ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 564-565
ตอนที่ 564 ห้องหอ
ตู๋กูเจวี๋ยครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆไปมากมาย แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดจะฉุดเขาออกจากปลักน้ำโคลนนี้ได้
โดยเฉพาะเทศกาลหมื่นบุปผชาตินี้ ยิ่งไม่มีทางเรียบง่ายเหมือนดั่งที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน
ครั้งนี้ จะต้องมีคลื่นใต้น้ำแน่ๆ
หนังสือเชื้อเชิญฉบับนั้น ถึงแม้ว่าเขาไม่อาจได้เห็นข้อความที่อยู่ด้านใน แต่ก็รู้ว่าจุดประสงค์ของท่านเจ้าตำหนักจะต้องไม่ธรรมดา เกรงว่าหากเจ้าสำนักหยินหยางไปตามนัดจริงๆ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคงยากที่จะคาดเดาแล้ว
เขาได้แต่ใช้ประกายตามองดูเจ้าสำนักผู้นั้นแวบหนึ่ง
ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคล้ายคลึงกับจีเฉวียน…..
ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะคิดอย่างไร มือข้างหนึ่งของนางคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้จนแน่น “พี่รอง ท่านอ่านนิยายรักๆใคร่ๆมากเกินไปแล้ว จำเป็นจะต้องเดินบนเส้นทางที่โศกเศร้าเช่นนี้ให้จงได้กระนั้นหรือ?”
ละครที่นางเคยแสดงยังมีมากกว่าหนทางที่เขาเลือกเดินมากนัก
ปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ หากว่าตามบนละครน้ำเน่าทั้งหลายแล้ว พี่รองก็คงจะยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างเงียบงันเพียงผู้เดียว จากนั้นพอถูกทำร้ายและกดดันอย่างหนักหน่วงจนด้านชาเข้าเรื่อยๆ และสุดท้ายที่ได้คืนมาก็เป็นเพียงร่างกายที่เย็นเฉียบของคนที่ตนรัก เขาก็จะระเบิดตนเองจนเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง กลายเป็นเครื่องมือฆ่าฟันสังหารหมู่…..
แค่นี้ ในสมองของตู๋กูซิงหลันก็มีภาพออกมาเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ แววตาของนางราวกับเห็นทุกอย่างงทะลุปรุโปร่ง “พี่รอง….พวกเราอย่าได้เลือกเดินในเส้นทางโลหิตที่น่าโศกเศร้าเช่นนั้นเลย รักษาความสุขที่มีอยู่เอาไว้จะไม่ดีกว่าหรือ?”
นางสูญเสียอาจารย์และจีเฉวียนไปแล้ว….นางไม่ต้องการจะสูญเสียพี่รองไปกับการนองเลือดอีก
พี่ชายตัวน้อยผู้นี้คิดอะไรไม่เหมือนกับผู้อื่น ตู๋กูซิงหลันเกรงว่าเกิดเขาคิดอะไรไม่ตก สติหลุดขึ้นมา ก็จะก่อเหตุนองเลือดขึ้นอีก
ตู๋กูเจวี๋ยฟังคำพูดของนางไม่ค่อยเข้าใจนัก เป็นเพราะว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ก้นทะเลลึก สมองของน้องเล็กได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ค่อยปกติไปหรือไม่?
พอคิดดูให้ละเอียด ตอนนั้นพอเห็นนางหอบดาบเล่มหนึ่งออกไปต่อสู้เพียงลำพัง ทำลายล้างเมืองหลวงของเผ่ามังกรทมิฬทั้งหมด…. เขาก็สมควรจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า น้องเล็กไม่ใช่คนธรรมดา
“อืม ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ก้นทะเลลึก เนื่องเพราะพลังกระหายเลือดในร่างของท่านตื่นขึ้นมา …ดังนั้นจึงยังไม่มีโอกาสได้บอกกับท่าน พวกเรายังโชคดีมากนัก…..บิดาท่าน ….ไม่ใช่สิ ท่านพ่อของพวกเราทั้งงดงามและแข็งแกร่ง….”
“พี่รองท่านเองก็นับว่าเป็นองค์ชายรองของเผ่ามังกรทมิฬ พวกเราจะต้องมีความกล้าหาญที่จะมีชีวิต เผชิญหน้ากับฟ้าดินและคลื่นลมต่อไป เข้าใจไหม?
