หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 562-565
บทที่ 562 แหกกฎ!
เสียงกึกก้องดังมาจากท้องฟ้าระยะไกล กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ทั้งสองพุ่งตรงมาหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูงสุด เนื่องจากเป็นกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น เจ้าเยี่ยเหมิงใช้วงแหวนปราณจากเข็มทิศ เพื่อเพิ่มความเร็วให้ตนเองและกงเต๋า ทั้งสองจึงตามหวังเป่าเล่อทันได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ามาถึงที่ ทั้งสองก็เห็นลู่ซ่งและผองเพื่อนตัวสั่นงันงกอยู่กับพื้น สีหน้าเปื้อนด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด พวกเขาเห็นว่าพลังปราณของทั้งสองอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลาง หนึ่งในนั้นขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขั้นกลาง และกำลังจะก้าวไปเป็นขั้นปลายในไม่ช้านี้ เจ้าเยี่ยเหมิงตกใจกับภาพตรงหน้ามาก นางหันกลับไปจ้องหวังเป่าเล่อ
นางรู้มาตลอดว่าหวังเป่าเล่อนั้นแข็งแกร่งมาก กระนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็ยังตกใจกับพลังอำนาจที่หวังเป่าเล่อสำแดงให้เห็น เขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่มีปราณอยู่ในระดับเดียวกันถึงสามคน และยังทำร้ายทั้งสามจนบาดเจ็บสาหัสภายในเวลาสั้นๆ อันบอกถึงความสามารถในการต่อสู้ของเขาได้เป็นอย่างดี
มีแต่ผู้ที่อยู่ในขั้นปลายหรือขั้นสมบูรณ์แบบของระดับกำเนิดแก่นในเท่านั้น ที่จะทำอะไรแบบนี้ได้
กงเต๋าเคยเห็นหวังเป่าเล่อต่อสู้กับรูปปั้นค้างคาวศิลาในถ้ำที่พักใต้ทะเลเพลิงมาก่อน แต่เขาก็มัวแต่สาละวนกับการพยายามผลักประตูหินให้เปิดออก จึงไม่ได้ตั้งใจดูหวังเป่าเล่อมากนัก นอกจากนี้รูปปั้นศิลายังเป็นเพียงสิ่งไร้ชีวิต เทียบอะไรไม่ได้กับการต่อสู้กับคนตัวเป็นๆ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตกใจมากเช่นกัน
หวังเป่าเล่อยิ้มเมื่อเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า เขายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศไปทางทิศที่ผู้ฝึกตนทั้งสามนอนอยู่บนพื้น ชายหนุ่มหยิบเอากำไลคลังเวทของทางสามมา ก่อนพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ตอนนี้ทั้งสามคนนี้ก็จะไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่แล้ว ขาก็หัก นอกจากนี้ยังไม่มีกำไลคลังเวท เรียกได้ว่าติดอยู่ที่นี่อย่างสมบูรณ์ ความจริงจะอยู่บนแผนที่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไร!” หวังเป่าเล่อโยนกำไลคลังเวทและกุญแจสองดอกที่เหลือให้เจ้าเยี่ยเหมิง
“ไปตามล่าเป้าหมายต่อไปกันเถิด!” หวังเป่าเล่อจากไปทันทีที่พูดจบ
เจ้าเยี่ยเหมิงมีสีหน้าประหลาด นางมองหวังเป่าเล่อ และศิษย์สามคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังตัวสั่นเงียบงันอยู่บนพื้น ก่อนยิ้มด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว ส่ายหน้าไปมา และตามหวังเป่าเล่อไป
กงเต๋าหายใจเข้าลึก หลังจากที่ได้รับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ เขาก็รู้สึกได้ว่าคนจากสหพันธรัฐมีโอกาสได้ขึ้นไปอยู่ในสามอันดับแรกของการแข่งขัน และโอกาสนั้นก็มีอยู่มากเลยทีเดียวเสียด้วย!
เมื่อผู้ฝึกตนทั้งสามเดินจากไป ศิษย์จากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาหันมามองหน้ากัน รับรู้ได้ถึงความข่มขื่นในดวงตาสหายร่วมชะตากรรม รวมถึงความตกใจที่กำลังค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในจิตใจ
“หมอนั่นมันเป็นผู้ฝึกตน… จากสหพันธรัฐ เจ้าหวังเป่าเล่อนั่นจริงๆ นะหรือ”
“มันมีปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลางอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ความสามารถในการต่อสู้นี้… อาจเทียบได้กับศิษย์เอกเลยทีเดียว!”
“พวกเรา… ประเมินผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐต่ำเกินไป! ไอ้หวังเป่าเล่อคนนี้มันแข็งแกร่งมาก!” ทั้งสามหน้าตาบูดบึ้งเหยเก ต่างคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพวกตนถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันแล้ว ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันมั่วไปหมดขณะพยายามลุกขึ้นยืน หัวใจเต้นระรัวด้วยความกลัวขณะนึกถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้า พวกเขานั่งรอการเคลื่อนย้ายที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายชั่วโมงท่ามกลางความเงียบ
หวังเป่าเล่อและสหายทิ้งพวกเขาไว้ตรงนั้น และกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศหนึ่งด้วยความเร็วสูง ทั้งสามก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เจ้าเยี่ยเหมิงก็เริ่มนวดหน้าผากตนเอง นางยังเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ไม่ว่าคนๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่กลยุทธ์ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้ และจะช่วยเพิ่มโอกาสชนะให้พวกเขาได้ หลังจากคิดอยู่สักพัก นางก็หันไปหาหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ เราควรหลบคนอื่นไปก่อนในตอนนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เราต้องเดินหมากอย่างระวังกว่านี้ โดยเฉพาะกับพวกที่ซ่อนตัวอยู่ แค่บางคนไม่ได้อยู่บนแผนที่ ไม่ได้แปลว่ายังสู้ไม่ได้นะ เพียงแต่ซุ่มรอจังหวะล่าเหยื่ออยู่เท่านั้น”
“เยี่ยเหมิง!” หวังเป่าเล่อหยุดกลางทาง เขาหันมามองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนพูดอย่างช้าๆ
“แผนการอะไรก็ตาม เมื่อเจอเข้ากับความแข็งแกร่งไร้เทียมทานก็จะพังไม่เป็นท่าหมด กฎการแข่งขันนี้ไม่ใช่กฎหมายบ้านเมืองที่เข้มงวด เจ้าไม่ควรเอาตัวเองไปยึดติดกับกฎมากมายขนาดนั้น หากนี่เป็นสหพันธรัฐ ข้าก็คงทำแบบที่เจ้าทำ และเลือกแผนการที่จะทำให้ข้าได้รางวัลตอบแทนมากที่สุด โดยลงแรงให้น้อยที่สุด นี่ก็เพราะว่าสหพันธรัฐเพิ่งจะเข้ายุคกำเนิดวิญญาณมาได้ไม่นาน ผู้ฝึกตนอย่างเรายังดำรงตนอยู่ภายใต้กฎหมาย เพราะว่ายังมีกฎหมายอยู่!”
“แต่ที่นี่คือกระบี่สำริดเขียวโบราณ… โลกแห่งการฝึกตนที่แท้จริง! ข้าลองคิดดูอย่างละเอียดลึกซึ้ง แล้วข้าก็เข้าใจมันจริงๆ แล้ว… การหนีไม่ใช่คำตอบ ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมกลืนกินผู้ที่อ่อนแอ ท้ายที่สุด… ทุกคนก็ต้องพึ่งความแข็งแกร่งของตนเองเพียงเท่านั้น จึงจะอยู่รอดได้!”
