ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 556-558
ตอนที่ 556 เทศกาลหมื่นบุปผชาติ
เขาไปเอาตาข้างไหนมาดูถึงได้กล้าพูดว่าเจ้าสำนักหยินหยางจะคุ้มครองเขากัน?
ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าสำนักหยินหยางคงจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังของวังตันติ่งกงยังมีเซียนที่แท้จริงอยู่ ถึงได้ตันสินใจเอ่ยออกไปว่าใครก็ไม่อาจแตะต้องเขา มาตอนนี้ยังคิดว่าจะได้อยู่อีกหรือ?
ต้าซือมิ่งและเจ้าแคว้นทองเดิมทีก็ชิงชังตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเห็นนางพูดออกมาเช่นนั้น ในใจก็ยิ่งเกิดความชิงชังกว่าเดิม
เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดี เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้คิดจะสร้างความแตกร้าวแท้ๆ นี่มิเท่ากับว่าลากท่านเจ้าสำนักหยินหยางและพวกเขาที่เป็นคนในสำนักหยินหยางไปงัดข้อกับชาวจิ่วโจวทั้งหมดหรอกหรือ?
แต่ถึงแม้จะมีความไม่พอใจอยู่เต็มท้องก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ไม่เห็นหรือว่าท่านเจ้าสำนักมีไอสังหารอยู่เต็มร่าง? ราวกับว่าหากใครกล้าด่าว่าเจ้าหนุ่มนั้นเพียงครึ่งคำ คงต้องถูกไอสังหารของเขาทิ่มแทงจนเป็นรูพรุนอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้คนทั้งหมดจึงได้แต่ก้มศีรษะลงไป สนใจไยกัน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงส่งกว่ารับเอาไว้ หากชาวจิ่วโจวบุกเข้ามา ท่านเจ้าสำนักก็ต้องขึ้นสวรรค์ไปเป็นคนแรก ส่วนพวกเขาอย่างมากก็คงต้องร่วมกลบฝังเท่านั้นเอง
เมื่อไม่มีหัว ตัวก็ต้องมีแผลถลอก….คิดๆดูแล้วช่างน่าอนาถใจจริงๆ
ว่าแล้วต่างก็ได้แต่คร่ำครวญกันอยู่ในใจ
ตู๋กูซิงหลันค่อยๆละเลียดริมฝีปากตนเองอย่างช้าๆ นางเหลือบตามองดูต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอยู่หลายครั้ง ว่าไปแล้ว ตอนที่นางยังเป็นไทเฮาน้อยอยู่…..ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนี้ ก็คอยหาเรื่องกับนางอยู่ไม่น้อย
ท่านราชครู ซิ่วเออร์….ใช่แล้ว ซิ่วเออร์ผู้นั้นก็คือคนของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยนบนดินแดนจิ่วโจวอย่างไร ถึงได้คอยหาเรื่องแทงหลังจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา
กระทั่งสุดท้ายก็ยังปั้น ‘ฉางซุนอิง’ ตัวปลอมนั่นออกมาอีกคน
เนื่องเพราะดินแดนจิ่วโจวนี้อยู่ห่างแสนไกล ข้อมูลที่ตู๋กูซิงหลันได้มาจึงยังมีน้อยไปอยู่บ้าง ทั้งยังไม่ทราบเรื่องของซิวหลัวเตี้ยนอย่างละเอียดนัก ตกลงแล้วพวกเขากับต้าโจว กับจีเฉวียนมีความแค้นใดกันแน่
ถึงขนาดที่ทำให้ แม้อยู่ห่างไกลกันด้วยพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นกลาง ก็ยังไม่อาจขัดขวางได้
เพราะรู้สึกถึงแววตาของนาง ต้าซือมิ่งถึงได้มองกลับไป ยามที่เขามองไปนั้น แววตาของตู๋กูซิงหลันก็มิได้หวั่นไหว ทั้งยังคมกริมประดุจเข็มที่สามารถทิ่มแทงผู้คนได้ตลอดเวลา
ที่นางมายังดินแดนจิ่วโจว เพราะตอนแรกมีจุดประสงค์จะตามหาพี่รอง …..กับบางที ชือหลีอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้
บิดาคนงามได้บอกกับนางแล้ว ว่า พี่รองยังไม่ตาย และบางทีอาจจะอยู่ในดินแดนจิ่วโจว หากนางไม่มีเป้าหมายในการตามหา ก็คงจะไม่ได้มาแล้ว
มิสู้เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของตนเองออกไป หากว่าพี่รองได้รู้ จะต้องเดินทางมาหานางเอง
ตอนนี้ มิใช่ว่ามีคนเหล่านี้เร่งรุดมาช่วยงานอยู่พอดีหรอกหรือ?
