ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 559-561
ตอนที่ 559 ท่านอาจารย์ต้าฉุย
ดวงตาหงส์คู่นั้นเหมือนจะมองทะลุเข้าไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน
นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆในสมองถึงได้ผุดภาพของจีเฉวียนขึ้นมา
หัวใจของนางก็พลอยเต้นดังตึกตักๆอย่างรุนแรง
หรือจะเป็นเพราะว่าเมาน้ำชาถ้วยนั้นเสียแล้ว…..
เนิ่นนานกว่าครึ่งวันนางถึงสามารถถอนสายตาออกมาได้ นางยังไม่ทันได้กระพริบตา ท่านเจ้าสำนักก็ยื่นมือออกมา ประคองใบหน้าของนางเอาไว้ จับศีรษะตั้งตรง
บังคับให้นางเผชิญหน้ากับเขาอย่างตรงๆ
“ลูกศิษย์ตั้งชื่อให้กับอาจารย์ ก็ไม่มีอะไรผิดสักหน่อย เจ้ากลัวอะไรอยู่หรือ?”
สองมือของเขาประคองใบหน้าของนางเอาไว้
ใบหน้าของศิษย์น้อยอ่อนนุ่ม และลื่นละมุน ให้สัมผัสที่ดีอย่างยิ่ง พอจับเอาไว้ในมือก็เกิดความรู้สึกนุ่มลื่น อยากจะเพิ่มแรงบีบลงมาจนทนไม่ไหว
แต่ก็เกรงว่าจะทำให้นางเจ็บปวด จึงได้แต่ฝืนเอาไว้
กลัวเจ้าที่ไหนกัน!
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้คิดจะหลบหลีก เพียงจ้องมองเขากลับไปตรงๆ พอเก็บอารมณ์ได้แล้ว แววตาของนางก็เพิ่มความเจ้าเล่ห์กว่าเดิม หากแต่สีหน้าของนางยังคงทำเป็นจริงจัง “ข้าคิดว่า ชื่อต้าฉุย(ค้อนยักษ์) นี้ดีมากเลย”
ในสมองของท่านเจ้าสำนักพลันปรากฏรูปค้อนด้ามยักษ์ที่ใหญ่กว่าภูเขาขึ้นมาด้ามหนึ่ง
บันทึกโบราณบอกเอาไว้ว่า ในยุคบรรพกาลอาวุธของเทพแห่งสายฟ้านั้นก็คือค้อนใหญ่ยักษ์ด้ามหนึ่ง ทุบลงมาแต่ละครั้งก็จะเกิดสายฟ้านับหมื่นสาย สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
คิดดูแล้วศิษย์น้อยช่างมีความสามารถในการตั้งชื่อ คงจะต้องครุ่นคิดแทนเขามาอย่างละเอียดจึงได้มอบชื่อนี้ให้แก่เขา
ดังนั้นท่านเจ้าสำนักจึงรับไว้อย่างเต็มใจ
“ชื่อนี้ดีมาก นับจากวันนี้ไปข้ามีนามว่า ต้าฉุย เจ้าจงเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ต้าฉุย”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าเรียกแบบนี้ไม่สะดวกปากอยู่บ้าง จึงเอ่ยอีกว่า “จะเรียกสั้นๆว่า ฉุยซือ (อาจารย์ฉุย) ก็ได้”
ตู๋กูซิงหลัน “……” ฉุยซืออะไรกัน เจ้าก็กล้าพูดออกมา ข้ากลับไม่กล้าเรียก
นางก็แค่กระพริบตาตั้งชื่อมั่วๆขึ้นมา แค่คิดจะล้อเลียนเขาเล่นๆเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเอาจริงหรือ?
ยังชมว่าดี? ขอถามหน่อยว่าดีที่ตรงไหน? ค้อนด้ามใหญ่ก็คือดีแล้วเนี่ยนะ?
ตู๋กูซิงหลันคิดๆไป อยู่ๆก็พลันหน้าแดงขึ้นมา….
นางชักจะพอรู้แล้วว่า ที่ว่า ‘ดีมาก’ ของท่านเจ้าสำนักนั้น มันคือดีที่ตรงไหน
เจ้าบุรุษลามก!
ภายนอกทำเป็นถือศีลกินเจ งดเว้นใดๆอย่างเข้มงวด แต่ว่าในใจกลับคิดเลอะเทอะลามกสกปรก!
คราวนี้แววตาที่นางมองไปยังท่านเจ้าสำนักจึงปรากฏแววขุ่นเคืองขึ้นมาจางๆ
ตัวลามก!