“ถึงข้าจะไม่ได้พยายามซ่อนตัวเองจากแผนที่เหมือนคนอื่น แต่ข้าเองก็เป็นนักล่าเช่นกัน!” แววดุร้ายในแววตาของหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงขึ้น เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปยังแผนที่บนฟ้า
“กุญแจดอกที่เจ็ดของเราอยู่ห่างออกไปห้าร้อยกิโลเมตร ข้าจะนำพวกเจ้าไปเอง!”
คำพูดของหวังเป่าเล่อกระแทกจิตใจของเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นอย่างมาก นางยอมรับว่าตนเองเป็นคนใส่ใจกฎเกณฑ์มากเกินไป เนื่องจากวงแหวนปราณเองก็ถือว่าเป็นกฎรูปแบบหนึ่ง กระนั้นเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ยังคิดว่าการวิเคราะห์สถานการณ์ของตนเองมีประโยชน์ แต่ก็ยังเคารพการตัดสินใจของหวังเป่าเล่อ และไม่พูดอันใดอีก
กงเต๋ายืนฟังบทสนทนาของหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มเห็นด้วยความสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดนั้นถูก แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีเหตุผลในการวางกลยุทธ์ของนางเช่นกัน เขาจึงยิ้มหน้าเหยเกก่อนเอ่ยออกมา
“เป่าเล่อ ตอนนี้เรามีกุญแจหกดอกแล้ว เรายังไปต่อได้อีกถึงสามวัน หากว่าเรา… รอให้เกิดการเคลื่อนย้ายเสียก่อน ถึงค่อยออกล่ากุญแจต่อจะไม่ดีกว่าหรือ”
หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบในทันที แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาตรึกตรองคำพูดของกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง สักพักหนึ่งดวงตาของเขาก็กลับมาแรงกล้าอีกครั้ง ชายหนุ่มส่ายศีรษะ ก่อนพูดกับสหายของตนทั้งที่ยังหันหลังอยู่ “เยี่ยเหมิง กฎของการแข่งขันนี้ซับซ้อนนัก จึงทำให้มีความเป็นไปได้มากมายเกินไป ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าและกงเต๋าจะคาดเดาสถานการณ์ทั้งหมดได้ โดยไม่พลาดสิ่งใดไป เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำนายได้ทั้งหมดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง!
“นี่ก็เพราะผู้เข้าแข่งขันที่ซ่อนอยู่ ที่ปัจจัยหลักในการคำนวณความเป็นไปได้นี้ ไม่ได้ปรากฏอยู่บนแผนที่ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้อยู่กับที่แต่เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา จึงไม่อาจเดาได้เลยว่าพวกเขาจะทำอะไร ต่อให้ข้าช่วยคิดด้วย เราทั้งสามคนก็ไม่มีวันทำนายอะไรได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจ… ผู้ที่แข็งแกร่งหนึ่งคนสามารถเอาชนะคนอีกสิบคนได้ คนที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้นถึงจะอยู่รอด!
“ข้าไม่จำเป็นต้องวางกลยุทธ์หรือสนใจกฎ ข้าเพียงแต่ต้องรู้สิ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือเดินหน้าต่อไปโดยไม่หันหลังกลับ ข้าไม่สนใจผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่ ข้าไม่สนใจด้วยว่าพวกนั้นมีกุญแจอยู่กี่ดอก กฎของการแข่งขันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย!
“การก้าวขึ้นไปอยู่บนสามอันดับสูงสุดนั้นง่ายมาก… เก็บกุญแจที่เราพบให้ครบทุกดอก และกำจัดทุกคนที่เราเจอ ถ้าทำเช่นนั้น ถึงอย่างไรข้าก็จะติดหนึ่งในสามแน่นอน และอาจจะเป็นอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ!
“ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวพวกเราไปทำให้คนส่วนใหญ่โกรธเข้า แต่ถ้าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นรวมตัวกันโจมตีพวกเราเล่า ในตอนนั้น ผู้ชมก็จะได้เห็นว่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแข็งแกร่งเพียงใดอย่างไรเล่า!”
“นั่นคือมุมมองของข้า มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นที่ติดอยู่ในกับดักของกฎ ผู้ที่แหกและสร้างกฎคือผู้ที่แข็งแกร่งเหนือทุกคน!” แม้เสียงของหวังเป่าเล่อจะนิ่งสงบ แต่พลังปราณภายในกายของเขากลับปั่นป่วนขณะพูด พลังปราณและพลังใจของเขาสั่นสะเทือนภายในกาย จนแผ่ออกจากกายของชายหนุ่มเป็นคลื่นๆ !
พลังสะท้อนครั้งนี้รุนแรงกว่าสองครั้งแรกมาก จนทำให้เกิดพายุขึ้นในบริเวณนั้น อากาศหมุนวนลอยล่องขึ้น พลังนี้ทั้งทรงพลัง น่ากลัว และไร้ซึ่งความขลาดใดๆ รุนแรงเหมือนคมมีดที่ฟาดฟันได้ทุกสิ่ง รวมถึงมหาสมุทรและภูผาที่อาจหาญมาขวางทางด้วย!
พลังที่รุนแรงกว่าคราวแรกทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าสัมผัสได้ในทันที กงเต๋าหยุดหายใจไปชั่วขณะ ภายในกายสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ชายหนุ่มมองหวังเป่าเล่อด้วยอารมณ์มากมายในใจ เขารู้แล้วว่าเหตุใดตนเองจึงเทียบหวังเป่าเล่อไม่ได้ แม้ตนเองก็กระหายเลือดและสงครามเช่นกัน เป็นเพราะว่าเขาเคยชินกับการอยู่ภายใต้เงามืดมากเกินไป เขาไร้ซึ่ง… พลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะมี!
“ผู้ฝึกตนควรจะต่อสู้กันเองและท้าทายอำนาจของสวรรค์ พวกเขาควรพุ่งเข้าใส่อุปสรรคแบบซึ่งๆ หน้า และต้านทานพลังธรรมชาติ รวมถึงกฎแห่งสวรรค์ มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้ผู้ฝึกตนผู้นั้นเดินหน้าได้อย่างไร้ซึ่งความกลัว หากเขาไม่ถูกทำลายลงเสียก่อน ก็จะสามารถสร้างวิถีแห่งมหาเต๋าใหม่ได้แน่นอน!”
เจ้าเยี่ยเหมิงมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเหมือนถูกสะกด ดวงตาของนางอาบด้วยความเข้าใจ ขณะที่ทั้งนางและกงเต๋ากำลังเข้าใจวิถีแห่งเต๋านั้น แผนที่จากมุมสูงก็เกิดการเปลี่ยนแปลง!
ในบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือที่ไกลแสนไกลจากพวกเขา กุญแจสี่ดอกรวมตัวเข้าด้วยกัน อาจเป็นการรวมตัวของผู้ฝึกตนสามหรือสี่คน แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะเป็นของคนๆ เดียว!
ผู้นั้นพุ่งไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง ไม่ว่างเขาจะผ่านไปแห่งหนใด กุญแจรอบข้างก็จะมารวมอยู่ที่เขาทั้งสิ้น จำนวนกุญแจทั้งหมดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลาอันสั้น จุดนั้นก็มีกุญแจสิบกว่าดอก!
ราวกับว่าพายุหมุนได้อุบัติขึ้นยังจุดที่กุญแจเหล่านั้นอยู่ ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ กุญแจอื่นๆ มากมายหายไป กุญแจดอกใหม่ๆ เกิดขึ้นแทนที่ ผู้ที่ถูกแย่งกุญแจไปเริ่มต่อสู้แย่งชิงกุญแจดอกใหม่กัน
กระจุกกุญแจนั้นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า จำนวนกุญแจที่เขาถือครองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากกุญแจทั้งหมดนี้เป็นของคนๆ เดียวจริง ในตอนนี้…
ทุกคนที่กำลังมองแผนที่อยู่ ต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันแสนดุดันกวาดล้าง ที่กำลังมุ่งไปข้างหน้าอย่างไร้ความกลัว ปฏิเสธซึ่งกฎแห่งธรรมชาติทุกอย่าง!
