หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 558-561
บทที่ 558 ทุกๆ ท่านโปรดรอก่อน!
Ink Stone_Fantasy
บนลานจัตุรัสสาธารณะบนยอดเขาของเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ วังวนขนาดใหญ่ลอยคว้างอยู่บนอากาศ ปลดปล่อยเอาแรงดูดกลืนมหาศาลออกมา ภายในชั่วพริบตาก็ดูดเอาผู้ฝึกตนหกร้อยคนบนจัตุรัสนั้นขึ้นไปอย่างไร้ทางต่อต้าน!
ขณะที่กำลังจะถูกดูดเข้าไปในพายุนั่นเอง พายุนั้นก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมาและแบ่งตัวออกเป็นพายุขนาดย่อมกว่าสามลูกอยู่กลางอากาศ
พายุหมุนทั้งสามดึงดูดผู้เข้าร่วมทั้งสามกลุ่มเข้าไปแยกกัน แปลว่าไม่ว่าจะอยู่กลุ่มใดเมื่อเข้าไปถึงสถานที่ทดสอบก็จะปลอดภัยอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ตู้กูหลินและผู้ฝึกตนฝ่ายเขาเข้าไปในวังวนอันแรก โจวชู่เต๋าและฝ่ายของเขาที่อยู่ภายใต้โยวหรันเข้าไปในวังวนอันที่สาม ในขณะที่หวังเป่าเล่อและทุกคนที่อยู่ใต้เฟิ่งชิวหรันเข้าถูกดูดเข้าไปในวังวนลูกที่สอง
แม้ว่าการอธิบายปรากฏการณ์นี้จะดูยุ่งยากและยาวนาน แต่ในความเป็นจริง เหตุการณ์พายุหมุนแบ่งตัวและดูดเอาทั้งสามฝ่ายเข้าไปนั้นเกิดขึ้นในพริบตา ในวินาทีเดียว…ผู้ฝึกตนทั้งหกร้อยคนที่ยืนอยู่บนจัตุรัสสาธารณะก็หายวับเข้าไปในวังวนทั้งสาม
หลังจากที่ดูดเหล่าผู้ฝึกตนเข้าไปแล้ว พายุหมุนทั้งสามใบอากาศก็เริ่มหมุนวน ก่อปรากฏรูปภาพจำนวนมากขึ้นบนวังวนเหล่านั้น เป็นภาพเคลื่อนไหวที่จับตามองผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกๆ คนอยู่!
ในขณะที่รูปภายของบรรดาผู้เข้าทดสอบปรากฎขึ้นในกระแสวนทั้งสาม กลุ่มผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่รอบจัตุรัสสาธารณะก็พากันนั่งลง ทุกคนเงยศีรษะขึ้นจ้องมองขึ้นฟ้า บ้างก็เริ่มพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังพากันคาดเดาว่าผู้ที่จะได้สามอันดับแรกจะเป็นใคร!
ไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้น แต่เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน และโยวหรัน พร้อมด้วยบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ หลังจากที่ให้ศิษย์จำนวนหนึ่งยกเก้าอี้มาให้ ก็พากันนั่งลงรอชมผลสรุปของการทดสอบ
แม้อาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ผล แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เวลาหลายวันก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเฝ้ารอ
เมี่ยเลี่ยจื่อดูจะภูมิใจเป็นพิเศษ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ตู้กูหลินเท่านั้น ชายหนุ่มเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของเขา อาวุธที่เขาเดิมพันทุกอย่างลงไป เป็นอาวุธลับที่เขาจะใช้เพื่อเอาชนะเฟิ่งชิวหรันและโยวหรัน!
“ยุคของเราจะมาถึง เพียงแค่หลินเอ๋อร์ปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงออกมาเท่านั้น!” เมี่ยเลี่ยจื่อพึมพำอยู่คนเดียว สีหน้าที่เคยเย็นชาก็ต้องหลบทางให้กับรอยยิ้มบางๆ ที่เปี่ยมได้ด้วยความใฝ่ฝันและคาดหวัง
เฟิ่งชิวหรันนั้น แน่นอนว่า จะไม่ละสายตาไปไหน การทดสอบครั้งนี้สำคัญเกินไป แม้ว่านางจะไม่ค่อยมั่นใจนักกับผลที่จะออกมา นางก็จำเป็นต้องอยู่ดูผลให้รู้ด้วยตาตนเอง
โยวหรันเป็นคนเดียวที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดไม่เคยจาง เขาดูไม่ร้อนรนใจนัก เขาจ้องมองอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะหลับตาลง
ในขณะที่บรรดาผู้ชมด้านนอกเฝ้าดูอย่างตั้งใจ ผู้เข้าร่วมก็เข้าไปถึงหลุมดำ พวกเขาวิงเวียนกับเล็กน้อยจากการถูกเคลื่อนย้าย แต่เมื่อกลับมามองเห้นได้ชัดเจนเช่นเดิม พวกเขาก็มาปรากฏอยู่ในโลกที่แสนจะแปลกประหลาด!
สถานที่นั้นดูออกจะคับแคบไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับความกว้างขวางของกระบี่สำริดโบราณ แต่ทว่าก็ยังเป็นอาณาบริเวณที่กว้างพอควรหากเทียบกับโลก อันที่จริงแล้ว ขนาดของสถานที่นี้แทบจะเทียบเท่ากับโลกได้เลย มีทิวเขากระจายอยู่ทั่วไป และมีทะเลและผืนป่าปกคลุมไปทั่ว บนท้องฟ้าตรงหน้ามีดวงอาทิตย์เจ็ดดวงฉายแสงแรงกล้า ปกคลุมแผ่นดินด้วยความร้อนระอุ
อาณาเขตสามแห่งในโลกนี้ส่องสว่างด้วยแสงจากการเคลื่อนย้าย หนึ่งในอาณาเขตนั้นอยู่ใกล้ทิวเขา เมื่อแสงจางหายไป เงาร่างของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า ลู่หยุน สวีหมิง และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากฝ่ายเฟิ่งชิวหรันก็ปรากฏชัดเจนขึ้นจนกระทั่งเป็นร่างชัดเจนขึ้น
ทุกคนไม่มีเวลาปรับตัวกับการเคลื่อนย้ายเท่าใดนัก ทันทีหลังจากที่ได้รับการเคลื่อนย้ายมายังสถานที่ใหม่ พวกเขาก็ตื่นตะลึงเมื่อมองเห็นกุญแจที่ส่องแสงเรื่อเรืองอยู่ในมือ ไม่ใช่กุญแจธรรมดา คลื่นพลังที่มันแผ่ออกมานั้นทำให้ผ่อนคลาย และดูเหมือนว่ามันจะมีคุณสมบัติในการทำให้พลังปราณอยู่ตัว
กฎที่เมี่ยเลี่ยจื่อประกาศนั้นผุดขึ้นมาในใจของทุกคนทันทีที่มองเห็นกุญแจ ทุกๆ คนเริ่มมองไปรอบกายอย่างระแวดระวัง หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย พวกเขาจึงเริ่มออกสำรวจสิ่งรอบข้าง พวกเขาศึกษากุญแจในมืออย่างพินิจพิเคราะห์อีกด้วย บ้างก็พยายามเอาเก็บเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ แต่เมื่อทำไม่ได้จึงต้องถือไปอย่างนั้น
คนจำนวนหนึ่ง เมื่อมองเห็นแผ่นดินกว้างใหญ่และพระอาทิตย์ในอากาศก็พากันส่งเสียงอย่างตื่นตกใจ
“พื้นดินหรือ”
“สมจริงเกินไปแล้ว…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เท่านี้…”
“แล้วพระอาทิตย์เจ็ดดวงนั่นเล่า สิ่งนี้คือวงแหวนปราณแห่งความเป็นไปได้ไร้สิ้นสุดอย่างนั้นหรือ”
ขณะที่คนอื่นๆ กำลังพูดคุยกันอยู่เสียงเบา หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าก็ยืนล้อมกันเป็นวงกลม พวกเขาทดลองแล้วว่ากุญแจไม่อาจถูกเก็บในกระเป๋าคลังเก็บได้ จึงนำกุญแจไปเก็บไว้ใกล้หัวใจก่อนที่จะมองไปรอบกาย พวกเขาเคยเห็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เช่นนี้จึงไม่ได้ตกใจเท่าบรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ทว่าพวกเขาก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเพื่อจ้องมองไปยังพระอาทิตย์ทั้งเจ็ดดวงบนท้องฟ้า ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันผ่านข้อความเสียง
“ตามกฎแล้ว พวกเราต้องระวังทุกๆ คนเลย!”
