับแรงปะทะจากระเบิดพลีชีพของนาฬิกาทั้งสาม เกิดพลังกล้าแกร่งสั่นสะเทือนทั่วบริเวณทันทีที่ทั้งสองพลังเข้าปะทะกัน โจวชู่เต๋าหายใจระส่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เลือดสดกระอักออกขณะร้องคำรามลั่น


“หวังเป่าเล่อ เจ้าติดกับแล้ว…เก้าสมัย…ต้านพลัง!” เสียงของโจวชู่เต๋าดังขึ้นพร้อมกับพลังต้านทรงอำนาจที่พลันพวยพุ่งออกมาจากเกราะเหล็กหมาด พลังกล้าแกร่งจากการเหล็กหมาดที่พังทลายไปกว่าครึ่งผสานเข้ากับแรงระเบิดจากนาฬิกาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อหมายจะกำจัดทิ้ง!


เหตุการณ์พลิกผันในทันใด หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดออกจากปาก ร่างเซถอยหลังอยู่กลางอากาศ มือขวาสูญเสียพลังจนกำหมัดไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มดูอ่อนแรงลงขณะที่กำลังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด


ขณะเดียวกันก็เกิดคลื่นปะทะรุนแรงพัดกระจายไปทั่วทุกทิศส่งผลให้ภูผาสั่นไหว ผืนดินแตกออก วงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงถูกทำลายลงในพริบตา เป็นเหมือนดั่งลมแรงที่พัดกองใบไม้ปลิวหายไปหมด


เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตื่นตกใจสุดขีด ทั้งสองโดนแรงปะทะพัดปลิวไปด้านหลังจนเสียการควบคุม กลุ่มผู้ฝึกตนที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ กระอักเลือดสดออกมาขณะหลบหนีออกจากพื้นที่ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่สูญเสียกุญแจไปและไม่ปรากฏในแผนที่ พวกเขารีบหนีไปด้วยความหวาดกลัว มีสามคนในนั้นที่แม้จะทำท่าตื่นกลัวแต่ในสายตากลับเต็มไปด้วยความหิวกระหาย


หากเป็นเวลาอื่น พวกเขาคงไม่คิดชั่วร้ายเช่นนี้ แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อกำลังบาดเจ็บหนัก ผู้ฝึกตนไร้กุญแจทั้งสามคนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างไม่ลังเลใจพร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณ หนึ่งในนั้นอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย ส่วนอีกสองคนอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง ทั้งสามทะยานตรงไปหาหวังเป่าเล่อที่กำลังกระอักเลือดอยู่เต็มปาก!


พวกเขาหมายจะฆ่าหวังเป่าเล่อทิ้งและชิงกุญแจมา!


โจวชู่เต๋าขมวดคิ้ว แสงสว่างวาบขึ้นในสายตา เขาไม่คิดจะไล่ตามผู้ฝึกตนไร้กุญแจทั้งสามคนไป หากผู้แกร่งกล้าจากสหพันธรัฐตายลงด้วยน้ำมือของตนเองจะเป็นผลเสียต่อตนเองในอนาคต


หากไม่มีทั้งสามรอซุ่มโจมตีอยู่ ชายหนุ่มก็จะเป็นผู้โจมตีปิดฉาก แต่ไม่รุนแรงขนาดปลิดชีพได้ แค่เพียงจะแย่งกุญแจมาเท่านั้น


ขณะที่โจวชู่เต๋าตัดสินใจเลิกไล่ตามและสามศิษย์ผู้ละโมบจากสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าโจมตี เสียงเย็นชาระคนความเสียดายของหวังเป่าเล่อที่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถสู้ได้ก็ดังขึ้น


“ระยำจริง พวกเจ้าทั้งสามสมควรตาย!”


สิ้นคำ แววความอ่อนล้าจากร่างกายหวังเป่าเล่อก็พลันเลือนหาย ปราณกังวานจากหมัดที่ห้าแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกำปั้น โจวชู่เต๋าตะลึงงันไป หัวใจเต้นระส่ำ!


