ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 566-568

ตอนที่ 566 คนที่ข้ารักก็กลัวความหนาว

 

ถึงแม้ว่าทั่วทั้งร่างของเขาจะปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ จนมองไม่เห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไรกันแน่ 


 


 


แต่เพียงแค่เขาปรากฏตัวออกมา บรรยากาศที่เย็นยะเยือกเสมือนดั่งจอมปีศาจจากหุบเขาที่มืดมิดก็ครอบคลุมไปกว่าครึ่งของเมืองว่านฮวาเฉิงแล้ว 


 


 


ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน คือขุมกำลังที่ลึกลับที่สุดในดินแดนจิ่วโจว 


 


 


ก่อนที่เจ้าสำนักหยินหยางจะปรากฏตัวขึ้นมา ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคือการดำรงอยู่ของสถานที่ที่น่าหวาดกลัวที่สุดแล้ว 


 


 


ศิษย์ในสำนักของพวกเขาแต่ละคนล้วนมีฝีมือสูงส่ง ในหมู่คนเหล่านั้นมีมือสังหารอยู่ไม่น้อย 


 


 


หากจะบอกว่ายาตันกว่าครึ่งหนึ่งมีที่มาจากวังตันติ่งกง ถ้าเช่นนั้นมือสังหารกว่าครึ่งของดินแดนจิ่วโจวก็มาจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 


 


 


นอกจากมือสังหารแล้ว ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังขึ้นชื่อในเรื่องแผนการชั่วช้า…..ใช่แล้ว ทั้งยุแหย่และก่อกวนด้วยวิธีสกปรก……จนทำให้ทั้งห้าแคว้นใหญ่และขุมอำนาจต่างๆไม่อาจอยู่อย่างสงบ 


 


 


หากเป็นเพียงเท่านั้นก็ยังถือว่าแล้วไป ประเด็นสำคัญคือเหล่าคนที่มาจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยนล้วนมีพลังฝึกปรือสูงล้ำ ไม่ใช่ผู้ที่ใครก็สามารถจะกล้าผิดใจล่วงเกินได้ง่ายๆ 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เป็นผู้แข็งแกร่งถึงระดับพิศดาร ได้ยินมาว่าแค่เพียงเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ทุกที่ที่เขาย่างกรายผ่านไปล้วนกลายเป็นลำธารเลือด แม้แต่ต้นหญ้าก็ไม่อาจงอกเงย 


 


 


ผู้คนในดินแดนจิ่วโจวแทบจะยกย่องเขาให้เป็นผู้นำของดินแดนจิ่วโจวมาโดยตลอด 


 


 


ดังนั้นในสุดยอดการประลองครั้งก่อน จึงไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลยว่า ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะพ่ายแพ้ 


 


 


ทั้งยังพ่ายแพ้ให้แก่บุรุษโฉมงามที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม 


 


 


ก่อนหน้านี้ คนมากมายต่างก็คาดเดากันไปว่า งานเทศกาลหมื่นบุผชาติในครั้งนี้ เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอาจจะไม่ยอมมาปรากฏตัว เพราะเขาเสียหน้าไปในสุดยอดการประลองอยู่ไม่น้อยมิใช่หรือ? 


 


 


แต่ใครจะไปคิดว่า เขาไม่เพียงแต่ปรากฏตัวแล้ว แถมยังทำตนโดดเด่นถึงเพียงนี้ 


 


 


เกาะลอยได้แต่ละเกาะในเมืองว่านฮวาเฉิง ล้วนแล้วแต่มีเจ้าของครอบครอง และเกาะลอยที่กว้างใหญ่และงดงามที่สุดย่อมเป็นของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 


 


 


ขณะที่ผู้คนยังมัวแต่เหม่อลอยอยู่นั้น เงาดำสายหนึ่งก็ลอยขึ้นไป 


 


 


คล้ายกับว่าจะเหาะออกมาจากทิศที่ตั้งของห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งบนชั้นบนสุดของเหลาจุ้ยเซียนจูอีกด้วย 


 


 


“เห็นชัดแล้วหรือไม่ ว่าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นคือผู้ใด” 


 


 


“ขนาดอย่างเจ้ายังไม่อาจมองเห็น แล้วข้าจะเห็นชัดได้อย่างไร?” 


 


 


“……” 


 


 


“อย่าไปสนใจเจ้านั่นเลย จะอย่างไรเสียท่านผู้นั้นจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่ง อย่างแน่นอนมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นจะได้รับการต้อนรับจากห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งได้อย่างไร?” 


 


 


………….  