“พวกเราตั้งกลุ่มกันเองดีกว่า ไม่ต้องไปตามคนอื่นหรอก!” ขณะที่ทั้งสามพูดคุยกัน บรรดาศิษย์หลายคนที่อยู่รอบๆ ก็ได้สำรวจบริเวณนั้นเสร็จเรียบร้อย พวกเขามีประกายตาแปลกแปร่ง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะระวังตัวอยู่นั่นเอง ทุกๆ คนต่างก็อยู่ห่างจากกันพอสมควร บ้างก็เลือกที่จะเดินจากไปทันทีโดยวิ่งเต็มฝีเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ บ้างก็คิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะไปหาเพื่อนเพื่อตั้งกลุ่มขึ้นมา
ไม่นานนัก ผู้ฝึกตนกว่าร้อยคนจากสองร้อยก็เลือกที่จะออกจากบริเวณนั้นไป ศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรันอย่างลู่หยุนไม่ได้ชายตามองกลุ่มของหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ เขานำศิษย์กว่าสามสิบคนที่เลือกติดตามเขาออกจากบริเวณไป
หวังเป่าเล่อและเพื่อนๆ มองหน้ากันอยู่ไปมา พวกเขาก้าวถอยออกมาด้วยความตั้งใจจะออกจากที่นั่นเช่นกัน กลุ่มของผู้ฝึกตนที่นำโดยสวีหมิงยืนอยู่ใกล้ๆ มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา พลางพูดคุยกันอยู่เงียบๆ เขาหันหน้ามามองและเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อกำลังเดินออกไป เขาก็รีบพุ่งตัวตามมาทันที
“ทุกๆ ท่าน โปรดรอก่อน!”
ทั้งสามไม่ได้ยืนอยู่ห่างออกไปนัก การเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของอีกฝ่ายทำให้กงเต๋าอยู่ในสภาวะพร้อมต่อสู้ทันที ชายหนุ่มหันไปจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุร้ายกระหายเลือด ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เปล่งประกายเช่นนั้น นางยกมือขวาขึ้นและเรียกเอาเข็มทิศออกมา มีตัวอักขราจารึกไหลออกมาเป็นสาย กระทบกับแสงแดดเป็นประกายมืดดำ
มีเพียงหวังเป่าเล่อที่ยืนนิ่งเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดแปลก ชายหนุ่มหันมามองผู้ฝึกตนที่วิ่งตามมา
เขาไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้ว่าจะโดนต้อง แต่มาหยุดกึกอยู่เมื่อมาถึงตรงหน้าทั้งสามแล้วเท่านั้น ผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มและดูเหมือนว่าจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นต้น แม้ว่าเขาจะมีระดับการฝึกตนเท่ากันกับเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า แต่สีหน้าเขาก็ดูหยิ่งยโสมาก รอยยิ้มบนใบหน้าเขาไม่พยายามซ่อนความรู้สึกนั้นแม้แต่น้อย กลับกัน มันเป็นรอยยิ้มที่ดูผิวเผินและไม่จริงใจเอาเสียเลย
“สหายร่วมสำนักเต๋าจากสหพันธรัฐทั้งสาม ข้าชื่อลิ่วเหวินจู่!” ชายหนุ่มพูด ก่อนยกมือขึ้นประสานทักทายพวกเขาอย่างไว้เชิง ชายหนุ่มไม่ได้เปิดโอกาสให้โต้ตอบเพราะเขาพูดต่อทันที
“สหายร่วมสำนักเต๋า การทดสอบนี้อันตรายยิ่งนัก เป็นการทดสอบไม่ใช่แต่เพียงระดับการฝึกตนเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบความเข้าใจของกฎอีกด้วย ข้าจะพูดตามจริง พวกท่านคงอยู่รอดได้ไม่นานนัก เพราะเหตุนี้ ได้โปรดส่งกุญแจของท่านมาให้กับศิษย์พี่ใหญ่สวีหมิงได้หรือไม่” แม้ว่าจะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ดูเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แถมยังฟังดูเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า ราวกับว่าการที่หวังเป่าเล่อและเพื่อนจะส่งมอบกุญแจให้เขานั้นเป็นเรื่องถูกต้องสมควรแล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใด
“อันที่จริงแล้ว พวกท่านอาจจะยังไม่รู้ แต่ศิษย์พี่ใหญ่สวีได้สัญญากับอาจารย์เฟิ่งเอาไว้ว่าเขาจะทำทุกทางเพื่อจะไปติดหนึ่งในสามให้จงได้ ผู้อาวุโสเฟิ่งจะมอบใบต้นไฮยาซินที่ได้รับมาให้กับสหพันธรัฐ การที่พวกท่านส่งกุญแจมาให้ศิษย์พี่ใหญ่สวีนี้ ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือตนเองในทางอ้อมกลายๆ” ลิ่วเหวินจู่พูดไปพลางยิ้มไปพลาง ก่อนจะแบมือขวาออกมาทางทั้งสามคน
เมื่อชายหนุ่มพูดจบ กงเต๋าหรี่ตาลงและมองไปทางหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงมีสีหน้าเหมือนครุ่นคิด ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา เหมือนจะรู้ใจกันดีว่าต่างคนต่างคิดอะไรอยู่ เจ้าเยี่ยเหมิงหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ลิ่วเหวินจู่
“ศิษย์พี่เจ้าคะ พวกเราต้องขอโทษด้วย แต่พวกเราตั้งใจจะช่วยลดภาระของผู้อาวุโสเฟิ่งในการทดสอบครั้งนี้ด้วยเช่นนั้น ผู้อาวุโสเฟิ่งเองก็เอ่ยปากขอให้พวกเราช่วยมาแล้ว”
ลิ่วเหวินจู่เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มจ้องมองทั้งสาม ก่อนจะหันหลังกลับไปหาสวีหมิงด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาเข้าไปกระซิบกับสวีหมิงก่อนจะชี้มาทางหวังเป่าเล่อและเพื่อนๆ สวีหมิงหัวเราะก่อนจะโคลงศีรษะราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และจึงพูดออกมาอย่างสบายใจ คำพูดของเขาดังแว่วมาถึงหูของหวังเป่าเล่อและเพื่อนด้วยว่า
“ก็แล้วแต่ก็แล้วกัน ข้าอยากจะดูว่าพวกเจ้าจะช่วยแบ่งเบาภาระอาจารย์ข้าได้สักเพียงใด ฮ่ะๆ! ระวังตัวด้วยเล่า!” หลังจากที่พูดจบ เขาก็หันหลังแล้วนำผู้ฝึกตนหลาบสิบคนกระโดดทะยานจากไป
บทที่ 559 แผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน!