“ท่านเจ้าสำนัก ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่มาตราฐานในการรับศิษย์ของท่านต่ำต้อยจนถึงเพียงนี้?” ต้าซือมิ่ง ไม่ค่อยพอใจกับสายตาของตู๋กูซิงหลันสักเท่าไร สีหน้าจึงดำทะมึนอยู่ตลอดเวลา “คนเป็นอาจารย์ยังไม่ทันเอ่ยวาจา เขาก็กระโดดโลดเต้นออกมาแล้ว”
สถานที่อย่างตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนั้น ให้ความสำคัญกับกฏระเบียบและมารยาทอย่างที่สุด และตัวเขาเองก็เติบโตขึ้นมาจากบรรยากาศเช่นนี้ตั้งแต่เล็กๆ โดยรักษาและทำตามกฏของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมาโดยตลอด เขาจึงไม่อาจเข้าใจได้เลย ว่าคนอย่างตู๋กูซิงหลันที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ ทำไมท่านเจ้าสำนักหยินหยางถึงได้เห็นดีเห็นงามไปได้
เพราะว่า คนเช่นนี้ หากไปอยู่ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ก็ไม่รู้ว่าจะตายไปกี่ร้อยกี่พันหนตั้งแต่แรกแล้ว
อันที่จริงท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่นิยมพูดจามากความ และไม่ชอบคนมากและความครึกครื้น
เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ที่พึ่งจะรับเข้ามาใหม่ผู้นี้ เขากลับชื่นชอบเป็นพิเศษ
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบให้คนมาเอ็ดตะโรโวยวายอยู่ที่ข้างหู แต่ว่าคำพูดคำจาของนางกลับฟังดูแล้วลื่นหูเป็นพิเศษ
“ศิษย์น้อยของข้าบอกไม่ผิดแล้ว ข้าจะปกป้องเขา ชาวจิ่วโจวที่คิดไม่ตก อยากจะมาตาย ประตูใหญ่ของสำนักหยินหยางเราก็พร้อมต้อนรับ”
ต้าซือมิ่งกับเจ้าแคว้นทองถึงกับพูดอะไรไม่ออก…..
ไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยปาก ท่านเจ้าสำนักก็คิดจะจัดการกับผู้คนแล้ว
“ข้าชักจะล้าแล้ว ไม่อยากฟังวาจาไร้สาระอีก หากไม่มีเรื่องใดก็ไสหัวไปเสีย”
หลังจากนั้น เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวว่า “แน่นอน หากว่าอยากตาย ก็จงรั้งอยู่”
ต้าซือมิ่ง “…….”
เจ้าแคว้นทอง “……..”
ดังนั้นที่พวกเขาถ่อกันมาตั้งไกลก็เพื่อพาตัวเองมาถูกเหยียดหยามน่ะหรือ?
อยากจะกระอักเลือดออกมาเหลือเกิน
แต่ว่าที่นี่จะอย่างไรก็คือถิ่นของผู้อื่น พวกเขาย่อมไม่กล้าพูดอะไรมาก ในเมื่อสู้ไม่ได้ เถียงก็ไม่ได้ หากยังไม่ไปล่ะก็ คงจะต้องทิ้งชีวิตน้อยๆเอาไว้ที่นี่
ทุกคนต่างก็เป็นผู้ที่มีหน้ามีตามีที่มา มิใช่ว่าไร้ซึ่งสติปัญญา หลังไตร่ตรองดูเล็กน้อย พวกเขาก็ตัดสินใจจากไป
เจ้าแคว้นทองรู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เดิมทีเขาคิดจะมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับซ่งชิงอี แต่มาถึงที่นี่ไม่เพียงโดนตบตีไปรอบหนึ่ง ยังถูกขับไล่กลับไปอีก คิดแล้วก็ได้แต่คับแค้น
ยังดีที่ต้าซือมิ่งรั้งตัวเขาเอาไว้ พลางส่งสายตาให้เขาครั้งหนึ่ง เจ้าแคว้นทองจึงยอมถอยกลับไป
พอทั้งสองจากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงกว้างก็เงียบสงบลง
ภายในสำนักหยินหยางมีแต่ความมืด โถงกลางแม้กว้างใหญ่ แต่กลับเปิดหน้าต่างเอาไว้เพียงบานเดียว ทั่วทั้งโถงกว้างแขวนผ้าโปร่งดำสลับขาว ในโถงจุดเทียนเอาไว้ บรรยากาศดูไปแล้วคล้ายกับโถงสวดมนต์
เมื่อสองคนนั้นจากไป บรรดาศิษย์ในสำนักก็พากันถอยออกไป
เพียงครู่เดียวโถงกว้างก็มีแต่ความเงียบงันที่แม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยิน
รอจนผู้คนจากไปหมดแล้ว ตู๋กูซิงหลันค่อยเงยหน้าขึ้นมองดูคนข้างกาย นางยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
“ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ เจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา อย่าได้วิ่งวุ่นวาย”
“กลัวคนมาล้างแค้นหรือ?” ตู๋กูซิงหลัน โคลงศีรษะไปมา
“กลัวคนดักทำร้ายเจ้า”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
“ท่านเจ้าสำนัก”
“เรียกอาจารย์สิ”ตู๋กูซิงหลัน “……”
ช่างเถอะ ไม่คุยกับเขาแล้วก็ได้
อาจารย์ของนางมีเพียงซื่อมั่วคนเดียวตลอดกาล เขาไม่ใช่ซื่อมั่ว และก็ไม่ใช่จีเฉวียน นางจะไปโมเมเรียกเป็นอาจารย์ได้อย่างไร
……………………
ในดินแดนจิ่วโจวเต็มไปด้วยผู้ฝึกฝน ข่าวสารจึงแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งชิงอีตายแล้ว วังตันติ่งกงถูกทำลายจนแทบจะดับสูญ เจ้าแคว้นทองและต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ไปถกเถียงก็ถูกหยามเหยียดกลับไป ซ้ำยังถูกไล่ออกมาจากสำนักหยินหยาง
ข่าวนี้เพียงไม่กี่วันก็แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนจิ่วโจวแล้ว
และที่ยิ่งทำให้ชาวจิ่วโจวต้องตกตะลึงก็คือเจ้าสำนักหยินหยางที่กระทำเรื่องสังหารหมู่เพื่อศิษย์น้อยเพียงคนเดียวผู้นั้น เขายังจะมาร่วมงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติอีกด้วย?