ท่านเจ้าสำนักกลับเข้าใจไปว่านั่นเป็นแววตาอันแสนจะเคารพเทิดทูน ในใจจึงยิ่งเกิดความภาคภูมิใจต่อชื่อนี้อย่างเต็มเปี่ยม
เพียงแต่ว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ยังไม่เคยได้เจอคนใช้แซ่ต้ามาก่อนเลย
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้าก็จะใช้แซ่ตามเจ้า ต่อไปให้เรียกว่า ตู๋กูต้าฉุย แต่กับคนนอกเรียกว่าเยี่ยต้าฉุย”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ขอร้องเถอะเจ้าอย่ามาใช้แซ่เดียวกับข้าจะได้ไหม แบบนี้ตระกูลตู๋กู กับตระกูลเยี่ยของพวกเรา ถือว่าถูกบีบคั้น จริงๆนะ
แต่ว่าคำพูดนี้นางย่อมไม่กล้าพูดออกมาจริงๆ
กับความคิดที่วกวนอยู่ในสมองของท่านเจ้าสำนักแล้ว นางไม่ค่อยจะเข้าใจที่มาที่ไปอะไรนัก
คนทั้งสองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของความเงียบงัน บรรยากาศจึงดูน่าขัดเขินขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันชักจะนั่งนิ่งๆไม่ได้อีกต่อไป แต่ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ
นางหันไปมองทางประตูบานใหญ่ ก็เห็นว่าไม่มีเงาคนเลยสักคน
แต่กลับมีกลิ่นหอมของขาหมูฟุ้งกระจายไปทั่ว ทั้งยังมีแพะย่างทั้งตัวส่งเข้ามา!
ในใจของนางตกตะลึงขึ้นมา!
ภาพตรงหน้าช่างประหลาดเกินไปแล้ว
ใครจะสามารถจินตนาการภาพเช่นนี้ได้บ้าง?
ขาหมูเดินลอยมาในอากาศ แพะย่างทั้งตัวที่ตายไปแล้วก็เดินส่ายสะโพกเข้ามาอย่างช้าๆ แถมบนน่องใหญ่ๆของมันยังมีน้ำมันไหลเยิ้ม…..
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ที่ด้านหลังของพวกมัน ยังมีไก่ย่างทั้งตัว
ผิวภายนอกของไก่ย่างตัวนั้นดูทั้งเหลืองและกรอบน่ากิน แม้ว่าหัวจะถูกหักไปร้อยแปดสิบองศาไปแล้ว แต่ก็ยังเดินพริ้วเข้ามาราวกับกำลังเต้นระบำ
จากนั้นทั้งขาหมู แพะย่าง ไก่ย่าง…..ก็มารวมกันอยู่บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าของพวกนางอย่างพร้อมเพรียง
สุดท้ายประตูที่สร้างจากหยกบานใหญ่ก็ปิดลงด้วยตนเอง
หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันคือปรมาจารย์นักพรต ที่เห็นเรื่องผีสางมานานจนคุ้นชินแล้ว นางคงจะต้องคิดไปว่า ในห้องนี้มีผีอย่างแน่นอน
ตอนนี้พอมองดูเนื้อที่วางอยู่จนเต็มโต๊ะ …..และคิดไปถึงภาพที่พึ่งจะได้เห็นเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะรู้สึกว่าเนื้อเหล่านี้ไม่ค่อยจะน่ากินสักเท่าไหร่แล้ว
เหมือนกับว่าอยู่ๆความอยากอาหารก็พลันหายไป
เมื่อครู่นี้….ไม่ใช่หนังผีสยองขวัญใช่หรือไม่?
“ท่านเจ้าสำนัก…. หากว่าข้าไม่ได้เข้าใจผิดล่ะก็ พวกเรากำลังตาฝาดจนเห็นเป็นภาพหลอนผุดซ้อนๆกันหรือเปล่า……”
ตู๋กูซิงหลันจับท้องของตัวเองเอาไว้ พยายามฝืนความรู้สึกแปลกๆที่บรรยายไม่ถูกที่กำลังตีขึ้นมา
“เรียกฉุยซือ”
ตู๋กูซิงหลัน “……..”
“ยังมี ภาพหลอนที่ว่านั่นคืออะไร? ตกลงมีกี่ภาพกันแน่? หนึ่งภาพ สองภาพ ผุดขึ้นมาทำอะไรได้?”
ในตอนนี้สมองของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยเสียงของท่านเจ้าสำนักที่ว่า ‘ภาพหลอนผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมา…..’