ความรู้สึกนี้รุนแรงมากกว่าใครในใจของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า นี่ก็เพราะ… พลังที่กลุ่มกุญแจจากบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านี้ปล่อยออกมา เป็นพลังเดียวกันกับหวังเป่าเล่อเมื่อก่อนหน้าไม่มีผิด!
พลังที่เกลียดชังการหลบซ่อน ทำลายกฎเกณฑ์ทั้งมวล!
“หากสิ่งที่เกิดขึ้นที่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเป็นคนๆ เดียว ก็คงเป็น… หนึ่งในศิษย์เอกอัจฉริยะแน่ๆ” เจ้าเยี่ยเหมิงชะงักด้วยความตกใจ นางหันกลับมามองหวังเป่าเล่อ ความเข้าใจเบ่งบานในอก
หวังเป่าเล่อก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผนที่มุมสูงเช่นกัน ดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้าเหมือนดวงดาวสุกสกาว ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้ม ความกระหายการต่อสู้ไหลเชี่ยวกรากอยู่ภายในกาย!
นั่นแหละคือคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของข้า!
บทที่ 563 โชคช่วย!
ขณะที่กำลังเกิดเหตุไม่คาดคิดที่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือนั้น ที่ลานสาธารณะบนยอดเขาของสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ชนที่กำลังดูลมหมุนทั้งสามอยู่นั้นกำลังตกใจกับภาพที่เห็น หลายคนผุดลุกขึ้นยืน ขณะมองไปที่ใจกระแสวนอย่างไม่กระพริบตา ที่ศิษย์ผู้หนึ่งจากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อ!
หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในกระแสวน แต่มีภาพหนึ่งที่สะกดความสนใจของทุกคนเอาไว้ได้อยู่หมัด ภาพนั้นน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอันมาก!
จอนั้นแสดงศิษย์เอกของเมี่ยเลี่ยจื่อ ตู้กูหลิน ผู้ที่มีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ณ ขีดจำกัดที่ผู้ฝึกตนกำเนิดแก่นในคนหนึ่งจะทำได้ ภายในพริบตาเดียว ตู้กูหลินเข้าใกล้ผู้ฝึกตนจากฝ่ายของเฟิ่งชิวหรัน ที่ไม่มีโอกาสได้พูดอันใดเนื่องจากโดนกำจัดในทันที ตู้กูหลินใช้นิ้วเดียวส่งผู้ฝึกตนคนนั้นปลิวไปด้านหลัง กระอักเลือดออกจากปาก และบาดเจ็บสาหัสจนสลบไปในทันที
กุญแจหลุดไปเข้ามือตู้กูหลินที่จากไปเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มยังต้องการเก็บกุญแจ แต่ก็ดูไม่ได้ตั้งใจมากขนาดนั้น!
ฝูงชนมองเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกภาพมีตู้กูหลินอยู่ในนั้นทั้งสิ้น จำนวนกุญแจที่ชายหนุ่มถือครองอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีมากเกินสี่สิบดอก!
นั่นเป็นจำนวนกุญแจมากที่สุดที่ผู้เข้าแข่งขันหนึ่งคนถือครอง!
ผู้ชมในลานสาธารณะต่างพูดคุยกันเสียงดังระเบิด ต่างคนต่างหายใจสะดุด ศิษย์จากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อตื่นเต้นออกนอกหน้า และพากันส่งเสียงสนับสนุนศิษย์พี่ของตน
“ศิษย์พี่สูงสุดตู้กูหลิน ผู้ไร้เทียมทานที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นใน!”
“ฮ่าๆ ข้าพนันห้าร้อยแต้มการรบเลย ว่าศิษย์พี่สูงสุดตู้กูหลินจะต้องชนะแน่นอน!”
“ข้าเคยบอกแล้วอย่างไร ว่าการแข่งขันนี้เป็นการแข่งขันระหว่างศิษย์เอกด้วยกันเอง ป่านนี้ศิษย์เอกคนอื่นๆ ไม่กระวนกระวายกันแย่แล้วหรือนี่”
เมื่อเทียบกับเสียงกู่ร้องจากฝั่งเมี่ยเลี่ยจื่อ ฝั่งเฟิ่งชิวหรันนั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง พวกเขาจ้องจอที่เป็นของสวีหมิงและลู่หยุน โดยหวังว่าจะเห็นผลงานที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
ขณะที่ศิษย์น้อยใหญ่จากสำนักวังเต๋าไพศาลกำลังตื่นเต้นกันอยู่นั้น ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณดูสงบนิ่ง พวกเขาประหลาดใจนิดหน่อยกับภาพที่เห็น เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ของตู้กูหลินนั้นยอดเยี่ยมมาก
แม้แต่เฟิ่งชิวหรันเองยังขมวดคิ้ว โยวหรันข้างกายนางหรี่ตาลง ดูท่าทางเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เขาหันไปมองและเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อ
ผู้อาวุโสทั้งสามท่านไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่สีหน้าของเฟิ่งชิวหรันและโยวหรัน แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ขณะชมการแข่งขันตรงหน้า โดยพวกเขาเพ่งความสนใจไปที่ตู้กูหลิน
ผู้เข้าแข่งขันเองก็ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงบนแผนที่ เช่นเดียวกันกับผู้ชมภายนอก ลู่หยุน ศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรันเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบรับ หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณของตนเอง และล้มเลิกแผนการที่จะเดินหน้าอย่างมั่นคงในทันที พลังกระหายเลือดเย็นเยียบแผ่ออกจากกายเขา ก่อนที่เจ้าของร่างจะเพิ่มความเร็วขึ้น เพื่อกวาดเอากุญแจทั้งหมดจากบริเวณโดยรอบมาไว้ที่ตัวเองในทันที!
เขาทำตามตู้กูหลิน โดยการใช้พลังของตนเองจัดการกับผู้เข้าแข่งขันที่ตนเองเจอ และแย่งเอากุญแจมาเก็บไว้!
คนที่ตามมาคนต่อไปคือสวีหมิง ชายหนุ่มรู้ดีว่ากฎของการแข่งขันนี้เปลี่ยนไปแล้วด้วยการกระทำของตู้กูหลิน
หมอนั่นพยายามเร่งการแข่งขันให้จบเร็วขึ้น โดยกำจัดผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ออกไปก่อนตั้งแต่การเคลื่อนย้ายครั้งแรก น่าสนใจดี! สวีหมิงหัวเราะ รอยเย็นวาบเข้ามาในแววตา ชายหนุ่มก็เลือกโจมตีเช่นกัน
โจวชู่เต๋าและเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาเลือกเปลี่ยนกลยุทธ์ ทีแรกทั้งสองอยู่ด้วยกัน แต่บัดนี้ได้ตัดสินใจแยกกันโจมตีคู่ต่อสู้แล้ว ทั้งสองมุ่งหน้าไปคนละทางด้วยพลังเต็มเปี่ยม เพื่อตามล่าสะสมกุญแจ!
ทั้งห้าคนที่ตัดสินใจโจมตีแทนหลบซ่อนนี้ ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ การล่ากุญแจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนหลายคนเสียกุญแจของตนเองไป แต่ยังไม่มีใครตาย มีบางคนที่ถึงกับพิการ และก็มีอยู่มากที่บาดเจ็บสาหัสจนสู้ต่อไม่ไหว
แต่ก็ยังมีบ้างที่แม้จะเสียกุญแจไปแล้ว แต่ก็ยังมีกำลังพอสู้ต่อได้ ส่วนมากจะเป็นผู้ที่เจอศิษย์เอกจากฝ่ายเดียวกัน และตัดสินใจยกกุญแจให้โดยสมัครใจ
พวกเขาเหล่านั้นหายตัวไปจากแผนที่โดยสิ้นเชิง จึงเป็นคนที่เป็นอันตรายกับผู้อื่นที่ยังมีกุญแจอยู่ และมักเข้าโจมตีผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา!