ตู๋กูเจวี๋ย “……”
ทำไมเขาฟังแล้วถึงได้รู้สึกว่านางกำลังพูดอะไรที่น่าสับสนจับความไม่ได้?
“ท่านต้องจดจำเอาไว้อยู่เสมอว่า ท่านไม่ได้ตัวคนเดียว ข้างหลังของท่านยังมีข้า มีท่านตา มีพี่ใหญ่ มีบิดาคนงาม พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน”
“ท่านต้องการช่วยชือหลี ข้าเองก็ต้องการช่วยนาง นางก็เป็นสตรีของข้าเช่นกัน”
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกมา แววตาของนางมีแต่ความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
แม้แต่ฝ่ามือที่ตบลงมาบนบ่าของตู๋กูเจวี๋ยก็ยังเพิ่มแรงลงไปด้วย
ขอเพียงดวงจิตของชื่อหลียังไม่สูญสลาย นางย่อมมีหนทางที่จะพาชือหลีกลับมา….หากว่าเป็นอย่างท่านแม่ที่จิตวิญญาณแตกสลายไปแล้ว…..นั่นจึงจะถือว่ายากที่สุด
เรื่องของชือหลี ย่อมไม่ควรให้พี่รองแบกรับเพียงลำพัง
ประโยคที่ว่า ‘นางก็เป็นสตรีของข้า’ ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ระหว่างที่เขาไม่ทันได้สังเกต เทพธิดากับน้องเล็กใช่ว่ามีอะไรที่ไม่อาจเปิดเผยได้หรือไม่?
เดิมเขาก็เป็นพวกใสซื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว สมองจึงคิดอะไรไม่ค่อยออก
นางพึ่งจะพูดจบก็ได้ยินท่าเจ้าสำนักเอ่ยปากว่า “ที่ด้านหลังของเจ้า ยังมีข้า”
‘เจ้า’ที่เขาเอ่ยปากถึง ย่อมต้องหมายถึงศิษย์น้อยของตนเอง
คำพูดนี้หากว่าเปลี่ยนเป็นจีเฉวียนมาพูดละก็จะต้องฟังแล้วจับใจอย่างยิ่งแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปเล็กน้อย ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านเจ้าสำนักผู้นี้แม้ว่าจะเขียมไปสักหน่อย แต่ว่านับตั้งแต่ที่นางกลายเป็นศิษย์ เขาก็ดีต่อนางมากเลย
เป็นเพราะว่ารับนางเป็นศิษย์ จึงได้ดีต่อนางกระนั้นหรือ?
จะอย่างไรตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง
คำพูดนั้นของท่านเจ้าสำนัก ทำเอาพี่รองถึงกับกรอกตาขาว สำนักหยินหยางอย่างมากก็มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่นับว่ามีความสามารถ ข้างหลังของน้องเล็กจะมีเขาหรือไม่ ก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกัน ….ดังนั้นคนผู้นี้ไปเอาความมั่นใจว่าจะสามารถยืนหนุนหลังนางได้เช่นนั้นมาจากที่ใดกัน?
ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะในสุดยอดการประลองได้ แต่ก็เป็นเพียงกำลังของคนผู้เดียวเท่านั้น หากว่าขุมกำลังต่างๆเคลื่อนไหว…..อย่างเช่นตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เขาจะต้านทานได้อย่างไร?
ท่านเจ้าสำนักทำเป็นไม่เห็นสายตาของเขา เพียงแต่เหลือบตาไปมองดูหนังสือเชิญเล่มนั้นครั้งหนึ่ง จากนั้นเพียงกระดิกนิ้วเรียวยาวเบาๆ รอบหนึ่ง หนังสือเชิญเล่มนั้นก็ลอยเข้ามา
“กำหนดนัดในวันพรุ่งนี้ ข้าจะไป”
อยู่ๆเขาก็ตัดสินใจเช่นนี้ขึ้นมา ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย
เขายืนตัวตรง สายตาวนอยู่บนร่างของเจ้าสำนักหยินหยางรอบหนึ่ง ด้วยความไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่เขามิใช่ปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนแล้วหรือ ตอนนี้อยู่ๆทำไมถึงได้ตอบตกลงขึ้นมา?