“ภาพหลอนคือสิ่งใด….. ที่นี่คือโลกของผู้ฝึกตนเป็นเซียน การฝึกฝนบำเพ็ญเพียร มีขั้นตอน มีต้นมีปลาย ดำเนินไปทีละก้าว ต้องฝ่าฟันความยากลำบากไปเพียงลำพัง อย่าได้สับสนหรือว้าวุ่นไปเอง”
ตู๋กูซิงหลันได้แต่เม้มปากเอาไว้ คำถามที่ไม่ควรไต่ถามเหล่านี้เมื่อเอามาถามท่านเจ้าสำนัก ก็เหมือนเอาอิฐมาทุบหัวตนเอง
เขาพูดพลาง ก็เริ่มขยับตะเกียบในมือ คีบขาหมูชิ้นหนึ่งวางลงในชามของนาง “กินข้าวเถอะ”
ตู๋กูซิงหลันหมดความอยากอาหาร นางแค่อยากจะดื่มชาอู้เต้าสักสองชามใหญ่เท่านั้น
“ไม่ชอบกินหรือ?” ตั้งแต่ที่ท่านเจ้าสำนักมาถึงเหลาจุ้ยเซียนจู ก็พูดมากขึ้นเรื่อยๆ
ศิษย์น้อยมีนิสัยแปลกประหลาด ชอบกล่าววาจาไร้สาระ จนคนสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก
แต่ว่านี่ไม่เป็นไร…..ในเมื่อเป็นศิษย์ของตนเอง จะมีข้อตำหนิบ้างก็มิใช่ปัญหา
คนเป็นอาจารย์ ก็เหมือนเป็นบิดา ต้องเปิดใจให้กว้าง ให้อภัยมากๆหน่อย
ดังนั้นท่านอาจารย์ต้าฉุยจึงผุดรอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่งขึ้นมา ทั้งล้วงเอามีดเล่มเล็กในอกเสื้อออกมาด้วย
พอเขายิ้ม ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที เกือบจะวิญญาณหลุดออกจากร่าง
จะว่าอย่างไรดี…..คนผู้นี้งดงามอย่างร้ายกาจ ยามปกติก็ทำหน้าตายอยู่ตลอด มองนานเข้าก็นับว่ารับได้อยู่
แต่พออยู่ๆยิ้มขึ้นมา ประกอบกับแสงสลัวของเทียนภายในห้อง และแสงรำไรที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเจอกับ….คนบ้าโรคจิต
ท่านอาจารย์ต้าฉุยล้วงเอามีดเล่มเล็กออกมาจากในอกเสื้อ มันสะท้อนกับแสงเทียนจนส่องประกายคมวาบขึ้นมา
ขณะเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอยู่ๆก็ดูลึกลับกว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันอดจะหวาดกลัวไม่ได้จนต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง นางยื่นมือไปลูบศีรษะของตนเอง อยู่ๆก็รู้สึกขึ้นมาว่าศีรษะไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไหร่
ขณะที่มีดของอาจารย์ต้าฉุยยังไม่ทันเข้ามาใกล้ นางก็รีบยื่นมือไปคว้าน่องไก่ย่างมาข้างหนึ่ง ยัดใส่ในปากอย่างรวดเร็ว
“ฉุยซือ……ไก่ย่างนี่หอมมากเลย เจ้าเอาสักน่องหนึ่งไหม?”
น่องไก่หอมหรือไม่ นางก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก
นางรู้แต่ว่าเวลาท่านเจ้าสำนักทำตัวโรคจิตขึ้นมา ก็ทำเอาคนหัวใจกระดอนออกมาได้เหมือนกัน
อย่าหาว่านางปอดแหก…..นี่มันเรื่องจริง
ตู๋กูซิงหลันรู้ว่าตนเองมีความสามารถ แต่ก็ใช่ว่านางจะเอาชนะท่านเจ้าสำนักได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในใต้หล้านี้ มิว่าผู้ใดที่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของท่านอาจารย์ต้าฉุย เกรงว่าคงต้องขนหัวลุกด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ?
อาจารย์ต้าฉุยออกจะงุนงงอยู่บ้าง….
ทำไมอยู่ๆศิษย์น้อยถึงได้เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังขึ้นมา?
มีดในมือของเขาตวัดผ่านน่องของแพะที่ย่างมาทั้งตัว เพียงพริบตาก็แล่เนื้อหลายชิ้นออกมา วางลงบนจานส่งให้ศิษย์น้อย “อาจารย์ถือศีลอด ทั้งหมดนี้ให้เจ้ากิน”
ตอนที่ 560 คนหนึ่งอบอุ่น คนหนึ่งเย็นฉ...
ตู๋กูซิงหลัน “……”
พอเห็นอาจารย์ต้าฉุยส่งเนื้อมาให้นาง นางก็ถึงกับนิ่งงันไป
ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าจะแล่เนื้อแพะให้นางเล่า…..อยู่ๆก็ชักมีดออกมา ทำเอานางตกอกตกใจว่าจะทำอะไร
นางแอบถอนใจเบาๆ ยังไม่ทันได้คลายใจลงสักเท่าไหร่ ก็เห็นอาจารย์ต้าฉุยขยับมีดในมืออีกครั้ง
วิธีการแล่เนื้อแพะของเขาดูชำนิชำนาญและโหดเ**้ยมน่ากลัว….
ดูไปแล้วไม่น่าเชื่อ ว่าเนื้อแพะย่างจะถูกเขาแล่ออกมาได้บางเฉียบราวแผ่นกระดาษ …. ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูก็พบว่าทุกๆแผ่นล้วนบางเท่าๆกัน
“กินเลย~” อาจารย์ต้าฉุยตวัดมีด วางแผ่นเนื้อบนมีดลงบนจานของนาง
ตู๋กูซิงหลัน “ฉุยซือ….วางมีดลงก่อน พวกเรามาคุยกันดีๆ”
อาจารย์ต้าฉุย “ถ้าอาจารย์วางมีด แล้วใครจะแล่เนื้อให้เจ้ากิน?”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนร้องไห้ไม่ออก อย่าพูดอะไรที่มันฟังดูน่ากลัวขนาดนั้นได้หรือไม่ มันฟังดูเหมือนว่านางกำลังจะกินเนื้อคนอย่างไรอย่างนั้น
ในอดีตมีพระโพธิสัตว์แล่เนื้อป้อนเหยี่ยว วันนี้ก็มีฉุยซือแล่เนื้อให้ศิษย์อย่างนั้นหรือ?
