ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 566-568
ตอนที่ 566 คนที่ข้ารักก็กลัวความหนาว
ถึงแม้ว่าทั่วทั้งร่างของเขาจะปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ จนมองไม่เห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไรกันแน่
แต่เพียงแค่เขาปรากฏตัวออกมา บรรยากาศที่เย็นยะเยือกเสมือนดั่งจอมปีศาจจากหุบเขาที่มืดมิดก็ครอบคลุมไปกว่าครึ่งของเมืองว่านฮวาเฉิงแล้ว
ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน คือขุมกำลังที่ลึกลับที่สุดในดินแดนจิ่วโจว
ก่อนที่เจ้าสำนักหยินหยางจะปรากฏตัวขึ้นมา ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคือการดำรงอยู่ของสถานที่ที่น่าหวาดกลัวที่สุดแล้ว
ศิษย์ในสำนักของพวกเขาแต่ละคนล้วนมีฝีมือสูงส่ง ในหมู่คนเหล่านั้นมีมือสังหารอยู่ไม่น้อย
หากจะบอกว่ายาตันกว่าครึ่งหนึ่งมีที่มาจากวังตันติ่งกง ถ้าเช่นนั้นมือสังหารกว่าครึ่งของดินแดนจิ่วโจวก็มาจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
นอกจากมือสังหารแล้ว ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังขึ้นชื่อในเรื่องแผนการชั่วช้า…..ใช่แล้ว ทั้งยุแหย่และก่อกวนด้วยวิธีสกปรก……จนทำให้ทั้งห้าแคว้นใหญ่และขุมอำนาจต่างๆไม่อาจอยู่อย่างสงบ
หากเป็นเพียงเท่านั้นก็ยังถือว่าแล้วไป ประเด็นสำคัญคือเหล่าคนที่มาจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยนล้วนมีพลังฝึกปรือสูงล้ำ ไม่ใช่ผู้ที่ใครก็สามารถจะกล้าผิดใจล่วงเกินได้ง่ายๆ
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เป็นผู้แข็งแกร่งถึงระดับพิศดาร ได้ยินมาว่าแค่เพียงเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ทุกที่ที่เขาย่างกรายผ่านไปล้วนกลายเป็นลำธารเลือด แม้แต่ต้นหญ้าก็ไม่อาจงอกเงย
ผู้คนในดินแดนจิ่วโจวแทบจะยกย่องเขาให้เป็นผู้นำของดินแดนจิ่วโจวมาโดยตลอด
ดังนั้นในสุดยอดการประลองครั้งก่อน จึงไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลยว่า ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะพ่ายแพ้
ทั้งยังพ่ายแพ้ให้แก่บุรุษโฉมงามที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม
ก่อนหน้านี้ คนมากมายต่างก็คาดเดากันไปว่า งานเทศกาลหมื่นบุผชาติในครั้งนี้ เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอาจจะไม่ยอมมาปรากฏตัว เพราะเขาเสียหน้าไปในสุดยอดการประลองอยู่ไม่น้อยมิใช่หรือ?
แต่ใครจะไปคิดว่า เขาไม่เพียงแต่ปรากฏตัวแล้ว แถมยังทำตนโดดเด่นถึงเพียงนี้
เกาะลอยได้แต่ละเกาะในเมืองว่านฮวาเฉิง ล้วนแล้วแต่มีเจ้าของครอบครอง และเกาะลอยที่กว้างใหญ่และงดงามที่สุดย่อมเป็นของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
ขณะที่ผู้คนยังมัวแต่เหม่อลอยอยู่นั้น เงาดำสายหนึ่งก็ลอยขึ้นไป
คล้ายกับว่าจะเหาะออกมาจากทิศที่ตั้งของห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งบนชั้นบนสุดของเหลาจุ้ยเซียนจูอีกด้วย
“เห็นชัดแล้วหรือไม่ ว่าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นคือผู้ใด”
“ขนาดอย่างเจ้ายังไม่อาจมองเห็น แล้วข้าจะเห็นชัดได้อย่างไร?”
“……”
“อย่าไปสนใจเจ้านั่นเลย จะอย่างไรเสียท่านผู้นั้นจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่ง อย่างแน่นอนมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นจะได้รับการต้อนรับจากห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งได้อย่างไร?”
………….
