ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 555-561

 ตอนที่ 555 วังมายานภาหยก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่คือ……”


หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวของอักขระรูปใบไม้ที่อยู่บนแขน ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงการร้องเรียกจากที่ไกลๆ อย่างน่าประหลาดใจ


เขาเดินออกจากห้องสงบจิตในทันที และมาปรากฏตัวบนหลังคาของหอร้อยหลอม ครู่ต่อมา ก็มองเห็นเงาวังสีเขียวขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าไกลๆ


แม้จะห่างกันไกล แต่เงาวังขนาดใหญ่กลับดูราวกับเทือกเขาที่สูงตระหง่าน มีลักษณะยิ่งใหญ่น่าเกรงขามวางขวางอยู่กลางอากาศ ไม่ว่าใครก็ตามเพียงแค่มองดูเล็กน้อย ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกดขี่อันรุนแรง


หลิ่วหมิงยืนตกตะลึงพรึงเพริดอยู่กลางอากาศพักใหญ่ๆ และต่อมาก็รับรู้ได้ถึงการเรียกหาจากบนแขนอย่างรุนแรง และต้นกำเนิดของการร้องเรียกนี้ก็คือเงาวังลึกลับที่ปรากฏบนท้องฟ้าไกลๆ นั่นเอง


ขณะเดียวกัน ผู้คนในตลาดจำนวนมากต่างก็สังเกตเห็นสภาพแปลกประหลาดบนท้องฟ้าไกลๆ


ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่เดินเตร่อยู่บนท้องถนน ผู้ที่กำลังซื้อของอยู่ในร้านค้า หรือว่าผู้ที่นั่งฝึกฝนอยู่ในห้อง ต่างก็พากันวางมือจากเรื่องที่ทำอยู่ และกรูกันมาที่มุมถนนจ้องมองเงาวังด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด


แม้กระทั่งมีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยที่กระโดดขึ้นบนหลังคาเหมือนกับหลิ่วหมิง  เพื่อที่จะดูว่ามันคือสิ่งใดกันแน่


“วังมายานภาหยก!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดคำพูดนี้ออกมา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขาได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก จึงหันไปมองคนที่ตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้


แต่ทว่าในขณะนั้นเอง “ฟิ้วๆ!” ลำแสงแปลกประหลาดพุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งไปทางเงาวังที่อยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีด ซึ่งเป็นคนที่ตะโกนออกมาในก่อนหน้านั้น สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุด


ไม่นานก็มีแสงหลบหลีกพุ่งออกจากตลาดเป็นจำนวนมาก และตามหลังชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดไปติดๆ


จากนั้นผู้ฝึกฝนจำนวนมากก็พุ่งไปยังวังที่อยู่ไกลๆ


ภายในร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หอร้อยหลอม หญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางค่อยๆ ก้าวออกมา ผู้อาวุโสชุดดำที่ชื่อเฉียวจื้ออียืนอยู่ด้านข้าง ทั้งสองมองไปยังเงาวังด้วยความตกใจระคนดีใจ


“คิดไม่ถึงว่าเศษกระจกนภาหยกเพิ่งจะมีการตอบสนองแค่ครึ่งวัน วังมายานภาหยกก็เปิดขึ้นแล้ว” ผู้อาวุโสชุดดำจ้องมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เป็นประกายแวววาว และค่อยๆ กล่าวออกมา


“ผู้เฒ่าเฉียว พวกเราก็ออกเดินทางไปกันเถอะ” ดวงตางดงามของหญิงสาวชุดม่วงเผยแววตื่นเต้นออกมา และหันมากล่าวกับผู้อาวุโส


ผู้อาวุโสได้ยินก็พยักหน้า


หญิงสาวชุดม่วงยกมือปล่อยมุกสีแดงเข้มออกมาหนึ่งเม็ด หลังจากแสงสีแดงเปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง วิหคจิตวิญญาณที่มีขนสีแดงก็ปรากฏออกมา รูปร่างภายนอกดูคล้ายเหยี่ยวหัวดำ มันแหงนหน้าส่งเสียงกังวานออกมา


ทั้งสองลอยขึ้นไปบนหลังของวิหคสีแดง พอมันกระพือปีกทั้งสอง ก็ก่อเกิดพายุพัดกระหน่ำ จากนั้นก็พาทั้งสองพุ่งไปยังเงาวัง


หลิ่วหมิงมองดูวิหคจิตวิญญาณสีแดงที่พุ่งออกไป และปราดตามองหญิงสาวชุดม่วงกับผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่บนหลังของวิหคด้วยความประหลาดใจ


แม้จะมองแค่ปราดเดียว เขาก็จำผู้อาวุโสชุดดำได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นหญิงสาวชุดม่วงมาก่อน แต่ก็พอจะเดาสถานะของนางได้


ขณะนี้มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ข้างตัวหลิ่วหมิง เถ้าแก่เย่กับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสอง ก็พุ่งออกจากหอร้อยหลอมเช่นกัน และมายืนอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง


“วังมายานภาหยก….. คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นมันเปิดในขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่” เถ้าแก่เย่จ้องมองเงาวังที่อยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างถึงขีดสุด ความรู้สึกตกใจระคนดีใจ ความปรารถนา ความไม่ยินยอม และความรู้สึกต่างๆ ถูกเผยออกมา ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสองก็อุทานด้วยความเสียดาย


“เถ้าแก่เย่ วังมายานภาหยกที่ท่านกล่าวถึงคือสิ่งใดกัน? เมื่อครู่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตะโกนชื่อนี้ออกมา” หลิ่วหมิงหันมาถามอย่างราบเรียบ


“เฮ่อๆ! ลืมไปว่าท่านทูตหลิ่วเพิ่งจะมาตลาดฉางหยางได้ไม่นาน ไม่แปลกที่จะไม่เคยได้ยินชื่อวังมายานภาหยกมาก่อน” เถ้าแก่เย่ได้ยินก็กล่าวอย่างลึกลับ


“แท้จริงแล้ววังมายานภาหยกเป็นซากวัตถุสมัยบรรพกาล”


“ซากวัตถุสมัยบรรพกาล!” พอได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจจนต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ภาพคัมภีร์จำนวนมากที่เขาเคยอ่านผุดขึ้นในสมอง


ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณ ซากวัตถุสมัยบรรพกาลที่กล่าวถึงนี้ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นก่อนสมัยโบราณกี่หมื่นกี่พันปี ซึ่งปราณฟ้าดินในขณะนั้นหนาแน่นกว่าตอนนี้มาก


ว่ากันว่าในตอนนั้น เผ่าปีศาจในสมัยโบราณยังไม่ทันค้นพบโลกมนุษย์ ดินแดนผู้ฝึกฝนก็รุ่งเรืองกว่าตอนนี้หลายร้อยเท่า


เคล็ดวิชาในสมัยบรรพกาลมีมากมายนับไม่ถ้วน อาวุธเวท อาวุธเวทจิตวิญญาณปรากฏออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม้กระทั่งการแบ่งเขตแดนผู้ฝึกฝนก็แตกต่างจากตอนนี้มาก


แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดโลกมนุษย์ถึงได้เผชิญกับมหันตภัยฟ้าดินครั้งยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ทำให้ปราณต้นกำเนิดเบาบางกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ผู้ฝึกฝนแต่ละเผ่าสังหารกันอย่างบ้าคลั่ง จนผู้มีพลังเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก


และขณะนั้นโลกมนุษย์กลับถูกเผ่าปีศาจโบราณค้นพบโดยกะทันหัน ก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองดินแดน ผู้คนในโลกมนุษย์จำนวนมากถูกดึงเข้าสู่สงครามในครั้งนี้ และเปิดฉากของสมัยโบราณที่ยืดเวลานานนับล้านปี


สำหรับยุคสมัยบรรพกาลในตำนานนั้น คัมภีร์จำนวนหนึ่งก็ไม่ได้อธิบายละเอียด ผู้คนพากันพูดไปต่างๆ นานา เพราะเวลามันยาวนานเกินไป หลิ่วหมิงเองก็อ่านจากคัมภีร์ในนิกายยอดบริสุทธิ์มาเพียงเล็กน้อย และตอนที่อยู่ในนิกายปีศาจ ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก


“วังมายานภาหยกอยู่ในช่วงท้ายของสมัยบรรพกาล ผู้ฝึกฝนทรงพลังที่มีชื่อว่าราชาสวรรค์นภาหยกเป็นผู้สร้างขึ้นมา เป็นสถานที่พิเศษที่ใช้บ่มเพาะศิษย์ในนิกายโดยเฉพาะ”


“แต่ทว่าหลังจากที่ผู้ทรงพลังท่านนี้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ กุญแจที่ใช้เข้าวังมายาแห่งนี้ก็คืออาวุธเวทที่เรียกว่ากระจกนภาหยก ซึ่งมันแตกกระจายนับพันชิ้น ผู้คนรุ่นหลังที่มีเศษกระจกนี้ ถึงจะสามารถเข้าวังมายาแห่งนี้ได้ และจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก ว่ากันว่าเวลาที่รอคอยยิ่งยาวนาน ผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะมากขึ้นตามไปด้วย”


“เศษกระจกนภาหยก……” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และกวาดสายตามองดูแขนที่ร้อนเล็กน้อย


เถ้าแก่เย่และคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองเงาวังที่อยู่ไกลๆ โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิง


“ตำแหน่งที่เปิดวังมายานภาหยกก็คือบริเวณตลาดฉางหยาง ดังนั้นผู้คนที่อยู่ที่นี่มานานต่างก็เคยได้ยินตำนานนี้ แต่ว่าวังมายาแห่งนี้ปรากฏตัวไม่แน่นอนในแต่ละครั้ง ใช้เวลานานสุดก็หลายพันปี เวลาสั้นสุดก็สองสามร้อยปี ด้วยเหตุนี้ แม้ที่ผ่านมาจะมีคนได้รับเศษกระจกนภาหยก แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีเจ้าของเศษกระจกที่รอคอยอยู่บริเวณตลาดฉางหยางได้นานเช่นนี้”


หลิ่วหมิงฟังจบก็เอามือข้างหนึ่งลูบอักขระสีเขียวหยกที่อยู่บนแขน เขาเริ่มจะเชื่อคำพูดของเถ้าแก่เย่ขึ้นมาเล็กน้อย


“ครั้งก่อนที่วังมายานภาหยกเปิด คงเป็นเวลาเจ็ดร้อยปีก่อนสินะ ดังนั้นจึงมีคนคิดว่ามันเป็นแค่ตำนาน คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นวันที่มันเปิดออกมาจริงๆ” ผู้เชี่ยวชาญหัวที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยความประหลาดใจ


“วังมายานภาหยกมีชื่อเสียงเช่นนี้ ไม่รู้จะได้ประโยชน์อะไรจากด้านในกันแน่?” หลิ่วหมิงลูบคางแล้วกล่าวอย่างสงบ


เถ้าแก่เย่กับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสองต่างก็อยู่ในตลาดฉางหยางมานานหลายสิบปีแล้ว จึงได้ยินตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาไม่น้อย พอเห็นว่าหลิ่วหมิงรู้สึกสนใจ ก็เล่าเรื่องที่ได้ยินมาทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง


หลังจากฟังทั้งสามสลับกันพูดจนจบแล้ว หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ เข้าใจเกี่ยวกับวังมายานภาหยกขึ้นมา สำหรับผลประโยชน์ในนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้


ตามที่ทั้งสามกล่าวมา มีแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น ถึงจะเข้าไปในวังมายานภาหยกได้ อีกอย่าง ก่อนเข้าไปต้องผ่านการทดสอบก่อน หากไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเหนือกว่าผู้อื่น ต่อให้จะมีเศษกระจกอยู่กับตัว ก็ไม่อาจเข้าไปได้


นอกจากนี้ วังมายาจะดำรงอยู่เป็นเวลาสามเดือน พอถึงเวลา ผู้คนที่อยู่ด้านในจะถูกส่งออกมา จากนั้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย


“ในเมื่อเป็นวัตถุบรรพกาลที่พันปีถึงจะพบเจอครั้งหนึ่ง ข้าก็จะไปร่วมสนุกด้วยซักหน่อย” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะทั้งสาม จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งไปยังวังมายา


“ปกติท่านทูตหลิ่วจะเก็บตัวฝึกฝนตลอด คิดไม่ถึงว่าจะสนใจเรื่องเช่นนี้ด้วย” เถ้าแก่เย่จ้องมองแสงหลบหลีกของหลิ่วหมิงที่พุ่งออกไป และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“มีอะไรน่าแปลกใจเล่า ตอนที่ข้ากับเจ้ามาตลาดฉางหยางใหม่ๆ ก็ไม่ใช่ว่าไปสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับวังมายานภาหยกหรอกหรือ? จุ๊ๆ! คิดไม่ถึงว่าจะมีวันได้เห็นมันปรากฏออกมาจริงๆ” ชายวัยกลางคนแซ่หัวกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