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อและเพื่อนยืนมองสวีหมิงและกลุ่มของเขาเดินจากไป แล้วจึงหันมาจ้องมองกันอยู่ไปมาก่อนจะออกเดินทางไปในทิศตรงกันข้าม พวกเขาระวังตัวอยู่ตลอดทาง เจ้าเยี่ยเหมิงเรื่องวิเคราะห์กฎของการทดสอบ
“หนึ่งในแผนที่ทุกคนน่าจะใช้ก็คือรวบรวมกุญแจให้ได้จำนวนหนึ่งแล้วจึงไปซ่อนตัว…” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู กงเต๋าก็ส่ายศีรษะ
“ข้าลองคิดแผนนั้นไปแล้ว แล้วจึงพบว่าเพราะกุญแจไม่สามารถไปอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บได้ จึงเป็นการยากที่จะหาพบ นอกเสียจากว่าจะมีใครที่อยู่ใกล้ตัวเรามากๆ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำสำนักวังเต๋าไพศาลถึงได้ปล่อยให้มีช่องโหว่ขนาดใหญ่เช่นนี้อยู่ใน…”
“แต่วงแหวนปราณนี้มีชื่อว่าวงแหวนปราณแห่งความเป็นได้ไร้สิ้นสุด เราอาจจะต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของโลกอีกก็เป็นได้!” หลังจากที่ได้ฟังเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าแล้ว หวังเป่าเล่อก็นิ่งเงียบคิด จากนั้นจึงพูดออกมาแช่มช้า
ทั้งสามยังคงพูดคุยปรึกษากันต่อไปโดยยังไม่ได้ข้อสรุป เจ้าเยี่ยเหมิงจึงเสนอให้หาที่ซ่อนตัวไปก่อนสักระยะหนึ่ง พวกเขาสามารถมองดูสถานการณ์ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะทำสิ่งใดต่อไป
ผู้ฝึกตนในฝ่ายเฟิ่งชิวหรันนั้นกระจายตัวกันออกไป ผู้ฝึกตนฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันเองก็เช่นนั้น พวกเขากระจายตัวกันออกไปในเขตแดนของตนเอง
มีคนจำนวนไม่น้อยตัดสินใจจะติดตามโจวชู่เต๋าและเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาหวงหยุนซาน ตู้กูหลินเดินจากไปคนเดียวแถมยังห้ามไม่ให้ใครตามเขามาอีกด้วย
เมื่อผู้ฝึกตนเริ่มกระจายตัวกันออกไป การทดสอบก็จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง ข้างนอกโลกนั้น ผู้ชมต่างพากันเฝ้าดูอย่างตื่นเต้นอยู่ ณ บริเวณจัตุรัสสาธารณะ พวกเขารู้ดีว่าความสนุกที่แท้จริงกำลังจะเริ่มแล้ว
ยังไม่มีการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้น อันที่จริงแล้ว ยังไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นเลยมากกว่า แต่ทว่ากฎนั้นเป็นการบังคับอ้อมๆ ว่า ยิ่งเวลาผ่านไป ผู้เข้าร่วมทุกคนก็จะเริ่มกังวลขึ้นเรื่อยๆ
การทดสอบนี้จบลงได้มากมายหลายทาง และเมื่อใดก็ตามที่มีวิธีการจบที่หลากหลายตัวเลือกในการพนันก็จะตามมา เหมือนกับการเดิมพันที่เมี่ยเลี่ยจื่อมีกับเฟิ่งชิวหรันและเหมือนกับ…บ่อนพนันที่เซี่ยไห่หยางเปิดขึ้นอย่างลับๆ
แน่นอนว่าการพนันนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะได้อย่างเปิดเผยในที่แจ้ง แต่ทว่า เซี่ยไห่หยางมีวิธีการกระจายข่าวและตั้งบ่อนขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้มีผู้ที่วางเดิมพันก้อนใหญ่ๆ กับบ่อนของเขารวมแล้วนับหมื่นคน
เซี่ยไห่หยางยังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เฝ้ามองภาพในกระแสวนอยู่โดยตลอด แต่ทว่าเขาเองก็ยังง่วนอยู่กับการรับข้อความเสียงและรับเดิมพัน เขาต้องขยับอัตราการเดิมพันอยู่เป็นระยะอีกด้วย ผู้คนมากมายรุมล้อมเขา บ้างก็วางเดิมพันทันที
มีผู้อาวุโสจากสำนักที่เพิ่งรู้ว่ามีบ่อน แต่ทันทีที่พวกเขาเริ่มชักสีหน้าก็ได้รับข้อความเสียง หลังจากที่เปิดฟัง พวกเขาก็หันไปมองเซี่ยไห่หยางด้วยแววตาลุ่มลึก โคลงศีรษะ และก็ปล่อยให้เขาทำต่อไป เงินเดิมพันในมือเซี่ยไห่หยางมีมากขึ้นทุกทีๆ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนข้างกายเขาถามอย่างสงสัย
“สหายร่วมสำนักเต๋าเซี่ย ถึงแม้ว่าท่านเป็นเจ้าของบ่อนก็เถอะ ท่านได้วางเดิมพันข้างใครบ้างหรือไม่”
เซี่ยไห่หยางยิ้มหวานเมื่อได้ ก่อนจะดึงเอาน้ำเต้าสามลูกออกมาจากกำไลคลังเก็บและวางลงตรงหน้าตนเอง เขาชี้ไปที่น้ำเต้าแล้วหัวเราะก่อนจะพูดกับฝูงชน
“ข้าวางหนึ่งหมื่นแต้มที่สามคนนี้ ชื่อของพวกเขาอยู่บนน้ำเต้าพวกนั้น ช่วยข้าดูพวกเขาด้วยเล่า เมื่อผลออกมาในอีกไม่กี่วัน ข้าจะเปิดน้ำเต้าออกต่อหน้าพวกท่านทุกคน!”
โลกภายนอกการประลองนั้นมีผู้คนมากมาย การลงเดิมพันทำให้ผู้คนยิ่งเฝ้าดูการทดสอบอย่างมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น ทำให้บรรยากาศยิ่งคึกคัก
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ก็คงจะไม่เท่ากับความตึงเครียดและตื่นเต้นภายในวงแหวนปราณได้ การทดสอบเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นและทุกๆ คนก็เพิ่งจะเข้ามาถึง ยังไม่ถึงเวลาที่จะลงไม้ลงมือกัน
ไม่ใช่สิ่งที่เมี่ยเลี่ยจื่ออยากเห็นแม้แต่น้อย เขายกมือขวาขึ้นใช้ผนึกมือจำนวนมาก จากนั้นจึงชี้ไปยังวันวนบนท้องฟ้า เหล่าวังวนพากันสั่นคลอน ก่อนที่จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในวงแหวนปราณนั้น
ผู้ชมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า เสียงอุทานด้วยความตกใจดังระงมขึ้นในอากาศ
“วงแหวนปราณกำลังแปรสภาพ!”
“ดูท้องฟ้าในจอนั่นสิ…ดำทะมึนเชียว!”
“มีแสงดาวจากฟ้ายามค่ำคืนด้วย!”
ผู้ชมพากันส่งเสียงดังด้วยความตกใจ ภายในวงแหวนปราณนั้น ผู้เข้าร่วมรู้สึกปั่นป่วนใจขณะเงยหน้าขึ้นมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า
ในวินาทีนั้น…แสงรอบกายพวกเขามืดลงในทันใด แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นจะเล็กน้อยแต่ก็ยังชัดเจนในสายตาของผู้ฝึกตน ท้องฟ้าเหนือศีรษะพวกเขาแปรสภาพจากสีฟ้าใสกลายเป็นสีดำ กลายเป็นกลางคืน!
