ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 562-568

 ตอนที่ 562 สามแก่นแท้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงแห่งหนึ่งที่มีขนาดหลายสิบจั้ง การต่อสู้อย่างดุเดือดราวกับไฟที่โหมไหม้กำลังเกิดขึ้นอยู่


พอมองออกไป ห้องโถงทั้งหลังเต็มไปด้วยเงากระบองสีฟ้าจำนวนมาก แลดูคล้ายกับมหาสมุทรที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด


และต้นเหตุของทั้งหมดนี้ มาจากเงาร่างชายผู้หนึ่งที่ถูกแสงสีฟ้าห่อหุ้มและลอยอยู่กลางอากาศ


ชายผู้นี้มีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี มือทั้งสองกำลังถือกระบองจิตวิญญาณสีฟ้าแวววาวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และดูเหมือนจะโบกสะบัดอย่างไม่ใส่ใจ คลื่นเงากระบองที่อยู่ด้านล่างกลับเปลี่ยนแปลงรูปร่างตามจังหวะการโบกสะบัดของเขา


ในขณะเดียวกัน เงาร่างของคนสองคนก็อยู่ท่ามกลางเงากระบองที่โหมซัดสาดอยู่เบื้องล่าง และพยายามเคลื่อนไหวไปมาเพื่อกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณในมือต่อต้านคลื่นยักษ์เหล่านี้อย่างสุดความสามารถ


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งดวงตาเป็นประกายสีม่วง หากหลิ่วหมิงอยู่ในนี้ด้วย จะต้องจำได้อย่างแน่นอนว่า ชายผู้นี้ก็คือจั้งเสวียน ชายหนุ่มต่างเผ่านั่นเอง


ร่างของเขาถูกม่านแสงสีเหลืองห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา แต่ดูเหมือนม่านแสงจะรับมือกับเงากระบองไม่ไหว จึงดูไม่มั่นคงอยู่รำไร มืออีกข้างก็มีโล่สีเหลืองกลมๆ อันหนึ่งที่สูงเท่ากับคนหนึ่งคน บนนั้นมีรอยกระบองลึกๆ ปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก รอบด้านๆ ก็มีรอยร้าวปรากฏอยู่อย่างหนาแน่น แต่มันกลับไม่ได้แตกกระจายออกมาในทันที


แต่จะเห็นว่าบริเวณที่จั้งเสวียนกวาดสายตามองผ่าน เงากระบองที่พุ่งเข้ามาจะค่อยๆ ลดความเร็วลงในทันที เมื่อร่างของเขาเตี้ยลง ก็พอที่จะหลบเงากระบองไปได้อย่างน่าหวาดเสียว


แต่ครู่ต่อมา เงากระบองอีกด้านก็พุ่งเข้ามาถึง จั้งเสวียนหลบไม่ทัน จึงได้แต่ใช้โล่กลมๆ ในมือต้านทานไว้


“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน


เกิดรอยกระบองลึกๆ สองสามรอยบนโล่สีเหลืองอีกครั้ง รอยร้าวสองสามแห่งแผ่ขยายออกไปอีกเล็กน้อย


จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้


แม้อสูรมายาร่างมนุษย์ตรงหน้า จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น แต่พลังแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นยังไม่อาจเทียบได้ และโล่กลมๆ ในมือก็ต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้ไม่กี่ครั้งแล้ว


และพอเขาสูญเสียโล่คอยคุ้มกัน ผลลัพธ์ก็ยากจะคาดเดาได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก


และภายใต้เงากระบองที่ปกคลุมเต็มฟ้า แม้เขาจะอาศัยระดับการฝึกฝนที่แข็งแกร่ง ก็พอที่จะต่อต้านได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากคิดจะโจมตีกลับอย่าได้นึกถึงเลย และการหลุดพ้นก็ไม่อาจบรรลุได้


อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่กำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขากลับเป็นชายหนุ่มร่างเตี้ยอ้วนที่สวมชุดคลุมสีเขียว ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวมรกต แต่ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เร็วร้ายกว่าจั้งเสวียนเล็กน้อย


บนตัวของเขามีบาดแผลเต็มตัว แขนข้างหนึ่งลู่ลงด้านข้าง ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถขยับได้


คนผู้นี้เผยแววตาสิ้นหวังออกมา ขณะนี้ หากไม่ใช่ว่าอาศัยดาบปีศาจสีดำมืดบนมือข้างขวาที่มีคุณภาพไม่เลว กับเกราะอ่อนระดับสุดยอดที่สวมอยู่บนตัวต้านทานไว้ได้อย่างยากเย็นล่ะก็ เกรงว่าคงเสียชีวิตภายใต้เงากระบองจำนวนมากเหล่านี้ไปแล้ว


ทันใดนั้น ดาบปีศาจสีดำมืดในมือก็ถูกยกขึ้นมา จากนั้นดาบสีดำมืดจำนวนมากก็ม้วนตัวออกไปด้วยเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!” และฟันเงากระบองสีฟ้าจนขาดไปกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงมีเงากระบองจำนวนไม่น้อยทะลักออกจากช่องว่างระหว่างแสงดาบ


ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยคำรามเสียงออกมา แสงสีเขียวเปล่งประกายในดวงตาทั้งสอง ทันใดนั้นร่างของเขาก็หมุนวนราวกับลูกข่าง ประจักษ์ชัดว่าเขาจะใช้ร่างที่สวมชุดเกราะอ่อนออกไปรับมือกับเงากระบองตรงหน้า


“เพล้ง!”


พอชายหนุ่มอ้วนเตี้ยปะทะกับเงากระบอง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายปกคลุมเงากระบองสีฟ้าไว้ หลังจากแสงสีเขียวดับลง เงากระบองสีฟ้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ชายหนุ่มอ้วนเตี้ยกลับมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมามาก ประจักษ์ชัดว่าต่อให้จะมีเกราะอ่อนคอยคุ้มกัน ก็ยังถูกเงากระบองโจมตีไปไม่น้อย


หลังเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา ม่านแสงสีเหลืองที่ห่อหุ้มร่างจั้งเสวียนอยู่ก็มืดลง เขารู้สึกโงนเงนเล็กน้อย ขอบโล่กลมๆ ในมือใกล้จะแตกสลายแล้ว


และชายหนุ่มเตี้ยอ้วนก็มีใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ โลหิตไหลออกมาตรงมุมปาก เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ขณะนี้ดวงตาที่เคยสิ้นหวังกลับดูบ้าคลั่งขึ้นมา ดาบปีศาจสีดำมืดในมือฟันออกไปสะเปะสะปะ เห็นได้ขัดว่าสุดที่จะทนได้แล้ว


ขณะนี้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มที่ลอยอยู่กลางอากาศ จะหมดความอดทนขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายสีฟ้าแวววาว พอร่างของเขาพร่ามัวก็หายไปจากจุดเดิม


จากนั้นคลื่นกระบองด้านล่างที่ม้วนตัวไปทั่วทิศราวกับคลื่นยักษ์ ก็ดูดุดันมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า และม้วนตัวเข้ามาท่ามกลางเสียงแผดร้อง


เงากระบองยังไม่ทันทุบเข้ามาถึง พลังไร้รูปบางอย่างก็ปรากฏออกมารอบด้าน ทำให้รู้สึกราวกับว่าจะบดขยี้ทั้งสองให้กลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆ


“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน


ท่ามกลางคลื่นยักษ์ ชายหนุ่มเคลื่อนไหวจนกลายเป็นเงาร่างสิบกว่าเงา ภายใต้การปรากฏขาดๆ หายๆ เงากระบองก็โจมตีลงบนเงาร่างสีเหลืองและสีเขียวของคนทั้งสองราวกับสายฝนกระหน่ำ


พริบตาเดียว ก็ไม่รู้ว่าจั้งเสวียนและชายอ้วนเตี้ยถูกโจมตีไปตั้งกี่ครั้ง ร่างของพวกเขาถูกหวดตีจนลอยอยู่กลางอากาศ และไม่สามารถร่วงลงมาได้


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เงากระบองจำนวนมากก็กลายเป็นกระบองยาวสีฟ้าอันหนึ่ง และพุ่งกลับไปในมือของเงาร่างชายหนุ่มใบหน้าไร้ความรู้สึก


“ตู้ม!” “ตู้ม!”


จั้งเสวียนกับชายหนุ่มอ้วนเตี้ยถูกหวดจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน และร่วงลงพื้นอย่างรุนแรง


ขณะนี้ ม่านแสงคุ้มกันบนตัวจั้งเสวียนได้หายไปนานแล้ว และโล่สีเหลืองกลมๆ ที่ปกป้องร่างเขาอยู่ ก็แตกกระจายจนหาชิ้นส่วนไม่เจอ


การถูกกระบองโจมตีในเมื่อครู่ แม้จะพยายามปกป้องจุดสำคัญเอาไว้ แต่ขณะนี้ไม่รู้ว่ากระดูกทั่วร่างหักไปกี่ท่อน สามารถมองเห็นรอยเว้าลึกๆ แต่ละแห่งได้อย่างชัดเจน ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย


สถานการณ์ของชายหนุ่มอ้วนเตี้ยที่อยู่อีกด้านสาหัสยิ่งกว่า หน้าอกถูกโจมตีจนกลายรูขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าอวัยวะภายในจะถูกทุบตีจนแหลกละเอียด พลังชีวิตที่แผ่ออกมาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว


ขณะที่ร่างของทั้งสองตกลงพื้นนั้น ลำแสงสีเขียวสองลำก็ปรากฏบนแขนของทั้งสอง พอลำแสงดับลง ร่างของทั้งสองก็หายไปจากห้องโถง ทิ้งไว้เพียงมุกสีต่างๆ ราวสามร้อยกว่าเม็ด


พอเงาร่างชายหนุ่มโบกมือออกไป มุกเหล่านี้ก็พุ่งมาหาเขา


……


บนพื้นที่รกร้างว่างเปล่านอกวังมายานภาหยก ขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก จำนวนมากคนมีมากกว่าตอนที่วังเปิดไม่น้อย


ขณะนั้นเอง อากาศเหนือพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่อยู่นอกวัง มีกลุ่มแสงสีเขียวสองกลุ่มเปล่งประกายออกมา พอแสงดับลงก็มีเงาร่างสีม่วงกับสีเขียวร่วงลงมา


พวกเขาก็คือจั้งเสวียนกับชายหนุ่มอ้วนเตี้ยที่ผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากในก่อนหน้านั้น


พริบตาที่จั้งเสวียนถูกส่งตัวออกมานั้น ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนสติสัมปชัญญะแล้ว ในระหว่างที่ร่วงลงมา เขาพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก หลังจากกระอักเลือดออกมา ก็ค้นพบว่าตนเองถูกส่งออกมานอกวังมายานภาหยกแล้ว ใบหน้าของเขาเผยแววดีอกดีใจออกมาก่อนที่จะตกลงพื้นด้วยเสียงดัง “โครม!” และหมดสติไปอีกครั้ง


ส่วนชายหนุ่มอ้วนเตี้ยที่ร่วงลงมาพร้อมกัน พริบตาที่เขาสัมผัสกับพื้นนั้น พลังชีวิตสุดท้ายก็ล่องลอยออกไปในที่สุด ร่างของเขานอนจมกองเลือดไม่ขยับเขยื้อน เขาตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว


“คน…… คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่เข้าวังมายานภาหยกเป็นคนแรกหรอกหรือ?”


“ดูเหมือนชายอ้วนเตี้ยผู้นั้นจะเป็นศิษย์สายในของพรรคห้าปีศาจแห่งเขาเป่ยเหลียง!”


“จุ๊ๆ! ดูท่าด้านในคงจะอันตรายเป็นอย่างมาก ถูกโจมตีขนาดนี้ไม่ตายก็พิการแล้วล่ะ”


ผู้คนที่มุงดูอยู่มีคนจำจั้งเสวียนกับชายอ้วนเตี้ยได้ และผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบของบันไดห้าสีจำนวนหนึ่ง ยังคงไม่ยอมจากไปเพราะความไม่พอใจ และเริ่มรู้สึกดีอกดีใจในความโชคร้ายของผู้อื่น


ในขณะที่ฝูงชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น จุดแสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขนของจั้งเสวียนและชายหนุ่มอ้วนเตี้ย จากนั้นก็พุ่งออกไปราวกับฝนดาวตก


“มันคือเศษกระจกนภาหยก!”


