หมอดูยอดอัจฉริยะ 562-569
ตอนที่ 562 ชัยภูมิที่เป็นสิริมงคล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เลือดสีแดงเข้มที่พุ่งออกจากปากเยี่ยเทียน เป็นเลือดที่คั่งอยู่ภายในทรวงอกและบ้วนออกมา หลังจากที่บ้วนเลือดออกแล้ว ชีวิตของเยี่ยเทียนก็ปลอดภัย
“ศิษย์น้องเล็ก เธอ…เธอก็วู่วามเกินไป เมฆสีม่วงที่มาจากทางตะวันออกเหมือนกับว่าเป็นพลังชีวิตของฟ้าและดิน ใช้ว่าคนธรรมดาอย่างพวกเราจะต่อต้านได้หมด? แต่นายกลับจะใช้มันมาเปิดค่ายกลซานฉาย”
เมื่อสงบใจได้แล้ว โก่วซินเจียอดไม่ได้ที่จะตำหนิเยี่ยเทียนสักสองสามประโยค ศิษย์น้องเล็กของตัวเองนั้นมีความใจกล้ามาก การเปิดค่ายกลซานฉายนี้ ทำให้โก่วซินเจียรู้สึกอกสั่นขวัญหายอยู่ในตอนนี้
ต้องรู้ก่อนว่า อาจารย์ฮวงจุ้ยอย่างพวกเขาก็คือการทำเรื่องฝืนต่อสวรรค์ หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวอาจถูกพลังต้านและถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์
แต่ยังไม่พูดถึงเยี่ยเทียนที่ไม่เพียงแค่ตั้งค่ายกลรวมพลังวิญญาณทั้งก้าวดวงพลิกชะตาฟ้าดินเพื่อรับพลังจักรวาล ก่อให้เกิดเมฆสีม่วงที่ปรากฏทางตะวันออกใช้มันช่วยในการเกิดค่ายกลแล้ว โก่วซินเจียได้อ่านประวัติศาสตร์ทั้งโบราณและสมัยใหม่ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้อาวุโสฉีเหมินท่านนั้นมีความชำนาญอันยอดเยี่ยมทางด้านการเขียนเช่นนี้
“ศิษย์พี่ แค่…แค่อาศัยวรยุทธแค่นี้ของผม หลังจากที่เปิดค่ายกลแล้ว ก็ไม่มีพลังหลงเหลือที่จะทำให้ค่ายกลทำงานได้ ถ้าไม่ยืมพลังภายนอก ค่ายกลซานฉายนั้นทำงานไม่ถึงสามบมหายใจก็หยุดแล้ว!”
เยี่ยเทียนยิ้มก็ฝืนยิ้มออกมา ถึงเขาจะยังบาดเจ็บหนัก แต่ว่าสติปัญญาของเขากลับชัดเจนเป็นอย่างมาก เมื่อนึกถึงการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ จึงมีเหงื่อเย็นไหลทั้งตัว
เยี่ยเทียนใช่ว่าจะไม่คำนึงถึงผลของการยั่วโทสะของสวรรค์ก่อให้เกิดพลังย้อนกลับของหยวนชี่ เพียงแต่ว่าเขาเองเข้าใจวิธีการประทับตราคำพูดที่สัตย์จริงเป็นพิเศษ สามารถใช้พลานุภาพของสวรรค์ที่บังเกิดขึ้น หลบซ่อนเส้นทางของตัวเอง
เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนคิดไม่ถึง ตอนที่เมฆสีม่วงจากทิศตะวันออกใกล้เข้ามานั้น ค่ายกลซานฉายกลับไม่สามารถผสมผสานกันได้อัตโนมัติ เยี่ยเทียนจึงจับข้อนิ้วสวดมนต์แบบเต้าหยิน ให้ค่ายกลซานฉายเริ่มเปิดออก แล้วกลืนเมฆสีม่วงที่มาจากทิศตะวันออกลงไป
แต่ว่าด้วยเหตุการณ์เช่นนี้การหลบซ่อนตัวของเยี่ยเทียนจึงถูกเผยออกมา แม้ว่ากลุ่มเมฆสีม่วงที่มาจากทิศตะวันออกมีร่องรอยของพลังงานที่รวบรวมอยู่ในตัวเขาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังพลาดท่าทำให้เยี่ยเทียนเกือบตายได้
ตอนนี้นึกย้อนไปถึงความเสี่ยงในช่วงนี้ เยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกกลัวในตอนหลังเช่นกัน
เขาประสบกับหายนะหลายอย่างตั้งแต่เดินทางสายนี้ แต่มีครั้งนี้ที่เฉียดตายมากที่สุด เพราะว่าพลานุภาพแห่งฟ้าดินกลุ่มนั้น ทำให้ในใจของเขาไม่เกิดความคิดใดๆ ที่จะต่อต้านมันเลย
“คราวหน้าจะเป็นแบบนี้ไม่ได้อีก การต่อต้านชะตาครั้งนี้ของนาย จะทำให้การทำงานของกฎแห่งสวรรค์และโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วน ตอนนี้อาจจะยังไม่ปรากฏให้เห็น แต่ในวันข้างหน้ายากที่หลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นกับตัวนาย”
หลังจากที่ได้ฟังเยี่ยเทียนอธิบายเสร็จ โก่วซินเจียจึงส่ายหน้า พร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม จากความเข้าใจวิชาและวรยุทธของเขา จึงสามารถสัมผัสการแสดงวิชาของเยี่ยเทียนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างฟ้าดินอยู่เล็กน้อย
ต่อให้เยี่ยเทียนแข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คือร่างกายของมนุษย์ ยังคงต้องประสบกับพันธนาการของกฎแห่งฟ้าดิน เว้นเสียแต่เขาสามารถเข้าไปในอาณาจักรของลัทธิเต๋าในตำนาน แบบนั้นอาจจะทำให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารนีจริงก็เป็นได้
“หืม? กฎแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง แล้วจึงคิดคำนวณในใจด้วยความเคยชิน กลับทำให้เขารู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมากะทันหัน ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมา
“เยี่ยเทียน นายอยากตายหรือไง?”
เมื่อจั่วเจียจวิ้นเห็นท่าทางของเยี่ยเทียน จึงรีบประคองเขาไว้ และวางตัวเขาลงอย่างช้าๆ พลางบ่นว่า “สภาพของนายตอนนี้ ยังคิดอยากจะทำนายชะตาฟ้าดิน?”
“แค่กๆ ผม…ผมประมาทอีกแล้ว…”
เยี่ยเทียนไอออกมาเป็นเลือด และพยายามฝืนยิ้มออกมา เขาไม่สามารถพูดได้ว่าปกติตัวเองทำนายชะตาฟ้าดิน มีหรือที่จะไม่สูญเสียพลังและสติบ้าง?
แต่ว่าครั้งนี้เยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บหนักจริงๆ ถึงแม้ว่าจะใช้สมองทำนายโดยอัตโนมัติ แต่เขากลับไม่สามารถเสริมพลังฟ้าดินที่สอดคล้องกันได้ จึงทำให้บาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น
“อา…อาจารย์ ท่าน…ท่านเป็นอะไรครับ?” เสียงร้องด้วยความตกใจกับเสียงของวัตถุหนักดังมาจากหน้าประตูบ้าน เป็นตอนที่โจวเซี่ยวเทียนทราบข่าวและรีบมาพอดี
โจวเซี่ยวเทียนไม่มีกุญแจของบ้าน แต่เมื่อนั่งรถมาถึงหน้าประตู มองผ่านรั้วเหล็กนั่นจึงมองเห็นเยี่ยเทียนนอนอยู่บนพื้น จึงข้ามรั้วเหล็กบานนั้นด้วยความร้อนใจ
และมาอยู่ตรงหน้าอาจารย์เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อได้เห็นคราบเลือดที่อยู่บนเสื้อผ้าสีขาวและสีหน้าซีดเซียวที่ดูไม่ได้ของเยี่ยเทียน ดวงตาของโจวเซี่ยวเทียนจึงแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่เป็นไร เซี่ยวเทียน ประคองฉันไปนั่งตรงลานชมวิว…”
เยี่ยเทียนโบกมือไปมา ครั้งก่อนที่เขาได้ช่วยหลี่ซั่นหยวนฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา จึงทำให้อายุขัยลดลงไปสิบปี เหตุผลสำคัญตอนนั้นวรยุทธของเขายังไม่พอ บวกกับเสียพลังจิตมากเกินไป แต่เทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่เหมือนกันเท่าไร
ถึงแม้ครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่ปรับร่างกายให้ดีก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ในไม่ช้า ถึงดูแล้วจะน่าเวทนา แต่ความจริงแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากมาย
แต่คฤหาสนหลังนี้ของเยี่ยเทียนเป็นสถานที่ที่พลังวิเศษสมบูรณ์ที่สุด และปากมังกรก็อยู่ที่ลานชมวิวนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพียงแค่นั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญตน จึงเป็นประโยชน์มากต่อการฟื้นฟูของร่างกาย
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ครั้งนี้เยี่ยเทียนประมาทเอง ทำให้พี่ทั้งสองต้องเหนื่อยและได้รับบาดเจ็บไปด้วย อย่างอื่นจะไม่พูดถึงแล้ว พลังหยวนชี่ของที่นี่มีมากมายและอุดมสมบูรณ์ พวกเรามาฟื้นฟูรักษาอาการบาดเจ็บกันก่อนเถอะ!”
หลังจากนั่งบนเบาะทรงกลม ณ จุดชมวิวแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะออกมาอย่างขอโทษ และหันไปพูด “เซี่ยวเทียน ฉันจะบอกใบสั่งยาให้ นายเอาไปที่ร้านยาจีน และให้เจ้าของร้านยาจีนต้มให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยเอากลับมา!”
เยี่ยเทียนดูออกว่า อาการบาดเจ็บของโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นไม่ได้หนักเท่ากับเขา แต่ก็บาดเจ็บไปถึงอวัยวะภายใน อีกทั้งอายุของทั้งสองคนนั้น ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลาล่ะก็ กลัวว่าจะทำให้ป่วยหนักได้
“อาจารย์ ถ้าผม…ถ้าผมไปแล้ว พวกท่าจะทำยังไงครับ?” โจวเซี่ยวเทียนพูดด้วยความลังเลใจ เพราะสภาพของเยี่ยเทียนเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่อยากจะไปไหนจริงๆ
“ไม่เป็นไร รีบไปรีบกลับ นายแค่จำยาที่ฉันบอกให้แม่นยำ เมื่อต้มยาตามใบสั่งยาเสร็จแล้วหนึ่งชุด สองอันหลังให้ต้มอีกสองชุด!”
เยี่ยเทียนใช้มือขวายันพื้นเล็กน้อย บังคับตัวเองให้นั่งตัวตรง ปากพูดยาสองอย่างกับขั้นตอนในการต้มยา และโบกมือให้โจวเซี่ยวเทียนรีบออกไป
เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ออกไปไกลแล้ว เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียทั้งสามคนจึงหลับตาพร้อมกัน กำหนดวิธีลมหายใจ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายในร่างกาย
ซึ่งไม่เหมือนกับตอนตั้งค่ายกลในตอนแรก ถึงแม้ในคฤหาสน์จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิเศษจำนวนมาก แต่กลับไม่สร้างความบาดเจ็บให้กับเยี่ยเทียนทั้งสามคน พลังเหนือธรรมชาติค่อยๆ ซึมผ่านเข้าไปภายในร่างกายของพวกเขา รักษาส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง
“อาการบาดเจ็บสาหัสนี้ถ้าไม่เกินสิบวันหรือครึ่งเดือน อย่าคิดว่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้”
เยี่ยเทียนหลับตาสำรวจสถานการณ์ภายใน พลางหัวเราะในใจอย่างขมขื่น ภายใต้การโจมตีของเมฆสีม่วงจากทิศตะวันออกนั้น อวัยวะภายในของเยี่ยเทียนล้วนถูกทำให้แตกหัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีทักษะและฝึกฝนร่างกายจนสุดยอดแล้ว เกรงว่าเขาคงจะตายไปนานแล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนปกติทั่วไป แม้จะไม่ตายแต่ก็คงนอนซมเป็นโรคไปตลอดชีวิต แต่ภายในบ้านหลังนี้ เยี่ยเทียนกลับใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ในการรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้
เวลานี้ค่ายกลรวมพลังวิญญาณทั้งก้าวดวงก็ปรากฏออกมา ความรู้สึกของพลังเหนือธรรมชาติที่เข้มข้น ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายของทั้งสามคนอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณทั้งหมดของพลังเหนือธรรมชาติกลับไม่ลดลงเลย
โชคดีที่เป็นเพราะค่ายกลรวมพลังวิญญาณทั้งก้าวดวงเพิ่งสร้างใหม่ ถ้าเปลี่ยนเป็นที่เรือนสี่ประสานของปักกิ่ง ภายใต้การรวมพลังของศิษย์พี่น้องทั้งสามคนได้ดูดซับพลังเหนือธรรมชาติเข้ามา แต่ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงค่ายกลนั้นยังสู้การสูญเสียพลังของเขาพวกเขาไม่ได้
เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมงกว่า เค้าโครงใบหน้าที่ขาวซีดของเยี่ยเทียน ในที่สุดก็ค่อยๆ จางหายไป แต่ยังคงมีสีหน้าซีดเหลืองอยู่บ้าง ท่าทางเหมือนคนป่วยและอ่อนแอมาก
ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นนั้น อาการบาดเจ็บกลับฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว เดิมทีสีหน้าที่ซีดเซียว ตอนนี้เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมา หากใช้เวลาสามถึงห้าวัน ร่างกายก้สามารถฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้
ถึงแม้พวกเขาทั้งสามคนจะมีวรยุทธที่สูง แต่ก็ไม่สามารถมัวแต่จะดูดซับพลังเหนือธรรมชาติอย่างเดียว หลังจากรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น พวกเขาทั้งสามก็ลืมตาพร้อมกัน
“ชัยภูมิที่เป็นสิริมงคล เป็นชัยภูมิที่เป็นสิริมงคลจริงๆ!”
คำแรกที่โก่วซินเจียพูดเมื่อลืมตาขึ้นเต็มไปด้วยความรู้สึกปลงอนิจจัง ถ้าพวกเขาสามารถเด็กลงได้สักสิบกว่าปี และได้ฝึกวรยุทธอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ตลอดล่ะก็ กระทั่งโก่วซินเจียอาจจะฝึกวรยุทธจนถึงขั้นหลุดพ้นและกลับคืนสู่ความว่างเปล่าไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขาอายุเก้าสิบกว่าปีแล้ว ความเข้มแข็งและแข็งแกร่งของจิตใจกับกำลังวังชาได้หายไปหมดแล้ว จึงได้แต่อาศัยพลังเหนือธรรมชาติบำรุงร่างกาย และไม่สามารถบรรลุขึ้นได้อีกต่อไป
จั่วเจียจวิ้นก็ถอนหายใจ “คุ้มค่าแล้ว หากได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้ ต้องมากกว่าสิบเท่า ก็คุ้มค่าแล้ว!”
เดิมที่จั่วเจียจวิ้นกับเยี่ยเทียนเสียเงินไปจำนวนมากเพื่อสร้างค่ายกลสองอันนี้ แต่ก็ยังรู้สึกตำหนิอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็ใช้เงินทองมากกว่าหนึ่งพันล้านในการลงทุน
หลังจากได้รับความมหัศจรรย์ของค่ายกลด้วยตัวเองแล้ว ความคิดเล็กคิดน้อยของจั่วเจียจวิ้นจึงหมดไปนานแล้ว ต่อให้เขาต้องล้มละลายเพื่อแลกกับสถานที่แบบนี้ จั่วเจียจวิ้นก็ยินยอมด้วยความสมัครใจ
แม้ว่าค่ายกลจะเริ่มทำงานมาจนถึงตอนนี้ แต่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแปดชั่วโมง แต่คฤหาสน์หลังนี้ของเยี่ยเทียน กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเลยทีเดียว
ถึงแม้บ้านหลังนี้จะเพิ่งตกแต่งใหม่ แต่กลับขาดความมีชีวิตชีวา สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ตลอดทั้งปี
แต่ว่าคฤหาสน์ในตอนนี้ มีพลังวิเศษล้อมรอบอยู่ แผ่ซ่านความมีชีวิตชีวาอย่างมหาศาลออกไป ทำให้พืชที่เพิ่งย้ายเข้าไปปลูก สดใสสีเขียวขจีเต็มไปหมด เหมือนกับเพิ่งถูกล้างน้ำสะอาดไป
อีกทั้งพวกดอกไม้สดที่ยังไม่ถึงฤดูกาลผลิบาน ก็ผลิบานขึ้นมาในเวลานี้ ส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่วทั้งสวนดอกไม้ ทำให้คนที่ได้กลิ่นเกิดความเคลิบเคลิ้ม
และสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือ ในพื้นที่ที่พืชสวนดอกไม้นั้นงอกงาม กลับมีการรวมตัวกันเข้ามาของกลุ่มเมฆหมอกเป็นกระจุก โอบล้อมไปรอบบ้าน ทำให้ดูแล้วราวกับอยู่บนสวรรค์วิมาน
ดังนั้นที่โก่วซินเจียพูดว่าชัยภูมิที่เป็นสิริมงคล จึงไม่ได้ดูคุยโม้โอ้อวดจริงๆ และเกรงว่าถ้ำที่คนในสมัยโบราณใช้ในการฝึกบำเพ็ญตบะ คงจะสู้พลังเหนือธรรมชาติที่เปี่ยมล้นของที่นี่ไม่ได้แน่นอน
แน่นอนว่า พวกนี้สามารถมองเห็นได้จากภายในบ้าน แต่จากการปลุกเสกค่ายกล หากมองจากนอกบ้าน กลับเป็นบ้านที่ล้อมด้วยภูเขาเท่านั้น ไม่ได้มีความแปลกอะไร
เมื่อพูดถึงทิวทัศน์ภายในสวนนี้ เยี่ยเทียนก็มองด้วยความรู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน หลังจากร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนแล้ว จึงพูดว่า” ศิษย์พี่ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเรากลับไปที่ห้องกันเถอะ!”