ชายหนุ่มเพิ่งจะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงเท่าที่คิด ร่างกายของหวังเป่าเล่อนั้นแปลกประหลาด สามารถฟื้นฟูสภาพได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีพวกบ้าสามคน โจวชู่เต๋าอาจจะต้องพบกับหมัดที่ห้าที่หวังเป่าเล่อเตรียมเอาไว้รอ!


ซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่!


หวังเป่าเล่อเดือดดาลจากโอกาสที่เสียไป คลื่นปราณกังวานในมือจางหาย ขณะที่สามศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลกำลังถอยหนีด้วยความตื่นตกใจ ไฟเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้นในแววตาขณะที่ชายหนุ่มชี้นิ้วไปทางหน้าผากของศิษย์ทั้งสาม!


ลักอัคคี!


ทั้งสามส่งเสียงกรีดร้องครวญครางผิดมนุษย์ ร่างกายพลันแห้งเหี่ยว พลังชีวิตถูกดึงออกมาในชั่วพริบตา พวกเขากลายเป็นศพเหี่ยวแห้งขณะร่วงหล่นลงพื้น ก่อนหวังเป่าเล่อจะหันไปมองโจวชู่เต๋าที่กำลังตื่นตกใจอยู่


“แม้ว่าข้าจะไม่ได้ปล่อยหมัดที่ห้าไป แต่เจ้าได้ตายไปด้วยหมัดนั่นในหัวของข้าแล้ว!”


“ใกล้จะถึงช่วงการเคลื่อนย้ายแล้ว…การต่อสู้…จะต้องจบลง ณ บัดนี้!” โจวชู่เต๋าสัมผัสได้ถึงภัยวิกฤติเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขารีบตั้งผนึกมือคุมเกราะเหล็กหมาดพุ่งไปทางคู่ต่อสู้ ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น!


เส้นปราณสีเลือดผุดขึ้นจากใต้ผิวหนังบนมือขวาก่อนจะแผ่ขยายออกไปทั่วร่างกาย!


ดูชั่วร้ายและไร้เทียมทาน!


สิ่งนั้นคือ…เกราะจักรพรรดิลักอัคคี!


บทที่ 570 มองผ่านฟากฟ้า!

การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าทำให้เกิดคลื่นปะทะกระจายทั่วทิศ ผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นโจวชู่เต๋าคาดการณ์การโจมตีของอีกฝ่ายและหวังเป่าเล่อที่คอยใช้กลลวงล่อ


ยิ่งได้เห็นการตายอันน่าเวทนาของผู้ฝึกตนทั้งสามที่แอบซุ่มโจมตี ทั้งวิธีการและความเร็วที่ใช้ในการสังหารบ่งบอกได้ว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถเทียบเท่ากับเหล่ายอดฝีมือขั้นกำเนิดแก่นใน สามารถกำจัดผู้ที่มีระดับเทียบเท่ากันได้อย่างง่ายดาย!


ที่สำคัญคือชายหนุ่มยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางเพียงเท่านั้น!


สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนจนไม่กล้าคิดย่างกรายเข้ามาใกล้ ไม่มีใครคิดอยากจะหาจังหวะเข้าโจมตีอีก ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่จับตาดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ต่างเหลือบมองเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ


หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่มีผู้กล้าแกร่งในสหพันธรัฐได้อีก!


พันธุ์กล้าในสหพันธรัฐรู้สึกฮึกเหิม ตั้งแต่มายังสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ พวกตนต้องใช้ชีวิตอยู่ราวกับเป็นเพียงชนชั้นล่าง


ทั้งถูกศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลดูถูกเหยียดหยาม ไหนจะท่าทีแข็งกร้าวเย็นชาที่ต้องพบเจอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาได้สร้างความแค้นเคืองทับถมขึ้นในใจ พวกเขาต่างคอยระมัดระวังการกระทำของตัวเอง บางคนถึงกับคิดจะประจบเอาอกเอาใจเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋า


แต่ในตอนนี้ ความคิดเหล่านั้นก็พลันเลือนหาย กลายเป็นความภาคภูมิใจและทะนงตนเข้ามาแทนที่ การกระทำของหวังเป่าเล่อพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ!


แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นผู้กล้าแกร่งเพียงคนเดียว แต่อย่างน้อยตัวตนของพวกเขาก็เป็นที่ประจักษ์ในสายตาคนอื่นเสียที!


หลายคนเข้าใจเรื่องนี้ เหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่พบกับความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่เต็มอกจึงเริ่มผ่อนปรนท่าทีและสายตาอันแข็งกร้าวที่มีต่อเหล่าพันธุ์กล้า พวกเขาเฝ้าจับตาดูการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อผ่านจออย่างเคร่งขรึม ดวงตาปรากฏความเคารพยกย่องต่อชายหนุ่มในจอ


แต่ในใจนั้นกลับทำใจยอมรับไม่ได้ว่าหวังเป่าเล่อและสหพันธรัฐจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกตนคิด โชคดีที่ก่อนการเคลื่อนย้ายในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หวังเป่าเล่อที่ได้แสดงฝีมืออันเก่งกาจ แต่ยังมีตู้กูหลินด้วยเช่นกัน!


การต่อสู้ระหว่างตู้กูหลินและสวีหมิงสร้างแรงสั่นสะเทือนเขย่าฟ้าดินไม่ต่างกัน ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลในลานกว้างต่างคึกกันยกใหญ่เพราะทั้งคู่เป็นศิษย์สำนักวังเต๋าเช่นกัน ความร่าเริงลำพองยิ่งทวีคูณหนักขึ้นทำให้เกือบจะกลบความอึดอัดในใจที่เกิดขึ้นเพราะหวังเป่าเล่อไปหมด!


ตู้กูหลินเก่งกาจสมชื่อ แม้สวีหมิงจะเป็นศิษย์เอกคนหนึ่ง สามารถล้มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมากหน้าหลายตาได้ แต่ก็ยังห่างชั้นกับตู้กูหลินอยู่มาก!


สวีหมิงและตู้กูหลินสู้กันอยู่บนที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง บนพื้นปรากฏรอยแตกมากมาย ทั้งพื้นที่ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของสวีหมิง ร่างของชายหนุ่มถูกส่งทะยานขึ้นฟ้าก่อนจะร่วงหล่นกระแทกพื้นซ้ำไปมา พอหยัดยืนขึ้นมาได้ใหม่ก็โดนส่งขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง!


ตู้กูหลินยืนหน้านิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ปริปากพูดอะไรตั้งแต่เริ่มสู้ ถือเป็นชะตากรรมอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของสวีหมิง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเช่นไร จะระเบิดสมบัติเวท ใช้ไพ่ตายที่มี หรือเสริมพลังด้วยกระบวนเวทอย่างไรก็ล้วนไร้ประโยชน์!


ความพยายามทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบถูกสยบได้ด้วยหมัดเดียวของตู้กูหลิน!


สวีหมิงแพ้อย่างราบคาบ ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน ชายหนุ่มเลือดไหลไม่หยุด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ความโกรธแค้นและสิ้นหวังในใจกลายเป็นเครื่องทรมานทำให้ตนคลุ้มคลั่ง


“ตู้กูหลิน! คู่ต่อสู้ของเจ้า…คือข้า!” สวีหมิงกระอักเลือดออกมาหลังจากโดนเสยร่วงลงพื้นอีกครั้ง เขายืนขึ้นอย่างทุลักทุเล เลือดไหลอาบจากหน้าผากผ่านดวงตาเปลี่ยนสีโลกกว้างในสายตาเป็นสีเลือด ดวงตาของชายหนุ่มดูน่าพรั่นพรึง แต่น้ำเสียงที่พูดออกมากลับไม่มีความดุร้ายแฝงอยู่ สัมผัสได้เพียงความขมขื่นเพียงเท่านั้น


ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ…ตั้งแต่ปล่อยหมัดที่สอง ตู้กูหลินผู้เงียบขรึมก็เลิกสนใจสวีหมิงไป เอาแต่เงยหน้ามองแผนที่บนฟ้าตรงจุดที่หวังเป่าเล่อเข้าปะทะกับโจวชู่เต๋า


แม้ชายหนุ่มจะไม่สามารถเห็นการต่อสู้ได้ แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง ส่วนสวีหมิงนั้นเป็นเพียงแค่…


คนไร้ค่า!