การตัดสินใจโจมตีของศิษย์เอกทั้งห้าทำให้โลกการแข่งขันได้รับผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า กุญแจหายไปจากแผนที่และปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณ กุญแจเหล่านั้นเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ เหมือนที่เจ้าเยี่ยเหมิงคาดการณ์เอาไว้ วันแรกเต็มไปด้วยการต่อสู้นองเลือดมากมาย ที่มาพร้อมผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน!
กลุ่มของหวังเป่าเล่อเองก็กำลังพุ่งไปในอากาศเช่นกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ารู้สิ่งที่หวังเป่าเล่อเลือก และเข้าใจมุมมองของเขามากขึ้น ทั้งสองตามหวังเป่าเล่อเพื่อมุ่งไปข้างหน้าเหมือนองครักษ์ที่อยู่ข้างกาย
เป้าหมายของพวกเขาก็คือ… กลุ่มกุญแจเจ็ดดอกที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปหา!
จากแผนที่ ดูเหมือนว่ากุญแจทั้งเจ็ดนั้นจะไม่ได้เป็นของคนๆ เดียว แต่เป็นการรวมตัวของคนหลายคน หวังเป่าเล่ออาจเจอเข้ากับเหตุการณ์แบบใดก็ได้ แต่เขาไม่สนใจ ไม่ว่าจะมีอยู่กี่คน ชายหนุ่มก็เพียงแต่ต้องทำลายทุกคนให้สิ้นซากเท่านั้น!
พลังจากกายของชายหนุ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะมุ่งไปข้างหน้า เขากลายเป็นดาวตกที่ห้อมล้อมด้วยสายฟ้า พุ่งแหวกอากาศเข้าหากุญแจเจ็ดดอกนั้น ด้วยความเร็วสูงและเสียงกึกก้อง!
จิตสัมผัสวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ที่ก้าวข้ามระดับกำเนิดแก่นในไปมาก ทำให้เขาเห็นศัตรูที่อยู่เบื้องหน้ามาแต่ไกล ก่อนที่คู่ต่อสู้จะรู้สึกได้ถึงตัวเขาด้วยซ้ำ!
หลี่ปินเองหรือ ชายหนุ่มยิ้มแต่ดวงตาเย็นเฉียบ เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีกเพื่อไปถึงให้เร็วขึ้น!
ที่จุดที่มีกุญแจอยู่เจ็ดดอกนั้น ไม่ได้มีคนอยู่แค่คนเดียว แต่มีถึงสิบสามคน!
ทั้งหมดมาจากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้นำของกลุ่มนั้นคือคนที่เข้าปะทะหวังเป่าเล่อในถ้ำใต้ทะเลเพลิง ที่ถูกชี่หลินห้ามเอาไว้ ชายผู้นั้นอาฆาตแค้นหวังเป่าเล่อและต้องการสังหารเขาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ชายผู้นั้นคือหลี่ปินนั่นเอง!
ชายหนุ่มยังเชื่อว่าหวังเป่าเล่อเพียงแต่โชคช่วยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงฆ่าหวังเป่าเล่อได้ไปตั้งนานแล้ว และถือโอกาสเข้าค้นถ้ำที่เปิดออกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โอกาสที่หลุดลอยไปนั้นยังคงตามหลอกหลอนหลี่ปิน ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนั้น ความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อก็จะผุดขึ้นมาในใจ
ไอ้หวังเป่าเล่อ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจากสหพันธรัฐก็เข้าแข่งขันด้วยนี่ หวังว่ามันจะไม่โชคดีรอดไปได้อีกนะคราวนี้ หากเจอกันละก็… หลี่ปินยิ้มเยาะ เขามองสหายรอบกายอย่างภาคภูมิใจ
หลี่ปินที่มีปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลาย ถือว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งในงานนี้เลยทีเดียว ตราบใดที่เขาไม่เจอเข้ากับศิษย์เอกทั้งห้า ที่เป็นพวกผ่าเหล่าผิดมนุษย์มนา เขาเชื่อว่าตนเองคงขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้ไม่ยาก
นอกจากนี้เขายังรวบรวมผู้คนได้มากมาย แต่หลี่ปินเองก็รู้ว่าโอกาสที่ตนเองจะได้อยู่ในสามอันดับแรกนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะแลกเปลี่ยนกุญแจกับศิษย์เอก เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีเอาไว้!
ด้วยความคิดนี้ บวกกับความทะนงตนถึงขีดสุด หลี่ปินจึงไม่ได้สนใจกุญแจหกดอกที่กำลังมุ่งหน้ามาหาตน เขารู้แล้วว่าผู้นั้นไม่ใช่ศิษย์เอกทั้งห้าแน่นอน เนื่องจากแผนที่แสดงให้เห็นว่าทั้งห้าคนมีกุญแจมากกว่าสิบดอกแล้วในตอนนี้
คนที่กำลังมาหาเขา อย่างมากก็มีปราณขั้นปลายเหมือนกันกับเขา และจากจำนวนคนในกลุ่มที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยแล้ว คงเป็นอ้อยเข้าปากช้างเสียมากกว่า
แต่ก็ยังต้องระวังตัวอยู่ หมอนั่นมันอาจจะรวบรวมคนที่เสียกุญแจไปเหมือนข้าก็ได้ หลี่ปินเห็นแล้วว่าผู้มาเยือนเข้าใกล้เข้ามากแล้ว จึงโบกมือสั่งให้ผู้ฝึกตนรอบกายกระจายตัวออกในทันที ชายหนุ่มชูมือขึ้น ปลดปล่อยพลังปราณกำเนิดแก่นในขั้นปลายของตน เขากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่หวังเป่าเล่อที่กำลังเดินทางด้วยความเร็วสูง ก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าไกลเสียก่อน หลี่ปินจำหน้าของชายที่กำลังเข้ามาใกล้ได้ในทันที
หวังเป่าเล่อเช่นนั้นหรือ ชายหนุ่มดีใจเป็นอันมากเมื่อเห็นว่าเป็นหวังเป่าเล่อที่กำลังเข้ามาหาตน เขาเงยหน้าขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล พร้อมประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงอัดแน่นด้วงแรงสังหารในทันที
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าจะมาเจอเข้ากับหวังเป่าเล่อ ไอ้สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจากสหพันธรัฐเข้าได้ วันนี้ลองมาดูกันดีกว่า ว่าเจ้ามากับดวงจริงหรือไม่ และจะมีผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณเข้าสนามประลองมาช่วยไว้อีกหรือเปล่า” หลี่ปินระเบิดเสียงหัวเราะ โบกมือก่อนชีนิ้วไปที่หวังเป่าเล่อ
“ฆ่ามัน!” สิ้นคำสั่ง ผู้ฝึกตนรอบกายเขาก็ยิ้มเย้ยหยัน ในความคิดของพวกเขา ผู้ฝึกตนชั้นต่ำจากสหพันธรัฐไม่มีวันเทียบเคียงศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลได้เลย ต่อให้ฆ่ามันทิ้งก็ไม่ได้รับโทษอย่างแน่นอน เนื่องจากการแข่งขันนี้ไม่ได้ห้ามสังหารกัน ที่ยังไม่มีใครตายก็เพราะทุกคนเป็นศิษย์ร่วมสำนักและเป็นเพื่อนกันทั้งสิ้น คงไม่มีใครฆ่าแกงกันนอกเสียจากไม่มีทางเลือกจริงๆ แต่หากเป็นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแล้วละก็… ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง!
ผู้ฝึกตนสิบสองคนกระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อ พร้อมรอยยิ้มกระหยิ่มโหดเหี้ยม
หวังเป่าเล่อฉีกยิ้มเช่นกัน เมื่อเห็นว่ามีเหยื่อพุ่งเข้ามาหาเขาเอง
เห็นทีจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปไม่ได้… แสงสีเลือดวาบเข้ามาในแววตา ผนึกเกราะจักรพรรดิรูปเพชรบนหัวใจเขาระเบิดพวยพุ่งออกจากร่าง ทะลุผ่านผิวหนังออกสู่โลกภายนอก สิ่งนั้นไม่ใช่เกราะจักรพรรดิที่สมบูรณ์ หากแต่เป็นเส้นปราณที่เต้นเร่าอย่างบ้าคลั่ง แสงสีแดงเรืองรองอาบไล้ทั่วผืนฟ้า!
บทที่ 564 ลักอัคคีกลืนกิน
พวกนี้ตั้งใจจะฆ่าข้า เช่นนั้น… ข้าก็จะฆ่าเจ้าด้วยก็แล้วกัน! หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ว่าการแข่งขันไม่ได้ห้ามการสังหาร แต่ด้วยความที่ทุกคนเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน แม้จะมาจากคนละฝ่าย การฆ่ากันก็แทบไม่เคยเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าสำหรับเขาที่มาจากสหพันธรัฐจะไม่ได้ใช้ตรรกะเดียวกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น… ริมฝีปากของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นเย้ยหยัน ดวงตาวาวโรจน์เย็นเยียบ เขาไม่ลังเลแต่ทะยานออกไปทันที หมายเข้าปะทะกับผู้ฝึกตนสิบกว่าคนที่พุ่งเข้าหาเขา
“ไอ้สวะกากเดนจากสหพันธรัฐ หายไปจากโลกนี้เสีย!”
“ฆ่ามัน!”
ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลต่างกู่ร้องและเข้าโจมตี กระบวนเวทและวัตถุเวทมากมายลอยขึ้นในอากาศ ระเบิดพลังออกทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้
ทันทีที่พวกเขาโจมตี ร่างของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนแปลงไป ร่างอัสนีอวตารที่ดูเหมือนเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแยกออกจากร่างจริง ราวกับแบ่งตัวออกมาอย่างไรอย่างนั้น!
ร่างอวตารนั้นไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่พุ่งเข้าใส่ฝูงชนเบื้องหน้า ดูดเวทและวัตถุเวททั้งหมดเขาหาตนเอง หวังเป่าเล่อตัวจริงก้าวออกมาอีกหนึ่งก้าว เกราะจักรพรรดิพลันปรากฏขึ้นนอกกายเขา เส้นปราณสีแดงสดหลายสิบเส้น ปลายแหลมเหมือนคมมีด พุ่งเข้าใส่ฝูงชนด้วยความเร็วสูง!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมาก พลังที่ฝูงศิษย์ปล่อยออกมาปะทะเข้ากับร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ พวกเขากำลังจะเปลี่ยนการโจมตีใหม่ แต่ภายในพริบตา เส้นปราณนอกกายหวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าเสียบวัตถุเวทจนสลาย ทำลายกระบวนเวทเสียหมดสิ้น และพุ่งเจาะทะลุหน้าผากของผู้ฝึกตนห้าคน!
ผู้ฝึกตนทั้งห้าคนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายสั่นเทิ้ม ก่อนเหี่ยวย่นลงต่อหน้าต่อตา ร่างทั้งห้าถูกเส้นปราณสีแดงลากไปทั่วโดยควบคุมสิ่งใดไม่ได้ เกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อสะบัดร่างเหล่านั้นเร่าๆ หมุนวนไปทั่วบริเวณ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน ตั้งแต่การโจมตีแรกจนถึงผู้ฝึกตนห้าคนถูกเสียบทะลุศีรษะนั้น กินเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ผู้ฝึกตนที่เหลือนิ่งอึ้งอยู่กับที่ แต่ก่อนที่จะได้ทำไร พวกเขาก็เห็นร่างของผู้ฝึกทั้งห้า ที่ถูกเส้นปราณสีแดงของหวังเป่าเล่อโบกสะบัดไปมาในอากาศนั้น เหือดแห้งไปหมดสิ้นทั้งเลือด เนื้อ และชีวิต ห้าร่างกลายสภาพเป็นศพผีดิบแห้งกรัง ที่ถูกโยนลงพื้นเสียงดังปุอย่างไร้ค่า
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือเส้นปราณสีแดงดีดดิ้นไปมาเหมือนไส้เดือน ราวกับกำลังส่งทุกสิ่งที่ดูดกลืนมาเข้าไปในกายหวังเป่าเล่อ ภาพนี้ทำให้ทุกคนมีสีหน้าท่วมด้วยความตกใจ พวกเขาหายใจสะดุดด้วยความขนหัวลุก ก่อนรีบล่าถอยในทันที
ดวงตาของหลี่ปินแทบหลุดออกจากเบ้า ชายหนุ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ รู้สึกได้ถึกหนังหัวที่ชาไร้ความรู้สึก แต่ปราณของเขาก็อยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลาย จึงทำให้เขาจิตใจเข้มแข็งกว่าคนอื่นๆ หลี่ปินสูดหายใจเข้าลึก และกำลังจะพูดปลอบใจเพื่อนร่วมคณะ เพื่อที่จะได้ไม่เสียกำลังใจในการต่อสู้ไปกับความหวาดกลัว
แต่ก่อนที่จะได้พูดสิ่งใด หวังเป่าเล่อก็ระเบิดความเร็วขึ้นอีกครั้ง ก้าวออกมาข้างหน้า และปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในขั้นต้นคนหนึ่ง ชายหนุ่มว่องไวเสียคนคู่ต่อสู้ไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะมัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์สยดสยองเมื่อก่อนหน้า ช้าไปเสียแล้วกว่าที่เขาจะรู้สึกตัว ยังไม่ทันได้หนี หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น กระบวนเวทและวัตถุเวทกันภัยทั้งหมดรอบกายผู้ฝึกตนผู้นั้นหมดฤทธิ์ไปในทันที แรงกระแทกพุ่งเข้าปะทะหน้าผากของผู้ฝึกตนผู้นั้น!
เสียงระเบิดดังโพละเหมือนลูกแตงโมระเบิด มาพร้อมภาพศีรษะของผู้ฝึกตนคนนั้นที่ระเบิดออกเป็นเศษเนื้อและมันสมอง ร่างไร้ชีวิตตกลงกระแทกพื้น เส้นปราณสีแดงพลันพุ่งออกจากร่าง หวังเป่าเล่อไม่แม้แต่จะหันไปมองศพที่พื้นนั้น เขาก้าวอีกครั้งด้วยความเร็วพริบตา และปรากฏกายขึ้นข้างผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลางในทันที!
ชายหนุ่มรู้สึกว่าผู้ฝึกตนคนนี้หน้าคุ้นๆ เนื่องจากเขาอยู่ที่หน้าถ้ำด้วยในวันนั้น และแสดงความต้องการสังหารเขาออกมา ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในสหายของหลี่ปินนั่นเอง ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลางไวกว่าขั้นต้นมาก ชายผู้ที่กำลังตกใจนี้ไม่ลังเลเลยขณะตะโกนออกมา
“หวัง…”
แต่ก็พูดได้เพียงคำแรกเท่านั้น แล้วสรรพเสียงก็เงียบลง เขากัดริมฝีปากตนเองก่อนกระอักเลือดออกมา เลือดนั้นไม่ใช่เลือดธรรมดา แต่เป็นอาวุธลับของเขา เลือดสีแดงฉานกลายสภาพเป็นหมอกโลหิตที่อัดแน่นด้วยพลังเวททรงพลัง และกำลังพุ่งตรงมาหาหวังเป่าเล่อ!