 


 


ตู๋กูซิงหลันติดตามท่านเจ้าสำนักหยินหยางขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า 


 


 


เกาะแห่งนี้อยู่สูงกว่าพื้นดินถึงพันเมตร ยิ่งเหาะสูงขึ้นไป ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าอากาศด้านบนบริสุทธิ์สะอาด รอบด้านมีแต่ไอทิพย์เข้มข้นแวดล้อมอยู่ทุกด้าน ทุกลมหายใจที่สูดไอทิพย์เหล่านี้เข้าไปทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นเซียนอยู่แล้ว 


 


 


เมื่อขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า ถึงได้พบว่าทั่วทั้งเกาะล้วนแต่เป็นสีแดง 


 


 


ในดวงตาของนางเห็นแต่สีแดงของกลีบดอกไห่ถางที่ปลิวคว้างอยู่กลางสายลม สีแดงเพลิงราวอาทิตย์อัสดง จนแม้กระทั่งสายหมอกที่ไหลผ่านต้นไห่ถางก็ยังถูกย้อมเป็นสีแดงไปด้วยเช่นกัน ทัศนียภาพที่ปรากฏแก่สายตาจึงดูราวกับความฝันอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ท่ามกลางป่าดอกไห่ถาง มีต้นไห่ถางที่แสนจะงดงามเช่นเดียวกับต้นไม้มังกรของบิดาคนงามอยู่ต้นหนึ่ง 


 


 


เพียงแค่กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้ ก็ครอบคลุมพื้นที่ไปแทบจะครึ่งหนึ่งของเกาะลอยแล้ว ดอกไม้บนต้นบานสะพรั่ง ไม่เพียงแค่นั้นดอกไห่ถางทุกดอกยังมีละลองสีทองจางๆเคลือบอยู่บนดอกไม้ชั้นหนึ่ง 


 


 


บนลำต้นของต้นไห่ถางต้นนี้ มีอาคารไม้ที่สร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์และวิจิตรบรรจงหลังหนึ่ง 


 


 


ชั้นที่ใหญ่ที่สุดของอาคารไม้หลังนี้จัดสร้างอยู่บนกิ่งก้านที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งที่สุดของลำต้น หากมองดูแต่ไกล ก็ราวกับตำหนักเล็กๆหลังหนึ่ง 


 


 


เมื่อได้เห็นภาพสถานที่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลีบดอกไห่ถางที่ล่องลอยอยู่ในสายลม ตู๋กูซิงหลันก็ใจลอยไปในทันที นี่ทำให้นางคิดไปถึงตำหนักเฟิ่งหมิงกงในแคว้นต้าโจว และยิ่งดูคล้ายกับจวนจวิ้นอ๋องในเมืองกู่เย่ว 


 


 


สีแดงที่เจิดจ้าจนบาดตา แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความโศกเศร้าจนบีบคั้นหัวใจของผู้คนออกมา 


 


 


ราวกับว่าดอกไม้เหล่านี้เกิดมาจากเลือดและเนื้อของเจียงเย่วอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเห็นนางตกตะลึงจนใจลอยอยู่กับที่ ก็หันกลับมามองดูนาง ในดวงตาของศิษย์มีหยาดน้ำตาอยู่เล็กน้อย นางเห็นสิ่งใดเข้า จึงได้ทุกข์ใจถึงเพียงนี้? 


 


 


“กลีบดอกไม้เคืองตาหรือ?” 


 


 


เขาถามออกไป 


 


 


หากว่ามันทำให้นางเคืองตา ถ้าเช่นนั้นก็เผาทิ้งให้หมด 


 


 


เขาไม่ชอบให้ในแววตาของนางมีความหม่นหมอง 


 


 


เขาชอบเห็นนางยิ้ม เห็นแววตานางมีประกาย ให้ในใจนางเบิกบาน 


 


 


“แค่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาบางเรื่องเท่านั้น….ไม่เป็นอะไร” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกโศกเศร้าที่อธิบายไม่ถูกนั้นลงไป 


 


 


พอนางพูดจบ ก็เห็นนกกระเรียนเซียนสองตัวบินลงมา กระเรียนเซียนทั้งสองส่งเสียงร้องคราหนึ่งก็ร่อนลงตรงหน้าพวกนาง 


 


 


จากนั้นเป็นแปลงกายเป็นเด็กหนุ่มสองคน 


 


 


“ท่านประมุขรอท่านเจ้าสำนักอยู่ที่หอชมจันทราแล้ว” 


 


 


ทั้งสองคนคำนับพวกนางด้วยความอ่อนน้อม จากนั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เอ่ยอย่างสงบเสงี่ยมว่า “ขอท่านเจ้าสำนักติดตามพวกเรา” พูดจบแล้วหนุ่มน้อยในชุดสีขาวทั้งสองก็แปลงร่างกลับไปเป็นกระเรียน ส่งเสียงอีกครั้งก่อนโผบินขึ้นไป 


 


 


เพียงแต่บินด้วยระดับความเร็วที่ไม่มากนัก 


 


 


ท่านเจ้าสำนักมิได้ถามอะไรมากความ มือกระชับเอวบางของศิษย์น้อย สะกิดปลายเท้าครั้งหนึ่ง ก็เหาะติดตามไป 


 


 


หอชมจันทรา ตั้งอยู่บนลำต้นของต้นไห่ถาง เป็นอาคารไม้ที่วิจิตรงดงามเสมือนวังแห่งหนึ่ง 


 


 


กระเรียนเซียนนำพวกนางมาถึงที่นี่ ก็แปลงเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง ต่างยืนอยู่ด้านข้างประตูบานใหญ่คนละด้าน เปิดบานประตูไม้ขนาดใหญ่ออก 


 


 


กริยาของทั้งสองแสดงท่าทางเชื้อเชิญที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน 


 


 


ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้าง แต่ด้านในกลับปราศจากแสงสว่าง ดูราวกับว่าเป็นถ้ำที่มืดมิดแห่งหนึ่ง 


 


 


ทั้งยังดูคล้ายปากของสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกลืนกินผู้คนลงไป 


 


 