การถูกอีกฝ่ายเมินเป็นสิ่งที่ทำให้สวีหมิงเจ็บปวดใจมากที่สุด เขาเองก็เป็นศิษย์เอก ก่อนหน้านี้มีความมั่นใจอยู่เต็มอก แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มได้ตระหนักว่าตนเป็นเพียงคนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าตู้กูหลิน


สวีหมิงรู้สึกขมขื่นที่ตนทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังขุ่นเคืองอยู่ในใจ เขาหายใจถี่รัว จิตวิญญาณนักสู้ลุกไหม้ขึ้นในแววตา ชายหนุ่มเตรียมโจมตีอีกครั้งแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าจะล้มเหลว!


ทันใดนั้น ตู้กูหลินก็พูดขึ้น


“อ่อนแอ…เกินไป”


“เจ้าจะต้องตายในหมัดต่อไป ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะฆ่าเจ้า ดังนั้น…ส่งกุญแจมาเสียดีกว่า” ตู้กูหลินละสายตาจากแผนที่บนฟ้าลงมามองสวีหมิงพร้อมกับพูดขึ้นอย่างใจเย็น สีหน้าของชายหนุ่มยังดูเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน


สายตาที่มองมาและน้ำเสียงที่ดังขึ้นทำให้สวีหมิงตัวสั่นเทิ้ม สัญชาตญาณบอกตนเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริง!


ถ้าตนโจมตีต่อ ทันใดที่ถูกส่งลอยขึ้นบนอากาศคงจะสิ้นลมไป…


จะสู้หรือจะถอยดี


ท่ามกลางความเงียบ สวีหมิงรู้สึกขมขื่นและหมดหนทางทำอะไร จิตวิญญาณนักสู้ในตาค่อยๆ เลือนหาย เขารู้ว่าถ้าพุ่งเข้าไปแล้วรอดกลับมาได้ก็คงพิการ แต่ใจจริงลึกๆ ก็ยังไม่อยากตาย


สวีหมิงโยนกุญแจยี่สิบดอกไปให้พร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นร่างกายก็หมดเรี่ยวแรงร่วงหล่นลงกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้น ไม่หันมองตู้กูหลินแต่เป็นสนามรบอีกแห่งบนแผนที่


“นั่นหวังเป่าเล่อหรือเปล่า…” ชายหนุ่มพูดพึมพำ ตู้กูหลินละสายตาจากแผนที่และหันไปมองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นจุดที่หวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋ากำลังปะทะกันอยู่


ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากสวีหมิงพ่ายแพ้และสูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ไป การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าเองก็กำลังเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย โจวชู่เต๋าตื่นตะลึงไปแต่ก็ยังสามารถคุมเกาะเหล็กหมาดเข้าป้องกันได้อย่างรวดเร็ว เขาสังเกตเห็นเส้นปราณสีเลือดที่ปรากฏขึ้นบนมือขวาของอีกฝ่าย


เส้นปราณสีเลือดแผ่ขยายไปทั่วร่าง ปรากฏบนส่วนต่างๆ บนร่างกายของหวังเป่าเล่อ โครงร่างมนุษย์พลันปรากฏขึ้นรอบตัวชายหนุ่มในพริบตา!


พลังรัศมีดูชั่วร้ายและแกร่งกล้า มาในรูปลักษณ์แสนไร้เทียมทาน พลังรัศมีที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกมาเสริมด้วยปราณกังวานภายในกายทำให้เขาเป็นดั่งเทพ!


“จบตรงนี้!” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างใจเย็น อารมณ์ความรู้สึกพลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย น้ำเสียงเย็นชาของเขาฟังดูเหี้ยมโหด ชายหนุ่มขยับร่าง พุ่งตรงเข้าไปปล่อยหมัด!


หมัดทรงพลังเกินขีดจำกัดขั้นกำเนิดแก่นในพุ่งทะยานไปในอากาศ คลื่นพลังปั่นป่วนฟ้าดิน ฝากรอยแตกไว้บนพื้นพสุธาปรากฏขึ้น!