ทว่า… เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งไร้ผล ชายหนุ่มปล่อยหมัดออกไปใส่หมอกโลหิต หมัดนั้นพุ่งทะลุหมอก กระแทกเข้ากลางหน้าอกของผู้ฝึกตนผู้นั้นเข้าอย่างจัง เสียงกระดูกแตกดังก้อง หน้าอกของเขายุบเข้าไปข้างใน ชายผู้นั้นกระอักเลือดออกมายกใหญ่ เส้นปราณสีแดงเจาะทะลุศีรษะเขา ก่อนรอยของชีวิตจะเหือดหายไปจากแววตา
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในฉับพลับ ภายในพริบตาเดียว คู่ต่อสู้สิบสามคนเมื่อก่อนหน้า… เสียชีวิตไปแล้วเจ็ดคน ในตอนนี้เหลืออยู่หกคนเท่านั้น รวมถึงหลี่ปินด้วย!
“เจ้า… เหตุใดเจ้าจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนตายไปเจ็ดศพด้วยวิชาประหลาด หลี่ปินก็ควบคุมอาการตัวสั่นไม่ได้อีกต่อไป เขาหายใจไม่เป็นจังหวะ หนังหัวชาหมดซึ่งสิ้นความรู้สึก ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นแม้แต่น้อย
แม้ว่าตัวเขาจะมีปราณที่ขั้นปลาย แต่หลี่ปินรู้ได้ในทันทีว่าตนเองเทียบชั้นไม่ได้เลยกับหวังเป่าเล่อ กระบวนเวทของหวังเป่าเล่อทั้งประหลาดและน่ากลัว อบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งเลือดและความป่าเถื่อน หลี่ปินตัวสั่นเมื่อนึกถึงตอนที่ชี่หลินปรากฏขึ้นนอกถ้ำใต้ทะเลเพลิง ความจริงแล้วเป็นตัวเขาต่างหากที่ชี่หลินช่วยเอาไว้ในตอนนั้น ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ!
เขารู้ในทันทีว่า หากชี่หลินไม่ปรากฏตัวขึ้นในตอนนั้นเขาคงตายไปนานแล้ว หลี่ปินรู้สึกว่าตัวเองช่างแสนโง่เขลา ที่คิดว่าคนที่โชคดีในวันนั้นคือหวังเป่าเล่อ
ช่างน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ในเมื่อคนที่โชคดีในวันนั้นคือเขาต่างหาก แต่แม้ชายหนุ่มจะเห็นพลังของหวังเป่าเล่อกับตาตนเองแล้ว ก็ยังยากที่จะเชื่ออยู่ดี
หมอนี่ซ่อนพลังที่แท้จริงไว้ได้แนบเนียนมาก! เขาตัวสั่นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ลังเลที่จะหนีในทันที หลี่ปินไปได้ไม่ไกล ก่อนได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด สะท้อนก้องอยู่เบื้องหลัง เสียงกรีดร้องนั้นทำชายหนุ่มอกสั่นขวัญแขวน แต่เขาก็ยังมีปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลาย ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงไออันตรายที่กวดเข้ามาใกล้ เขากัดฟัน กู่ร้อง ก่อนหันหลังกลับมาสร้างผนึกมือชุด!
ผนึกมายาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา กันระหว่างตัวเขากันเส้นปราณสีแดงหนึ่งเส้น เสียงระเบิดดังกึกก้องในอากาศเมื่อเส้นปราณปะทะเข้ากับผนึกมายา เส้นปราณสีแดงนั้นสั่นไหวก่อนโยกหนีไป เลือดกระจายออกจากปากหลี่ปิน ขณะที่ตัวเขาถลาไปข้างหลัง
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนตนเองหนีรอดจากความตายไปได้ แต่กลับสิ้นหวังมากขึ้นไปอีก!
นี่ก็เพราะว่า… เส้นปราณเพียงเส้นเดียวนั้น ทรงพลังมากเสียจนตัวเขาเองต้องใช้พลังทั้งหมดในการตอบโต้กลับ แถมตัวเขาเองยังบาดเจ็บจากการปะทะนั้นด้วย หวังเป่าเล่อกำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ เส้นปราณสีแดงพลิ้วไหวอยู่รอบตัวชายหนุ่ม และมีอยู่หลายสิบเส้นด้วยกัน!
ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองกว้างใหญ่เกินไป จิตใจของหลี่ปินแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ เขากรีดร้องเสียงแหลมด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ
“ข้าจะให้กุญแจกับเจ้า อย่าฆ่าข้าเลย หวังเป่าเล่อ นี่เป็นแค่การแข่งขันเท่านั้น ทั้งสำนักรวมถึงท่านผู้อาวุโสกำลังดูอยู่นะ”
เส้นปราณหลายสิบเส้นเคลื่อนตัวออกจากร่างหวังเป่าเล่อแทนคำตอบ มันพุ่งเข้าหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว และเสียบทะลุทั่วร่างกายเขา หลี่ปินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดวงตาอัดแน่นด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ร่างกายสั่นสะท้านก่อนแห้งเหี่ยวเหลือแต่ซาก ไร้ซึ่งลมหายใจ!
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าคราวที่แล้วโชคช่วยเจ้า!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างไร้อารมณ์ เขาโบกมือเพื่อเก็บเกราะจักรพรรดิที่ไม่สมบูรณ์กลับไปดังเดิม ร่างกายของชายหนุ่มคืนสภาพปกติ แม้จะดูเหมือนถูกสะกดอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่นานนักสติสัมปชัญญะก็กลับมาครบ
กระบวนเวทเกราะจักรพรรดิลักอัคคีนี้ มีผลต่อจิตใจของผู้ใช้จริงเสียด้วย แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้วก็จะหายได้เอง หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนหันไปมองร่างไร้ลมหายใจรอบตัว
เขาสะดวกใจที่จะฆ่าคนอื่น นี่ก็เพราะอย่างแรกไม่ได้มีกฎห้ามสังหารคู่ต่อสู้ อย่างที่สอง… หวังเป่าเล่อรู้ดีว่า ตราบใดที่เขาได้ที่หนึ่ง เฟิ่งชิวหรันจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้อย่างแน่นอน หากนางไม่ทำก็ไม่ควรมาตั้งตนเป็นผู้อาวุโสของสำนัก
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองแผนที่มุมสูง เขาหรี่ตา หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็ตามมาทัน ทั้งสองมองซากศพรอบกายและหันมามองหน้ากัน พวกเขาเดินเข้าไปหยิบกุญแจจากร่างไร้ชีวิตเหล่านั้นอย่างเงียบๆ มีกุญแจทั้งหมดเจ็ดดอกด้วยกัน เมื่อรวมเข้ากับหกดอกที่มีอยู่แล้ว ในตอนนี้พวกเขามีกุญแจทั้งหมดสิบสามดอก!
เมื่อกุญแจสิบสามดอกมารวมอยู่ด้วยกัน แม้จำนวนจะไม่มากเท่าศิษย์เอกทั้งห้า แต่ก็ยังเป็นการรวมตัวที่โดดเด่นออกมาบนแผนที่
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อเลิกมองท้องฟ้ายามราตรี เขาหันหน้ามาหาสหายทั้งสอง พยักหน้าให้ ก่อนมุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าหายใจเข้าลึก ก่อนตัดสินใจตามชายหนุ่มไป
ที่โลกภายนอกในตอนนี้ เริ่มมีคนสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากในจอแล้ว… เหตุการณ์ทุ่งสังหารของหวังเป่าเล่อ!
บทที่ 565 นั่นมัน…กระบวนเวทสืบทอดเกราะจักรพรรดิในตำนาน!