หากเป็นวันธรรมดา แม้ว่าอากาศจะร้อนสูงถึงสามสี่สิบองศา เยี่ยเทียนก็ไม่มีเหงื่อไหลออกมาสักหยด เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแอ จึงทนความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมาไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก นายช้าๆ นะ!” เยี่ยเทียนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ยืนขาโอนเอนเล็กน้อย จั่วเจียจวิ้นจึงรีบประคองเยี่ยเทียนเอาไว้
ตอนที่ 563 ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ร่างกายผมอ่อนแอจนโดนลมพัดก็ปลิวแล้วเหรอ?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น ในเวลาเดียวกันก็ได้เตือนสติของตัวเองอยู่ภายในใจ วันหน้าจะเล่นมากเกินไปแบบนี้ไม่ได้อีก เขาคงไม่ได้โชคดีทุกครั้ง เพราะพลังแห่งสวรรค์ยากจะคาดเดา ไม่แน่วันไหนเขาอาจจะหกล้มลงตีลังกาก็เป็นได้
ถูกจั่วเจียจวิ้นประคองอยู่ เมื่อกี้ตอนที่เดินไปถึงห้องรับแขก เสียงเบรกของรถก็ดังขึ้นมาจากประตูของบ้าน สองมือของโจวเซี่ยวเทียนถือกระติกน้ำร้อนไว้สามขวด และรีบเปิดประตูเดินเข้ามา
หลังจากที่เห็นข้างหลังของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนจึงแอบโอดครวญ เพราะตัวเองลืมกับชำกับเขา และเจ้าหนุ่มนี้ก็เรียกพ่อแม่มาด้วย
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนค่อยๆ เดินไปข้างหน้าของเขาแล้วพูดว่า “อาจารย์ พวกเขาจะมาให้ได้ ผมไม่รู้จะห้ามยังไงครับ”
“ช่างเถอะ เข้าไปข้างในก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา ใบหน้าแสดงรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมา พูดกับคนที่อยู่ด้านหลังของโจวเซี่ยวเทียนว่า “พ่อครับ ท่านทั้งสองมาได้ยังไงครับ? บ้านของผมยังจัดไม่เสร็จเลย”
เหตุผลที่เยี่ยเทียนไม่อยากให้พ่อแม่มานั้นก็เพราะว่า หนึ่งกลัวว่าพวกเขาจะเป็นห่วงสุขภาพของตัวเอง สองพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่ภายในบ้านนี้รุนแรงเกินไป กลัวว่าพวกเขาทั้งสองจะทนไม่ไหว
ต้องรู้ว่า พลังเหนือธรรมชาติมีประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังมีขอบเขตที่จำกัด
ก็เหมือนกับโสมที่สามารถบำรุงและรักษาผู้ป่วยที่มีไตอ่อนแอ แต่หากคุณปราศจากโรคภัยเป็นคนที่มีสุขภาพดีและกลืนกินโสมเข้าไป อาจจะทำให้ร่างกายของคุณจะมีหยางมากเกินไป ทำให้ปากและจมูกเลือดออก
พลังเหนือธรรมชาติก็เช่นกัน เหมือนกับตอนนี้ภายในบ้านพักตากอากาศพลังเหนือธรรมชาติที่ปริมาณและคุณภาพ มันเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับพวกเยี่ยเทียนสองสามคน แต่สำหรับเยี่ยตงผิงคู่สามีภรรยา กลับไม่ใช่เรื่องดีอะไรมากนัก
“เยี่ยเทียน ทำไม…ทำไมลูกถึงมีสภาพเป็นแบบนี้?”
หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้าน ซ่งเวยหลันก็จ้องมองไปที่ตัวของลูกชาย และตะลึงกับเลือดที่ตรงหน้าอกเสื้อเช่นนี้
ซ่งเวยหลันพยายามเก็บความรู้สึกของตัวเอง ไม่ได้โผเข้าไปหาก่อนเป็นอย่างแรก แต่ดางตากลับมีน้ำตาเต็มเบ้าตาแล้ว
“ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องเป็นห่วงครับ…”
เมื่อเห็นแม่เบ้าตาแดง ในใจของเยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เหมือนกับในตอนนั้นที่ช่วยท่านนักพรตฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาชีวิต ล้มสลบลงไปในพื้นหิมะ แต่ไม่มีใครที่เข้ามาหามให้ลุกขึ้นเลยสักคน
“ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไร ลูกอาเจียนออกมาเป็นเลือดกี่ครั้งแล้ว?”
ซ่งเวยหลันคว้าข้อมือของลูกชาย พูดว่า “ไม่ได้แล้ว ไปโรงพยาบาลกับแม่ แบบนี้จะรอดได้ยังไง?”
“เอ่อ ไม่เป็นไรจริงๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมให้โจวเซี่ยวเทียนต้มยาจีนให้แล้ว บำรุงนิดหน่อยก็ดีขึ้นแล้วครับ!”
เวลานี้เยี่ยเทียนก็ไม่มีแม้แต่แรง เมื่อถูกแม่ช่วยพยุง ทันใดนั้นเขาก็โซเซ อีกนิดเดียวก็เกือบล้มลงไปกับพื้น ทำให้ซ่งเวยหลันตกใจจนต้องปล่อยมือ
“เวยหลัน ฟังที่ลูกชายพูดเถอะ คราวที่แล้วเขาลุงหลี่ฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาชีวิต ยังอาเจียนเป็นเลือดเยอะกว่าครั้งนี้อีก”
เยี่ยตงผิงดึงภรรยาเอาไว้ แม้ว่าภายในใจของเขาก็ยังคงเป็นห่วงมากเช่นกัน แต่ว่าเรื่องของเยี่ยเทียน เยี่ยตงผิงที่เห็นจนชินแล้ว เมื่อเห็นว่าลูกชายยังสามารถลุกขึ้นยืนแล้วพูดได้ นั้นก็หมายความว่าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรมาก
“เยี่ยตงผิง มีใครเป็นพ่อแบบคุณบ้าง?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนที่สภาพดูน่าเวทนา ซ่งเวยหลันรู้สึกโมโหในใจไม่มีที่ระบาย ทันใดนั้นก็ส่งเสียงโวยวายใส่สามี “ลูกชายกลายเป็นสภาพแบบนี้แล้ว เธอยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก? ถ้ารู้แต่แรก ตอนนั้นฉันคงพาเยี่ยเทียนกลับไปอยู่อเมริกาแล้ว!”
“ผม…ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนี่นา?” เยี่ยตงผิงมองไปที่ลูกชายสีหน้าที่ซ่อนความขมขื่น ตอนนี้เขารู้สึกว่าฐานะของตัวเองที่อยู่ในบ้านยิ่งลดลงเรื่อยๆ
“ผมว่า พวกท่านทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลยดีไหมครับ?”
เยี่ยเทียนมองไปที่พ่อแม่อย่างร้องไม่ได้หัวเราะไม่ออก พลางพูดออกมาด้วยเสียงที่เหนื่อยล้า “ผมยังต้องทานยาอีกนะ เมื่อวานก็ยุ่งทั้งคืนเลย ได้โปรดให้ผมได้พักผ่อนสักหน่อยเถอะครับ”
พูดความจริง เยี่ยเทียนก็สงสารพ่อมากๆ พวกเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมากว่ายี่สิบปี ความสัมพันธ์เป็นเหมือนพี่น้องมากกว่า ปกติเวลาพูดคุยกันก็ไม่ค่อยได้ระวังอะไรมากมาย
แต่ว่าหลังจากที่ซ่งเวยหลันเข้ามาในชีวิตของทั้งสองคน มีเรื่องมากมายเกิดความเปลี่ยนแปลง ขอเพียงพ่อพูดประโยคหนักนิดเดียว แม่ก็จะไม่ตอบ ทั้งสองคนทะเลาะกันทุกครั้ง สาเหตุหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เพราะเยี่ยเทียนลูกชายคนนี้
“ได้ เยี่ยเทียน เร็ว รีบทานยาเร็วๆ ถูกพ่อของลูกทำให้โกรธจนสับสนไปหมดแล้ว!”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของลูกชาย ซ่งเวยหลันหยุดทะเลาะทันที ยื่นมือประคองเยี่ยเทียน พาเขาไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก
ต่อหน้าลูกชายและสามี ซ่งเวยหลันไม่เคยแสดงท่าทีที่น่าเกรงขามในฐานะเจ้าของบริษัทข้ามชาติเลย ถ้าหากไม่ได้ออกไปทานข้าวนอกบ้าน เรื่องล้างผักทำกับข้าวก็คือหน้าที่ของเธอ จากจุดนี้ ซ่งเวยหลันถือว่าเป็นทั้งแม่ที่ดีและภรรยาที่ดีเลยทีเดียว
“ศิษย์พี่ ทานสามครั้งทุกวัน และอาการบาดเจ็บของพวกพี่ก็จะดีขึ้นภายในสามวันครับ!” หลังจากที่ถามถึงยาต้มตามใบสั่งยาทั้งสามขวดในกระติกน้ำร้อนกับโจวเซี่ยวเทียนอย่างละเอียดแล้ว เยี่ยเทียนก็เลื่อนกระติกน้ำร้อนทั้งสองขวดไปที่หน้าของโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น
สรรพคุณของยาจีนทั้งสองอย่างที่เขาเอามาผสมเข้าด้วยกันมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ลักษณะยาที่ให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นจะค่อนข้างอ่อนกว่านิดหน่อย ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับเส้นลมปราณ แต่ยาของเขานั้น เอาไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอวัยวะที่อยู่ภายใน
โจวเซี่ยวเทียนทำงานละเอียดมาก ซื้อกระติกน้ำร้อนสามขวนมาใส่ยาที่ต้มเสร็จโดยเฉพาะ หลังจากที่เปิดกระติกน้ำร้อน ไอร้อนก็ลอยขึ้นมา ห้องรับแขกอวบอวลไปด้วยกลิ่นยาจีน
หลังจากที่ดื่มยาจีนเข้าไปในท้องแล้ว ร่างกายของเยี่ยเทียนก็มีเหงื่อไหลออกมาเยอะมาก ใบหน้าสีเหลืองของเขาก็กลับมาดีขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าก็ยังมีสภาพที่ป่วยและอ่อนแรงอยู่
“เฮ้ พ่อว่านะ แกอยู่ที่นี่แตกต่างจากเมื่อสองสามก่อนมากหรือเปล่า?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดื่มยา เยี่ยตงผิงก็เดินไปปิดประตูของบ้าน พอตอนที่เดินกลับมาสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความงามในสวน
“ที่ผมเป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่เพราะค่ายกลนี้หรือ?”
เรื่องของค่ายกลรวมรวมพลังเหนือธรรมชาติในเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่ง พ่อก็รู้ เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้คิดปิดบังพวกเขา และอธิบายให้ฟังอย่างง่าย
“มหัศจรรย์ขนาดนี้เชียว?”
หลังจากที่ได้ยินลูกชายพูดเสร็จ ซ่งเวยหลันก็รีบวิ่งไปที่ประตูแล้วมองดูด้วยความแปลกใจมาก ถึงเธอจะมีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่อดตกตระลึงกับความสวยงามของวิวที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้
ปุยเมฆเป็นสายที่ไม่กระจัดกระจายอยู่กันเป็นกลุ่ม พระอาทิตย์ที่ส่องแสงลงมากระทบ ทำให้เกิดสีสันสวยงามมากมาย พลิ้วไหวอยู่กลางสวนดอกไม้พืชพรรณ มองดูแล้วคล้ายกับอยู่ในสวรรค์วิมาน
“ทำไมฉัน…ทำไมฉันถึงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา?” ขณะที่หันกลับมาที่ห้องรับแขก ร่างกายของซ่งเวยหลันก็เซไปเซมา ถ้าหากไม่ได้เยี่ยตงผิงประคองไว้ อีกนิดเดียวก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้นแล้ว
“บ้าจริง ทำไมถึงลืมเรื่องที่พูดเมื่อครู่นะ?”
หลังจากที่ได้เห็นท่าทางของแม่แล้ว เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะด่าตัวเอง เมื่อครู่ตอนที่เข้าไปห้ามพ่อแม่ทะเลาะกัน บวกกับตัวเองทานยาแล้ว แต่ดันลืมเรื่องที่คนธรรมดาไม่ควรอยู่ที่นี่นาน
ยังดีที่พ่อแม่อยู่ที่นี่ไม่นานเท่าไร เยี่ยเทียนจึงรีบพูด “พ่อ พวกคุณรีบขึ้นไปที่ห้องที่สามของชั้นสอง และห้ามออกมา ถ้าผมไม่ได้เรียกห้ามออกมานะครับ!”
เยี่ยเทียนได้สร้างค่ายกลภายในห้องนอนสองสามห้องของชั้นสอง เพื่อแยกพลังเหนือธรรมชาติไม่ให้เข้ามา อีกอย่างหนึ่งคือสามารถให้คนปกติทั่วไปอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวก่อน
เยี่ยเทียนมอบหยกสีแดงชั้นสูงชิ้นนั้นให้กับจั่วเจียจวิ้น นอกจากกำไลหยกเลือดที่แกะสลักแล้ว ยังเหลือพวกวัสดุที่แตกเป็นเศษจำนวนหนึ่ง ได้ถูกเยี่ยเทียนขอกลับมาทั้งหมด
จากขนาดของวัสดุชิ้นใหญ่ชิ้นน้อยนี้ ถูกแบ่งออกมาเพื่อดัดแปลงและแกะสลักให้กลายเป็นจี้ ต่างหูกับเครื่องแขวนเครื่องประดับชิ้นเล็ก และเตรียมที่จะใช้วิธีการแกะสลักขนาดเล็กแกะสลักบนค่ายกล
ซึ่งแตกต่างจากค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณที่เยี่ยเทียนแกะสลักเป็นปกติ ที่เขาแกะสลักในครั้งนี้กลับเป็นค่ายกลแยกพลังวิญญาณ หากคนธรรมดาทั่วไปใส่เครื่องประดับเหล่านี้ ก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ปกติในบ้านหลังนี้
แต่เวลากระชั้นชิดมากเกินไป เยี่ยเทียนแค่แกะสลักพวกเครื่องประดับหยกแดงชั้นดีเหล่านั้น แต่ยังไม่ทันได้สลักฝังค่ายกลลงไป พ่อกับแม่ก็มาถึงเสียก่อน
หลังจากที่เห็นว่าแม่เดินไปถึงห้องที่อยู่ชั้นสอง อาการเวียนหัวก็ลดลงทันที เยี่ยเทียนจึงถอนหายใจโล่งอก ค่ายกลแยกพลังวิญญาณนั้นเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ดูแล้วประสิทธิภาพของมันก็ถือว่าใช้ได้เลย
ตอนนี้ชี่แท้ของเยี่ยเทียนเหมือนกับถูกโจรขโมยไปจนหมด อีกทั้งยังไม่มีความสามารถไปแกะสลักเครื่องประดับค่ายกล ด้วยความจนใจเยี่ยตงผิงสามีภรรยาทั้งสองจึงได้แต่ออกไปจากคฤหาสน์ และพักที่บ้านของจั่วเจียจวิ้นต่อ
สำหรับวรยุทธของโจวเซี่ยวเทียนนั้นได้ฝึกถึงขั้นพลังแฝงแล้ว ตอนกลางวันฝึกวรยุทธที่ในบ้าน ตอนกลางคืนก็ไปนอนในห้องที่มีค่ายกลอยู่ จึงไม่รู้สึกคาดไม่ถึงกับพลังวิญญาณที่มากเกินไป
เวลาผ่านไปห้าวัน จากการดื่มยาบำรุงร่างกายทุกวัน บาดแผลของโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นก็กลับมาดีขึ้นแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกวรยุทธได้มีการพัฒนาเล็กน้อย
เยี่ยเทียนยังหนุ่มกว่าพวกเขาทั้งสองคน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บหนักกว่า แต่ก็ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมได้สามสี่ส่วน ใบหน้าซีดเหลืองของเขากลายเป็นขาวซีด มองดูแล้วก็ยังเหมือนคนป่วย แต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเขา
อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็เริ่มยุ่งงานขึ้นมา ถึงแม้สำนักฮวงจุ้ยจะสร้างเสร็จแล้ว แต่เรื่องที่ตามมาทีหลังก็มีไม่น้อยเลย อีกทั้งเขายังต้องเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำเพื่อฟังคำอธิบายคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้อง อธิบายบทบาทของสำนักฮวงจุ้ยให้สมาชิกรัฐสภา
แท้จริงแล้ว จั่วเจียจวิ้นไม่ต้องพูดอะไรมากมายก็ได้ เพราะสำนักฮวงจุ้ยนี้มีประโยชน์ที่เด่นชัดอยู่แล้ว
ฤดูร้อนที่ผ่านมา สวนสนุกใกล้ทะเลที่ถูกทิ้งร้างอย่างผิดปกติ แต่ปีนี้กลับเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว นำผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมาสู่หมู่บ้านชาวประมงที่อยู่โดยรอบ สิ่งเหล่านี้มีสาเหตุมาจากสำนักฮวงจุ้ย
……
“ศิษย์น้องเล็ก ทิศตะวันออกประชิดทะเล พลังเหนือธรรมชาติที่มีอย่างต่อเนื่อง สถานที่นี้สามารถใช้เป็นแท่นบูชาของสำนักเสื้อป่านของพวกเราได้แล้ว!”
เมื่อยืนอยู่ที่จุดชมวิว โก่วซินเจียจึงอารมณ์ดีมาก เขาไม่เคยคิดว่าหลังจากที่ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ในป่ามาสี่ห้าสิบปี คาดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้ชีวิตบั้นปลายโลกที่มีที่เป็นดั่งสวรรค์อย่างมีความสุขเช่นนี้
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกับศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ผมยังต้องไปๆ มาๆ ระหว่างปักกิ่งกับฮ่องกงอยู่”
ที่เยี่ยเทียนสร้างค่ายกลนี้สาเหตุก็มาจากสิ่งแวดล้อม แต่ว่ารากฐานของเขายังอยู่ในประเทศจีน มีคู่หมั้นที่กำลังรอเขาอยู่ที่บ้านในที่ปักกิ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องเล็ก พวกนายทั้งสองนี้ว่างจริงๆ เลยนะ!”
เยี่ยเทียนที่กำลังพูดอยู่กับโก่วซินเจีย จั่วเจียนจวิ้นก็เดินเข้ามาจากด้านนอก พูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก มีพิธีเสร็จสิ้นในการวางเสา ฮวงจุ้ยในวันพรุ่งนี้ นายอยากจะมาร่วมงานไหม?”