ยังจะเพราะอะไรได้อีก….ในเมื่อคนผู้นี้เป็นพี่ชายของศิษย์ตัวน้อย เขาที่เป็นอาจารย์ ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้
ใช่แล้ว ผู้ที่เป็นอาจารย์สมควรส่งเสริมความตั้งใจทั้งหมดทั้งมวลของศิษย์น้อย นี่จึงจะเป็นอาจารย์ที่ดี
วันนี้พอได้ยินนางเอ่ยจากปากคำหนึ่งว่า ‘ฉุยซือ’ ท่านเจ้าสำนักย่อมต้องพึงพอใจมากอยู่แล้ว
อืม พรุ่งนี้เมื่อไปตามนัด จากนั้นซัดเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นั้นให้ตายในฝ่ามือเดียว …..พี่ชายของศิษย์น้อยจะได้ไม่มีใครคุกคามอีก
เช่นนี้ย่อมดีต่อทั้งสองฝ่าย
ท่านเจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่ในใจอีกหลายอย่าง แต่บนใบหน้ากลับมิได้เปิดเผยสิ่งใดออกไป เขายังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง
กลิ่นหอมของสุราอบอวลไปทั่วห้องเหมือนจะมอมเมาผู้คนอยู่บ้าง ทำเอาแม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกไม่เข้าใจเขาเช่นกัน
ท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่ต้องการให้นางมาเข้าใจ
เขาไม่คิดจะอธิบายอะไร เรื่องบางเรื่องให้เขาไปจัดการด้วยตนเองอย่างเงียบๆจะสะดวกมากกกว่า ไม่จำเป็นจะต้องให้ศิษย์น้อยมาเข้าใจทั้งหมด
………………………….
กระทั่งถึงค่ำแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่เห็นคนของจุ้ยเซียนจูมาคิดบัญชีเลยแม้แต่ครึ่งคน
กลับเป็นท่านเจ้าสำนักพานางเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านข้างของห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง
เป็นห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ในห้องจุดเทียนสีแดงเอาไว้ มีเตียงทรงกลมสีแดงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลางหลังหนึ่ง เตียงหลังใหญ่ยังมีม่านโปร่งสีแดงโดยรอบ ด้านบนยังมีช่อดอกไม้ผ้าทรงกลมตกแต่งเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องล้วนเป็นสีแดง…..
ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกเข้าใจผิดไปชั่วขณะว่า…….ห้องนี้ดูเหมือนห้องหอเกินไปแล้ว
แถมในห้องยังมีทุกสิ่งทุกอย่างตกแต่งเอาไว้อย่างครบครันอีกด้วย
“นั่งรถม้ามาตลอดทาง คงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนให้สบายเถอะ”
ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาหงส์คู่นั้นมองไปที่นางอย่างอ่อนโยน
พี่รองถูกเขาขวางเอาไว้ที่ประตู โดยไม่ยอมเปิดช่องว่างให้เลยแม้แต่น้อย
สองพี่น้องแยกจากกันนาน เมื่อได้พบกันก็มีวาจามากมาย กว่าจะพูดคุยกันจบฟ้าก็มืดมากแล้ว
ท่านเจ้าสำนักจึงเห็นว่า ศิษย์น้อยก็ควรจะพักผ่อนได้แล้ว
แต่ว่าพี่รองของนางกลับไม่เข้าใจ เขายืนอยู่ที่เดิมทำตัวเป็นท่อนซุงท่อนหนึ่ง ตลอดครึ่งปีมานี้สองมือของเขามีแต่เลือด ใช้ชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตาย….
แม้แต่ความเป็นมนุษย์ที่เคยมี ก็แทบจะถูกลบล้างไปจดหมดสิ้นเหมือนกับเลือดเหล่านั้น
พอน้องเล็กปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน….หัวใจของเขาก็พลันเกิดความอบอุ่นขึ้นมา เขาย่อมไม่อยากจะไปจากนาง
ท่านเจ้าสำนักขวางเขาเอาไว้ พอหันศีรษะไป ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ยังไม่กลับไปรายงานอีกหรือ?”
ตู๋กูเจวี๋ย “…..” คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจเหมือนกับฮ่องเต้สุนัขนั่นไม่มีผิด
หากว่าเขาไปแล้ว ห้องหับหลังนี้…..ก็จะเหลือพวกเขาชายหญิงอยู่กันเพียงลำพัง ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสำนักหยินหยางผู้นี้จะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับน้องเล็กหรือไม่?
ตอนที่ 565 หากยังกล้ารบกวน ข้าจะเฉือน...