โอ้ แล้วศิษย์น้อยผู้นั้นมีนามว่าอะไรนะ?
เยี่ยซิงหลัน
จุ๊……ทำไมถึงได้รู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูอย่างไรไม่รู้
เทศกาลหมื่นบุปผชาติ ถือเป็นงานใหญ่อันดับสองรองจากสุดยอดการประลอง
ทุกห้าปีในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง จะทำการจัดงานที่เมืองว่านฮวาเฉิง (เมืองหมื่นบุปผชาติ)
พูดตามจริงแล้วงานนี้ก็เป็นงานที่เจ้าแคว้นและหัวหน้าของขุมกำลังต่างๆมารวมตัวกัน เพื่อทำข้อตกลงเจรจาการค้าแลกเปลี่ยนความรู้ในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรต่างๆนานา
ก็เหมือนกับการจัดสุดยอดการประชุมเหล่าผู้นำในโลกปัจจุบัน
เจ้าสำนักหยินหยางที่พึ่งได้รับชัยชนะในสุดยอดการประลอง เขาย่อมต้องมาร่วมงานอย่างแน่นอนมิใช่หรือ?
…………………….
เมืองว่านฮวาเฉิง ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันเข้าประตูเมืองมา จมูกก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว
ตอนนี้ในดินแดนจิ่วโจวเป็นฤดูใบไม้ร่วง ที่อื่นๆล้วนมีแต่ใบไม้ปลิวว่อน มีแต่ที่เมืองว่านฮวาเฉิงที่อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ
ท้องฟ้าใสกระจ่างราวกับผ่านการซักล้าง เมฆลอยละล่องดุจขนมสายไหม เมื่ออยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามก็ยิ่งชวนให้คนมองมากกว่าเดิม
นางยื่นคอมองออกไปนอกรถม้า ดวงตาเปล่งประกายอย่างยากนักที่จะได้เห็น
ในเมืองว่านฮวาเฉิงเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง และอาคารสูงที่สร้างจากไม้ อีกทั้งยังมีเกาะน้อยที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอีกด้วย
ตอนที่ 557 จุ้ยเซียนจู (เหลาเซียนเมา)
พอมองขึ้นไป บนเกาะมีหมอกจางๆรายล้อม ทั้งยังมีกระเรียนเซียนโผบินไปมา บนหน้าผาของเกาะเหล่านั้น ยังมีกลีบของดอกไม้ร่วงลงมาอยู่ตลอดเวลา
รอบนอกของเกาะยังมีไอทิพย์บริบูรณ์ กระทั่งตาเปล่าก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ตู๋กูซิงหลันไม่เคยเห็นเกาะที่ลอยได้เช่นนี้มาก่อน
พอมองดูสิ่งก่อสร้างล้วนเป็นอาคารสูงที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลัง และยังงดงามปราณีตอย่างยิ่ง ผู้คนที่สัญจรล้วนเหยียบกระบี่เหาะเหิน บ้างก็ขี่สัตว์วิญญาณอสูรหน้าตาแปลกประหลาดต่างๆ
พ่อค้า นักพรต ทั้งยังมีชนเผ่าที่หน้าตาเป็นสัตว์ต่างๆ
เมืองว่านฮวาเฉิงทั้งเปิดกว้างและเจริญรุ่งเรือง
ตู๋กูซิงหลันถอนหายใจออกมายาวๆ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยประกายแวววาว
เปรียบเทียบกับสำนักหยินหยางที่ดูเหมือนสถานสวดมนต์ส่งวิญญาณแล้ว เมืองว่านฮวาเฉิงช่างน่าดูกว่ามากมายนัก ได้ยินนางถอนหายใจ ท่านเจ้าสำนักค่อยหันมาให้ความสนใจกับศิษย์น้อยเสียบ้าง
“เหนื่อยแล้วหรือ?” เขาสอบถาม