แต่ว่าอาจารย์ต้าฉุยกลับไม่ยอมหยุดมือ มีดในมือหมุนคว้าง ราวกับกำลังเริงระบำ เพียงพริบตาเดียวก็แล่เนื้อออกมาให้นางจนเต็มจาน
ตู๋กูซิงหลันนิ่งอึ้งไปครึ่งค่อนวัน สุดท้ายอดไม่ไหวต้องถามออกมาว่า “ฉุยซือ…..เจ้าคงไม่ได้สำเร็จวิชามาจากแดนตะวันออกกระมั้ง?”
ดูฝีมือของเขาสิ หากไม่ได้สำเร็จวิชามาจากแดนตะวันออก ก็ต้องสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกระพริบตาแล้ว
อาจารย์ต้าฉุยชะงักมือไปเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงคำพูดของนางอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง ค่อยตอบช้าๆว่า “ข้าผู้เป็นอาจารย์เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาในที่ใด ส่วนแดนตะวันออกที่เจ้าพูดถึง…..หากมีโอกาสล่ะก็ ข้าก็จะไปชมดูสักครั้ง”
เนื่องเพราะฐานะของศิษย์น้อยค่อนข้างพิเศษ สิ่งที่เข้าสายตานางได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นสภานที่ที่ไม่ด้อยไปกว่าเหลาจุ้ยเซียนจูแห่งนี้
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่เอาจริงเอาจังของเขาก็หลุดขำออกมา
อยู่ๆนางก็รู้สึกว่า ท่านเจ้าสำนักใสซื่อจนน่าขำ
พอเห็นนางยิ้มออกมา อารมณ์ของท่านเจ้าสำนักก็ดีตามไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาไปเอาสุราไหหนึ่งมาจากที่ใด รินให้กับนางครึ่งถ้วย
“สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในจุ้ยเซียนจูก็คือสุราจุ้ยเซียนเนี่ยง เจ้าลองชิมดู”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
อะไรกันเนี่ย…..ในห้องนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครันเลยหรือ? ฉุยซือถึงได้สามารถหยิบฉวยยอดสุราที่มีชื่อเสียงที่สุดของจุ้ยเซียนจูขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย?
นางตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นมาคุกเข่า ยกมือป้องไปที่ใบหูของเขา ถามออกไปอย่างกระซิบกระซาบว่า “ฉุยซือ ของเล่นนี้แพงมากใช่หรือไม่?”
ท่านเจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ของพวกนี้ใช่แพงหรือไม่ เขาไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สาสักเท่าไหร่
ชิ…..พ่อเทพเซียนที่ใช้ชีวิตเหนือมนุษย์ ไม่กินไม่ดื่ม เจ้าตัวร้ายกาจ
แต่ว่าในเมื่อนี่เป็นคำถามของศิษย์น้อย ท่านเจ้าสำนักจึงยังคงตอบด้วยความอดทน
เขาวางไหสุราในมือลง ปลายนิ้วที่เรียวยาว ชี้ลงไปที่ยังหมู่คนที่ดูเหมือนร่ำรวยที่ชั้นล่าง
“ที่พวกเขามา ก็เพื่อวอนขอจิบสุราจุ้ยเซียนเนี่ยงสักอึก บ้างก็หอบเอาไข่มุก บ้างก็นำสัตว์วิเศษมา บ้างก็คิดจะใช้หินวิญญาณมาแลกเปลี่ยน….”
ตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที หากใช้ภาษาคนมาอธิบาย ก็คือแพง แพงชนิดขูดเลือดขูดเนื้ออย่างไรอย่างนั้น ถึงกับต้องเอาสมบัติล้ำค่าสัตว์วิญญาณ หินวิญญาณมาแลก เพื่อจะได้ดื่มจุ้ยเซียนเนี่ยงสักอึกหนึ่ง
คราวนี้สมองของนางต้องหนักอึ้งขึ้นมา นางคิดไปถึงถุงเฉียนคุนของตนเอง ในนั้นก็ไม่ได้เก็บสิ่งของล้ำค่าอะไร พอเหลือบตาไปมองดูฉุยซือ ที่ใส่ชุดดำตลอดร่าง ก็เห็นว่าไม่มีของมีค่าใดๆเช่นกัน
ดังนั้นพวกนางที่เดินเข้ามาอย่างราชากินอาหารหรูหรา…..อีกประเดี๋ยวพอถูกจับได้ จะเปิดฉากสังหาร หรือว่าไปช่วยคนเขาล้างจานใช้หนี้ตลอดเดือนดี?