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ ทุกคนในลานสาธารณะแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ได้สนใจหน้าจอของหวังเป่าเล่อและสหายแม้แต่น้อย ทำอย่างมากก็แค่กวาดสายตาผ่านไปเพื่อมองหน้าจออื่นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้ชมจะเห็นเหตุการณ์บนแผนที่ แต่หลายคนก็ไม่ได้สังเกตตอนที่กุญแจเปลี่ยนจากสามดอกกลายเป็นหก มีเพียงกลุ่มพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐที่สังเกตการณ์อยู่รอบนอกเท่านั้น ที่จ้องหน้าจอของหวังเป่าเล่อและพรรคพวกอย่างไม่ละสายตา
เหล่าพันธุ์กล้าเห็นกับตา เมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า โจมตีผู้ฝึกตนสามคนจากสำนักวังเต๋าไพศาล หักขาพวกเขา และชิงกุญแจสามดอกมาเป็นของตน ทุกคนตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแต่ก็ไม่ได้กระโตกกระตาก แม้กระทั่งหลี่อี้ยังเงียบ พวกเขารู้แล้วว่ากลุ่มของหวังเป่าเล่อคือกุญแจหลักของสหพันธรัฐในการประลองนี้
หลังจากนั้น การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและกลุ่มของหลี่ปินก็อุบัติขึ้น พวกเขาเห็นเส้นปราณสีเลือดน่าสยดสยองและทุ่งสังหารของหวังเป่าเล่อ ภาพนั้นทำให้เหล่าพันธุ์กล้าพากันหายใจสะดุด ลุกลี้ลุกลนกันไปหมด ปฏิกิริยานั้นทำให้ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่รายรอบจับสังเกตได้
กว่าศิษย์คนอื่นๆ จะเริ่มรู้สึกตัวว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นและหันไปดูจอ การสังหารเลือดสาดของหวังเป่าเล่อจบแล้ว บนแผนที่ปรากฏให้เห็นจำนวนกุญแจที่กลุ่มของหวังเป่าเล่อถือครอง ที่เพิ่มจากหกเป็นสิบสาม การค้นพบนี้… ทำให้หลายคนหันมาให้ความสนใจมากขึ้น ทุกคนต่างอุทานด้วยความตกใจ!
“กุญแจของกลุ่มจากสหพันธรัฐ… เพิ่มขึ้น!”
“อะไรนะ สิบสามดอกเชียวหรือ! ตาข้าฝาดไปหรือเปล่านี่ ข้าไม่ได้สนใจเมื่อก่อนหน้านี้ พวกนี้มีกุญแจมากขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้อย่างไรกัน!”
“ข้าว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแล้ว!”
เสียงอุทานแซงแซ่ด้วยความตกใจนั้น ยิ่งดึงผู้คนให้หันมาร่วมสังเกตการณ์มากขึ้นอีก ไม่นานนัก ศิษย์มากมายจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็จับจ้องอยู่ที่หน้าจอของหวังเป่าเล่อ ทุกคนต่างตกใจกับจำนวนกุญแจสิบสามดอกนี้ ในตอนนี้… ผู้เข้าแข่งขันที่มีกุญแจมากที่สุดคือตู้กูหลิน โดยมีจำนวนเกินสี่สิบดอก!
ลำดับถัดมาคือโจวชู่เต๋าและศิษย์เอกคนอื่นๆ ที่มีกุญแจมากกว่าใครพวก โดยมีคนละประมาณยี่สิบดอก พิกัดของพวกเขาบนแผนที่ทอแสงจ้า ส่วนคณะของหวังเป่าเล่อนั้น… อยู่ในอันดับที่หก เมื่อนับตามจำนวนกุญแจ!
การสะสมกุญแจจำนวนมาในสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่หลายคนมองว่าฉลาด เนื่องจากจะทำให้กลายเป็นจุดสนใจมากเกินไป แม้พวกเขาจะตกใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ส่ายหน้าอยู่ลับๆ ในใจ หลายคนที่ดูถูกสหพันธรัฐแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามอย่างเปิดเผย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครใส่ใจการสังหารหมู่ของหวังเป่าเล่อ เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็เช่นกัน นี่ก็เพราะว่า… มีหน้าจอให้ดูถึงหกร้อยจอ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตั้งใจดูทุกจอได้พร้อมๆ กัน ผู้ที่สูญเสียกุญแจไปก็หายตัวไปจากแผนที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาหาที่กำบังเพื่อซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหว
แต่เรื่องนี้ก็เงียบอยู่ได้ไม่นานนัก โดยเฉพาะเมื่อคนเริ่มหันมาสนใจหวังเป่าเล่อมากขึ้น พวกเขาต่างต้องการทราบว่าสำนักของตนเองเสียกุญแจไปได้อย่างไร ในตอนนั้นเองที่ความสามารถในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อเปิดเผยสู่สาธารณชน เขาเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าโจมตีผู้เข้าแข่งขันสี่คนอย่างรุนแรง และชิงกุญแจมาได้อีกสี่ดอก รวมทั้งหมดสิบเจ็ดดอก หลายคนดูเหตุการณ์นั้นอยู่ ไม่นานนักเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็อื้ออึ้งขึ้นกว่าเดิมในหมู่ผู้ชม
“เจ้าหวังเป่าเล่อนี่ซ่อนความสามารถที่แท้จริงของตนเองไว้!”
“หมอนี่ใช้เวลาแค่สามวินาทีในการทำลายผู้ฝึกตนสี่คน ที่มีปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลางเหมือนกัน สวรรค์โปรด!”
เมื่อฝูงชนเริ่มพูดคุยกันอื้ออึง เฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณหลายคน ก็เริ่มสังเกตเห็นเหตุการณ์เหนือความคาดหมายในหน้าจอหวังเป่าเล่อเช่นกัน พวกเขาต่างตกใจถ้วนหน้า โดยเฉพาะเฟิ่งชิวหรันที่มองหน้าจอด้วยดวงตาเบิกกว้าง หน้าจอนั้นแสดงหวังเป่าเล่อและสหายที่กำลังทะยานไปข้างหน้าหาเป้าหมายต่อไป
“หวังเป่าเล่อเช่นนั้นหรือ น่าสนใจดี…” เมี่ยเลี่ยจื่อพูดออกมาโดยพลัน เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปที่หน้าจอ ท่ามกลางจอที่แสดงภาพศิษย์จากฝ่ายเฟิ่งชิวหรัน จอของหวังเป่าเล่อขยายใหญ่ขึ้น จนกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของกระแสวน เมี่ยเลี่ยจื่อโบกมือขวาเพื่อย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพของหวังเป่าเล่อและพรรคพวกตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน ปรากฏให้เห็นต่อหน้าทุกคนในสำนัก!
ดวงตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่จอใหญ่นั้น พวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อโจมตีและหักขาศิษย์สามคน และการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อกับกลุ่มของหลี่ปิน!
ทุกคนเห็นเส้นปราณสีแดงเลือดที่ระโยงรยางค์ออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ และการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ความรู้สึกตกใจและโกรธเกรี้ยวระเบิดในหมู่ฝูงชนในทันที หลายคนลุกขึ้นยืนและตะโกนกู่ร้อง
“นั่นมันกระบวนเวทอะไรกัน”
“มันฆ่าหมอนั่นตายเลย!”
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐบังอาจมาสังหารพี่น้องจากสำนักวังเต๋าไพศาลของเรา!”
