ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 562-563
ตอนที่ 562 พี่รอง?
นางและท่านเจ้าสำนักหันไปมองดูอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที
แสงเลเซอร์จากดวงตาที่ยังมิได้จางหายไปสาดส่องออกไป ดวงตาสี่ดวงรวมเป็นจุดเดียว กลายเป็นแสงไฟดวงใหญ่ส่องไปยังคนผู้นั้น
จนเขาแทบจะถูกแสงสว่างที่รุนแรงเผาไหม้
ตลอดร่างของเขาทั้งบนและร่างตกอยู่ใต้แสงสว่าง ชั่วขณะนั้น เขาพลันรู้สึกว่าทุกๆจุดภายในร่างกายล้วนถูกส่องจนทะลุทะลวง ทำให้เขาปราศจากที่หลบซ่อนใดๆ
แม้แต่กระทั่งสองมือก็ยังไม่รู้ว่าสมควรจะวางไว้ที่ใดดี จนพักใหญ่ค่อยได้สติทำการคำนับท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยความเคารพนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท ผู้ถือสารจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยนขอเข้าเฝ้า”
ฝ่าบาท?
ประเด็นสำคัญของตู๋กูซิงหลันอยู่ที่คำเรียกขานเมื่อครู่นั้น
คนทั้งสำนักหยินหยางทั้งผู้อาวุโส ศิษย์ในสำนัก ล้วนเรียกขานเขาว่าท่านเจ้าสำนัก นางไม่เคยได้ยินใครเรียกเขาเป็นฝ่าบาทมาก่อนเลย
นางชักจะสงสัยในฐานะของเขาขึ้นมาเสียแล้ว
ดังนั้นจึงได้เหลือบตาไปมองดูผู้มานั้นอีกหลายครั้ง บุรุษผู้นี้อายุประมาณยี่สิบปี รูปโฉมนับว่าเข้าตาอยู่บ้าง จิตวิญญาณบนร่างเข้มข้น นับว่าระดับการฝึกฝนไม่ต่ำต้อย
ตอนนี้เวลาที่นางมองดูผู้คน แสงเลเซอร์ก็กวาดตามไปด้วย จนสายตาของอีกฝ่ายถึงกับพร่ามัวไปแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้ามองดูนาง
ระมัดระวังตัว รักษากฎเกณฑ์อย่างยิ่ง เขารู้ดีว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
นับว่ารู้ความกว่าพวกศิษย์ในสำนักหยินหยางที่ชอบแอบมองดูมากมายนัก
ท่านเจ้าสำนักนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ยด้วยสีหน้าเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง เขาเพียงโบกแขนเสื้อช้าๆ
“ข้าเคยพบต้าซือมิ่งของพวกเขามาแล้ว ไม่คิดจะเจอใครอีก”
กับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ท่านเจ้าสำนักไม่มีความรู้สึกดีๆให้
ผู้มาลังเลอยู่บ้าง สุดท้ายเขาก็อดไม่ใจไหว จึงเหลือบมองดูพวกนางแวบหนึ่ง พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันอย่างชัดเจน ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
จากนั้นก็กดเสียงต่ำลง หันไปทางท่านเจ้าสำนักคำนับอย่างนอบน้อมพลางเอ่ยว่า
“ผู้ถือสารกับคุณชายน้อยที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกัน….”
พอเขาพูดจบ หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็กระตุกขึ้นมา
สมองของนาง มีภาพของพี่รองปรากฏขึ้นมาในทันที
เวลาที่นางแต่งเป็นชาย จงใจให้ดูคล้ายไปทางพี่รอง และเดิมทีพวกนางสามพี่น้อง ต่างก็มีส่วนที่คล้ายกันอยู่แล้ว…..