การสรรเสริญจากโลกภายนอกในทุกวันนี้ ผลักดันให้จั่วเจียจวิ้นไปอยู่บนบัลลังก์ของซินแสฮวงจุ้ยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ว่าคนในครอบครัวก็รู้เรื่องในครอบครัว จั่วเจียจวิ้นไม่กล้าใช้คุณงามความดีนี้มาเป็นของตัวเอง
ตอนที่ 564 งานเลี้ยง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พิธีเสร็จสิ้น? ศิษย์พี่รอง ทำไมถึงยืดเวลามาจนถึงตอนนี้ละ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ระยะในการเริ่มดำเนินการเสาฮวงจุ้ย เวลาก็ผ่านมาห้าหกวันได้แล้ว ทำไมครั้งนี้เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าต้องจัดพิธีเสร็จสิ้นอะไรนี่?
จั่วเจียจวิ้นยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราได้รับบาดเจ็บ จะให้ออกไปร่วมพิธีเสร็จสิ้นได้ยังไง? และสองสามวันนี้เห็นอาการของนายดีขึ้น ฉันเลยจัดตารางเวลา พรุ่งนี้ไปร่วมงานด้วยกันเถอะ ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักกับคนดังที่มีชื่อเสียงในเกาะฮ่องกง”
ในสายตาของคนนอก จั่วเจียจวิ้นก็คือปรมาจารย์ฮวงจุ้ยของการจัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยนี้ ดังนั้นเมื่อไรที่จัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยสำเร็จ ก็ต้องขึ้นอยู่กับจั่วเจียจวิ้นมิใช่หรือ?
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหัวไปมา “ศิษย์พี่ ผมไม่เป็นไรหรอก ต่อไปผมก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศจีนเป็นหลัก ไม่มีความจำเป็นต้องสมาคมกับคนมีชื่อเสียงพวกนั้นหรอก”
แม้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณอาจารย์ฮวงจุ้ยมักจะมีนิสัยของการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ แต่พวกเขาเพียงทำไปเพื่อผลกำไร แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้ขาดแคลนเงิน จึงขี้เกียจที่จะคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้น
“ศิษย์น้องเล็ก นายยังหนุ่ม จำเป็นต้องมีเส้นสายบ้างนะ…”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จั่วเจียนจวิ้นก็หน้าแดงเล็กน้อย เขาอยู่ในแวดวงขอพวกมหาเศรษฐี ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่ก็ต้องการอย่างอื่น นั้นก็คือคำว่า “ชื่อเสียง”
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “ลาภยศและชื่อเสียง” เดิมทีสองคำนี้คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ จั่วเจียจวิ้นก็ถือว่าเป็นมหาเศรษฐีร้อยล้าน กับคำว่าลาภยศก็ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในเอเชีย มันกลับทำให้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนเขาเองก็ตกใจเช่นกัน
แต่ว่าภายในใจของเขาก็เข้าใจอยู่ว่า จากแนวความคิดสู่การก่อสร้างสำนักฮวงจุ้ย ล้วนแล้วคือเยี่ยเทียนสร้างมันขึ้นมากับมือ เขาทำหน้าที่แค่เป็นคนประสานงาน ถือว่าต้องใช้ความหน้าด้านพอสมควรที่ขโมยคุณูปการของศิษย์น้องเล็ก
“ศิษย์พี่รอง พี่ค่อนข้างชำนาญเรื่องพวกนี้ ผมก็จะขอไม่ออกหน้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้เห็นสีหน้าของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา “พวกเราศิษย์พี่น้องสามคนเป็นหนึ่ อย่าไปคิดถึงเรื่องถ่อมตนอะไรพวกนั้นเลย ศิษย์พี่รองเดิมที่ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว ถ้าก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น มันก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ดีต่อชื่อเสียงของสำนักเสื้อป่านของพวกเรา”
จากตัวของศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจีย เยี่ยเทียนก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย
ศิษย์พี่ใหญ่เคยเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก่อน แต่สุดท้ายก็ถูกบังคับให้ปลดเกษียณไปอยู่ในป่า ดังนั้นถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะยังหนุ่ม แต่สำหรับชื่อเสียงและลาภยศ เขาก็ยังไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไรนัก
โก่วซินเจียพยักหน้า แล้วพูด “เยี่ยเทียนที่พูดมาก็ไม่ผิด ศิษย์น้องจั่ว ศิษย์น้องเล็กยังหนุ่ม ถ้าให้ทำตัวอวดตนมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับความอิจฉาริษยา เรื่องฝ่ายราชการเหล่านั้นคงต้องให้นายเป็นผู้รับผิดชอบจัดการแล้วละ!”
“ก็ได้ ศิษย์น้องเล็ก ฉันไม่ได้จะแย่งคุณูปการของนายนะ!” จั่วเจียนจวิ้นตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ว่าก็ยังคงพยายามอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง
ในสมัยโบราณ การแอบอ้างชื่อเสียงของบุคคลอื่นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ดีอย่างยิ่ง แม้แต่ในแวดวงวิชาการสมัยใหม่ ถ้าเกิดว่าบางบทความหรือรายงานถูกคนปลอมแปลงชื่อเสียง นั่นก็ถือว่าเป็นข่าวที่อื้อฉาวใหญ่โต
ดูออกว่าเยี่ยเทียนไม่ได้มีความรู้สึกขัดข้องใจจริงๆ จั่วเจียนจวิ้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็นึกออกมาได้เรื่องหนึ่ง แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็ก พิธีเสร็จสิ้น นายไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นยังมีงานเลี้ยงงานหนึ่ง นายจำเป็นต้องไป”
หลังจากได้ยินคำนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกปวดหัว รีบพูดทันที “อย่าเลย ศิษย์พี่รอง ผมนี่รำคาญที่สุดเลยเวลาที่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงอะไรนั่น ถ้ามีเวลาพวกนั้น ผมขออยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจะดีกว่า”
สำหรับโอกาสที่จะได้สวมสูทจิบไวน์แดงแบบนั้น เยี่ยเทียนอยู่ปักกิ่งก็เคยเข้าร่วมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งราวกับว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นตลอดระยะเวลาสองปีกับงานเหล่านี้ เขาขอตัวอยู่ห่างๆ เสียยังดีกว่า
จั่วเจียนจวิ้นส่ายหน้า พูดว่า “งานเลี้ยงนี้ไม่ใช่แค่นายคนเดียวที่ต้องไป ศิษย์พี่ใหญ่ก็ต้องไปด้วย”
“ฉันก็ต้องไป? ศิษย์น้องจั่ว สภาพของฉันตอนนี้ไม่เหมาะที่จะไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงหรอกหรือ?”
เมื่อโก่วซินเจียได้ยินก็รู้สึกงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก่อนเขาอยู่ที่ประเทศจีนถึงแม้จะมีเพื่อนเยอะ แต่ก็คือศัตรูทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่ออกมาจากภูเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าที่สาธารณะอีกเลย จึงกลัวว่าจะบังเอิญไปเจอกับเพื่อนเก่าที่รู้จักกัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ สภาพหน้าตาของพี่มันแตกต่างกับเมื่อสิบปีที่แล้วเยอะมาก ไม่มีใครรู้จักหรือจำพี่ได้หรอก”
จั่วเจียจวิ้นยิ้มแล้วพูดว่า “งานเลี้ยงที่จัดตอนเย็น จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการจัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยนี้ อีกทั้งพวกปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียงก็ถูกเชิญมาในงานนี้ด้วยเช่นกัน การประชุมครั้งใหญ่แบบนี้ พวกนายไม่อยากเข้าร่วมเหรอ?”
ในฮ่องกงมีประเพณีที่สืบทอดกันมา นั้นก็คือหลังจากที่จัดตั้งสำนักฮวงจุ้ยเสร็จแล้ว ต้องเชิญพวกคนที่มีชื่อเสียงมาช่วยออกความเห็นติชม พูดถึงข้อดีข้อเสียของสำนักฮวงจุ้ยนี้
แม้ว่าจั่วเจียจวิ้นจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เยี่ยเทียนกับสำนักฮวงจุ้ยนี้ก็รู้จักเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายเขาไม่ได้เป็นคนจัดการเอง ในใจจึงรู้สึกในฝ่ออยู่เล็กน้อย จึงอยากเชิญศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็เหมือนกับเป็นการสร้างชื่อเสียงและบารมีให้กับตัวเองมากขึ้น
“อ้อ? อาจารย์ฮวงจุ้ยจากทั่วเอเชีย? เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียมองตากัน ถามว่า “พวกเขาทั้งหมดคือคนในสำนักฉีเหมิน?”
เยี่ยเทียนถามคำถามนี้ค่อนข้างมีระดับ เพราะสังคมในสมัยปัจจุบันนี้ บางคนแค่เพียงศึกษาอ่านจากคัมภีร์โจวอี้ก็กล้าที่จะไปตามท้องถนนแล้วทำนายพยากรณ์ชีวิตให้คนอื่น มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป ถ้าหากในงานเลี้ยงตอนเย็นก็มีคนเหล่านั้นเข้าร่วม พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องออกงาน
จั่วเจียจวิ้นพยายามไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงแต่ว่าปรมาจารย์สองท่านจากสิงคโปร์และไต้หวัน ต้องเป็นคนที่มีวิชาฉีเหมินแน่นอน…”
“ไต้หวัน ใครกัน?” เยี่ยเทียนมองไปที่ศิษย์พี่ใหญ่ ช่วยเขาพูดคำถามนี้ออกมา
“คือลูกศิษย์ของปรมาจารย์หนาน ฉันเคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง”
จั่วเจียนจวิ้นกลัวว่าโก่วซินเจียจะไม่พอใจ จึงรีบอธิบายออกไปว่า “คนคนนั้นน่าจะอายุสิบปี ต้องเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์หนาน เขาจะต้องไม่รู้จักศิษย์พี่ใหญ่แน่นอน!”
“ปรมาจารย์หนาน ใช่หนานไหวจิ่นไหม? เขาก็เป็นคนของสำนักฉีเหมิน?” เยี่ยเทียนได้ยินก็เข้าใจทันที หากสามารถทำให้ศิษย์พี่รองเรียกว่าปรมาจารย์ได้ เกรงว่าในตอนนี้คงมีเพียงหนานไหวจิ่นคนเดียวเท่านั้น
เยี่ยเทียนไม่ค่อยรู้จักจักหนานไหวจิ่นเท่าไร แต่เคยได้ยินอาจารย์พูดถึง คนนี้เป็นคนอัจฉริยะ มีความสามารถในการเข้าใจระดับสูง ไม่ได้อยู่ในระดับที่น้อยไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขา ในวัยเด็กเขาฝึกฝนเล่าเรียนหลักสำคัญของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าหลายวิชา
เดิมทีหลี่ซั่นหยวนจะรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นหนานไหวจิ่นไปกราบของเป็นลูกศิษย์กับเพื่อนเก่า ทำให้ตอนที่หลี่ซั่นหยวนพูดถึง ก็ยังบ่นเพื่อนเก่าคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง
“ที่แท้ก็คือน้องชายหนานไหว ถ้าหากผู้สืบทอดคือเขาจะเจอหน้าหน่อยก็ไม่เป็นไร…”
โก่วซินเจียเมื่อได้ยินก็หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “เขาอยู่ที่ภูเขาชิงเฉิงได้รู้จักกับพระอาจารย์ทางตะวันตก หลังจากนั้นเขาก็ไปไหว้อาจารย์หยวนฮว่วนเซียนของพุทธศาสนานิกายเซนที่อยู่ทางเหนือของมณฑลเสฉวน รวมทั้งร่ำเรียนวิชามวย เคนโด้และศิลปะการต่อสู้ของจีนเป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักฉีเหมินชิงเฉิง!”
ตอนนั้นหนานไหนจิ่นเคยดำรงตำแหน่งอยู่ในพรรคชาตินิยมจีน ในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ควบม้าพยศไปทางตะวันตกเฉียงใต้ และเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโก่วซินเจียระยะหนึ่ง ทั้งสองคนจึงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีมาก
เพียงแต่ว่าในตอนนั้นโก่วซินเจียถูกซินแสเจี่ยงสงสัย ดังนั้นคนที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับเขาก็ถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากหนานไหวจิ่นถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และโก่วซินเจียก็ปิดบังเขาไว้ภายใน แค่ชั่วพริบตา เดียวก็เกือบครึ่งศตวรรษแล้วที่ยังไม่เคยเจอหน้ากัน
“ตกลง อย่างนั้นพวกเราจะไปงานเลี้ยงคืนนี้”
เมื่อได้ยินโก่วซินเจียพูดเช่นนี้ เยี่ยเทียนก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “แต่ว่างานเลี้ยงไม่ใช่การนัดรวมตัวกันของพวกฉีเหมิน ศิษย์พี่รอง ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องแนะนำผมและศิษย์พี่ใหญ่นะ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้นะ!” จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า ธุระของเขาค่อนข้างเยอะ หลังจากพูดคุยกับเยี่ยเทียนทั้งสองคนได้ไม่กี่ประโยคแล้วก็รีบจากไป
เช้ารุ่งขึ้นของวันที่สอง เยี่ยเทียกับโก่วซินเจียอยู่ที่จุดชมวิว ก็สามารถมองเห็นเสาฮวงจุ้ยภายในงานที่ดูครึกครื้น ตรงนั้นไม่เพียงมีแต่คนขยับไปมา แถมยังมีการจุดดอกไม้ไฟนานกว่าครึ่งชั่วโมง เห็นได้ชัดว่าคนฮ่องกงให้ความสำคัญกับฮวงจุ้ยนี้เป็นอย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองคน เมื่อฝึกวรยุทธอยู่ในคฤหาสน์เป็นเวลาหนึ่งวัน เวลาสองทุ่มกว่าก็มาถึง จั่วเจียจวิ้นขับรถมารับทั้งสองคนด้วยตัวเอง แน่นอนว่าภายในรถจะขาดหลิ่วติ้งติ้งกับโจวเซี่ยวเทียนไม่ได้
ครั้งนี้ฮ่องกงได้กลับไปเป็นของประเทศจีนแล้ว และเพื่อหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงแบบบนี้ ฝ่ายรัฐบาลจึงไม่รับเป็นฝ่ายจัดงานแล้ว แต่จัดขึ้นในนามส่วนตัว และสถานที่จัดงานที่ถูกจัดขึ้นในสโมสรส่วนตัวชั้นสูง
“ศิษย์พี่รอง พี่พาติ้งติ้งไปก็พอแล้ว พวกเราสองสามคนจะเดินเล่นอยู่แถวนี้แหละ!”
หลังจากที่เข้าไปในงาน เยี่ยเทียนจึงหยุดอยู่หน้าประตู เพราะเขาพบว่าตอนที่จั่วเจียจวิ้นเดินเข้าไปในประตูนั้น ทุกสายตาในห้องโถงขนาดใหญ่มาบรรจบอยู่ที่จุดเดียว
“อ้าว พวกนาย…”
โก่วซินเจียก็อยากจะพูด แต่ก็ถูกกลุ่มคนล้อมตัวเข้ามา ชายชราที่เดินนำคนหนึ่งอายุราวเจ็ดสิบปีก็หัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ปรมาจารย์จั่ว คุณเป็นตัวเอกของค่ำคืนนี้แต่กลับมาสายเชียวนะ?”
ขณะที่ชายชราคนนั้นพูดก็กวาดสายตาไปที่เยี่ยเทียนด้วย แต่เมื่อเห็นพวกเขาไม่ได้เดินตามโก่วซินเจียต่อ จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แล้วดึงจั่วเจียจวิ้นมาพูดต่อ
“โอ้โห งานแบบนี้ถือว่าไม่เล็กเลยนะ มหาเศรษฐีของฮ่องกงมาถึงกันหมดแล้วใช่ไหม?” เยี่ยเทียนมองเข้าไปในกลุ่มคน ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวั่นไหวเล็กน้อย
ชายชราแซ่ฮั่วที่กำลังพูดคนนั้น แม้ว่าฐานะและครอบครัวอาจจะไม่ได้รวยที่สุด แต่ก็มีอิทธิพลต่อสังคมมาก แม้แต่ในฮ่องกงยังเป็นบุคคลสำคัญในระดับผู้นำจีน อย่างหลี่เชาเหรินคนที่ใส่แว่นคนนั้น ยังทำได้แต่ยืนอยู่ข้างหลังของเขา
“ศิษย์น้องเล็ก ทำไมนายต้องสนใจเรื่องพวกนั้นด้วย?”
เมื่อได้เห็นเยี่ยเทียนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย โก่วซินเจียจึงยิ้มพูด “ถ้าหากนายยอม ตัวเอกของวันนี้ก็คือนาย แต่ว่านายอยากจะได้ของพวกนี้จริงๆ เหรอ??”
“ซึ้งในคำสั่งสอนแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ครับ!”
เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะออกมา เขาไม่ชอบชีวิตที่อยู่ภายใต้สปอตไลท์แบบนี้ และสถานะทางสังคมของโลกนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
…….
ในฐานะตัวเอก ถือว่าจั่วเจียจวิ้นมาเร็วเกินไป หลังจากรอให้พวกเยี่ยเทียนนั่งในที่ไกลและลับตาคนแล้ว ก็มีคนทยอยเดินกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากประตูใหญ่
ตรงกลางนี้ก็มีแต่คนที่รู้จักและคุ้นเคยกับเยี่ยเทียน เหมือนกับถังเหวินหย่วนก็พาถังเสวี่ยเสวี่ยมาด้วย เหวินหลนสงกับหวาเหล่าป่านก็มาด้วยเหมือนกัน และด้วยฐานะของพวกเขา จึงสามารถเข้ามาอยู่ในงานแบบนี้ได้
อีกทั้งยังมีพวกคนที่แต่งชุดจีวรของนักบวชเต๋าของสมัยราชวงศ์ถัง เกรงว่าจะเป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยของแต่ละพื้นที่ที่จั่วเจียจวิ้นเคยพูดไว้แน่นอน แต่หลังจากที่เยี่ยเทียนาสังเกตพวกเขาอย่างละเอียดแล้ว ในใจกลับก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ถึงพวกคนเหล่านี้จะมีรูปร่างลักษณะและหน้าตาที่ดูงดงามเป็นอมตะ แต่ว่าภายในร่างกายกลับไม่มีปรารณวิเศษไหลเวียนอยู่เลย จึงไม่นับว่าเป็นคนในสำนักฉีเหมิน
“หืม ทำไม…ทำไมพ่อกับพวกเขาก็มากันด้วย?”