มีคนร้องออกมาด้วยความตกใจ ผู้ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วต่างก็พากันทะยานขึ้นฟ้า พุ่งตามมันไป


ทันใดนั้น สายตาของฝูงชนก็ละออกจากร่างของจั้งเสวียนกับชายอ้วนเตี้ย


แต่ทว่าในขณะนั้นเอง มีเสียงดังออกมา “ตู้ม!” กลิ่นไอมหาศาลสามสายปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นแสงหลบหลีกสามลำก็เปล่งประกายออกมา พอสายรุ้งสีเขียวกับไอดำพร่ามัวทีหนึ่ง พวกมันต่างก็ม้วนเอาเศษกระจกนภาหยกมาได้คนละชิ้น


และเนื่องจากแสงสีขาวลงมือค่อนข้างช้า จึงไม่ได้อะไรกลับมา


ครู่ต่อมา ระลอกคลื่นปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ หลังจากบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง เงาร่างทั้งสามก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน และเผชิญหน้ากันเป็นรูปสามเหลี่ยม


หนึ่งในนั้นเป็นชายหน้าเขียวที่ดูราวกับผีดิบ ใบหน้าแข็งทื่อ เส้นผมแห้งยาวสยายลงบ่าอย่างไม่ใส่ใจ


อีกคนดูเป็นเด็กชายที่มีอายุไม่เกินสิบสองสิบสามปี ปากแดงฟันขาว สวมชุดสีเทา ที่แท้ก็เป็นทารกเฮ่าเยวี่ยแห่งยอดเขาเมฆาเขียวของนิกายยอดบริสุทธิ์


บนมือของคนทั้งสองต่างก็ถือเศษกระจกโบราณที่ไร้แสง และจ้องมองกันด้วยสายตาเยือกเย็น


ส่วนคนที่สามกลับเอามือไหว้หลัง เขาก็คือผู้อาวุโสผมขาวของ ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของหอการค้าเชียนเหมิงที่ปรากฏตัวในงานประมูลใหญ่ของตลาดฉางหยางนั่นเอง


พอผู้คนที่คิดจะไปตามเศษกระจกเห็นเช่นนี้ ก็พากันถอยกลับไปยังจุดเดิมด้วยความโกรธแค้น


และกลุ่มคนที่เดิมทีส่งเสียงฮือฮาในก่อนหน้านั้น ก็มองหน้ากันทีหนึ่ง


“คิดไม่ถึงว่าสหายเฮ่าเยวี่ยของนิกายยอดบริสุทธิ์ และเจ้าสำนักไต้แห่งสำนักเฮ่าหรานก็มาด้วย ข้าน้อยแซ่หร่วนเสียมารยาทแล้ว” ผู้อาวุโสผมขาวไม่สามารถแย่งชิงเศษกระจกนภาหยกมาได้ แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมามากนัก ประจักษ์ชัดว่าผ่านการฝึกฝนมาอย่างยอดเยี่ยม เขายังคงกล่าวกับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม


ทารกเฮ่าเยวี่ยกับชายหน้าเขียวจ้องมองกันทีหนึ่ง ในดวงตาของแต่ฝ่ายต่างก็มีร่องรอยของความหวาดกลัว พวกเขาจึงคารวะผู้อาวุโสผมขาวเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท


“สหายหร่วนก็มาด้วย หรือว่าจะมาเพราะวังมายานภาหยกเช่นกัน?” ทารกเฮ่าเยวี่ยกล่าว


“ผู้ที่มาสถานที่แห่งนี้ในเวลานี้ มีใครไม่ได้มาเพราะวังมายานภาหยกบ้างล่ะ หรือว่าจะลำบากมาพันลี้เพื่อร่วมสนุกเท่านั้นหรือ?” ผู้อาวุโสผมขาวยังไม่ทันเอ่ยปาก ชายหน้าเขียวก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และพูดประชดออกมา


“สหายไต้กล่าวได้ถูกต้อง ไม่รู้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนในเมืองเสวียนหยวน ใครเป็นคนใช้แปดล้านหินจิตวิญญาณซื้อศิลาดำลี้ลับมา ทั้งยังดีใจตั้งครึ่งค่อนวัน สำหรับตอนนั้นแล้ว คนผู้นี้คงไม่ได้มาร่วมสนุกเท่านั้น” พอทารกเฮ่าเยวี่ยได้ยิน ก็ไม่โกรธแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา


ตอนที่ 563 อาชาเขาเดี่ยว

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอชายหน้าเขียวได้ยินเฮ่าเยวี่ยกล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนโดนสะกิดบาดแผล ไอเขียวพุ่งออกจากหน้าในทันที กลิ่นไอสังหารแผ่ออกไปโดยไม่มีสิ่งใดกีดกั้นไว้


ใบหน้าของเฮ่าเยวี่ยยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับเป็นประกายสีม่วงแวววาว


ครู่ต่อมา กลิ่นไอมหาศาลสองสายก็ปะทะกันกลางอากาศ


เกิดเสียงดังก้อง!


สายฟ้าเล็กๆ จำนวนมากปรากฏกลางอากาศ และระเบิดตัวติดต่อกันไม่หยุด พายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นมา และม้วนตัวไปทั่วทิศ


ผู้ฝึกฝนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ถูกพายุบ้าระห่ำพัดจนไม่อาจทรงตัวได้ และพากันล้มระเนระนาด


ผู้ที่มีการตอบสนองรวดเร็วต่างก็กุลีกุจอพุ่งออกไปไกลๆ ผู้ที่วิ่งช้าหน่อยก็ถูกพัดจนกระเด็นออกไปไกลๆ


ผู้อาวุโสผมขาวอยู่ใกล้ที่สุด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันระวัง ร่างของเขาก็สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง พอขมวดคิ้วและทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็ทรงตัวไว้ได้


ขณะเดียวกัน พายุที่พัดกระพือฮือโหมก็ม้วนตัวติดต่อกัน จนก่อตัวเป็นกระแสอากาศสีขาว มันห่อหุ้มเด็กชายกับชายหน้าเขียวเอาไว้


ทั้งสองพร่ามัวอยู่ท่ามกลางกระแสอากาศสีขาว และกลายเป็นเงาร่างจางๆ สองเงาปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่กลางอากาศ


“เอาล่ะ! สหายทั้งสองต่างก็เป็นผู้อาวุโสในนิกาย วันนี้ต้องทิ้งภาระกิจสำคัญมายังสถานที่แห่งนี้ คงไม่ต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งหรอกนะ ไม่สู้ถอยกันคนละก้าว รอศิษย์ที่อยู่ด้านในออกมาค่อยว่ากัน จะได้ไม่ผิดใจกันด้วย” ผู้อาวุโสผมขาวพูดเกลี้ยกล่อม


เป็นเพราะความบาดหมางของเฮ่าเยวี่ยกับชายแซ่ไต้ในปีก่อน พวกเขาถึงพูดประชดประชันกันอย่างทนไม่ได้ การพูดเกลี้ยกล่อมของผู้อาวุโสในครั้งนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันของทั้งสอง


ทั้งสองต่างก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา และเก็บกลิ่นไอโดยไม่ต้องบอกกล่าว ทันใดนั้นกระแสพายุระห่ำก็ค่อยๆ สลายไป


เวลาเพียงชั่วครู่ ความแข็งแกร่งที่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสามแสดงออกมา ก็ทำให้ฝูงชนตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย


ขณะนั้นเอง บันฑิตวัยกลางคนกับบัณฑิตหนุ่มก็เหาะมาหา และร่อนลงด้านข้างชายแซ่ไต้


“ศิษย์คารวะอาจารย์อาไต้” บัณฑิตวัยกลางคนโค้งคารวะให้กับชายแซ่ไต้ บัณฑิตหนุ่มเองก็รีบโค้งตัวตามอย่างรวดเร็ว


“อืม! ลุกขึ้นเถอะ! ข้ามีเรื่องอยากจะถามศิษย์หลานไป๋อยู่พอดี” ชายหน้าเขียวพยักหน้า จากนั้นก็ขยับปากใช้วิชาส่งเสียงสนทนากับบันฑิตวัยกลางคน


บัณฑิตวัยกลางคนตอบกลับอย่างนอบน้อม จากนั้นชายหน้าเขียวก็เงยหน้ามองวังมายาที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าลังเลเล็กน้อย


บัณฑิตวัยกลางคนกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพียงแค่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม


เฮ่าเยวี่ยเห็นชายแซ่ไต้ทำท่าทีลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ เขาก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงปล่อยแสงสีเขียวไปม้วนเอาร่างจั้งเสวียนขึ้นมา และวางไว้บนพื้นตรงหน้าเขาอย่างมั่นคง


เฮ่าเยวี่ยสังเกตดูจั้งเสวียนหนึ่งรอบ และขมวดคิ้วขึ้นมา พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลูกปัดหยกสีขาวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และลอยอยู่เหนือหน้าอกของจั้งเสวียน


จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนชี้ไปกลางอากาศ และร่ายคาถาออกมา ลูกปัดหยกสีขาวปล่อยแสงสามสีออกมาห่อหุ้มร่างของจั้งเสวียนไว้ และค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปบริเวณหน้าอก


ในขณะเดียวกัน มีเสียงแตกหักดังมาจากร่างของจั้งเสวียน


ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


กระดูกภายในร่างของจั้งเสวียนที่แหลกละเอียด ค่อยๆ สมานกันอย่างรวดเร็ว อวัยวะภายในที่แหลกเหลวก็ฟื้นคืนกลับมาเช่นเดิม


ภายใต้การกระตุ้นลูกปัดหยกสีขาวของเฮ่าเยวี่ย มันไหลวนตามแขนขาของจั้งเสวียนหนึ่งรอบ


ภายใต้การซ่อมแซมของแสงสามสี พริบตาเดียวบาดแผลทั่วตัวก็ฟื้นฟูมากว่าครึ่งหนึ่ง หลังจากมีเสียงครวญครางดังออกมาเบาๆ สติของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมา


เฮ่าเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย หลังจากหยุดทำท่ามือ และโบกมือออกไป ลูกปัดหยกสีขาวก็ดับแสงลง และพุ่งหายไปในแขนเสื้อของเขา


จั้งเสวียนค่อยๆ ลุกขึ้นมา หลังจากขยับตัวไปมาด้วยความดีใจแล้ว ก็รีบโค้งคารวะเฮ่าเยวี่ยด้วยความเคารพยำเกรง


“ศิษย์ขอขอบคุณผู้อาวุโสเฮ่าเยวี่ยที่ยื่นมือเข้าช่วย”


“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าเป็นศิษย์สาขาใด” เฮ่าเยวี่ยจ้องมองป้ายศิษย์สายนอกบนเอวจั้งเสวียนแล้วถามอย่างราบเรียบ


“เรียนผู้อาวุโส ศิษย์เป็นศิษย์สาขาห่านฟ้า” จั้งเสวียนรีบกลับอย่างนอบน้อม


เฮ่าเยวี่ยได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย และไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อน


ที่เขามาไกลถึงตลาดฉางหยางในครั้งนี้ ประการแรกก็เพื่อมาดูวังมายานภาหยกที่มีชื่อเสียงมายาวนานแห่งนี้ ประการที่สองเป็นเพราะว่าถูกไหว้วานจากสหายยอดเขากระบี่ ให้มาดูแลซาทงเทียนที่เป็นศิษย์ใต้สังกัด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอกับชายแซ่ไต้ของสำนักเฮ่าหราน จนเขาต้องกร่นด่าในความโชคร้ายอย่างอดไม่ได้


พอจั้งเสวียนเห็นเฮ่าเยวี่ยจิตใจล่องลอย เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำเหมือนกับบัณฑิตของสำนักเฮ่าหรานที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ


ขณะนี้ แม้ว่าชายแซ่ไต้จะแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่หยุด


ครั้งนี้เขามาเพื่อดูศิษย์แซ่ซังที่ทางสำนักให้ความสําคัญ กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบกับผู้แข็งแกร่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ไม่ถูกกับเขามาโดยตลอด ทั้งยังถูกแฉจุดอ่อนต่อหน้าศิษย์อีก ดังนั้นเขาย่อมรู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิม


แม้ว่าผู้ฝึกฝนนอกวังมายานภาหยกจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสาม ก็ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ และละสายตาไปที่วังมายานภาหยกอีกครั้ง ทั้งยังไม่กล้าพูดเสียงดังด้วย


ชั่วขณะนี้ การต่อสู้ภายในวังมายานภาหยกยังคงดำเนินต่อไป


ตั้งแต่หลิ่วหมิงสังหารเงามายาของคนที่เคยบุกวังในอดีตไปหนึ่งคนแล้ว พริบตาเดียวเวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไปอีกครั้ง


ช่วงระหว่างเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เขาเผชิญหน้ากับเงาร่างมายาติดต่อกันสองครั้ง แม้ว่าแต่ละเงาจะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังกลับอยู่ที่ระดับผลึก


หนึ่งในนั้นมีพลังพอที่จะเทียบเท่าได้กับระดับผลึกขั้นกลาง ทำให้หลิ่วหมิงจำต้องเรียกแมงป่องกระดูกกับหัวบินออกมา ทั้งสามร่วมมือกันใช้วิธีการทั้งหมด ถึงพอที่จะสังหารเงาร่างนี้ได้


แต่หลังจากการต่อสู้นี้ เขายังคงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อทานโอสถไปจำนวนหนึ่งแล้ว ถึงฟื้นฟูพลังกลับมาได้ทั้งหมด


และในระหว่างที่เข้ามาในวังมายานภาหยก อสูรมายารูปแบบต่างๆ ก็ทำให้หลิ่วหมิงได้เปิดโลกทัศน์เป็นอย่างมาก แม้กระทั่งยังได้พบกับปีศาจอสูรมายาโบราณที่ไม่มีบันทึกในคัมภีร์ด้วย


อสูรมายาเหล่านี้ใช้วิธีการต่างๆ ในการโจมตี นอกจากการใช้อาวุธกับวิชาในการโจมตีแล้ว ยังมีการโจมตีโดยใช้วิญญาณและพลังจิตด้วย


หากไม่ใช่ว่าตอนนี้หลิ่วหมิงมีพลังจิตพอที่จะเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกฝนระดับผลึกกับมีหนอนพลังจิตที่สับเปลี่ยนกันพักผ่อนล่ะก็ อาจจะเสียเปรียบก็เป็นไปได้


ภายใต้การต่อสู้อย่างยากลำบาก เขาก็รวบรวมมุกนภาหยกมาได้เป็นจำนวนมาก


ในนั้นมีมุกนภาหยกสีเงินมากถึงห้าเม็ด สีม่วงยี่สิบกว่าเม็ด สีเขียวห้าสิบกว่าเม็ด ส่วนมุกนภาหยกระดับต่ำสีขาวกับสีเทามีมากถึงร้อยกว่าเม็ด


แม้เขาจะไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนของล้ำค่าในตอนท้ายนั้น ต้องใช้มุกนภาหยกจำนวนเท่าใด แต่เชื่อว่าเขาก็คงมีไม่น้อยไปกว่าผู้ที่เข้ามาในวังนภาหยก คงเพียงพอที่จะแลกสิ่งของที่ต้องการแล้ว


แน่นอน! เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ก่อนวังมายาจะหายไป หลิ่วหมิงย่อมรวบรวมมุกมาให้ได้มากที่สุด


……


หลังจากเวลาผ่านไปไม่รู้กี่วัน ท่ามกลางห้องโถงบางแห่ง แสงกระบี่สีแดงพุ่งจากล่างขึ้นบน อสูรประหลาดหัวมัจฉาร่างมนุษย์ที่สูงหลายจั้ง ถูกฟันเป็นสองส่วนในทันที ร่างทั้งสองซีกของมันล้มลงพื้น และระเบิดตัวเป็นไอดำกลุ่มหนึ่ง ทิ้งไว้เพียงมุกสีม่วงหนึ่งเม็ดเท่านั้น


หลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมาเก็บกระบี่บินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เขาเก็บมุกมาสังเกตดูเล็กน้อยก่อนที่จะใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน


ขณะที่เขากำลังจะผลักประตูที่อยู่ด้านข้างเพื่อเข้าไปในห้องโถงอีกแห่งนั้น พลันได้เสียงเสียงพายุพัดกระหน่ำดังมาจากนอกประตู ดูเหมือนว่าจะมีเสียงกีบม้าที่ดังราวกับเสียงฟ้าร้องผสมปนเปอยู่ในนั้น


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่างของเขาเคลื่อนไหวมาปรากฏอยู่กลางอากาศที่สูงขึ้นไปสิบกว่าจั้ง


ขณะเดียวกัน มีเสียงดัง “ตู้ม!” ตรงด้านล่าง ประตูหินขนาดใหญ่ถูกชนจนแตกกระจาย เงาร่างคนสองคนพุ่งเข้ามา


พอหลิ่วหมิงเขม้นตาจ้องมองออกไป ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย


“เป็นเจ้า!”