เนื่องเพราะเมืองว่านฮวาเฉิงอยู่ค่อนข้างไกลจากสำนักหยินหยาง เขาเองก็ไม่ได้ใช่สัตว์อสูรใดมาเป็นพาหนะเบิกทาง ทั้งยังไม่ได้ใช้วิชาเวทย์ที่ส่งคนข้ามมาถึงที่ในชั่วพริบตา เพียงแค่พานางนั่งรถม้ามาอย่างเรียบง่ายเท่านั้น
ทั้งยังอ้างอย่างสวยหรูว่า ต้องการจะให้ศิษย์น้อยได้ชื่นชมกับภูมิทัศน์และผู้คนในดินแดนจิ่วโจว
ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ จึงกินเวลานานถึงหกวัน
ทั้งการกินการดื่มขับถ่ายหลับนอนล้วนอยู่บนรถม้าคันนี้
รถม้าก็มิได้ตกแต่งอย่างงดงามหรูหรา มีแค่เพียงเครื่องเรือนที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
คนที่เป็นถึงเจ้าสำนักหยินหยางผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับประหยัดมัธยัสถ์ราวกับยาจกผู้หนึ่ง
ตลอดทางแทบจะไม่มีการพูดจา ช่วงหกวันที่ผ่านมา คำพูดของเขานับรวมกัน ก็คงได้ไม่ถึงสิบประโยค
ยากนักที่จะได้ยินเขาเอ่ยปาก ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ แต่ประกายตายังคงวาววับ
“เพียงแค่รู้สึกว่า…….เมืองว่านฮวาเฉิงแห่งนี้ช่างหรูหรางดงาม จนน่าอิจฉา”
เมืองนี้ทำให้นางนึกถึงบรรยากาศของวัดวาอารามในโลกปัจจุบัน คฤหาสน์ในชานเมืองและพาหนะหรูหราต่างๆ
ท่านเจ้าสำนักหรี่ตามองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าเป็นฮ่องเต้หญิง ย่อมไม่ขาดแคลนเงินทอง”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
นี่ใช่วาจาภาษาคนหรือ? นางมาที่จิ่วโจว แล้วจะให้หอบภูเขาเงินภูเขาทองของดินแดนโบราณมาด้วยหรือยังไง?
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งของที่อยู่ในท้องพระคลัง นางก็ไม่เคยนำออกมาใช้เพื่อตนเองเลยสักครั้ง มีแต่นำไปใช้กับเรื่องราวของบ้านเมืองต่างหาก รู้หรือไม่?
นางทำงานหนักบริหารบ้านเมืองด้วยคุณธรรม เป็นฮ่องเต้หญิงที่หาได้ยากในใต้หล้าอย่างแท้จริง
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ด้านข้าง เก้าอี้เตี้ยบนรถม้าไม่มีแม้กระทั้งเบาะปูรอง นั่งติดต่อกันมาหกวัน ก้นถลอกจนเจ็บไปหมดแล้ว
ตลอดทางมานี้ก็กินแต่หมั่นโถไม่กี่ลูก เส้นทางที่พวกเขาเดินทางผ่านมา มีแต่ชนบทอันยากจน ไม่มีเนื้อให้กินเลยสักมื้อ
ตู๋กูซิงหลันคิดถึงเจ้าติ๊งต๊องขึ้นมาในทันที…..
ว่าตามจริงแล้ว เจ้าไก่ตัวนั้นยังพึ่งพาได้มากกว่าท่านเจ้าสำนักเสียอีก อย่างน้อยๆเจ้าติ๊งต๊องก็รู้จักล่าสัตว์
จับกระต่ายป่าไก่ป่าอะไรล้วนทำได้ไม่มีปัญหา ทั้งยังเลือกแต่ตัวที่อ้วนพีเท่านั้น
ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่เล่า?
เป็นเทพเซียนตัวเป็นๆนี่เอง!
ตลอดหกวันแม้ไม่กินอะไรก็สามารถทำได้ นานๆทีถึงจะดื่มน้ำสักสองคำ
“ท่านเจ้าสำนัก ไม่กินไม่ดื่มอะไรเลยไม่ตายหรอกหรือ?”
“เรียกอาจารย์”
“เจ้าไม่กินอะไรไม่หิวตายหรือ?”
“ผู้ฝึกตนล้วนต้องอดทน ใช้ความยากลำบากเป็นเครื่องมือฝึกฝนตนเอง เจ้าเองก็ผ่านการฝึกฝนมามาก เรื่องแค่นี้คงไม่ใช่ว่าไม่รู้”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ไร้สาระอย่างที่สุด!