“หลังจากวังมายาเปิด คาดว่าเวลาสามเดือนให้หลัง คงมีผู้ฝึกฝนจากทั่วทิศกรูกันมาไม่น้อย ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะหาหินจิตวิญญาณกัน” เถ้าแก่เย่ดูเหมือนจะมีหัวทางการค้าเป็นอย่างมาก


ทั้งสามแสดงความคิดเห็นกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร่อนลงไปอย่างรวดเร็ว


ข่าวการปรากฏตัวของวังมายานภาหยกแพร่สะพัดถึงกลุ่มอิทธิพลใหญ่แต่ละกลุ่มในตลาดฉางหยางอย่างรวดเร็ว


ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งในแผ่นดินจงเทียนที่มีเศษกระจกนภาหยก ขอแค่สามารถมาถึงตลาดฉางหยางในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ต่างก็รีบออกเดินทางด้วยความดีใจ บ้างก็อาศัยค่ายกลส่งตัวมาอย่างไม่เสียดายหินจิตวิญญาณ


และผู้ที่มีเศษกระจกกับกลุ่มอิทธิพลที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล ย่อมรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องละทิ้งโอกาสอันดีนี้ไป


ทิศทางจากตลาดฉางหยางไปวังมายานภาหยก มีลำแสงลำสองลำพุ่งออกไปอยู่ตลอด พวกเขาต่างก็แย่งกันไปให้ถึงก่อน


ผู้ฝึกฝนที่อยู่ใกล้ตลาดฉางหยาง ต่างก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วที่สุดในการเดินทาง


และพื้นที่เปล่าเปลี่ยวกว้างโล่งตรงด้านล่างของวังมายานภาหยก ปกติจะมีคนมาที่นี่น้อยมาก แต่ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ดูคึกคักขึ้นมา และถูกผู้ฝึกฝนจำนวนมากครอบครองพื้นที่ไว้


ผู้ฝึกฝนเหล่านี้ บ้างก็ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ บ้างก็ลอยอยู่กลางอากาศ แต่ล้วนชี้ไปทางเงาวังอยู่ไม่หยุด


ขณะนั้นเอง ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาจากขอบฟ้าไกลๆ พอมาถึงอากาศบริเวณนั้นถึงได้หยุดตัวลง


หลังจากไอดำสลายไปแล้ว ก็มีเงาร่างเผยออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำนั่นเอง


เขาแหงนหน้าและหรี่ตามองขึ้นไป


ตอนอยู่ในตลาดมองเห็นเพียงเงาร่างของวัง พอตอนนี้มาอยู่ใกล้ๆ เงาของวังก็ดูชัดเจนขึ้นมามาก


วังอันทรงพลังลอยอยู่กลางอากาศที่สูงร้อยกว่าจั้งอย่างเงียบๆ มันเปล่งแสงสีเขียวแวววาวอยู่ตลอดเวลา แลดูคล้ายกับภาพมายาในความฝัน ราวกับวังสวรรค์ไม่มีผิด ช่างสมกับชื่อวังมายายิ่งนัก


หลิ่วหมิงมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงถอนหายใจยาวๆ เรียกสติกลับมา และก้มหน้าสำรวจดูรอบด้าน


จะเห็นว่าผู้ฝึกฝนในที่นี้มีมากถึงหนึ่งพันกว่าคน ทุกคนต่างก็จ้องมองเงาวังตรงหน้า และกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา


ตอนที่ 556 บันไดห้าสี

โดย

Ink Stone_Fantasy

วังมายานภาหยกถูกม่านแสงสีขาวแวววาวปกคลุมไว้


และด้านล่างของวัง มีบันไดห้าสีพร่ามัวทอดยาวจากประตูวังออกไปนอกม่านแสง คงเป็นทางเข้าเดียวของวังมายานภาหยก


หลิ่วหมิงมองดูบันไดห้าสีทีหนึ่ง และไม่ได้รีบเข้าไปแต่อย่างใด แต่กลับมองไปยังม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมอยู่ด้านนอก และสังเกตดูชั้นจำกัดป้องกันที่ผู้ฝึกฝนในสมัยบรรพกาลวางไว้


ม่านแสงแวววาวราวกับหยก ดูเหมือนมันจะสงบมาก แต่กลับให้ความรู้สึกหนาแน่นอย่างบอกไม่ถูก


หลิ่วหมิงปล่อยจิตส่วนหนึ่งไปกวาดดูอย่างช้าๆ


แต่ขณะที่ยังอยู่ห่างจากม่านแสงหลายฉื่อนั้น ก็ดูเหมือนว่าพลังจิตของเขาจะปะทะกับสิ่งกีดขวางไร้รูปหนึ่งชั้น จนไม่อาจเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีกลิ่นไออันตรายแผ่ออกมาจากส่วนที่อยู่ลึกๆ


ประจักษ์ชัดว่าหากมีคนคิดจะบุกเข้าไป จะต้องไม่มีผลลัพธ์ที่ดีแต่อย่างใด


หลิ่วหมิงดึงจิตกลับมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เผยแววตาลังเลออกมา


ลำพังแค่เกราะป้องกันวังมายานภาหยก ยังมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ สมกับเป็นวัตถุในสมัยบรรพกาลจริงๆ


ขณะนั้นเอง มีเสียงดังลั่นมาจากบันไดห้าสี พอมองออกไปไกลๆ ก็ค้นพบว่ามีคนลองปีนป่ายบันไดห้าสีอยู่


หลิ่วหมิงจ้องมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ผู้ที่กำลังลองปีนบันได้อยู่ในขณะนี้ เป็นชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีด พอหลิ่วหมิงมองออกไปก็จำได้ในทันที คนผู้นี้ก็คือผู้ที่ตะโกนชื่อวังมายานภาหยกออกมาเป็นคนแรกในตอนที่อยู่ในตลาดฉางหยางนั่นเอง


ที่แท้คนผู้นี้ก็มีเศษกระจกนภาหยกอยู่ด้วยชิ้นหนึ่ง มิน่าล่ะถึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้


แต่พอชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดเหยียบบันได้ห้าสีขั้นแรก ก็มีแสงห้าสีจางๆ เปล่งประกายออกมา ร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้


ฝึกฝนมาจนถึงระดับของเหลวแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนไม่มั่นคงโดยไม่มีเหตุผล ประจักษ์ชัดว่ามีชั้นจำกัดพิเศษอะไรอยู่บนบันได ที่ทำให้เขายืนได้ไม่มั่นคง


พอคิดดูอย่างละเอียด เขาก็พอจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่าการทดสอบของวังมายานภาหยกที่เถ้าแก่เย่และคนอื่นๆ พูดถึง คงเป็นการปีนป่ายบันไดห้าสีนี้


ชายใบหน้าซีดเหลืองสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ก้าวไปยังขั้นที่สอง ขั้นที่สาม……


ยิ่งเดินสูงขึ้นเรื่อยๆ แสงห้าสีบนบันไดก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น ราวกับว่าพยายามฉุดลากฝีก้าวของเขาไว้


บันไดยาวๆ นี้มีร้อยขั้นพอดี


ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองค่อยๆ ก้าวขึ้นไปท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนทั้งหมด ขณะที่เดินไปได้สิบกว่าขั้นนั้น ก็มองเห็นร่างของเขาโงนเงนอย่างชัดเจน


หลิ่วหมิงก็ใจจดใจจ่อขึ้นมา มันยากที่จะมีคนสาธิตให้ดูก่อน เขาย่อมตั้งใจดูให้ดีๆ


เมื่อชายใบหน้าซีดเหลืองเหยียบบันไดขั้นที่ยี่สิบนั้น ก็มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก เท้าขวาที่ยกขึ้นมาสั่นไหวราวกับพื้นลื่น และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน


แต่พอชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองตะโกนออกมา แสงสีเหลืองก็พุ่งออกจากร่าง เมื่อแสงสีเหลืองเกาะตัวกัน ร่างของเขาก็ยืนได้อย่างมั่นคง


สถานการณ์ในเวลาต่อมาก็คล้ายกับตอนเริ่มต้น หลังจากโคจรพลังเวทจนทรงตัวได้แล้ว เขาก็เริ่มเดินเหินได้อย่างมั่นคง แต่พอเดินไปถึงขั้นที่สามสิบกว่า ก็เริ่มโงนเงนไปมา


หลิ่วหมิงแอบส่ายหน้า ขั้นบันไดยังเหลือกว่าครึ่งหนึ่ง คนผู้นี้ก็เผยท่าทีอ่อนระโหยโรยแรงออกมาแล้ว คิดว่าคงยืนหยัดต่อไปได้ไม่นาน


เป็นอย่างที่คิดไว้ ขณะที่ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองเหยียบบันไดห้าสีขั้นที่สี่สิบกว่านั้น ก็มีเหงื่อออกมาราวกับเครื่องปรุงรส ร่างของเขาคลอนแคลนเล็กน้อย ดวงตาเผยแววเฉียบขาดออกมา จากนั้นก็กระชากขาเพื่อก้าวเดินต่อ แต่ร่างของเขากลับสั่นสะเทือนขึ้นมา พอมีเสียงร้องออกมาอย่างฉับพลัน เขาก็ล้มตัวลงด้านข้าง เมื่อร่างสัมผัสกับบันได ก็ถูกแสงผลักกระเด็นออกจากขั้นบันไดไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้าไปมา


หลังจากชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดกระเด็นออกไปแล้ว แสงสีเขียวก็พุ่งออกจากแขนของเขาในฉับพลัน และพุ่งกระพริบออกไปไกลๆ


ท่ามกลางแสงสีเขียว พอจะมองเห็นสิ่งของที่เปล่งประกายแวววาวอยู่รำไร


ผู้ฝึกฝนที่ดูความสนุกอยู่ด้านล่าง ต่างก็พากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา ทันใดนั้น มีแสงหลบหลีกหลายสิบลำพุ่งไปยังแสงสีเขียวอย่างบ้าคลั่ง


หลิ่วหมิงไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา สำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เถ้าแก่เย่และคนอื่นๆ ได้พูดให้เขาฟังแล้ว


หากไม่ผ่านด่านการทดสอบของวังมายานภาหยกล่ะก็ เศษกระจกนภาหยกบนตัวก็จะหลุดออกจากร่างไป


แต่ว่าเศษกระจกหนึ่งชิ้น สามารถใช้ทดสอบได้ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อให้จะมีคนได้มันมา ก็ต้องรอให้วังมายานภาหยกเปิดครั้งต่อไปถึงจะใช้ได้


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เศษกระจกนภาหยกเป็นกุญแจในการเปิดวังมายาครั้งต่อไป มันยังคงเป็นสิ่งของล้ำค่าที่ใครๆ ก็ต้องการ


ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองควบคุมร่างกายของตนเองให้ค่อยๆ ร่วงลงอย่างยากเย็น ดูเหมือนว่าเวลาแค่ไม่นาน พลังเวทในร่างก็หายไปจนหมดสิ้น


บรรดาฝูงชนที่ล้อมรอบต่างก็ชี้ไปที่ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลือง แม้กระทั่งยังมีคนหัวเราะเยาะเย้ยออกมาด้วย


ชายหนุ่มมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็กระทืบเท้า และกลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งออกไปในทันที


หลังจากคนแรกล้มเหลว ก็ไม่มีคนลองขึ้นไปอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนต่างก็รอให้มีคนที่สองมาปรากฏตัว เพื่อต้องการหาเบาะแสบางอย่างของบันได


เรื่องที่เป็นจุดสนใจเช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ไปทำอย่างแน่นอน เขาได้แต่รอคอยอย่างเงียบๆ เหมือนกับคนอื่นๆ


ผ่านไปไม่นาน ลำแสงสีม่วงลำหนึ่งก็พุ่งมาจากตลาดฉางหยาง และร่อนลงด้านล่างของบันไดโดยตรง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กลิ่นไอที่แผ่ออกจากแสงหลบหลีกนี้ เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก


พอแสงสีม่วงดับลง ชายหนุ่มเนตรอินทนิลที่มีรูปร่างสูงใหญ่ก็โผล่ออกมา


หลิ่วหมิงอึ้งไปทันที


ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือจั้งเสวียนที่หลิ่วหมิงเคยคบค้าสมาคมตอนอยู่ในแดนอบอ้าวนั่นเอง เห็นได้ชัดว่าเขามาเพราะวังมายานภาหยกนี้เช่นกัน


และแขนของเขาที่ขาดไปในตอนนั้น ก็กลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว คิดว่าคงใช้เคล็ดวิชาบางอย่างในการฟื้นฟู


ท่ามกลางสายตาตกตะลึงเล็กน้อยของฝูงชน จั้งเสวียนกลับไม่สนใจผู้ฝึกฝนที่อยู่รอบด้านเลยแม้แต่น้อย เขาก้าวไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้าบันได และก้าวขึ้นบันไดขั้นที่หนึ่งไป


หลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะไม่ทักทายอะไร แต่กลับยืนเอามือกอดอก มองดูอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยความสนใจ


เขารู้จักพลังของจั้งเสวียนดี เชื่อว่าผลลัพธ์คงไม่เหมือนกับคนในก่อนหน้านี้


เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ จั้งเสวียนเร็วกว่าชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองไม่น้อย ครู่เดียวก็ผ่านไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว


ตอนแรกชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองเดินขึ้นไปได้เกือบครึ่งหนึ่ง ก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกมาอย่างรุนแรง แต่พอจั้งเสวียนมาถึงจุดนี้ สีหน้าของเขายังคงไม่สะทกสะท้าน ราวกับว่าไม่มีอะไรติดขัด


“จุ๊ๆ! คนผู้นี้มีพลังไม่ธรรมดา!”