“เป็นเจ้า?”


พอผู้ที่บุกเขาฝ้ามาทั้งสองเห็นหลิ่วหมิงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย และพูดคำพูดเดียวกันออกมา แต่น้ำเสียงแตกต่างกันมาก


หลิ่วหมิงย่อมรู้จักคนสองคนนี้!


ผู้ที่สวมชุดสีดำแปลกประหลาดก็คือชายหนุ่มเผ่าค้างคาวนั่นเอง ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่ยืนเหยียบกระบี่สีเขียวอยู่ ก็คือซาทงเทียนผู้นั้น


น้ำเสียงของชายหนุ่มเผ่าค้างคาวดูประหลาดใจเล็กน้อย และน้ำเสียงประหลาดใจของซาทงเทียนก็แฝงด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย


ขณะที่ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมานั้น ก็มีเสียงฝีเท้าโครมครามดังมาจากนอกห้องโถง


ครู่ต่อมา เสียงคำรามแปลกประหลาดก็ดังขึ้นมาราวกับดังอยู่ข้างหูของทั้งสาม จากนั้นอาชาประหลาดเขาเดี่ยวที่มีเปลวไฟสีดำลุกไหม้อยู่ก็กระโดดเข้ามา


อาชาประหลาดตัวนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก สูงเพียงจั้งกว่าๆ ลวดลายบนตัวเรียบลื่นผิดปกติ ตัวดำราวกับหมึก ร่างกายทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยลวดลายจิตวิญญาณเป็นวงๆ มีเขาเดี่ยวอยู่บนหัว แต่กลับเป็นสีขาวแวววาว ซึ่งแตกต่างจากสีบนตัวของมันมาก


พออสูรมายาตัวนี้เหยียบเข้ามาในห้องโถง กลิ่นไอระดับผลึกขั้นปลายอันน่าตกใจก็แผ่ออกมา


หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


แต่เขายังไม่ทันทำอะไร อาชาเขาเดี่ยวก็แหงนหน้าแผดเสียงออกมา เท้าทั้งคู่กระทืบพื้นอย่างรุนแรง ร่างของมันพร่ามัวไปลอยอยู่บนอากาศเหนือศีรษะของทั้งสามอย่างน่าประหลาดใจ


ครู่ต่อมา เปลวไฟสีดำบนตัวอสูรมายาก็ม้วนตัวขึ้นมา “ฟู่!” ลูกเปลวไฟสีดำขนาดเท่าลูกกำปั้นพุ่งออกมาจำนวนมาก และพุ่งยิงออกไปราวกับสายฝน อานุภาพน่าตกใจอย่างถึงขีดสุด


เปลวไฟสีดำแปลกประหลาดนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่อาจให้มันสัมผัสโดนตัวได้แม้แต่น้อย


พอเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ทรายทองคำก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ ภายใต้การหมุนติ้วๆ มันก็กลายเป็นม่านทรายสีทองปกคลุมร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวไปไปมาจนหลบลูกเปลวไฟสีดำส่วนมากไปได้


ลูกเปลวไฟสีดำที่หลุดรอดมาได้ไม่กี่ลูกโจมตีลงบนม่านทราย และถูกแสงสีทองดีดกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย


ตอนที่ 564 ร่วมมือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซาทงเทียนดูเหมือนจะหวาดกลัวเปลวไฟสีดำนี้มาก แต่เขาเป็นถึงศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ จึงไม่ได้แสดงสีหน้าลนลานออกมา


แต่พริบตาเดียวก็หลบลูกเปลวไฟสีดำที่พุ่งเข้ามาได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายเยือกเย็น กระบี่บินสีเขียวในมือที่ใสแป๋วราวกับลูกตาสั่นสะท้าน


“ฟิ้วๆ!” ปราณกระบี่จำนวนมากถูกปล่อยออกไป


“ตู้ม!” “ตู้ม!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน


ปราณกระบี่สีเขียวละลานตาพุ่งเข้าไปในลูกเปลวไฟอย่างแม่นยำ มันปั่นจนลูกเปลวไฟระเบิดตัวเป็นสะเก็ดไฟสีดำกระเด็นไปทั่วทิศ


การเคลื่อนไหวนี้ราบรื่นเป็นอย่างมาก ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นผู้ที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นไม่น้อย


พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป ก็ต้องเผยแววตาชื่นชมออกมา!


เมื่อเทียบกันแล้ว ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวมีพลังด้อยกว่าขั้นหนึ่ง


ขณะนี้ รอบตัวของเขาถูกกระแสไอดำห่อหุ้มไว้ ในมือถือธงสีดำขนาดจั้งกว่าๆ มีหัวปีศาจอัปลักษณ์ปักอยู่บนนั้น คมเขี้ยวยื่นออกจากปาก แลดูดุร้ายยิ่งนัก


บริเวณที่ธงสีดำพัดผ่าน จะมีไอดำพวยพุ่งขึ้นมา พอเปลวไฟส่วนมากสัมผัสกับมัน ก็ถูกห่อหุ้มไว้ในนั้น และหดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนสลายไป


แม้ว่าวิธีการนี้จะใช้กับได้ผลกับเปลวไฟสีดำ แต่การบดบังของธงสีดำมีจำกัด ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวทำได้แค่ขยับตัวไปมา เพื่อไม่ให้เปลวไฟสีดำโดนตัวเท่านั้น


ผู้ฝึกฝนทั้งสามอาศัยวิธีการต่างๆ ของตนเอง แม้ต่างคนต่างทำการต่อสู้ แต่ก็ปลอดภัยไปช่วงหนึ่ง


แต่พออาชาเขาเดี่ยวสะบัดตัวอย่างรุนแรง เปลวไปสีดำจำนวนมากตามด้วยลูกเปลวไฟก็พุ่งลงเต็มฟ้า พริบตานั้น อากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยทะเลไฟสีดำ แม้กระทั่งบนพื้นหินสีดำก็มีร่องรอยของการละลายเล็กน้อย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา


เวลาที่ผ่านมาเกือบสองเดือน เขาค้นพบว่าห้องโถงต่างๆ ในวังมายานภาหยกล้วนสร้างขึ้นจากวัสดุที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แม้กระทั่งอาจจะใช้วัสดุพิเศษบางอย่างที่มีเฉพาะในสมัยบรรพกาลสร้างขึ้นมา แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ก็ยากที่จะทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นได้


และเปลวไปสีดำแปลกประหลาดนี้กลับสามารถละลายมันได้ ดูท่าคงแฝงไปด้วยอานุภาพอันน่าหวาดกลัวไม่น้อย


“ท่านทั้งสอง อาชาประหลาดตัวนี้มีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลาย พลังของมันแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่สิ่ง…… สิ่งที่พวกเราจะเอาชนะได้โดยลำพัง ถ้าจะ……. นั่งรอความตาย ไม่สู้พวกเราทั้งสามร่วมมือต่อสู้กันสักตั้ง…… ทุกท่านว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวมีสีหน้าแดงเล็กน้อย ด้านหนึ่งโบกสะบัดธงสีดำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากเสนอแนะออกมา


“ร่วมมือกันน่ะได้ แต่ว่าหลังจากสังหารอสูรตัวนี้แล้ว มุกนภาหยกทั้งหมดก็อาศัยความสามารถของตนเองแย่งชิงกันเถอะ” เห็นได้ชัดว่าซาทงเทียนมีท่าทีสบายๆ เป็นอย่างมาก แต่พอได้ยินก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา


“ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าทุกท่านรีบลงมือเผด็จศึกให้ไวที่สุดจะดีกว่า มิเช่นนั้นพลังเวทของพวกเราจะสู้อสูรมายาตัวนี้ไม่ได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมยินดีร่วมมือกับทั้งสองแล้ว


อสูรมายาตัวนี้ สามารถพูดได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เขาเข้ามาในวังมายานภาหยก มันลงมือแค่ทีเดียว ก็สามารถก่อกวนได้นานเช่นนี้ หากลงมือด้วยวิธีการอื่นๆ อีกล่ะก็ คงต้องเกิดปัญหาใหญ่แล้ว


ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ หากโหมกระหน่ำด้วยพลังทั้งหมดต่อสู้กับอสูรมายาระดับผลึกขั้นกลางที่ไม่มีสติปัญญาด้วยตัวคนเดียว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด แต่ไม่กล้าถือดีว่าตนเองจะสามารถสังหารอสูรมายาระดับผลึกขั้นปลายได้อย่างปลอดภัย


ในเมื่อทั้งสามบรรลุข้อตกลงกันแล้ว ต่างก็เข้าใจกันโดยปริยาย พวกเขากระโดดทะแยงไปด้านหลังเกือบจะในเวลาเดียวกัน และทำท่ามืออยู่ไม่หยุด


ซาทงเทียนกระโดดขึ้นเป็นคนแรก กระบี่ใสแจ๋วราวกับวารีในมือกลายเป็นสายรุ้งเจิดจ้าพุ่งออกไป และขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาอาชาเขาเดี่ยว


อีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงยกแขนทั้งสองขึ้นพร้อมกัน ม่านทรายสีทองที่หมุนวนรอบตัวหยุดชะงัก และพุ่งออกจากร่าง จากนั้นก็กลายเป็นหอกยาวสีทองที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง ด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่ากระบี่บิน มันก็พุ่งไปแทงอาชาประหลาดด้วยพลังอันรุนแรง


ขณะนี้ ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวที่กระโดดขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย กลับโยนธงสีดำในมือออกไป นิ้วมือทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และร่ายคาถาออกมา ดูเหมือนว่ากำลังกระตุ้นวิชาบางอย่างอยู่


เห็นได้ชัดว่าอาชาเขาเดี่ยวที่อยู่ด้านบน รับรู้การเคลื่อนไหวของทั้งสามได้ ในขณะที่คนทั้งสามกระโดดขึ้นจากพื้นนั้น มันก็ทำให้เปลวไฟสีดำที่พวยพุ่งรอบตัว ก่อตัวเป็นกำแพงอัคคีสีดำที่หนาหลายฉื่อและกดดันลงมา ไม่ว่าแสงกระบี่หรือว่าหอกทองคำ ต่างก็ถูกโจมตีจนสลายไป


“เร็ว!”


ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นเช่นนี้ ก็ตะคอกด้วยเสียงอันดัง พอชี้มือขึ้นฟ้า กระบี่บินสีเขียวกลางอากาศก็กลายเป็นอสรพิษยักษ์สีเขียวที่ยาวเกือบสิบจั้ง และสะบัดหัวสะบัดหางอยู่ท่ามกลางกำแพงอัคคี


ทันใดนั้น เงาร่างอสรพิษยักษ์ก็กระพริบอยู่ภายในกำแพงอัคคี แสงสีเขียวที่เคยเจิดจ้าถูกเปลวไฟสีดำเผาไหม้ จนดูเหมือนจะมืดลงเล็กน้อย แต่ในขณะที่อสรพิษยักษ์ก่อกวนอยู่ กำแพงอัคคีสีดำก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันความเร็วที่กดทับลงมาก็ลดช้าลง และมีช่องว่างดันออกไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็คิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระตุ้นท่ามือทันที จุดแสงสีทองที่สลายไป ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และกลายเป็นหอกยาว พอมีเสียงดัง “ฟู่!” มันก็เจาะทะลุรอยแยกของกำแพงอัคคีไป


เนื่องจากกำแพงอัคคีอยู่ห่างจากอาชาเขาเดี่ยวไม่ถึงสิบกว่าจั้ง และภายในระยะห่างเช่นนี้ ตั้งแต่ตอนที่หอกยาวสีทองพุ่งออกจากกำแพงอัคคี อสูรมายาก็ไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่ของมันเป็นประกายเยือกเย็น


“ตู้ม!”


หอกยาวสีทองโจมตีลงบนตัวอาชาเขาเดี่ยวในทันที ภายใต้การสั่นสะท้านของหอกยาว มันก็แทงลึกลงไปบนพื้นผิวหลายชุ่น แต่กลับไม่สามารถแทงเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย


และในขณะเดียวกัน เปลวไฟสีดำที่พวยพุ่งรอบตัวอสูรตัวนี้ ก็ลุกไหม้ตั้งแต่ปลายหอกไปยังด้ามหอก ทำให้หอกยาวสีทองเปล่งประกายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


“ระเบิด!”


คำว่าระเบิดออกจากปากหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่าง


ครู่ต่อมา หลังจากหอกยาวสีทองเปล่งประกายท่ามกลางเปลวไฟสีดำสองสามที ก็มีเสียงระเบิดดังออกมา “ตู้ม!” จากนั้นมันก็กลายเป็นใบมีดทรายทองคำแผ่กระจายเต็มฟ้า และค่อยๆ หมุนวนหนึ่งรอบก่อนพุ่งไปฟันอาชาเขาเดี่ยว แม้ว่าจะไม่อาจทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้ แต่กลับทิ้งบาดแผลเล็กๆ จำนวนมากไว้บนผิวของมัน


อาชาเขาเดี่ยวส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา จากนั้นก็หันหน้าไปทางหลิ่วหมิงด้วยแววตาเยือกเย็น ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่กระตุ้นให้มันโมโหเป็นอย่างมาก


อสูรมายาส่งเสียงร้องคำราม และแผ่กลิ่นไออันแข็งแกร่งที่ทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมาก จากนั้นก็หมุนตัวติ้วๆ กลายเป็นเสาเพลิงสีดำพุ่งขึ้นฟ้า ใบมีดทรายทองคำทั้งหมดถูกพัดออกไปจนหมด ขณะเดียวกัน บาดแผลบนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว


จากนั้นอาชาประหลาดก็ก้มหน้าลง ดูเหมือนมันจะกระทำการด้วยวิธีอื่นแล้ว


แต่ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มเผ้าค้างคาวที่เปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด และร่ายคาถาตั้งแต่การต่อสู้อันดุเดือดเริ่มขึ้น ก็หยุดการกระทำลงในฉับพลัน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแสงสีแดง จากนั้นก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่ธงสีดำตรงหน้า


ธงสีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้าเปล่งประกายแสงสีดำแปลกประหลาดขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็หายไปจากที่เดิม


ครู่ต่อมา มีแสงสีดำเปล่งประกายด้านหลังอาชาเขาเดี่ยว ไม่นานธงสีดำก็เปล่งประกายออกมา และขยายใหญ่หลายจั้งอย่างรวดเร็ว


พอธงนี้ปรากฏ แสงสีดำก็ม้วนตัวออกจากผิวธง มีเสียงพิลาปร่ำไห้ดังออกจากในนั้น หัวปีศาจขนาดสองสามจั้งปรากฏออกมา และยิ้มอย่างดุร้าย ปากขนาดใหญ่ของมันเปิดและปิดลงโดยไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา


พอเปลวไฟสีดำบนตัวอาชาประหลาดสัมผัสกับแสงไฟเหล่านี้ ก็รู้สึกราวกับเผชิญกับดาวมฤตยู มันละลายกลายเป็นควันดำอย่างรวดเร็ว


อาชาประหลาดเห็นเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่ามันจะเผยแววตาหวาดกลัวออกมา


พอเห็นฉากเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงกับซาทงเทียนที่อยู่ไม่ไกลต่างก็อึ้งไปครู่หนึ่ง และแอบตกใจเล็กน้อย


“ท่านทั้งสอง ธงกลืนวิญญาณของข้านี้ ใช้เพื่อควบคุมอสูรมายาชนิดนี้โดยเฉพาะ ขอสหายทั้งสองช่วยถ่วงเวลาให้ข้าหน่อยเถิด” มีเสียงดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง ซึ่งมาจากชายหนุ่มเผ่าค้างคาวนั่นเอง


เห็นได้ชัดว่าซาทงเทียนก็ได้ยินเสียงที่ส่งมาเช่นกัน แววตาของเขาโหดเหี้ยมขึ้นมา ร่างกายสั่นสะท้าน มือที่ทำท่าเคล็ดกระบี่อยู่ชี้ไปยังอสรพิษยักษ์สีเขียวที่อยู่ท่ามกลางกำแพงอัคคี


แสงสีเขียวเปล่งประกายทั่วร่างอสรพิษยักษ์ และมันพลิกตัวไปมารุนแรงกว่าเดิม ทำให้กำแพงอัคคีเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง และมืดลงอีกครั้ง


หลิ่วหมิงก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ใบมีดทรายสีทองที่พุ่งถอยกลับมาได้พวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็ยกขึ้นมา กระบี่บินสีแดงพุ่งออกจากแขนเสื้อ มันกลายเป็นสายรุ้งสีแดงพุ่งผ่านรอยแยกของกำแพงอัคคี และร่วมล้อมโจมตีอาชาประหลาดสีดำ


ภายใต้การล้อมโจมตีของใบมีดทรายสีทองกับกระบี่บินสีแดง อาชาเขาเดี่ยวก็ส่ายหัวด้วยความโมโห แสงสายฟ้าเปล่งประกายบนเขาเดี่ยว จากนั้นสายฟ้าสีดำขนาดเท่าปากถ้วย ก็ฟาดโดนสายรุ้งสีแดงพอดี ทำให้มันส่งเสียงดังกังวาน และหมุนติ้วๆ กลายเป็นกระบี่เล็กแวววาวที่ยาวชุ่นกว่าๆ


ภายใต้การเชื่อมจิตของหลิ่วหมิง พอรู้สึกใจสั่นสะท้าน เขาก็รีบถอยออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากทำเสียงฮึดฮัดแล้ว ก็ทำท่ามือกระตุ้นทันที


ใบมีดทรายสีทองรวมตัวกันในฉับพลัน และกลายเป็นใบเลื่อยกระพริบผ่านลำคอของอาชาประหลาด ซึ่งทิ้งบาดแผลยาวชุ่นกว่าๆ ไว้


หัวปีศาจสีดำเห็นเช่นนี้ ก็ถือโอกาสพุ่งลงไป และอ้าปากกัดลงบนบาดแผลตรงคออาชาประหลาด และพยายามดูดอย่างสุดชีวิต


อาชาเขาเดี่ยวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด มันสะบัดตัวอย่างรุนแรง และเปลวไฟสีดำบนตัวก็ลุกไหม้มากว่าเดิมหนึ่งเท่ากว่าๆ ขณะเดียวกัน สายฟ้าสีดำบนเขาเดี่ยวก็ฟาดฟันอากาศบริเวณนั้นอย่างบ้าคลั่ง เพื่อที่จะสะบัดหัวปีศาจให้กระเด็นออกไป


ใบเลื่อยสีทองถูกสายฟ้าสีดำจำนวนมากโจมตี จากนั้นก็กลายเป็นเม็ดทรายสีทองม้วนตัวออกไป


แต่ขณะนี้หัวปีศาจอัปลักษณ์ก็เกาะคอของอาชาประหลาดไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าอสูรมายาตัวนี้จะใช้วิธีการใด มันก็กัดแน่นอยู่อย่างนั้น


ผ่านไปสักพัก กลิ่นไออันแข็งแกร่งของอาชาเขาเดี่ยวก็ลดลงไปมาก เปลวไฟสีดำบนตัวก็เกิดอาการติดๆ ดับๆ ขึ้นมา


ตอนที่ 565 การต่อสู้ติดต่อกันอย่างดุเดือด

โดย

Ink Stone_Fantasy

อาชาเขาเดี่ยวจมดิ่งอยู่ในความบ้าคลั่งทันที ครู่เดียวความบ้าคลั่งก็ปรากฏในดวงตาสีเลือดของมัน เขาเดี่ยวสีขาวหิมะบนหัวเปล่งแสงสีแดงออกมา จากนั้นก็หลุดออกจากหัวเสียงดัง “ฟิ้ว!” และกลายเป็นแสงสีเลือดกระพริบหายไป


“ฟู่!”


ฉากที่ผู้คนคาดไม่ถึงได้เกิดขึ้นแล้ว!


แสงโลหิตที่กลายร่างจากเขาเดี่ยว มาปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าค้างคาวในฉับพลัน พริบตาเดียวก็กระพริบไปเจาะหน้าท้องของชายหนุ่มจนเกิดรูเลือดขนาดเท่าลูกกำปั้น โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง


ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวคิดไม่ถึงว่า ตนเองจะถูกโจมตีอย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาร้องออกมาในทันที ร่างกายสูญเสียการทรงตัว และร่วงลงไป


และระหว่างที่ร่วงลงมานั้น แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขนของชายหนุ่ม จากนั้นร่างของเขาก็หายไปในอากาศ


มุกนภาหยกจำนวนมากร่วงลงพื้นเสียงดังแต๊กๆ


หลังจากชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บและถูกส่งออกไป ธงสีดำที่ลอยยู่กลางอากาศก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” และกลายเป็นควันสีดำสลายไปอย่างไร้ร่องรอย


หัวปีศาจที่กัดคออาชาประหลาดอยู่ระเบิดออกมาในฉับพลัน และกลายเป็นผีพุ่งใต้สีเขียวร่วงลงไป จากนั้นก็ลุกไหม้อย่างรุนแรง


ผีพุ่งใต้สีเขียวนี้สามารถกัดกร่อนเปลวไฟสีดำได้อย่างง่ายดาย และเป็นดาวมฤตยูของอาชาประหลาด


อาชาประหลาดส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ดูเหมือนมันจะสะบัดตัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อสลัดผีพุ่งใต้ให้หลุดออกจากตัว แต่ทว่าผีพุ่งใต้สีเขียวนี้ก็แปลกประหลาดมาก มันติดแน่นบนร่างของอาชาประหลาด และลุกไหม้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ ย่อมไม่อาจปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไปได้ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแปลกๆ และพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา พอทำท่ามือ โลหิตบริสุทธิ์ก็กลายเป็นอักขระแปลกประหลาด และกระพริบผ่านกำแพงอัคคีสีดำ


ครู่ต่อมา อสรพิษยักษ์สีเขียวที่อยู่ท่ามกลางกำแพงอัคคีก็ส่งเสียงคำราม และกระโดดขึ้นมา ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียว ร่างของมันก็ขยายใหญ่สามในสิบส่วน จากนั้นก็คืนร่างเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้ง และพุ่งยิงใส่อาชาประหลาด


อาชาประหลาดรับรู้ได้ถึงอันตราย มันจึงสะบัดหัวและอ้าปากพ่นกลุ่มแสงสีม่วงใส่สายรุ้งสีเขียวที่พุ่งเข้ามา โดยไม่คำนึงถึงผีพุ่งใต้สีเขียวที่ลุกไหม้อยู่บนตัว


กระบี่ยักษ์สีเขียวลดความเร็วลงในทันที แสงกระบี่สีเขียวบนพื้นผิวก็มืดลงไปไม่น้อย


ขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันอย่างไม่รู้แพ้รู้ชนะนั้น เสียงก้องกังวานก็ดังออกมาจากทางด้านหลิ่วหมิง สายรุ้งสีแดงปรากฏอยู่ห่างจากด้านหลังอาชาประหลาดไปไม่ไกล จากนั้นก็กลายเป็นแส้สีแดงที่ยาวสิบกว่าจั้ง และมาปรากฏตัวด้านข้างอาชาประหลาดก่อนที่จะฟาดออกไป


ภายใต้ความตกใจ อาชาประหลาดคิดที่จะหลบหลีกก็ไม่ทันแล้ว เปลวไฟสีดำที่เหลืออยู่รอบตัวพวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นกำแพงอัคคีสีดำโจมตีออกไป


“ฟิ้ว!”


กำแพงอัคคีที่ก่อตัวขึ้นมาโดยฉับพลันไม่อาจต้านทานแส้สีแดงได้เลยแม้แต่น้อย พอแสงสีแดงเปล่งประกาย กำแพงอัคคีสีดำก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง และถูกแทงจนเป็นรู


ด้านหลังกำแพงอัคคี อาชาประหลาดมีกลิ่นไออ่อนแอลงบ้างแล้ว ร่างที่สูงจั้งกว่าๆ หยุดชะงักในทันที เปลวไฟรอบตัวก็หยุดลงทันทีพร้อมด้วยเสียงร้องครวญคราง!


ครู่ต่อมา หัวขนาดใหญ่ของอาชาประหลาดก็ค่อยๆ หลุดออกจากคอ และร่วงลงไป


ในขณะเดียวกัน เปลวไฟสีดำดุเดือดที่ปกคลุมไปทั่วห้องโถงกับกำแพงอัคคีสีดำ ก็กลายเป็นควันดำสลายไปในอากาศ


“ในที่สุดก็สังหารได้แล้ว” พอหลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินสีแดงกับทรายทองคำร่วงหมุนก็หมุนตัวกลางอากาศ และค่อยๆ พุ่งกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


ซาทงเทียนที่อยู่อีกด้านเห็นเช่นนี้ ก็ตบถุงหนังบนเอวด้วยมือข้างหนึ่ง สายรุ้งยาวสีเขียวม้วนตัวเข้าไปในนั้น เขาเองก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาเช่นกัน


อสูรมายาระดับผลึกขั้นปลายตัวนี้ร้ายกาจจริงๆ หากไม่ใช่ว่าชายหนุ่มเผ่าค้างคาวนำธงกลืนวิญญาณออกมาควบคุมไว้ และหัวปีศาจระเบิดตัวในตอนท้ายล่ะก็ พวกเขาทั้งสองคงไม่สามารถสังหารอสูรมายาระดับผลึกขั้นปลายได้ง่ายดายเช่นนี้


แน่นอน! นี่ก็เป็นเพราะว่าอสูรมายาไม่มีสติปัญญา มิเช่นนั้นคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสาม และพวกเขาคงหลบหนีไปไกลๆ ตั้งแต่แรกแล้ว และดูเหมือนว่ามันจะแสดงความสามารถออกมาได้แค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น


และพอซากอาชาประหลาดร่วงลงพื้น ก็เกิดเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นก็กลายเป็นควันสีดำ และมุกนภาหยกสีทองเม็ดหนึ่งก็กลิ้งลงพื้น


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมาทันที


มุกนภาหยกสีทอง เป็นมุกระดับสูงสุดในวังมายานภาหยก


มาจนถึงตอนนี้ หลิ่วหมิงสังหารอสูรมายามาไม่น้อย มุกนภาหยกระดับสูงสุดที่ได้มาก็เป็นแค่มุกนภาหยกสีเงินเท่านั้น เพิ่งเคยเห็นมุกนภาหยกสีทองเป็นครั้งแรก


พอซาทงเทียนที่อยู่อีกด้านมองเห็นมุกนภาหยก ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา


ทันใดนั้น ทั้งสองก็สบตากันอย่างรู้ความหมาย


ตามข้อตกลงในก่อนหน้านั้น หลังจากสังหารอสูรมายาแล้ว มุกนภาหยกจะเป็นของใครนั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลแล้ว ในเมื่อชายหนุ่มเผ่าค้างคาวได้ถูกส่งออกไปก่อน ถ้าอย่างนั้น……


ในขณะที่การต่อสู้ของทั้งสองกำลังจะเริ่มขึ้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหนึ่งของห้องโถงในทันที ชายสวมชุดสีเหลืองเดินยักย้ายส่ายเอวเข้ามา


หลิ่วหมิงกับซาทงเทียนต่างก็ถอยหลังไปคนละก้าว และจ้องมองผู้ที่มาใหม่ด้วยความระแวดระวัง


ดูเหมือนชายผู้นี้จะไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านแต่อย่างใด เขาก็คือศิษย์แซ่ซังของสำนักเฮ่าหรานที่หลิ่วหมิงเคยเจอในก่อนหน้านั้นนั่นเอง


พอคนผู้นี้เข้ามาในห้องโถง ก็กวาดสายตาออกไปทันที และค้นพบหลิ่วหมิงทั้งสองอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาตกอยู่บนมุกนภาหยกสีทองตรงพื้น ดวงตาเผยแววละโมบออกมา


ทันใดนั้น ชุดสีเหลืองของชายแซ่ซังก็โบกสะบัดโดยที่ไม่มีลมพัด และพลังของเขาก็ถูกปล่อยออกมา ขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่ามีม้วนหนังสือสีทองอร่ามอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ อักขระสีทองจำนวนมากลอยขึ้นมา และรวมตัวกันเป็นแสงสีทองแวววาวที่มีพลังน่าตกใจ จากนั้นก็ม้วนตัวเข้าหาทั้งสอง


คนผู้นี้คิดจะฆ่าคนเพื่อแย่งชิงของล้ำค่าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง!