อ้างการฝึกฝนบ้าบออันใด ไม่ให้กินให้ดื่ม พึ่งพาพื้นฐานร่างกายยืนหยัดเอาไว้ หิวไม่ถึงตาย เป็นการฝึกฝนตนเอง ทั้งยังเปลี่ยนร่างกายเป็นเบาหิว เพิ่มพูนระดับขึ้นไปอีกขั้น
เช่นนั้นผู้คนยามมีชีวิตอยู่ ไม่รู้จักกินจักดื่ม…..ตายไปเป็นเซียนแล้วจะมีประโยชน์อันใด
ตู๋กูซิงหลันมองดูท่านเจ้าสำนักที่นั่งอยู่แต่ในรถม้าโดยมิได้เหลือบตาออกไปมองภายนอกแม้แต่แวบเดียว ในใจก็ก่นด่าเขาไปนับร้อยนับพันครั้งแล้ว
ว่าตามจริงแล้ว เจ้าคนผู้นี้ยังน่าเบื่อยิ่งกว่าท่านอาจารย์เสียอีก!
ทั้งยังขี้งกยิ่งกว่าเสี่ยวเฉวียนเฉวียน!
ออกจากบ้านเดินทางก็ไม่คิดจะพกพาเงินทองแม้แต่น้อย!
เขาเหมือนกับคนที่รวมอุปนิสัยสุดโต่งของทั้งอาจารย์และจีเฉวียนเอาไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องนิสัยที่ทำให้ผู้คนรังเกียจพวกนั้น
ตู๋กูซิงหลันพิงร่างกับรถม้า หิ้วท้องที่ว่างเปล่า จมูกก็ได้แต่กลิ่นหอมของดอกไม้และอาหารที่เลิศรสของเมืองว่านฮวาเฉิง
จนนางอดทนไม่ไหวลำคอกระตุก น้ำลายไหลอยู่ตลอดเวลา
ที่จริงก็มิใช่ว่าหิวอะไร แต่ว่าเกิดความโหยหา อยากกิน
ได้ยินเสียงนางกลืนน้ำลาย ในที่สุดท่านเจ้าสำนักที่นั่งนิ่งอยู่ก็หันมามองนางด้วยความเมตตาครั้งหนึ่ง
“ศิษย์เอ๋ย หากคิดจะมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาว ต้องรู้จักหุบปาก ปล่อยวางให้มาก”
ตู๋กูซิงหลัน “++++”
“กินใบหญ้าก็ได้ ดื่มน้ำค้างกินอาหารทิพย์ให้มากๆ เหล่านี้มีประโยชน์ล้วนมีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง”
ตู๋กูซิงหลัน “เฟ้ย! ช่างแม่งมันสิ!”
“มันแมงมันแม่งนั่นคืออะไร ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
ตู๋กูซิงหลัน ….โว้ย
หลังจากที่รถม้าเคลื่อนผ่านใต้เกาะลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองว่านฮวาเฉิง ในที่สุดก็พลันหยุดลง
กลีบดอกไม้จากด้านบนลอยลงมาไม่มีหยุด พอพวกเขามาถึง หลังคาของรถมาก็เต็มไปด้วยกลีบของดอกไม้
คนทั้งสองยังไม่ลงจากรถม้า ก็เห็นแล้วว่าใต้เกาะลอยฟ้าแห่งนี้มีผู้คนรวมตัวอยู่ไม่น้อย
ที่นี่มีแต่พวกเศรษฐีเดินเหินกันไปมา ที่นี่จะต้องหรูหรามากแน่ๆ
บนร่างของแต่ละคนมีแต่เครื่องประดับเลิศหรูอลังการ
ตู๋กูซิงหลันไม่มีแก่ใจจะไปชื่นชมความหรูหราเหล่านั้น นางเห็นแต่ว่ารถม้าจอดลงตรงอาคารหยกสูงสิบชั้นแห่งหนึ่ง หากมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง นางก็คงจะไม่มีทางเชื่อว่าใต้หล้าจะยังมีสถานที่ที่สวยงามและหรูหราขนาดนี้อยู่
แม้แต่ตัวตึกยังสร้างขึ้นด้วยหยก
หยกขาวนวลโปร่งแสงราวไขมันแพะ มุขทั้งแปดรอบอาคารประดับตกแต่งด้วยสมบัติล้ำค่า วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง
ที่ด้านบนสุดของอาคารหยก มีป้ายสีทองอยู่ป้ายหนึ่ง
ด้านบนนั้นเขียนอักษรเอาไว้สามตัว ‘จุ้ยเซียนจู’
กลิ่นเนื้อที่เข้มข้นลอยมาจากเหลาจุ้ยเซียนจูแห่งนี้นี่เอง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าท่านเจ้าสำนักใช่มีความแค้นกับนางหรือไม่ ไม่เพียงไม่ให้กิน ยังจงใจจอดรถม้าเอาไว้ตรงนี้
นี่มิเท่ากับว่าผลักคนไปตายหรอกหรือ?