“แข็งแกร่งกว่าคนที่มีใบหน้าซีดเหลืองในก่อนหน้านั้นมาก เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด”


ฝูงชนพากันวิพากษ์วิจารณ์ออกมา ประจักษ์ชัดว่าค่อนข้างถือหางจั้งเสวียนมาก นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนหนึ่ง ที่รู้สึกคาดไม่ถึง ทั้งยังสังเกตดูจั้งเสวียนเงียบๆ เหมือนกับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงขยับสายตามองไปยังฝูงชนบางกลุ่มทันที


เมื่อครู่ เขารับรู้ได้ว่ามีสายตากวาดมองดู จากทางด้านนั้น แต่ก็ถูกละกลับไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเขาเขม้นตามอง ก็ค้นพบว่าหญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางกับผู้เฒ่าเฉียวต่างก็ยืนอยู่ที่นั่น ดวงตางดงามทั้งคู่ของหญิงสาวเป็นประกาย สีหน้าสงบผิดปกติ


“หรือว่าสายตาเมื่อครู่จะเป็นของหญิงสาวชุดม่วงผู้นี้” หลิ่วหมิงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา ดูเหมือนเขากับคุณหนูตระกูลโอวหยางผู้นี้ จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน


เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็ละสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว และมองไปยังบันไดห้าสีต่อ


ขณะนี้ จั้งเสวียนได้ขึ้นไปถึงชั้นที่แปดสิบแล้ว แต่บนตัวมีปราณแกร่งสีเหลืองแผ่ออกมา ความเร็วก็ช้าลงกว่าก่อนหน้านั้นมาก


ขณะที่เดินขึ้นถึงชั้นที่แปดสิบห้านั้น แสงสีเหลืองบนตัวจั้งเสวียนก็ดูแสบตามากขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะใส่พลังเวทเข้าไปไม่น้อย


พอถึงบันไดขั้นที่เก้าสิบ เขาก็เดินเหินลำบากเล็กน้อย หน้าอกยุบเข้ายุบออกอยู่ไม่หยุด มีเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดออกมาตรงหน้าผาก ทุกย่างก้าวดูลำบากเป็นอย่างยิ่ง


ขณะที่มาถึงบันไดห้าขั้นสุดท้ายนั้น จั้งเสวียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และทำท่ามือแปลกประหลาด ปราณแกร่งคุ้มร่างเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง แสงสีม่วงเปล่งประกายในดวงตาทั้งสอง


“ต๊อกๆ!” เขาก้าวเท้าติดต่อกันห้าก้าว ฝูงชนรอบด้านรู้สึกเพียงแค่ว่าแสงสีม่วงที่อยู่ด้านบนเปล่งประกายอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็ขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่หนึ่งร้อย และปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูวัง


ผู้ฝึกฝนที่อยู่รอบด้านอุทานออกมาด้วยความตกใจ บ้างก็รู้สึกอิจฉา บ้างก็รู้สึกริษยา บ้างก็แสดงสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่


หลิ่วหมิงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน และขมวดคิ้วโดยไม่ตั้งใจ


เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จั้งเสวียนจะผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น แต่ขณะที่เหยียบบันไดขั้นสุดท้ายนั้น ก็เริ่มมีโลหิตไหลออกมาตรงมุมปากเล็กน้อย


และบันไดขั้นที่สูงที่สุด เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่เชื่อมกับทางเข้าวังโดยตรง และไม่มีแสงประหลาดห้าสีแล้ว


จั้งเสวียนยืนอยู่บนพื้นราบ แสงสีเขียวเปล่งออกมาจากแขน หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่!” ร่างของเขาก็ทะลุเข้าไปในม่านแสงบริเวณประตูโดยตรง และกระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย


พอเห็นจั้งเสวียนเข้าไปในวังมายานภาหยกอย่างราบรื่น ผู้ฝึกฝนที่มีเศษกระจกนภาหยกอยู่บนตัว ต่างก็มีสีหน้าคึกคักขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาพากันเดินออกจากฝูงชน เพื่อลองขึ้นบันไดห้าสีโดยไม่ชักช้า


เพราะในตำนานเล่ากันว่า อยู่ในวังมายานภาหยกนานเท่าใด ผลประโยชน์ก็จะมากขึ้นเท่านั้น ผู้ที่เข้าไปก่อนย่อมได้เปรียบกว่าเล็กน้อย


เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับเศษกระจกนภาหยกล้วนไม่ใช่คนธรรมดา การฝึกฝนก็อยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางถึงขั้นปลาย ไม่มีผู้อ่อนแอแม้แต่เพียงผู้เดียว


ไม่นาน ก็มีคนสามคนไปรับการทดสอบ แต่ทว่ามีเพียงแค่คนเดียวที่อาศัยอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดถึงพอจะผ่านพ้นไปได้ ส่วนอีกสองคนก็ถูกโจมตีจนร่วงลงมา เศษกระจกโบราณบนแขนก็ทำให้เกิดการแย่งชิงขึ้นมาอีกครั้ง


ฉากนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่มีเศษกระจกรู้สึกเหมือนโดยเอาน้ำเย็นราดหัว จิตใจที่เดิมทีคึกคักอยากจะลองดูกลับหยุดชะงักในทันที


เวลานั้นไม่มีคนไปปีนบันไดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่มีใบหน้าแคบยาวก็ค่อยๆ ก้าวออกจากฝูงชน ดวงตาของเขาเผยแววฮึกเหิมอยู่รำไร


พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าของคุณผู้นี้อย่างชัดเจน ก็ต้องเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


คนผู้นี้เขาก็รู้จักเช่นกัน ซึ่งก็คือซาทางเทียน ศิษย์สายในที่เคยแลกมือกับเขาครั้งหนึ่ง


ตอนที่ 557 พลังหลากหลายรูปแบบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอซาทงเทียนยืนอยู่ใต้บันไดอย่างมั่นคงแล้ว เขาก็ทำท่ามือกระตุ้นวิชาเคล็ดกระบี่ด้วยแววตาที่เป็นประกาย และตบถุงหนังสีขาวบนเอว ทันใดนั้นแสงสีเขียวเจิดจ้าก็พุ่งขึ้นฟ้า หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ กระบี่บินสีเขียวที่ดูคล้ายลูกตาใสแป๋วก็ถูกตั้งขวางอยู่ตรงหน้า


ครู่ต่อมา ซาทงเทียนเปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว กระบี่บินสีเขียวปล่อยแสงพร่างพรายออกมา ขณะเดียวกันบนตัวของเขาก็แผ่กลิ่นไอกระบี่ออกมาอย่างดุเดือด


หลังจากแสงสีเขียวเปล่งประกายผ่านไป แสงกระบี่สีเขียวสลัวๆ ก็ปกคลุมร่างของเขาไว้


ทันทีที่มีเสียงระเบิดดังออกมา เงากระบี่สีเขียวสลัวๆ ก็ห่อหุ้มร่างของซาทงเทียนไว้ และหายวับไปปรากฏอยู่บนบันได


“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”


วิชาขี่กระบี่ที่ซาทงเทียนแสดงออกมา คือเคล็ดวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งที่หลิ่วหมิงเพิ่งทำความเข้าใจได้เมื่อเร็วๆ มานี้


พริบตาเดียวแสงกระบี่สีเขียวก็พุ่งไปถึงขั้นที่สามสิบ จากนั้นม่านแสงบางๆ ห้าสีก็เปล่งประกายออกมาต้านทานแสงกระบี่สีเขียวไว้


สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างก็คือ แสงกระบี่สีเขียวไม่คิดจะหยุดเลยแม้แต่น้อย และพุ่งไปต่อราวกับการผ่ากระบอกไม้ไผ่


ม่านแสงเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง และค่อยๆ ถูกปั่นจนแตกกระจาย


แต่พอแสงกระบี่สีเขียวพุ่งไปถึงบันไดขั้นที่แปดสิบ ความเร็วของมันก็ลดลงอย่างชัดเจน


แต่ทว่าหลังจากแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา แสงกระบี่สีเขียวก็ยังคงพุ่งผ่านม่านแสงสิบกว่าชั้นที่ต้านทานไว้ได้


หลังจากมีเสียงดังหวึ่งๆ ม่านแสงบนบันไดสองสามขั้นสุดท้ายกลับรวมตัวเป็นกำแพงห้าสีอันหนาแน่น และขวางอยู่บนบันไดขั้นสุดท้ายราวกับเป็นเขาลูกเล็กๆ


มีเสียงฮึดฮัดของซาทงเทียนดังออกมาจากแสงกระบี่สีเขียว ขณะนี้แสงของกระบี่ก็ลดลงไปเล็กน้อย และมีสีเข้มขึ้นมา ทำให้ดูแสบตามากขึ้นกว่าเดิม


แสงกระบี่กระพริบไม่กี่ที ก็ปะทะลงบนกำแพงแสง


“ตู้ม!” เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว


หลังจากดวงอาทิตย์ลูกเล็กๆ ระเบิดออกมา แสงกระบี่สีเขียวก็ฉีกกำแพงห้าสีจนกลายเป็นรู และกระพริบเข้าไปด้านใน


พอแสงกระบี่สีเขียวดับลง ซาทงเทียนก็พุ่งทะลุม่านแสงสีขาว และเข้าไปในประตูวัง


ตั้งแต่ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเดินออกจากฝูงชน และขึ้นไปถึงบันไดขั้นสูงสุด ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น ความเร็วของเขาทำให้ฝูงชนมองดูด้วยความตกตะลึง


การที่ซาทงเทียนผ่านด่านได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าจะทำให้คนจำนวนไม่น้อย พากันทยอยขึ้นบันไดห้าสีอย่างต่อเนื่อง


แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ใจร้อนไปชั่วขณะ ซึ่งพลังของพวกเขาค่อนข้างอ่อนแอมาก ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็ล้มลงมาอย่างรุนแรง


“ผู้เฒ่าเฉียว พวกเราไปกันเถอะ”


หญิงชุดม่วงตะกูลโอวหยางกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ จากนั้นก็เดินออกไปทันที ผู้อาวุโสชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็ก้าวเท้าตามไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา


“เป็นคนของตระกูลโอวหยาง” ท่ามกลางฝูงชนมีคนจำสถานะของหญิงสาวชุดม่วงได้


หญิงสาวชุดม่วงค่อยๆ เดินขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่นานก็ขึ้นไปได้สิบกว่าขั้น และยังคงค่อยๆ ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าความเร็วลดลงอย่างชัดเจน


ผู้อาวุโสชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนบันไดห้าสี


พอผู้อาวุโสเหยียบบันไดขั้นที่หนึ่ง ก็มีแสงห้าสีเจิดจ้าเปล่งประกายบนบันได หญิงสาวชุดม่วงที่อยู่บนนั้นมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา นางรีบกระตุ้นพลังเวทถึงทรงตัวไว้ได้อย่างมั่นคง


แม้ว่าผู้อาวุโสชุดดำจะยืนอยู่แค่บันไดขั้นที่หนึ่ง แต่กลับถูกม่านแสงห้าสีใต้เท้าห่อหุ้มไว้ทั้งตัว และดูเหมือนจะเผชิญกับแรงผลักดันจนร่างกายเริ่มไม่มั่นคงเล็กน้อย


สีหน้าผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบพลิกฝ่ามือหยิบขวดโอสถออกมาใบหนึ่ง หลังจากทานโอสถไปหลายเม็ดแล้ว ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน และแผ่กลิ่นไอมหาศาลออกมา


เห็นได้ชัดว่ากลิ่นไอมหาศาลนี้เกินขอบเขตของระดับผลึกขั้นต้น ซึ่งบรรลุถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสเพิ่งจะทรงตัวได้เล็กน้อย แต่หากคิดจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นล่ะก็ ดูหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้