เรียกว่ากลางคืนอาจจะไม่ถูกนัก แสงสว่างที่ส่องลงมากระทบพื้นนั้นมืดลง แต่ก็ไม่มืดสนิทเช่นที่เวลากลางคืนควรจะเป็น สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปคือท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีดำ
แม้จะดูขัดแย้งกันเอง แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผืนแผ่นดินส่องแสงออกมาแม้จะอยู่ภายใต้ท้องฟ้ามืดดำ แหล่งที่มาของแสงนี้ไม่มีใครรู้ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งในโลกนี้สามารถให้กำเนิดแสงสว่างได้ นี่เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้วงแหวนปราณแห่งความเป็นไปได้ไร้สิ้นสุดนั้นโดดเด่น
หวังเป่าเล่อและเพื่อนเดินทางอยู่เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท พวกเขาชะงักทันทีและเงยศีรษะขึ้นมองด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ท้องฟ้าสีดำนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ มีแผนที่จากประกายดวงดาวปรากฏขึ้นมา!
เป็นแผนที่โลกของการทดสอบแห่งนี้ มีสัญลักษณ์รูปกุญแจจำนวนมากปรากฏขึ้นบนแผนที่นั้นอีกด้วย!
กุญแจเหล่านั้นไม่ได้อยู่นิ่ง!
กุญแจบางดอกก็อยู่โดดเดี่ยว บ้างก็อยู่เป็นกลุ่มสามถึงห้าดอก ยังมีกุญแจนับสิบที่กองอยู่รวมกันอีกด้วย สัญลักษณ์กุญแจแต่ละดอกนั้น…เห็นได้ชัดว่าแสดงถึงใครบางคนที่มีกุญแจอยู่ในมือ!
หวังเป่าเล่อและสหายทั้งสองหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม พวกเขาสรุปได้ทันทีว่าแผนที่จากมุมสูงนั้นแสดงตำแหน่งกุญแจของพวกเขาอย่างชัดเจน
พวกเขาลองทดสอบดู สัญลักษณ์กุญแจขยับตามเมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว พวกเขาจึงสรุปได้ว่าแผนที่จากมุมสูงแสดงภาพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนพื้นด้านล่างแบบตามเวลาจริง!
การซ่อนตัวเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป การหาที่ปลอดภัยและซ่อนตัวไม่ใช่แผนที่ทำได้อีกแล้ว การปรากฏขึ้นของแผนที่มุมสูงนี้ทำให้การตัดสินใจเรื่องแผนการณ์ของพวกเขาง่ายขึ้นมาก
“นี่มันเลวร้ายเกินไปแล้ว! ไม่มีทางให้หนีได้เลย ทุกการเคลื่อนไหวของเราจะถูกมองเห็นหมด!” กงเต๋าคำราม สายตาเขาดูจริงจัง ชายหนุ่มคาดการณ์ว่าการปรากฎตัวขึ้นของแผนที่มุมสูงนี้จะทำให้การทดสอบเข้มข้นขึ้นอย่างมาก
“ก็อาจจะไม่จริงเท่าใดหรอก!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ดวงตาของนางฉายแววประกาย
“แผนที่นี้อาจจะไม่ได้ทำให้เราเสียเปรียบเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนว่ามันจะบอกตำแหน่งของทุกคน ถึงกระนั้น สิ่งที่มันมอบให้เราก็คือกฎข้อใหม่ในการทดสอบนี้…ก่อนการเคลื่อนย้ายจะเกิดขึ้น ผู้ที่ไม่มีกุญแจจะเข้าจู่โจม…โดยที่เรามองไม่เห็น!”
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วแน่น ก่อนที่จะมีประกายสะท้อนขึ้นมาในดวงตา จิตวิญญาณการต่อสู้ของเจ้าเยี่ยเหมิงขณะนี้พุ่งพล่าน นางมีประกายสนใจสว่างวาวอยู่ในดวงตา ดูเหมือนหญิงสาวจะเชื่อว่ากฎของการทดสอบและวงแหวนปราณนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่นางจะได้เพิ่มความเชี่ยวชาญในด้านวงแหวนปราณ นางรีบพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“โลกนี้ช่างน่าสนใจทีเดียว มันจะเคลื่อนย้ายทุกๆ ยี่สิบสี่ชั่วยาม แปลว่าจะเกิดการเคลื่อนย้ายขึ้นทุกๆ วัน…ผู้ที่มีกุญแจก็จะหลบหลีกการเคลื่อนย้ายได้ แต่ผู้ที่ไม่กุญแจก็จะหลุดออกจากการทดสอบไป!
“ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือหากใครสักคนหนึ่งใช้กุญแจที่มีอยู่เพื่อต้านทานการเคลื่อนย้ายไปแล้ว สุดท้ายก็จะต้องออกล่ากุญแจจากคนอื่นๆ ก่อนจะถึงการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป ทุกๆ คนมีเวลาหนึ่งวัน ในช่วงนั้น พวกเขาก็จะซ่อนตัวได้โดยที่ตำแหน่งของพวกเขาจะไม่ถูกปรากฏบนแผนที่ กลับกัน พวกที่มีกุญแจก็จะปรากฏตัวขึ้นมาบนแผนที่ พวกเขากำลังบังคับเราให้ต่อสู้แย่งชิงกุญแจกัน!
“ตามการตัดสินของข้า การต่อสู้ครั้งใหญ่และความสูญเสียน่าจะเกิดขึ้นมากที่สุดในวันแรกและผู้เข้าร่วมจำนวนก็จะตกรอบไป เป็นเพราะว่าจำนวนกุญแจนั้นมีจำกัด มีเพียงหกร้อยดอกเท่านั้น หากไม่มีการต่อสู้อย่างดุเดือดในวันแรกและกุญแจส่วนใหญ่ไม่ได้ไปอยู่เงื้อมมือของผู้ร่วมทดสอบจำนวนไม่กี่คน กุญแจจำนวนมากก็จะถูกใช้เพื่อป้องกันการถูกเคลื่อนย้าย เมื่อไร้ซึ่งกุญแจ คนที่ไม่ปรากฏบนแผนที่และต้องการจะอยู่ในการทดสอบต่อไปก็จะต้องออกมาต่อสู้กันเพื่อแย่งกุญแจเพิ่ม แต่ทว่า หากรอจนถึงตอนนั้น ก็จะมีกุญแจเหลือน้อยเกินไป กุญแจจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่า การต่อสู้แย่งชิงกุญแจก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้นจนถึงขีดสุด!”
เจ้าเยี่ยเหมิงพูดไปนัยน์ตาของนางก็ยิ่งลุกโชน เห็นได้ชัดว่านางชำนาญการใช้วงแหวนปราณและการคิดวิเคราะห์ นางสามารถคิดได้อย่างรวดเร็ว แถมยังสามารถสรุปสิ่งสำคัญในการทดสอบได้ในไม่กี่คำเท่านั้น
บทที่ 560 ข้าคือผู้ล่า!
หวังเป่าเล่อกะพริบตาขณะที่จ้องมองไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงผู้กระตือรือร้น ชายหนุ่มเองก็คงคิดได้เช่นกันหากให้เวลาสักหน่อย แต่แม้จะมีเวลาก็อาจจะเป็นการลำบาก
กงเต๋าจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกำลังจะอ้าปากพูด แต่เจ้าเยี่ยเหมิงยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน นัยน์ตาของนางลุกโชน “อย่าขัดข้า!
“การอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือหากร่วมมือกันสู้เราจะแข็งแกร่งกว่า ข้อเสียก็คือเราจะถูกหาพบได้ง่ายและสะดุดตากว่า…”
“สิ่งที่เราต้องระวังก็คือผู้ที่เสียกุญแจไปในวันนี้ จำนวนคนพวกนั้นจะเพิ่มขึ้น แถมตำแหน่งของพวกเขายังไม่ปรากฏบนแผนที่ จึงจะรอดพ้นสายตาเราได้เสมอ กลับกัน พวกเรานั้นอยู่ในที่แจ้ง พวกเขาเปรียบเหมือนงูพิษในคืนเดือนมืด และเมื่อการเคลื่อนย้ายครั้งใหม่มาถึง พวกเขาก็ยิ่งบ้าคลั่งยิ่งขึ้น!” ขณะที่นางพูดไป สายลมเย็นก็พัดวาบผ่านไรผมของนาง นางจึงยกมือขึ้นปัดผมไปทัดหูโดยไม่ได้ตั้งใจ การกระทำนั้นบวกกับสีหน้าที่มุ่งมั่น ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงดูสวยงามจับตาขึ้นมาชั่วขณะ หวังเป่าเล่อจ้องหน้านางเหมือนตกอยู่ในภวังค์ไปพักใหญ่
วินาทีนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มองเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อที่จ้องมองนาง แล้วก็แอบพึงใจอยู่ภายใจ จากนั้นนางจึงหันหน้าไปหากงเต๋า
“กงเต๋า เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
กงเต๋ากระแอม แม้ว่าเจ้าเยี่ยเหมิงจะขัดจังหวะเขาจากการพูดเมื่อครู่ เขาก็ยังเขารบการวิเคราะห์อย่างลงรายละเอียดของนาง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็พูดว่า
“ข้ามีแผน ทำไม…เราไม่เอากุญแจให้เป่าเล่อไปเล่า แล้วพวกเราก็หนีไปซ่อน และหากมีใครเข้ามาโจมตี เราก็ค่อยซุ่มจัดการพวกเขา!
“หรือเป่าเล่อให้กุญแจของเขากับเรา ระดับปราณของเขาสูงกว่า เพราะฉะนั้นการให้เขาดักโจมตีอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า!
“ข้ามีอีกแผนหนึ่ง พวกเราวางกับดักก็ได้ เจ้าซ่อมหลอมวงแหวนปราณขึ้นมา แล้วเราก็วางกุญแจไว้เป็นเหยื่อล่อ จากนั้นก็ซุ่มดู เมื่อใดก็ตามใครงับเหยื่อ เราก็โจมตีเขาพร้อมกัน เราวางกับดักไว้ได้หลายๆ อันในวันแรกเพราะมีโอกาสได้กุญแจเพิ่มมากที่สุด!” ดวงตาของกงเต๋าเปล่งประกายเมื่อเขาพูดอย่างตื่นเต้น ดูเหมือนเขาจะคิดว่ามันเป็นแผนที่ดี พวกเขาจะได้ประโยชน์แน่นอนไม่ว่าจะวางกับดักอย่างไร
หวังเป่าเล่อปวดศีรษะตุบเมื่อได้ยินแผนของกงเต๋า เขาหันไปจ้องหน้าอีกฝ่าย
“กงเต๋า ทั้งสามแผนของเจ้าเป็นการซุ่มโจมตีหมดเลย…ไม่ว่าจะเป็นข้าซุ่มโจมตี เจ้าทั้งสองซุ่มโจมตี หรือเราสามคนซุ่มโจมตีพร้อมกัน ทำไมจะต้องอยากซุ่มโจมตีด้วยเล่า!”
กงเต๋าไม่ได้ดูไม่พอใจเกี่ยวกับการตั้งแง่ของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบอกอย่างภูมิใจ “เป่าเล่อ มีอย่างหนึ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ ข้าใช้เวลาอยู่ในป่าดงดิบของดาวอังคารเป็นเวลาสามปี มันเป็นแผนที่ข้าใช้เพื่อเอาตัวรอด สิ่งนี้เป็นวิธีการเอาตัวรอดแรกข้อแรกของข้าเชียวนะ ต่อให้จะเป็นที่สำนักวังเต๋าไพศาล ข้าก็ใช้แผนนี้ และได้รับผลตอบแทนมาไม่น้อยเชียว!” น้ำเสียงของกงเต๋าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
หวังเป่าเล่อเม้มปากแน่น ชายหนุ่มผ่านเรื่องราวมากับกงเต๋านับไม่ถ้วน จึงไม่จำเป็นต้องมาอ้อมค้อมใส่กัน กงเต๋าเห็นหวังเป่าเล่อเม้มปากจึงจ้องตาไม่กะพริบ ชายหนุมคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความสำคัญของการซุ่มโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่เจ้าเยี่ยเหมิงผู้เริ่มปวดหัวกับเรื่องการซู่มโจมตีขัดขึ้นมาอย่างรำคาญเต็มทน
“หยุดพูดมากได้แล้ว การทดสอบวันแรกอาจจะสำคัญ แต่สิ่งที่ตามมานั้นสำคัญเสียยิ่งกว่า!”
“กฎการรักษากุญแจสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในการทดสอบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผ่านความรุนแรงของการต่อสู้หรือจำนวนกุญแจก็ตาม หาในวันแรกเกิดการต่อสู้ยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว กุญแจที่เหลือทั้งหมดก็จะไปอยู่ในเงื้อมมือของคนหยิบมือเดียว การเป็นว่าความระแวดระวังก็จะทำให้เกิดการถ่วงเวลา! สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือหาโอกาสที่จะสู้ตอนที่กฎนี้ยังใช้ได้อยู่!” เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงพูดจบ กงเต๋าก็ไม่ได้ตอบอะไร กลับนิ่งคิดเงียบไป หวังเป่าเล่อยิ่งปวดศีรษะขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด
“ข้าขอเสนอว่าให้เราสามคนปกป้องอีกคนที่เหลือ!”
“พวกเราจะช่วยให้หวังเป่าเล่ออยู่รอดได้อย่างน้อยสามวัน อย่างน้อยเราน่าจะมีโอกาสชนะมากขึ้น!” เมื่อพูดจบ จึงหันไปมองหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ เจ้าต้องทำใจสู้เข้าไว้ พวกเราจะเน้นการเฝ้าดูแผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนในคืนนี้ หากกุญแจไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของคนไม่กี่คนแล้ว ก็แปลว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้รุนแรงนัก กงเต๋ากับข้าจะฝากกุญแจของพวกเราไว้กับเจ้า และจะตัดสินใจเองว่าใครจะยอมถูกตัดสิทธิออกไปก่อนระหว่างการเคลื่อนย้ายครั้งแรก หลังจากนั้น เจ้าจะมีกุญแจสองดอก แต่เป่าเล่อ เจ้าต้องระวังให้มากนะ หากการทดสอบยังดำเนินไปเช่นนี้ และมีคนสูญเสียกุญแจไปมากขึ้นเรื่องเรื่อยๆ คนก็จะยิ่งหากุญแจดอกใหม่กันอีก ยิ่งจำนวนกุญแจลดลงเท่าไหร่…
“หากแผนที่ฟ้องฟ้ายามค่ำคืนวันนี้แสดงว่าการต่อสู้นั้นดุเดือดมาก แปลว่าใครสักคนรวบรวมกุญแจไว้ได้จำนวนมาก แปลว่าวันนี้สองทุกอย่างอาจจะเงียบลง หากเป็นเช่นนั้น กงเต๋ากับข้าก็จะไม่ไปไหน พวกเขาจะใช้กุญแจของเราทั้งสามในการเคลื่อนย้ายครั้งแรก จากนั้นเราค่อยร่วมมือกัน ไม่ว่าจะซุ่มโจมตีหรือต่อสู้เพื่อกุญแจดอกใหม่ พวกเราต้องโจมตีใครสักคนที่มีกุญแจอยู่หลายดอกเพื่อโอกาสการรอดจากการเคลื่อนย้ายหนที่สอง”
เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจฉายอยู่บนแววตา นางยกมือนวดหน้าผากอยู่ไปมา การทดสอบนี้มีทั้งกฎที่ชัดเจนและกฎที่ต้องเข้าใจเอง แม้จะดูเหมือนการทดสอบธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีความเป็นไปได้และทางออกหลายรูปแบบยิ่ง
การทดสอบเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยประสบพบพานมาก่อนในมิติเวทของสหพันธรัฐ แม้จะยากลำบากยิ่งแต่ทว่าก็ยังไม่ได้เกินจะแก้ไข แต่กระนั้นก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการวางแผน ช่างน่าเหนื่อยใจยิ่ง สิ่งเดียวที่พอจะทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงใจชื้นก็คือแผนที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการชิงความได้เปรียบและโอกาสอื่นๆ ในการทดสอบ
“พูดให้ง่ายก็คือ มีเพียงผู้ที่ไม่อยู่บนแผนที่เท่านั้นที่เป็นผู้ล่า ผู้ที่ถือกุญแจอยู่ล้วนเป็นเหยื่อ!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดอย่างมั่นใจ
“ยิ่งไปกว่านั้น หากพูดกันตามทฤษฎีแล้ว จะมีการเคลื่อนย้ายได้เพียงแปดครั้งเท่านั้นตลอดการทดสอบนี้ อันที่จริงแล้วการทดสอบน่าจะจบลงก่อนเสียด้วยซ้ำ แปลว่า…ตราบใดที่เรายังมีกุญแจเจ็ดดอกและไม่ถูกแย่งไปเสียก่อน เราก็น่าจะจบที่สามอันดันแรกได้!” นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงลุกวาวขณะที่นางพูด
นางพูดต่อว่า “ข้าจะยังคาดเดาสถานการณ์ได้อีกครั้ง หลังจากได้เฝ้าดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นและใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นฐานการวิเคราะห์!” เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงพูดจบ นางก็ยกมือขึ้นนวดหน้าผากขณะเฝ้ามองหวังเป่าเล่อและกงเต๋า นางจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับรอฟังการตัดสินใจของเขา
“เจ้าเยี่ยเหมิง ข้าเคยคิดไปว่าปราณของเจ้านั้นอยู่ในขั้นธรรมดา แถมวงแหวนปราณก็ไม่ได้มีประโยชน์มากมายอันใด ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” กงเต๋าพูดอย่างไม่เชื่อหูตนเอง ชายหนุ่มมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตาเคารพและชื่นชม การวิเคราะห์ของนางนั้นละเอียดยิบ นางได้ย่อยสถานการณ์ที่ดูยากยิ่งและอธิบายให้ฟังดูง่ายดายและตรงไปตรงตา
กงเต๋าในขณะนี้นั้นเข้าใจการทดสอบมากขึ้นในหลายๆ แง่มุมเพราะเรื่องที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเกี่ยวกับผู้เข้าทดสอบที่มองไม่เห็นบนแผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน แผนที่จะช่วยให้พวกเราคนหนึ่งหยัดยืนอยู่ได้จบกว่าจะจบการประลอง และกระทั่งความมั่นใจของนางในการเวลาของการทดสอบนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงยังได้พูดถึงการวางแผนซุ่มโจมตีในแผนการที่สองของนาง เพื่อให้พวกเขาได้เป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลือรอด เขาอดคิดถึงแผนการในการซุ่มโจมตีรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นกงเต๋าก็หันไปมองหวังเป่าเล่อเช่นกัน
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าสัญชาติญาณของเขามาจากไหน มันมาจากสิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ไม่มี มีเพียงผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นจะมีได้ สิ่งนั้นก็จิตสัมผัสวิญญาณนั่นเอง
แผนของเจ้าเยี่ยเหมิงไปด้วยกันได้ดีกับเคล็ดวิชาการฝึกปราณของนาง แต่ว่า…ไม่ใช่วิธีแบบของข้า! ท่ามกลางความเงียบสงัด หวังเป่าเล่อเริ่มคิดอะไรได้ชัดเจนขึ้น
อัสนีแห่งเต๋าที่ข้าฝึกมุ่งเน้นไปที่การเอาชนะคะคานศัตรูด้วยพลังของสายฟ้า มันพูดถึงการคำลายคาถามากมายนับไม่ถ้วนด้วยสายฟ้าเส้นเดียว! วิชาลักอัคคีก็แย่งชิงเอาเจตจำนงค์ของวิญญาณนับพันนับหมื่น เมื่อมารวมกับเกราะจักรพรรดิ เป้าหมายจึงเป็นการเอาชนะและบดขยี้ศัตรูด้วยกำลัง มันเป็นตัวแทนของการมุ่งตรงไปข้างหน้าและไปหันหลังกลับมามอง…แม้จะไม่มีทางไปต่อ ก็จะต้องสร้างทางขึ้นมาเอง! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจนสำหรับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น พลังปราณของเขาเริ่มจะหมุนวนด้วยพลังชีวิต ราวกับว่าเป็นเสียงสะท้อนของความคิดของเขาเอง มีรัศมีที่แม้แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสไม่ได้มาก่อนเริ่มก่อตัวขึ้นรอบกายเขา!
รัศมีนั้นสัมผัสไม่ได้ แม้กระทั่งเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าก็ไม่รู้สึกถึงมัน แต่หากหลี่ซิงเหวินอยู่ใกล้ๆ เขาคงจะสัมผัสถึงมันได้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงปราณกังวานและการที่รัศมีนี้ปรากฏขึ้น ครั้งแรกนั้นย้อนกลับไป ณ เวลาที่เขายังอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหลี่ซิงเหวินเลือกจะทดสอบหวังเป่าเล่อโดยการรับหมัดจากเขา หวังเป่าเล่อผสมหมัดนั้นกับคาถาของเขา ต้องทำเช่นนั้นเท่านั้นจึงจะเข้าถึงปราณกังวานได้!
สหพันธรัฐเรียกมันว่าปราณกังวาน สำนักวังเต๋าไพศาลรู้จักพลังนี้ด้วยอีกชื่อหนึ่ง ก็คือชื่อ…เต๋าลึกลับไร้ที่เปรียบ!
เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นปราณกังวาน หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มีความบ้าคลั่งจางๆ ฉายอยู่ในแววตา ความรู้เดียวกันกับที่ปรากฏขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เขายังอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงในชุดเกราะจักรพรรดิของเขาเอง
“เยี่ยเหมิง การวิเคราะห์ของเจ้าทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ในเวลาเดียวกัน…ไม่จำเป็นต้องสังเวยพวกเจ้าทั้งสองเพื่อปกป้องข้าหรอก มองดูแผนที่บนท้องฟ้าเสีย มีกุญแจสามดอกกำลังมุ่งตรงมาหาเรา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเล็งพวกเราเอาไว้ เพราะเหตุนี้…วิธีการของข้ามีเพียงสองคำสั้นๆ เท่านั้น…”
“เราสู้!”
มีประกายอันน่าจะสะพรึงกลัวฉายวาวขึ้นในตาหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาพูดจบ เขาก้าวขาออกมาอย่างปุบปับก่อนจะพุ่งตัวออกไป จุดมุ่งหมายของเขาอยู่ที่…กุญแจทั้งสามดอกที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาทั้งสามอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพุ่งตรงเข้าไปใส่ทันที!
บทที่ 561 เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่!