ดังนั้นรอบนี้นางจึงทนไม่ไหวต้องหันไปถลึงตาใส่เขารอบหนึ่ง
พอถลึงตาไป ท่านเจ้าสำนักก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ “ลงจากรถ ไปกินข้าว”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
ไม่ใช่บอกว่าต้องฝึกตนหรอกหรือ?
“หากว่าเจ้าหิวตาย ข้าคงต้องถูกคนในจิ่วโจวหัวเราะเยาะ”
มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงกับกระตุก พี่ชาย ท่านเป็นศัตรูกับคนทั้งจิ่วโจวยังไม่กลัว มากลัวว่าชาวจิ่วโจวจะหัวเราะเยาะเนี้ยนะ?
นางได้แต่นวดกระบอกตาของตนเอง เผื่อว่าคนที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นจะเป็นตัวปลอม
พูดจบแล้ว เขาก็คว้าข้อมือของนางลากลงจากรถไป พึ่งลงมาถึง ปลายเท้าก็ต้องว่างเปล่าคนถูกท่านเจ้าสำนักโอบเอาไว้ทั้งตัวทะยานร่างขึ้นไปในอากาศ
ขณะที่คนรอบด้านยังไม่ทันได้เห็นชัดเจน พวกเขาก็ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของอาคารแล้ว
ผู้คนต่างก็พึมพำกันออกมาว่า
“เมื่อครู่มีตัวอะไรบินผ่านไปหรือไม่?”
“เหมือนจะใช่นะ”
“มีอะไรบินผ่านไปที่ไหนกัน ….ที่นี่คือจุ้ยเซียนจู พลังวิญญาณล้วนถูกควบคุมไว้ ใครจะไปเหาะได้กัน?”
………………….
“เอ๋ ตรงนั้นมีรถม้าเก่าๆจอดอยู่คันหนึ่ง เป็นของใครกัน?”
“ใครกันที่ช่างไม่มีตา นี่มิใช่เท่ากับว่าดูถูกเหลาจุ้ยเซียนจูหรอกหรือ?”
“หรือไม่ใช่?”
เหล่าคนที่แต่งกายหรูหราต่างก็ขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว เหลาจุ้ยเซียนจูนี้คือที่ใดกัน?
มันคือเหลาสุราที่หรูหราที่สุดในดินแดนจิ่วโจว แค่เข้าไปดื่มน้ำอึกหนึ่ง ออกไปก็สามารถคุยโม้ไปได้อีกนานถึงครึ่งปี
พวกเขาที่ต่างก็ขี่สัตว์วิญญาณชั้นสูง นั่งรถม้าหรูหราประดับหยกกันมา ยังได้แต่ยืนรออยู่ด้านหน้าเท่านั้นเอง
ตอนที่ 558 เจ้าก็ตั้งชื่อให้ข้าสักชื่...
ถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่อาจตรวจสอบว่า รถม้าที่ดูผุๆพังๆคันนี้มาจอดอยู่ที่หน้าประตูของจุ้ยเซียนจูได้อย่างไรกัน?
เมืองว่านฮวาเฉิงคือจุดที่เฟื่องฟูและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในดินแดนจิ่วโจว จึงเป็นพื้นที่ที่ห้าแคว้นใหญ่และสามขุมกำลังร่วมกันปกครอง
ต่อให้เป็นคนที่ยากจนที่สุดในเมืองว่านฮวาเฉิง ก็ยังต้องมีบ้านมีสัตว์อสูรวิญญาณเอาไว้ใช้ ไหนเลยจะนั่งรถมามาได้กัน?
สัตว์ธรรมดาอย่างม้า มาปรากฏตัวที่เมืองว่านฮวาเฉิงนั้น ถือเป็นการลบลู่เมืองว่านฮวาเฉิงแล้ว!