ในสถานการณ์เช่นนี้หากว่าปล่อยนางทิ้งไปกับฮ่องเต้สุนัขนั่น เก้าในสิบส่วนจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
ต่างก็เป็นบุรุษเหมือนกัน พี่รองย่อมเข้าใจนิสัยของบุรุษด้วยกันดี
ถึงแม้ว่าน้องเล็กจะมีบุรุษบำเรออยู่มากมาย แต่ประเด็นสำคัญในด้านความรู้สึกย่อมไม่เหมือนกัน
น้องเล็กจะโปรดปรานบุรุษคนใดก็ย่อมได้ แต่คนเหล่านั้นหากมิได้รับอนุญาตจากนางก่อน ย่อมไม่อาจแตะต้องนางอย่างเด็ดขาด
แล้วดูการตกแต่งภายในห้องหลังนี้สิ ดูอย่างไรก็ราวกับวางแผนเอาไว้หมดแล้ว
ทุกอย่างในห้องล้วนเป็นสีแดง ราวกับกลัวคนจะไม่รู้ว่าเป็นห้องหออย่างไรอย่างนั้น
แค่ดูก็รู้ว่าเจ้าสำนักตัวร้ายผู้นี้ ไม่ได้คิดดีอย่างแน่นนอน น้องเล็กอ่อนหัดในเรื่องของชายหญิงอยู่เสมอ เกรงว่าอีกเดี๋ยวจะถูกกลืนลงไปทั้งกระดูกอย่างไร นางก็คงยังไม่ทันรู้ตัว
“ไม่รีบร้อน รอให้น้องเล็กหลับก่อน ข้าย่อมไปเอง” พี่รองเล่นลิ้นขึ้นมาบ้าง
เขาก้าวขึ้นไปยืนที่ข้างกายท่านเจ้าสำนัก เชิดคางเอ่ยว่า “ข้ากับน้องเล็กเป็นพี่น้องแท้ๆ คอยดูนางเข้านอนย่อมไม่มีปัญหา …..แต่ว่าสำหรับท่านเจ้าสำนัก….ชายหญิงมีข้อแตกต่าง ไม่ทราบว่าคืนนี้ท่านจะไปพักผ่อนที่ใด?”
ท่านเจ้าสำนักตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “ศิษย์น้อยอยู่ที่ใด ข้าผู้เป็นอาจารย์ก็อยู่ที่นั่น”
ห้องหับออกจะกว้างขวาง เขาแค่เอาผ้าห่มมาผืนหนึ่งปูลงไปบนพื้น คืนนี้ก็นอนได้แล้ว
ท่านเจ้าสำนักไม่ได้ถือศีลแต่เพียงภายนอก ในใจของเขาก็บริสุทธิ์สะอาดจนส่องประกายออกมาด้วยเช่นกัน
แม้จะมองเห็นว่าตู๋กูซิงหลันลงไปนั่งอยู่บนเตียงสีแดงเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็มิได้เกิดจิตอกุศลแม้แต่น้อย
ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง เส้นผมยาวสลวยของนางดูคลายออก แม้ว่านางจะอยู่ในคราบของการแปลงโฉม ดูไปคล้ายหนุ่มน้อยอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ไม่อาจปิดบังความงดงามตามธรรมชาติ ที่เพียงแค่ได้มองดูก็ยังทำให้เปรมปรีย์อย่างงบอกไม่ถูก
ศิษย์น้อยช่างงดงามน่ามอง เขาอยากจะมองดูนางให้มากกว่านี้
ราวกับว่า แค่เพียงได้มองดูนาง ในใจก็เกิดความพึงพอใจแล้ว
ก่อนที่จะได้พบกับนาง ในใจของท่านเจ้าสำนักไม่เคยเกิดอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้มาก่อน
แต่พอเป็นศิษย์น้อย ทุกสิ่งล้วนแตกต่างออกไป
พอเขาเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ มุมปากของพี่รองก็ถึงกับกระตุกขึ้นมา
มือของเขากระชับมีดสั้นที่อยู่ในแขนเสื้อ จนเกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ แทบจะเขวี้ยงออกไปแล้ว
เขาเคยเห็นคนไร้ยางอายมาบ้าง แต่ที่ไร้ยางอายถึงระดับเดียวกับฮ่องเต้สุนัขนั่น นับว่าเป็นครั้งแรก
เจ้าสุนัขจิ้งจอกผู้นี้เผยด้านชั่วช้าออกมาชัดเจนเกินไปแล้ว น้องเล็กที่โง่เขลาของตนยังดูไม่ออกอีกหรือ?