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดปัญหานี้อยู่ในใจอย่างจริงจัง
คิดๆดูแล้ว หากว่าไม่ไหวจริงๆละก็ โยนฉุยซือไปเป็นพนักงานต้อนรับที่ประตู ก็คงจะพอชดเชยได้บ้างกระมั้ง….เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาของเขา แค่ไปยืนที่ประตูสักพัก ก็คงจะมีหญิงสาวมากมายต่อแถวจะบุกเข้ามาอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่ากิจการของเหลาจุ้ยเซียนจูจะไม่ได้หงอยเหงา แต่ว่าหากเพิ่มคนหน้าตาดีเข้าไป เหลาจุ้ยเซียนจูก็คงจะยิ่งเจิดจ้าบาดตายิ่งกว่าเดิมมิใช่หรือ?
ดังนั้นสายตาของนางจึงมองอยู่ที่ร่างของท่านเจ้าสำนักกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา คนผู้นี้นอกจากชอบทำหน้าตายแล้ว ตลอดร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนงดงามไร้ตำหนิ คิดๆดูแล้วหากเอาเขาไปขายรอยยิ้มล่ะก็ ยังถือว่าขาดทุนไปบ้าง
ท่านเจ้าสำนักมิได้รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ มือของนางยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ข้างหูของเขา ลมหายใจอันอบอุ่นมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาจางๆ
เขาชอบกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวามาก มันทำให้คนรู้สึกจิตใจสงบลง ให้ความอบอุ่นไปทั่วทั้งร่าง
ลมหายใจอุ่นๆเป่าเบาๆอยู่ที่ริมใบหู ทั้งยังรดลงไปบนคอของเขา คันนิดๆ
ท่านเจ้าสำนักก้มศีรษะลงมาเหลือบดูเล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นไปมอง ตนเองก็ห่างจากตู๋กูซิงหลันเพียงนิ้วเดียว ปลายจมูกของทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน
คนหนึ่งอบอุ่น คนหนึ่งเย็นฉ่ำดุจหยก
ตอนที่ปลายจมูกสัมผัสกันนั้น ตู๋กูซิงหลันถึงกับกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง
ดวงตาหงส์คู่นั้น…..เหมือนกับดวงตาของจีเฉวียนอย่างยิ่ง
พอมองดูในระยะใกล้ขนาดนี้ ในแววตาคู่นั้น นางสามารถมองเห็นภาพสะท้อนของตนเองในนั้น
ในแววตาของเขา มีแต่นาง
นั่นทำให้นางมีความรู้สึกเหมือนได้พบกับจีเฉวียนอีกครั้ง ……. เพราะในสายตาของเขา มีเพียงนางแต่ผู้เดียว
แต่ไหนแต่ไรท่านเจ้าสำนักไม่ชอบให้ใครเข้ามาใกล้ชิด อย่าว่าแต่แตะต้องเขาเลย แค่ในระยะสามก้าวผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ทั้งนั้น
แต่ว่าศิษย์น้อยผู้นี้กลับแตกต่างออกไป
ตอนที่จมูกของนางสัมผัสกับเขา เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกต่อต้าน ในส่วนลึกของหัวใจ ยังเกิดความต้องการจะเข้าใกล้นางขึ้นมาอีกด้วย
ความคิดเช่นนี้ทำให้ท่านเจ้าสำนักผู้มีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดต้องหน้าแดงน้อยๆขึ้นมา
คนที่เป็นถึงอาจารย์ จะมาบังเกิดความคิดเช่นนี้กับศิษย์ของตนเองได้อย่างไรกัน? นี่มิใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องดีเอามากๆ
เขาเปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรง ผลักร่างศิษย์ตัวน้อยออกไปอย่างไม่ต้องคิด
แต่ว่าตอนที่ผลักนางออกไป ก็ยังขยับนิ้วไปลูบลงบนริมฝีปากของนางครั้งหนึ่ง
เช็ดเอาน้ำมันและเศษอาหารที่ติดอยู่ออกไป
คนอะไรอายุสิบแปดแล้ว…..กินอาหารยังมีเศษอาหารติดปากอีก……
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในแขนเสื้อ ค่อยๆเช็ดคราบน้ำมันบนปลายนิ้วอย่างช้าๆ
จนสะอาดหมดจด!
ดวงตาดอกท้อของนางหรี่ลงอย่างเงียบๆ
ตามปกติแล้ว บุรุษทั่วไปที่ไหนจะพกผ้าเช็ดหน้าเหมือนสตรีกัน…..นอกจากจีเฉวียน
นางคิดไม่ถึงว่า ฉุยซือก็จะมีอุปนิสัยเช่นนี้ด้วย
นางนั่งลงบนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ย อดทนอยู่ครึ่งค่อนวัน หมัดที่อยู่ในแขนเสื้อก็ยกขึ้นมา เอ่ยขณะคลี่ยิ้มที่มุมปากแต่ไปไม่ถึงดวงตาว่า “เสี่ยวเฉวียนเฉวียน หากว่ามีวันหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งเล่นละครหลอกข้าล่ะก็ เจ้าตายแน่นอน”
ท่านเจ้าสำนัก “?”