หวังเป่าเล่อทะยานไปข้างหน้า พร้อมหยิบเอากระบี่เหาะเหินสามสีมาถือไว้ในมือขวา กระบี่สามเล่มบินวนรอบกายเขา ปล่อยไอน่ากลัวข่มขวัญออกมา กระบี่เล่มหนึ่งอยู่แทบเท้า ทำให้ดูราวกับว่าชายหนุ่มกำลังเหาะอยู่บนคมดาบนั้น เส้นผมของชายหนุ่มปลิวไสวในสายลม เบื้องซ้ายและขวามีกระบี่อีกสองเล่มที่ทอประกายเจิดจ้า พุ่งตรงตัดอากาศไปข้างหน้าเหมือนดาวตก จนห่างออกไปไกลลิบ
กงเต๋ามองหวังเป่าเล่อจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงแค่พุ่งหายไปเหมือนพายุเท่านั้น ชายหนุ่มมีสีหน้าตระหนก ขณะเงยขึ้นมองแผนที่ที่ลอยอยู่ในอากาศ กุญแจสามดอกรวมตัวกันอยู่ในแผนที่ตรงพิกัดใกล้ๆ พวกเขา และกำลังมุ่งหน้ามาหาทั้งสองที่เป็นเป้าหมาย ผู้บุกรุกเห็นหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าเข้าไปหาแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ชะลอความเร็วลงแต่อย่างใด หากแต่เร่งความเร็วขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งสองฝ่ายจะพุ่งเข้าปะทะกันภายในครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน!
ภาพนี้ทำให้กงเต๋ากระวนกระวายเหลือล้น เขารีบตามหวังเป่าเล่อในทันทีพร้อมตะโกนห้ามกับชายหนุ่มไปด้วย
“เป่าเล่อ รอก่อน เรายังไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้เป็นใครและมีปราณระดับใด เราไม่ควรเข้าปะทะตรงๆ แบบนี้ ซุ่มโจมตีเป็นทางเลือกดีกว่า!”
เจ้าเยี่ยเหมิงตกใจมากเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อและกงเต๋าพุ่งตามกันออกไป แผนการของนางพังไม่เป็นทาง นางเริ่มรู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวตุบที่กำลังจะเข้ามาเยือน สตรีหนึ่งเดียวจึงกระโจนตามไปเช่นกันเพื่อเตือนสติสหาย
“เป่าเล่อ ระวังผู้เข้าแข่งขันที่ซุ่มอยู่ระหว่างทางด้วย ข้าลองคำนวณดูแล้ว มีผู้เข้าแข่งขันหายไปจากแผนที่ราวร้อยคนได้!”
หวังเป่าเล่อเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลังจากได้ยินกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงตะโกนไล่หลังมา เขาได้ยินแล้วแต่ก็มีความคิดของตนเองเช่นกัน แม้ว่าการตัดสินใจของเขาจะดูบุ่มบ่าม แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าวิธีการจัดการกับปัญหาของเขา เข้ากันกับกระบวนเวทที่มีเป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุดคือ… เขามั่นใจว่าตนเองจะทำสำเร็จ!
แม้พลังปราณของชายหนุ่มในตอนนี้ จะอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลาง ต่างจากผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ที่มีปราณขั้นปลาย หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้คิดว่าตนเองด้อยกว่า ต่อให้… คู่ต่อสู้ของเขามีปราณกำเนิดแก่นในสมบูรณ์แบบ เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะเอาชนะได้ ด้วยกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิลักอัคคี!
ข้าทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจในสำนักวังเต๋าไพศาลมานานเกินไป จนแทบลืมไปแล้วว่าการตกเป็นเป้าสายตามันเป็นอย่างไร… ในเมื่อเฟิ่งชิวหรันควบคุมเมี่ยเลี่ยจื่อไม่ได้ และสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ยอมให้สหพันธรัฐส่งพันธุ์กล้ากลุ่มที่สองขึ้นมาบนดวงอาทิตย์ ข้า… ก็ต้องแสดงพลังที่แท้จริงให้เป็นที่ประจักษ์ ข้าจะปล่อยพลังทั้งหมดที่มีในการแข่งขันนี้!
แม้การอยู่ในเงามืดและการปกปิดความสามารถที่แท้จริงนั้นจะมีประโยชน์ในสถานการณ์นี้ แต่ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว! ประกายกล้าสว่างขึ้นในดวงตาหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกก่อนเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง สายฟ้านับไม่ถ้วยเลื้อยไปรอบตัวของเขา จนร่างทั้งร่างดูเหมือนสร้างจากอสนีบาต ที่พุ่งทะยานฉีกทะลุท้องฟ้า ชายหนุ่มคืบเข้าใกล้จุดทั้งสามที่กำลังพุ่งตรงเข้าหาเขาด้วยความเร็วเต็มพิกัดเช่นกัน!
แผนที่จากมุมสูงแสดงภาพคณะทั้งสองที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเข้าหากัน ขณะนี้ห่างกันเพียงห้าสิบกิโลเมตรเท่านั้น!
ที่ห้าสิบกิโลเมตรถัดไปนั้น ผู้ฝึกตนชายสองหญิงหนึ่งกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด ทั้งสามคนมีไอของความเย็นน่ากลัวแฝงอยู่ ชายผู้หนึ่งอยู่ในวัยกลางคน เขามีสีหน้าโหดเหี้ยมดุร้าย ส่วนชายอีกคนอ่อนวัยกว่า ดวงตาของเขาเรียวยาวเย็นเยียบมืดมิด ส่วนสตรีหนึ่งเดียวนั้นมีรูปโฉมที่งดงามเกิดบรรยาย
ทั้งสามคนเป็นศิษย์ในอาณัติของเมี่ยเลี่ยจื่อ พวกเขารู้จักกันเป็นอย่างดีและมีชื่อเสียงพอสมควรในสำนักวังเต๋าไพศาล พลังปราณของทั้งสามจัดได้ว่าอยู่ในระดับบนในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด แม้พวกเขาจะมีปราณเพียงระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลาง แต่เมื่อผนึกกำลังกันก็แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับผู้ฝึกตนปราณกำเนิดแก่นในขั้นปลายได้
“สามคนนั้นรู้ว่าพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปหา แต่ก็ไม่ได้หนีไป คนหนึ่งยังมุ่งหน้ามาทางเราอีกด้วย ดูจากความเร็วคงจะถึงในไม่ช้านี้…” ผู้ฝึกตนหญิงขมวดคิ้วขณะเอื้อนเอ่ย
“หวังว่าเราจะไม่เจอเข้ากับผู้ฝึกตนกำเนิดแก่นในขั้นปลายนะ…”
“เราคงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นหรอก รอบนี้มีผู้ฝึกตนกำเนิดแก่นในขั้นปลายอยู่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไป แต่หมอนี่ดูมีอะไรแปลกๆ ชอบกล ถ้าเป็นผู้ฝึกตนกำเนิดแก่นในขั้นปลายจริง เราก็เพียงแค่ต้องหนีเท่านั้น ข้าว่าคู่ต่อสู้ของเราคงไม่อยากบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงต้นของการแข่งขันเช่นกัน แต่หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนกำเนิดแก่นในขั้นปลายแล้วละก็… ถึงจะฆ่าไม่ได้ ก็จัดการหักกระดูกมันให้หมดเป็นคำเตือน!” ชายวัยกลางคนท่าทีดุร้ายพูดอย่างโอหัง แววกระหายเลือดวาบเข้ามาในดวงตาของสหายทั้งสอง
“หากเป็นไอ้พวกสวะชั้นต่ำจากสหพันธรัฐ เราก็ฆ่ามันเสียเลย!” หญิงสาวหนึ่งเดียวยิ้ม ความอำมหิตฉายแววขึ้นบนใบหน้าสวยสดของนาง
เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย ทั้งสามก็ชะลอความเร็วลง ในเมื่อคู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างไรก็ไม่หนีไปอยู่แล้ว ฉะนั้นก็อยู่รอให้มาหาเองน่าจะดีกว่า ทั้งสามเคลื่อนที่ช้าลง พลางปลุกพลังปราณของตนเองอย่างเต็มพิกัด พวกเขากระจายตัวออกจากกันเล็กน้อย ปล่อยวัตถุเวทให้บินวนอยู่รอบกายเพื่อรอการเข้าปะทะ หวังเป่าเล่อที่ก่อนหน้านี้อยู่ห่างออกไปห้าสิบกิโลเมตร บัดนี้อยู่ห่างไปเพียงสามสิบห้ากิโลเมตรแล้ว!