ตอนที่สายตาของเยี่ยเทียนมองไปหน้าประตูใหญ่อย่างไม่ได้ตั้งใจนั้น ก็อดตกตะลึงไม่ได้
ตอนที่ 565 จุดเด่น (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองคนนั้นที่เดินเข้ามาจากประตูใหญ่ที่โออ่าตระการตา ก็คือพ่อกับแม่ของเยี่ยเทียนนั่นเอง เพียงแต่ว่าการแต่งกายของพวกเขานั้น ดูแตกต่างจากแต่ก่อนมาก
ซ่งเวยหลันใส่ชุดราตรีสีดำ บนคอของเธอสวมสร้อยเพชรหนึ่งเส้น ข้อมือขวาของเธอ ยังใส่กำไลหยกจักรพรรดิที่เยี่ยเทียนมอบให้เป็นของขวัญ แสดงให้เห็นถึงลักษณะของความมั่งคั่งและดูมีชาติตระกูล
เยี่ยตงผิงใส่สูทอยู่นั้นเป็นชุดที่เหมาะกับเขามาก ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวดุจหิมะ อีกทั้งยังผูกหูกระต่าย และแว่นตาขอบสีทองที่อยู่บนดั้งจมูก มองดูแล้วเหมือนคนที่มีวิชาความรู้และสง่า
เยี่ยเทียนโตขนาดนี้แล้ว เขาได้เห็นว่าพ่อแต่งตัวอย่างเป็นทางการเช่นนี้ครั้งแรก ตอนงานหมั้นของเขาครั้งนั้น และพ่อก็เลือกใส่ชุดสูทสบายๆ ขนาดหูกระต่ายก็ยังใส่เอียงเลย
คนที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองคน ที่ตามมาด้วยก็คือแอนนา แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะสวมชุดรัดรูปตลอดทั้งปี แม้แต่ในโอกาสแบบนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“สองคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อน?”
“ผู้ชายคนนั้นดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย แต่ผู้หญิงเหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“น่าจะมาจากเมือกนอกหรือเปล่า? อาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลไหนก็ได้?”
โซฟาที่อยู่ข้างเยี่ยเทียน ก็มีเสียงคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันดังขึ้นมา สำหรับคนที่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงนี้ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแต่มหาเศรษฐีของฮ่องกงเท่านั้น แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่คือคนที่รู้จักกันแป็นอย่างดี เหมือนกับเยี่ยตงผิงสองสามีภรรยา น้อยคนนักที่จะรู้จัก
แต่ว่าในฮ่องกงมีลูกสาวลูกชายของพวกมหาเศรษฐีมากมาย ก็ไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตั้งแต่แรกแล้ว จึงจะเห็นคนที่หน้าไม่คุ้นเคยเป็นบางครั้ง ดังนั้นคนพวกนี้จึงคิดว่าเยี่ยตงผิงสองสามีภรรยาน่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลไหนก็เป็นได้
โจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยเทียนก็มองเห็นเยี่ยตงผิงแล้ว เขาคิดว่าเยี่ยเทียนไม่ทันได้สังเกตเห็น จึงรีบใช้มือสะกิดไปที่เยี่ยเทียนแบะพูดว่า “อาจารย์ อาเยี่ยพวกเขามาแล้ว!”
เนื่องจากอายุของโจวเซี่ยวเทียนกับเยี่ยเทียนห่างกันไม่มากเท่าไร ดังนั้นการเรียกชื่อคนในตระกูลเยี่ยของเขาจึงค่อนข้างสับสน เขาเรียกเยี่ยเทียนว่าอาจารย์ แต่ว่าเรียกเยี่ยตงผิงว่าอา ส่วนเยี่ยเทียน ก็เรียกแม่ของโจวเซี่ยวเทียนว่าน้า ทำให้คนนอกได้ยินก็รู้สึกสับสนไปด้วย
“พ่อไม่มีกล้ามาหรอก ว่าแต่ใครเป็นคนเชิญแม่มา?” เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน กำลังเตรียมตัวเดินไปรับ แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่รีบเดินนำหน้าเขา
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดรูปร่างทั้งสูงทั้งใหญ่คนนั้น ก็คือคนรวยเป็นอันดับหนึ่งของคนจีนหลี่เชาเหริน ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังเขา อีกทั้งเขาอาจจะไม่ใช่คนในแวดวงชาวจีนที่ร่ำรวยที่สุด
“คุณหญิงซ่ง รู้สึกดีใจมากที่คุณสามารถมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่งครับ!”
ตอนที่หลี่เชาเหรินที่ยืนระยะห่างประมาณสามสี่เมตร ก็ยืนมือขวาของเขาออกมาก่อน หลังจากที่จับมือกับซ่งเวยหลันแล้ว ก็มองไปที่เยียตงผิง จึงถามอย่างสงสัย “คุณหญิงซ่ง ท่านนี้คือ?”
ตราบใดที่ชาวจีนที่ร่ำรวยมีการลงทุนในยุโรปและอเมริกาเหนือ น้อยมากที่จะไม่มีใครไม่รู้จักท่านประธานหญิงตระกูลซ่งคนนี้ แต่สิ่งที่พวกเขารู้เหมือนกันก็คือ ซ่งเวยหลันโสดมาตลอดยี่สิบกว่าปี เหมือนว่าเธอยังไม่ได้แต่งงาน
ดังนั้นคนที่มีความสามารถรู้จักปฏิบัติตัวในสังคมอย่างหลี่เชาเหริน สายตาของเขาจึงเผยความสงสัยออกมา เพราะมือซ้ายของซ่งเวยหลันคล้องอยู่ที่แขนขวาของผู้ชายคนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองแสดงออกอย่างไม่ธรรมดา
“คุณหลี่ นี้คือสามีของฉันเยี่ยตงผิง พวกเราแต่งงานกันมาหลายปีแล้วค่ะ!” ซ่งเวยหลันยิ้มอย่างสุภาพและสง่า แล้วพูดว่า “คุณหลี่ก็คงไม่ได้ต้อนรับฉันคนเดียวใช่ไหมคะ?”
“ไม่ครับ ไม่ครับ สามีภรรยามาด้วยกันได้ ผมนายหลี่รู้สึกยินดีมากครับ”
หลี่เชาเหรินคือคนที่ผ่านประสบการณ์อันตรายและยากลำบากมาก่อน จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเท่าไร แล้วจึงหัวเราะฮ่าๆ ทันที พลางพูดว่า “คุณหญิงซ่ง ถ้าหากไม่ได้ยินจากคุณถัง ผมก็ไม่รู้ว่าคุณก็มาที่ฮ่องกงด้วย นี่ก็เท่ากับว่าดูถูกเพื่อนเก่ากันเลยนะ?”
บริษัทของหลี่เชาเหรินได้มีการลงทุนโครงการในต่างประเทศจำนวนมากในปี 1980 และยังร่วมทำธุรกิจกับซ่งเวยหลันมากมาย ถือว่ารุ้จักกันมานาน ซ่งเวยหลันมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ก็คือได้รับคำเชิญจากเขาเอง
“ครั้งนี้มากับสามีแบบส่วนตัวค่ะ จึงไม่อยากรบกวนคุณหลี่ วันหลังฉันจะเลี้ยงน้ำชาคุณเป็นการขอโทษแล้วกันนะคะ”
ซ่งเวยหลันยิ้มอย่างพราวเสน่ห์ ระงับอารมณ์และคำพูดเล่นงานหลี่เชาเหรินปัดให้พ้นตัว ในเวลาเดียวกันก็ทักทายเพื่อนที่รู้จักกันอย่างเก่าถังเหวินหย่วน
“แม่นี่สุดยอดจริงๆ สามารถพูดคุยและหัวเราะกับผู้นำธุรกิจจีนมากมายได้ขนาดนี้”
การกระทำของซ่งเวยหลัน ทำให้เยี่ยเทียนได้รู้จักอีกมุมหนึ่งของแม่ แต่ถึงตอนนี้พ่อแม่ถูกคนมากมายมารุมล้อมอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้เดินไปข้างหน้าต่อ ตรงกันข้ามกลับนั่งลงบนโซฟา
“สามีภรรยาคู่นี้คือใครกัน? ขนาดคุณหลี่ก็ยังมาต้อนรับ?”
“นั่นน่ะสิ ดูท่าทางแล้ว ฐานะคงไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณหลี่หรอก แต่…แต่ว่าไม่เคยได้ยินว่ามีคนนี้อยู่ในฮ่องกงนะ?”
พวกคนที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยเทียนเมื่อได้เห็นฉากนี้ ต่างก็กดเสียงพูดนินทาให้ต่ำเสียง
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนที่มีหน้ามีตาในแวดวงธุรกิจของฮ่องกง แต่ระดับก็อาจแตกต่างกับหลี่เชาหรินบ้าง เมื่อเห็นพวกมหาเศรษฐีเหล่านั้นมีความสุภาพกับสามีภรรยา ทำให้ทุกคนต่างคาดเดาอยู่ภายในใจ
“คุณผู้ซ่ง โครงการที่ทวีปออสเตรเลียนั้น พวกคุณพิจารณากันเป็นยังไงบ้างครับ?”
หลี่เชาเหรินก็เป็นคนบ้างาน หลังจากที่พุดคุยกับซ่งเวยหลันไม่กี่ประโยค ก็เปลี่ยนหัวข้อคุยเกี่ยวกับธุรกิจ ก็เหมือนกับภายในงานเลี้ยงนี้ เดิมทีก็คือสถานที่ที่ดีที่สุดในการพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจ
“คุณหลี ช่วงนี้ฉันถอนตัวออกจากระดับการตัดสินใจนโยบายของบริษัทแล้ว คุณให้ลูกน้องของคุณไปประสานงานเรื่องนี้แทนนะคะ วันนี้พวกเราจะไม่คุยเรื่องธุรกิจค่ะ”
ซ่งเวยหลันยิ้มกริ่ม แต่สายตามกลับมองไปรอบๆ ทันใดนั้นดวงตาก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา พูดว่า “คุณหลี่ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เอ่อ…เอ่อ…” หลีเชาเหรินมองดูซ่งเวยหลันคล้องแขนเยี่ยตงผิงด้วยความตกตะลึงอ้าปากค้าง และเดินตรงไปที่มุมหนึ่งของงาน
“เฮ้ เดินมาทางพวกเราแล้ว”
คนที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยเทียน ทยอยนั่งตัวตรง แต่ไม่คิดว่าซ่งเวยหลันจะเดินผ่านพวกเขา และมาอยู่ตรงหน้าของเยี่ยเทียน
“พ่อ พวกคุณสองคนมาได้ยังไงครับ?”
เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนพลางลุกขึ้นยืน เดิมที่เขาอยากมาร่วมงานเลี้ยงนี้อย่างเงียบๆ รู้จักคนสำนักฉีเหมินไม่กี่คนก็พอแล้ว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาที่ไม่อยากเป็นจุดสนใจของคนอื่นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
“ไม่เกี่ยวกับฉันนะ แม่ของแกอยากมาเองต่างหาก” เยี่ยตงผิงแบมือออก เขากับลูกชายนั้นเหมือนกัน ไม่ชอบที่จะร่วมงานเลี้ยงแบบนี้
“แม่มาเพราะอยากรู้ว่าอาการบาดเจ็บดีขึ้นหรือยัง?”
ซ่งเวยหลันทักทายโก่วซินเจียก่อน จากนั้นก็ปล่อยแขนจากสามีและไปคล้องแขนของลูกชาย พูดว่า “ร่างกายของลูกยังไม่ดีขึ้นก็ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ความจริงซ่งเวยหลันเตรียมจะปฏิเสธมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ แต่พอได้ยินหลิ่วติ้งติ้งบอกว่าเยี่ยเทียนก็มา เธอจึงตัดสินใจมาร่วมงาน เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของลูกชาย เธอจึงอดสงสารอย่างช่วยไม่ได้
“ศิษย์พี่รองบอกว่าครั้งนี้คนที่มีอาชีพเดียวกันก็มาด้วย ผมก็เลยอยากมาทำความรู้จักหน่อยครับ”
เยี่ยเทียนไม่อยากพูดอะไรมาก มองไปทางแอนนาที่อยู่ข้างหลังของทั้งสองคน เอ่ยปากถามว่า “แอนนา ช่วงนี้คุณได้ฝึกหายใจถู่น่าตามที่ผมได้สอนหรือเปล่า?”
ตอนที่อยู่ปักกิ่ง เยี่ยเทียนได้ถ่ายทอดวิชาถู่น่าให้กับแอนนา เมื่อผ่านการฝึกฝนสภาพร่างกายของเธอจะค่อยๆ ดีขึ้น เพื่อแก้ไขการบาดเจ็บภายในก่อนหน้านี้
แอนนาตอบกลับด้วยความเคารพ “คุณชาย ฉันจะฝึกฝนทุกวันตอนเช้า รู้สึกดีขึ้นมากค่ะ!”
ความรุนแรงของคนตะวันตกค่อนข้างแข็งแกร่ง มีความอดทนน้อยกว่าคนตะวันออก แต่ว่าแอนนาฝึกฝนวิชาที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดให้เป็นระยะเวลาหลายเดือน ก็รู้สึกว่าร่างกายมีความอดทนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
นี่จึงทำให้แอนนารู้สึกได้ถึงความเกรียงไกรของเยี่ยเทียน หลายต่อหลายครั้งที่อยากจะไหว้เป็นศิษย์กับเยี่ยเทียน แต่ก็ถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างๆ ทุกครั้ง
“อืม วันหน้าก็ฝึกฝนให้มากขึ้น เพราะมีประโยชน์ต่อตัวเธอ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอนที่กำลังเตรียมตัวกวักมือเรียกให้พ่อกับแม่มานั่ง ถังเหวินหย่วนก็พาหลานสาวเดินเข้ามา แต่ตอนที่เขาเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน ก็ตกใจขึ้นมา พูดว่า “เยี่ยเทียน ทำไมสีหน้าของคุณดูไม่ได้ขนาดนี้นะ?”
“ใช่แล้ว พี่เยี่ยเทียน พี่ไม่สบายหรือเปล่า?” สีหน้าซีดขาวของเยี่ยเทียนแม้แต่ถังเสวี่ยเสวี่ยก็ดูออก รีบวิ่งเข้าไปหาเยี่ยเทียน จับแขนอีกข้างหนึ่งของเขาไว้
“ไม่เป็นไร เสวี่ยเสวี่ย ช่วงสองสามวันนี้ผมไม่ค่อยสบาย…”
เยี่ยเทียนรู้ว่าถังเสวี่ยเสวี่ยเป็นคนที่ไร้เดียงสา ตัวเขาเองก็มองเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง จึงรีบก็อธิบายสองสามประโยค แต่ว่าสีหน้าของซ่งเวยหลันกลับความแปลกใจ เธอไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองไปสนิทกับหลานสาวของตระกูลถังตั้งแต่เมื่อไร?
“เอ่อ แต่ก่อนเสวี่ยเสวี่ยไม่สบาย ผมเคยช่วยรักษาให้เธอครับ” เมื่อเห็นสีหน้าของแม่ เยี่ยเทียนจึงต้องอธิบายอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นหากได้ยินไปถึงหูของอวี๋ชิงหย่า ต่อให้เขาพูดลื่นไหลแค่ไหนก็พูดไม่ชัดเจนหรอก
“สวัสดีคุณเยี่ย คุณมาฮ่องกง ทำไมไม่บอกกันสักคำเลย?”
ในขณะที่เยี่ยเทียนกับแม่กำลังพูดคุยกันอยู่ ข้างๆ หูก็มีเสียงคนทักทายดังขึ้นมา นั่นก็คือเหวินหลนสงกับหวาเซิ่งสองคน เมื่อครู่สายตาของทั้งสองคนก็ถูกซ่งเวยหลันสองสามีภรรยาดึงดูดเช่นกัน จึงเดินตามพวกเขาสองคนแต่กลับเห็นเยี่ยเทียน
“เหวินเซิง หวาเหล่าป่าน ครั้งนี้ที่มาแบบส่วนตัว เกรงว่าจะรบกวนคุณทั้งสองครับ”
เยี่ยเทียนผละตัวออกมาจากผู้หญิงที่อยู่ซ้ายขวาของเขา เดินไปจับมือกับเหวินหลนสงและหวาเซิ่ง เขาเกิดเรื่องที่ไต้หวันครั้งที่แล้วที่ หวาเซิ่งก็ออกแรงไปเยอะเหมือนกัน ถือว่าเยี่ยเทียนก็ติดหนี้บุญคุณเขา
“พูดอะไรอย่างนั้นครับ สามารถถูกคุณเยี่ยรบกวน ถือว่าเป็นเกียรติและโชคดีของพวกเรามากกว่าครับ”
หวาเซิ่งหัวเราะอย่างเบิกบาน พูดว่า “ฝีมือในการแสดงของคุณเฉินดีมาก บริษัทของพวกเรากำลังจะเชิญเธอมาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ถ้าคุณเยี่ยมีเวลา สามารถแจ้งให้เธอทราบได้นะครับ”
ข่าวที่เยี่ยเทียนอยู่ไต้หวันฆ่าพวกทหารรับจ้างนับสิบกว่าคน หวาเซิ่งก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน กับคนที่มีใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตอีกทั้งยังเป็นคนที่มีเบื้องหลังแบบนี้ โดยปกติเขาก็ไม่กล้าที่จะไปดูแคลน โดยคำพูดเหล่านี้กลับเป็นการแสดงความเป็นมิตรต่อเยี่ยเทียน
ไม่ว่าวงการบันเทิงจะอยู่ในประเทศจีนหรือว่าฮ่องกง มหาเศรษฐีก็อยากจีบดาราดัง วิธีที่ดีที่สุดนอกจากส่งรถส่งบ้านหรูๆ แล้ว โดยปกติทั่วไปก็จะออกเงินเพื่อประจบประแจงเธอแล้ว หวาเซิ่งให้เยี่ยเทียนช่วยแจ้งให้เฉินจิ้งหลันเพื่อมาถ่ายหนัง ก็คืออยากแสดงน้ำใจให้เยี่ยเทียน
“หวาเหล่าป่าน คุณแจ้งเธอเองดีกว่า เพราะผมไม่ได้เจอกับเธอนานแล้วครับ”
มีหรือที่เยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจความหมายของหวาเซิ่ง? แต่เขากับเฉินจิ้งหลันไม่ได้ไปมาหาสู่กันจริงๆ แต่มักจะได้รับโทรศัพท์เธอในช่วงฉลองเทศกาลบ้างเป็นครั้งคราว
“เอ๋อร์จึ คุณเฉินเป็นใครกัน? แม่ไม่รู้มาก่อนว่าลูกมีดวงสมพงษ์กับผู้หญิงขนาดนี้นะ?” ซ่งเวยหลันกดเสียงต่ำกระซิบที่ข้างหูของเยี่ยเทียน
ตอนที่ 566 จุดเด่น (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอ่อ ผมว่า คุณอย่ามาล้อเล่นแบบนี้ได้ไหมครับ?” เยี่ยเทียนตกใจกับคำพูดของแม่
อวี๋ชิงหย่าก็รู้ ความสัมพันธ์ของเขากับถังเสวี่ยเสวี่ย แต่ว่าเฉินจิ้งหลันคือดาราภาพยนตร์และโทรทัศน์ แม้ว่าอวี๋ชิงหย่าจะรู้ว่าพวกเขารู้จักกัน แต่ว่าผู้หญิงบางครั้งก็หึงหวง จึงยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้
“โอเค เห็นลูกตกใจแบบนี้ แม่ก็แค่ล้อเล่นกับลูกเท่านั้นเอง”
คำพูดของซ่งเวยหลันทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจขึ้น ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเธอเป็นแม่ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงชอบเอาตัวเองมาพูดเล่นแบบนี้?