มองจากไกลๆ จะเห็นเหมือนชายหนุ่มเป็นดั่งพายุสีโลหิต อัสนีกัมปนาทฟาดผ่ารอบๆ ราวกับว่าหมู่มารกำลังระบำผ่านฟากฟ้าพุ่งตรงไปยังโจวชู่เต๋า!


หมัดที่ห้าของจริง!


เสริมพลังจากปราณกังวานสองเท่าตัว!


เกราะจักรพรรดิลักเพลิงขั้นแรกเสริมพลังไปอีกสามเท่า!


เสียงดังสนั่นสั่นสะเทือนทั่วบริเวณ พายุสีโลหิตพุ่งตรงเข้าไปปะทะเกราะเหล็กหมาดที่โจวชู่เต๋าควบคุมอยู่ ทันใดที่พายุพุ่งเข้าใส่ เกราะเหล็กหมาดก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เริ่มปริแตกจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะถูกทลายลงในพริบตาจากพายุทรงอำนาจ!


พายุสีโลหิตพุ่งตรงไปไม่หยุด ส่งคลื่นปะทะกระจายไปรอบทิศ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปอยู่เบื้องหน้าโจวชู่เต๋าอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบหยิบเอาสมบัติเวทป้องกันตนมากมายออกมาขณะกระอักเลือดสดออกจากปาก พยายามใช้พลังทั้งหมดที่มีในการต้านพลัง


แต่สมบัติเวทล้วนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพายุสีโลหิต ทุกชิ้นถูกบดขยี้เป็นผุยผงเมื่อพายุเคลื่อนผ่าน โจวชู่เต๋าลนลานเมื่อเห็นพายุเคลื่อนเข้ามาใกล้ รีบกวาดมือร่ายรำพยายามป้องกันครั้งสุดท้าย เขาคุมร่างมายาพุ่งผ่านตนเองเข้าไปต้านพายุไว้!


แต่ก็ไร้ประโยชน์!


เกิดเสียงดังก้องทั่วบริเวณ พายุสีโลหิตบดขยี้ร่างมายาจนราบคาบในพริบตา ก่อนจะเคลื่อนตัวไปประชิดโจวชู่เต๋าที่กำลังสิ้นหวัง


พายุพลันเลือนหายก่อนจะกลายเป็นกำปั้นเกราะจักรพรรดิ!


เส้นผมของโจวชู่เต๋าพัดปลิวไปด้านหลัง เขามองกำปั้นทรงพลังเบื้องหน้าที่เต็มไปสัมผัสโหดเหี้ยม พลันรู้สึกขมขื่นขึ้นมาในใจทันใดที่เสียงเย็นชาของหวังเป่าเล่อดังขึ้น


“เจ้าแพ้แล้ว”


ชายหนุ่มหลับตา ความขมขื่นในใจทวีคูณมากขึ้น เขาถอนหายใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นก็โยนกุญแจให้พร้อมกับเรียกชาติภพเก้าสมัยกลับคืน โจวชู่เต๋ายืนตัวสั่นเทิ้มขณะถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง


“ข้าไม่น่าปล่อยเหล่าหญิงชราไป…ทำไมข้าต้องสร้างปัญหา…”


หวังเป่าเล่อยืนนิ่ง ไม่ได้หันไปมองกุญแจที่อีกฝ่ายโยนให้ เขาสัมผัสอะไรบางอย่างได้จึงเงยหน้ามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็น…จุดที่ตู้กูหลินปรากฏอยู่บนแผนที่!


ขณะหวังเป่าเล่อมองตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้า ตู้กูหลินก็มองตรงกลับมาไม่ต่าง ทั้งสองไม่สามารถเห็นกันและกันได้เนื่องจากอยู่ห่างกันไกล แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งความกระหายอยากต่อสู้และห้ามไม่ให้ทั้งสองมองไปทางทิศทางอีกฝ่ายได้!