แม้ว่าที่ข้างกายของท่านเจ้าสำนักจะเพิ่มตู๋กูซิงหลันมาอีกหนึ่งคน กระเรียนเซียนหนุ่มน้อยทั้งสองก็มิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ 


 


 


ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ส่วนตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่หรี่ดวงตาดอกท้อครู่นั้นลงเล็กน้อย 


 


 


ตลอดทั้งปีอากาศของเมืองว่านฮวาเฉิงทั้งสี่ฤดูกาลล้วนอบอุ่นเสมือนฤดูใบไม้ผลิอยู่ตลอดเวลา เกาะลอยฟ้าแห่งนี้เดิมทีก็มีอากาศอบอุ่นสบาย แต่ว่าหอแห่งนี้ กลับมีไอเย็นเสียดกระดูกราวน้ำแข็งพันปี 


 


 


อากาศนอกหอแสนอบอุ่นราวฤดูใบไม่ผลิ แต่อากาศจากภายในหอหนาวยะเยือกราวฤดูหนาว 


 


 


แค่ย่างเท้าเข้าไปด้านในเพียงก้าวเดียว ความเย็นราวแผ่นน้ำแข็งก็แผ่ซ่านขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า เกาะกุมผู้คนจนแทบแข็งค้าง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักพึ่งจะเดินเข้าไปก็หยุดเท้าลง 


 


 


เขาหยิบเอาลูกแก้วกลมสีแดงเพลิงขนาดเท่าลูกปิงปองออกมา ส่งให้กับศิษย์น้อยของตนเอง 


 


 


ทันทีที่ลูกแก้วสัมผัสกับผิวก็กำจายความอบอุ่นออกมา ความอบอุ่นนี้แผ่ซ่านจากผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย กำจัดความเหน็บหนาวที่เกาะกุ่มอยู่ภายนอกจนหมดสิ้นไป 


 


 


“ลูกแก้ววิญญาณเพลิง เป็นของที่เจ้าแคว้นทองทำหล่นเอาไว้โดยไม่ทันระวัง” ยากนักที่ท่านเจ้าสำนักจะมีแก่ใจมาอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ศิษย์น้อยได้ฟัง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันก้มลงไปมองดูลูกแก้ววิญญาณเพลิงบนฝ่ามือ ในแววตาของนางก็ทอประกายสงสัยออกมา……ตอนที่เจ้าแคว้นทองมาที่สำนักหยินหยาง นางก็เห็นอย่างชัดเจน ว่าเขาไม่ได้ลืมอะไรเอาไว้มิใช่หรือ? 


 


 


เอาเถอะ….อาจารย์ต้าฉุยผู้นี้ดูผิวเผินวางท่านิ่งเฉย แต่ภายในกลับมีลูกเล่นแพรวพราว เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง 


 


 


ฮึ….ได้ดั่งใจนางนัก 


 


 


ทันทีที่นางถือลูกแก้ววิญญาณเพลิงเอาไว้ในฝ่ามือ สีหน้าของท่านเจ้าสำนักก็ซีดขาวราวหิมะลงไปอีกขั้นหนึ่ง 


 


 


ถึงแม้ว่าความซีดขาวนั้นจะปรากฏขึ้นมาเพียงเบาบางแวบเดียว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้ 


 


 


“เจ้ากลัวหนาวหรือ?” นางถามออกไป 


 


 


ท่านเจ้าสำนักมิได้ตอบ เพียงแต่เดินนำเข้าไปก่อน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบติดตามเข้าไป พลางคว้ามือของเขาเอาไว้ ส่งลูกแก้ววิญญาณเพลิงลูกนั้นกลับคืนไปบนฝ่ามือของเขา 


 


 


“คนที่ข้ารักก็กลัวหนาว หากว่าท่านคือเขา ข้าย่อมทนเห็นท่านทรมานเพราะความหนาวไม่ได้แม้แต่น้อย” 

 

 

 


ตอนที่ 567 พี่ชาย.....ท่านจะบุ่มบ่ามเ...

 

ในร่างของเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูคล้ายคลึงกับจีเฉวียน มากเสียจนหลายต่อหลายครั้งทำให้นางเข้าใจผิดไป คิดว่าเขาก็คือจีเฉวียน 


 


 


แต่เขาก็คล้ายคลึงกับอาจารย์ด้วย…. 


 


 


จะคล้ายอย่างไรนั้น นางไม่คิดจะพูดอีกแล้ว 


 


 


ได้แต่คว้ามือของเขาเอาไว้แน่ แล้วยัดเยียดลูกแก้ววิญญาณเพลิงนั้นกลับคืนลงไปบนฝ่ามือของเขาให้ได้ 


 


 


ท่านเจ้าสำนักผลักไสไม่เป็นผลสำเร็จ จึงมิได้ผลักไสอีกต่อไป เขาพลิกฝ่ามือไปกุมมือที่บอบบางของนางเอาไว้ ทั้งสองคนจึงกุมลูกแก้ววิญญาณเพลิงลูกเดียวกันเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปด้วยกัน  


 


 


ยิ่งเดินลึกเข้าไป ความมืดก็ยิ่งทึมทึบขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


ภายในเป็นห้องที่กว้างขวาง แต่กลับไม่มีเงาของคนอยู่แม้แต่คนเดียว 


 


 