ตู๋กูซิงหลันติดตามท่านเจ้าสำนักหยินหยางขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า
เกาะแห่งนี้อยู่สูงกว่าพื้นดินถึงพันเมตร ยิ่งเหาะสูงขึ้นไป ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าอากาศด้านบนบริสุทธิ์สะอาด รอบด้านมีแต่ไอทิพย์เข้มข้นแวดล้อมอยู่ทุกด้าน ทุกลมหายใจที่สูดไอทิพย์เหล่านี้เข้าไปทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นเซียนอยู่แล้ว
เมื่อขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า ถึงได้พบว่าทั่วทั้งเกาะล้วนแต่เป็นสีแดง
ในดวงตาของนางเห็นแต่สีแดงของกลีบดอกไห่ถางที่ปลิวคว้างอยู่กลางสายลม สีแดงเพลิงราวอาทิตย์อัสดง จนแม้กระทั่งสายหมอกที่ไหลผ่านต้นไห่ถางก็ยังถูกย้อมเป็นสีแดงไปด้วยเช่นกัน ทัศนียภาพที่ปรากฏแก่สายตาจึงดูราวกับความฝันอย่างไรอย่างนั้น
ท่ามกลางป่าดอกไห่ถาง มีต้นไห่ถางที่แสนจะงดงามเช่นเดียวกับต้นไม้มังกรของบิดาคนงามอยู่ต้นหนึ่ง
เพียงแค่กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้ ก็ครอบคลุมพื้นที่ไปแทบจะครึ่งหนึ่งของเกาะลอยแล้ว ดอกไม้บนต้นบานสะพรั่ง ไม่เพียงแค่นั้นดอกไห่ถางทุกดอกยังมีละลองสีทองจางๆเคลือบอยู่บนดอกไม้ชั้นหนึ่ง
บนลำต้นของต้นไห่ถางต้นนี้ มีอาคารไม้ที่สร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์และวิจิตรบรรจงหลังหนึ่ง
ชั้นที่ใหญ่ที่สุดของอาคารไม้หลังนี้จัดสร้างอยู่บนกิ่งก้านที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งที่สุดของลำต้น หากมองดูแต่ไกล ก็ราวกับตำหนักเล็กๆหลังหนึ่ง
เมื่อได้เห็นภาพสถานที่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลีบดอกไห่ถางที่ล่องลอยอยู่ในสายลม ตู๋กูซิงหลันก็ใจลอยไปในทันที นี่ทำให้นางคิดไปถึงตำหนักเฟิ่งหมิงกงในแคว้นต้าโจว และยิ่งดูคล้ายกับจวนจวิ้นอ๋องในเมืองกู่เย่ว
สีแดงที่เจิดจ้าจนบาดตา แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความโศกเศร้าจนบีบคั้นหัวใจของผู้คนออกมา
ราวกับว่าดอกไม้เหล่านี้เกิดมาจากเลือดและเนื้อของเจียงเย่วอย่างไรอย่างนั้น
ท่านเจ้าสำนักเห็นนางตกตะลึงจนใจลอยอยู่กับที่ ก็หันกลับมามองดูนาง ในดวงตาของศิษย์มีหยาดน้ำตาอยู่เล็กน้อย นางเห็นสิ่งใดเข้า จึงได้ทุกข์ใจถึงเพียงนี้?
“กลีบดอกไม้เคืองตาหรือ?”
เขาถามออกไป
หากว่ามันทำให้นางเคืองตา ถ้าเช่นนั้นก็เผาทิ้งให้หมด
เขาไม่ชอบให้ในแววตาของนางมีความหม่นหมอง
เขาชอบเห็นนางยิ้ม เห็นแววตานางมีประกาย ให้ในใจนางเบิกบาน
“แค่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาบางเรื่องเท่านั้น….ไม่เป็นอะไร” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกโศกเศร้าที่อธิบายไม่ถูกนั้นลงไป
พอนางพูดจบ ก็เห็นนกกระเรียนเซียนสองตัวบินลงมา กระเรียนเซียนทั้งสองส่งเสียงร้องคราหนึ่งก็ร่อนลงตรงหน้าพวกนาง
จากนั้นเป็นแปลงกายเป็นเด็กหนุ่มสองคน
“ท่านประมุขรอท่านเจ้าสำนักอยู่ที่หอชมจันทราแล้ว”
ทั้งสองคนคำนับพวกนางด้วยความอ่อนน้อม จากนั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เอ่ยอย่างสงบเสงี่ยมว่า “ขอท่านเจ้าสำนักติดตามพวกเรา” พูดจบแล้วหนุ่มน้อยในชุดสีขาวทั้งสองก็แปลงร่างกลับไปเป็นกระเรียน ส่งเสียงอีกครั้งก่อนโผบินขึ้นไป
เพียงแต่บินด้วยระดับความเร็วที่ไม่มากนัก
ท่านเจ้าสำนักมิได้ถามอะไรมากความ มือกระชับเอวบางของศิษย์น้อย สะกิดปลายเท้าครั้งหนึ่ง ก็เหาะติดตามไป