ศิษย์ในลานกว้างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ภาพหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินประสานสายตาจากสองหน้าจอสร้างภาพจำตราตรึงใจฝูงชนตรงนั้น


ทั่วทั้งลานกว้างตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนเสียงพึมพำของใครคนหนึ่งจะดังขึ้น


“สมกับเป็นยอดฝีมือ!”


บทที่ 571 ไม่มีใครสนใจ!

ณ สนามทดสอบ ขณะหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินประสานสายตาจากไกลห่าง มีคนมากมายรอบตัวได้พ่ายแพ้ไป โจวชู่เต๋าเดินจากไปอย่างไร้ความกังวล ส่วนสวีหมิงยังนอนแผ่อยู่กับพื้น หัวเราะให้กับความขลาดที่ถอยหนีจากการต่อสู้อย่างขมขื่น


บัดนี้ การเคลื่อนย้ายได้เริ่มต้นขึ้น!


มีเสียงระเบิดดังขึ้นจากทั่วทุกทิศของสนามทดสอบ เริ่มต้นจากเสียงเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นเสียงกัมปนาทอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามียักษามหึมากรีดร้องอยู่ในสนามทดสอบ


แผนที่บนฟากฟ้ายามค่ำคืนพลันบิดเบี้ยวเป็นครั้งแรก ผืนพสุธาและภูผาสั่นไหว!


เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าฟ้าดินกำลังพลิกผัน พลังเคลื่อนย้ายบังเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อนจะขยายพลังเต็มขั้นไปทั่วสนามรบในไม่กี่อึดใจ!


การเคลื่อนย้ายครั้งแรกจะชิงกุญแจหนึ่งดอกไปจากทุกคน หากใครไม่มีจ่ายก็จะโดนคัดออก!


สนามทดสอบที่เงียบสงบพลันตกอยู่ในความโกลาหล ผู้เข้าร่วมทดสอบที่ไม่มีกุญแจหลายคนรีบพุ่งไปหาคนมีกุญแจในครอบครองที่ใกล้ตัวที่สุดในทันที!


มีบ้างที่ช่วงชิงมาได้สำเร็จ แต่ส่วนมากก็ล้มเหลว แสงจากการเคลื่อนย้ายส่องระยิบระยับระหว่างฟากฟ้าและผืนดิน กุญแจหายไปดอกแล้วดอกเล่า ก่อนการคัดออกจะเปิดฉากขึ้น


พายุที่มีเพียงกลุ่มคนมีกุญแจเท่านั้นที่จะยืนหยัดต้านทานได้พลันบังเกิด พัดเหล่าคนไม่มีกุญแจหายไปจากสนามทดสอบ


สวีหมิงและโจวชู่เต๋าก็เป็นหนึ่งในนั้น หวังเป่าเล่อเห็นกุญแจของตนถูกพายุการเคลื่อนย้ายช่วงชิงไป โจวชู่เต๋าที่ยืนหันหลังให้ไกลออกไปพลันเลือนรางราวกับกำลังจมหายไปในความว่างเปล่า ขณะที่กำลังจะหายวับไป ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นราวกับตั้งใจจะโบกมือลาหวังเป่าเล่อที่อยู่ด้านหลัง


โบกได้สามครั้งเขาก็หายวับไป


การเคลื่อนย้ายเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ ผืนดินและท้องฟ้ากลับสู่สภาพปกติเมื่อการเคลื่อนย้ายจบลง แผนที่บนฟากฟ้ายามค่ำคืนชัดแจ้งเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง แต่กุญแจที่ฉายอยู่บนนั้นหายไปมากเลยทีเดียว!


หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกขณะมองดูแผนที่บนฟากฟ้ายามค่ำคืน ทันใดนั้นเสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ดังขึ้น


“คนที่ไม่มีกุญแจจะถูกกำจัดทิ้งทุกๆ การเคลื่อนย้าย จากนั้นก็จะมีผู้ฝึกตนไม่มีกุญแจกลุ่มใหม่เกิดขึ้น มีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะรู้ว่าเหล่าคนไม่มีกุญแจซ่อนตัวอยู่ตรงไหน!”