เจ้าสำนักชั่วผู้นี้คิดไม่ซื่ออย่างแน่นอน!
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนเตียง มองดูบุรุษที่ยืนอยู่ข้างประตูทั้งสองคน ในสมองของนางมีแต่คำถาม
กำลังจะได้นอนหลับสบายอยู่แล้วแท้ๆ นี่จะต้องมาเห็นฉากนองเลือดหรือยังไง?
ไม่ได้เจอกันพักเดียว พี่รองที่ใสซื่อของนาง…..ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นจัดเจนขึ้นมา?
ดูแววตาของเขานั่นสิ ราวกับว่าอาจารย์ต้าฉุยคิดจะทำอะไรกับนางขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คนผู้นั้นก็เหมือนกับฉนวนกันความร้อน ต่อให้นางถอดเสื้อผ้ายืนเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่คิดจะเหลือบแลขึ้นมาหรอก
สูงส่งเย็นชา เย่อหยิ่ง จะบุรุษหรือสตรี ก็ไม่สนใจใยดีทั้งนั้น
นี่จึงจะเป็นบุคลิกของท่านเจ้าสำนักผู้นี้
นับตั้งแต่ที่เดินทางมาจากสำนักหยินหยาง นางก็อยู่ในรถม้ากับเขาเพียงลำพังสองคน จะกลางวันหรือกลางคืน ก็ไม่เคยเห็นเขาจะมีวี่แววเกิดความคิดสกปรกใดๆ
ต่อให้คืนนี้เขานอนอยู่ที่ข้างกายนาง ตู๋กูซิงหลันก็ไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรนาง
พี่รอง….คิดมากไปแล้ว
นางน่ะเคยชินกับความเย็นชาและท่าทางสูงส่งของเขาแล้ว เพียงแต่พี่รองนั้นยังไม่คุ้นเคย
พอเห็นว่าพี่รองผู้นี้ชักจะสร้างความยุ่งยาก สีหน้าของท่านเจ้าสำนักก็ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว “ข้าไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่าม”
คนผู้นี้มาพูดคุยกับศิษย์น้อยนานมากไปแล้ว และอยู่นานเกินไปแล้วด้วย
เขาไม่ชอบให้ศิษย์น้อยพูดคุยกับผู้อื่นมากเกินไป เขาสมควรไปได้แล้ว
พี่รอง “…..”
ใครเป็นตัวยุ่มย่ามกัน? นี่น้องสาวของเขา! ตกอยู่ในรังหมาป่า!
เขาหรี่ดวงตาลง นัยตาปรากฏไอสังหารคุกรุ่น นี่เป็นผลลัพธ์จากการเข่นฆ่ามาตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้เขาอาศัยปากกล่าววาจาเชือดคน แต่หลังจากที่ตนเองได้เห็นเลือด ฆ่าคน พี่รองก็รู้สึกว่า บางครั้งหากลงมือได้ก็ควรลงมือ เพราะฝ่ามือยังรวดเร็วและแหลมคมกว่ามากนัก
“เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก” ท่านเจ้าสำนักกล่าวโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ขณะที่มีดสั้นในมือของเขายังไม่ทันได้ปรากฏออกมา แขนเสื้อของท่านเจ้าสำนักก็โบกออกไปก่อนแล้ว
พลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง แปรเป็นพายุลมโหม
แต่ก็นับว่ายังรั้งออมเอาไว้ ไม่ถึงกับเอาชีวิตผู้คน
ยังดีที่ตู๋กูเจวี๋ยมือเท้าว่องไว เขาเหาะถอยหลังไปวูบหนึ่ง คนลอยออกไปด้านนอกห้องอย่างรวดเร็ว
พลังวิญญาณนั่น….ขนาดยังไม่ทันสัมผัสโดนเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวทั่วร่าง ชั่วพริบตานั้นเหมือนมีงูพิษที่หนาวเย็นจำนวนมากมายชอนไชเข้าไปในร่างกายของเขา
คนผู้นี้……
ทันทีที่เขาเหาะออกไปจากห้อง ท่านเจ้าสำนักก็โบกแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ประตูหยกก็ปิดลงอย่างแน่นหนาในทันที
“หากยังจะมารบกวน ข้าจะเฉือนเจ้าทิ้งเสีย”
น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาดังออกมาจากด้านในประตู สะท้อนออกไปทั่วจุ้ยเซียนจู
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ราวกับคมดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายผู้คน
ยามนี้เป็นกลางดึกสงัดแล้ว ที่จริงผู้คนไม่น้อยต่างก็หลับใหลไปแล้ว แต่น้ำเสียงที่เหมือน ‘แทงเข้าไปในร่าง’นั่น กลับทำให้ผู้คนเจ็บปวดจนสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่ง ต่างก็อกสั่นขวัญผวาจนได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง
ใครกัน….พวกเขาที่กำลังหลับอยู่ไปล่วงเกินมหาเทพองค์ใดเข้าหรือ?