ดูท่าคำเชื้อเชิญของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะมิได้มีจุดประสงค์ดีอย่างแน่นอน 


 


 


ทั้งสองเดินเข้าไปข้างในอีกครู่หนึ่ง กลิ่นอายความตายภายในห้องก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมา กระทั่งถึงสุดทาง รอบข้างมีแค่เพียงเทียนเล่มเดียว 


 


 


ประกายไฟสีฟ้า ที่ส่องสว่างอยู่บนเทียนสีขาว ดูเหมือนจิตวิญญาณตนหนึ่ง 


 


 


ตรงจุดที่มีแสงสว่างเข้มข้นมากที่สุดนั้น เป็นพื้นยกสูง บนพื้นยกสูงมีบัลลังก์ที่สร้างขึ้นจากทองคำดำอยู่ตัวหนึ่ง บนบัลลังก์นั้นมีเงาร่างที่อยู่ในหมอกสีดำของคนผู้หนึ่งอยู่ 


 


 


เส้นผมของเขาพลิ้วอยู่ในหมอกสีดำ ที่รายล้อมรอบกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา มีข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ มือข้างนั้นยังสวมถุงมือสีดำเอาไว้ 


 


 


มือข้างนั้นวางอยู่บนบัลลังก์ คนก็พิงร่างกับพนักด้านหลัง มองแล้วเหมือนจอมปีศาจที่อาศัยอยู่ในถ้ำลึกลับมากว่าพันปี 


 


 


ถึงแม้ว่าท่านเจ้าสำนักจะชอบสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง ยามลงมือแต่ละครั้งก็เกิดหมอกสีดำพวยพุ่งออกมา แต่ว่าบรรยากาศรอบกายของสองคนนี้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 


 


 


“เจ้าสำนักหยินหยาง….ยากนักที่ท่านจะมาได้” ผ่านไปอีกพักใหญ่ คนที่อยู่บนบัลลังก์ถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา 


 


 


น้ำเสียงของเขาแห้งผาด ซุ่มเสียงจึงไม่น่าฟังเท่าไรนัก เหมือนกับลำคอที่ถูกไฟแผดเผามาก่อน 


 


 


แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังฟังดูเย็นชาจนกีดกันน้ำใจไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ 


 


 


เหล่าคนที่ตู๋กูซิงหลันได้พบพานมาบนดินแดนจิ่วโจวนี้ เมื่อได้พบกับอาจารย์ต้าฉุยก็ล้วนแล้วให้ความเคารพด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ต้าซือมิ่งกับเจ้าแคว้นทองที่มาก่อกวน ก็ยังทำเป็นฮึกเหิมไปอย่างนั้น จากนั้นก็โกยเท้าวิ่งหนีไป 


 


 


แต่ว่าคนผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน เขามิได้เห็นท่านเจ้าสำนักอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ตัวเขาเองก็สะท้อนบรรยากาศที่เข้มแข็งอย่างยิ่งออกมา 


 


 


นับตั้งแต่ที่พวกนางเข้ามาข้างใน เขาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์อันสู่งส่งทอดตาลงมามองดูพวกนาง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ลากลูกศิษย์ตัวน้อยของตนเองเดินไปยังเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่สนใจ แล้วนั่งลง 


 


 


ยามนี้ ท่านเจ้าสำนักมิได้แม้แต่จะเหลือบตามองดูเขาเลยสักนิดด้วยซ้ำ ฝ่ามือที่ใหญ่โตนั้นเกาะกุมลูกศิษย์ของตนเองเอาไว้อย่างแม่นมั่น ราวกับเกรงว่านางจะวิ่งหนีไป 


 


 


จากนั้นจึงค่อยเอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ เพื่อเอาชีวิตของเจ้า” 


 


 


ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ “…..” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” 


 


 


อย่าอย่างนี้สิพี่ชาย…..ท่านจะบุ่มบ่ามเกินไปไหม? 


 


 


นี่ไม่คิดจะวางแผนอะไรทั้งสิ้น เปิดฉากมาก็ฟัดกันเลยหรือ? 


 


 


ที่นี่จะอย่างไรก็ยังเป็นพื้นที่ของผู้อื่น แค่เข้ามาด้านในก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติธรรมดาแล้ว อีกประเดี๋ยวพวกนางอาจจะถูกเล่นงานจนตัวเย็นเป็นศพไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ได้นะ 


 


 


ท่านเปิดปากมาก็จะทวงชีวิตผู้อื่นเลย? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันออกจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง 


 


 


แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระออกไป รออีกสักครู่หากจะตีกันขึ้นมาจริงๆ ก็คงได้แต่หัวร้างข้างแตกกันไปฝ่ายหนึ่งเท่านั้น มิเช่นนั้นจะทำอย่างไรได้ เพราะอย่างไรก็คงไม่อาจทิ้งเขาเอาไว้เพียงลำพังแล้วหนีไปเพียงผู้เดียวได้กระมัง? 


 


 


อีกประเดี๋ยวจะลงมืออย่างไรดีนางก็คิดเอาไว้หมดแล้ว 


 


 


พลังทมิฬที่อยู่ภายในร่างกายใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว 


 


 


ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นิ่งตะลึงไปพักใหญ่ ค่อยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา หมอกดำที่ด้านหลังหนาทึบ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปบนร่างของท่านเจ้าสำนัก “ตอนที่อยู่ในสุดยอดการประลอง เจ้าคิดว่าข้าผู้เป็นประมุขพ่ายแพ้ให้กับเจ้าจริงๆน่ะหรือ?” 