“คุณหญิงซ่ง พวกคุณคือ?” ความสนุกของเยี่ยเทียนยังไม่จบ หลังจากที่เหวินหลนสงกับหวาเซิ่งมานั้น หลี่เชาเหรินก็พาคนกลุ่มหนึ่งมา
พวกคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็รู้จักฐานะของซ่งเวยหลัน จึงอยากใกล้ชิดกับฮาณราจักรธุรกิจใหญ่โตของตระกูลซ่งที่อยู่ต่างประเทศเป็นธรรมดา เพื่ออำนวยความสะดวกในการพัฒนาธุรกิจในยุโรปและอเมริกาในอนาคต
เมื่อได้เห็นหลี่เชาเหรินกำลังทำทายซ่งเวยหลัน เหวินหลนสงทั้งสองคนก็ให้ความสนใจพ่อแม่ของเยี่ยเทียน เพราะการที่สามารถทำให้มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยคนนี้เดินตามมาจากประตูได้ ฐานะของพ่อแม่เยี่ยเทียนจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“คุณหลี่ นี้คือลูกชายของฉัน เยี่ยเทียน เรียกคุณลุง”
ซ่งเวยหลันดึงเยี่ยเทียนเข้ามา แม้ว่าเธอจะรู้ว่าลูกชายไม่สนใจวงการธุรกิจ แต่สามารถได้รู้จักกับผู้นำธุรกิจชาวจีนอย่างหลี่เชาเหริน ถือว่าเป็นผลดีสำหรับเขามาก
“คุณลุงหลี่ สวัสดีครับ!”
เยี่ยเทียนเรียกอย่างมีมารยาท แต่ภายในใจกลับส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย เวลาที่อยู่กับแม่ ระดับความอาวุโสของตัวเองก็ลดลงมาเยอะ ต้องรู้ว่า อายุของถังเหวินหย่วนกับหลี่เชาเหรินยังมากกว่าเท่าไร แต่เยี่ยเทียนก็เรียกแค่เหล่าถัง
“ดี…ดี เป็นเด็กหนุ่มที่น่าประสบความสำเร็จจริงๆ คุณหญิงซ่ง ต่อไปคุณก็มีทายาทรับช่วงต่อแล้ว
หลี่เชาเหรินยิ้มให้เยี่ยเทียน แต่ภายในใจก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าไร ถึงอย่างไรเขากับพี่ชายของซ่งเวยหลันก็มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ลูกหลานอย่างเยี่ยเทียนก็จึงไม่อยู่ในสายตาของเขา
อีกทั้งเยี่ยเทียนแม้ว่ารูปร่างดีสมส่วน หน้าตาก็หล่อเหลา แต่สีหน้าที่ดูป่วยไม่สบาย กลับทำให้หลี่เชาเหรินไม่สนใจเขาเลย คนที่สภาพร่างกายไม่แข็งแรง ทำอะไรก็ไม่ดีหรอก
“แน่นอน เยี่ยเทียนลูกคนนี้ถือว่าใช้ได้เลยค่ะ…”
ซ่งเวยหลันไม่เหมือนกับแม่คนอื่นๆ เธอชื่นชมลูกชายตัวเองขึ้นมา โดยไม่มีความถ่อมตัวแม้แต่น้อย และสีหน้าก็รู้สึกยินดีมาก
“เอ่อ นี่เรียกว่าเรื่องอะไรกัน?” เยี่ยเทียนรู้สึกอายขณะที่ยืนอยู่ข้างๆ
ครั้งนี้สายตาของคนในงาน เกือบแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต่างมองมาที่มุมของพวกเขา ยิ่งทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ค่อยสบายไปทั่วทั้งตัว
“คุณซ่งมาแล้ว…”
ในเวลานี้ เสียงทักทายดังมาจากข้างหลัง ทำให้ความสนใจของทุกคนเปลี่ยนไป เยี่ยเทียนจึงมองเช่นกัน ที่แท้ก็คือลุงที่ชอบเอาเปรียบตัวเอง อดไม่ได้ที่จะเบะปาก
แม้ว่าฐานะทางสังคมของซ่งจือเจี้ยนจะไม่ธรรมดา แต่ว่าเขามาอยู่ฮ่องกงเพียงแค่ยี่สิบกว่าปี ในอ่องกงจึงถือว่าเป็นสมาชิกใหม่ แต่เบื้องหลังที่ลึกซึ้งที่อยู่ในประเทศจีนของเขา จึงส่งผลกระทบมากมาย ทำให้มีคนทักทายเขาตลอดทาง
“จือเจี้ยนน้องรัก เธอกับน้องสาวออกงานด้วยกันไม่ค่อยบ่อยเท่าไรนะ”
หลี่เชาเหรินก็หันหมุนตัวไปทักทาย จับมือกับซ่งจือเจี้ยน ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก เขขาได้ช่วยเหลืออย่างมากในช่วงที่ซ่งจือเจี้ยนเริ่มทำธุรกิจในตอนแรก
“น้องใหญ่ เธอก็มาด้วยเหรอ?”
ซ่งจือเจี้ยนได้ยินก็รู้สึกงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองเห็นซ่งเวยหลันกับเยี่ยตงผิงยืนอยู่ด้วยกัน จึงอดทำสีหน้าหม่นลงไม่ได้ เพราะตอนนั้นเขาเป็นคนคัดค้านการคบหาระหว่างน้องสาวกับเยี่ยตงผิงถึงที่สุด
“พี่ใหญ่ สวัสดีค่ะ!”
ซ่งเวยหลันทักทายอย่างเย็นชา น้ำเสียงกลับดูห่างเหิน แม้ว่าจะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เธอกับซ่งจือเจี้ยนไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นคิดกันว่าสนิทสนมกันขนาดนั้น
สำหรับเยี่ยตงผิง เดิมที่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรซ่งจือเจี้ยน
เขากับลูกชายนั้นเหมือนกัน ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรกับตระกูลซ่ง นอกจากผู้อาวุโสซ่งเฮ่าเทียนอยู่ที่ตรงนั้น ตัวเองก็ไม่ได้ก้มหัวให้ใคร เยี่ยตงผิงมองข้ามคนอื่นๆ ที่เหลือไปเลย
“น้องใหญ่ เธอมาฮ่องกงทำไมไม่บอกพี่ใหญ่เลยล่ะ?” แม้ว่าซ่งจือเจี้ยนกำลังต่อว่าน้องสาว แต่ว่าสายตาไม่พอใจกลับจ้องไปที่เยี่ยตงผิง
“มีอะไรน่าบอก? สองสามีภรรยามาเที่ยว ยังต้องแจ้งให้พี่คุณด้วยเหรอ?” เสียงขี้เกียจเนือยๆ ของเยี่ยเทียนดังขึ้น เป็นคำที่แสลงหูภายในงานมากพอสมควร
“นาย…นายก็มาเหรอ?”
เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ซ่งจือเจี้ยนจึงถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เพราะพ่อของเขายังเสียท่าให้เขาไม่น้อย พูดตามจริง ในใจของซ่งจือเจี้ยนรู้สึกหวาดกลัวเยี่ยเทียนอยู่บ้าง
“พ่อหนุ่มคนนี้ เหมือนไม่ค่อยรู้จักมารยาทเลยนะท”
ผู้คนที่เพิ่งเข้าใจว่าเยี่ยเทียนกับซ่งเวยหลันมีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกันเมื่อครู่ จึงมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสายตากที่ประหลาดใจ เพราะไม่เคยเห็นหลานชายที่ไหนคุยกับลุงแบบนี้?
คนที่ล้อมรอบอยู่ตรงนี้ อายุส่วนใหญ่ก็ห้าสิบปีขึ้นไป พวกเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษกับมารยาทตามธรรมเนียมประเพณี ดังนั้นคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ จึงทำให้พวกเขาไม่ประทับใจเยี่ยเทียนเท่าไร
“เยี่ยเทียน อย่าไร้มารยาทแบบนี้!”
เยี่ยตงผิงดูออกถึงสีหน้าของทุกคนที่เปลี่ยนไป เอ่ยปากสั่งสอนลูกชายสองสามประโยค แล้วหันหน้าไปหาซ่งจือเจี้ยน พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ผมกับภรรยามาเที่ยวที่ฮ่องกง พักอยู่ที่บ้านของลูกชาย จึงก็ไม่รบกวนคุณน่ะครับ!”
เมื่อเยี่ยตงผิงได้พูดออกไป ทุกคนที่จับตามองก็รู้สึกดีขึ้น เพราะท่าทางของพ่อลูกสองคนนี้ หรือว่าพวกเขาจะมีความขัดแย้งอยู่แล้วหรือเปล่า?
ด้วยสมองที่ค่อนข้างว่องไว ทันใดนั้นจึงนึกถึงคำขอโทษที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฮ่องกงโดยตระกูลซ่ง โดยเนื้อหาที่พูดนั้นก็คือตระกูลเยี่ย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกรังเกียจเยี่ยเทียนจึงลดลงไม่น้อย และความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติถึงจะรู้จักกันแต่ไม่ไปมาหาสู่กันก็มี ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตรปรองดองกันของทั้งสองตระกูลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“เหอะๆ เยี่ยเทียน ผมมีเรื่องอยากจะขอคำแนะนำจากคุณนิดหน่อย พวกเราไปคุยที่อื่นได้ไหมครับ?”
บรรยากาศภายในงานเลี้ยงค่อนข้างแปลกประหลาด ถังเหวินหย่วนยิ้มเพื่อกอบกู้สถานการณ์ เขารู้ความขัดแย้งของตระกูลเยี่ยและซ่งทั้งสองตระกูลนี้ แล้ะด้วยนิสัยของเยี่ยเทียน ถ้าไปยั่วโมโหเขาจริงๆ ซ่งจือเจี้ยนก็คงจะรับมือไม่ไหว
แต่คำพูดของถังเหวินหย่วน ก็ยิ่งทำให้คนที่อยู่ภายในงานเหล่านั้นเกิดความสับสนยิ่งขึ้น สถานะของถังเหวินหย่วนในฮ่องกงไม่ได้น้อยเลย อายุอาจจะมากกว่าหลี่เชาเหริน แต่ว่าน้ำเสียงที่เขาใช้พูดคุยกับเยี่ยเทียนนั้น ดูจะเคารพมากเกินไปไหม?
มีเพียงเหวินหลนสงและหวาเซิ่งคนหมู่น้อยที่จะเข้าใจ ชายหนุ่มที่มีใบหน้าขาวซีดคนนี้ ไม่ได้อาศัยที่ตัวเองเป็นทายาทคนรวยของพ่อแม่หรอก เพราะพวกเขาทั้งสองรู้เป็นอย่างดีถึงความน่ากลัวของเยี่ยเทียน
“ได้ครับ ตาถัง พวกเราไปคุยกันทางนั้นดีกว่า”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแม่ค่อยดึงแขนเขาไว้ตลอด เขาก็คงหาโอกาสเดินหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งลูกชายของตัวเองก็ไม่ใช่หมีแพนด้าที่เป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศ ถือสิทธิ์อะไรให้ใครมามุงล้อมเขาแบบนี้?
“อ้อใช่ น้องจือเจี้ยน ผมมีเรื่องอยากถามคุณพอดี…” หลี่เชาเหรินก็พอจะดูออกว่าความสัมพันธ์ตระกูลเยี่ยเทียนกับซ่งจือเจี้ยนเหมือนจะไม่เข้ากัน จีงรีบดึงซ่งจือเจี้ยนเดินไปอีกทาง
แต่ตอนที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกัน กลับมีอีกสองคนเดินมาทางนี้ คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดก็คือจั่วเจียจวิ้นตัวเองของงานในวันนี้
“เยี่ยเทียน หืม? คุณหลี่ พี่จือเจี้ยน ทำไมพวกคุณถึงอยู่ที่นี้กันหมดเลย?”
เมื่อครู่จั่วเจียจวิ้นกำลังพูดคุยกับพิธีการในงานเลี้ยงนี้ และที่เดินมาก็เพื่อแนะนำคนที่มีอาชีพเดียวกันให้กับศิษย์พี่และศิษย์น้องได้รู้จัก พอเดินไปใกล้จึงพบว่า มหาเศรษฐีในโลกชาวจีนส่วนใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่มุมนี้
“ทำไมครับ ปรมาจารย์จั่ว คุณก็รู้จักเยี่ยเทียน?” หลี่เชาเหรินรู้สึกแปลกใจมาก ไม่ว่าจะมองจากฐานะหรือว่าอายุ เยี่ยเทียนเหมือนจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับจั่วเจียจวิ้นเลยนะ?
“เยี่ยเทียนคือศิษย์น้องเล็กของผม พวกเรามาจากสำนักเดียวกันครับ…”
จั่วเจียจวิ้นจึงพูดออกไป ความสัมพันธ์แบบนี้ใช่ว่าจะบอกใครไม่ได้ อีกทั้งในวงการของฮ่องกงก็มีคนมากมายที่รู้แล้ว
แน่นอน ที่คนอย่างหลี่เชาเหรินจะพวกนี้ที่ไม่รู้ พวกเขามั่วแต่ยุ่งกับการทำธุรกิจ จึงไม่สนใจฟังข่าวซุบซิบนินทาใครอยู่แล้วเป็นธรรมดา
“ศิษย์น้องเล็ก?” พวกคนที่ไม่รู้ ในหัวจึงมีเครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นทันที เพราะมันยุคสมัยไหนแล้ว ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการไหว้ครูร่ำเรียนวิชากันอีกหรือ?
อีกทั้งฐานะของจั่วเจียนจวิ้นก็เป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ย หรือชายหนุ่มคนนี้ก็เข้าใจการทำนายโชคชะตาและดูฮวงจุ้ย?
“พี่หลี่ ให้พวกเขาคุยกันเถอะ พวกเราไปคุยกันตรงนั้นดีกว่า!”
เมื่อเห็นหลี่เชาเหรินยังอยากถามต่อ ซ่งจือเจี้ยนก็รีบดึงเขาไว้ เพราะคนอย่างเยี่ยเทียนเป็นตัวก่อปัญหาคนหนึ่ง อีกทั้งฝีมือของเขาก็แปลกประหลาดมาก และพ่อก็เคยเตือนว่าอย่าไปหาเรื่องเขา
“อ่อ ได้ ได้ครับ….” หลี่เชาเหรินถูกซ่งจือเจี้ยนดึงไว้ จึงเข้าใจขึ้นมาทันที ว่าวันนี้ตัวเองอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป
หลี่เชาเหรินเดินจากไป และพาคนพวกบาวส่วนออกไปด้วย บวกกับปรมาจารย์จั่วที่เห็นได้ชัดว่าอยากคุยอะไรศิษย์น้องเล็ก ก็เหมือนกับเหวินหลนสงและหวาเซิ่งที่รู้จักกาลเทศะจึงขอตัวก่อน เดิมทีมุมที่คึกคักตรงนี้ จึงกลับสู่ความสงบดังเดิม
แต่ฉากที่เพิ่งเกิดนขึ้นเมื่อครู่ กลับทำให้คนส่วนใหญ่สนใจในตัวเยี่ยเทียน และจากการสัมผัสของการขับเคลื่อนของชี่ จึงทำให้รับรู้ถึงสายตาที่แอบสอดส่องเป็นธรรมดา
“ฉันว่านายเดินไปทางไหนก็ดูจะเป็นจุดสนใจทุกที่เลยนะ?”
จั่วเจียจวิ้นยิ้มแล้วพูดกับเยี่ยเทียน จากนั้นก็หันหลังกลับมา พูดว่า “ฉันจะแนะนำให้พวกนายสักหน่อย ท่านนี้คือเถาซานอี้เป็นลูกศิษย์คนโตของคุณหนานไหวจิ่น และยังเป็นผู้สืบทอดสายตรงจากคุณหนายด้วย!”
เมื่อปล่อยให้ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีออกไป จั่วเจียจวิ้นก็แนะนำต่อ “เสี่ยวเถา คนนี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของฉัน ฉายาทางเต่าคือหยวนหยางจึ เขาคือศิษย์น้องเล็กของฉัน นายเรียกเขาว่าเยี่ยเทียนก็ได้แล้ว!”
“สวัสดีคุณหยวนหยางเจินเหริน สวัสดีศิษย์อาเยี่ยเทียน!”
ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา โค้งคำนับและทักทายโก่วซินเจียกับเยี่ยเทียน แม้ว่าเยี่ยเทียนจะอายุน้อยกว่ามาก แต่ว่าลำดับความอาวุโสที่อยู่ตรงนั้น เขาจึงไม่กล้าที่จะไร้มารยาท
อีกทั้งเขายังสังเกตว่า แม้ว่าสีหน้าซีดขาวเหมือนคนป่วยของเยี่ยเทียน แต่พลังชีวิตภายในร่างกายก็ไม่ได้น้อยลงเลย แต่กลับให้ความรู้สึกอันตรายต่อตัวเอง จึงทำให้โน้มตัวยิ่งต่ำลงอีก
“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่คิดว่าห่างกันครึ่งศตวรรษ ยังจะได้เจอลูกศิษย์ของเพื่อนเก่า?” โก่วซินเจียใช้มือขวาประคองเถาซานอี้และ พูดว่า “อาจารย์ของนายยังสบายดีอยู่ไหม?”