ผู้คนต่างก็พากันหันไปมองดู ต่างก็อยากจะรู้ว่าผู้ที่ไม่รู้ธรรมเนียมนั้นเป็นผู้ใด แต่มองดูอย่างไร ก็ไม่เห็นว่าในรถม้านั่นจะมีคนอยู่
อืม…..ยังดีที่รู้จักประมาณตนอยู่บ้าง รู้ตัวว่าตนเองทำเรื่องน่าละอายจนไม่อาจสู้หน้าผู้คน จึงได้ทิ้งรถไว้แล้วจากไปสินะ
…………………
จุ้ยเซียนจู ชั้นบนสุด
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะวางเท้าลงไป ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่ม
นี่เป็นพรมผืนใหญ่ที่มีลวดลายหรูหรางดงาม ไม่รู้ว่าทำมาจากขนสัตว์ชนิดใดกัน ยังนุ่มกว่าขนแกะเสียอีก พอย่ำเท้าลงไป ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบลงไปบนปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น
อ่อนนุ่มจนยวบลงไป แต่พอชักเท้าออกมาก็พรมก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
ไม่เหลือรอยยับรอยย่นใดๆ
ช่องทางเดินที่กว้างขวางทั้งสองข้าง ประดับตกแต่งด้วยของเก่าโบราณที่ประณีตสวยงาม บนกำแพงยังแขวนภาพที่วิจิตรงดงามเอาไว้ ตอนอยู่ที่ชั้นล่างยังได้กลิ่นเนื้อที่หอมหวนอบอวลอยู่เต็มไปหมด แต่พอมาถึงชั้นบนสุด กลับเป็นกลิ่นของไม้ถานเซียง
ชั้นบนที่หรูหรางดงาม กลับไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว
ท่านเจ้าสำนักคว้าข้อมือของตู๋กูซิงหลัน เดินลึกเข้าไปตามทางเดิน
ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน แสงสว่างก็ยิ่งน้อยลง กระทั่งถึงห้อง ‘อักษรสวรรค์หมายเลขหนึ่ง’ ท่านเจ้าสำนักถึงได้หยุดเท้าลง
พอโบกชายเสื้อครั้งหนึ่ง บานประตูที่จัดสร้างจากแผ่นหยกก็ค่อยเปิดออก แสงสว่างภายในห้องยังคงอ่อนจาง มีเพียงเทียนสีแดงครึ่งเล่มที่จุดทิ้งเอาไว้จนน้ำตาเทียบย้อยลงมา
เขาคว้าตัวตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็นั่งลงบนเบาะที่อยู่ใกล้หน้าต่าง
ทั้งยังลากตู๋กูซิงหลันลงมานั่งข้างๆ
ตู๋กูซิงหลันมองดูการตกแต่งภายในห้องอย่างประหลาดใจ บรรยากาศของภาพในห้องทำให้อยู่ๆนางก็คิดถึงห้องทรงพระอักษรในพระตำหนักตี้หัวกงขึ้นมา
ดูโบราณ มีชั้นหนังสือมากมาย มีหนังสืออยู่เต็มไปหมด
เพียงแต่ห้อง ‘อักษรสวรรค์หมายเลยหนึ่ง’นี้ ยังมีหนังสือมากกว่าในห้องพระอักษรเสียอีก แค่ดูก็รู้ว่าทรงคุณค่ามากมายถึงเพียงไหน
ทุกสิ่งล้วนงดงามและประณีต แค่ดูก็รู้ว่าหรูหราอลังการไปทุกๆอย่าง
บนโต๊ะเตี้ยมีชาร้อนตระเตรียมเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ท่านเจ้าสำนักเอื้อมมือไปรินมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งให้ตนเอง อีกถ้วยหนึ่งส่งให้นาง
ตู๋กูซิงหลันรับมาถือเอาไว้ในมือ จิบน้อยๆคำหนึ่ง
ทันทีที่กลืนลงไป อวัยวะภายในทั้งหมดก็เหมือนได้รับการชำระล้าง รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย สมองก็สดใสขึ้นมาก
สมแล้วที่เป็นสถานล่อลวงผู้คนแค่น้ำชาคำเดียวก็ยังมีผลลัพธ์ถึงเพียงนี้
มิน่าเล่าที่ด้านนอกถึงได้มีผู้คนมากมายเข้าแถวรอ
“นี่คือชาอู้เต้า ดื่มให้มากหน่อย มีสรรพคุณช่วยทะลวงชีพจร กระตุ้นสมองให้แจ่มใส”
ท่านเจ้าสำนักรินให้นางอีกครั้งจนเต็ม จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปเปิดหน้าต่างออกไปครึ่งหนึ่ง
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยถูกต้อง นางโง่หรือ?
ชาอู้เต้า…..ที่อารามเทียนเก๋อกวนก็มี อู๋เจินมักจะจัดส่งมาให้ที่วังอยู่เสมอ นางเองก็เคยดื่มมาก่อน
เพียงแต่ว่าชาอู้เต้าของอารามเทียนเก๋อกวน มิได้มีสรรพคุณดีเยี่ยมเช่นนี้
พอดื่มชานี้ลงไปอึดหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ยื่นศีรษะลงไปมองดูข้างล่าง ก่อนนี้ไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้พอมองลงไปดู ถึงได้เห็นว่าที่ด้านล่างตรงหน้าเหลาจุ้ยเซียนจูมีคนเขาแถวรอกันอยู่ยาวเหยียด
ที่ปากประตูมีสาวน้อยที่สวมใส่ชุดพนักงานอยู่ผู้หนึ่ง กำลังให้การต้อนรับลูกค้าที่มาต่อแถว
ส่วนรถม้าของพวกเขา ถูกลากไปทิ้งเอาไว้ที่ด้านข้างอย่างไม่สนใจไยดี
ตู๋กูซิงหลันเก็บสายตากลับมา ครุ่นคิดถึงปัญหาที่สำคัญข้อหนึ่ง
อีกสักครู่พอถูกเจ้าของเหลาจุ้นเซียนจูจับได้ แล้วโยนลงไป…..นางสมควรจะกลิ้งลงไปอย่างไรถึงจะลื่นไหล?