 


 


ทันทีที่เขาพูดจบ ฝ่ามือก็ไหววูบครั้งหนึ่ง กลางฝ่ามือปรากฏหมอกสีดำหนาแน่น มันขดตัวอยู่บนฝ่ามือของเขาคล้ายดั่งเป็นอสรพิษสีดำฝูงหนึ่ง 


 


 


“ในการแข่งขันสุดยอดการประลอง ที่ต่อสู้กับเจ้าเป็นเพียงร่างแบ่งภาคของข้าเท่านั้น เป็นพลังที่ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลยเสียด้วยซ้ำ” 


 


 


ขณะที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ สายตากลับมองไปที่ตู๋กูซิงหลันมากกว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทั่วดินแดนจิ่วโจวมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าเพื่อศิษย์คนใหม่ที่พึ่งรับตัวไว้ เจ้าสำนักหยินหยางถึงกับลบล้างวังตันติ่งกงทิ้งไป 


 


 


เดินทีเขาก็ยังสงสัยว่าเป็นศิษย์เช่นไร วันนี้เมื่อได้เห็น ก็ต้องตกตะลึงไปบ้างเช่นกัน 


 


 


ดวงตาดอกท้อคู่นั้น……. 


 


 


เพียงแค่ว่าบนร่างของเขามีหมอกสีดำครอบคลุมโดยรอบ ผู้อื่นจึงไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของเขาได้อย่างชัดเจน ยิ่งมองไม่เห็นว่าเขากำลังว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “เจ้าช่างพูดมาก” 


 


 


“ที่ข้าผู้เป็นประมุขเชิญเจ้ามาในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อประมือกับเจ้า” ท่านประมุขที่อยู่ด้านบนมิได้มีท่าทางขุ่นเคือง 


 


 


เขาสำรวจดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันไปสำรวจดูท่านเจ้าสำนัก 


 


 


โดยเฉพาะแววตาที่มองมาที่เขานั่น 


 


 


เขาสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว ว่าเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ใช่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับโอรสสวรรค์แคว้นต้าโจวจีเฉวียนหรือไม่ 


 


 


คำถามนี้ แม้จะผ่านมานานถึงครึ่งปีแล้ว เขาก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนออกมา 


 


 


แคว้นต้าโจวกับเขามีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดิน ความทุกข์ทรมานที่เขาได้ประสบมาตลอดหลายปีนี้ เดิมทีต้องทวงคืนกับตระกูลจีให้หมด 


 


 


แต่เพราะดินแดนทั้งสองห่างไกลกันนับพันลี้ เขาที่ถูกกักขังควบคุมพลังเอาไว้ ย่อมไม่อาจไปยังดินแดนโบราณด้วยตนเอง ได้แต่ส่งตัวหมากต่างๆไป 


 


 


แต่ว่าตัวหมากเหล่านั้นช่างไม่มีคุณค่าใดๆเอาเสียเลย ทั้งหมดล้วนถูกจีเฉวียนเล่นงานอย่างง่ายดาย 


 


 


ยังดีที่ในท้ายที่สุด…..จีเฉวียนก็ได้ตายอยู่ที่ใต้ก้นทะเลลึก 


 


 


แต่ว่านั่นย่อมห่างไกลจากความต้องการของเขามากนัก มันไม่เพียงพอ…..สิ่งที่เขาปรารถนาคือการทำลายล้างให้แคว้นต้าโจวล่มสลาย สังหารราชวงศ์จีให้สิ้นสูญ ตอนนี้ในเมื่อมีเพียงแต่จีเฉวียนที่ตายไปเพียงผู้เดียว ย่อมไม่อาจชำระล้างความเคียดแค้นในหัวใจของเขาลงไปได้ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ….ตอนนี้ก็ยังมีบุรุษที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกับจีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นมา 


 


 


แต่ว่ามิว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจสืบเรื่องของคนผู้นี้ออกมาได้ 


 


 


แม้กระทั่งว่าตกลงแล้วคนผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ก็ยังไม่สามารถสืบออกมาได้ชัดเจน เหมือนกับว่าเขาผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นอยู่ๆก็กลายเป็นประมุขของแดนจิ่วโจว 


 


 


แต่มิว่าจะใช่หรือไม่ ขอเพียงมีส่วนเกี่ยวข้องกับจีเฉวียนแม้เพียงเล็กน้อยก็สมควรตายอยู่ดี 


 


 


อสรพิษที่เกิดขึ้นจากหมอกสีดำของเขาเคลื่อนไหวอยู่บนฝ่ามืออย่างไม่ยอมสงบนิ่ง ท่ามกลางแสงสว่างที่อ่อนจาง อสรพิษจากหมอกสีดำนั้นแทบจะกลมกลืนไปกับความมืด แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังแทบจะมองไม่เห็น และท่ามกลางหมู่อสรพิษสีดำเหล่านั้น ยังมีเหล็กแหลมสีดำทะมึนอยู่เล่มหนึ่ง 


 


 


“หากคิดจะฆ่าข้า เกรงว่าเจ้าสำนักอย่างเจ้ายังไม่มีความสามารถพอ แต่หากเจ้าตำหนักอย่างข้าจะปลิดชีวิตเจ้า กลับง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ” 