“พูดอะไรเหลวไหลเลอะเทอะอีกแล้ว ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ข้าไม่ใช่จีเฉวียน”
เขาได้ยินชื่อของจีเฉวียนจากปากของนาง ต่อให้ไม่ถึงร้อยก็ต้องมีห้าสิบรอบแล้ว
ศิษย์น้อยผู้นี้ช่างฝังใจอย่างลึกล้ำ ปักใจว่าเขาต้องเป็นโอรสสวรรค์แคว้นโจวที่หายสาบสูปไปอยู่นั่น
เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ …..เขากับโอรสสวรรค์แคว้นโจว ไม่มีทางมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน
ต่อให้ลองคิดดูเล่นๆ ฮ่องเต้ที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ไหนเลยจะมีความสามารถสูงล้ำเช่นเขาได้กัน?
ตอนที่ 561 สายตาดุจเลเซอร์
ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็เสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “อาจารย์ไม่ชอบให้เจ้าเอ่ยถึงเขา”
นับตั้งแต่วันที่เขารับนางเอาไว้เป็นศิษย์ เขาสมควรจะเบียดโอรสสวรรค์ผู้นั้นตกขอบไป และกลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดของนางจึงจะถูก
ตู๋กูซิงหลันแทบจะจ้องเขาจนกลายเป็นรูอยู่แล้ว
แต่เขากลับยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมา ดื่มกินเองจอกหนึ่ง
ยามที่รินสุราลงไปในจอก เพียงได้กลิ่นสุราหอมอ่อนเท่านั้น แต่พอเขาดื่มลงไป กลิ่นหอมถึงได้กำจายเข้มข้นขึ้นมา
กลิ่นหอมของสุรากระจายไปทั่วห้อง อีกทั้งบนร่างของเขายังปรากฏแสงสีเงินเรืองรองขึ้นมาจางๆ
บนด้านหลังของกระหม่อม ปรากฏวงแสงสว่างราวกับพระโพธิสัตว์ออกมา
แสงสว่างที่กำจายอยู่รอบกายของเขา เปี่ยมไปด้วยไอทิพย์ที่เข้มข้น ไอทิพย์นั้นมาจากสุราจุ้ยเซียนเนี่ยนที่ดื่มลงไป ทั้งยังมีกลิ่นสุราจางๆ
ภาพตรงหน้าทำเอาตู๋กูซิงหลันมองดูจนตกตะลึงไปแล้ว
อะไรกันเนี่ย แค่ดื่มสุราลงไปถ้วยเดียวก็กลายเป็นเซียนไปแล้ว!
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นวงแสงที่สว่างอยู่ด้านหลังศีรษะราวพระโพธิสัตว์ของฉุยซือ ตู๋กูซิงหลันถึงกับชมดูจนตาค้าง
นางอดไม่ไหวต้องก้มลงมองดูสุรานั้นอีกหลายครั้งด้วยความสงสัยว่าสุรานี้ทำมาจากสิ่งใดกันแน่
ช่างวิเศษไม่น้อยเลย
“จุ้ยเซียนเนี่ยนหากทิ้งเอาไว้นานเกินไป จะเสื่อมสรรพคุณ เมื่อเทออกมาแล้วต้องรีบดื่มลงไป” ฉุยซือที่เดิมหลับตาพริ้มอยู่ค่อยลืมตาขึ้นมา
ทันทีที่เขาลืมตา นัยตาก็เปล่งแสงสว่าง
หากจะให้ตู๋กูซิงหลันอธิบายละก็….มันเหมือนกับแสงจากไฟฉายสองดวงที่ส่องออกมาจากความมืดมิด
ยามที่อาจารย์ต้าฉุยลืมตาขึ้นมา ก็เหมือนจะส่องทุกอย่างรอบด้าน
นางคิดแล้วก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ…..อีกเดี๋ยวพอตนเองดื่มลงไปอึกหนึ่ง ที่ด้านหลังกระหม่อมใช่จะมีวงแสงสว่างแบบพระโพธิสัตว์ออกมาเหมือนกัน…..
จาดนั้นดวงตาก็จะเปล่งแสงเลเซอร์ได้แบบอุลตร้าแมนเลยใช่ไหม…..