“เพราะทุกจุดบนแผนที่ที่มีกุญแจจะมีคนไม่มีกุญแจไปอยู่ตรงนั้น!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดขึ้นพร้อมกับยกมือขวาขึ้นโบก เรียกเข็มทิศส่องแสงรางๆ ก่อนจะปรากฏแผนที่ขึ้น!


“ข้าตรวจดูทุกจุดที่กุญแจหายไปก่อนหน้า แต่ละจุดบนแผนที่คือจุดที่มีผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ไม่มีกุญแจ เราสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของพวกเขาได้!” เจ้าเยี่ยเหมิงอธิบายพร้อมกับชี้มือซ้ายไปทางเข็มทิศ ทันใดนั้นจุดแสงมากมายก็ปรากฏขึ้นบนแผนที่


จุดแสงแต่ละจุดคือพิกัดของเหล่าผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ไม่มีกุญแจตามการคาดการณ์ของเจ้าเยี่ยเหมิง มีจุดแสงสามจุดอยู่รอบตัวพวกเขาตอนนี้!


“จะจัดการอย่างไรดี” เจ้าเยี่ยเหมิงหันมองหวังเป่าเล่อพร้อมกับถามขึ้นว่าจะทำอย่างไรกับกลุ่มคนไม่มีกุญแจสามจุดใกล้ตัว


“ไม่ต้องสนใจก็ได้นี่…” หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างขณะพูด เขามองไปยังจุดหนึ่งจากอีกสามจุดพร้อมกับยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นกระบี่บินสามสีก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะพุ่งไปยังอีกสองจุดที่เหลือ


มีผู้ฝึกตนพุ่งออกมาจากแต่ละจุดทันทีที่กระบี่บินสามสีพุ่งแหวกอากาศตรงไป ผู้ฝึกตนสองคนรีบวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง แต่ความเร็วของพวกเขาก็ด้อยกว่ากระบี่บิน เสียงกรีดร้องโหยหวยดังขึ้นตามมา ก่อนทั้งสองจะร่วงลงพื้น


ชายหนุ่มไม่ได้ฆ่าพวกเขา เพียงแค่จัดการให้ไม่สามารถหนีไปได้ไกลจากพื้นที่นี้ในวันต่อไป


กระบี่บินสามสีพุ่งกลับมาหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อเดินไปยังตำแหน่งจุดแสงที่สาม เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ตรงนั้น ไม่ได้หนีไปไหน คนผู้นั้นหันมองชายหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง


“เป่าเล่อ…เจ้า…”


เมื่อเห็นใบหน้าแสนคุ้นเคย อ้วนกลมไม่ต่างกัน หวังเป่าเล่อก็ผุดยิ้มขึ้น


“ศิษย์พี่หยุนเพียวจื่อ…”


คนผู้นั้นคือหยุนเพียวจื่อ เขาตื่นตะลึงหนักเมื่อได้เห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋า ไม่สามารถเชื่อมโยงภาพหวังเป่าเล่อในหัวและชายที่อยู่เบื้องหน้าได้


ผู้อยู่เบื้องหน้าแกร่งกล้าเกินกว่าที่คิดไว้ไปมากโข ส่งให้ตนรู้สึกห่างเหินกับชายเบื้องหน้าไปไกล


“ข้าจัดการกับพวกไม่มีกุญแจแถวนี้หมดแล้ว ออกจากตรงนี้ไปโปรดระวังตัวด้วย” หวังเป่าเล่อรู้ว่าหยุนเพียวจื่อกำลังคิดเช่นไรอยู่ อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความห่างเหินในแววตาอีกฝ่าย จึงพูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิง


เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจเจตนารมณ์ของหวังเป่าเล่อ นางหยิบเอากุญแจดอกหนึ่งออกมาวางตรงหน้าหยุนเพียวจื่อ


“หยุนเพียวจื่อ ไว้เจอกันที่สำนัก ข้าขอตัวก่อน” หวังเป่าเล่อกุมหมัดให้หยุนเพียวจื่อก่อนจะยิ้มและกลับออกไปพร้อมเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋า กงเต๋าหันมองหยุนเพียวจื่อด้วยแววตาสงสัยก่อนจะหันเดินกลับออกไป