“หยวนหยางเจินเหรินรู้จักอาจารย์ของผม?”
เถาซานอี้รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ประคองหมัดทั้งสองของตัวเองอยู่ ร่างกายจึงลุกขึ้นยืนอัตโนมัติ และรู้สึกตื่นตระหนกตกใจไม่หยุด
ตอนที่ 567 ลูกศิษย์เพื่อนเก่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เถาซานอี้ตอนที่อายุหกขวบก็ไหว้ขอเป็นศิษย์กับหนานไหวจิ้นแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยาวนานเป็นเวลาสามสิบหกปีแล้ว
หนานไหวจิ่นฝึกฝนร่ำเรียนมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมของจีนและวิชาของพระพุทธศาสนาและลัทธิขงจื๊อ มีความสำเร็จที่ลึกซึ้ง ตั้งแต่เด็กเถาซานอี้ก็ติดตามหนานไหวจิ่นมาตลอด ฝึกฝนวิชากังฟูจนชำนาญยากหาใครเทียบได้
หลายปีมานี้สำนักฉีเหมินค่อยๆ เสื่อมถอย แต่ศิลปะการต่อสู้ในไต้หวันกับฮ่องกงยังเป็นที่นิยมมาก ตอนนั้นที่อายุสามสิบแปดปี เถาซานอี้ก็ฝึกฝนวิชากังฟูจนแข็งแกร่งถึงขั้นพลังแฝง ไปเยือนยอดฝีมือทั้งสองแดน และยังเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้มาก่อน
หลายปีที่ผ่านมาหนานไหวจิ่นก็แก่ชราขึ้น เรื่องที่เกี่ยวกับภายนอกก็มีเถาซานอี้คอยจัดการดูแลอยู่ เขาก็เคยเห็นศิลปะการต่อสู้ของผู้มีฝีมือมามากมาย แต่ถ้าออกแรงช่วย ก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบ
ดังนั้นตอนที่เห็นโก่วซินเจียนักบวชเต๋าแก่ชราและผอมแห้งคนนี้ เถาซานอี้จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เอามาแตะตัวเอง แค่เพียงชี่แท้ที่ปล่อยออกมาภายนอก ก็ทำให้เขายากที่จะต่อต้าน วรยุทธเช่นนี้ เขาเคยเห็นจากอาจารย์ของเขาเท่านั้น
แต่ว่าเพื่อนเก่าของอาจารย์ กระทั่งเพื่อนเก่าบางคนที่อยู่ในประเทศจีน ส่วนใหญ่เถาซานอี้จะรู้จักทุกคน แต่นักพรตเฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแปลกหน้ามากที่สุด
“ตอนที่อาจารย์ของนายอายุสิบขวบฉันก็รู้จักเขาแล้ว แต่ตอนนี้น่าจะไม่เจอหน้ากันห้าสิบกว่าปีแล้วล่ะ”
โก่วซินเจียส่ายหน้าและถอนหายใจ ความเจริญรุ่งเรืองความมั่งคั่งและอำนาจก่อนครึ่งศตวรรษ ทุกอย่างผ่านไปตามกาลเวลา จนถึงปัจจุบันนี้ แม้แต่เพื่อนเก่าก็เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว
“อะ…อาจารย์ของผมตอนอายุสิบกว่าขวบ คุณก็รู้จักเขาแล้วหรือ?”
เถาซานอี้มองโก่วซินเจียอย่างไม่อยากจะเชื่อ อาจารย์ของเขาอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ถ้าหากรู้จักกับคนที่อยู่ข้างหน้านี้ตั้งแต่เด็ก เช่นนั้นนักบวชเต๋าคนนี้ก็คงจะต้องมีอายุเท่ากัน
แต่ถึงแม้โก่วซินเจียจะมีร่างกายที่ผ่ายผอม ทว่าใบหน้ากลับมีน้ำมีนวล ยังพอมีเส้นผมสีดำตรงปลายผมอยู่บ้าง มองดูแล้วอายุมากสุดก็น่าจะประมาณหกสิบกว่าปี เถาซานอี้จึงไม่อาจคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์ได้
“รู้จักแน่นอน แต่ว่าเขาคงจำฉันไม่ได้แล้ว”
โก่วซินเจียฝืนหัวเราะ เมื่อพูดถึงเพื่อนเก่าที่อยู่ใต้หวัน เขาก็ได้ตายไปตั้งครึ่งศตวรรษแล้ว เกรงว่าชื่อของเขาจะมีบางคนนึกออกเป็นครั้งคราวกระมัง?
“ไม่ทราบว่าชื่อฆราวาสของเจินเหรินเรียกว่าอะไรครับ?” เถาซานอี้โค้งคำนับด้วยความเคารพ เขารู้ว่าอาจารย์ของตัวเองรู้จักคนไปทุกหนแห่ง ไม่แน่อาจจะมีเพื่อนเก่าคนนี้อยู่จริงก็เป็นได้
“ฉันชื่อหยวนหยาง นายไปบอกน้องไหวจิ่นแค่นี้ก็พอแล้ว”
โก่วซินเจียเดิมทีก็ไม่เคยคิดที่จะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่า แต่ในเมื่อเจอแล้ว จะติดต่อเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรตอนนี้ราชวงศ์ตระกูลเจี่ยงก็ไม่ได้ใหญ่ค้ำฟ้าแล้ว
“ชื่อหยวนหยาง? เอ๊ะ เหมือน…เหมือนผมเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงมาก่อน?”
ตอนที่เถาซานอี้เมื่อได้ยินคำว่าหยวนหยางฉายาของลัทธิเต๋า ก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินอักษรหยวนหยางที่โก่วซินเจียพูด ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาแน่ใจว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เถาซานอี้จึงเอ่ยปากพูด “หยวนหยาง ผมนึกออกแล้ว!”
เสียงของเถาซานอี้ดังขึ้นเล็กน้อย ดึงดูดสายตาของคนบริเวณนั้น แม้ว่างานเลี้ยงจะยังไม่ได้เริ่ม แต่ว่ามุมที่เยี่ยเทียนอยู่นี้ ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนที่อยู่ในงานไปแล้ว
ขณะที่เถาซานอี้นึกถึงชื่อนั้นอยู่ในหัว สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ พลางกดเสียงต่ำและถามว่า “ชื่อ…ชื่อฆราวาสของคุณคือ…คือแซ่โก่วใช่ไหม?”
หนานไหวจิ่นเป็นปรมาจารย์ศาสตร์การค้นคว้าวิจัยวิทยาการสาขาต่างๆ สมัยใหม่ ทุ่มเทชีวิตเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิม ถูกเรียกว่ายุคของคนมหัศจรรย์ อีกทั้งยังได้รับชื่อเสียงเกียรติยศไม่น้อยจากทั่วทุกมุมโลก
แต่ว่าหนานไหวจิ่นเคยพูดกับเถาซานอี้หลายครั้ง เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อสู้หรือว่าศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมของจีน ต่างก็ห่างจากเขามาก ทว่าน่าเสียดายที่เพื่อนสนิทคนนั้นเสียชีวิตไปเมื่อยังเป็นหนุ่ม
มีครั้งหนึ่งที่เป็นช่วงเทศกาลฉงหยาง เถาซานอี้ดื่มเป็นเพื่อนอาจารย์อยู่ที่ยอดเขา หนานไหวจิ่นอารมณ์ดื่มเหล้าได้กรึ่มๆ ก็พูดถึงเพื่อนเก่าคนนั้นอีก และครั้งนี้ได้พูดชื่อโก่วซินเจียออกมา
ถึงตอนนั้นซินแสเจี่ยงจะตายไปแล้ว แต่ว่าซินแสเจี่ยงตัวน้อยยังอยู่ หนานไหวจิ่นบอกกับเถาซานอี้ว่าเวลาอยู่ข้างนอกห้ามพูดถึงชื่อนี้ หลังจากครั้งนั้น หนานไหวจิ่นก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
เหตุการณ์ผ่านมาก็ยี่สิบกว่าปีแล้ว เถาซานอี้ได้เก็บชื่อโก่วซินเจียไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ
คนที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มักมีความทรงจำที่คนธรรมดายากจะเทียบได้ หลังจากได้ยิน “ตัวอักษร” ที่โก่วซินเจียพูด เถาซานอี้ก็นึกชื่อนี้ได้ทันที
แต่เวลานี้สีหน้าของเถาซานอี้ ไม่ต่างกับคนเห็นผีเลย เขาไม่คิดว่าคนที่ได้ตายไปกว่าครึ่งศตวรรษที่อาจารย์เคยพูดถึง กลับยังมีชีวิตและยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
“อาจารย์ของนายเคยพูดถึงฉันด้วยหรือ?”
ถึงแม้โก่วซินเจียจะไม่ยอมรับโดยตรง แต่ความหมายในคำพูดของเขานั้นก็ไม่เป็นที่สงสัย “อาจารย์ของนายเคยเป็นลูกน้องของฉันอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นถูกคนจับตามองอย่างมากเกินไป ก็คือเรื่องที่ฉันแกล้งตาย เขาเองก็ไม่รู้!”
“เป็น…เป็นคุณจริงๆ เหรอครับ?”
เมื่อเถาซานอี้ได้ยินคำนี้ ภายในใจก็ยืนยันแน่ชัดแล้ว เพราะว่าอาจารย์เคยพูดถึงจริงๆ เขาเคยได้เรียนรู้เกี่ยวกับมารยาทในการเข้าสังคมจากคนนั้นไม่น้อยเลย
แน่นอนว่า ชีวิตและฐานะทางสังคมของโก่วซินเจีย เถาซ่านอี้ยังไม่รู้เลย ถึงอย่างไรชื่อของโก่วซินเจียในไต้หวัน ก็ยังคงเป็นชื่อต้องห้าม
“คาราวะอาจารย์!”
เถาซานอี้ก็ไม่ได้ลังเลใจ ไม่สนว่าที่นี่คือที่ไหน คุกเข่าทั้งสองข้าง ก้มศีรษะโค้งคำนับลงไป โก่วซินเจียไม่เหมือนกับคนธรรมดา เขาจำเป็นต้องแสดงความเคารพอย่างอาจารย์และลูกศิษย์
“ทำอะไรเนี่ย? ลุกขึ้น!”
โก่วซินเจียคิดไม่ถึงเลยว่าเถาซานอี้จะคุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนในงานเลี้ยงของห้องโถงใหญ่นี้ จึงไม่ทันระวังก็ทำให้เขาคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้ว จึงรีบใช้มือดึงเขาให้ลุกขึ้นมา
แต่ว่าฉากนี้ได้สร้างความสนใจต่อสายตาของพวกเขาแล้ว คนที่ไม่รู้จักเถาซานอี้ก็จะคิดว่าเขาทำอะไรแปลกๆ เพราะยุคสมัยไหนแล้ว ยังมีคนที่ต้องคุกเข่าเคารพอีก?
แต่ว่ามหาเศรษฐีบางคนก็รู้จักเถาซานอี้ กลับรู้สึกให้ความสนใจไปที่ตัวของนักพรตเฒ่าตัวผอมคนนั้น หนานไหว จิ่นคือใคร? คนที่สามารถทำให้ลูกศิษย์ของเขาคุกเข่าเคารพได้ แสดงว่าต้องมีฐานะที่สูงกว่าจนน่าตกใจ?
คนทั่วไปก็คิดแค่ว่าหนานไหวจิ่นคือปรมาจารย์ที่ค้นคว้าและวิจัยสาขาต่างๆ ของวัฒนธรรมจีน
แต่ว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้กลับรู้ว่า “ปรมาจารย์หนาน” ไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่นี้ เขาใช้หลักการทำนายเสี่ยงทายสายนี้ เกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่า “ปรมาจารย์จั่ว”!
มีมหาเศรษฐีบางคนที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับจั่วเจียจวิ้น ได้เตรียมตัวขอสืบข่าวจากจั่วเจียจวิ้นแล้ว
ซ่งเวยหลันสามีภรรยาอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นไร เดิมทีก็เป็นแวดวงของพวกมหาเศรษฐีอยู่แล้ว จะนำมาเกี่ยวข้องกับศาสตร์การดู ฮวงจุ้ยและนรลักษณ์ศาสตร์ได้อย่างไร?
“อา…อาจารย์…”
ตอนที่เถาซานอี้เรียกชื่อนี้ออกมามีความรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เพราะคนที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่าอาจารย์ของเขาในโลกนี้ มีน้อยมากจริงๆ เขาโตขนาดนี้แล้วแต่ก็เคยเรียกคนอื่นแบบนี้ตอนที่เขาเป็นเด็กเท่านั้น
“อาจารย์ ท่านใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไรบ้างครับ? อาจารย์คิดถึงท่านเป็นอย่างมาก เทศกาลฉงหยางของทุกปีเขา…เขาก็จะดื่มเหล้าให้ท่านตลอด!”
เถาซานอี้ไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นสักเท่าไร แต่ว่าเขารู้ว่า ตอนที่หนานไหวจิ่นเอาเหล้ามาไหว้ในเทศกาลฉงหยางทุกปี จะมีแก้วหนึ่งจะเป็นต้องเตรียมไว้ให้เพื่อนเก่าที่อยู่ตรงหน้านี้
“น้องไหวจิ่นมีความตั้งใจดี สุขภาพของเขาเป็นยังไงบ้าง?” โก่วซินเจียเอ่ยปากถาม เพราะนานๆ จะมีเพื่อนเก่าจำตัวเองได้
“อ้ออาจารย์ครับ สุขภาพของอาจารย์ดีมากครับ เขาเพิ่งไปอเมริกาเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านครับ”
เถาซานอี้ชะงักครู่หนึ่ง และพูดอย่างลังเล “อาจารย์ ทำไม…ทำไมท่านถึงไม่ติดต่อกับอาจารย์ของผมครับ? ผมสามารถบอกเรื่องที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ให้อาจารย์ได้ไหมครับ?”
เถาซานอี้ก็เป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพ เขารู้ว่าใคในยุทธภพมากมายที่หลบซ่อนตัว ในเมื่อโก่วซินเจียไม่ต้องการติดต่อกับอาจารย์ เขาก็คงมีความลำบากใจของเขาเอง
“เหอะๆ ตอนนั้นฉันหลบไปใช้ชีวิตสันโดษในป่า จึงไม่รู้ว่าอาจารย์ของนายยังอยู่หรือตายไปแล้ว…”
โก่วซินเจียได้ยินก็หัวเราะออกมา “ตอนหลังจึงได้ยินชื่อเสียงของน้องไหวจิ่น แต่ก็ไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว นายไปบอกเขาเถอะ ถ้าหากน้องไหวจิ่นมีเวลา ก็ให้เขามาที่ฮ่องกงสักครั้ง!”
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ของโลกจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คนที่สามารถจดจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ก็มีน้อยลงทุกวัน แต่ว่าโก่วซินเจียกลับไม่ไปที่ไต้หวันอีกแล้ว เพื่อนเก่าของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ครอบครัวของศัตรูกันในอดีต ได้มีอิทธิพลมากมายอยู่ที่นั่น
“ครับ ผม…ผมจะโทรศัพท์หาอาจารย์เดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นโก่วซินเจียตกลง เถาซานอี้ก็ดีใจ เขาไม่รู้ว่าถ้าอาจารย์ได้รับโทรศัพท์สายนี้แล้ว ถ้ารู้ว่าเพื่อนสนิทของเขาที่ตายไปเมื่อสิบปีที่แล้วยังมีชีวิตอยู่ จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร?
“ศิษย์พี่รอง พี่ไม่มีที่เงียบกว่านี้แล้วเหรอ?”
หลังจากรอให้เถาซานอี้ออกไปโทรศัพท์ข้างนอก เยี่ยเทียนจึงยิ้มเจื่อนให้กับจั่วเจียจวิ้น ความว่องไวของการสัมผัสการขีบเคลื่อนของชี่ของเขาอยู่ระดับไหนกัน? กับทุกสายตาที่จ้องมองพวกเขาสองสามคนนั้น ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่สบายอยู่ในใจ
“ศิษย์น้องเล็ก นายเดินไปไหนก็กลายเป็นคนสำคัญตลอดเลยเรอะ?”
จั่วเจียจวิ้นหัวเราะขึ้นมา พูดว่า “หรือว่าฉันจะกลับไปประกาศใหม่ว่านายเป็นคนทำสำนักฮวงจุ้ยขึ้นมาดีไหม?”
“พอเลย ศิษย์พี่รอง ถ้าพี่กล้าพูด ผมจะหนีแกไปตอนนี้เลย” เยี่ยเทียนทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นยืน แล้วจึงเห็นคนสี่ห้าคนกำลังเดินเข้ามาหาตัวเองพอดี
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเดี่ยวๆ ตะโกนมาแต่ไกลว่า “เหล่าจั่ว ครั้งนี้นายออกทุนเยอะมากเลยนะ เสาฮวงจุ้ยนั้นดูดซับพลังชี่แท้หลายสิบกิโลเมตรตามแนวชายฝั่ง ทำให้ครึ่งหลังของไหล่เขากลายเป็นเส้นเลือดมังกรบนเกาะฮ่องกงไปเลย “
หลังจากจั่วเจียจวิ้นได้ยินเสียงนี้ จึงขมวดคิ้วที่ใครยากจะสังเกตเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออก แล้วหันหลังกลับไปทักทาย พลางยิ้มพูด “พี่อี้พูดชมเกินไปแล้ว ฝีมือระดับจิ๊บจ๊อยเอง คงไม่เข้าตาของพี่อี้หรอก”
เหล่าจั่วเธอก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ขื่อเสียงของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปนานแล้ว!”
คนที่มาหัวเราะฮ่าๆ แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “แต่ไม่รู้ว่าสำนักฮวงจุ้ยนี้จะมีประสิทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์ไหม?”