คิดดูแล้วก็แปลกประหลาดดีแท้
พอคิดไปถึงของประหลาดต่างๆอย่างเช่นขาหมูที่กลืนลงท้องไปก่อนหน้านี้ จุ้ยเซียนจูช่างเป็นสถานที่แปลกประหลาดโดยแท้
ดังนั้นนางจึงไม่คิดปฏิเสธ ดื่มรวดเดียวลงไปจอกหนึ่งในทันที
พอเหล้าไหลลงไปในกระเพาะ ก็รู้สึกว่าพลังของจิตวิญญาณในร่างถูกกระตุ้นออกมา จากนั้นก็หมุนวนออกไปทั่วทิศทาง ช่องโพรงที่เคยติดขัดในร่างกายของนางล้วนถูกทะลวงจนปลอดโปร่ง
ใช่แล้ว…..ครั้งก่อนตอนอยู่แคว้นเซ่อปี่ซือที่ขาหัก …..ตอนหลังแม้ว่าจะเชื่อมกระดูกและเส้นเอ็นได้แล้ว แต่ก็ยังคงมีจุดที่ติดขัดมีอาการหนาวเย็นอยู่เสมอ แม้จะผ่านมาเนิ่นนานก็ยังไม่สามารถสลายออกไปได้
คิดไม่ถึงว่าแค่ดื่มเหล้าลงไปจอกเดียว แม้แต่อาการหนาวเย็นที่ขาที่เป็นมาเนิ่นนานก็กลายเป็นหายสนิท
ตู๋กูซิงหลันนั่งขัดสมาธิลงที่ข้างโต๊ะเตี้ย กำหนดลมหายใจ เคลื่อนไหวลมปราณไปทั่วร่างกาย
จนรู้สึกเบาสบายไปทั่วทั้งร่าง พลังวิญญาณเหมือนจะเรืองรองออกมาจากร่าง ขณะเดียวกันร่างกายก็หายเจ็บปวดหายเมื่อยล้า มีกำลังเปี่ยมล้นจนสามารถดำดิ่งลงไปในนรกสิบแปดขุมได้ในอึดใจเดียว
นางไม่รู้ว่าตนเองทำสมาธิไปนานเพียงไร ยามที่ลืมตาขึ้นมา เมื่อสบตากับฉุยซือดวงตาทั้งสี่ล้วนมีแสงเลเซอร์สะท้อนออกมา
พอนางหลุบตาลงลำแสงนั้นก็ไปจับอยู่ที่จุดซึ่งไม่ควรอธิบายของท่านเจ้าสำนัก
พอลำแสงที่สว่างจ้าสองสายส่องลงไปทำให้ตรงจุดนั้นเด่นขึ้นมา
ท่านเจ้าสำนักอดไม่ได้ที่จะมองตามสายตาของนางไป….
จากเดิมที่จุดนั้นมีลำแสงสองลำส่องอยู่ ตอนนี้จึงกลายเป็นลำแสงสี่สาย ราวกับว่าตรงจุดนั้นมีสมบัติล้ำค่าในใต้หล้าซุกซ่อนอยู่
ภายใต้แสงที่ส่องสว่าง ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใต้เสื้อผ้าตรงจุดนั้นมีรูปทรงของบางสิ่งอยู่
ช่างเป็นสมบัติล้ำค้าชิ้นใหญ่จริงๆ ไม่เสียทีที่ชื่อว่าต้าฉุย (ค้อนยักษ์)
ท่านเจ้าสำนักมองดูตนเอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองดูนางโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ตู๋กูซิงหลัน “……”
ไม่ใช่นะ…..อาจารย์ต้าฉุย เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน
++อธิบายทำค้อนอะไร!
ทำไมนางจะต้องอธิบายด้วย? ก็ไม่ใช่ว่านางจงใจจะมองดูตรงนั้นสักหน่อย…..
แสงจากดวงตานี่มันควบคุมไม่ได้ จะมาโทษนางได้อย่างไรกัน
“ศิษย์เอ๋ย เป็นคนพึงสำรวมให้มาก โดยเฉพาะสตรีเยาว์วัย ไม่ควรไปจับจ้องบุรุษมั่วซั่ว”
อาจารย์ต้าฉุยไม่มีทีท่าจะเขินอายแม้แต่น้อย บนหลังกระหม่อมยังคงมีวงแสงสว่างเรืองรอง กริยาสงบนิ่งสั่งสอนศิษย์น้อยของตนเองอย่างตั้งใจ
ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้….พูดตามจริง นางก็พยายามจะเอาจริงเอาจังแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่มีแฟนที่ทั้งเค็มทั้งหวานทั้งอ่อยทั้งน่าจู่โจมอย่างเสี่ยวเฉวียนเฉวียน นางยังไม่เคยได้ทันทำอะไรเขาเลยนะ….