ครู่ต่อมา เฉียวจื้ออีพลิกฝ่ามือหยิบดาบหยกออกมาอย่างรวดเร็ว ภายใต้การร่ายคาถา และโบกสะบัดดาบหยก ทำให้มีแสงสีขาวสว่างไสวพุ่งยิงออกไปทันที มันหล่นลงบนตัวหญิงสาวชุดม่วง และกลายเป็นวงแหวนแสงสีขาวจางๆ


วงแหวนแสงดูเหมือนจะธรรมดาๆ แต่กลับทำให้หญิงสาวชุดม่วงมีสีหน้าสีผ่อนคลายลงทันที เสียงฝีเท้าเบาลงเล็กน้อย และนางก็เร่งความเร็วขึ้นมา ไม่นานก็ขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่แปดสิบ และยังคงปีนป่ายขึ้นไปต่อ


ฝูงชนที่มุงดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็อุทานด้วยความตื่นตะลึง


แต่ทว่าพอหญิงสาวชุดม่วงมาถึงขั้นที่เก้าสิบห้า ก็ดูเหมือนว่าแรงผลักที่ผู้อาวุโสชุดดำได้รับ จะเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า แต่พอร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เส้นเอ็นก็ปูดโปนตรงหน้าผาก ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ แต่เสียงร่ายถาคายังคงไม่หยุด จากนั้นก็ใช้ดาบหยกฟันลงไปด้านล่าง


และวงแหวนแสงบนตัวหญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านบน ก็มืดลงไปไม่น้อย ใบหน้างดงามราวกับหยกขมวดคิ้วขึ้นมา ทันใดนั้นแสงดาบสีเขียวแคบยาวก็ปรากฏออกมา พอชี้มันออกไป ม่านแสงห้าสีบนขั้นบันไดที่เหลือก็ถูกฟันจนขาด


ร่างของหญิงสาวชุดม่วงสั่นไหว และกลายเป็นแสงแวววาวพุ่งผ่านม่านแสงสีขาว ภายใต้การกระพริบของแสงสีเขียว นางก็เข้าไปในประตูวังแล้ว


“ตู้ม!”


หลังจากเห็นหญิงสาวชุดม่วงผ่านบันไดห้าสีไปอย่างง่ายดาย ผู้อาวุโสชุดดำก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง ภายใต้การโจมตีอันน่ากลัวของแสงห้าสี ร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับกระสอบทราย และตกลงบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลอย่างรุนแรง


ผู้อาวุโสพยายามปีนขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ซีดขาวราวกระดาษ เขาทานโอสถสองสามเม็ดในทันที และนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจอยู่ที่เดิม


หลิ่งหมิงมองดูผู้อาวุโสชุดดำด้วยสีหน้าเรียบเฉย กลิ่นไอบนตัวดูอ่อนแออย่างถึงขีดสุดจนต้องแอบส่ายหน้าไปมา


วิธีการเช่นนี้ไม่นับว่าเหนือชั้นแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าบันไดห้าสีรับรู้ระดับการฝึกฝนของคนที่ยืนอยู่บนนั้นได้ การเสริมพลังเช่นนี้ จะเพิ่มระดับความยากในการผ่านบันไดห้าสีขึ้นไปอีก ผู้ที่ช่วยเหลือจะต้องมีพลังเหนือกว่าคนทั่วไป การช่วยเหลือจะต้องเหนือกว่าระดับความยากของบันไดที่เพิ่มขึ้นถึงจะได้ผล อีกอย่างผู้ที่ช่วยเหลือจะถูกพลังสะท้อนกลับไม่น้อย


แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินความร้ายกาจของบันไดห้าสีต่ำเกินไป ขณะนั้นก็มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกหลายคนลงมือทำเช่นนี้ เพื่อให้ศิษย์ในนิกายของตนบุกเข้าวังให้ได้ แต่สุดท้ายต่างก็พากันล้มเหลวจนหมดสิ้น


ในนั้นมีบัณฑิตหนุ่มสำนักเฮ่าหรานด้วย ภายใต้การช่วยเหลือของบัณฑิตวัยกลางคน เขาก็ยืนหยัดได้ถึงบันไดขั้นที่เก้าสิบเท่านั้น เนื่องจากความแข็งแกร่งของตนเองยังไม่เพียงพอ จึงล้มลงจากบันไดอย่างกระเซอะกระเซิง


แต่ว่าสำนักเฮ่าหรานสมกับเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ แม้ว่าจะปีนบันไดไม่สำเร็จ แต่ขณะที่บัณฑิตวัยกลางคนถูกแสงห้าสีดีดกระเด็นออกมา แสงสีขาวรอบตัวก็เปล่งประกาย และทำให้เขาทรงตัวได้ในทันที นอกจากจะมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


บัณฑิตหนุ่มกระอักเลือดออกมาสองสามที หลังจากกลับมาบริเวณบันไดด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรงแล้ว ก็หน้าม่อยคอตกกลับมาตรงหน้าบัณฑิตวัยกลางคน และไม่พูดอะไรออกมาอีก


“ศิษย์น้องไป๋ ตอนที่เจ้าเข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายนั้น พลังเวทไม่ได้มั่นคงอย่างสมบูรณ์ เจ้าไม่ผ่านการทดสอบก็ไม่ต้องท้อใจไป” ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเหลืองผู้หนึ่งก็เดินออกจากฝูงชนในฉับพลัน และค่อยๆ เดินมาด้านข้างบัณฑิตหนุ่ม


“ศิษย์พี่ซัง” พอบัณฑิตหนุ่มเห็นชายหนุ่มชุดเหลืองก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็คารวะอย่างนอบน้อม


“ผู้เฒ่าไป๋ ข้าน้อยก็มีเศษกระจกโบราณชิ้นหนึ่งพอดี และกำลังจะไปเข้าประตูวังมายาดูเช่นกัน” ชายหนุ่มชุดเหลืองยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หันมากล่าวบัณฑิตวัยกลางคน


“พลังของศิษย์หลานซังจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของศิษย์สายใน การทดสอบระดับนี้ยิ่งสบายมาก” พอบัณฑิตวัยกลางคนเห็นชายหนุ่มชุดเหลือง ย่อมมองมาด้วยความดีใจ


“ผู้อาวุโสไป๋ชมเกินไปแล้ว” ขณะที่พูดชายหนุ่มชุดเหลืองก็กระโดดขึ้นบันไดห้าสี และกระโดดขึ้นไปต่ออย่างรวดเร็ว


และในขณะเดียวกันแสงสีทองแวววาวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของชายหนุ่ม อักขระจำนวนมากหมุนวนอยู่ในนั้น และปกป้องชายหนุ่มไว้รอบตัว ไม่ว่าแสงห้าสีจะถูกโจมตีอย่างไร ร่างของเขาก็ยังคงไม่ไหวติง


พอหลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป ก็ค้นพบว่าอาวุธจิตวิญญาณที่ชายหนุ่มชุดเหลืองกระตุ้น คือคัมภีร์หนาๆ เล่มหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ อักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นและดับสลายอย่างต่อเนื่อง แลดูลึกลับเป็นอย่างมาก


ศิษย์พี่ซังค่อยๆ ก้าวขึ้นไปอย่างมั่นคง ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ก็ขึ้นไปยังพื้นราบเรียบด้านบนสุดอย่างง่ายดาย และพอแสงสีเขียวเปล่งประกาย เขาก็หายเข้าไปในม่านแสง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา


ชายหนุ่มผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งกว่าบัณฑิตหนุ่มในก่อนหน้านั้นมาก คัมภีร์สีทองในมือคงจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ร้ายกาจไม่น้อย


ในระหว่างที่เขากำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น มีเงาร่างสีดำพุ่งออกจากกลุ่มฝูงชน จากนั้นชายชุดดำแปลกประหลาดก็เดินออกมา ชายผู้นี้มีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี อวัยวะทั้งห้าเป็นปกติ ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว แต่ระหว่างคิ้วยังดูอ่อนวัย


ดูจากการแต่งกายของชายผู้นี้ที่มีตราประทับแปลกประหลาดอยู่บนแขนเสื้อ ทำให้รู้ว่าเป็นมนุษย์เผ่าค้างคาว


พอร่างของชายผู้นี้พร่ามัว ก็พุ่งขึ้นไปยังบันไดห้าสีโดยตรง


พอเขาย่างเท้าในแต่ละก้าว จะมีกระแสอากาศสีดำปรากฏขึ้นใต้เท้า และแยกเขากับแสงห้าสีบนบันไดออกห่างกันหนึ่งชุ่นกว่าๆ


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวไม่สัมผัสโดนแสงห้าสีเลยแม้แต่น้อย เขาก็ผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย ทำให้ฝูงชนฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง


หลังจากมีคนไปทดสอบอีกสิบกว่าคน กลับมีแค่ผู้ฝึกร่างคนหนึ่งที่อาศัยกายเนื้ออันแข็งแกร่งจนสามารถผ่านไปได้ เวลาที่เหลือจึงไม่มีคนก้าวออกไปชั่วขณะหนึ่ง


หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนั้นก็ขี่เมฆดำลอยไปยังบันไดห้าสี


พอเขาเหยียบบันไดขั้นแรก แสงห้าสีตรงด้านล่างก็เปล่งประกายออกมา ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนเหยียบลงไปในหลุมเลน ขณะเดียวกันพลังไร้รูปบางอย่างก็ฉีกดึงร่างของเขาจากซ้ายขวา เพื่อที่จะทำให้เขาออกไปจากขั้นบันได


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้……” หลิ่วหมิงรู้สึกถึงผลกระทบของแสงห้าสีบนร่างกาย และยิ้มออกมาเล็กน้อย


พลังของชั้นจำกัดบนบันไดนี้ โดยทั่วไปนับว่าเป็นลานพลังไร้รูปชนิดหนึ่ง ทำได้แค่อาศัยพลังเวทและอาวุธจิตวิญญาณบนตัวหรือกายเนื้อที่แข็งแกร่งต่อต้านโดยตรง


และสำหรับหลิ่วหมิงที่มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุดแล้ว คงจะผ่านการทดสอบนี้ไปได้ไม่ยาก


ตอนที่ 558 อสูรมายา

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงค่อยๆ ก้าวขึ้นไปทีละก้าวด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับการตอบสนองที่รวดเร็ว ไม่นานก็ผ่านไปได้หกสิบขั้น


แต่ทว่ายิ่งสูงแสงห้าสีตรงใต้เท้าก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น และพลังที่ฉุดลากก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเปลี่ยนแปลงไปมากมายหลากหลายรูปแบบ


ขณะที่ก้าวไปด้านหน้า มักจะมีพลังมหาศาลผลักเขาไปด้านหลัง ขณะที่กำลังจะกระตุ้นพลังต้านทานเล็กน้อยนั้น พลังมหาศาลนี้ก็เปลี่ยนทิศทางมาผลักจากด้านหลังไปด้านหน้า และเมื่อหลิ่วหมิงปรับสมดุลพลังเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น พลังมหาศาลก็เปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน


หลังจากฝ่าอุปสรรคนี้จนไปถึงบันไดขั้นที่เจ็ดสิบ เขาก็ค้นพบอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าทุกระยะห่างของบันไดสิบขั้น พลังของชั้นจำกัดจะเพิ่มขึ้นมาสามส่วน และความเร็วในการเปลี่ยนแปลงก็หยั่งรู้ได้ยากขึ้นเล็กน้อย


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะอาศัยความแข็งแกร่งที่พอจะเทียบกับร่างฝึกระดับผลึกได้ แต่หลังจากผ่านบันไดไปเก้าสิบขั้น ก็รู้สึกว่าเริ่มรับมือไม่ไหวเล็กน้อยแล้ว


เขาหยุดฝีเท้าลงทันที และทำท่ามือในฉับพลัน มีเสียงกรอบแกรบดังออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว ขณะเดียวกันไอดำก็พวยพุ่งออกมาและหมุนวนรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกตัวเบาลง แรงกดดันที่มาจากรอบด้านลดลงไปมาก หลังจากเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้ว ก็เดินขึ้นบันไดไปอีกห้าขั้นอย่างง่ายดาย


ขณะที่หลิ่วหมิงก้าวขึ้นไปบนพื้นราบเรียบขั้นที่หนึ่งร้อยนั้น ก็รู้สึกว่าแสงห้าสีตรงใต้เท้าดับลง ขณะเดียวกัน แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขน จากนั้นเขาก็ผ่านม่านแสงตรงหน้าไปโดยไม่มีอะไรขวางกั้น


อยู่ใกล้ประตูใหญ่ของวังประณีตงดงามเช่นนี้ เขาต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้ พอหันกลับไปมองด้านหลัง ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างถูกหมอกควันสีขาวปกคลุมจนดูพร่ามัว