ตอนนี้ ทุกความเคลื่อนไหวของนาง มิว่าจะเป็นอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนเพียงไร ล้วนอยู่ในสายตาของท่านเจ้าสำนักทั้งสิ้น
เดิมทีเขาไม่คิดจะพบผู้ถือสารอะไรนั่น แต่ตอนนี้เพราะศิษย์น้อย เขาจึงเปลี่ยนคำพูด
“ให้เขาเข้ามา ข้าจะพบเขา”
น้ำเสียงเย็นชา เรียบนิ่งไร้รอยคลื่น ราวกับว่าคนที่ปฏิเสธไม่พบใครเมื่อครู่นั้น….มิใช่เขาเลยสักนิด
ผู้มาได้รับคำตอบเช่นนั้น ก็คำนับครั้งหนึ่งแล้วถอยไปในทันที
ครู่ต่อมา หนุ่มน้อยในชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาทางประตู
เขารวบผมไว้ครึ่งหนึ่ง ทั่วร่ายกำจายกลิ่นอายสังหารอันเข้มข้นออกมา
ดวงตาที่เคยเปล่งประกายสดใสคู่นั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใดถึงได้เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งเย็นชา รอบตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง ขอบตาล่างมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า
แสงเลเซอร์ในดวงตาของตู๋กูซิงหลันและท่านเจ้าสำนักจางหายไปแล้ว แต่รัศมีด้านหลังกระหม่อมยังคงเรืองแสงอยู่จางๆ
พอได้เห็นใบหน้าของเขา ดวงตาของตู๋กูซิงหลันก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที
อีกฝ่ายเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างของนาง อย่างไม่อาจเคลื่อนไปที่ใดได้
เข้าอ้าปากค้าง แต่กลับไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมา
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน เดินจากข้างโต๊ะเตี้ยตรงเข้าไปที่ตรงหน้าของเขา ทั้งๆที่เขากำลังตกตะลึงอยู่เช่นนั้น แต่นางกลับโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้
ทั้งๆอีกฝ่ายสูงกว่านางถึงครึ่งศีรษะ แต่ว่าตอนนี้กลับถูกนางกอดเอาไว้อย่างแนบแน่น
เขาตื่นตะลึง พลางยกมือขึ้นมา คิดจะโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก แต่ตอนที่ยื่นมือออกมานั้น ก็เหมือนกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงได้จะชะงักค้างอยู่กลางอากาศ และก็ไม่ได้ปล่อยมือลงเช่นกัน
ท่านเจ้าสำนักยังคงนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย ยามนี้พอต้องมองดูศิษย์น้อยโผเข้าไปในอ้อมอกของผู้อื่น เขาก็ชักจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว
หากก็ได้แต่รินสุราให้ตนเองอีกจอกหนึ่ง แล้วดื่มลงไป
แสงเลเซอร์ที่พึ่งจากหายไปพลันปรากฏขึ้นในดวงตาอีกครั้ง พอดวงตานั้นกวาดมองมา ก็เกือบจะแทงอีกอีกฝ่ายจนทะลุเป็นกระชอน
ตู๋กูซิงหลันกอดเขาเอาไว้แน่น นานพักใหญ่ก็ยังเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกริยาตอบรับขึ้นมา ในสมองของนางจึงได้นึกถึงคำพูดของผู้มาเมื่อครู่
ผู้ถือสารของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
ทำไมถึงได้กลายเป็นพี่รองไปได้?
นางขมวดคิ้วมุ่น พลางคลายอ้อมแขน มองออกไป
ประตูหยกบานใหญ่ปิดสนิทไปแล้ว มีแค่เพียงหน้าต่างครึ่งบานข้างกายท่านเจ้าสำนักเท่านั้นที่เปิดอยู่
“พี่รอง ท่านมีเรื่องลำบากใจอันใด?”