“หรือว่านี่คือการปัดแข้งปัดขาระหว่างคนสายอาชีพเดียวกัน?”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของคนนั้น เยี่ยเทียนก็เลิกคิ้ว เพราะพลังชี่แท้บนตัวของคนนี้มีความแปรผัน จะต้องเป็นคนสำนักเหมินแน่นอน
แต่คนนี้ยังไม่สามารถควบคุมชี่แท้ได้อย่างสมบูรณ์ ในสายตาของเยี่ยเทียน วรยุทธของเขาก็คงไม่ต่างจากเถาซานอี้มากนัก
ตอนที่ 568 ความแค้นเคืองในอดีต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ประธานอี้พูดมีเหตุผล สำนักฮวงจุ้ยนี้จะมีประสิทธิภาพเหมือนกับที่จั่วเจียจวิ้นพูดไหม ก็ยังไม่รู้ได้ครับ”
หนึ่งคนที่ติดตามมานั้นก็พูดตามน้ำตามคนที่มาก่อนหน้า แล้วก็หัวเราะขึ้นมา แสดงท่าทีที่น่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังคงกลิ่นอายแห่งการปะทะกันออกมาอีกด้วย
“เหอะๆ…”
จั่วเจียจวิ้นกลับไม่ได้โมโห และยังคงทำสีหน้าปกติยิ้ม “พวกเราทำเกี่ยวกับฮวงจุ้ย สำนักฮวงจุ้ยนี้จะมีประสิทธิผลหรือไม่นั้น ไม่ใช่คุณกับผมที่จะพูดได้ แต่สวนสนุกริมทะเลที่ถูกทิ้งร้างมานาน กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งแล้ว…”
“นั้นคือ น้องจั่วเธอออกมือ แน่นอนจึงสัมฤทธิ์ผลทันที”
ผู้นำคนนั้นทำเสียงฮึดฮัดอย่างไร้สีหน้า ดูเหมือนไม่เต็มใจที่จะพูดคุยเรื่องนี้ แล้ววจึงวาดสายตามองไปที่โก่วซินเจียกับเยี่ยเทียน พลางถามว่า “น้องจั่ว สองคนนี้คือ?”
การมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ โก่วซินเจียใส่ชุดนักพรตเฉียนคุณ ส่วนเยี่ยเทียนกลับใส่ชุดสีขาวเหมือนพร้อมฝึกวรยุทธหรือโจมตี ซึ่งแตกต่างจากคนภายในงานเลี้ยง คนในงานจึงสามารถดูออกถึงฐานะของทั้งสองคน
“พวกเขาสองคนคือคนในสำนักเดียวกันกับฉัน”
อีกฝ่ายถามขึ้น จั่วเจียจวิ้นจึงตอบอย่างไม่ค่อยใยดี และได้แต่พูดง่ายๆ หนึ่งประโยค โดยไม่พูดลงลึกต่อ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกัน
“อ้อ? น้องจั่วยังมีคนสำนักเดียวกันอยู่อีกหรือ? ดี สำนักยิ่งใหญ่ก็ควรที่จะเจริญรุ่งเรืองแล้วสินะ พวกเราไว้คุยกันทีหลัง!”
คนนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง และยกมือคำนับเยี่ยเทียนกับโก่วซินเจีย จากนั้นจึงเดินไปตรงที่มีคนชุมนุมกัน
“ศิษย์พี่รอง คนนี้เป็นใคร? วรยุทธของเขาแค่นี้ ยังกล้าอวดดีขนาดนี้เชียว? แกว่งเท้าเข้าหาเสี้ยนจริงๆ!”
หลังจากรอให้คนนั้นเดินออกไป เยี่ยเทียนจึงทำเสียงฮึดฮัด การมาฮ่องกงครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับคนสำนักฉีเหมินจริงๆ ถึงสองคน แต่ว่าผลลัพธ์กลับทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง
จากการบรรยายของพรตเฒ่าหลี่ชั่นหยวน สำนักฉีเหมินได้ผ่านประสบการณ์ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ก่อนถึงช่วงปลดแอก
ถึงแม้ตอนนั้นสำนักฉีเหมินจะสูญเสียวิชาอยู่มาก แต่ผู้มีฝีมือพลังแฝงกลับมีอยู่ทุกที่ทุกแห่งหน มีคนที่บรรลุขั้นหลอมปราณอยู่หลายคน มักจะมีคนจัดงานประชุมใหญ่ของสำนักฉีเหมิน เพื่อทำการแลกเปลี่ยนวรยุทธซึ่งกันและกัน
แต่วันนี้เมื่อได้เจอเถาซานอี้กับคนแซ่อี้นี้ เยี่ยเทียนก็อดผิดหวังอย่างมากไม่ได้ แค่อาศัยวรยุทธและฝีมือของทั้งสองคน
ก็สามารถถูกเรียกเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์แล้ว รู้สึกว่าน่าขันจนฟันร่วงจริงๆ
“ศิษย์พี่รอง พี่กับเขามีอะไรไม่ลงรอยกันหรือเปล่า?”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็เอ่ยปากว่า “ฉันดูจากจังหวะการก้าวเดินของเขา น่าจะมาจากสำนักชีซิง ของมณฑลกวางตุ้งและกว่างซี”
สำนักฮวงจุ้ยในประเทศจีนมีมากมาย แต่ถ้าแบ่งตามภูมิภาค ที่ราบกลางมณฑลเจียงหนานกับมณฑลเจียงซีก็มีสำนักอีกประเภทหนึ่ง ก่อนการปลดปล่อยได้เคารพสำนักเสื้อป่านเป็นใหญ่
แต่ว่ามณฑลกวางตุ้งและกว่างซีเขตฝูเจี้ยน กลับมีสำนักฮวงจุ้ยอื่นๆ อีกบางส่วน แต่ว่าคนของสำนักชีซิงมีจำนวนคนมากกว่า จึงมีอิทธิพลมากที่สุด
ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น โก่วซินเจียอยากร่วมมือสำนักกชีซิงเพื่อทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นด้วย แต่กลับถูกพวกเขาปฏิเสธ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันเล็กน้อย
แต่ว่าสำนักชีซิงไม่ได้ยอมจำนนให้กับคนญี่ปุ่น โก่วซินเจียก็ไม่ได้บังคับอีกฝ่าย ต่อมาตอนหลังโก่วซินเจียได้ทำการศึกษาวิชาของพวกเขาอย่างจริงจัง ดังนั้นเพียงแค่มองก็รู้แล้วมาคนเมื่อครู่มาจากไหน
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่พูดถูกแล้ว เขามาจากสำนักชีซิง”
โก่วซินเจียพยักหน้า “คนนี้ชื่อว่าอี้เวินเม่า มาฮ่องกงก่อนหน้าฉันห้าปี สำนักชีซิงไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการทำนายดวงชะตา แต่เรื่องฮวงจุ้ยดูชัยภูมิของภูเขาหรือสุสานนั้นมีหลายวิธี ไม่ใช่คนทางเดียวกับฉัน เมื่อสิบปีก่อน ฉันเคยมีปัญหากับเขา…”
ที่แท้ ที่อี้เวินเม่าจะมาถึงฮ่องกงก่อนโก่วซินเจีย ก็พอมีชื่อเสียงเล็กน้อยในฮ่องกงแล้ว พวกครอบครัวมหาเศรษฐีในฮ่องกงมักก็จะเชิญเขาไปดูฮวงจุ้ยของภูเขาหรือสุสานอยู่บ่อยครั้ง
แต่หลังจากที่โก่วซินเจียมาถึงฮ่องกง คนสวนใหญ่มักจะใช้สำนักเสื้อป่านในการทำนาย เพื่อช่วยทำนายดวงชะตาให้กับพวกมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และไม่ขัดแย้งกับธุรกิจของอี้เวินเม่า ทำให้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดี
แต่เมื่อช่วงสิบปีก่อน สำนักฮวงจุ้ยแต่ละสำนักในฮ่องกงได้จัดงานเลี้ยงขึ้นมาหนึ่งครั้ง โดยตัดสินใจที่จะจัดตั้งงานสัมนาฮวงจุ้ยในเกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นสมาคมในหมู่ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นทางการ
เกี่ยวกับอาชีพของฮวงจุ้ยแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดี กฎระเบียบต่างๆ ภายในสมาคมถูกร่างออกมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมันถึงเวลาที่จะเลือกประธานของสมาคม กลับเกิดความขัดแย้งขึ้น
ตอนนั้นอี้เวินเม่ากับจั่วเจียจวิ้น มีชื่อเสียงในฮ่องกงพอๆ กัน และแต่ละคนก็มีเพื่อนร่วมงานที่ดี ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทกินกันไม่ลง ฝ่ายหนึ่งเลือกอี้เวินเม่า ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เลือกจั่วเจียจวิ้น
จั่วเจียจวิ้นไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องผลประโยชน์สักเท่าไร แต่กับชื่อเสียงของการแต่งตั้งประธานสมาคมครั้งนี้ เขามีความสนใจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่อยากหลีกทางให้
สำนักฉีเหมินในยุทธภพ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นยุทธภพอยู่ดี เมื่อเกิดปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องสู้กันด้วยวิชาและนรลักษณ์ศาสตร์เพื่อแยกระดับความสูงต่ำของแต่ละคน
ภายใต้การโห่ร้องของคนเหล่านี้ จั่วเจียจวิ้นกับอี้เวินเม่าจึงตัดสินใจประลองฝีมือสักครั้ง ถึงตอนนั้นเก้าอี้ของประธานสมาคมจะตกเป็นของใครจะได้ไม่มีใครมาว่ากันอีก
ครั้งนั้นจั่วเจียจวิ้นได้เสียเปรียบต่ออาจารย์ของชาญทองทวน แต่ว่าโชคดีสามารถได้รับและเข้าถึงขั้นพลังแฝง เพื่อแก้แค้นหมอผีคนไทย เขาจึงได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้จากทั่วทุกสารทิศ
ถึงแม้ว่าอานุภาพของวิชาพวกนี้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เมื่อใช้ออกมาอย่างกะทันหัน ก็ยังทำให้อี้เวินเม่าที่ไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้สู้ไม่ไหว ทำให้ชนะการต่อสู้ในครั้งนี้
และไม่ต้องสงสัยว่า ประธานสมาคมฮวงจุ้ยคนแรก ก็ตกเป็นของจั่วเจียจวิ้นเป็นธรรมดา และเขาก็ยังควบตำแหน่งอาจารย์ฮวงจุ้ยคนแรกของฮ่องกงอีกด้วย จั่วเจียจวิ้นในตอนนั้น ก็เพิ่งจะมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา
สุภาษิตกล่าวไว้ว่าชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร เมื่อเป็นเช่นนี้ ระหว่างจั่วเจียนจวิ้นกับอี้เวินเม่า จึงผูกความแค้นที่ยากจะคลายลงได้ ตอนนั้นอี้เวินเม่าจึงออกจากฮ่องกงไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
เมื่อฟังถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนจึงขัดคำพูดของจั่วเจียจวิ้น และถามด้วยความแปลกใจ “ศิษย์พี่ ในเมื่อเขาก็จากไปแล้ว แล้วทำไมถึงกลับมาอีก? อีกทั้งยังได้เป็นประธานอะไรนั่นด้วย หรือว่าตอนหลังพี่ได้แพ้ให้กับเขาใช่ไหมครับ?”
หลังจากเยี่ยเทียนมาถึงฮ่องกงคนที่เขาได้ทำความรู้จัก ล้วนมีแต่คนที่เคารพจั่วเจียจวิ้น ถ้าจะพูดว่าเขาต่อสู้แพ้ให้กับอี้เวินเม่า ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันแบบนี้?
“หึ!” จั่วเจียจวิ้นทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา พูดว่า “อาศัยแค่วรยุทธของเขา ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก แต่เขาได้เชิญอาจารย์ของเขามา…”
อี้เวินเม่ากลับไปที่ฮ่องกงอีกครั้ง พร้อมกับพาชายชราอายุเจ็ดสิบปีคนหนึ่งมาด้วย แล้วก็มุ่งหน้ามาหาจั่วเจียจวิ้นทันที บอกว่าต้องการที่จะประลองวรยุทธกับเขาเสียหน่อย
ในยุทธภพสมัยโบราณ คนที่ยากต่อกรมากที่สุดมีอยู่สามประเภท คือ อย่างแรกคือเด็ก อย่างที่สองคือผู้หญิง และยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง ก็คือคนแก่ ในคนสามประเภทนี้ มีแนวโน้มที่จะเจอคนที่แปลกประหลาดที่สุด
แม้ว่าจั่วเจียจวิ้นจะเข้าใจเหตุผลนี้ แต่เมื่อคนอื่นมาหาถึงที่ เขาจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องถอย ตอนนั้นจึงยอมรับคำขอของชายชรา
แต่เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น จั่วเจียจวิ้นก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล พลังลมปราณของอีกคู่ต่อสู้มีมากเกินไป ไม่เหมือนกับคนแก่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าเลย วรยุทธของเขาสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
จั่วเจียจวิ้นก็เป็นคนที่ฉลาดมาก ตอนนั้นจึงลดการวางมาดและเอ่ยปากว่ายอมแพ้ไปโดยตรง ชายชราคนนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ แค่ขอให้เขาลาออกจากตำแหน่งประธาน
วันที่สามหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น จั่วเจียจวิ้นก็จัดการประชุมภายในสมาคม ลาออกจากตำแหน่งประธานและลาออกจากสมาคม
ส่วนอี้เวินเม่าที่เพิ่งกลับมา ก็ไม่สามารถรับตำแหน่งท่านประธานได้ ดังนั้นแม้ว่าผู้คนในสมาคมจะมีการคาดเดามากมาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นลดลง
หลังจากนั้นอี้เวินเม่าใช้วีการต่างๆ ในที่สุดก็ดำรงตำแหน่งประธานของสมาคมในหมู่ประชาชนทั่วไปแห่งนี้เมื่อแปดปีที่แล้ว อีกทั้งบูรณาการกฎของสายงาน แต่ก็ทำได้สมจริงสมจังกับบทบาทมาก
หลังจากสอบถามมาหลายปี จั่วเจียจวิ้นก็เข้าใจถึงฐานะของชายชราคนนั้น เขาเป็นหัวหน้าคนปัจจุบันของสำนัก ซิงในมณฑลกวางตุ้งและกว่างซี และยังเป็นอาจารย์ของอี้เวินเม่า
การที่คนอื่นชนะโดยไม่ต้องต่อสู้นั้น ทำให้ในใจของจั่วเจียจวิ้นรู้สึกอับอายมาโดยตลอด
ดังนั้นต่อให้หลังจากได้เจอศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคน เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ถ้าเกิดว่าวันนี้ไม่ได้เจออี้เวินเม่าโดยบังเอิญ จั่วเจียจวิ้นก็ยังคงเก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้ในใจของเขา
ความจริงวันนี้จั่วเจียจวิ้นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องมาร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ ที่จริงแล้วก็เหมือนเป็นการเพิ่มอำนาจให้ตัวเองด้วย เขาไม่กลัวอี้เวินเม่า แต่ถ้าต้องเจอกับตาแก่นั่น ในใจของจั่วเจียจวิ้นยังรู้สึกขวัญอ่อนนิดหน่อย
“ตั้งแต่เด็กจนแก่ สำนักชีซิงก็ยังคงไม่ได้มีความก้าวหน้าอะไรมาก!”
โก่วซินเจียทำเสียงฮึดฮัดเย็นชาและถามว่า “ศิษย์น้องจั่ว อาจารย์ของเขาชื่อว่าอะไร เมื่อสิบปีก่อนมีวรยุทธแบบไหน?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์ของเขาชื่อว่าไช่หยางชิว เป็นหัวหน้าสำหนักชีซิงคนที่สามสิบแปด
เมื่อสิบปีที่ก่อนเขาน่าจะมีวรยุทธขั้นพลังแฝงสูงสุดแล้ว ในตอนนั้นฉันเพิ่งขั้นพลังแฝงได้ไม่นาน จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาได้บรรลุถึงขั้นหลอมปราณแล้วหรือยัง?”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถือว่าเป็นพี่น้องที่สนิทกันจริงๆ จั่วเจียจวิ้นจึงไม่กลัวที่จะเผยจุด่อนของตัวเอง ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมาทั้งหมด
ในความเป็นจริงหลังจากที่เขาเข้าสู่การฝึกฝนพลังชี่ให้เปลี่ยนเป็นเสิน ก็ยังเคยคิดอยากจะไปประมือกับไช่หยางชิวอีกครั้ง
เพียงแต่ไช่หยางชิวกลายเป็นคนแก่อายุแปดสิบปีแล้ว จึงไม่รู้ว่าว่าวรยุทธเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตหรือไม่ ถ้าหากอีกฝ่ายสามารถเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตได้ อย่างนั้นตัวเองก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกดูถูกอีกครั้ง
อีกทั้งสภาพจิตใจของจั่วเจียจวิ้นก็สูงขึ้น จึงไม่สนใจเกี่ยวกับตำแหน่งประธานอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่คิดกระทำการใดๆ
“ไช่หยางชิวชื่อนี้ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน เกรงว่าน่าจะเป็นลูกหลานของสำนักชีซิง”
โก่วซินเจียส่ายหน้าและพูด “ศิษย์น้องรอง นายคิดว่าการหลอมปราณสู่จิตเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยหรือ? ตอนนั้นสำนักฉีเหมินก็มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้ อีกทั้งสำนักชีซิงอย่างเขา จึงยิ่งไม่มี!”
ผู้อาวุโสของสำนักฉีเหมินนับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนั้นมีเพียงยอดฝีมือลัทธิเต๋ากับปราชญ์ชาวพุทธบางคน ที่จะฝึกการหลอมปราณสู่จิตได้ ก็เหมือนกับบุคคลในตำนานอย่างจางซันเฟิงสมัยรางวงศ์หมิงกับสมัยปัจจุบันหลีซูเหวินเจ้าแห่งทวน
ดังนั้นจึงทำให้คนคนที่ฝึกเต๋าเข้าใจว่า ขั้นของการหลอมปราณสู่จิตเป็นเพียงตำนาน เพราะว่าไม่มีตัวอย่างของคนที่ฝึกถึงการหลอมปราณสู่จิตที่มีตัวตนอยู่อย่างแท้จริง
โก่วซินเจีนอยู่อย่างสันโดษในภูเขาเป็นเวลาสี่ห้าสิบปี หลังจากที่บรรลุเขตจิตใจแล้ว กะทันหัน วรยุทธของเขาก็ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่คนนั้นที่ชื่อไช่หยางชิว อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์นี้ จะสามารถก้าวผ่านประตูนี้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?