หลิ่วหมิงกับซาทงเทียนก็ไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกแต่อย่างใด ตั้งแต่ตอนที่ชายหนุ่มเสื้อเหลืองลงมือ พวกเขาก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาพร้อมกัน


พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีแดงก็พุ่งออกไป และกลายเป็นแสงกระบี่หนาแน่นปกคลุมร่างเขาไว้ในทันที


พอซาทงเทียนทำท่ามือ กระบี่บินสีเขียวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ พริบตาเดียว ปราณกระบี่หนาแน่นก็แผ่ขยายออกมาห่อหุ้มร่างของเขาไว้


แต่พอได้ยินเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”


สายรุ้งสีเขียวกับแสงสีแดงก็พุ่งออกจากแสงสีทอง


ทั้งสองแสดงวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งพร้อมกัน!


ชายหนุ่มชุดเหลืองเห็นเช่นนี้ก็อึ้งเล็กน้อย และเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยแบบแปลกๆ


และขณะนั้นเอง พอแสงเย็นสะท้านเปล่งประกาย แสงกระบี่สีเขียวแดงสองสายก็ฟันแสงสีทองจนขาด หลังจากกระพริบไปหนึ่งที ก็มาอยู่ใกล้ชายหนุ่มเพียงแค่ลัดมือเดียว


ชายหนุ่มแซ่ซังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาถึงรู้ว่าทั้งสองล้วนเป็นศัตรูตัวฉกาจในตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขารีบโบกหนังสือสีทองไปตรงหน้าด้วยความลนลาน อักขระสีทองจำนวนมากปรากฏขึ้นมาทันที และกลายเป็นโล่สีทองต้านทานอยู่ตรงหน้า


“เปรี๊ยะ!” “เปรี๊ยะ!”


โล่คุ้มกันสีทองดูเปราะบางราวกับกระดาษ ในขณะที่แสงกระบี่แวววาวสองสายโจมตีเข้ามานั้น มันก็ถูกฟันจนขาด จากนั้นปราณกระบี่สองสายก็ตัดสลับกันราวกับกรรไกร!


มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมา!


แม้ร่างของชายหนุ่มชุดเหลืองจะเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง แต่ยังคงรู้สึกเย็นที่ขาทั้งสอง ขาส่วนล่างถูกตัดจนขาด โลหิตสองสายไหลทะลักออกมา


หากเขาไม่รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล และเบี่ยงตัวไปเล็กน้อยในช่วงจุดสำคัญล่ะก็ อาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้


“พวกเจ้า……”


ชายหนุ่มชุดเหลืองโมโหสุดขีด ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่พอใจที่พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ หากต่อสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่งล่ะก็ เขาเชื่อว่าจะต้องไม่แพ้คนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างแน่นอน


แต่ทันใดนั้น จุดแสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขนของชายหนุ่ม พอเขากัดฟัน ก็คว้าทันแค่ขาทั้งสองที่ขาดไป จากนั้นก็ถูกส่งตัวออกไปนอกวังมายานภาหยกท่ามกลางแสงสีเขียวที่เปล่งประกาย และมุกนภาหยกจำนวนมากก็กระจายลงพื้น


พอแสงกระบี่สีเขียวแดงดับลง ร่างของหลิ่วหมิงและซาทงเทียนก็ปรากฏออกมา ทั้งสองต่างก็ยกแขนดูดมุกนภาหยกของชายหนุ่มที่หล่นลงพื้นมาคนละครึ่ง


ขณะนี้ ซาทงเทียนกวาดสายตามองดูมุกสีทองบนพื้น และจ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่อีกด้านด้วยสายตาเยือกเย็น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าเมื่อจำกัดคนนอกออกไปแล้ว ต่อไปทั้งสองก็ต้องตัดสินแพ้ชนะกัน


“ผู้ชนะได้ทั้งหมดไป ผู้แพ้ให้ไปจากสถานที่แห่งนี้” ซาทงเทียนกล่าวอย่างราบเรียบ


“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็มีความคิดเช่นนี้” หลิ่วหมิงหรี่ตากล่าว


“ดีมาก!”


ซาทงเทียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็ผิวปากออกมา หลังจากร่างของเขาหมุนตัวติ้วๆ แสงกระบี่ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนตัว และร่างของเขาก็ละลายเข้าไปในพริบตา


แสงกระบี่สีเขียวที่ยาวหลายจั้งหมุนวนหนึ่งรอบจนดูโปร่งใสเป็นอย่างมาก พอมีเสียงดัง “ฟู่!”  ก็กลายเป็นสายรุ้งเจิดจ้าม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิง


อีกด้านหนึ่ง พอหลิ่วหมิงเลิกคิ้ว ปลายเท้าของเขาก็แตะพื้นเบาๆ กระบี่สีแดงในมือโบกสะบัดออกไปอีกครั้ง แสงสีแดงห่อหุ้มรอบตัว และกลายเป็นสายรุ้งสีแดงพุ่งออกไปรับมือ


“ตู้ม!” เสียงดังก้องไปทั่วห้องโถง!


พอแสงกระบี่สองสายมาปะทะกัน มันก็พุ่งกลับไปยังทิศทางที่จากมา


พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย ซาทงเทียนที่ถือกระบี่จิตวิญญาณระดับสุดยอดก็ปรากฏออกมา แต่ว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


การปะทะกันของกระบี่ร่างเป็นหนึ่งในเมื่อครู่ ทั้งสองต่างก็ไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง


แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงใช้กลับเป็นแค่กระบี่บินจิตวิญญาณระดับกลางเท่านั้น สิ่งนี้จะไม่ทำให้เขาโมโหได้อย่างไร


อีกด้านหนึ่ง หลังจากแสงกระบี่สีแดงหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา แต่พอเขาโบกสะบัดมือข้างหนึ่ง กระบี่บินสีแดงก็หมุนวนรอบตัว และจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเย็นชา


ทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเท้าทั้งสองของหลิ่วหมิงก็กระทืบพื้นและกระโดดขึ้นมา พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทรายทองคำร่วงก็ม้วนตัวออกจากแขนเสื้อ และกลายเป็นไหมทองคำพุ่งยิงใส่ซาทงเทียนราวกับสายฝน


ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กระบี่จิตวิญญาณสีเขียวในมือสั่นสะท้าน ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นแสงสีเขียวหลายสิบสายพุ่งยิงใส่ไหมทองคำที่ปกคลุมเต็มฟ้า


มีเสียง “ฟิ้วๆ!” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่หลายสิบสายโจมตีไหมทองคำจนสลายไปกว่าครึ่งหนึ่ง


จากนั้นซาทงเทียนก็ตาเป็นประกาย เขากระตุ้นพลังเวททั้งหมดใส่ลงไปในกระบี่บินสีเขียว ทำให้สายรุ้งโบกสะบัดจนแม้แต่ลมก็ไม่อาจเล็ดลอดไปได้ ปราณกระบี่ถูกกระตุ้นอยู่ไม่หยุด และโจมตีไหมทองคำที่เหลือจนร่วงลงไป


ตอนที่ 566 เงาร่างมายาที่แข็งแกร่งที่สุด

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงจ้องมองทรายทองคำร่วงที่ถูกโจมตี และซาทงเทียนยังคงโจมตีอย่างเชี่ยวชาญ


หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวทันที ทันใดนั้นไอดำสองสายก็ม้วนตัวออกมา และพุ่งเข้าใส่ซาทงเทียนอย่างรวดเร็ว!


หลังจากไหมทองคำที่ปกคลุมเต็มฟ้าถูกปราณกระบี่สีเขียวโจมตีจนแตกกระจายไปหมดแล้ว ซาทงเทียนก็ถอยออกไปสิบกว่าจั้งด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย


แต่ขณะที่เขาเงยหน้ามองหมอกดำสองสายที่กระโจนเข้ามานั้น ก็ต้องแสดงสีหน้าตกใจอีกครั้ง


สิ่งที่อยู่ท่ามกลางไอหมอกอันพวยพุ่งก็คือหัวบินกับแมงป่องกระดูก กลิ่นไอแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลายเลย !


ท่ามกลางกลุ่มไอดำที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ แมงป่องกระดูกพุ่งเข้ามาถึงก่อนหัวบิน พอมันสะบัดหัวมังกรสีม่วงแวววาวบนหางตะขอ เส้นเล็กๆ สีดำจำนวนหลายสิบกว่าเส้นก็พุ่งยิงออกไป


และหัวบินที่อยู่ทางด้านขวาก็พุ่งยิงผมยาวสีเขียวออกมาอย่างไม่ยอมน้อยหน้า


ซาทงเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาพลิกฝ่ามือหยิบยันต์สีฟ้าออกมาผืนหนึ่ง พอขยี้จนแหลกละเอียด มันก็กลายเป็นเกราะป้องกันปกคลุมเขาไว้ ขณะเดียวกันกระบี่บินในมือก็พุ่งยิงปราณกระบี่สีเขียวจางๆ ออกไปหลายสิบสาย เพื่อรับมือกับเส้นละเอียดสีเขียวดำที่พุ่งมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว


เสียงโลหะเสียดสีกันดังขึ้นมา


ภายใต้การประสานกันไปมาของปราณกระบี่ ทำให้แสงสีเขียวเป็นเส้นๆ กระพริบหายไป!


ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ก็เปลี่ยนท่ามือทันที ปราณกระบี่สีเขียวที่เหลือกลายเป็นเงากระบี่ขนาดต่างๆ และฟันไปทางแมงป่องกระดูกอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง!


แมงป่องกระดูกยกก้ามยักษ์ขึ้นมารับเงากระบี่ตรงๆ โดยไม่คิดจะหลบหลีก


“เพล้ง!”


พอก้ามยักษ์กับเงากระบี่สัมผัสกัน แมงป่องกระดูกก็กระเด็นออกไป


ซาทงเทียนเผยแววตาประหลาดใจออกมา ภายใต้การใช้วิชาขี่กระบี่ของเขา กลับทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวจางๆ บนก้ามยักษ์ของแมงป่องกระดูกตัวนี้เท่านั้น และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย!


ในขณะนั้นเอง หัวบินก็พุ่งเข้ามาถึง มันพร่ามัวแค่ทีเดียวก็แยกออกเป็นเก้าหัว ภายใต้การสะบัดศีรษะ ไหมสีเขียวก็ม้วนตัวออกไปเต็มฟ้า และห่อหุ้มเกราะป้องกันของซาทงเทียนไว้อย่างแน่นหนา


และพอหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็มาปรากฏตัวเหนือร่างของซาทงเทียนอย่างไร้สุ้มเสียง เพียงแค่ชี้มือข้างหนึ่งลงไปด้านล่าง แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมาบริเวณนั้น และสั่นไหวกลายเป็นตาข่ายยักษ์ก่อนที่จะม้วนตัวลงไป


ตามมาด้วยเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำราม หลังจากไอดำบนตัวหลิ่วหมิงพุ่งขึ้นฟ้า มันก็กลายเป็นมังกรดำสองตัวกับพยัคฆ์ดำหนึ่งตัว พอเขาขยับแขนทั้งสอง เงากำปั้นสีทองจำนวนมากก็พุ่งลงไปราวกับสายฝนกระหน่ำ


……


ผ่านไปสองสามอึดใจ อากาศเหนือพื้นที่ว่างเปล่านอกวังมายานภาหยก พอมีแสงสีเขียวเปล่งประกาย ร่างของซาทงเทียนก็ปรากฏออกมา


เพียงแต่ว่าตอนนี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดสนิท ดูเหมือนจะสลบไสลไม่ได้สติ ชุดผ้าแพรบนตัวได้ขาดรุ่งริ่งไปนานแล้ว ใบหน้าแคบยาวก็ซีดขาวราวกับกระดาษ พอเขาปรากฏออกมาก็ร่วงลงไปโดยตรง


“ศิษย์หลานซา!”


เฮ่าเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปทันที แต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว พอยกแขนเสื้อขึ้น แสงสีเขียวลำหนึ่งก็กลายเป็นแส้ม้วนตัวไปพันร่างของซาทงเทียนไว้ และดึงกลับมาวางบนพื้นตรงหน้าเบาๆ


พอเขากวาดสายตาทั้งคู่สังเกตดูก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา และหยิบลูกปัดหยกสีขาวออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มรักษาบาดแผลบนร่างของซาทงเทียน


ห่างออกไปไม่ไกล ชายแซ่ไต้แห่งสำนักเฮ่าหรานกำลังยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าอึมครึม และด้านข้างของเขาก็มีชายหนุ่มแซ่ซังนอนอยู่ เท้าทั้งสองที่ขาดได้ถูกต่อเข้าด้วยกันแล้ว


แต่ทว่าศิษย์รุ่นหลังที่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสองต่างก็ให้ความสำคัญนั้น ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บออกมาติดต่อกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสผมขาวกับบรรดาผู้ฝึกฝนต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา


……


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาที่วังมายานภาหยกจะปิดตัวลงก็เหลือแค่สามวันแล้ว


ช่วงเวลาเหล่านี้ หลิ่วหมิงสังหารอสูรมายาอีกหลายตัวในห้องโถงไปจำนวนหนึ่ง จนมาถึงวันนี้ อสูรมายาที่เหลืออยู่ก็มีแม้กระทั่งพลังระดับผลึกขั้นกลางด้วย บ้างก็มีบาดแผลอยู่บนตัว คงจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกฝนหลายคนในก่อนหน้า


สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างเบิกบานใจก็คือ ทุกครั้งที่สังหารอสูรมายา นอกจากจะมีมุกนภาหยกของอสูรมายาร่วงลงมาแล้ว เขายังได้รับมุกนภาหยกที่ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งในก่อนหน้านั้นทิ้งไว้


สิ่งนี้ทำให้จำนวนมุกนภาหยกในยันต์เก็บของมีมากถึงห้าหกร้อยกว่าเม็ด ในนั้นมีมุกสีเงินเกือบสิบเม็ดแล้ว แต่ว่ามุกสีทองยังมีแค่เม็ดเดียวเท่านั้น


วันนี้ เมื่อหลิ่วหมิงสังหารอสูรคางคกระดับผลึกขั้นต้นภายในห้องโถงแห่งหนึ่งแล้ว ก็ปราดสายตามองออกไป เขาค้นพบว่าห้องโถงทางด้านตะวันออกไม่เหมือนกับที่ผ่านมาเล็กน้อย พื้นผิวประตูหินถูกลวดลายจิตวิญญาณสีเงินปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา


เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เดินเข้าไปช้าๆ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ผลักประตูเดินเข้าไป


ครู่ต่อมา ฉากตรงหน้าทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก!