แต่ละคนต่างก็ยกมือขึ้นมาลูบคำลำคอของตนเองไปตามๆกัน ต่างก็รู้สึกปวดแสบบนลำคอขึ้นมา ราวกับว่าถูกคนเอาดาบทาบลงไป
ตู๋กูเจวี๋ยถูกขังเอาไว้ที่ด้านนอก ดวงตาของเขาจับจ้องเข้าไปด้านในอย่างกับจะทำให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เขายื่นมือออกไปผลักประตู ทั้งๆที่ยังไม่ทันจะสัมผัสโดนประตู แต่พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสายหนึ่งกวาดผ่านออกมาทางประตู จนฝ่ามือของเขาถูกกรีดเป็นแผลแผลหนึ่ง
ปากแผลลึกจนเห็นกระดูก เจ็บไปถึงหัวใจ เลือดสดๆไหลหยดออกมาในทันที
หากว่าเมื่อครู่เขาชักช้าไปก้าวหนึ่ง เกรงว่าสิ่งที่พลังวิญญาณบนประตูนั่นกรีดผ่าน จะไม่ใช่ฝ่ามือ แต่ว่าเป็นศีรษะของเขาแทน
คราวนี้ ตู๋กูเจวี๋ยค่อยนึกอะไรขึ้นมาได้ว่า ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งของจุ้ยเซียนจูคือสถานที่ใดกัน
มีแต่ผู้ที่ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งยอมรับเป็นเจ้านายเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้
หากผู้อื่นคิดจะเข้าไป จำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจาก ‘ผู้เป็นเจ้าของ’ เสียก่อน ตอนนี้เขาถูกเจ้าสำนักตัวร้ายนั่นขับไล่ออกมา หากไม่ได้รับอนุญาตจากคนผู้นั้นย่อมเข้าไปไม่ได้
ดินแดนจิ่วโจวกว้างใหญ่ไพศาล ในบรรดาสิ่งต่างๆที่เขาเคยพบเคยเห็นมา ห้องที่สามารถจดจำเจ้านายได้ มีอยู่เพียงห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น
ดังนั้นแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีเจ้าแคว้นทั้งห้ามาเยือน ก็ยังไม่เคยมีใครเข้าไปในห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งมาก่อนแม้แต่เพียงผู้เดียว
ตู๋กูเจวี๋ยยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง พอฟังจนแน่ใจแล้วว่าภายในห้องไม่มีเสียงอะไรแปลกๆดังออกมา เขาถึงได้ยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาประคองทรวงอกเอาไว้ อาจเป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย จึงได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดในเส้นชีพจร
สีหน้าของตู๋กูเจวี๋ยซีดขาวลงไปอีกหลายส่วน ในแววตาก็มืดครึ้มลงไปอีกเช่นกัน
……………………..
เย็นวันถัดไป เหนือเหล่าจุ้ยเซียนจูขึ้นไป เป็นเกาะร้างลอยได้แห่งหนึ่ง
แสงอาทิตย์อัสดงสีส้มอาบย้อมเกาะลอยได้แห่งนี้จนกลายเป็นส่องประกายเป็นวงชั้นหนึ่ง กระเรียนเซียนขยับปีร่อนผ่านหมอกเมฆออกไป พลางส่งเสียงกู่ร้องสะท้อนไปในอากาศ
ใต้เกาะที่ว่างเปล่า ผู้คนด้านล่างพากันมองขึ้นมา
ดูสิ นั่นพวกเขาได้เห็นใครกัน …..เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน!
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอยอยู่เสมอ วันนี้พวกเขากลับได้เห็นกับตาตนเองว่า …..เขาขึ้นไปบนเกาะร้างเหนือเหลาจุ้ยเซียนจู!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น