ตู๋กูซิงหลันคลายมือจากเขาแล้ว แต่ยังคงยืนอยู่ด้านหน้าของเขาเช่นเดิม
นับตั้งแต่แยกจากกันที่ทะเลไร้ก้น เวลาก็ผ่านมานานถึงครึ่งปีแล้ว พี่รองที่เคยเป็นเหมือนลูกสุนัขน้อย ตอนนี้กลับเงียบขรึมไปมาก
ดูเหมือนว่าเขาจะเติบโตขึ้นแล้ว
เดิมทีนางเคยคิดว่า จะอาศัยโอกาศที่มีการจัดงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติตามหาพี่รอง แต่คิดไม่ถึงว่า งานหมื่นบุปผชาติยังไม่ทันได้เริ่ม พี่รองก็ส่งตัวเองเข้าประตูมาก่อนแล้ว
แม้ว่าความยินดีนี้ออกจะมาอย่างกระทันหันไปเสียหน่อย แต่ฐานะผู้ถือสารของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน
ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน….สถานที่แห่งนั้น แค่ชื่อนางก็ไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่แล้ว
ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่าฟันและกลิ่นคาวเลือด
มิน่าเล่า บนร่างของพี่รองถึงได้มีกลิ่นอายของเลือดอยู่
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาถูกชือหลีกักขังเอาไว้ใต้อารามเทพธิดาเกือบเดือน ยังไม่ยอมกินเนื้อกระต่ายแม้แต่คำเดียว ตอนนี้บนร่างกลับมีแต่กลิ่นคาวเลือดและไอสังหาร
ยากนักที่นางจะจินตนาการได้ว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมา เขาต้องผ่านประสบการณ์เช่นใดมาบ้าง
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันถามคำถามนี้ออกมา ในสมองของตู๋กูเจวี๋ยก็เตรียมคำตอบให้นางหลายแบบนับไม่ถ้วน
แต่สุดท้ายพอคำพูดมาถึงริมฝีปาก กลับมีแค่ประโยคเดียว “น้อยชายท่านนี้ จำคนผิดแล้ว”
“เพี้ยะ….” ตู๋กูซิงหลันฟาดฝ่ามือลงไปบนทรวงอกของเขาในทันที
ฝ่ามือนี้ใช้กำลังไม่น้อย ถึงกับผลักตู๋กูเจวี๋ยถอยหลังออกไปสองก้าวใหญ่ๆ
ชีพจรในอกถึงกับสับสน จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
“แค่คนหนึ่งทำเป็นความจำเสื่อมไปก็แย่พอแล้ว ท่านยังจะกล้ามาล้อเล่นเช่นนี้อีกหรือ?” ขณะที่ตู๋กูซิงหลันถลึงตาใส่เขา สายตาก็เหลือบไปมองดูอาจารย์ต้าฉุยผู้นั้นอย่างไม่ได้จงใจนัก
นางชักจะสงสัยจริงๆว่าสวรรค์กำลังล้อนางเล่นอยู่ใช่หรือไม่? ชอบเรื่องความจำเสื่อมมากนักหรือไง?
ตู๋กูเจวี๋ยมีคำพูดมากมายอยู่เต็มท้อง แต่กลับถูกประโยคเดียวของนางทำลายเอาไว้จนหมดสิ้น
“หากท่านยังกล้ามาทำเป็นความจำเสื่อมกับข้าอีกละก็ ต่อไปก็อย่างได้เรียกข้าเป็นน้องสาวอีกเลย”
ตู๋กูเจวี๋ย “…” ได้พบกันใหม่หลังจากกันเนิ่นนาน น้องเล็กไยจึงไม่ปราณีเขาบ้าง? คนเขาน่าสงสารลำบากใจจนยากจะพูด
“ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นไร ท่านก็ต้องจดจำเอาไว้ ว่าพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีน้องเล็กรับเอาไว้ให้ท่าน ท่านกลัวอะไร?”
“ข้าเกลียดเรื่องที่อมพะนำพึมพำเอาไว้มากที่สุด มีเรื่องทุกข์ร้อน ลำบากอันใดก็จงพูดออกมาให้หมด พวกเราช่วยกันแบกรับ ช่วยกันแก้ไข”
ตู๋กูเจวี๋ยกดทรวงอกเอาไว้ ในดวงตาของเขาเห็นแต่นาง
แต่สุดท้ายก็ยังคงส่ายศีรษะ ถอนหายใจอกมา ในดวงตามีหมอกน้ำที่ยากจะปรากฏเป็นไอขึ้นมา
“น้องเล็ก พี่รองได้พบเจ้าแล้ว จึงดีใจมากไป”
พอเขาพูดออกมาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ต่อยหมัดใส่อีกครั้ง “ดีใจ แล้วท่านยังจะมาแกล้งทำเป็นไม่รู้จักอีกหรือ? ดีใจกับผีอะไร!”