ทิวทัศน์ของห้องโถงแห่งนี้แตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง


ห้องโถงในก่อนหน้านั้น นอกจากจะมีอสูรมายาและเงาร่างมายาแล้ว ที่เหลือล้วนว่างเปล่า และพื้นที่ของห้องโถงก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับพลังของคู่ต่อสู้ด้วย ยิ่งฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเท่าไหร่ ห้องโถงก็ยิ่งกว้างขวางมากขึ้น


แต่ห้องโถงตรงหน้านี้ พอมองออกไปก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทั้งยังมีต้นไม้ภูเขาและทัศนียภาพอื่นๆ ครบครัน


แต่อีกด้านหนึ่งเป็นพื้นราบเรียบ ตรงหน้าพื้นที่ราบเรียบดูเหมือนจะเป็นป่าที่เขียวชอุ่มเป็นดง และอีกด้านหนึ่งเป็นยอดเขาหลายลูกที่ทอดยาวติดต่อกัน ห้องโถงสูงจนมองไม่เห็นเพดาน ทั้งยังมีเมฆลอยอยู่เป็นก้อนๆ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกว่าตนเองอยู่นอกวังมายานภาหยกแล้ว


หลิ่วหมิงกำหนดจิตเล็กน้อย พอทำท่ามือด้วยมือเดียว เขาก็พุ่งขึ้นฟ้า และเหาะไปยังยอดเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง จากนั้นก็ทำการสังเกตดูบริเวณรอบๆ


ขณะนั้นเอง มีเสียงดังก้องฟ้าดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล มีแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กระโดดลงจากยอดเขา และแสดงวิชาซ่อนตัวเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาอย่างเงียบๆ


ผ่านไปสักพัก เขาก็มาถึงบนยอดเขาที่ค่อนข้างสูงลูกหนึ่ง พอหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็มองเห็นสภาพแวดล้อมอย่างชัดเจน


ห่างออกไปร้อยกว่าลี้ แสงสีทองกับสีม่วงกำลังไล่ล่ากันอยู่เหนือป่า


ท่ามกลางแสงสีม่วงที่อยู่ด้านหน้า มีเงาร่างอรชรที่คุ้นเคยปรากฏอยู่รำไร พอหลิ่วหมิงกวาดตามองออกไป ก็ต้องพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง!”


แสงสีทองที่ตามมาด้านหลังกระพริบหายไปจากจุดเดิมในทันที ไม่นานก็มาปรากฏตรงหน้าแสงสีม่วง และเงาร่างชายใบหน้าไร้ความรู้สึกที่สวมหนุ่มชุดสีทอง ก็ปรากฏออกมา ในมือของเขาถือกระบี่ยาวที่เปล่งแสงสีทองสลัวๆ อยู่


ประจักษ์ชัดว่า แสงหลบหลีกตรงหน้าคาดไม่ถึงว่าจะมีฉากนี้เกิดขึ้น ทันใดนั้นเงาร่างหญิงสาวที่มีสีหน้าดูไม่ได้ก็ปรากฏออกมา ซึ่งนางก็คือหญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางนั่นเอง พอนางยกแขนเสื้อขึ้น มีดบินสีขาวสลัวๆ ก็พุ่งยิงออกไป


จากนั้นมือทั้งสองของนางก็เคลื่อนไหวไปมา และปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน มีดบินสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ลวดลายบนพื้นผิวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


เสียงมังกรดังลั่นไปทั่วฟ้า!


มีดบินสีขาวเปล่งประกาย และกลายเป็นมังกรสีขาวโพลนที่ยาวราวๆ สิบกว่าจั้ง เกล็ดแวววาวบนตัวเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงสีเขียวในดวงตาทั้งสองหมุนวนอยู่ไม่หยุด กรงเล็บทั้งสี่โค้งงอ แลดูแหลมคมยิ่งนัก


“ไป!”


หญิงสาวชุดม่วงส่งเสียงออกมา และชี้ไปทางชายหนุ่มชุดสีทอง


มังกรสีขาวหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็พ่นเปลวไฟสีขาวใส่ชายหนุ่มชุดสีทอง


ชายหนุ่มชุดสีทองเห็นเช่นนี้ กลับไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย กระบี่ยาวสีทองในมือดูเหมือนจะถูกสะบัดเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ และแสงกระบี่สีทองก็ม้วนตัวออกไป


ไม่ว่ามังกรสีขาวตรงหน้าจะพ่นเปลวไฟสีขาวอย่างบ้าระห่ำแค่ไหน แสงกระบี่เพียงแค่พร่ามัวทีเดียว ก็ฟันลงบนหัวของมันอย่างเหลือเชื่อ


“ตู้ม!”


มังกรสีขาวส่งเสียงร้องออกมา เกล็ดบนตัวถูกแสงกระบี่สีทองม้วนตัวเข้าใส่จนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และกลับมาเป็นมีดบินเช่นเดิม


หญิงสาวชุดม่วงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พอโบกมือข้างหนึ่ง มีดบินก็พุ่งกลับมาอยู่ในมือท่ามกลางแสงสีขาวที่เปล่งประกาย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า แสงสีขาวที่พุ่งกลับมาในมือของหญิงสาวก็คือมีดบินปีกตาข่ายที่เป็นต้นแบบอาวุธเวทเล่มนั้น


และเงาร่างของชายหนุ่มชุดสีทองเพียงแค่ปล่อยกระบี่อย่างไม่ใส่ใจ มังกรที่กลายร่างมาจากอาวุธนี้ก็โดนฟันจนแตกกระจาย พลังของมันช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก


ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัว และยังคิดไม่ออกว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังนั้น ชายหนุ่มชุดสีทองกลับเดินผ่านอากาศมาหาหญิงสาวชุดม่วงอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันพลังดุดันบางอย่างก็ม้วนตัวเข้ามา


หญิงสาวชุดม่วงทำเสียงฮึดฮัด ไม่รู้ว่ามีโล่สีทองที่มีรูปพยัคฆ์สลักอยู่ ปรากฏอยู่บนมือตั้งแต่เมื่อไหร่ พอโยนออกไปเบาๆ มันก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ และขวางอยู่ตรงหน้า


จากนั้นโล่สีทองก็เปล่งประกายออกมา ค่ายกลสีทองปรากฏออกมาเป็นวงๆ ภายใต้การจ้องมองอย่างละเอียด จะค้นพบว่ามันมีมากถึงสามสิบสามชั้น และมีเสียงพยัคฆ์คำรามดังออกมา


บนโล่ยักษ์ ลายเส้นจิตวิญญาณสีทองทั้งสามสิบสามเส้นสว่างขึ้นมา พอแสงสีทองเปล่งประกาย พยัคฆ์สีทองที่ยาวสองจั้งกว่าๆ ก็กระโดดออกมาจากในนั้น และกระโจนเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม


ขณะเดียวกัน พอหญิงสาวชุดม่วงสะบัดข้อมือ โล่กับพยัคฆ์สีทองก็พุ่งออกไปด้านหน้า พริบตานั้นแสงสีทองมีจำนวนนับหมื่นลำ อานุภาพน่าตกใจเป็นยิ่งนัก


เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองกลับขยับกระบี่ยาวสีทองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พอมันพร่ามัว ก็ไปฟันใส่หัวพยัคฆ์


“ตู้ม!”


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าหูทั้งสองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ขณะที่ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น เสียงระเบิดดังราวกับฟ้าถล่มดินทลายก็พุ่งเข้าไปในหัวอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ถูกสะเก็ดแสงที่อยู่ไม่ไกลทำให้ปิดตาลงอย่างช่วยไม่ได้


เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เขม้นตาจ้องมองทุกอย่างจนชัดเจน จะเห็นว่ากลุ่มแสงสีม่วงกำลังพุ่งยิงเข้ามา ส่วนหญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านในก็โชกไปด้วยเหงื่อ และดูเหมือนจะหนีอย่างร้อนรน


ตรงด้านหลังของนาง เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองกลับตามติดเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน โดยที่หนึ่งก้าวของเขาไกลถึงสิบกว่าจั้ง


ท่ามกลางกลุ่มแสงสีทองที่พวยพุ่งอยู่ด้านหลังของทั้งสอง โล่ที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนั้น ได้ถูกฟันเป็นสองส่วน และลอยอยู่กลางอากาศแล้ว


ตอนที่ 567 ไล่ล่าตลอดทาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทั้งสองไล่ล่ากันไม่นาน ก็ผ่านพื้นที่ราบเรียบตรงนั้น และอยู่ห่างจากยอดเขาที่หลิ่วหมิงอยู่ไม่ไกลแล้ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูจากแนวโน้มในตอนนี้ ดูเหมือนว่านางคิดที่จะล่อให้คนผู้นี้มาทางเขา


เขาไม่อยากจะต่อสู้กับอสูรมายาร่างมนุษย์ที่น่ากลัวระดับนี้ จึงกระตุ้นท่ามือในทันที เพื่อคิดที่จะแอบหนีเอาตัวรอด


แต่ทว่าเมื่อร่างของหลิ่วหมิงเพิ่งจะทะยานขึ้นไปเล็กน้อย หญิงสาวก็บิดตัวในฉับพลัน พอโบกมือข้างหนึ่ง มีดบินในมือก็กลายเป็นมังกรสีขาวกระโจนไปยังด้านหลัง


ชายหนุ่มชุดสีทองที่อยู่ด้านหลัง ก็ฟันมังกรจนแตกสลายอีกครั้งในกระบี่เดียว


ขณะนี้ หญิงชุดม่วงกลับทำท่ามือด้วยมือเดียวในฉับพลัน หลังจากเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยแล้ว ก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว ซึ่งความเร็วของนางเร็วกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่าขึ้นไป


หลิ่วหมิงแอบร้องทุกข์ด้วยใจที่เย็นสะท้าน


ตอนนี้อยู่ห่างจากเวลาที่วังมายานภาหยกจะปิดตัวลงแค่สามวันเท่านั้น เพียงแค่ปลอดภัยในสามวันนี้ ด้วยมุกนภาหยกที่ตนเองมีอยู่ คาดว่าคงจะแลกอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดหรือวัสดุล้ำค่ามาได้ไม่น้อยแล้ว


และหากเขาถูกเตะออกไปจากวังมายานภาหยก ย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน


ยันต์จำนวนมากในมือหลิ่วหมิงระเบิดออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็กลายเป็นอักขระสีเขียวจมหายเข้าไปในร่างเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน หลังจากมีเสียงมังกรร้องออกมา ไอดำก็พวยพุ่งบนตัวของเขา พอร่างของเขาพร่ามัว ก็กลายเป็นเงาร่างสีดำจางๆ พุ่งยิงออกไปด้านข้าง


แต่ขณะนั้นเอง กลับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของหญิงสาวดังขึ้นตรงด้านหลังของเขา


“พี่หลิ่วช่างใจแข็งเสียจริง ไม่มีความเห็นอกเห็นใจกันบ้างเลย คิดไม่ถึงว่าจะจากไปง่ายๆ เช่นนี้!”


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองที่อยู่ด้านหลังก็พร่ามัวในฉับพลัน จากนั้นก็อยู่ห่างจากหญิงสาวไม่กี่จั้ง และพอยกมือขึ้น แสงกระบี่สีทองก็ฟันออกไป


หญิงสาวชุดม่วงกลับสะบัดแขนเสื้อ ปล่อยอาวุธจิตวิญญาณออกมาสามชิ้น และทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


“ตู้ม!” “ตู้ม!” “ตู้ม!” เสียงระเบิดดังติดต่อกันสามครั้ง


คลื่นพลังจิตวิญญาณตรงด้านหลังของนางดุเดือดรุนแรงขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แสงกระบี่สีทองถูกต้านทานไว้ภายใต้การระเบิดตัวของอาวุธจิตวิญญาณทั้งสามชิ้น ชายหนุ่มชุดสีทองเองก็ถูกบีบจนต้องหยุดชะงักเล็กน้อย


ขณะเดียวกัน พอหญิงสาวชุดม่วงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง สิ่งของแวววาวก็ปรากฏออกมา จากนั้นแสงสีขาวก็เปล่งประกาย ร่างของเขากระพริบหายไปจากที่เดิม


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีคลื่นก่อตัวขึ้นด้านข้าง พอแสงสีขาวเปล่งประกาย เงาร่างพร่ามัวก็ปรากฏออกมา ที่แท้นางก็คือหญิงสาวชุดม่วงที่เดิมทีอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้งนั่นเอง


ไม่รู้ว่านางใช้วิธีการอันใด ถึงมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างเขาในพริบตา และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“พี่หลิ่ว คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะพบกันอีกแล้ว”


แต่ทว่าสีหน้าของหลิ่วหมิงในตอนนี้ดูไม่ได้สักเท่าไหร่


เพราะว่าชายหนุ่มชุดสีทองเพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของทั้งสองสิบกว่าจั้งอย่างน่าประหลาดใจ หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็ยกกระบี่ในมืออย่างช้าๆ ปราณกระบี่สีทองสลัวๆ ที่ยาวสิบกว่าจั้งม้วนตัวออกไป อานุภาพของมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเองก็มีท่าทีตอบสนองรวดเร็วมาก ดูเหมือนว่าในขณะที่แสงกระบี่ตรงด้านหลังปรากฏออกมา ร่างของเขาก็พุ่งออกไปทันที ขณะเดียวกัน พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีแดงก็ปรากฏอยู่ในมือ เมื่อปล่อยพลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง มันก็กลายเป็นแสงสีแดงที่มีขนาดห้าหกจั้ง และพุ่งออกไปรับมือไว้


และตัวเขาเองกลับกลายเป็นกลุ่มแสงพุ่งออกไปไกลๆ


อากาศตรงด้านหลังของเขา แสงกระบี่สีทองกับสีแดงประสานเข้าด้วยกัน และส่งเสียงปะทะกันดังออกมาอยู่ตลอดเวลา


หญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นมา ขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงตามติดหลิ่วหมิงไป


และขณะนั้นเอง พอแสงกระบี่สีแดงส่งเสียงร้องออกมา ก็ถูกแสงสีทองปั่นจนแตกกระจาย และกลายเป็นกระบี่เล็กพุ่งยิงไปทางหลิ่วหมิง