หอชมจันทรา ตั้งอยู่บนลำต้นของต้นไห่ถาง เป็นอาคารไม้ที่วิจิตรงดงามเสมือนวังแห่งหนึ่ง
กระเรียนเซียนนำพวกนางมาถึงที่นี่ ก็แปลงเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง ต่างยืนอยู่ด้านข้างประตูบานใหญ่คนละด้าน เปิดบานประตูไม้ขนาดใหญ่ออก
กริยาของทั้งสองแสดงท่าทางเชื้อเชิญที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้าง แต่ด้านในกลับปราศจากแสงสว่าง ดูราวกับว่าเป็นถ้ำที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
ทั้งยังดูคล้ายปากของสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกลืนกินผู้คนลงไป
แม้ว่าที่ข้างกายของท่านเจ้าสำนักจะเพิ่มตู๋กูซิงหลันมาอีกหนึ่งคน กระเรียนเซียนหนุ่มน้อยทั้งสองก็มิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ
ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ส่วนตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่หรี่ดวงตาดอกท้อครู่นั้นลงเล็กน้อย
ตลอดทั้งปีอากาศของเมืองว่านฮวาเฉิงทั้งสี่ฤดูกาลล้วนอบอุ่นเสมือนฤดูใบไม้ผลิอยู่ตลอดเวลา เกาะลอยฟ้าแห่งนี้เดิมทีก็มีอากาศอบอุ่นสบาย แต่ว่าหอแห่งนี้ กลับมีไอเย็นเสียดกระดูกราวน้ำแข็งพันปี
อากาศนอกหอแสนอบอุ่นราวฤดูใบไม่ผลิ แต่อากาศจากภายในหอหนาวยะเยือกราวฤดูหนาว
แค่ย่างเท้าเข้าไปด้านในเพียงก้าวเดียว ความเย็นราวแผ่นน้ำแข็งก็แผ่ซ่านขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า เกาะกุมผู้คนจนแทบแข็งค้าง
ท่านเจ้าสำนักพึ่งจะเดินเข้าไปก็หยุดเท้าลง
เขาหยิบเอาลูกแก้วกลมสีแดงเพลิงขนาดเท่าลูกปิงปองออกมา ส่งให้กับศิษย์น้อยของตนเอง
ทันทีที่ลูกแก้วสัมผัสกับผิวก็กำจายความอบอุ่นออกมา ความอบอุ่นนี้แผ่ซ่านจากผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย กำจัดความเหน็บหนาวที่เกาะกุ่มอยู่ภายนอกจนหมดสิ้นไป
“ลูกแก้ววิญญาณเพลิง เป็นของที่เจ้าแคว้นทองทำหล่นเอาไว้โดยไม่ทันระวัง” ยากนักที่ท่านเจ้าสำนักจะมีแก่ใจมาอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ศิษย์น้อยได้ฟัง
ตู๋กูซิงหลันก้มลงไปมองดูลูกแก้ววิญญาณเพลิงบนฝ่ามือ ในแววตาของนางก็ทอประกายสงสัยออกมา……ตอนที่เจ้าแคว้นทองมาที่สำนักหยินหยาง นางก็เห็นอย่างชัดเจน ว่าเขาไม่ได้ลืมอะไรเอาไว้มิใช่หรือ?
เอาเถอะ….อาจารย์ต้าฉุยผู้นี้ดูผิวเผินวางท่านิ่งเฉย แต่ภายในกลับมีลูกเล่นแพรวพราว เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง
ฮึ….ได้ดั่งใจนางนัก
ทันทีที่นางถือลูกแก้ววิญญาณเพลิงเอาไว้ในฝ่ามือ สีหน้าของท่านเจ้าสำนักก็ซีดขาวราวหิมะลงไปอีกขั้นหนึ่ง
ถึงแม้ว่าความซีดขาวนั้นจะปรากฏขึ้นมาเพียงเบาบางแวบเดียว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้
“เจ้ากลัวหนาวหรือ?” นางถามออกไป
ท่านเจ้าสำนักมิได้ตอบ เพียงแต่เดินนำเข้าไปก่อน
ตู๋กูซิงหลันรีบติดตามเข้าไป พลางคว้ามือของเขาเอาไว้ ส่งลูกแก้ววิญญาณเพลิงลูกนั้นกลับคืนไปบนฝ่ามือของเขา
“คนที่ข้ารักก็กลัวหนาว หากว่าท่านคือเขา ข้าย่อมทนเห็นท่านทรมานเพราะความหนาวไม่ได้แม้แต่น้อย”
ตอนที่ 567 พี่ชาย.....ท่านจะบุ่มบ่ามเ...
ในร่างของเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูคล้ายคลึงกับจีเฉวียน มากเสียจนหลายต่อหลายครั้งทำให้นางเข้าใจผิดไป คิดว่าเขาก็คือจีเฉวียน
แต่เขาก็คล้ายคลึงกับอาจารย์ด้วย….