ขณะที่ฝูงชนกำลังเดือดพล่านด้วยความโกรธนั้น เหล่าพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเช่นกัน แต่ก็ทำได้เพียงเก็บโทสะนั้นไว้ในใจ พวกเขาทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเพื่อนพ้องของตนเองไม่ได้เลย แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณยังมองจอนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ ความต้องการสังหารวาวโรจน์ในแววตา บางคนหันไปมองเมี่ยเลี่ยจื่อและผู้อาวุโสอีกสองคนด้วยความต้องการที่จะพูดบางสิ่ง แต่เมื่อเห็นความรู้สึกมากมายบนในหน้าของผู้อาวุโสทั้งสาม พวกเขาก็หยุดตนเองไว้ เฟิ่งชิวหรันผุดลุกขึ้นยืน ลมหายใจหอบด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายวาววับ
ภาพนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณที่ตั้งใจว่าจะพูดบางสิ่งในทีแรก กลับมาหยุดคิดในทันที พวกเขาไม่ได้เอ่ยอะไร แต่จับจ้องปฏิกิริยาของทั้งสามต่อไป เหล่าสานุศิษย์เองก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสทั้งสามเช่นกัน ลานทั้งลานตกอยู่ในความเงียบสงัด เมี่ยเลี่ยจื่อหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมาย เขาพูดเสียงต่ำ “นั่นมัน… กระบวนเวทสืบทอด… เกราะจักรพรรดิในตำนานมิใช่หรือ”
“กระบวนเวทนี้ดูแตกต่างจากที่บันทึกเอาไว้ในจารึกของเรา แต่เป็นกระบวนเวทสืบทอดสูงสุด ที่สำนักวังเต๋าไพศาลของเราบันทึกไว้ในดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นไม่ผิดแน่ กระบวนเวทสืบทอดเกราะจักรพรรดิ!” ดวงตาของเฟิ่งชิวหรันวาวโรจน์ จิตใจถาโถมด้วยความรู้สึกมากมาย
“เจ้าเด็กคงได้ไปเยือนดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น และได้รับโอกาสทองนี้มา ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว การที่เขาได้รับการยอมรับจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเรา แปลว่าหวังเป่าเล่อคือศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง!” เฟิ่งชิวหรันระเบิดหัวเราะออกมา นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนนั่งลงอีกครั้ง ดวงตาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพอใจในตัวของหวังเป่าเล่อที่ฉายให้เห็นบนจอใหญ่!
นางเชื่อว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้หวังเป่าเล่อแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด!
ส่วนเรื่องการสังหารหมู่นั้น… หลังจากเงียบอยู่สักพัก เมี่ยเลี่ยจื่อก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร เขารู้ว่าผู้ที่ได้รับการยอมรับจากดินแดนแห่งการสืบทอดและได้รับวิชามานั้น ก็เปรียบเสมือนเป็นศิษย์สืบทอดของสำนัก สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงล่มสลายไปแล้ว มิเช่นนั้นพวกเขาจะต้องปฏิบัติตามจารีตดั้งเดิม ผู้ที่ได้รับการจารึกนามไว้บนแท่นสลักเต๋า จะได้รับตำแหน่งศิษย์สืบทอดของสำนัก หลังจากที่เดินออกจากดินแดนแห่งการสืบทอดเรียบร้อย
สถานะนี้สูงส่งกว่าพวกเขาทั้งสามเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากพวกเขาเป็นเพียงศิษย์สำนักในเท่านั้น!
แม้เมี่ยเลี่ยจื่อจะคิดร้ายกับสหพันธรัฐ แต่ความจงรักภักดีที่เขามีต่อสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น แน่วแน่มั่นคงตราบชั่วกัลปาวสาน! แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้มีไมตรีจิตกับหวังเป่าเล่อ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็อดไม่ได้ที่จะมองชายหนุ่มอยู่เงียบๆ เขาอยากรู้… ว่าสิ่งใดในตัวชายผู้นี้ ที่ทำให้เขาได้รับวิชาสืบทอดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น!
โยวหรันเองก็เงียบเช่นกัน เขาหรี่ตา แววเย็นเยียบวาบผ่านเบื้องลึกของนัยน์ตาชายชรา ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดจนมิมีผู้ใดสังเกตเห็น รอยเย็นนั้นหายไปในทันที ใบหน้าของโยวหรันยังคงเปื้อนยิ้ม ดูราวกับว่าเขาได้ถอยออกจากเรื่องทางโลกเรียบร้อยแล้ว
ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณและศิษย์คนอื่นๆ มองผู้อาวุโสทั้งสาม และตัดสินใจได้เองว่าจะมองข้ามเรื่องการสังหารหมู่ไป พวกเขามองหน้ากันโดยไร้ซึ่งสรรพเสียง พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐนิ่งอึ้งในความเงียบงันสักพัก ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกมีความหวัง ปนความสับสนงุนงง
ลานสาธารณะตกอยู่ในความเงียบ ทุกสายตามองไปที่หน้าจอของศิษย์เอกทั้งห้าและหวังเป่าเล่อ
เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็วจนหนึ่งวันเวียนมาบรรจบ การเคลื่อนย้ายครั้งแรกกำลังจะเกิดขึ้น… ในเวลาสองชั่วโมงต่อจากนี้ แผนที่จากมุมสูงแสดงให้เห็นภาพของศิษย์เอกทั้งห้า ที่ปักหลักอยู่ในอาณาเขตของตน ณ มุมหนึ่งของแผนที่ กุญแจมากมายทอแสงสว่างอยู่บนแผนที่นั้น ดูเหมือนดวงดาวสุกสกาวชวนหลงใหลในท้องฟ้าสีหมึก!
ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีกุญแจอยู่ทั้งหมดยี่สิบดอก พิกัดของเขาสว่างไสวอยู่บนแผนที่เช่นกัน เขาปรากฏเป็นดวงดาวดวงที่หกบนแผนที่ ในสายตาของผู้ที่เฝ้ามองอยู่!
โลกที่การแข่งขันกำลังดำเนินไปนั้นเงียบสงัด ยังคงมีกุญแจมากมายกระจายอยู่ทั่วแผนที่ แต่การแลกเปลี่ยนก็เริ่มชะลอช้าลงเรื่อยๆ ราวกับความสงบก่อนพายุร้ายจะมาเยือน ความเงียบงันนั้นอบอวลด้วยไอแห่งความรุนแรงบ้าคลั่ง ที่พลิกได้แม้กระทั้งแผ่นฟ้าและผืนดิน!
ผู้ชมทุกคนรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดก่อนพายุพิโรจน์ ความตึงเครียดนั้นปกคลุมกดทับความเงียบงันเอาไว้ พวกเขาทำได้เพียงจ้องไปที่หน้าจอเท่านั้น เฝ้ารอ… ให้พายุอุบัติขึ้นกวาดล้างโลกา!
ในสนามประลอง หวังเป่าเล่อกำลังยืนอยู่บนยอดเขา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแผนที่ลอยฟ้า ดวงตาล้ำลึกด้วยความคิด เบื้องหลังของเขามีเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่บาดเจ็บเล็กน้อย กงเต๋าดูปกติเหมือนที่เคยเป็น แต่ดวงตาเจ้าเยี่ยเหมิงดูดุร้ายรุนแรงขึ้นภายในครึ่งวัน
ทั้งสองจะทำหน้าที่เป็นผู้โจมตีหลักในหลายวันต่อจากนี้ เป้าหมายก็คือผู้เข้าแข่งขันที่เร้นกายอยู่ในเงามืด รอซุ่มจะโจมตีพวกเขา หวังเป่าเล่อจะยื่นมือเข้ามาช่วยก็ต่อเมื่อทั้งสองเจอคนที่ต่อกรด้วยไม่ไหวเท่านั้น นอกจากนั้น ทั้งสองจะต้องต่อกรกับศัตรูด้วยตนเอง นี่ทำให้ความกระหายการต่อสู้ของทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงทวีความรุนแรงขึ้นรวดเร็ว!
เวลาผ่านไปสักพักโดยที่ทั้งสองไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนที่เจ้าเยี่ยเหมิงจะมองแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ พลางย้อนคิดไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน แววประหลาดฉายขึ้นในดวงตาของแม่นาง เจ้าเยี่ยเหมิงกำลังจะเอ่ยปากพูดความคิดของตนออกมา แต่หวังเป่าเล่อที่มองท้องฟ้ายามราตรีโดยหันหลังให้พวกเขาอยู่นั้น พูดขึ้นมาโดยฉับพลันเสียก่อน “เยี่ยเหมิง กงเต๋า พวกเราไป… จับปลาใหญ่กันไหม”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น