ภายใต้การเชื่อมจิตของหลิ่วหมิง เขารู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมาทันที พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีแดงก็ถูกเก็บเข้าไปด้านใน


เพียงแค่การแลกมืออย่างง่ายๆ หลิ่วหมิงก็ค้นพบว่าเงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองเก่งกาจกว่าที่เขาคิดไว้มาก


แม้ว่าอสูรมายาร่างมนุษย์นี้ จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังที่แท้จริงกลับน่ากลัวกว่าอสูรมายาระดับผลึกขั้นปลายที่เขาเคยสังหารในก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่ากว่า คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขารู้สึกกดดันราวกับเผชิญหน้ากับราชาปีศาจสมุทรที่อยู่ระดับแก่นแท้


ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ ชายหนุ่มชุดสีทองผู้นี้ยังเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ด้วย ไม่รู้ว่าฝึกฝนวิชากระบี่ชนิดใด แสงกระบี่ที่ดูเหมือนจะสะบัดออกมาอย่างง่ายดายในแต่ละครั้ง กลับหนาแน่นเป็นอย่างมาก อานุภาพเกรียงไกรยิ่งนัก


กระบี่ในเมื่อครู่ แม้เขาจะใช้พลังเจ็ดแปดส่วนของของวิชาขี่กระบี่อย่างรีบร้อน แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้ มันยังคงเหนือความคาดหมายของเขามาก


ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดสีทองก็ทะยานขึ้นฟ้าตามติดอย่างไม่ลดละ ขณะเดียวกันก็ฟันกระบี่ออกไปอย่างเงียบๆ แสงกระบี่สีทองม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิงทั้งสองด้วยความเร็วที่เร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็มาปรากฏอยู่บริเวณด้านหลังของทั้งสอง


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายหนักขึ้นมา ความรู้สึกกดดันอันแข็งแกร่งพุ่งเข้ามาจนไม่อาจหลบหลีกได้ ภายใต้การครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็กัดฟันหมุนตัวกลับมา และสะบัดแขนทั้งสองทันที


ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างของเขาในทันที ลวดลายจิตวิญญาณสีดำกระพริบอยู่บนแขนทั้งสอง เกล็ดมังกรสีแดงปรากฏออกมาเป็นชั้นๆ มือทั้งสองต่างก็กุมมุกพลังวารีไว้ข้างละเม็ด และชกใส่แสงกระบี่สีทองจนกระเด็นออกมาไป ทันใดนั้นเงากำปั้นสีดำสลัวๆ สองกลุ่มก็พุ่งยิงออกไป


“ตู้ม!” “ตู้ม!”


ภายใต้การเสริมพลังจากมุกพลังวารี ทำให้เงากำปั้นสีดำมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก หลังจากโจมตีแสงกระบี่สีทองจนกระเด็นออกไปแล้ว ก็ยืดเยื้อกันอยู่ครู่หนึ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กระตุ้นพลังเวทในร่างอย่างสุดความสามารถ พอมือทั้งสองกระตุ้นพลังมหาศาลและค้ำยันเอาไว้ จึงพอที่จะทำให้แสงกระบี่สีทองเปลี่ยนแปลงทิศทางเล็กน้อย และพุ่งไปอีกด้านหนึ่ง


และในขณะเดียวกัน พอมือทั้งสองของหลิ่วหมิงสั่นสะท้าน พลังมหาศาลก็พุ่งมาจากแสงกระบี่สีทองที่ถูกโจมตีกระเด็นออกไป ทันใดนั้น เกล็ดมังกรแดงบนมือกลับค่อยๆ ระเบิดออกมา และโลหิตสดๆ ก็หยดลงมา


สิ่งที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปยิ่งกว่าเดิมก็คือ ลมปราณและโลหิตในร่างพวยพุ่งจนเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงภายในเส้นลมปราณตามจุดต่างๆ ประจักษ์ชัดว่าหากฝืนรับแสงกระบี่สายที่สองต่อล่ะก็ เกรงว่าจะต้องบาดเจ็บเล็กน้อยแล้ว


ความสามารถในการฝึกกระบี่ของชายหนุ่มชุดสีทองร้ายกาจถึงระดับนี้ นับว่าหญิงสาวชุดม่วงโชคดีมากที่หลบหนีมาได้จนถึงตอนนี้โดยไม่มีบาดแผลใดๆ เลย และยังไม่ถูกเตะออกไปจากวังมายานภาหยกด้วย


และช่วงเวลาที่หลิ่วหมิงปะทะกับแสงกระบี่สีทองนั้น หญิงสาวชุดม่วงที่กลายร่างเป็นแสงหลบหลีกสีม่วง ก็พุ่งออกห่างไปสามสิบกว่าจั้งแล้ว


ดูท่านางคงคิดที่จะพาหลิ่วหมิงเข้ามาพัวพันด้วย จากนั้นตนเองก็จะหลบหนีลอยนวลไป


หลิ่วหมิงหยิบโอสถรักษาบาดแผลออกจากเอวอย่างรวดเร็ว หลังจากกลืนลงไปแล้วก็กระตุ้นเคล็ดกระบี่แสดงวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง และกลายเป็นแสงสีแดงพุ่งตามนางไป


จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งใช้สำหรับไล่ล่าศัตรู แต่ทว่าในขณะนี้ตนเองได้แต่อาศัยวิธีการเช่นนี้เพื่อเพิ่มความเร็วแล้ว หวังว่าจะมีโอกาสอันน้อยนิดที่สามารถหลุดพ้นไปจากฝ่ามือของคนผู้นี้ได้


ชายหนุ่มชุดสีทองยังคงตามติดอย่างไม่รีบร้อน ทันใดนั้นแสงกระบี่ก็ปรากฏในมืออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และฟันไปยังอากาศตรงด้านหลังของหญิงสาวชุดม่วง


ภายใต้การใช้พลังจิตกวาดดูของหลิ่วหมิง เขาก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง โล่เก้ากระโหลกที่ถูกจับไว้แน่น ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง


แม้หญิงสาวชุดม่วงจะหลบหนีได้รวดเร็วมาก และยังอยู่ไกลกว่าหลิ่วหมิงหลายสิบจั้ง แต่ความเร็วของแสงกระบี่ก็เหนือความคาดหมายของเขามาก มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏอยู่ห่างจากด้านหลังของหญิงสาวเพียงลัดมือเดียว


หญิงสาวชุดม่วงย่อมรับรู้ถึงแสงกระบี่ที่ปรากฏตรงด้านหลัง แม้นางจะไม่ยินยอม แต่ก็ได้แต่หยุดชะงักลงและบิดตัวอย่างรวดเร็ว นางรีบสะบัดแขนเสื้อในทันที จากนั้นยันต์สีฟ้าปึกหนึ่งก็ค่อยๆ พุ่งยิงออกไป


เมื่อยันต์สีฟ้าปะทะกับแสงกระบี่ มันก็ค่อยๆ ระเบิดออกมาเป็นจุดแสงสีฟ้าก่อนที่จะสลายไป


และในช่วงระหว่างเวลานั้น หลิ่วหมิงก็ตามมาทัน และเกือบจะเคียงบ่ากับนางแล้ว


“คิดไม่ถึงว่าพี่หลิ่วจะรับการโจมตีของคนผู้นี้โดยตรง ช่างมีพลังไม่ธรรมดาจริงๆ” หญิงสาวชุดม่วงมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และส่งเสียงเข้ามาในฉับพลัน


“ก่อนหน้านั้นข้าก็แค่ผ่านมาที่นี้โดยไม่ได้ตั้งใจ  ต้องขอบคุณแม่นางด้วย ตอนนี้จำต้องหนีตลอดทางแล้ว” หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด และตอบกลับไปอย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น


“เดิมทีข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้พี่หลิ่วเข้ามาพัวพันด้วย เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนั้นคับขันมาก หวังว่าพี่หลิ่วจะให้อภัย ตอนนี้ไม่สู้พวกเราทั้งสองร่วมมือกัน บางทีอาจจะหาโอกาสหลบหนีได้ ไม่ทราบพี่หลิ่วมีความเห็นว่าอย่างไร?” หญิงสาวชุดม่วงได้ยินกลับหัวเราะอิๆ แล้วกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมา เขาไม่ได้ตอบรับในทันที พอกระตุ้นเคล็ดวิชา ปราณกระบี่สีแดงบนตัวก็พุ่งขึ้นมา จากนั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย


พอนางเห็นหลิ่วหมิงไม่ตอบรับ ก็ไม่คิดที่จะเร่งรัดแต่อย่างใด แต่กลับกระตุ้นเคล็ดวิชาตามไป


เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งสองหลบหนีอยู่ในป่าหินติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว และยอดเขาแต่ละลูกที่อยู่ด้านหลัง ก็ถูกแสงกระบี่สีทองฟันจนขาด


ไม่ว่าทั้งสองจะแสดงวิชาเพิ่มความเร็วอย่างไร เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองกลับตามติดอย่างไม่ลดละราวกับหนอนแมลงวันในไขข้อกระดูก


ในระหว่างเวลานั้น หญิงสาวชุดม่วงเคยปล่อยมีดเล็กสีขาวให้กลายเป็นมังกรออกไปต้านทานอยู่หลายครั้ง แต่มันแค่ทำให้ชายหนุ่มชุดสีทองลดความเร็วลงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่นานก็ตามมาทัน


หลิ่วหมิงก็ใช้วิชาหนึ่งจิตสองพลัง ด้านหนึ่งหลบหนี ด้านหนึ่งก็ลองกระตุ้นทรายทองคำร่วง เพื่อคิดที่จะขังชายหนุ่มชุดสีทองไว้ในค่ายกลทราย แต่ค่ายกลทรายยังไม่ทันก่อตัว ก็ถูกแสงกระบี่ในมือชายหนุ่มฟันจนขาด


นอกจากนี้เขาก็เคยกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬด้วย แต่มังกรกับพยัคฆ์ที่กลายร่างมาจากไอหมอกดำ ก็เป็นเหมือนกับมังกรสีขาวที่กลายร่างมาจากมีดบินปีกตาข่ายของหญิงสาวชุดม่วง โดยที่ไม่อาจต้านทานแสงกระบี่ของชายหนุ่มได้เลยแม้แต่น้อย


หลังจากทั้งสองหลบหนีออกไปราวๆ สิบกว่าลี้ ก็มาถึงจุดสิ้นสุดของเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน


ทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไปในทันที กลายเป็นพื้นที่เปล่าเปลี่ยวและกว้างสุดลูกหูลูกตา พอมองออกไป สามารถมองเห็นก้อนหินยักษ์สีขาวเทาสองสามก้อนได้อย่างลางๆ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดบดบังอีก


ขณะนี้ หากทั้งสองหนีไปด้านหน้า ก็ไม่มีสถานที่สำหรับหลบซ่อนแล้ว


หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ฉีกยันต์สองผืนอย่างรวดเร็ว แสงสีดำบนตัวสว่างขึ้นมา ความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย


ลูกตางดงามของหญิงสาวชุดม่วงเปล่งประกายเล็กน้อย และไม่รู้ว่านางแสดงวิธีการใดออกมา แสงหลบหลีกของนางจึงตามติดหลิ่วหมิงอย่างไม่ลดละ


ตอนที่ 568 จินเลี่ยหยาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

และหลังจากชายหนุ่มชุดคลุมสีทองก้าวออกไปไม่กี่ก้าว ก็เข้าใกล้ทั้งสองยี่สิบกว่าจั้งแล้ว


“พี่หลิ่ว ข้ามีแผนที่อาจจะสลัดตัวให้หลุดพ้นคนผู้นี้ไปได้ แต่ต้องให้ท่านช่วยถ่วงเวลาไว้ครู่หนึ่ง……” หญิงสาวขยับปากส่งเสียงให้หลิ่วหมิงในทันที


หลิ่วหมิงฟังจบก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ


พอเห็นหลิ่วหมิงตอบตกลง นางก็ลดความเร็วลง ขณะเดียวกัน พอตบถุงหนังบนเอว  แสงเจ็ดสีก็ม้วนตัวออกไป พริบตานั้นมันก็กลายเป็นผีเสื้อเจ็ดสีค่อยๆ บินไปเกาะอยู่บนปลายนิ้วของนาง


ผีเสื้อตัวนี้มีขนาดใหญ่ชุ่นกว่าๆ มีแสงแวววาวบนปีกทั้งสอง ลวดลายเจ็ดสีก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก


นางยกแขนข้างหนึ่งเบาๆ ผีเสื้อกระพือปีกอยู่ครู่หนึ่ง ก็บินไปหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว และเกาะอยู่บนไหล่ของเขา


หลิ่วหมิงหมุนตัวอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที ขณะเดียวกันก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว ไอหมอกดำสองสายม้วนตัวออกมา จากนั้นแมงป่องกระดูกกับหัวบินก็ปรากฏตัว


เขาแค่สั่งการเล็กน้อย ทั้งสองก็กลายเป็นไอหมอกดำสองสายพุ่งยิงไปหาชายหนุ่มชุดสีทอง ส่วนตนเองก็พาผีเสื้อเจ็ดสีพุ่งไปด้านหน้าอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งคอยระแวดระวังการเคลื่อนไหวตรงด้านหลัง


ตามแผนการของหญิงสาวชุดม่วง นางให้หลิ่วหมิงปล่อยปีศาจเลี้ยงออกไปช่วยนาง ซึ่งอาจจะเยื้อเวลาของชายหนุ่มได้ขณะหนึ่ง ให้หลิ่วหมิงพาผีเสื้อเจ็ดสีหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้


และพอไม่สามารถต้านทานได้ นางก็จะล่อชายหนุ่มชุดสีทองให้ไปทางอื่น จากนั้นค่อยอาศัยเคล็ดวิชามิติของผีเสื้อเจ็ดสี ก็สามารถหลบหนีได้เช่นกัน


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แมงป่องกระดูกสีเงินที่ขยายใหญ่สิบจั้ง ได้โบกสะบัดก้ามยักษ์และกระโจนออกไปแล้ว


ร่างของหัวบินก็พร่ามัวและแยกร่างเป็นเก้าร่างที่มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด


พอหญิงสาวชุดม่วงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา มีบินในมือก็กลายเป็นมังกรสีขาวม้วนตัวออกไป


นี่ก็เป็นเพราะว่ามีดบินนี้เป็นต้นแบบอาวุธเวท หากเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดทั่วไปล่ะก็ เกรงว่าการโจมตีหลายครั้งในก่อนหน้านี้ คงทำให้มันสูญเสียพลังจิตวิญญาณจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว


พอแสงสีทองเปล่งประกาย แสงกระบี่สายหนึ่งก็ฟันออกมาจากฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง ไม่เพียงแต่จะโจมตีมังกรสีขาวจนแตกกระจายในพริบตาเดียว ทั้งยังกระพริบไปแทงหญิงสาวชุดม่วงโดยตรง


และขณะนั้นเอง ลวดลายจิตวิญญาณสีดำบนผิวแมงป่องกระดูกก็เปล่งประกาย ก้ามยักษ์ข้างหนึ่งขยายใหญ่สี่ห้าจั้ง และทุบใส่แสงกระบี่สีทองผ่านอากาศ


“เพล้ง!”