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขึ้นมา หลังจากทำให้ไอดำออกห่างจากตัวไปไม่ถึงชุ่นกว่าๆ แล้ว เขาถึงก้าวเดินเข้าไปในประตูใหญ่


พอเข้าไปในประตูใหญ่ ยังไม่ทันมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ก็มีแสงสีขาวเปล่งประกายตรงหน้า จากนั้นก็มีเสียงดังโครมครามดังขึ้นใกล้ๆ สภาพรอบด้านดูพร่ามัวขึ้นมาทันที


ขณะที่เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ร่างของเขาก็มาอยู่ในห้องโถงบางแห่งแล้ว ขณะเดียวกัน เขาก็คืนร่างกลับมาเป็นร่างเดิมของตนเอง


ประจักษ์ชัดว่าชั้นจำกัดในสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะแปลงโฉมอย่างไรก็ไม่ได้ผล


ขณะเดียวกัน มีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” เงาสีดำสองสามเงาพุ่งเข้ามาจากรอบด้าน


หลิ่วหมิงขยับแขนทั้งสองโดยไม่ต้องคิด มีไอดำลอยวนบนเงากำปั้นจำนวนมาก ทันใดนั้นก็เกิดเป็นเงาสีดำม้วนตัวไปทั่วทิศ


“ตู้ม!” “ตู้ม!” เงาสีดำที่พุ่งเข้ามาถูกพลังของเงากำปั้นโจมตีจนกระเด็นออกไป หัวสองหัวระเบิดตัวออกมาทันที


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองเห็นใบหน้าของเงาดำเหล่านี้อย่างชัดเจน มันคือหมาป่ายักษ์สีดำขนาดจั้งกว่าๆ แต่ว่าลำตัวของมันมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำกระพริบอยู่ ราวกับว่าไม่ใช่ร่างที่แท้จริง


หลิ่วหมิงคิดวกไปวนมาอย่างรวดเร็ว พอปราดตามองออกไป ก็ค้นพบว่าหัวสองหัวถูกพลังมหาศาลโจมตีจนหลุดออกจากร่าง


สุดท้ายเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ใ ศพเหล่านี้เปล่งประกายสองสามที ก็ระเบิดตัวกลายเป็นไอดำสองกลุ่ม ทิ้งไว้เพียงมุกกลมๆ สีเทาสองเม็ดที่มีขนาดเท่านิ้วโป้งอยู่บนพื้นเท่านั้น


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น พอเขาบิดตัว ก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


ครู่ต่อมา หมาป่ายักษ์หลายตัวพลิกตัวกระโจนเข้ามา รู้สึกว่ามีเงาดำกระพริบตรงหน้า และทิ้งเงากำปั้นสีดำไว้กลางอากาศ


“ตู้ม!” “ตู้ม!”


หมาป่ายักษ์เหล่านั้นไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกโจมตีจนระเบิดเป็นไอสีดำ มุกสีเทาแต่ละเม็ดร่วงลงพื้น


หลิ่วหมิงปรากฏตัวใจกลางห้องโถงอีกครั้ง พอกวาดจิตออกไปดูจนมั่นใจว่าไม่มีหมาป่ายักษ์อยู่รอบด้านแล้ว เขาก็ดูดมุกกลมๆ ทั้งหมดมาไว้ในมือทันที จากนั้นก็คีบขึ้นมาดูอย่างละเอียด และพูดพึมพำออกมา


“ที่แท้นี่ก็เป็นมุกนภาหยกที่พูดถึง แต่มันกลับเป็นสีดำ ดูท่าอสูรมายาที่ถูกสังหารไปเมื่อครู่ คงเป็นอสูรระดับต่ำสุด”


ขณะนี้ หลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องราวหลังจากเข้ามาในวังมายานภาหยกตามที่เถ้าแก่เย่เคยบอกไว้


วังมายาเคยมาปรากฏตัวในก่อนหน้ามาหลายครั้ง คนนอกย่อมเข้าใจทุกอย่างในนั้นพอประมาณ และพูดต่อๆ กันมา


ตามที่เถ้าแก่เย่พูดมา ผู้คนทั้งหมดที่เข้าไปในวังมายา จะถูกอสูรมายาจำนวนมากที่ดูแลอยู่ในนั้นโจมตี อสูรมายานี้เกิดขึ้นจากการที่วังมายาดูดซับพลังฟ้าดินจากโลกภายนอก จนก่อเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา พลังของมันก็แตกต่างจนมาก มีตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับที่พอจะเทียบได้กับระดับผลึก


และผู้ฝึกฝนจากภายนอกที่เข้ามาในวังมายานภาหยก หลังจากสังหารอสูรมายาเหล่านี้แล้ว จะได้รับ ‘มุกนภาหยก’ ที่มีพลังแตกต่างกัน มุกที่มีพลังพิเศษแฝงอยู่มาก สีของมันจะสวยสดงดงามผิดปกติ ด้วยเหตุนี้โดยทั่วไปจึงแบ่งออกเป็นสีเทา สีขาว สีเขียว สีม่วง สีเงิน สีทอง หกสีใหญ่ๆ


และผู้ฝึกฝนจากภายนอกที่เข้ามาในวังมายานภาหยก เพียงแค่ถูกกักอยู่ในวังมายาครบสามเดือน ก็จะถูกส่งไปยังแท่นบูชายักษ์บางแห่งก่อนที่วังแห่งนี้จะหายไป และสังเวยมุกนภาหยกเหล่านี้ เพื่อแลกกับสมบัติล้ำค่าต่างๆ ที่ราชาสวรรค์นภาหยกทิ้งไว้เป็นรางวัลให้แก่คนรุ่นหลัง และยังว่ากันว่าเพียงแค่มีจำนวนมุกนภาหยกที่เพียงพอหรือคุณสมบัติสูงพอ ก็สามารถแลกอาวุธเวทบางอย่างได้โดยตรง


นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลิ่วหมิงบุกเข้าวังมายานภาหยกอย่างไม่ลังเล เพราะด้วยพลังของเขาในตอนนี้ สามารถกวาดล้างอสูรมายาเหล่านี้ไปได้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา


หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเสร็จแล้ว ถึงสังเกตดูห้องโถงอย่างละเอียด


ห้องโถงสูงจนมองไม่เห็นเพดาน เพราะมีไอหมอกสีขาวจำนวนหนึ่งลอยอยู่ จนไม่อาจมองทะลุได้


และรอบด้านห้องโถงล้วนเป็นผนังสีดำสลัวๆ บนผนังไม่มีอะไรพิเศษ มีเพียงประตูหินสีดำที่ปิดสนิทอยู่ ดูเหมือนจะนำไปสู่ห้องโถงที่อยู่ติดกัน


หลิ่วหมิงเดินไปตรงหน้าประตูหินบางแห่งอย่างไม่ใส่ใจ พอชี้มือข้างหนึ่งผ่านอากาศ ประตูหินก็สั่นสะท้านเล็กน้อย และค่อยๆ เปิดออกมา


เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กระพริบหายเข้าไปด้านใน


พอเดินเข้าไปใจกลางห้องโถงห้องนี้ ประตูตรงหลังก็ปิดตัวลง


หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินเข้าไปใจกลางห้องโถงด้วยสีหน้าสงบ ไอหมอกรอบด้านสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หมูป่ายักษ์ห้าตัวที่มีแสงสีเหลืองเปล่งประกายปรากฏตัวออกมา


หมูป่าเหล่านี้สูงจั้งกว่าๆ ยาวสองสามจั้ง คมเขี้ยวสีทองทั้งคู่แหลมคมผิดปกติ มีไอหมอกพ่นออกจากปากเป็นระยะๆ และมีเสียงร้องคำรามแปลกประหลาดดังออกมา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอปล่อยจิตออกไป ก็ค้นพบว่าหมูป่าเหล่านี้มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลว


พวกมันต่างก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแสงสีเหลือง ทันใดนั้นก็มีตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นก็พากันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว


ดวงตาหลิ่วหมิงดูเยือกเย็นขึ้นมา เขาพุ่งถอยไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีแดงก็ม้วนตัวออกไป


นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ กระบี่สีแดงหมุนตัวติ้วๆ อยู่กลางอากาศ และกลายเป็นเงากระบี่สีแดงจำนวนมากพุ่งใส่หมูป่ายักษ์


“เต๊ง!” “เต๊ง!” เงากระบี่สีแดงถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย ด้านหนึ่งกระตุ้นกระบี่บินสีแดงให้ทำการโจมตี อีกด้านหนึ่งก็หรี่ตาสังเกตดูอย่างละเอียด


หมูป่ายักษ์เหล่านี้มีลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกายอยู่บนตัว ประจักษ์ชัดว่าถูกวางชั้นจำกัดป้องกันบางอย่างไว้ มันดูแข็งแกร่งกล้าและทรหดมาก แม้แต่ความแหลมคมของวิชาขี่กระบี่ ก็ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันนี้ได้เลยแม้แต่น้อย


ในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หมูป่ายักษ์ก็ไม่สนใจกระบี่บินสีแดงที่ปะทะลงบนตัว และค่อยๆ หยุดชะงักลงพร้อมกับพ่นไอหมอกสีเขียวออกมา ไอหมอกม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทิศ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามือติดต่อกัน เปลวไฟสีแดงขนาดเท่าไข่ไก่ก่อตัวขึ้นบนปลายนิ้วทั้งสิบ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปรับมือกับไอหมอกสีดำ


ทันใดนั้น แสงไฟก็ลุกโชนกลางอากาศ คลื่นความร้อนสีแดงม้วนตัวไปทั่วทิศ ทำให้ไอหมอกสีเขียวไม่ทราบชื่อพวยพุ่งอย่างรุนแรง และถูกเผาไหม้จนหมดสิ้นทันที


หลิ่วหมิงถือโอกาสนี้สะบัดแขนเสื้อ มือทั้งสองกุมมุกพลังวารีไว้ จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างพุ่งเข้าหาหมูป่ายักษ์


หลังจากมีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หมูป่าสีเหลืองหลายตัวก็ถูกเงากำปั้นจำนวนมากโจมตีจุดสำคัญจนระเบิดออกมา มุกกลมๆ สีเขียวอ่อนห้าเม็ดร่วงลงบนพื้น


หลังจากหลิ่วหมิงเก็บมันขึ้นมาแล้ว ก็ผลักประตูหินสีดำตรงข้างห้องโถงอีกครั้ง


……


ด้านนอกวังนภาหยกยังคงมีผู้แข็งแกร่งระดับของเหลวบุกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง


หลายวันต่อมา ภายในห้องโถงบางแห่งที่มีหมอกควันปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น รอบด้านเงียบสงัดราวกับว่าไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่


ชายหนุ่มรูปโฉมงดงาม สวมชุดผ้าแพรสีขาวทั้งตัวกำลังยืนอยู่ใจกลางห้องโถง หูแคบยาวทั้งคู่สั่นสะท้านเบาๆ ราวกับกำลังฟังความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่


ทันใดนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แสงสีเขียวแปลกประหลาดเปล่งประกายในดวงตา จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


ครู่ต่อมา หมอกควันรอบด้านพวยพุ่งอย่างรุนแรง และมีเสียงระเบิด “เปรี้ยงปร้าง!” ดังออกมา


จากนั้นมุกกลมๆ สิบกว่าเม็ดก็ร่วงลงพื้น ดูเหมือนว่าจะมีสีขาวและสีเขียวด้วย


ชายหนุ่มเก็บมุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากห้องโถง


……


ท่ามกลางห้องโถงอีกแห่ง หญิงสาวงดงามสวมชุดสีแดงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในมือกำหินจิตวิญญาณระดับสูงไว้หนึ่งก้อน และค่อยๆ ฟื้นฟูพลังเวทอย่างช้าๆ


บนเอวของเขามีป้ายห้อยอยู่อันหนึ่ง บนนั้นมีคำว่า ‘เสิ่น’ สลักอยู่


ห่างจากเขาไปไม่ไกล มีวานรยักษ์สีดำนอนฟุบอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ครู่เดียวก็กลายเป็นควันดำสลายไปในอากาศ มุกสีม่วงขนาดเท่าไข่ไก่ร่วงลงมา


หญิงสาวเห็นเช่นนี้ ดวงตาอันงดงามก็เผยแววดีใจออกมา จากนั้นก็โบกมือเบาๆ เพื่อนำมุกเข้าไปในยันต์เก็บของ


……


พริบตาเดียว หลิ่วหมิงก็อยู่ในนั้นนานสิบกว่าวันแล้ว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าจะหาขอบของมันไม่เจอ


ห้องโถงในวังนภาหยกนี้เชื่อมต่อกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าเป็นเขาวงกตที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด


ก่อนหน้านั้น เขาเคยใช้เวลาหลายวันเดินไปทางตะวันตกอยู่ตลอดเวลา หลังจากผ่านห้องโถงไปเจ็ดแปดแห่ง ก็ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้


จากการคาดการณ์ของเขา วังแห่งนี้จะต้องถูกชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างปกคลุมไว้ ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ไม่มีจุดสิ้นสุด


ส่วนแท่นบูชาบางแห่งที่เถ้าแก่เย่บอกว่าเป็นสถานที่แลกสมบัติล้ำค่านั้น หากไม่รอจนถึงตอนที่วังมายาใกล้จะหายไปล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าคงไม่ปรากฏต่อหน้าผู้บุกวังอย่างแน่นอน


ตอนที่ 559 พบกันโดยบังเอิญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผ่านไปอีกหลายวัน เมื่อหลิ่วหมิงสังหารปีศาจวานรที่เป็นอสูรมายาระดับของเหลวขั้นกลางจำนวนหนึ่ง และเข้าไปในห้องโถงอีกห้องนั้น กลับค้นพบว่าไอหมอกรอบด้านเบาบางมาก ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย


เขาเดินไปใจกลางห้องสองสามก้าว พอมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่ามีร่องรอยของการต่อสู้อยู่จำนวนหนึ่ง อสูรมายาในนั้นถูกจัดการไปจนหมดสิ้น


ขณะนั้นเอง ประตูใหญ่ด้านหนึ่งก็ถูกผลักออกมาในทันที มีผู้ฝึกฝนบุกเข้ามาจากด้านนอก


พอคนผู้นี้เห็นหลิ่วหมิงยืนอยู่ใจกลางห้องโถงก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากกวาดสายตามองดูรอบด้านอยู่ครู่หนึ่งก็เผยสีหน้าเข้าใจในทันที ดูเหมือนเขาจะคิดว่าอสูรมายาในสถานที่แห่งนี้ถูกหลิ่วหมิงสังหาร


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองดูฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทีเฉยๆ


คนผู้นี้มีรูปร่างผอมสูง สวมชุดคลุมสีเทา ธนูสีเขียวที่สะพายอยู่ข้างหลังดูเตะตาเล็กน้อย ระดับการฝึกฝนก็ไม่อ่อนแอ ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน


คนผู้นี้ก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมา ทั้งสองจ้องมองกันด้วยความระแวดระวัง สุดท้ายก็เดินไปยังประตูหินคนละบาน และออกจากห้องโถงแห่งนี้ไป


พอหลิ่วหมิงผลักประตูทางทิศตะวันออกแล้วเดินเข้าไปใจกลางห้องโถงนั้น อากาศที่เดิมทีว่างเปล่า ก็พลันมีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเข้ามาหาเขา


สีหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบทำท่ามือจนทรงตัวไว้ได้ และปล่อยจิตออกไปสำรวจสถานการณ์บริเวณรอบๆ


พอเขากวาดพลังจิตออกไป ก็ค้นพบว่ามีกลิ่นไอที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึกลอยวนเวียนรอบๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา จนไม่สามารถจับตำแหน่งที่แม่นยำของมันได้ ขณะนั้นเขาก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมาโดยฉับพลัน


ขณะนั้นเอง มีเสียงระเบิดดังเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง ภายใต้พายุบ้าระห่ำ กรงเล็บยักษ์ขนาดจั้งกว่าๆ คว้าลงมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนมันคิดที่จะขย้ำร่างของหลิ่วหมิงให้แตกกระจายในทีเดียว


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด ทันใดนั้นก็กลายเป็นเงาร่างหายไปจากที่เดิม และมาปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง


ขณะนี้เขาถึงมองเห็นรูปร่างแท้จริงของอสูรมายาตัวนี้อย่างชัดเจน มันคือวิหคยักษ์สีเทาตัวหนึ่งที่มีขนาดเจ็ดแปดจั้ง


แต่จะเห็นว่าวิหคตัวนี้มีขนสีเทาเต็มตัว ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ปรากฏบนปีกทั้งสองเป็นวงๆ ทั่วทั้งตัวถูกแสงสีขาวจางๆ ปกคลุมไว้หนึ่งชั้น ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายเป็นเงา


“ฟู่ๆ!” วิหคยักษ์กระพือปีกสองสามครั้งอย่างรวดเร็ว หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง พายุบ้าระห่ำปะทะเข้ามาอย่างรวดเร็ว


หลิ่งหมิงรู้สึกว่าแรงกดดันในอากาศรอบด้านเพิ่มขึ้นมาโดยฉับพลัน เขาคิดวกไปวนมาอย่างรวดเร็ว พอสะบัดแขนเสื้อ โล่สีดำสลัวๆ ก็พุ่งออกมา และขยายใหญ่ตรงหน้าจนกลายเป็นโล่ยักษ์สีดำทีมีขนาดสองสามจั้ง


หลังจากทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีดำก็เปล่งประกายบนผิวโล่ ไอหมอกดำพวยพุ่งออกมา หัวกะโหลกเก้าใบผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในไอหมอก มีเสียงร้องแปลกประหลาดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกตกใจดังออกมา และพ่นไอดำใส่แสงสีขาว


ไอดำเก้ากลุ่มค่อยๆ รวมตัวกันกลางอากาศ และผสมผสานกันจนกลายเป็นแสงสีดำเข้มข้นขนาดหลายจั้งก่อนพุ่งใส่แสงสีขาว


“ฟู่!”


แสงสีขาวแทงเข้าไปในไอดำอันหนาแน่น แต่กลับติดอยู่ด้านในโดยที่ไม่สามารถออกมาได้ และทำการดิ้นรนขึ้นมา


ครู่ต่อมา จะเห็นว่าแสงสีขาวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในไอดำ ทำให้ไอดำพวยพุ่งอย่างรุนแรง และยังมีเสียง “ชี่ๆ” ดังออกมาติดต่อกัน


“ตู้ม!”


ไอดำอันพวยพุ่งระเบิดตัวกลางอากาศในทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องโหยดังแผ่วโผยออกมา


เมื่อไอหมอกดำค่อยๆ สลายไปนั้น จะเห็นว่าวิหคยักษ์สีดำที่มีขนไม่สม่ำเสมอ ทั้งยังมีจุดสีดำติดอยู่ กำลังกระพือปีกและจ้องตนเองอยู่


ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น ทำให้มันเสียเปรียบไม่ใช่น้อย และรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด


หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และแอบกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอย่างเงียบๆ


วิหคยักษ์ส่งเสียงร้องแหลม และอ้าปากพ่นเปลวไฟสีขาวออกมาติดต่อกัน


ขณะเดียวกัน ก็กางปีกทั้งคู่และกระพืออย่างรวดเร็ว พายุบ้าระห่ำพัดเข้ามาเป็นระลอกๆ เปลวไฟสีขาวหมุนเป็นเกลียวกลางอากาศ และพุ่งเข้ามาห่อหุ้มหลิ่วหมิงจากทั่วทิศท่ามกลางเสียงที่ดังก้อง


หลิ่วหมิงคำรามออกมา ไอดำพวยพุ่งรอบตัวก่อตัวเป็นมังกรสีดำสองตัว และพุ่งออกมาทันที ตามมาด้วยเสียงร้องของมังกรที่ดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มังกรดำพ่นไอหมอกออกไปรับมือกับเปลวไฟสีขาว


“ตู้ม! ตู้ม!” เสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศติดต่อกัน


เปลวไฟสีขาวดำพากันระเบิดตัวกลางอากาศ คลื่นอัคคีขนาดใหญ่แตกเป็นฟองฝอยไปทั่วทิศ มันส่องสะท้อนจนห้องโถงสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน


ดูเหมือนวิหคยักษ์จะไม่ยอมเลิกราเพียงเท่านี้ ปีกทั้งสองสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ขนนกสีม่วงอ่อนแต่ละเส้นพุ่งยิงออกมา และกลายเป็นเงาลูกธนูสีม่วงจำนวนมากก่อนที่จะพุ่งหาหลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา มันกลายเป็นม่านทรายสีทองผืนหนึ่ง และโอบล้อมขนวิหคสีม่วงจำนวนมากไว้ ทั้งยังผลักไปทางวิหคยักษ์


ทันใดนั้นมีเสียงราวกับโลหะกระทบกันดังออกมาอย่างต่อเนื่อง!


ลูกธนูสีม่วงพากันระเบิดตัวท่ามกลางแสงสีทองที่เปล่งประกาย แต่ทว่าม่านทรายสีทองเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งไปทางวิหคยักษ์ต่อ


ดูเหมือนวิหคยักษ์สีเทาจะรับรู้ได้ถึงอันตราย มันจึงกระพือปีกทั้งสองเพื่อจะหลบออกไปจากวงล้อมของม่านทราย


ขณะนั้นเอง กระบี่บินสีแดงขนาดเจ็ดแปดจั้งก็เปล่งประกายบนอากาศบริเวณหัวของวิหคยักษ์ พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงากระบี่ขัดขวางวิหคยักษ์ไว้


วิหคยักษ์ลดความเร็วลงด้วยความตกใจ


ในชั่วอึดใจนั้นเอง ม่านทรายสีทองก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์ขนาดใหญ่ปกคลุมลงมา หลังจากพร่ามัวไปหนึ่งที มันก็ปกคลุมวิหคยักษ์ตัวนี้ไว้


วิหคยักษ์ที่อยู่ในนั้นกระพือปีกด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ไม่อาจสลัดตัวให้หลุดพ้นได้


“ฟัน!”


ในขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็คำรามด้วยแววตาเยือกเย็น


เงากระบี่สีแดงรวมตัวเป็นแสงกระบี่ขนาดใหญ่ เพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ ก็กลายเป็นจันทราสีแดงกลมๆ และค่อยๆ ร่วงลงมา


แม้ว่าวิหคยักษ์จะพยายามชูคอพ่นเปลวไฟสีขาวอย่างไร หัวของมันก็ยังคงถูกตัดออกมาอยู่ดี


และร่างไร้หัวของมันก็ไม่ได้ระเบิดตัวเป็นไอดำในทันที ยังคงกระพือปีกทั้งคู่ไม่หยุด เพื่อทำการต้านทานครั้งสุดท้าย


ขณะนี้ ร่างหลิ่วหมิงเปล่งประกายมาปรากฏตัวด้านข้างวิหคยักษ์ พอขยับแขน เงากำปั้นนับไม่ถ้วนก็ปรากฏออกมา และกลายเป็นคลื่นยักษ์สีดำ เพื่อที่จะโจมตีร่างไร้หัวของมัน


เกิดเสียงดังตูมตามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดร่างของวิหคยักษ์ก็สลายไป จากนั้นมุกที่เปล่งแสงสีเงินสลัวๆ ก็ร่วงลงมา และถูกหลิ่วหมิงดูดเข้ามาในมือ


หลิ่วหมิงโบกมือเรียกทรายทองคำร่วงกับกระบี่บินสีแดงกลับมา และทำการจ้องมองมุกสีเงินด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ช่วงครึ่งเดือนมานี้ เขาผ่านการสังหารอสูรมายาที่ปรากฏตัวในห้องโถงอยู่ไม่หยุด มุกแปลกประหลาดสีต่างๆ ที่อยู่ในแหวนย่อส่วนก็มีร้อยกว่าเม็ดแล้ว


อสูรมายาที่พบเจอในระหว่างเวลานี้ มีตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับผลึก แต่ว่ามุกที่ได้มาจากอสูรมายาระดับผลึกขั้นต้น ต่างก็เป็นเหมือนวิหคยักษ์ตนนี้ ซึ่งเป็นแค่มุกสีเงินเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย


หรือว่าในวังนภาหยกจะยังมีอสูรมายาระดับที่สูงกว่าดำรงอยู่?