จะคล้ายอย่างไรนั้น นางไม่คิดจะพูดอีกแล้ว
ได้แต่คว้ามือของเขาเอาไว้แน่ แล้วยัดเยียดลูกแก้ววิญญาณเพลิงนั้นกลับคืนลงไปบนฝ่ามือของเขาให้ได้
ท่านเจ้าสำนักผลักไสไม่เป็นผลสำเร็จ จึงมิได้ผลักไสอีกต่อไป เขาพลิกฝ่ามือไปกุมมือที่บอบบางของนางเอาไว้ ทั้งสองคนจึงกุมลูกแก้ววิญญาณเพลิงลูกเดียวกันเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปด้วยกัน
ยิ่งเดินลึกเข้าไป ความมืดก็ยิ่งทึมทึบขึ้นเรื่อยๆ
ภายในเป็นห้องที่กว้างขวาง แต่กลับไม่มีเงาของคนอยู่แม้แต่คนเดียว
ดูท่าคำเชื้อเชิญของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะมิได้มีจุดประสงค์ดีอย่างแน่นอน
ทั้งสองเดินเข้าไปข้างในอีกครู่หนึ่ง กลิ่นอายความตายภายในห้องก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมา กระทั่งถึงสุดทาง รอบข้างมีแค่เพียงเทียนเล่มเดียว
ประกายไฟสีฟ้า ที่ส่องสว่างอยู่บนเทียนสีขาว ดูเหมือนจิตวิญญาณตนหนึ่ง
ตรงจุดที่มีแสงสว่างเข้มข้นมากที่สุดนั้น เป็นพื้นยกสูง บนพื้นยกสูงมีบัลลังก์ที่สร้างขึ้นจากทองคำดำอยู่ตัวหนึ่ง บนบัลลังก์นั้นมีเงาร่างที่อยู่ในหมอกสีดำของคนผู้หนึ่งอยู่
เส้นผมของเขาพลิ้วอยู่ในหมอกสีดำ ที่รายล้อมรอบกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา มีข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ มือข้างนั้นยังสวมถุงมือสีดำเอาไว้
มือข้างนั้นวางอยู่บนบัลลังก์ คนก็พิงร่างกับพนักด้านหลัง มองแล้วเหมือนจอมปีศาจที่อาศัยอยู่ในถ้ำลึกลับมากว่าพันปี
ถึงแม้ว่าท่านเจ้าสำนักจะชอบสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง ยามลงมือแต่ละครั้งก็เกิดหมอกสีดำพวยพุ่งออกมา แต่ว่าบรรยากาศรอบกายของสองคนนี้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าสำนักหยินหยาง….ยากนักที่ท่านจะมาได้” ผ่านไปอีกพักใหญ่ คนที่อยู่บนบัลลังก์ถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา
น้ำเสียงของเขาแห้งผาด ซุ่มเสียงจึงไม่น่าฟังเท่าไรนัก เหมือนกับลำคอที่ถูกไฟแผดเผามาก่อน
แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังฟังดูเย็นชาจนกีดกันน้ำใจไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้
เหล่าคนที่ตู๋กูซิงหลันได้พบพานมาบนดินแดนจิ่วโจวนี้ เมื่อได้พบกับอาจารย์ต้าฉุยก็ล้วนแล้วให้ความเคารพด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ต้าซือมิ่งกับเจ้าแคว้นทองที่มาก่อกวน ก็ยังทำเป็นฮึกเหิมไปอย่างนั้น จากนั้นก็โกยเท้าวิ่งหนีไป
แต่ว่าคนผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน เขามิได้เห็นท่านเจ้าสำนักอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ
ตัวเขาเองก็สะท้อนบรรยากาศที่เข้มแข็งอย่างยิ่งออกมา
นับตั้งแต่ที่พวกนางเข้ามาข้างใน เขาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์อันสู่งส่งทอดตาลงมามองดูพวกนาง
ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ลากลูกศิษย์ตัวน้อยของตนเองเดินไปยังเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่สนใจ แล้วนั่งลง
ยามนี้ ท่านเจ้าสำนักมิได้แม้แต่จะเหลือบตามองดูเขาเลยสักนิดด้วยซ้ำ ฝ่ามือที่ใหญ่โตนั้นเกาะกุมลูกศิษย์ของตนเองเอาไว้อย่างแม่นมั่น ราวกับเกรงว่านางจะวิ่งหนีไป
จากนั้นจึงค่อยเอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ เพื่อเอาชีวิตของเจ้า”
ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ “…..”
ตู๋กูซิงหลัน “! ! !”
อย่าอย่างนี้สิพี่ชาย…..ท่านจะบุ่มบ่ามเกินไปไหม?
นี่ไม่คิดจะวางแผนอะไรทั้งสิ้น เปิดฉากมาก็ฟัดกันเลยหรือ?
ที่นี่จะอย่างไรก็ยังเป็นพื้นที่ของผู้อื่น แค่เข้ามาด้านในก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติธรรมดาแล้ว อีกประเดี๋ยวพวกนางอาจจะถูกเล่นงานจนตัวเย็นเป็นศพไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ได้นะ
ท่านเปิดปากมาก็จะทวงชีวิตผู้อื่นเลย?
ตู๋กูซิงหลันออกจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง
แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระออกไป รออีกสักครู่หากจะตีกันขึ้นมาจริงๆ ก็คงได้แต่หัวร้างข้างแตกกันไปฝ่ายหนึ่งเท่านั้น มิเช่นนั้นจะทำอย่างไรได้ เพราะอย่างไรก็คงไม่อาจทิ้งเขาเอาไว้เพียงลำพังแล้วหนีไปเพียงผู้เดียวได้กระมัง?