 


 


ขณะที่เขาพูดอยู่ ก็พลิกฝ่ามือออกไปเงียบๆ ทันใดนั้นเหล่าอสรพิษสีดำบนฝ่ามือก็พุ่งเข้าหาพวกนาง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักไม่เปลี่ยนสีหน้า มือของเขากุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น แขนเสื้ออีกข้างโบกขึ้นมาวูบหนึ่ง บนร่างก็ปรากฏหมอกสีดำหนาแน่นสายหนึ่ง หมอกนั้นพุ่งเข้าไปปะทะกับเหล่าอสรพิษสีดำ 


 


 


ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องหับก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา  


 


 


แต่เขากลับยืนอย่างมั่นคงโดยมิยอมขยับ ขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ก็วาดขึ้น หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งโอบล้อมศิษย์น้อยเอาไว้ดุจกำแพงเวทย์ชั้นหนึ่ง 


 


 


และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็เห็นว่าที่ด้านหลังของอสรพิษเหล่านั้น มีเหล็กแหลมสีดำแท่งหนึ่งบินออกมาจากด้านหลังอย่างกระชั้นชิด 


 


 


เหล็กแหลมนั่นสะท้อนแสงที่เย็นยะเยือกออกมา ราวกับลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไป 


 


 


ท่านเจ้าสำนักนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ขยับร่างสักนิด เพียงแต่พอขยับนิ้วเบื้องหน้าของเขาปรากฏพิณโบราณตัวหนึ่งขึ้นมา มือข้างหนึ่งคว้าตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มืออีกข้างดีดพิณเสียงหนึ่งออกไป 


 


 


พอเสียงพิณสะท้อนออกไป พริบตาเดียวก็ทำลายเหล็กแหลมนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 


 


 


แต่ว่าเศษเสี้ยวของเหล็กแหลมนั่น ก็ยังมีชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งที่สะกิดผ่านใบหน้าของเขาออกไป 

 

 

 


ตอนที่ 568 ข้าคือคนที่ตายไปครั้งหนึ่ง...

 

นั่นเป็นเพียงแผลเล็กๆบางๆ บาดแผลราวกับเส้นผมเท่านั้น 


 


 


แต่ก็ทำให้เขากลายเป็นแผลไปจริงๆ 


 


 


ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ผู้นั้นลุกขึ้นยืน เขาขยับมือวูบหนึ่ง เศษเสี้ยวชิ้นส่วนของเหล็กแหลมที่ถูกเสียงพิณโบราณทำลายไปก็ลอยกลับไปอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง 


 


 


และพริบตาเดียวชิ้นส่วนเหล่านั้นบนฝ่ามือของเขารวมตัวเป็นเหล็กแหลมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 


 


 


เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เหล็กแหลมที่เคยเป็นสีดำสนิทชิ้นนั้น ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา 


 


 


สีแดงนั่นสะท้อนออกมาจากเนื้อในของเหล็กแหลม 


 


 


พอเห็นเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป หมอกดำบนร่างกำจายออกมาเต็มไปหมด มือข้างหนึ่งกำเหล็กแหลมแท่งนั้นเอาไว้ น้ำเสียงที่เดิมก็สากจนแหบพร่ายิ่งไม่น่าฟังกว่าเดิม 


 


 


“เป็นเจ้า….จริงๆด้วย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” 


 


 


ฉุยซือ……คือใครกัน? 


 


 


เป็นคนที่เขารู้จักหรือ….. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่เขลา นางรู้ดีว่า เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นี้มีความแค้นลึกล้ำกับราชวงศ์จีของแคว้นต้าโจว ถึงได้คอยส่งตัวหมากไปก่อกวนและทำลายล้างรอบแล้วรอบเล่า….. 


 


 


ที่เขาใช้เหล็กแหลมแท่งนั้น ก็เพียงเพื่อจะตรวจสอบอะไร ตรวจสอบฐานะของฉุยซือ? 


 


 


นางทำท่าจะลุกขึ้นมา แต่ก็ถูกท่านเจ้าสำนักกดร่างลงไป 


 


 


“เด็กดี อย่าได้เคลื่อนไหววุ่นวาย” 


 


 


ยากนักที่น้ำเสียงของเขาจะสื่ออารมณ์ออกมา….อบอุ่นอ่อนโยน 


 


 


บนใบหน้าของเขา ยังมีหยดเลือดหยดเล็กๆ พิณในมือมิได้หยุดนิ่ง เขาลุกขึ้นมา ยืนเอาตัวบังศิษย์น้อยเอาไว้ที่ด้านหลัง 


 


 


พอปลายนิ้วดีดออกไป เสียงพิณเป็นชุดๆก็ถูกส่งออกไปพร้อมกับไอสังหารอันรุนแรง ไอความตายและการเข่นฆ่าเข้มข้น ราวกับว่ามีมัจจุราชจำนวนมากมายกำเนิดจากเสียงพิณของเขา โบกสะบัดเคียวด้ามยาวพุ่งเข้าหาคนบนบัลลังก์ 


 


 


อีกฝ่ายก็มิได้อ่อนแอ เห็นเขาโบกมืออย่างรวดเร็ว ริมฝีปากเอ่ยคาถากำกับ กลางกระหม่อมของเขาก็มีลูกแก้วสีดำลูกหนึ่งผุดขึ้นมา 