“สามสิบห้ากิโลเมตร… เรามีเวลาราวสิบนาที ดูเหมือนหมอนี่จะรีบเอากุญแจมาให้เราเหลือเกิน เห็นทีเราต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์กันสักหน่อยตอนหักแขนหักขามัน ถือว่าเป็นรางวัลที่อุตส่าห์ทำให้เราก้าวหน้าขึ้น” ชายวันกลางคนแสดงสีหน้าน่ากลัว เลียริมฝีปากด้วยความกระหาย ก่อนหันไปมองรอบกายตน เขาต้องการหาจุดที่เหมาะสมในการโอบล้อมคู่ต่อสู้คนนี้เอาไว้ ให้หนีไปไหนไม่ได้หลังจากที่แพ้ราบคาบแล้ว
ขณะที่กำลังมองหาจุดที่พอเหมาะพอดีรอบตัวอยู่นั้น สตรีข้างกายก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ นางหายใจหอบ น้ำเสียงเปลี่ยนไปในทันที
“ไม่ใช่สามสิบห้ากิโลเมตรแล้ว… สวรรค์โปรด ความเร็วของหมอนี่…”
นางอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มอ่อนเยาว์ข้างกายเองก็ตะโกนออกมาเช่นกัน
“สิบห้ากิโลเมตร!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันคาดคิด เมื่อชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมอง รูม่านตาของเขาก็หดแคบด้วยความตกใจ เขาไม่จำเป็นต้องมองแผนที่จากมุมสูงอีกต่อไป เนื่องจากบัดนี้ สายฟ้าคำรามปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าไกล สายฟ้าทรงพลังนั้นกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา!
อึดใจต่อมา… สายฟ้านั้นก็มาปรากฏตรงหน้าทั้งสาม!
อสนีบาตจากแก่นในอัสนีของหวังเป่าเล่อปั่นป่วนบ้าคลั่งอยู่ในอากาศ ความเร็วของเขาทำให้บริเวณกว้างหลายพันเมตรนั้น อบอวลไปด้วยเส้นสายฟ้าพิฆาตที่เต้นพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ ชายหนุ่มดูเหมือนพายุแม่เหล็กที่พร้อมกวาดล้าง!
ทั้งสามไม่มีเวลาพอจะทำสิ่งใด ต่างรู้สึกถึงพลังปราณน่ากลัวที่ไหลบ่าเข้าท่วมบรรยากาศ โอบล้อมบีบอัดพวกเขาไว้อย่างรวดเร็วจนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งเดียวที่รู้สึกได้คือสวรรค์พิโรธเบื้องบน ลงทัณฑ์พวกเขาด้วยอสนีบาตในตำนาน สายฟ้ามากมายต้อนพวกเขาไว้จนมุม และระเบิดออกต่อหน้าต่อตา ลมกรรโชกพัดกรีดแทงใบหน้า!
สายฟ้าเข้าควบคุมทั้งท้องฟ้าและอากาศ ผู้ฝึกตนหญิงกรีดร้อง วัตถุเวทที่ลอยวนอยู่รอบกายแหลกสลายกลายเป็นผุยผง นางกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างอ่อนปวกเปียกล้มตึงลงบนพื้นเหมือนว่าวที่โดนตัดสาย ชายหนุ่มข้างกายนางก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน อาวุธที่เขาหยิบออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ ดูเปราะบางจนทานทนไม่ได้แม้กระทั่งสายฟ้าฟาดเพียงครั้งเดียว และพากันระเบิดออกหมดสิ้น ส่วนร่างของเจ้าของอาวุธก็ถูกซัดปลิวไปข้างหลัง
ชายวัยกลางคนมีปราณอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับกำเนิดแก่นในขั้นกลาง ทำให้เขามีสภาพดีกว่าใครเพื่อน กระนั้นชายผู้นั้นก็ยังกระอักเลือดออกมา และเซถลาไปข้างหลัง ความตื่นตกใจพุ่งขึ้นในอก
“ข้าอยากทราบยิ่งนักว่าผู้นี้คือศิษย์เอกของผู้อาวุโสท่านใด ข้ามีนามว่าลู่ซ่ง ขอให้ท่านอภัยพวกเราด้วย พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะท้าทายท่านเลยแม้แต่น้อย…” ลู่ซ่งตัวสั่นและรีบตะโกนบอกในทันที คู่ต่อสู้ของเขาทรงพลังเกินไป จนเขาทั้งตกใจและหวาดหวั่น เขาเห็นร่างที่ดูทรงพลังราวเทพเจ้าอยู่กลางกระแสสายฟ้าโกรธเกรี้ยว แต่เนื่องจากมองไม่เห็นหน้า จึงไม่ทราบว่าตนเองกำลังร้องขอชีวิตจากใครอยู่
ร่างนั้นดูท้วม ไม่เหมือนศิษย์เอกคนใดเลยที่เขาจำได้ แต่ลู่ซ่งก็ไม่ได้คิดเรื่องนั้นอยู่นาน เนื่องจากพลังอันแสนแข็งแกร่งนี้บอกได้อย่างเดียวว่า ชายผู้นี้ต้องเป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสสูงสุดอย่างแน่นอน!
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนั้น แต่สหายทั้งสองของเขาก็เช่นกัน ดวงตาของพวกเขาทอประกายความหวาดหวั่นออกมา และดูพร้อมศิโรราบต่อผู้ที่เพิ่งมาถึงในทันที
ทันทีที่ลู่ซ่งพูดจบ เสียงสงบนิ่งของหวังเป่าเล่อก็สะท้อนออกมาจากพายุสายฟ้า
“ศิษย์เอกเช่นนั้นหรือ คือสิ่งใดกัน กินได้หรือเปล่า” หวังเป่าเล่อก้าวออกจากพายุ เสียงของเขาลอยเข้าหูของลู่ซ่งและสหายทั้งสอง สั่นสะเทือนเหมือนกระแสไฟ เขาพุ่งเข้าไปหาลู่ซ่งที่เลือดกบปาก สีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะมองหน้าลู่ซ่งให้ชัดด้วยซ้ำ เขากระชากกุญแจของลู่ซ่งออกด้วยมือขวา จากนั้นก็กระทืบขาขวาของลู่ซ่งจนเกิดเสียงดังป๊อก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเจ้าของขาที่หักสะบั้นลง!
หวังเป่าเล่อไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่ทำเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนชายและหญิงที่เหลือด้วยเช่นกัน ชิงกุญแจมา และหักขา ก่อนจะยืนจังก้าอยู่กลางอากาศ มองลงมายังผู้ฝึกตนทั้งสามที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มด้วยสายตาเย็นเยียบ ทั้งสามมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาคือใคร ต่างพากันตกตะลึงไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง!
“เจ้า… เจ้ามัน… เป็นไปได้อย่างไร!”
“พวกสวะชั้นต่ำจากสหพันธรัฐ…”
“หวังเป่าเล่อ!”
ชายหญิงทั้งสามสมองตื้อด้วยความตกใจ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ความรู้สึกประหลาดไหลบ่าเข้าท่วมใจ แต่ทันทีที่ความรู้สึกนั้นกำลังเข้าครอบงำ เสียงเย็นของหวังเป่าเล่อก็ลอยมาเข้าหู
“เจ้าว่าสหพันธรัฐเป็นอย่างไรนะ”
ทั้งสามมองเห็นน้ำแข็งอันตรายในดวงตาของหวังเป่าเล่อแล้วก็พาลตัวสั่น ความรู้สึกประหลาดพัดปลิวออกจากใจ แทนที่ด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น