อีกประเดี๋ยวจะลงมืออย่างไรดีนางก็คิดเอาไว้หมดแล้ว
พลังทมิฬที่อยู่ภายในร่างกายใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว
ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นิ่งตะลึงไปพักใหญ่ ค่อยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา หมอกดำที่ด้านหลังหนาทึบ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปบนร่างของท่านเจ้าสำนัก “ตอนที่อยู่ในสุดยอดการประลอง เจ้าคิดว่าข้าผู้เป็นประมุขพ่ายแพ้ให้กับเจ้าจริงๆน่ะหรือ?”
ทันทีที่เขาพูดจบ ฝ่ามือก็ไหววูบครั้งหนึ่ง กลางฝ่ามือปรากฏหมอกสีดำหนาแน่น มันขดตัวอยู่บนฝ่ามือของเขาคล้ายดั่งเป็นอสรพิษสีดำฝูงหนึ่ง
“ในการแข่งขันสุดยอดการประลอง ที่ต่อสู้กับเจ้าเป็นเพียงร่างแบ่งภาคของข้าเท่านั้น เป็นพลังที่ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลยเสียด้วยซ้ำ”
ขณะที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ สายตากลับมองไปที่ตู๋กูซิงหลันมากกว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทั่วดินแดนจิ่วโจวมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าเพื่อศิษย์คนใหม่ที่พึ่งรับตัวไว้ เจ้าสำนักหยินหยางถึงกับลบล้างวังตันติ่งกงทิ้งไป
เดินทีเขาก็ยังสงสัยว่าเป็นศิษย์เช่นไร วันนี้เมื่อได้เห็น ก็ต้องตกตะลึงไปบ้างเช่นกัน
ดวงตาดอกท้อคู่นั้น…….
เพียงแค่ว่าบนร่างของเขามีหมอกสีดำครอบคลุมโดยรอบ ผู้อื่นจึงไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของเขาได้อย่างชัดเจน ยิ่งมองไม่เห็นว่าเขากำลังว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ท่านเจ้าสำนัก “เจ้าช่างพูดมาก”
“ที่ข้าผู้เป็นประมุขเชิญเจ้ามาในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อประมือกับเจ้า” ท่านประมุขที่อยู่ด้านบนมิได้มีท่าทางขุ่นเคือง
เขาสำรวจดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันไปสำรวจดูท่านเจ้าสำนัก
โดยเฉพาะแววตาที่มองมาที่เขานั่น
เขาสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว ว่าเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ใช่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับโอรสสวรรค์แคว้นต้าโจวจีเฉวียนหรือไม่
คำถามนี้ แม้จะผ่านมานานถึงครึ่งปีแล้ว เขาก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนออกมา
แคว้นต้าโจวกับเขามีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดิน ความทุกข์ทรมานที่เขาได้ประสบมาตลอดหลายปีนี้ เดิมทีต้องทวงคืนกับตระกูลจีให้หมด
แต่เพราะดินแดนทั้งสองห่างไกลกันนับพันลี้ เขาที่ถูกกักขังควบคุมพลังเอาไว้ ย่อมไม่อาจไปยังดินแดนโบราณด้วยตนเอง ได้แต่ส่งตัวหมากต่างๆไป
แต่ว่าตัวหมากเหล่านั้นช่างไม่มีคุณค่าใดๆเอาเสียเลย ทั้งหมดล้วนถูกจีเฉวียนเล่นงานอย่างง่ายดาย
ยังดีที่ในท้ายที่สุด…..จีเฉวียนก็ได้ตายอยู่ที่ใต้ก้นทะเลลึก
แต่ว่านั่นย่อมห่างไกลจากความต้องการของเขามากนัก มันไม่เพียงพอ…..สิ่งที่เขาปรารถนาคือการทำลายล้างให้แคว้นต้าโจวล่มสลาย สังหารราชวงศ์จีให้สิ้นสูญ ตอนนี้ในเมื่อมีเพียงแต่จีเฉวียนที่ตายไปเพียงผู้เดียว ย่อมไม่อาจชำระล้างความเคียดแค้นในหัวใจของเขาลงไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น ….ตอนนี้ก็ยังมีบุรุษที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกับจีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นมา
แต่ว่ามิว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจสืบเรื่องของคนผู้นี้ออกมาได้
แม้กระทั่งว่าตกลงแล้วคนผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ก็ยังไม่สามารถสืบออกมาได้ชัดเจน เหมือนกับว่าเขาผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นอยู่ๆก็กลายเป็นประมุขของแดนจิ่วโจว