 


 


และทันทีที่เขาโบกมืออีกครั้ง ลูกแก้วสีดำลูกนั้นก็พุ่งออกไป 


 


 


ทันใดนั้นแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากลูกแก้วสีดำลูกนั้น 


 


 


ทั้งโต๊ะ เก้าอี้และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวพวกเขาส่งเสียงแตกหักดังลั่น จากนั้นก็ถูกดึงดูดเข้าสู่ภายในลูกแก้วสีดำ 


 


 


ท่านเจ้าสำนักกำบังอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน เสื้อผ้าของเขาถูกลมดูดจนพลิ้วออกไป เสียงสายลมกรีดผ่านข้างใบหูของนาง 


 


 


ทุกสิ่งภายในห้องถูกลมกระชากจนพลิกคว่ำ ทุกที่ที่สายลมไปถึงล้วนไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก 


 


 


แม้แต่แสงสว่างรอบด้านก็ยังถูกความมืดในลูกแก้วลูกนั้นดูดเข้าไป 


 


 


แสงสว่าง…..ถูกฉีกสะบั้นและดึงดูดเข้าไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคาดเดาว่าสิ่งที่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเขวี้ยงออกมานี้คงจะเป็นหลุมดำกระมั้ง 


 


 


ใช่แล้ว…..เพราะแม้แต่เสียงพิณของอาจารย์ต้าฉุยก็ยังถูกลูกแก้วสีดำนี้ดูดกลืนเข้าไปด้วย 


 


 


ทั่วทั้งห้องหับมีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ที่เดิมราวตะปูตอกลงบนพื้น เขาหันหลังให้ตู๋กูซิงหลัน นางจึงไม่อาจมองเห็นแววตาของเขาได้ 


 


 


เขาระเบิดพลังวิญญาณภายในร่างออกมา สร้างเป็นอาณาเขตปกป้องที่ข้างกาย พร้อมกับผลักแรงดึงดูดของลูกแก้วสีดำนั่นออกไป 


 


 


มืออีกข้างหนึ่งถึงได้ค่อยคลายออกจากศิษย์น้อย 


 


 


ทันทีที่เขาปล่อยมือ ก็ไม่รู้ว่าเขาไปหยิบเอากระถางติ่งสามขาใบหนึ่งมาจากที่ใด พอกระถางติ่งใบน้อยขนาดฝ่ามือถูกเขาเขวี้ยงขึ้นไปในอากาศ ก็ขยายออกกลางเป็นกระถางที่ทั้งสูงและใหญ่ขนาดสองเมตร เสียงตึงดังขึ้นมา มันก็ครอบตัวตู๋กูซิงหลันจากศีรษะลงไปถึงปลายเท้า ปกป้องนางเอาไว้ด้านในอย่างมิดชิด 


 


 


กระถางติ่งนั่นสกัดกั้นแรงดึงดูดทั้งหมดไว้ และยังปิดกั้นการมองเห็นของนางอีกด้วย 


 


 


นี่เป็นอาวุธที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง ตู๋กูซิงหลันซัดฝ่ามือใส่มันครั้งหนึ่งก็ไม่มีวี่แววว่าจะสะเทือน 


 


 


……….. 


 


 


ที่ด้านนอกกระถางติ่ง ท่านเจ้าสำนักเก็บพิณโบราณไปแล้ว และเพราะพลังดึงดูดที่รุนแรงของลูกแก้ว แถบผ้าผูกผมของเขาจึงคลายหลวมออก และถูกดูดเข้าไปอย่างไร้ปรานี 


 


 


เสื้อผ้าถูกดูดกระชากจนขาดวิ่น แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาขยับร่างวูบหนึ่งก็พุ่งทะยานอ้อมผ่านลูกแก้วสีดำไปถึงเบื้องหน้าเจ้าซิวหลัวเตี้ยนในวูบเดียว 


 


 


ฝ่ามือใหญ่กำเป็นหมัด ต่อยใส่ใบหน้าของเขาอย่างตรงๆ 


 


 


เจ้าซิวหลัวเตี้ยนขยับตัววูบหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลบหมัดนั้นได้อย่างทันท่วงที 


 


 


หมอกสีดำที่ด้านหลังของเขาหมุนวน แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย 


 


 


เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่ของวิเศษเช่นลูกแก้วโลกาวินาศนี้ก็ยังหลบได้ 


 


 


ลูกแก้วสีดำลูกนี้ เป็นของวิเศษที่สืบทอดกับมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ในลูกแก้วสีดำ คือโลกมืดที่สับสนวุ่นวายใบหนึ่ง ของเพียงถูกดึงดูดเข้าไป ก็จะต้องถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่วิญญาณก็ไม่มีหลงเหลือ! 