เขารู้ว่าตอนแรกหวังเป่าเล่อตั้งใจจะปล่อยสองคนที่ไม่มีกุญแจไป แต่ก็ลงมือจัดการให้เพราะหยุนเพียวจื่อ


อาจบอกได้ว่าชายหนุ่มทำเช่นนั้นก็เพราะต้องการจะให้กุญแจกับหยุนเพียวจื่ออย่างปลอดภัย กงเต๋านึกสงสัยขึ้นมาเนื่องจากพวกตนเป็นคนจากสหพันธรัฐจึงเป็นการยากที่จะเชื่อมไมตรีจิตรกับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลได้ เว้นเสียแต่จะมีอะไรบางอย่างตรงกัน


ที่หยุนเพียวจื่อสนิทกับหวังเป่าเล่อได้ก็เป็นเพราะความใจกว้างและรายได้จากเรือวิญญาณของหวังเป่าเล่อ เป็นความสัมพันธ์แบบด้านเดียว ไม่สามารถผ่านพ้นการทดสอบนี้ไปได้


หยุนเพียวจื่อเงียบไปขณะมองกุญแจในมือ ผ่านไปสักพัก เขาก็ก็เงยหน้ามองแผ่นหลังของพวกหวังเป่าเล่อ ก่อนจะยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนออกไป “เป่าเล่อ!”


หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กลางอากาศพร้อมกับหันมามองหยุนเพียวจื่อ


“เมื่อครู่ ตู้กูหลินได้สู้กับสวีหมิง เจ้าก็…ระวังตัวด้วย”


ได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หยุดคิดสักพักก่อนจะยกมือขึนโบกพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็กลับออกไป หยุนเพียวจื่อมองกลุ่มคนเบื้องหน้าทะยานออกไปไกลห่าง ก่อนจะก้มมองกุญแจในมือด้วยแววตาเคารพยกย่อง


ความรู้นี้ไม่ได้มาจากที่หวังเป่าเล่อหยิบยื่นกุญใจมาให้ แต่เป็นการที่อีกฝ่ายจัดการกับผู้ไร้กุญแจอีกสองคนเพื่อตนเองโดยเฉพาะ


ขณะเดียวกันก็ตระหนักขึ้นว่าความแตกต่างระหว่างตนและอีกฝ่ายไม่ได้มีเพียงแค่ความสามารถ แต่ยังแตกต่างในด้านทัศนคติ!


เขาไม่ได้สนใจเรื่องกุญแจหรือกฏกติกาอะไร ทั้งสองสิ่งไม่ได้สำคัญเลยสำหรับเขาและศิษย์คนอื่นๆ พวกเขาไม่ต้องทำตามกฏเพราะกฏของพวกเขามีเพียงหนึ่ง!


นั่นคือ…กำจัดคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ทิ้งและเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย หยุนเพียวจื่อมองกุญแจพร้อมกับตรึกตรองสิ่งต่างๆ เขาเงยหน้าขึ้นถอนหายใจยาวก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น


เสียงหัวเราะขมขื่นถูกแทนที่ด้วยท่าทีไร้กังวล ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปอีกทาง ทิ้งกุญแจไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่ตนจะดิ้นรนต่อไปในการทดสอบนี้ ที่ต้องทำคือหาสถานที่ทำสมาธิรอกลับออกไปในการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป


ไม่ใช่การทดสอบสำหรับคนธรรมดาเช่นข้าอีกต่อไป หยุนเพียวจื่อส่ายหัวพร้อมกับเดินหายลับไป กุญแจส่องแสงเป็นประกายอยู่ตรงพื้นแต่กลับไร้ซึ่งคนสนใจ


ห่างออกไปไกล เจ้าเยี่ยเหมิงเป็นผู้แรกที่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้น นางมองแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีเห็นกุญแจหยุดนิ่งไม่ไหวติง แม้จะไม่ได้เห็นกับตา แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นางก็หันมายิ้มให้กับหวังเป่าเล่อ


“เป่าเล่อ เพื่อนเจ้ารู้จักคิดตัดสินใจ ไม่ธรรมดาเลย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)