แต่มิว่าจะใช่หรือไม่ ขอเพียงมีส่วนเกี่ยวข้องกับจีเฉวียนแม้เพียงเล็กน้อยก็สมควรตายอยู่ดี
อสรพิษที่เกิดขึ้นจากหมอกสีดำของเขาเคลื่อนไหวอยู่บนฝ่ามืออย่างไม่ยอมสงบนิ่ง ท่ามกลางแสงสว่างที่อ่อนจาง อสรพิษจากหมอกสีดำนั้นแทบจะกลมกลืนไปกับความมืด แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังแทบจะมองไม่เห็น และท่ามกลางหมู่อสรพิษสีดำเหล่านั้น ยังมีเหล็กแหลมสีดำทะมึนอยู่เล่มหนึ่ง
“หากคิดจะฆ่าข้า เกรงว่าเจ้าสำนักอย่างเจ้ายังไม่มีความสามารถพอ แต่หากเจ้าตำหนักอย่างข้าจะปลิดชีวิตเจ้า กลับง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ”
ขณะที่เขาพูดอยู่ ก็พลิกฝ่ามือออกไปเงียบๆ ทันใดนั้นเหล่าอสรพิษสีดำบนฝ่ามือก็พุ่งเข้าหาพวกนาง
ท่านเจ้าสำนักไม่เปลี่ยนสีหน้า มือของเขากุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น แขนเสื้ออีกข้างโบกขึ้นมาวูบหนึ่ง บนร่างก็ปรากฏหมอกสีดำหนาแน่นสายหนึ่ง หมอกนั้นพุ่งเข้าไปปะทะกับเหล่าอสรพิษสีดำ
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องหับก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา
แต่เขากลับยืนอย่างมั่นคงโดยมิยอมขยับ ขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ก็วาดขึ้น หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งโอบล้อมศิษย์น้อยเอาไว้ดุจกำแพงเวทย์ชั้นหนึ่ง
และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็เห็นว่าที่ด้านหลังของอสรพิษเหล่านั้น มีเหล็กแหลมสีดำแท่งหนึ่งบินออกมาจากด้านหลังอย่างกระชั้นชิด
เหล็กแหลมนั่นสะท้อนแสงที่เย็นยะเยือกออกมา ราวกับลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไป
ท่านเจ้าสำนักนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ขยับร่างสักนิด เพียงแต่พอขยับนิ้วเบื้องหน้าของเขาปรากฏพิณโบราณตัวหนึ่งขึ้นมา มือข้างหนึ่งคว้าตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มืออีกข้างดีดพิณเสียงหนึ่งออกไป
พอเสียงพิณสะท้อนออกไป พริบตาเดียวก็ทำลายเหล็กแหลมนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แต่ว่าเศษเสี้ยวของเหล็กแหลมนั่น ก็ยังมีชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งที่สะกิดผ่านใบหน้าของเขาออกไป
ตอนที่ 568 ข้าคือคนที่ตายไปครั้งหนึ่ง...
นั่นเป็นเพียงแผลเล็กๆบางๆ บาดแผลราวกับเส้นผมเท่านั้น
แต่ก็ทำให้เขากลายเป็นแผลไปจริงๆ
ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ผู้นั้นลุกขึ้นยืน เขาขยับมือวูบหนึ่ง เศษเสี้ยวชิ้นส่วนของเหล็กแหลมที่ถูกเสียงพิณโบราณทำลายไปก็ลอยกลับไปอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
และพริบตาเดียวชิ้นส่วนเหล่านั้นบนฝ่ามือของเขารวมตัวเป็นเหล็กแหลมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เหล็กแหลมที่เคยเป็นสีดำสนิทชิ้นนั้น ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา
สีแดงนั่นสะท้อนออกมาจากเนื้อในของเหล็กแหลม
พอเห็นเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป หมอกดำบนร่างกำจายออกมาเต็มไปหมด มือข้างหนึ่งกำเหล็กแหลมแท่งนั้นเอาไว้ น้ำเสียงที่เดิมก็สากจนแหบพร่ายิ่งไม่น่าฟังกว่าเดิม
“เป็นเจ้า….จริงๆด้วย”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
ฉุยซือ……คือใครกัน?
เป็นคนที่เขารู้จักหรือ…..
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่เขลา นางรู้ดีว่า เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นี้มีความแค้นลึกล้ำกับราชวงศ์จีของแคว้นต้าโจว ถึงได้คอยส่งตัวหมากไปก่อกวนและทำลายล้างรอบแล้วรอบเล่า…..
ที่เขาใช้เหล็กแหลมแท่งนั้น ก็เพียงเพื่อจะตรวจสอบอะไร ตรวจสอบฐานะของฉุยซือ?