 


 


นับแต่นั้นก็ต้องถูกกักขังอยู่ในโลกาวินาศที่มืดมิดใบนี้ตลอดไป 


 


 


ลูกแก้วโลกาวินาศของเขาใบนี้ ไม่รู้ว่าดึงดูดผู้คนเข้าไปมากน้อยเพียงไรแล้ว …..แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครรอดพ้นจากมันมาก่อน 


 


 


แต่ว่าคนผู้นี้…… 


 


 


หมัดแรกของท่านเจ้าสำนักพลาดไป เขาก็ต่อยหมัดที่สองออกมาติดๆกัน 


 


 


พลังที่แข็งแกร่งและรุนแรงผนวกเข้ามาพร้อมกับหมัด 


 


 


หอชมจันทราของเขา สร้างขึ้นจากไม้วัชระทั้งหลัง ยังแข็งแกร่งกว่าก้อนหินมากมายหลายเท่านัก แต่กลับถูกกำปั้นของเขาต่อยใส่จนหักกระเด็นออกมา? 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถึงกับขมวดคิ้ว 


 


 


เขาถอยหลังไปสองก้าว ริมฝีปากท่องคาถาไม่หยุด คิดจะเรียกลูกแก้วลูกนั้นกลับมา 


 


 


แต่ว่าท่านเจ้าสำนักย่อมไม่เปิดโอกาสให้กับเขา หมัดที่ต่อยออกไปแจกจ่ายราวกับให้เปล่า ทุกหมัดที่เหวี่ยงออกมาล้วนหนักหน่วง 


 


 


หมัดที่รัวออกมาเป็นชุดบีบให้เขาต้องล่าถอยอย่างไร้หนทาง 


 


 


ในใต้หล้านี้ไม่ว่าศาตราวุธที่แข็งแกร่ง พลังวิญญาณ หรือเทพอาวุธใดๆย่อมมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด….ย่อมเป็นตบะที่เกิดจากการฝึกฝนด้วยตนเอง 


 


 


เมื่อฝึกฝนจนแข็งแกร่ง เพียงแค่ไม่กี่หมัด ก็สามารถกระแทกภูเขาให้พังทะลายได้ 


 


 


เช่นเดียวกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้…. 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหยิบเอาอาวุธชิ้นใหม่ออกมา เขาได้แต่ต้องรับหมัดและโต้กลับด้วยมือเปล่า 


 


 


แต่ว่าร่างเนื้อของเขาไม่อาจต้านทานท่านเจ้าสำนักได้ 


 


 


พอต่อยเข้าไปหลายๆครั้งเข้า ในที่สุดหมัดของเขาก็ต่อยลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่าย 


 


 


หมัดนี้ต่อยลงมา เกรงว่าแม้แต่ภูเขาน้อยๆก็ยังต้องถล่มลงไป 


 


 


เสียงกระดูกแตกลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’……ออกมาอย่างชัดเจน  


 


 


ยามนี้แม้แต่หมอกสีดำบนร่างของเขาก็ยังถูกหมัดนั้นกระแทกใส่จนสลายตัวออกไป 


 


 


ใต้หมอกสีดำ คือใบหน้าที่มิได้สมบูรณ์ใบหน้าหนึ่ง 


 


 


ใบหน้าที่เหมือนกับถูกไฟแผดเผาจนผิวหนังหลุดลอกออกมา ดวงตาก็ไหม้เกรียมจนเหลือแต่ลูกนัยตา แม้แต่เส้นผมก็ถูกเผาจนหมดสิ้น 


 


 


บุรุษผู้นี้ดูแล้วยังน่าหวาดกลัวกว่าภูตผีเสียอีก 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น บนลำคอของเขายังมีรอยบาดที่ชัดเจน บาดแผลนั้นมีเส้นลวดสีเงินเย็บตรึงบาดแผลเอาไว้….. 


 


 


เป็นคนผู้หนึ่ง….แต่ก็มิใช่มนุษย์ 


 


 


ร่างกายของเขา เมื่อเข้าไปใกล้ก็สามารถได้กลิ่นเหม็นชนิดหนึ่งลอยออกมาจางๆ….กลิ่นศพ 


 


 


ถึงแม้ว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ แต่ท่านเจ้าสำนักก็มิได้เปลี่ยนสีหน้า…. ดวงตาหงส์คู่นั้นไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวาดกลัวให้เห็น 


 


 


ราวกับว่า เขารู้ถึงสภาพร่างกายของอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


เขายังคงยกหมัดขึ้นมา เอ่ยอย่างเย็นชาไร้อารมณ์ใดๆว่า 


 


 


“ข้าบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าวันนี้จะมาเอาชีวิตของเจ้า” 


 


 


เมื่อถูกคนเปิดเผยรูปโฉม เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็โกรธเกรี้ยวอย่างหนัก ใบหน้าที่เดิมก็อัปลักษณ์อย่างที่สุดนี้ พอเกิดความเกรี้ยวกราดก็ยิ่งดูย่ำแย่ไปกว่าเดิม 


 


 


“ข้าคือคนที่ตายไปแต่แรกครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะต้องเกรงกลัวเจ้าอีกหรือ…..จีเฉวียน เจ้ามันสมควรตายไปตั้งนานแล้วเช่นกัน” 


 


 


จีเฉวียนสองคำนั้น ทำให้หมัดที่ยกขึ้นมาของท่านเจ้าสำนักชะงักไปในอากาศวูบหนึ่ง 


 


 


ยามปกติก็มักจะได้ยินศิษย์ตัวน้อยเอ่ยถึงชื่อนี้อยู่บ่อยๆ เขาได้ยินบ่อยเสียจนใบหูจะเข้าดักแด้แล้ว 


 


 


วันนี้กลับเป็นผู้อื่นเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาให้ได้ยินอีก จีเฉวียน 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)