ตอนที่ 569 ปัดแข้งปัดขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนเป็นคนที่ฝึกฝนวิชากังฟูขั้นสุดยอดตั้งแต่อายุยี่สิบปี ที่หายากในประวัติศาสตร์ ทำได้เพียงแค่อธิบายว่าเขาคือสิ่งที่สวรรค์สร้างมา อย่างอื่นจึงไม่ต้องพูดถึงมัน
แต่เหมือนกับจั่วเจียจวิ้น ถ้าไม่ได้รู้วิธีการถ่ายทอดและสืบสานสำนักเสื้อป่านกับเยี่ยเทียน อีกทั้งยังเข้าไปในเรือนสี่ประสานที่เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ เกรงว่าตลอดชีวิตของเขา ก็ยากที่จะเข้าถึงการฝึกฝนให้ถึงขั้นสุดยอด
ดังนั้นเมื่อได้ยินไช่หยางชิวที่ใช้เวลาติดอยู่กับขอบเขตของพลังแฝงขั้นสูงสุด โก่วซินเจียก็ยืนยันกับเขาไปตรงๆ เลยว่าเขาไม่มีทางที่จะสามารถเข้าถึงขั้นสุดยอด นอกจากว่าเขาจะได้บังเอิญเจอกับชะตาที่ยากลำบากเช่นเดียวกับจั่วเจียจวิ้น
สายตามองไปที่จั่วเจียจวิ้น โก่วซินเจียเอ่ยปากว่า “ศิษย์น้องรอง การกระทำของคนในฉีเหมิน ให้ความสำคัญกับการทำอะไรตามใจชอบ นายเข้าถึงขั้นสุดยอดได้ไม่นาน อย่าทำให้จิตใจต้องมัวหมองด้วยเรื่องนี้ ถ้าหากได้จังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ค่อยขอคำชี้แนะจากคนนั้นอีกครั้ง!”
ในปีนั้นโก่วซินเจียก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับสำนักชีซิง แต่ตอนนั้นได้มีการพิจารณาแผนต่อต้านญี่ปุ่นครั้งใหญ่ จึงไม่มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น
แต่วันนี้ได้ยินว่าสำนักชีซิงได้มารังแกศิษย์น้องของตัวเอง แม้ว่าโก่วซินเจียจะสภาพจิตใจที่ฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์ร้อนขึ้นมา
“ใช่ ศิษย์พี่ ถ้าเกิดว่าเขายังกล้ามายั่วยุอีก ผมจะไม่มีทางทำให้ชื่อเสียงของสำนักเสื้อป่านของเราอ่อนแอ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้นจึงมั่นใจ เมื่อมีสองศิษย์พี่และศิษย์น้องที่มีฝีมือไม่ธรรมดาลงมือบัญชาการด้วยตัวเอง อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้มากมาจากเยี่ยเทียนไม่น้อย ถ้าหากว่าไช่หยางชิวเข้าถึงขั้นสุดยอด จั่วเจียจวิ้นเองก็มีความสามารถในการต่อสู้แล้ว
“ก็แค่คนเลวๆ มาหาเรื่อง ศิษย์พี่อย่าเก็บมาใส่ใจ”
สำนักชีซิงก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเยี่ยเทียน ไม่ใช่เพราะว่าเขาอวดดี แต่ว่าในตอนนั้นเยี่ยเทียนเคยติดตามพรตเฒ่าไปที่มณฑลกวางตุ้งและกว่างซีในเขตฝูเจี้ยน สำนักฉีเหมินที่นั่นได้ถูกทำลายกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบไปตั้งนานแล้ว
แต่ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนกับศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเขาในตอนนี้ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้กองกำลังทหารป้องกันประเทศ จะมาสักกี่คนก็สู้ได้ แม้แต่ประตูบ้านเขาก็ไม่สามารถให้เข้าไปได้
“อาจารย์ ตอนนี้อาจารย์ของผมกำลังจะรีบมาจากฮ่องกงแล้วครับ!”
ในขณะที่เยี่ยเทียนและศิษย์พี่ศิษย์น้องกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เถาซานอี้ก็รีบเดินเข้ามาด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิม พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “อาจารย์หยวนหยาง อาจารย์ของผมยืมเครื่องบินส่วนตัวมาลำหนึ่ง คิดว่าน่าจะมาถึงฮ่องกงช่วงค่ำหน่อยครับ!”
เถาซานอี้ก็คิดไมถึงว่าหลังจากที่อาจารย์ได้รับสายเขาแล้ว จะดูตื่นเต้นอะไรขนาดนี้ อีกทั้งยังลืมทักทายหรือพูดคุยกับโก่วซินเจีย รีบวางสายแล้วไปติดต่อกับคนช่วยหาเครื่องบินเพื่อบินมายังฮ่องกง
ด้วยวรยุทธของหนานไหวจิ่น ยังมีอาการที่ลืมตัวเช่นนี้ แสดงว่าโก่วซินเจียมีตำแหน่งที่สำคัญอยู่ภายในใจของเขา ดังนั้นตอนที่เถาซานอี้ได้เผชิญหน้ากับโก่วซินเจีย จึงยิ่งแสดงความเคารพนับถืออีกครั้ง
“ศิษย์น้องไหวจิ่นเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยน วันนั้นวันที่ฉันกลับมาถึงประเทศจีนก็ไม่ได้ไปหาเขา ทำให้ฉันรู้สึกว่าทำไม่ถูกต้อง”
เมื่อได้ยินว่าหนานไหวจิ่นจะรีบมาตอนกลางคืน โก่วซินเจียก็รู้สึกทอดถอนใจ เขารู้จักกับหนานไหวจิ่นตั้งแต่วัยรุ่น แต่ว่าระยะเวลาผ่านไปเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ได้กลับมาเจอกันอีก
“ศิษย์น้องเล็ก หรือ…พวกเราจะกลับบ้านไปรอศิษย์น้องไหวจิ่นกันเถอะ?”
โก่วซินเจียครุ่นคิดครู่หนึ่ง มองไปที่เยี่ยเทียน พูดว่า “คนที่อยู่ในนี้ส่วนใหญ่ก็คือพวกคนรุ่นหลัง พวกเขาคงไม่เข้าใจว่าอะไรคือฉีเหมินแล้ว แต่ถึงจะไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร!”
โก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนนั้นเหมือนกัน เดิมทีอยากที่จะเห็นคนสำนักฉีเหมินในฮ่องกง แต่เมื่อได้เห็นแล้วกลับทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
นอกจากเถาซานอี้และอี้เวินเม่าแล้ว ไม่มีใครที่เข้าตาได้อีก อีกทั้งการสมาคมกับคนที่อยู่ที่นี่ก็น่าเบื่อ สู้กลับบ้านไปนั่งฝึกลมหายใจจะดีกว่า
เยี่ยเทียนมองไปที่จั่วเจียจวิ้น ยิ้มแล้วพูดว่า” ศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้พวกเรามาช่วยชูโรงให้ศิษย์พี่รอง รอให้งานเลี้ยงเริ่มแล้วค่อยว่ากัน ถ้าหากไม่มีคนมาหาเรื่อง พวกเราก็กลับกันเถอะ”
เนื่องจากจั่วเจียจวิ้นคือตัวเอกของงาน ดังนั้นพวกเขาสองสามคนมาถึงงานเร้วไปหน่อย และงานเลี้ยงจะเริ่มตอนสามทุ่มตรง ซึ่งยังเหลือเวลาอีกสิบกว่านาที
“อย่างนั้นก็ได้ ทำตามที่ศิษย์น้องบอกแล้วกัน รออีกสักหน่อย!” โก่วซินเจียพยักหน้า เยี่ยเทียนเป็นหัวหน้าของสำนักเสื้อป่านในยุคปัจจุบัน ในเมื่อเขาพูดอะไรออกมาแล้ว โก่วซินเจียจึงได้แต่ทำตาม
แต่ว่าบทสนทนาของศิษย์พี่น้องสองคนนี้ได้ยินไปถึงหูของเถาซานอี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ
แต่ก่อนเถาซานอี้เคยได้ยินเพียงแค่จากอาจารย์ แต่ว่าคนที่อยู่ด้านหน้านักบวชเต๋าที่ผอมแห้งคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นบุคคลสำคัญมีฐานะสูงส่ง แม้แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
แต่ว่าบุคคลคนนี้ ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มอย่างเยี่ยเทียน กลับแสดงท่าทีว่าเยี่ยเทียนนั้นเป็นหัวหน้า ทำให้เถาซานอี้รู้สึกทึ่งในตัวเยี่ยเทียนจริงๆ
เพียงแต่ตอนที่เถาซานอี้สังเกตเยี่ยเทียนอย่างละเอียดนั้น เขาดูเหมือนกับชายหนุ่มที่กำลังป่วย ถ้าหากไม่ใช่เพราะสายตาแหลมคมที่มองเขาเป็นบางครั้ง มันง่ายมากที่จะทำให้คนมองข้ามไม่สนใจเขา
“ทำไมเหรอ? แปลกใจเหรอ?”
โก่วซินเจียสังเกตเห็นท่าทางของเถาซานยี่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียนคือหัวหน้าคนปัจจุบันของสำนักเสื้อป่าน เธออย่ามองว่าเขาป่วยตอนนี้ วรยุทธของเขาเมื่อเทียบกับนักบวชเต๋าและฉันยังสูงกว่าอีกนะ”
เมื่ออายุถึงวัยอย่างโก่วซินเจีย เวลาพูดก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยกังวลอะไร แต่เมื่อพูดคำนี้ออกไป กลับทำให้ด้านหน้าของเถาซานอี้สว่างเหมือนมีดาวเล็กๆ เต็มไปหมด
เดิมทีเยี่ยเทียนอายุเช่นนี้ก็สามารถเป็นศิษย์น้องของโก่วซินเจีย เถาซานอี้ก็รู้สึกแปลกใจมากแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าฐานะพ่อหนุ่มคนนี้ยังสูงกว่าโก่วซินเจีย นี่จึงทำให้เถาซานอี้แอบดีใจที่ตัวเองโชคดีไม่ได้เสียมารยาทกับเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน? เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน?”
ตอนนี้ให้ความสนใจต่อเยี่ยเทียนแล้ว เถาซานอี้รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้อยู่บ้าง จึงลองถามเยี่ยเทียนว่า “อาจารย์เยี่ย ท่านเคยไปที่ไต้หวันมาก่อนไหมครับ?”
ครั้งก่อนที่เยี่ยเทียนเดินทางไปไต้หวัน ได้เจอกับเหตุการณ์ครั้งใหญ่หนึ่งครั้ง โดยทั่วไปแล้วคนที่รับข่าวสารไวทุกคนก็จะรู้ กลุ่มทหารรับจ้างที่ปฏิบัติการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ถูกคนชื่อเยี่ยเทียนลอบสังหารจนหมดสิ้น
และจั่วเจียจวิ้นก็เคยโทรศัพท์หาหนานไหวจิ่นแล้ว ขอให้เขาช่วยตามหาเยี่ยเทียน เมื่อคิดเช่นนี้ เถาซานอี้มีหรือที่จะคิดไม่ออกถึงเหตุผล?
“เคยไปครั้งหนึ่ง ซึ่งตามหาศิษย์พี่ใหญ่เจอครั้งนั้น”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขามีความรู้สึกที่ดีมากกับเถาซานอี้ ถึงอย่างไรตอนนี้คนที่มุ่งมั่นถ่ายทอดและสืบสานวิชาของสำนักฉีเหมินนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง… “
เถาซานยี่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ แล้วจึงไม่ถามต่อ ภายในใจรู้สึกระวังเยี่ยเทียนมากขึ้น ถ้าดูจากภายนอกอย่างเดียว คงไม่มีใครดูออกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิต
ตอนที่ใกล้ถึงเวลาสามทุ่มตรง พิธีกรของงานก็คือมหาเศรษฐีในฮ่องก่องท่านหนึ่งเช่นกัน ได้เดินไปตรงกลางงาน หลังจากลองไมค์แล้ว ก็เอ่ยปากพูดว่า “ท่านสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมากที่ทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้…
ขณะเดียวกัน พวกเราต้องขอขอบคุณคุณจั่วเจียจวิ้นมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ที่ทำให้สภาพแวดล้อมของฮ่องกงมีอนาคตที่สวยงามยิ่งขึ้น ทุ่มเททำเรื่องพวกนี้ด้วยความตั้งใจ…”
ถึงแม้จะอยู่ในฮ่องกง แต่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็ต้องหลีกเลี่ยง พิธีกรพูดให้ฮวงจุ้ยกลายเป็นสภาพแวดล้อม นี่คือชื่อเรียกขานของฮวงจุ้ยที่คนสังคมชั้นบนของฮ่องกงจะพูดต่อที่สาธารณะ
หลังจากเสียงปรบมือหยุดลง พิธรกรก็พูดต่อว่า “ลำดับต่อไปขอเชิญคุณจั่วเจียจวิ้น มาตอบคำถามและปัญหาที่สงสัยให้กับพวกเราสักหน่อยที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมนี้ ว่าจะส่งผลกระทบต่อฮ่องกงอย่างไรบ้าง!”
เสียงปรบมือดังขึ้น จั่วเจียจวิ้นยืนขึ้นอยู่กลางงานด้วยความสงบนิ่ง มองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความถ่อมตัวอยู่บ้างพูดว่า “ผมมาฮ่องกงก็สิบกว่าปีแล้ว มองฮ่องกงค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มีความรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับฮ่องกงอย่างมาก
ทุกท่านที่นั่งอยู่ก็คงรู้ ตอนนี้โลกก็ได้โคจรมาถึงปีที่ 2004 แล้ว เศรษฐกิจของฮ่องกงได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีที่ผ่านมา จึงมีผลกระทบต่อทุกท่านไม่น้อยใช่ไหมครับ?
ผมแซ่จั่วคนนี้จึงสร้างการเปลี่ยนแปลงของไหล่เขา โดยใช้ประโยชน์จิ่วกงปากว้า สี่ปรากฏการณ์และซานฉายของค่ายกลทั้งสามอย่างนี้ เปลี่ยนวิญญาณชั่วร้ายที่มาจากทิศตะวันออกที่บุกรุกฮ่องกง…
ถึงแม้อาจจะไม่เปลี่ยนสถานการณ์ได้ทั้งหมด แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผมนั้นได้ทำเพื่อฮ่องกงด้วยใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้ของฮ่องกง จะมีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น!”
การกล่าวสุนทรพจน์ของจั่วเจียจวิ้นค่อนสั้นกระชับ หนึ่งนาทีกว่าก็พูดจบแล้ว แต่กลับมีเสียงปรบมือดังสนั่นลั่นขึ้นภายในงาน
มหาเศรษฐีภายในงานนี้แปดเก้าเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตรงไหล่เขา แม้ว่าจั่วเจียจวิ้นจะพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในสวนสนุกริมทะเล อย่างน้อยที่สุดอากาศกลางภูเขาก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
เมื่อจั่วเจียจวิ้นพูดจบแล้ว พิธีกรก็เดินเข้าไป พูดว่า “คุณจั่วเจียจวิ้นเกรงใจเกินไปแล้ว ผมแนะนำ ให้ทุกคนยกแก้วขึ้นมา ดื่มเพื่อแสดงความเคารพให้กับคุณจั่วครับ!”
คำเสนอของพี่ธีกรได้รับการตอบรับจากทุกคนที่อยู่ในงาน ทุกคนต่างชูแก้วเหล้าขึ้นมา ส่งเสียงขอบคุณและแสดงความเคารพ พร้อมกับดื่มเหล้าในแก้ว
แต่กลุ่มคนภายในงาน กลับมีสายตาของบางคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความโกรธเคืองจั่วเจียจวิ้น นั่นก็คืออี้เวินเม่า
ถ้าจะพูดให้แรงหน่อย การที่เยี่ยเทียนจัดวางค่ายกลนี้ ยังเป็นการแย่งอาชีพทำมาหากินของอี้เวินเม่าอย่างแท้จริง
เพราะว่าจั่วเจียจวิ้นอยู่ที่ฮ่องส่วนใหญ่คือการทำนายและพยากรณ์ให้กับคน น้อยมากที่จะช่วยคนดูฮวงจุ้ยชัยภูมิของภูเขาหรือสุสาน เพราะเขาก็ไม่ถนัดทางด้านนี้เท่าไร
ดังนั้นถึงแม้จั่วเจียจวิ้นกับอี้เวินเม่าก็จะไม่ถูกกัน แต่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างทั้งสองก็ไม่เคยมีมาก่อน
ก็เหมือนกับจั่วเจียจวิ้นที่มีชื่อเสียงกับการทำนายและพยากรณ์ การดูฮวงจุ้ยชัยภูมิของภูเขาหรือสุสานของอี้เวินเม่า ก็มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ที่ฮ่องกงเช่นกัน
แต่การที่จั่วเจียจวิ้นก่อตั้งสำนักฮวงจุ้ยที่ใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังได้ผลประโยชน์จากพวกมหาเศรษฐีในฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่ จึงที่ทำให้อี้เวินเม่ารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
นี่ไม่ใช่แค่การแย่งอาชีพอย่างเดียว แต่ยังเท่ากับทำลายอาชีพของเขาด้วย ต่อไปคนส่วนใหญ่ก็จะรู้จักแต่ “ปรมาจารย์จั่วเจียจวิ้น” ที่เก่งเรื่องฮวงจุ้ยดูชัยภูมิภูเขาและสุสาน แล้วใครยังอยากจะเชิญ “ปรมาจารย์อี้” เพื่อไปดูฮวงจุ้ยภูเขาและสุสานอีกเล่า?
“น้องจั่ว ฉันยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจะให้เธอช่วยแนะนำให้หน่อยได้ไหม?”
อี้เวินเม่าไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้ ยืดตัวเดินมาจากกลุ่มผู้คน พูดตรงประเด็นทันที “สำนักฮวงจุ้ยที่น้องจั่วก่อตั้งนี้ มันสามารถเปลี่ยนโชคอย่างแน่นอน
แต่ฉันอยากรู้ว่า น้องจั่วก่อตั้งสำนักฮวงจุ้ยกลางภูเขานี้ เป็นการรวมโชคของเกาะฮ่องกงทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันไม่ยุติธรรมกับสถานที่อื่นไปหน่อยหรือ?
………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น