ตู๋กูเจวี๋ยคิดอยู่เล็กน้อย ก็เถียงกลับไปว่า “เวลาพี่รองดีใจ ไม่เหมือนผี หากจะให้เปรียบเทียบละก็ ต้องเหมือนบุปผาดอกหนึ่ง เพราะว่าพี่รองเกิดมาหน้าตาดีอย่างที่สุด”
ตอนที่ 563 ชีวิตของชือหลี
หลังจากนั้นเขาก็หยิบยกคำอธิบายออกมาไม่หยุดว่าเขาเหมือนบุปผาดอกหนึ่งที่ใดบ้าง สุดท้ายก็สรุปออกมาว่า เป็นดอกลำโพง
ทุกคำพูดล้วนมีเหตุมีผล ทำเอาคนไม่อาจโต้แย้งได้
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
เอาเถอะ อย่างน้อยๆก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าคนที่พูดมากได้อย่างไม่มีความละอายผู้นี้ คือพี่รองไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน
ท่านเจ้าสำนักเองก็มั่นใจว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ทั้งยังเห็นว่าพวกเขาสนิทสนมกันขนาดไหน ในใจก็ต้องเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
ดวงตาที่สาดแสงเลเซอร์นั้นยังคงจ้องมองไปที่ร่างของตู๋กูเจวี๋ย
จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมาประโยคหนึ่ง “ที่เจ้ามาขอพบข้า เพราะมีธุระอันใด?”
แม้ว่าตนเองจะขัดจังหวะความยินดีที่ได้กลับมาพบกันของพี่ชายและน้องสาวคู่นี้ แต่ท่านเจ้าสำนักก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองจะต้องเกรงอกเกรงใจที่ตรงไหน
ที่จริงแล้ว เขายังคิดจะดึงตัวศิษย์น้อยกลับมานั่งที่ข้างกายเสียด้วยซ้ำ ให้นางห่างจากพี่รองผู้นั้นไกลๆหน่อย
พอได้ยินเขาถามออกมาเช่นนี้ ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้คิดขึ้นมาได้ ว่าที่จริงแล้ว เขามาที่นี่ด้วยฐานะผู้ถือสารของซิวหลัวเตี้ยน
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า จะได้พบกับน้องเล็กที่นี่
เขาเองก็ยังไม่ทันได้มีเวลาไปซักถามน้องเล็กว่ามาที่จิ่วโจวได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงอยู่กับท่านเจ้าสำนักหยินหยาง
เขาไม่ได้ตอบคำถามออกไปในทันที แต่กลับทอดสายตาไปบนร่างของท่านเจ้าสำนัก มองดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ยิ่งมองดู ก็ยิ่งรู้สึกว่าดวงตาของคนผู้นี้ ช่างคล้ายคลึงกับจีเฉวียน
ไม่เพียงแค่นั้นบรรยากาศรอบกายของคนผู้นี้ ก็คล้ายคลึงกับจีเฉวียนอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้เข้าร่วมในสุดยอดการประลองสามฝ่าย และไม่เคยได้พบหน้าเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่มาก่อน แม้ว่าวันนี้จะได้เจอกันเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเคยอย่างยิ่ง
จนเขารู้สึกสงสัยว่า เจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้คือพี่น้องท้องเดียวกันที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ภายนอกของฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น….ทั้งสองต่างก็แผ่แรงกดดันอันรุนแรงชนิดเดียวกันออกมา
เขาปรับลมหายใจ มือก็ยังคงประคองทรวงอกที่ถูกน้องเล็กชกเอาไว้
จากนั้นค่อยเอ่ยว่า “ท่านเจ้าตำหนักประสงค์จะนัดพบกับท่านในยามรุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ จึงได้สั่งให้ข้าน้อยส่งสารเชื่อเชิญมา”
ว่าแล้ว ตู๋กูเจวี๋ยก็ล้วงเอาหนังสือเชิญออกมาจากในอกเสื้อ หนังสือเชิญฉบับนั้นเป็นสีดำตลอดเล่ม ทั้งยังปกคลุมด้วยหมอกดำชั้นหนึ่ง
เขาสะบัดมันออกไปเบาๆ หนังสือเชื้อเชิญฉบับนั้นก็ร่อนลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าท่านเจ้าสำนักอย่างพอดิบพอดี
แต่เขากลับไม่ได้เหลือบแลมันเลยสักนิด เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่รับนัด”
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาไปมองดูหนังสือเชื้อเชิญฉนับนั้น นางก็เกิดความสงสัยขึ้นมา จึงถามออกไปว่า “วันมะรืนก็จะเป็นวันงานหมื่นบุปผชาติแล้ว ถึงตอนนั้นฉุยซือย่อมได้พบกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ทำไมเขาจะต้องรีบร้อนด้วย?”