ภายใต้แสงสีทองที่เปล่งประกาย แมงป่องกระดูกถูกพลังมหาศาลบางอย่างพัดกระเด็นออกไป มีบาดแผลลึกจั้งกว่าๆ ปรากฏบนก้ามยักษ์ และมีแสงทรงกรดสีทองแผ่ออกมาลางๆ


แต่แสงกระบี่สายนี้ก็ถูกต้านทานเอาไว้ได้อย่างทุลักทุเล


ขณะนี้ หลังจากหัวบินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสองสามที ก็มาปรากฏตัวอยู่รอบด้านชายหนุ่มชุดสีทองอย่างเงียบๆ มันส่งเสียงร้องแปลกประหลาด และพุ่งยิงเส้นผมสีเขียวอันหนาแน่นออกไป


ชายหนุ่มชุดสีทองแค่ขยับตัวเล็กน้อย ไหมกระบี่สีทองอันหนาแน่นก็ม้วนตัวไปทั่วทิศ


พริบตานั้น เส้นผมสีเขียวถูกตัดจนขาดเป็นชุ่นๆ ร่างหนึ่งของหัวบินที่ถูกแยกออกมาถูกแทงจนดับสลายไป


หัวบินตัวอื่นๆ ก็ร้องอย่างน่าเวทนา และค่อยๆ กลายเป็นไอดำ พริบตาเดียวก็รวมเป็นร่างเดียวแล้วพุ่งไปทางหลิ่วหมิง


ขณะนี้ ชายหนุ่มชุดสีทองยกมือขึ้นอีกครั้ง กระบี่ยาวสีทองพุ่งออกจากมือ พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาขนาดสิบกว่าจั้ง ลวดลายสีทองบนพื้นผิวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และฟันไปทางแมงป่องกระดูก


ไอดำบนผิวแมงป่องกระดูกพวยพุ่งขึ้นมา มันยกก้ามยักษ์ทั้งคู่มาตั้งประสานกันราวกับว่าจะรับการโจมตีนี้โดยตรง


“รีบกลับมา!”


หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้งเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก เขารู้อยู่แก่ใจว่าแมงป่องกระดูกไม่อาจรับการโจมตีนี้ได้ จึงรีบใช้พลังจิตสั่งมันให้กลับมา


ดีที่หญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างกัดฟันสะบัดข้อมือฟันแสงกระบี่สีขาวออกไปสิบกว่าสาย


“ตู้ม!”


แสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้าในบริเวณที่แมงป่องกระดูกอยู่ หญิงสาวชุดม่วงอาศัยอานุภาพของมังกรสีขาวที่กลายร่างมาจากมีดบิน พุ่งออกไปด้านหลังสิบกว่าจั้ง ในที่สุดนางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย


และหลังจากแมงป่องกระดูกส่งเสียงร้องครวญครางออกมาแล้ว กลิ่นไอของมันก็ลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่ง และม้วนตัวเป็นพายุสีดำพุ่งออกไปไกลๆ


เมื่อแมงป่องกระดูกได้ยินคำสั่งของหลิ่วหมิง แม้มันจะหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงถูกแรงสะเทือนของปราณกระบี่ที่กระบี่ยักษ์ปล่อยออกมา ทำให้ได้รับบาดแผลขนาดต่างๆ สิบกว่าเส้น และไม่สามารถทำการต่อสู้ได้อีก


แมงป่องกระดูกกับหัวบินเป็นปีศาจเลี้ยงที่มีการฝึกฝนไม่ต่ำกว่าระดับของเหลวขั้นปลาย คิดไม่ถึงว่าต่อสู้กับชายหนุ่มชุดสีทองไม่ถึงหนึ่งกระบวนท่า ก็พ่ายแพ้ในไม่กี่อึดใจด้วยกันทั้งคู่


ขณะที่ชายหนุ่มชุดสีทองกำลังจะลงมือในขั้นต่อไปนั้น มังกรสีขาวตัวหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้งก็พุ่งเข้ามาถึง ที่แท้หญิงสาวชุดม่วงก็ลงมืออีกครั้ง


พอมังกรอ้าปาก เปลวไฟสีขาวที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็ถูกพ่นออกมาด้วยอานุภาพอันน่ากลัว และพุ่งไปยังชายหนุ่มชุดสีทอง……


หลิ่งหมิงเพิ่งจะเก็บแมงป่องกระดูกกับหัวบินเสร็จ ก็มีเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังเข้ามาถึงด้านหลัง หลังจากกวาดสายมองไปอย่างรวดเร็ว ก็เห็นว่าหญิงสาวชุดม่วงได้หลอกล่อชายหนุ่มชุดสีทองไปยังทิศทางตรงกันข้ามแล้ว


เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ และพุ่งยิงไปต่อด้วยความเร็วเท่าเดิม พริบตาเดียวก็อยู่ห่างจากชายหนุ่มชุดสีทองสองร้อยกว่าจั้งแล้ว


ครู่ต่อมา ชายหนุ่มชุดสีทองตามหญิงสาวชุดม่วงทันอีกครั้ง และในขณะที่ค่อยๆ ยกกระบี่ในมือขึ้นมา


หญิงสาวตรงหน้ารู้สึกถึงอันตรายในทันที หลังจากใบหน้างดงามเปลี่ยนสีแล้ว ก็กัดฟันสะบัดแขนเสื้อปล่อยอาวุธจิตวิญญาณออกมาสองอย่าง และพุ่งถอยไปด้านหลัง ขณะเดียวกันดวงตาทั้งคู่ก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


ด้านข้างหลิ่วหมิงที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ผีเสื้อเจ็ดสีตัวนั้นแผ่แสงทรงกลดห้าสีออกมาเป็นวงๆ


“ตู้ม!” “ตู้ม!”


อาวุธจิตวิญญาณทั้งสองระเบิดออกมาต้านทานแสงกระบี่สีทองตรงหน้าไว้


แต่ขณะนั้นเอง มือทั้งสองของนางก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และตะโกนคำว่า “เปลี่ยน!” ออกมา


พริบตานั้น ร่างของหญิงสาวชุดม่วงก็พร่ามัว และหายตัวต่อหน้าแสงกระบี่ที่ถูกต้านทานไว้อย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกัน ผีเสื้อเจ็ดสีข้างตัวหลิ่วหมิงก็ระเบิดตัวเสียงดัง “เพล้ง!” และถูกแทนที่ด้วยหญิงสาวชุดม่วงที่มีสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ


ประจักษ์ชัดว่าแผนในก่อนหน้านั้นไม่สำเร็จ เวลาในขณะนี้อยู่ห่างจากตอนที่หลิ่วหมิงปล่อยปีศาจเลี้ยงออกไปไม่ถึงสิบอึดใจ และหลิ่วหมิงก็หนีออกมาได้แค่สามร้อยกว่าจั้งเท่านั้น


ระยะห่างเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะสลัดตัวให้หลุดพ้นจากชายหนุ่มชุดสีทอง


เป็นอย่างที่คาดไว้ ชายหนุ่มชุดสีทองหมุนตัวกลับมาอย่างไม่ลังเล และก้าวยาวๆ มาทางทั้งสองอีกครั้ง


ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มกันขมขื่น ทันใดนั้นก็รีบกระตุ้นพลังเวทให้พุ่งไปด้านหน้าต่อ


เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ภายใต้พลังกดดันอันน่ากลัวของชายหนุ่มชุดสีทอง หลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดม่วงก็ได้แต่หลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น


ในระหว่างทาง ทั้งสองได้แต่ใช้หินจิตวิญญาณกับโอสถในการฟื้นฟูพลังเวท สำหรับอสูรมายาจำนวนหนึ่งที่พบเจอระหว่างทาง หากเป็นระดับต่ำก็สังหารอย่างไม่ใส่ใจ โดยไม่มีโอกาสเก็บมุกมายานภาหยกเลย


สำหรับอสูรมายาระดับผลึกจำนวนหนึ่งที่พบเจอ ก็โยนอาวุธจิตวิญญาณสองสามชิ้นให้มันระเบิดออกมา เพื่อที่ตนเองจะได้หลบหนีได้สะดวก


แม้ว่าอสูรมายาเหล่านี้จะมีการฝึกฝนไม่ด้อยเลย แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของทั้งสองแล้ว กลับช้าลงไปไม่น้อย ไม่นานก็สามารถสลัดให้หลุดพ้นได้แล้ว


และที่ทำให้รู้สึกตกใจก็คือ ดูเหมือนว่าพื้นที่แห่งนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด ตั้งแต่ต้นจนจบยังมองไม่เห็นประตูหินอื่นๆ


ชายหนุ่มชุดสีทองตามติดพวกเขาทั้งสองอย่างไม่เร่งรีบ และรักษาระยะห่างสิบกว่าจั้งไว้ และมักจะฟันแสงกระบี่สีทองออกไปสองสามสาย ทำให้ทั้งสองทำอะไรไม่ถูก


ขณะนี้หลิ่วหมิงแอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด เวลาแค่หนึ่งวัน อาวุธจิตวิญญาณสิบกว่าชิ้นในแหวนย่อส่วนที่นำมาปรับแต่ง ก็เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้น ไม่รู้ว่าต้องหลบหนีไปถึงเมื่อไหร่


ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองถูกไล่ล่าเช่นนี้ พริบตาเดียวก็ครบหนึ่งวันแล้ว


หนึ่งวันต่อมา ทั้งสองกำลังพุ่งอยู่กลางป่าหินระเกะระกะแห่งหนึ่ง แสงกระบี่สีทองตรงด้านหลังแต่ละสายตามติดอยู่ด้านหลัง และมีเสียงระเบิดดัง “ตู้มๆ!” อยู่ตลอดเวลา


ทันใดนั้น หลิ่วหมิงรับรู้ถึงคลื่นปราณจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนอยู่ไม่ไกล เขารู้สึกใจเต้นขึ้นมา ทันใดนั้นก็พุ่งยิงออกไปอย่างไม่ลังเล


หญิงสาวชุดม่วงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ตามออกไปเช่นกัน


แต่ทว่าทั้งสองเหาะไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเงามนุษย์แวบออกจากด้านหลังของเสาหินยักษ์แห่งหนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มชุดขาว ใบหน้างดงาม อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีก็ปรากฏออกมา


หลังจากชายหนุ่มชุดขาวหันไปเห็นฉากที่ทั้งสองพุ่งยิงเข้ามานั้น ตอนแรกก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวตรงด้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


แต่ทั้งสองไม่คิดจะหยุดแต่อย่างใด แสงหลบหลีกกระพริบผ่านบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว


สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มชุดขาวรู้สึกอึ้งไปทันที ไม่นานก็มองเห็นเงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองที่อยู่ด้านหลัง และพอกวาดสายตาผ่านใบหน้าเขาไป สีหน้าของชายหนุ่มชุดขาวก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“จินเลี่ยหยาง!”


หลังจากที่ชายหนุ่มชุดขาวหลุดปากออกมา ก็รีบร่ายคาถาออกมาโดยไม่ต้องคิด


เสียงประทัดระเบิดดังขึ้นภายในร่างของเขา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่เท่ากว่าๆ ขนแข็งสีเงินปรากฏบนพื้นผิว ขณะเดียวนิ้วทั้งสิบก็แหลมคมขึ้นมา คมเขี้ยวโผล่ออกมาในปาก ระหว่างคิ้วมีอักระ “หวัง!” จางๆ ปรากฏออกมา และกลายร่างเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งพยัคฆ์


ที่แท้ชายหนุ่มก็เป็นเผ่าปีศาจ! และหลังจากกลายร่างสำเร็จแล้วก็คำรามเสียงออกมา จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเหลืองพุ่งตามทั้งสองไป


เขารู้ดีว่าต้องอยู่ด้วยกันกับคนทั้งสองตรงหน้าเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไว้ได้


ขณะนี้ เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองก็พุ่งเข้ามาถึง เขาเหลือบตามองแสงหลบหลีกที่ชายหนุ่มเผ่าปีศาจกลายร่างมา จากนั้นก็ฟันแสงกระบี่สีทองออกไป


ประจักษ์ชัดว่าในขณะนี้ ชายหนุ่มเผ่าปีศาจก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขาแล้ว


แสงกระบี่แตกต่างจากก่อนหน้านั้น หลังจากกระพริบหายไปกลางอากาศ มันก็ปรากฏอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็พร่ามัวไปปรากฏอยู่ไกลกว่าเดิม


หลังจากพุ่งออกไปสองสามที แสงกระบี่สีทองก็มาปรากฏตัวตรงด้านหลังของชายหนุ่มเผ่าปีศาจ และฟันลงมาอย่างโหดเหี้ยม


ชายหนุ่มเผ่าปีศาจคำรามออกมา และคว้าออกไปในทันที ทันใดนั้นกรงเล็บแสงสีขาวสลัวๆ ก็ปะทะลงบนแสงกระบี่


“ตู้ม!”


ชายหนุ่มเผ่าปีศาจถูกแรงระเบิดตรงด้านหลังสั่นสะเทือนจนกลิ้งไปด้านหน้าหลายจั้ง แต่หลังจากทรงตัวได้แล้ว แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายบนพื้นผิว และพยายามหลบหนีอย่างสุดชีวิต


“ที่แท้เงาร่างมายาก็คือจินเลี่ยหยาง!” ท่ามกลางแสงหลบหลีกตรงด้านข้าง หลังจากหญิงสาวชุดม่วงหันกลับไปดูทีหนึ่งแล้ว ก็พูดพึมพำออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยแล้ว


“จินเลี่ยหยางคือผู้ใดกัน?” หลิ่วหมิงที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วส่งเสียงออกไปถามทันที


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)