สมองยังคงคิดอะไรไม่ออก ก็ได้ยินท่านเจ้าสำนักเอ่ยถามว่า “เจ้าอยากจะกินอะไร?”
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
“หืมไม่ใช่ของกิน”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
นางคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เนื้อ”
นางชอบกินเนื้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว หากไม่มีเนื้อก็เศร้า โดยเฉพาะขาหมู แพะย่างล้วนเป็นของโปรด
“ข้าเข้าใจแล้ว” ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆสามครั้ง
ตู๋กูซิงหลันมิได้ละเลยปฏิกริยาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้
นิสัยประจำตัวอย่างหนึ่งของจีเฉวียนก็คือใช้นิ้วเคาะโต๊ะ
ทุกครั้งที่นางนึกถึงขึ้นมา ก็ยังอดที่จะทำตามไม่ได้เช่นกัน
พอตอนนี้ได้เห็นเขาแสดงออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องชะงักงันไปเล็กน้อย
นางวางถ้วยชาบนมือลง ถามออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านเจ้าสำนัก เจ้าแน่ใจหรือว่าตนเองไม่มีชื่อ?”
นางติดตามเขามาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงชื่อของตนเองมาก่อนเลย
ทั่วทั้งสำนักหยินหยางเองก็ไม่มีใครรู้ ว่าท่านเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขามีนามว่าอะไร
สีหน้าของท่านเจ้าสำนักยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดวงตาหงส์คู่นั้นปราศจากแววลังเล “เรียกว่าอาจารย์”
ศิษย์ตัวน้อยช่างไม่เชื่อฟัง ผ่านมาก็ตั้งนานหลายวันแล้วยังไม่ยอมเรียกเขาว่าอาจารย์สักคำ
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมาคุกเข่าตัวตรง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องไปที่เขาด้วยแววตาที่เจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกน้อย
“บอกชื่อของเจ้ามาสิ แล้วข้าจะเรียก”
นี่ถือว่านางถอยให้ก้าวใหญ่ที่สุดแล้ว
ท่านเจ้าสำนักไม่สนใจนาง เขาเพียงแต่หลุบตาลง มองดูเงาของตนเองในจอกน้ำชา ใบหน้านั้นช่างดูคุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกันก็แปลกตาด้วย
ถามว่าเขาชื่ออะไรน่ะหรือ …..ดูเหมือนว่าตั้งแต่จำความได้ เขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าตนเองชื่ออะไร
ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นเย็นๆของสำนักหยินหยาง ในสำนักกำลังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก
เขาไม่ได้ตั้งใจเท่าไรแต่กลับกลายเป็นว่าฆ่าฟันจนกลายเป็นคนสุดท้าย กลายเป็นเจ้าสำนัก
พอสุดท้ายก็เข้าสู่ช่วงสุดยอดการประลองของจิ่วโจวพอดี จึงเข้าร่วมการประลองในนามของสำนักหยินหยาง
จากนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจอีกนั่นแหละ ชนะ
เรื่องราวก็เรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนอย่างที่ศิษย์ตัวน้อยคิด
เขาชื่อว่าอะไร มาจากที่ไหน ปีนี้อายุเท่าไหร่ ล้วนไม่รู้สักอย่าง
ท่านเจ้าสำนักได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ แต่สีหน้ากลับไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
คนทั้งสำนักหยินหยางต่างก็คิดว่าเขาไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา จะดีใจเป็นทุกข์ขุ่นเคืองหรือโกรธเกรี้ยวก็มีอยู่สีหน้าเดียว
พวกเขาไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วเขาเพียงแต่เก็บอารมณ์ได้ดีเกินไปเท่านั้น บนสีหน้าไม่เคยแพร่งพรายอารมณ์ใดๆโดยง่าย
เขาเงียบงันไปเนิ่นนาน นานเสียจนนางนึกว่าเขาคร้านที่จะสนใจนางเสียแล้ว
แต่แล้วริมฝีปากกลีบบัวที่ผุดจากนรกคู่นั้นกลับขยับ
“ข้าเคยบอกแล้ว ว่าไม่มีชื่อ”
ประโยคนี้ตู๋กูซิงหลันฟังมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว นางนวดขมับตนเอง พยายามเก็บความรู้สึกที่อยากระเบิดอารมณ์ออกมา
แต่แล้วก็เห็นว่าเขาอยู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาหงส์คู่นั้นมองลึกเข้าไปในแววตาของนาง
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าตั้งชื่อให้ข้า”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเขานั้นเหมือนกับว่ากำลังมอบเกียรติอันสูงส่งบางอย่างให้กับนาง
เขานั่งตัวตรงอย่างสง่างาม สีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่ง แววตาเย็นชาทว่าสูงส่ง ทั้งดูร้ายกาจและเข้มงวดอยู่ในที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น