คำถามนี้ ตู๋กูเจวี๋ยไม่อาจตอบนางได้
“เจ้าตำหนักย่อมมีความคิดของท่านเอง แม้แต่ข้าก็ไม่อาจคาดเดา”
ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนจะให้ความเคารพเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นั้นอยู่หลายส่วน
“พี่รอง มีบางเรื่องที่ท่านอาจจะยังไม่ทราบดี ….” ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว “ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซิวหลัวเตี้ยน…..สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่ที่ที่ดีสักเท่าไหร่ ท่าน….”
ตอนที่นางพูดออกมา ตู๋กูเจวี๋ยมิได้ประหลาดใจเลยสักนิด เพียงแต่แววตาของเขาอับแสงลง
สีหน้าของเขาดูย่ำแย่ เนิ่นนานค่อยกล่าวกับนางว่า “น้องเล็ก…..ซิวหลัวเตี้ยนแม้จะไม่ดี แต่ว่าก็มีสิ่งที่พี่ต้องการอยู่ ข้าย่อมต้องรั้งอยู่ที่นั่น ขายชีวิตให้พวกเขา”
ขายชีวิตสองคำนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้ฟังแล้วก็เสมือนกับดาบที่แทงลงไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน
ผู้ที่เป็นคุณชายน้อยในชุดขาวมาตลอด ตอนนี้บนร่างกลับมีแต่ความมืดมนเปี่ยมล้น
ตอนที่อยู่ที่ก้นทะเลลึก นางไม่ได้ปกป้องพี่รองให้ดี
“ท่านต้องการอะไร….หากข้าสามารถให้ท่านได้ก็จะให้ท่านทั้งหมด ท่านไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นั่น….ทนทุกข์ทรมาน”
ด้วยความสามารถของตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ นางมั่นใจว่าตนเองสามารถทำให้เขาสมปรารถนาได้อย่างแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไป ลูบเส้นผมของเขา ดวงตาที่เดิมมีแต่ความเหน็บหนาว ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนไหวขึ้นมาหลายส่วน
“น้องเล็ก….สิ่งที่พี่รองต้องการ ก็คือชีวิตของชือหลี….เจ้าให้ไม่ได้หรอก”
แค่ประโยคเดียว กลับทำเอาตู๋กูซิงหลันแข็งค้างอยู่กับที่
ชีวิตของชือหลี …..ก่อนนี้นางคิดว่า พวกเขาผลัดหลงกันแล้ว
แถมที่จริง ที่จริงนางเข้าใจมาโดยตลอดว่า ชือหลีคงจะ….
“นาง…ยังมีชีวิตอยู่หรือ?” พอพูดถึงชื่อหลีในอกก็เกิดความเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยายออกมาได้
ในสมองของนาง มีแต่ภาพตอนที่ชือหลีถูกตัดมือตัดเท้า บาดเจ็บสาหัสไปทั้งร่าง
เหตุระเบิดที่ก้นทะเลลึกในครั้งนั้น…..แทบจะไม่มีโอกาสที่นางจะรอดชีวิตได้เลย
คำพูดของนาง ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยเงียบงันลงไปเนิ่นนาน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ปิดบังนาง
“นางยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ตายไปแล้ว” คำพูดนี้ทำให้คนสับสนอย่างยิ่ง
พอเห็นสีหน้าของตู๋กูซิงหลัน ตู๋กูเจวี๋ยค่อยอธิบายว่า “ร่างเนื้อของนางถูกน้องสาวของนางกับจีหร่านทำลายไปแล้ว…..ที่พวกเราเห็นนาง เป็นเพียงจิตวิญญาณที่ยังมิได้รับการฟื้นฟูคืนมาเท่านั้น”
“ตอนที่เยี่ยอิงตัดมือและเท้าของนาง จึงเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณของนางอีกครั้ง …..เหตุระเบิดที่ก้นทะเลลึกคราวนั้น จิตวิญญาณของนางระเบิดจนแตกออกเป็นส่วนๆ…..”