นางอ้าปากค้าง คิดจะหาทางกู้หน้าคืนมาให้ตนเองสักหน่อย ก็ได้ยินเสียงอาจารย์ต้าฉุยถอนหายใจออกมา
“หากว่าเจ้ารู้สึกสงสัย ก็ให้มองได้แต่ของอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ไปมองดูของผู้อื่นอย่างเด็ดขาด”
อาจารย์ต้าฉุยรู้สึกว่า คนที่เป็นอาจารย์สมควรต้องมีความเสียสละตนเอง
ลูกศิษย์ก็เปรียบได้กับบุตรธิดาของตนเอง สมควรรักถนอม ไม่ว่าต้องการสิ่งใดล้วนต้องทุ่มเทให้นางสมปรารถนา นี่จึงจะสมกับเป็นอาจารย์ที่ดี
น่าเสียดายที่ศิษย์น้อยอะไรๆก็ดี แต่กลับเป็นสตรีเจ้าสำราญ จุดนี้ทำให้ท่านอาจารย์ต้าฉุยรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
ในเมื่อนางเป็นสตรีเจ้าสำราญ หากออกไปภายนอกเที่ยวจับจ้องผู้อื่นไปเรื่อย มิต้องถูกทุบตีโดยง่ายหรอกหรือ
ถึงแม้อาจารย์ต้าฉุยจะรู้สึกว่า คนที่จะโดนทุบตีคงจะเป็นอีกฝ่ายมากกว่าก็ตาม
แต่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นศิษย์ของตนเอง หากสั่งสอนไม่ดีย่อมเป็นความผิดของเขา ไปทุบตีผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องดีอยู่ดี
ดังนั้นได้แต่ต้องเสียสละตนเองสักเล็กน้อย หากว่าจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับศิษย์น้อยได้เช่นนั้นก็ดี
ในใจของเขาพรั่งพร้อมอย่างเต็มที่ แต่ภายนอกสีหน้ายังคงวางตนสูงส่งเย็นชาอยู่เช่นเดิม
หากไม่ใช่เพราะประโยคหลังที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันคงจะคิดว่าเขาเป็นคนดีไปแล้ว
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา มอมเมาผู้คน
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัดขัดเขินนางได้แต่หันเหสายตาไปมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ทำเอาภายในห้องมีแสงสว่างส่องออกมาอยู่ตลอดเวลา
ราวกับว่ามีไฟฉายดวงใหญ่ส่องไปส่องมาอยู่ในห้อง
…………….
ที่ชั้นล่าง เหล่าคนท้องถิ่นต่างก็พากันมองตามแสงขึ้นมาที่ชั้นบนสุด
“สวรรค์ นั่นมันเป็นห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งมิใช่หรือ?”
“จริงด้วย นี่เป็นท่านเซียนวิเศษจากที่ใดให้เกียรติมาเยือนกัน?”
“ดูท่าแล้ว….คงจะได้รับการต้อนรับด้วยด้วยสุราจุ้ยเซียนเนี่ยนเป็นแน่”
“ช่างน่าอิจฉา!”
“น่าอิจฉาจนน้ำตาจะไหล!”
“โอ้วนั่น เห็นรัศมีของพระโพธิสัตว์นั่น…..”
เหล่าคนท้องถิ่นที่อยู่ด้านล่างต่างพากันโห่ร้องขึ้นมา…..ในหมู่พวกเขามีบางคนที่วางเงินมัดจำไปเป็นปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นแม้แต่ไหสุราเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่พอมีเซียนใหญ่มา ก็ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้อิจฉาได้อย่างไร?
ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งนั้น…..นับตั้งแต่ที่เหลาจุ้ยเซียนจูถูกสร้างขึ้นมาในเมืองว่านฮวาเฉิง เคยเปิดใช้กี่ครั้งกัน
แม้แต่เจ้าแคว้นทั้งห้า…..ยังไม่มีคุณสมบัติได้รับประทานอาหารที่นั่นแม้แต่มื้อเดียว….
เจ้าของเหลาจุ้ยเซียนจูมีที่มามิใช่ธรรมดา เขาไม่สนใจหรอกว่าเจ้าเป็นอ๋องยิ่งใหญ่มาจากไหน เมื่อมาถึงสถานที่ของเขา ก็ต้องทำตามกฏระเบียบของเขาเท่านั้น
ครั้งก่อนที่ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งเปิดรับรองแขกนั้น….ดูเหมือนจะเป็นร้อยปีก่อนได้กระมั้ง?
ผู้ที่มาย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่สะบัดมือครั้งหนึ่งก็ผ่าภูเขา โบกมือครั้งเดียวก็ถมทะเลได้
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ไม่รู้เลยจริงๆว่า ครั้งนี้ห้องสวรรค์หมายเลยหนึ่งได้เปิดออกเพื่อต้อนรับผู้ใด
แต่ว่าคิดๆดูแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกแค่สองวันก็จะถึงงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติแล้ว ตอนนี้ในเมืองว่านฮวาเฉิงมิว่าที่ใดล้วนแต่มีผู้โดดเด่นอยู่เต็มไปหมด ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งเปิดให้การต้อนรับลูกค้าผู้ทรงเกียรติ ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลสามารถเข้าใจได้
เพียงแต่พวกเขาต่างก็สงสัย…..
จึงพากันทำคอยืดคอยาว คิดจะมองดูให้ชัดเจน
แต่ว่าน่าเสียดายสถานที่อย่างจุ้ยเซียนจู ไหนเลยจะเปิดโอกาสให้คนนอกมาส่องดูได้……
……………………
ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันค่อยทำตัวสงบเสงี่ยมลงบ้าง สายตามิได้กวาดมองไปวุ่นวายอีก ขณะที่นางกำลังขัดเขินอย่างที่สุดนั้น ที่นอกประตูห้องก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น