นางทำท่าจะลุกขึ้นมา แต่ก็ถูกท่านเจ้าสำนักกดร่างลงไป
“เด็กดี อย่าได้เคลื่อนไหววุ่นวาย”
ยากนักที่น้ำเสียงของเขาจะสื่ออารมณ์ออกมา….อบอุ่นอ่อนโยน
บนใบหน้าของเขา ยังมีหยดเลือดหยดเล็กๆ พิณในมือมิได้หยุดนิ่ง เขาลุกขึ้นมา ยืนเอาตัวบังศิษย์น้อยเอาไว้ที่ด้านหลัง
พอปลายนิ้วดีดออกไป เสียงพิณเป็นชุดๆก็ถูกส่งออกไปพร้อมกับไอสังหารอันรุนแรง ไอความตายและการเข่นฆ่าเข้มข้น ราวกับว่ามีมัจจุราชจำนวนมากมายกำเนิดจากเสียงพิณของเขา โบกสะบัดเคียวด้ามยาวพุ่งเข้าหาคนบนบัลลังก์
อีกฝ่ายก็มิได้อ่อนแอ เห็นเขาโบกมืออย่างรวดเร็ว ริมฝีปากเอ่ยคาถากำกับ กลางกระหม่อมของเขาก็มีลูกแก้วสีดำลูกหนึ่งผุดขึ้นมา
และทันทีที่เขาโบกมืออีกครั้ง ลูกแก้วสีดำลูกนั้นก็พุ่งออกไป
ทันใดนั้นแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากลูกแก้วสีดำลูกนั้น
ทั้งโต๊ะ เก้าอี้และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวพวกเขาส่งเสียงแตกหักดังลั่น จากนั้นก็ถูกดึงดูดเข้าสู่ภายในลูกแก้วสีดำ
ท่านเจ้าสำนักกำบังอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน เสื้อผ้าของเขาถูกลมดูดจนพลิ้วออกไป เสียงสายลมกรีดผ่านข้างใบหูของนาง
ทุกสิ่งภายในห้องถูกลมกระชากจนพลิกคว่ำ ทุกที่ที่สายลมไปถึงล้วนไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก
แม้แต่แสงสว่างรอบด้านก็ยังถูกความมืดในลูกแก้วลูกนั้นดูดเข้าไป
แสงสว่าง…..ถูกฉีกสะบั้นและดึงดูดเข้าไป
ตู๋กูซิงหลันคาดเดาว่าสิ่งที่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเขวี้ยงออกมานี้คงจะเป็นหลุมดำกระมั้ง
ใช่แล้ว…..เพราะแม้แต่เสียงพิณของอาจารย์ต้าฉุยก็ยังถูกลูกแก้วสีดำนี้ดูดกลืนเข้าไปด้วย
ทั่วทั้งห้องหับมีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ที่เดิมราวตะปูตอกลงบนพื้น เขาหันหลังให้ตู๋กูซิงหลัน นางจึงไม่อาจมองเห็นแววตาของเขาได้
เขาระเบิดพลังวิญญาณภายในร่างออกมา สร้างเป็นอาณาเขตปกป้องที่ข้างกาย พร้อมกับผลักแรงดึงดูดของลูกแก้วสีดำนั่นออกไป
มืออีกข้างหนึ่งถึงได้ค่อยคลายออกจากศิษย์น้อย
ทันทีที่เขาปล่อยมือ ก็ไม่รู้ว่าเขาไปหยิบเอากระถางติ่งสามขาใบหนึ่งมาจากที่ใด พอกระถางติ่งใบน้อยขนาดฝ่ามือถูกเขาเขวี้ยงขึ้นไปในอากาศ ก็ขยายออกกลางเป็นกระถางที่ทั้งสูงและใหญ่ขนาดสองเมตร เสียงตึงดังขึ้นมา มันก็ครอบตัวตู๋กูซิงหลันจากศีรษะลงไปถึงปลายเท้า ปกป้องนางเอาไว้ด้านในอย่างมิดชิด
กระถางติ่งนั่นสกัดกั้นแรงดึงดูดทั้งหมดไว้ และยังปิดกั้นการมองเห็นของนางอีกด้วย
นี่เป็นอาวุธที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง ตู๋กูซิงหลันซัดฝ่ามือใส่มันครั้งหนึ่งก็ไม่มีวี่แววว่าจะสะเทือน
………..
ที่ด้านนอกกระถางติ่ง ท่านเจ้าสำนักเก็บพิณโบราณไปแล้ว และเพราะพลังดึงดูดที่รุนแรงของลูกแก้ว แถบผ้าผูกผมของเขาจึงคลายหลวมออก และถูกดูดเข้าไปอย่างไร้ปรานี
เสื้อผ้าถูกดูดกระชากจนขาดวิ่น แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาขยับร่างวูบหนึ่งก็พุ่งทะยานอ้อมผ่านลูกแก้วสีดำไปถึงเบื้องหน้าเจ้าซิวหลัวเตี้ยนในวูบเดียว
ฝ่ามือใหญ่กำเป็นหมัด ต่อยใส่ใบหน้าของเขาอย่างตรงๆ
เจ้าซิวหลัวเตี้ยนขยับตัววูบหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลบหมัดนั้นได้อย่างทันท่วงที
หมอกสีดำที่ด้านหลังของเขาหมุนวน แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย
เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่ของวิเศษเช่นลูกแก้วโลกาวินาศนี้ก็ยังหลบได้
ลูกแก้วสีดำลูกนี้ เป็นของวิเศษที่สืบทอดกับมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ในลูกแก้วสีดำ คือโลกมืดที่สับสนวุ่นวายใบหนึ่ง ของเพียงถูกดึงดูดเข้าไป ก็จะต้องถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่วิญญาณก็ไม่มีหลงเหลือ!