แม้อสูรมายาระดับผลึกขั้นต้นเหล่านี้ จะมีสติปัญญาจำกัด แต่สำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่ผ่านบันไดห้าสีมาได้ เพียงแค่ใช้วิธีการบางอย่าง ก็สามารถเอาชนะได้แล้ว อย่างมากก็แค่ถอนตัวเท่านั้น มันคงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก


แต่หากเป็นอสูรมายาระดับผลึกขั้นกลางขึ้นไป ภายใต้สถานการณ์ที่พลังแตกต่างกันมาก เกรงว่าผู้ที่สามารถสังหารได้คงมีอยู่น้อยจริงๆ


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ก็ค่อยๆ ส่ายหน้าไปมา หลังจากเลือกทิศทางหนึ่งแล้ว ก็ผลักประตูหินเดินเข้าไปต่อ


……


แต่ทว่าในขณะที่เวลาค่อยๆ เคลื่อนย้าย อสูรมายาในห้องโถงแต่ละแห่งก็ค่อยๆ ลดลง ความถี่ในการเข้าห้องโถงที่ว่างเปล่าเริ่มเพิ่มขึ้นบ่อยครั้ง


วันนี้ ท่ามกลางห้องโถงขนาดใหญ่สิบกว่าจั้งแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในวังมายานภาหยก


แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งเปล่งประกาย และกลายเป็นแมงป่องกระดูกขนาดเล็ก จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นบนไหล่หลิ่วหมิง


และบนพื้นยังมีศพของอสูรมายาที่มีหัวเป็นวัวร่างเป็นสิงโต กำลังสลายตัวออกมา และสุดท้ายก็กลายเป็นมุกสีเขียวเข้มหนึ่งเม็ด


“ทำได้ดี!” หลิ่วหมิงลูบแมงป่องกระดูกบนไหล่เบาๆ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ มุกเม็ดนี้ก็ถูกดูดเข้ามาในมือ


ขณะนั้นเอง “แอ๊ด!” ประตูหินบางแห่งในห้องโถงค่อยๆ ถูกเปิดออกมา


หลิ่วหมิงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวอย่างรวดเร็ว แมงป่องกระดูกกลายเป็นไอดำม้วนตัวเข้าไปด้านใน


ขณะนี้ มีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูหินที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งก็คือหญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางนั่นเอง


“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์” พอนางเข้ามาในห้องโถงและเห็นหลิ่วหมิง ก็ยิ้มมุมปากและเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“ท่านเซียนรู้จักข้าหรือ?” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านเล็กน้อย แต่กลับถามด้วยสีหน้าสงบ


เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลโอวหยาง หลังจากงานประมูลเสร็จสิ้น เขาได้สอบถามสถานการณ์คร่าวๆ จากเถ้าแก่เย่มาแล้ว


น่าเสียดายที่เถ้าแก่เย่รู้เพียงแค่ว่าตระกูลโอวหยางมีอิทธิพลในแผ่นดินจงเทียนมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นรองแค่สี่ยอดนิกายใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้แล้วเขาก็ไม่รู้อะไรอีก


จากความคิดของหลิ่วหมิง นอกจากตอนที่เขาไปสังหารปีศาจหยินหยางแล้ว ในช่วงครึ่งปีมานี้ เขาก็ทำการอยู่ในตลาดฉางหยางอย่างระมัดระวัง จนดูเหมือนจะไม่เคยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงต่อหน้าผู้คนเลย แม้แต่ตอนไปซื้อวัตถุดิบหรือขายโอสถ ก็ล้วนแล้วแต่แปลงโฉมออกไป คิดว่าคงไม่เป็นจุดสนใจของคนอื่น


แต่วันนี้เข้ามาในวังนภาหยก เขาก็ตั้งใจไม่สวมชุดศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ แต่หญิงผู้นี้กลับจำเขาได้ในทันที ทั้งยังเรียกชื่อออกมาด้วย สิ่งนี้ย่อมทำให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก


“แม้ข้ากับสหายหลิ่วจะเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ข้ากลับได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” หญิงสาวชุดม่วงกลอกลูกตา และเอ่ยปากประจบหลิ่วหมิงไปหนึ่งประโยค แต่กลับไม่บอกชื่อของตนเองออกมา


“ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว” ขณะเดียวกันหลิ่วหมิงก็หรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูหญิงสาวชุดม่วงไปรอบหนึ่ง แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ท่านทูตหลิ่วมองหน้าข้าเช่นนี้ บนหน้าข้ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” หญิงสาวชุดม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย


“อ้อ! ข้าเสียมารยาทไปแล้ว ข้าเพียงแค่นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอท่านเซียนโดยบังเอิญเช่นนี้” หลิ่วหมิงค่อยๆ ประสานมือคารวะ และละสายตากลับมา


“อ้อ! ฟังจากน้ำเสียงของสหายหลิ่ว ดูเหมือนจะรู้ที่มาของข้าแล้ว” หญิงชุดม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ตระกูลโอวหยางมีชื่อเสียงโด่งดัง ไหนเลยข้าจะไม่รู้จัก แต่ว่าเวลาการเปิดวังนภาหยกแห่งนี้มีจำกัด ข้ายังต้องรวบรวมมุกนภาหยกให้มาก ต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงหัวเราะและประสานมือกล่าวคำอำลา


จากนั้นเขาก็หายวับไปทางด้านหนึ่งของห้องโถง พอสะบัดแขนเสื้อ ประตูหินก็ถูกเปิดออกมา และเขาก็หายไปจากสายตาของหญิงสาวชุดม่วง


หญิงสาวชุดม่วงหัวเราะเบาๆ แล้วก็เดินไปยังประตูอีกบาน


………………………………


ตอนที่ 560 อสูรมายาร่างมนุษย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิ่วหมิงเหยียบเข้าไปในห้องโถง แสงโลหิตก็เปล่งประกายตรงหน้า จากนั้นไอหมอกสีดำแต่ละสายก็กลายเป็นคมดาบม้วนตัวออกไปทั่วทิศ


พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วไปกลางอากาศติดต่อกัน ปราณกระบี่โปร่งแสงจำนวนมากพุ่งยิงออกไปรับคมดาบที่กลายร่างมาจากหมอกดำ


“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมดาบจำนวนมากพากันระเบิดออกมา


ขณะนั้นเอง มีเสียงดังโครมครามมาจากที่ไกลๆ กลุ่มเมฆดอกเห็ดสีโลหิตพุ่งขึ้นฟ้า


เงาร่างมนุษย์ที่มีปีกสีดำคู่หนึ่งกระโดดขึ้นมา และคว้ามาทางอากาศ มุกแสงสีเงินสลัวๆ พุ่งออกจากหมอกโลหิต และตกลงในมือของเขา


ขณะนี้เงาร่างมนุษย์ถึงกวาดสายตามาทางหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย ตอนนี้เขามองเห็นใบหน้าของเงาดำอย่างชัดเจน ที่แท้ก็เป็นชายหนุ่มชุดดำที่มีใบหน้างดงาม แม้ระหว่างคิ้วจะดูอ่อนเยาว์อยู่ แต่ปีกสีดำตรงหลังโดดเด่นเป็นอย่างมาก และกลับดูดุร้ายเล็กน้อย


“เมื่อครู่ข้าข้าลงมือรุนแรงไปหน่อย คงไม่ได้กระทบโดนสหายใช่ไหม” ชายหนุ่มหุบปีกตรงหลัง และโบกมือมาทางหลิ่วหมิง จากนั้นก็กล่าวในเชิงขอโทษ


“ไม่เป็นไร ดูจากการแต่งตัวของสหาย คงจะคนเผ่าค้างคาวใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ในเมื่อสหายผู้นี้รู้ว่าข้าเป็นคนเผ่าค้างคาว หรือว่าท่านจะมาจากตลาดฉางหยาง?” ชายหนุ่มชุดดำรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ลูบศีรษะกล่าวอย่างซื่อๆ


“ข้าน้อยทำการค้ากับร้านค้าของเผ่าท่านอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ท่านก็เป็นสหายเก่าของเผ่าค้างคาวเรา ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน ไม่สู้ไปบุกวังมายานภาหยกพร้อมกันดีหรือไม่? ได้ยินมาว่าวังนภาหยกเปิดได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว ระดับความยากก็จะเพิ่มขึ้นด้วย” ชายหนุ่มชุดดำได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ขอบคุณความหวังดีของสหาย แต่ข้าน้อยไปมาคนเดียวจนเคยชิน คงไม่ร่วมเดินทางกับสหายแล้ว” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะเชื้อเชิญให้ไปด้วยกัน แต่หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว กลับปฏิเสธอย่างนุ่มนวล


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะไม่ฝืนใจท่านแล้ว ข้าน้อยต้องขอตัวไปก่อน ขอสหายรักษาตัวด้วย” ชายหนุ่มชุดดำเผยสีหน้าเสียดายออกมา หลังจากกุมมือคารวะหลิ่วหมิงแล้ว ร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นไอดำหายไปในอากาศ


“เคล็ดวิชาหลบซ่อนของเผ่าค้างคาวมีชื่อเสียงสมชื่อจริงๆ” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินไปยังประตูหินที่อยู่ด้านข้าง


ระยะเวลาในหนึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงก็เริ่มพบเจอกับผู้ฝึกฝนคนอื่นอยู่บ่อยๆ


ผู้ฝึกฝนในนั้นมักจะมาผูกไมตรีอย่างอบอุ่นผิดปกติ เพื่อหวังจะหาพวกไปสังหารอสูรมายาระดับที่สูงกว่าด้วยกัน แต่ว่าหลิ่วหมิงไม่เคยคิดจะร่วมเดินทางกับคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นย่อมปฏิเสธอย่างไม่ลังเล


บางคนก็ไม่พูดอะไรออกมา หลังจากแสดงสีหน้าระแวดระวังออกมาแล้ว ก็เดินจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


เพราะว่าวังนภาหยกเปิดแค่สามเดือน ดังนั้นในตอนแรกผู้คนทั้งหมดต่างก็ยุ่งอยู่กับการไปสังหารอสูรมายาในวัง เพื่อรวบรวมมุกมาให้ได้มากที่สุด จึงไม่มีใครยุแหย่ฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด


สามวันต่อมา หลิ่วหมิงมาถึงห้องโถงที่มีแสงสีเขียวสลัวๆ แห่งหนึ่ง


มันแตกต่างจากห้องโถงที่เข้าไปก่อนหน้านั้น ผนังอีกสามด้านของห้องโถงไม่มีประตูหินอยู่ และหลังจากหลิ่วหมิงเข้ามาได้ครู่หนึ่ง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนประตูตรงทางเข้า จากนั้นก็กระพริบหายไป


เขาขมวดคิ้วสังเกตดูทุกสิ่งที่อยู่รอบด้าน


พอมองทะลุหมอกควันที่หมุนวนเป็นเกลียวรอบด้าน ก็ค้นพบว่าบนผนังหินสีดำทั้งสี่ด้าน มีลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะเสริมชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้ ทำให้อากาศรอบด้านผสมปนเปกับพลังกดดันอันหนาแน่น จนรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย


หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตมหาศาลออกไปด้วยสีหน้าระแวดระวัง และเริ่มตรวจสอบอากาศบริเวณรอบๆ


ขณะนั้นเอง เขารู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง เท้าทั้งคู่ดูเหมือนจะถูกพลังไร้รูปบางอย่างยึดติดไว้กับพื้น ขณะเดียวกันคลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง ก็ทะลักมามาเหนือศีรษะอย่างบ้าคลั่ง


“วิชาแรงดึงดูด?”


หลิ่วหมิงรีบกระตุ้นวิชาตัวเบาด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ทำให้ร่างของเขาเบากว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่ากว่าๆ เท้าทั้งสองแตะลงพื้นอย่างรุนแรง และพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้ง


“โครมคราม!”


พอร่างหลิ่วหมิงพุ่งออกไป เงาฝ่ามือยักษ์ก็ร่วงลงจากด้านบน และกดลงบนพื้นที่หลิ่วหมิงเคยอยู่อย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็เกิดหลุมรูปฝ่ามือที่ลึกจั้งกว่าๆ


ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายเล็กน้อย เขาค้นพบว่าชายหนุ่มใบหน้าไร้ความรู้สึกที่อยู่ห่างจากด้านหน้าไปหลายจั้ง กำลังลอยลงมา


ชายหนุ่มสูงพอๆ กับหลิ่วหมิง หน้าตาหล่อเหลา สวมชุดคลุมสีขาวสลัวๆ ไอหมอกสีเทาลอยวนเป็นเกลียวรอบตัว ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน


แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างประหลาดใจก็คือ เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน พอกวาดจิตออกไปก็รับรู้ได้เพียงพลังกดดันที่ขาดๆ หายๆ แต่กลับไม่วี่แววของการมีชีวิตเลย


ชายหนุ่มตรงหน้าดูราวกับเป็นเงาร่างเท่านั้น


“ข้ากับท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดถึงลอบโจมตีข้า?” หลิ่วหมิงลองถามหยั่งเชิงดูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


แต่ทว่าชายหนุ่มกลับทำราวกับไม่ได้ยิน สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่ที่ลืมขึ้นมาเล็กน้อยจ้องหลิ่วหมิงด้วยท่าทีแปลกๆ ทันใดนั้นความรู้สึกกดขี่อย่างหนักหน่วงก็แผ่ออกจากร่างของเขา


ขณะนี้หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความคิดต่างๆ กำลังหมุนวนอยู่ในสมอง และวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว


เดิมทีคิดว่าคนผู้นี้เป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกับเขาที่เข้ามาในวังนภาหยกแห่งนี้ หรืออาจเป็นผู้ที่คิดจะชิงสมบัติล้ำค่า ถึงได้แอบลอบโจมตีเช่นนี้