ยามที่ตู๋กูเจวี๋ยพูดเรื่องนี้ออกมา ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยน้ำเสียงของเขาสั่นไหวไปทุกถ้อยคำ
เขาคงได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง
คนในดวงใจแตกสลายกลายเป็นส่วนๆไปต่อหน้า……ความรู้สึกเช่นนี้ตู๋กูซิงหลันเข้าใจดี
ก็เหมือนกับตอนที่อาจารย์และจีเฉวียนสูญสลายไป
ความเจ็บปวดถึงขั้วหัวใจเช่นนั้น…..
นางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไป คว้ามือเย็นๆของพี่รองเอาไว้แนบแน่น
“ต่อมา….ข้าก็นำชิ้นส่วนของนาง ลอยไปตามคลื่นในทะเลจนมาขึ้นฝั่งที่ดินแดนจิ่วโจว และหาหนทางฟื้นคืนนางกลับมา”
“พอดีข้าได้ยินมาว่า ซิวหลัวเตี้ยนมีเวทย์ลับ….”
“จากนั้น ข้าก็เข้าร่วมกับซิวหลัวเตี้ยน หลังผ่านเรื่องราวบางประการ ก็กลายเป็นเครื่องมือสังหารของพวกเขา”
เครื่องมือสังหาร…..
สี่คำนี้สำหรับตู๋กูซิงหลัน ช่างหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆ
นางนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่อ่อนโยนนุ่มนวล กระทั่งกระต่ายก็ยังไม่กล้าฆ่า สุดท้ายกลับถูกบีบบังคับให้ฆ่าคน
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวโลหิตที่เข้มข้นจากร่างของเขา นี่มิใช่ว่าฆ่าคนไปหนึ่งหรือสองคนแล้วจะกลายเป็นเช่นนี้
มันเหมือนกับคนที่แช่อยู่ในอ่างเลือดมาสามวันสามคืนอย่างไรอย่างนั้น กลิ่นเลือดเช่นนี้ เกรงว่าต้องมีคนตายไปนับร้อย
เรื่องเล่านี้ตู๋กูเจวี๋ยกลับมิได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่คำเดียว คนที่พูดมากเช่นเขากลับไม่ย่อมเอ่ยออกมาเป็นที่คาดคะเนได้ว่าต้องต้องน่าหวาดกลัวถึงเพียงไหน
ตอนนี้ไม่ต้องให้ตู๋กูซิงหลันเอ่ยปาก ตู๋กูเจวี๋ยก็รู้แล้วว่านางคิดจะพูดอะไร
ตามที่เขามองดูนาง สายตาก็เต็มไปด้วยความรักถนอม ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร ในใจของเขา น้องเล็กก็ยังคือองค์หญิงน้อยที่สมควรทนุถนอมเอาไว้บนฝ่ามืออยู่เสมอ
เขาอายุมากกว่านาง สมควรเป็นฝ่ายปกป้องนางจึงจะถูก
“ชั่วชีวิตนี้ของพี่รอง ไม่มีอะไรโดดเด่นในที่ใด กระทั้งคนที่ชอบ…. น้องเล็ก พี่รองรู้ว่าเจ้าเก่งกาจ แต่ว่าครั้งนี้ เจ้าอย่าได้สอดมือเข้ามา”
ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในซิวหลัวเตี้ยน ทำให้เขาได้รู้ว่าซิวหลัวเตี้ยนคือสถานที่ที่กลืนคนโดยไม่คายกระดูก
น้องเล็กแม้จะแข็งแกร่ง แต่ว่านางก็มาที่จิ่วโจวเพียงลำพัง ที่เบื้องหลังของนางยังมีภาระสำคัญที่ต้องคอยปกป้อง เขาไม่มีเหุผลใดจะต้องให้นางมาเสี่ยงในเรื่องนี้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น…..เบื้องหลังของซิวหลัวเตี้ยน ยังมีความลับที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอยู่ และโยงใยกับขุมกำลังอีกมากมาย
เขาจะยอมให้ น้องสาวสุดที่รักมารับบาดเจ็บไปด้วยได้อย่างไร?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น