นับแต่นั้นก็ต้องถูกกักขังอยู่ในโลกาวินาศที่มืดมิดใบนี้ตลอดไป
ลูกแก้วโลกาวินาศของเขาใบนี้ ไม่รู้ว่าดึงดูดผู้คนเข้าไปมากน้อยเพียงไรแล้ว …..แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครรอดพ้นจากมันมาก่อน
แต่ว่าคนผู้นี้……
หมัดแรกของท่านเจ้าสำนักพลาดไป เขาก็ต่อยหมัดที่สองออกมาติดๆกัน
พลังที่แข็งแกร่งและรุนแรงผนวกเข้ามาพร้อมกับหมัด
หอชมจันทราของเขา สร้างขึ้นจากไม้วัชระทั้งหลัง ยังแข็งแกร่งกว่าก้อนหินมากมายหลายเท่านัก แต่กลับถูกกำปั้นของเขาต่อยใส่จนหักกระเด็นออกมา?
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถึงกับขมวดคิ้ว
เขาถอยหลังไปสองก้าว ริมฝีปากท่องคาถาไม่หยุด คิดจะเรียกลูกแก้วลูกนั้นกลับมา
แต่ว่าท่านเจ้าสำนักย่อมไม่เปิดโอกาสให้กับเขา หมัดที่ต่อยออกไปแจกจ่ายราวกับให้เปล่า ทุกหมัดที่เหวี่ยงออกมาล้วนหนักหน่วง
หมัดที่รัวออกมาเป็นชุดบีบให้เขาต้องล่าถอยอย่างไร้หนทาง
ในใต้หล้านี้ไม่ว่าศาตราวุธที่แข็งแกร่ง พลังวิญญาณ หรือเทพอาวุธใดๆย่อมมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด….ย่อมเป็นตบะที่เกิดจากการฝึกฝนด้วยตนเอง
เมื่อฝึกฝนจนแข็งแกร่ง เพียงแค่ไม่กี่หมัด ก็สามารถกระแทกภูเขาให้พังทะลายได้
เช่นเดียวกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้….
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหยิบเอาอาวุธชิ้นใหม่ออกมา เขาได้แต่ต้องรับหมัดและโต้กลับด้วยมือเปล่า
แต่ว่าร่างเนื้อของเขาไม่อาจต้านทานท่านเจ้าสำนักได้
พอต่อยเข้าไปหลายๆครั้งเข้า ในที่สุดหมัดของเขาก็ต่อยลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่าย
หมัดนี้ต่อยลงมา เกรงว่าแม้แต่ภูเขาน้อยๆก็ยังต้องถล่มลงไป
เสียงกระดูกแตกลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’……ออกมาอย่างชัดเจน
ยามนี้แม้แต่หมอกสีดำบนร่างของเขาก็ยังถูกหมัดนั้นกระแทกใส่จนสลายตัวออกไป
ใต้หมอกสีดำ คือใบหน้าที่มิได้สมบูรณ์ใบหน้าหนึ่ง
ใบหน้าที่เหมือนกับถูกไฟแผดเผาจนผิวหนังหลุดลอกออกมา ดวงตาก็ไหม้เกรียมจนเหลือแต่ลูกนัยตา แม้แต่เส้นผมก็ถูกเผาจนหมดสิ้น
บุรุษผู้นี้ดูแล้วยังน่าหวาดกลัวกว่าภูตผีเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น บนลำคอของเขายังมีรอยบาดที่ชัดเจน บาดแผลนั้นมีเส้นลวดสีเงินเย็บตรึงบาดแผลเอาไว้…..
เป็นคนผู้หนึ่ง….แต่ก็มิใช่มนุษย์
ร่างกายของเขา เมื่อเข้าไปใกล้ก็สามารถได้กลิ่นเหม็นชนิดหนึ่งลอยออกมาจางๆ….กลิ่นศพ
ถึงแม้ว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ แต่ท่านเจ้าสำนักก็มิได้เปลี่ยนสีหน้า…. ดวงตาหงส์คู่นั้นไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวาดกลัวให้เห็น
ราวกับว่า เขารู้ถึงสภาพร่างกายของอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว
เขายังคงยกหมัดขึ้นมา เอ่ยอย่างเย็นชาไร้อารมณ์ใดๆว่า
“ข้าบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าวันนี้จะมาเอาชีวิตของเจ้า”
เมื่อถูกคนเปิดเผยรูปโฉม เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็โกรธเกรี้ยวอย่างหนัก ใบหน้าที่เดิมก็อัปลักษณ์อย่างที่สุดนี้ พอเกิดความเกรี้ยวกราดก็ยิ่งดูย่ำแย่ไปกว่าเดิม
“ข้าคือคนที่ตายไปแต่แรกครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะต้องเกรงกลัวเจ้าอีกหรือ…..จีเฉวียน เจ้ามันสมควรตายไปตั้งนานแล้วเช่นกัน”
จีเฉวียนสองคำนั้น ทำให้หมัดที่ยกขึ้นมาของท่านเจ้าสำนักชะงักไปในอากาศวูบหนึ่ง
ยามปกติก็มักจะได้ยินศิษย์ตัวน้อยเอ่ยถึงชื่อนี้อยู่บ่อยๆ เขาได้ยินบ่อยเสียจนใบหูจะเข้าดักแด้แล้ว
วันนี้กลับเป็นผู้อื่นเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาให้ได้ยินอีก จีเฉวียน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น