แต่ทว่าหลังจากเห็นเขามีพฤติกรรมแปลกๆ หลิ่วหมิงกลับรู้สึกเหมือนกับว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นเงาร่างเหมือนกับอสูรมายาที่พบเจอในก่อนหน้านั้น


เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็นึกถึงชายหนุ่มสองคนที่รวมตัวกันในห้องโถงในก่อนหน้านั้น และเชิญชวนเขาให้ออกเดินทางพร้อมกัน ซึ่งทั้งสองได้พูดถึงเรื่องราวบางอย่าง


ในวังนภาหยกแห่งนี้นอกจากจะมีอสูรมายาแล้ว ยังมีเงาร่างมนุษย์ชนิดหนึ่งปรากฏออกมาด้วย ซึ่งมันไม่มีสติปัญญา มีแต่ความสามารถในการต่อสู้ เป็นอสูรมายาร่างมนุษย์ที่วังนภาหยกทำการลอกเลียนแบบผู้ฝึกฝนที่เคยบุกเข้าวังในครั้งก่อนหน้า


อสูรมายาร่างมนุษย์เหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถใช้เคล็ดวิชาหลากหลายรูปแบบที่ลอกเลียนแบบมาได้เท่านั้น แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วย แต่ละอันล้วนปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างมาก


พอนึกถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล และพุ่งเข้าใส่เงาร่างทันที


เงาร่างชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน ธงเล็กที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ ถูกกำไว้ในมือ และปล่อยพลังเวทใส่


ครู่ต่อมา ธงเล็กก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ ชายหนุ่มโบกธงเล็กเบาๆ พริบตาเดียวก็มีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวขึ้นมา และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยแรงกดดันมหาศาล


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดออกมา พอทำท่ามือ ร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่าง เพื่อหลบหลีกพายุบ้าระห่ำ


ชายหนุ่มยกมือชี้ไปทางอากาศเบาๆ จากนั้นก็โบกธงในมืออีกครั้ง


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเท้าหนักขึ้นมาอีกครั้ง และร่างของเขาไม่สามารถขยับตัวได้ เขายังไม่ทันได้แสดงวิชาตัวเบา พายุบ้าระห่ำในก่อนหน้านั้นก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงแผดร้อง


หลิ่วหมิงตะคอกเสียงออกมา มังกรสีดำตัวหนึ่งพุ่งออกจากหลังของเขา และพุ่งไปรับมือกับพายุสีเขียวบ้าระห่ำ


เกิดเสียงดังก้องฟ้าในทันที!


พายุบ้าระห่ำกลางอากาศระเบิดออกมาด้วยเสียงอันดัง จากนั้นก็กลายเป็นคมวายุพุ่งมาตรงหน้าเป็นจำนวนมาก


มังกรสีดำส่ายตัวอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าจะสามารถต้านทานคมวายุส่วนมากไว้ได้ แต่ยังคงมีจำนวนไม่น้อยที่พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงดีดนิ้วทั้งสิบออกไป ปราณกระบี่สีขาวสลัวๆ ก็ม้วนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว และโจมตีคมวายุจนแตกกระจาย


หลังจากมังกรสีดำแผดเสียงร้องออกมา มันก็เหาะหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิง และคุมเชิงอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง


ธงสีเขียวในมือเงาร่างชายหนุ่มโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนกับจะปล่อยวิชาแรงดึงดูดออกมา แม้จะบอกว่าไม่ใช่วิชาขั้นสูงอะไร แต่เมื่อประกอบกับอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณแล้ว ก็ทำให้คนปวดหัวได้เช่นกัน


หากฝ่ายตรงข้ามไม่ทันระวังเพียงเล็กน้อย  อาจจะเผยจุดอ่อนออกมา ทำให้ถูกเงาร่างชายหนุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสได้


หลิ่วหมิงตาเป็นประกายสองสามที ขณะที่กำลังจะทำอะไรบางอย่างนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าก็โยนธงเล็กออกไปในอากาศ และหมุนวนอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว


แสงสีเขียวพุ่งยิงออกไปรอบด้าน มีเสียงคำรามดังออกมาจากในนั้น ธงสีเขียวกลายเป็นวานรน้อยที่ดูราวกับมีชีวิต


วานรน้อยสูงฉื่อกว่าๆ มีแสงสีเทาสลัวเปล่งประกายรอบตัว บนหัวขนาดเท่ากำปั้นของมันมีลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวจางๆ เปลวไฟสีเหลืองในดวงตาทั้งสองลุกไหม้คุโชน ภายใต้การกระตุ้นของชายหนุ่ม มันก็พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงพร้อมกับเสียงกรีดร้อง


“นายท่าน ให้ข้าจัดการกับมันเถอะ!”


พอหลิ่วหมิงขมวดคิ้วและกำลังจะลงมือนั้น พลันมีเสียงเด็กผู้ชายดังขึ้นข้างหู ซึ่งก็คือหัวบินที่ออกตัวจะไปรับศึกเอง


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตบเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอหมอกสีดำลอยออกมา และกลายเป็นศีรษะที่มีขนาดใหญ่ฉื่อกว่าๆ


หัวบินส่งเสียงร้องแปลกประหลาดดังแกร๊กๆ ไอหมอกรอบตัวเริ่มพวยพุ่งขึ้นมา เปลวสีแดงลุกไหม้ในดวงตาทั้งคู่ จากนั้นก็พร่ามัวมาอยู่ตรงหน้าวานรน้อย พอมันสะบัดหัว เส้นผมสีเขียวจำนวนมากก็พุ่งยิงใส่วานรน้อย


แสงสีเขียวเปล่งประกายบนหัวของวานรน้อย พอโบกแขนข้างหนึ่ง คมวายุสีเขียวสลัวๆ ก็เปล่งประกาย และตัดเส้นผมยาวขาดไปจำนวนหนึ่ง


วานรน้อยสีเทาไม่รามือเพียงแค่นี้ แต่กลับชกหมัดออกมาจำนวนมาก ก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวใส่หัวบิน


ดวงตาทั้งคู่ของหัวบินเป็นประกายแวววาว มันพ่นไอหมอกสีเขียวสลัวๆ ออกมากลุ่มหนึ่ง ไอหมอกดำกลายเป็นม่านแสงสีเขียวห่อหุ้มตัวมันไว้


พอพายุบ้าระห่ำสัมผัสกับม่านแสงสีเขียว มันก็กระเด็นออกไปท่ามกลางแสงสีเขียวที่หมุนวน


ขณะที่ทั้งสองรัดพันกันอยู่นั้น หลิ่วหมิงก็หยิบยันต์วิชาตัวเบาออกมา หลังจากแปะไว้บนตัวแล้ว ก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มท่ามกลางพายุสีเขียวที่ห่อหุ้มอยู่


เงาร่างชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็ชี้มือข้างหนึ่งใส่หลิ่วหมิงติดต่อกัน ทันใดนั้นไหมดำก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และกระพริบไปหาหลิ่วหมิงทันที


เพียงแค่ร่างของหลิ่วหมิงพร่ามัว ก็หลบการโจมตีของไหมดำได้ พอขยับตัวอีกครั้ง ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเงาร่างชายหนุ่มอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ มีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมา พอขยับแขน กำปั้นที่มีไอดำลอยวนก็โจมตีออกไปอย่างโหดเหี้ยม


“ตู้ม!”


เงาร่างชายหนุ่มหลบไม่ทัน ทำได้แค่เอาแขนทั้งสองประสานกันบริเวณหน้าอกด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


หลังจากมีเสียงดังขึ้น เงาร่างชายหนุ่มก็ถูกโจมตีกระเด็นออกไปหลายจั้ง แต่แสงสีขาวรอบตัวเปล่งประกายในทันที จากนั้นก็หายไปจากสายตาของหลิ่วหมิง


ตอนที่ 561 การต่อสู้อย่างรุนแรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลงเล็กน้อย พอกระตุ้นท่ามือ ไอดำอันพวยพุ่งก็แผ่ขยายออกมา พริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นเงาร่างสีดำอันพร่ามัว


มีคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศทางด้านขวา แสงสีเขียวเจิดจ้าที่ยาวฉื่อกว่าๆ พุ่งยิงเข้ามาในทันที และแทงทะลุเงาสีดำของหลิ่วหมิง


เงาดำแตกกระจายในทันที ร่างจริงของหลิ่วหมิงได้หายไปนานแล้ว


ครู่ต่อมา มีคลื่นสั่นสะเทือนบริเวณที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เงาร่างคนผู้หนึ่งเปล่งประกายออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


เขาทำเสียงฮึดฮัด และเปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว ไอหมอกดำรอบตัวกลายเป็นพยัคฆ์ทมิฬดุร้ายตัวหนึ่ง หลังจากส่งเสียงคำรามอันน่าตกใจออกมาแล้ว ก็กระโจนเข้าไปหาแสงสีเขียว


สิ่งที่เขานึกไม่ถึงก็คือ ภายใต้การสั่นสะท้านเบาๆ ของแสงสีเขียว มันก็แยกตัวออกมาเป็นแสงหกสาย จนสามารถหลบพยัคฆ์ทมิฬไปได้ และหลังจากหมุนตัวไปหนึ่งรอบแล้ว ก็พุ่งไปหกทิศทาง


หลิ่วหมิงไม่ทันได้คิดอะไรมาก พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองก็ม้วนตัวออกจากในนั้น เขาร่ายคาถาอยู่ครู่หนึ่ง ทรายทองคำรวมตัวกัน พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีทองล้อมรอบตัวเขา


ที่เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงก็คือ พอทรายทองคำร่วงปะทะกับแสงสีเขียว มันก็ยืนหยัดได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็โจมตีจนกลายเป็นรูเล็กๆ หกรู


ขณะนั้นเอง ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มองเห็นแสงสีเขียวทั้งหกอย่างชัดเจน ที่แท้มันก็กลายร่างมาจากเข็มบินทั้งหก อานุภาพของมันแข็งแกร่งมาก มันเป็นสมบัติที่ไม่ด้อยไปกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด


เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ควักมุกพลังวารีทั้งสองออกมา หลังจากเอามาถูกันแล้ว ก็ส่งพลังเวทเข้าไป


พริบตาเดียว หยดน้ำสีน้ำเงินเข้มที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏออกมา และห่อหุ้มตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา


เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ แม้ว่าแสงสีเขียวจะแทงทะลุม่านทรายได้ แต่ในขณะที่เข้ามาในม่านวารีนั้น กลับถูกลดความเร็วไปมาก


พอหลิ่วหมิงขยับตัว ก็หลบการโจมตีของเข็มบินสีเขียวได้อย่างง่ายดาย และหายวับออกมาจากหยดวารี ขณะเดียวกันก็หมุนตัวปล่อยพลังเวทใส่หยดวารีอย่างรวดเร็ว


ดูเหมือนเงาร่างชายหนุ่มจะรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล  จึงพยายามกระตุ้นเคล็ดวิชาเพื่อเรียกเข็มบินกลับมา แต่มันกลับช้าไปเสียแล้ว


คลื่นแสงไหลวนอยู่ในหยดน้ำ ไม่ว่าเข็มบินจะพุ่งแทงอยู่ในนั้นอย่างไร ก็ไม่อาจออกไปจากม่านวารีได้ และภายใต้การฉีกทึ้งของพลังไร้รูปที่อยู่ด้านใน มันก็ร่วงลงพื้น และกลายเป็นหมอกควันก่อนที่จะสลายไป


ขณะนี้ เงาร่างชายหนุ่มก็เคลื่อนไหว พริบตาเดียวก็หายไปจากจุดเดิม แต่ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวด้านหลังหลิ่วหมิง แขนของเขาขยายใหญ่ขึ้นหลายฉื่อ และคว้าเข้ามาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


แม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าฝึกฝนวิชาอะไร แต่กระบวนท่านี้คล้ายกับกระบวนท่าของปีศาจหลานสี่ เขาจึงรู้สึกคุ้นเคยมาก เพียงแค่บิดตัวแปลกๆ ก็สามารถหลบพ้นได้อย่างง่ายดาย


ดูเหมือนเงาร่างชายหนุ่มจะไม่พอใจ พอร่างของเขาพร่ามัว ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง และคว้าเข้ามาติดต่อกันอย่างรวดเร็ว


แม้หลิ่วหมิงจะมีวิชาตัวเบาช่วยเสริม จนเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าปกติมาก แต่ภายใต้การก่อกวนของชายหนุ่ม เขายังต้องค่อยๆ ถอยออกไปหลายก้าว เพื่อหลบลำแสงอันแหลมคม


แต่ครู่ต่อมา พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำหลากหลายรูปแบบ ก็พุ่งไปหาเงาร่างชายหนุ่ม ทันใดนั้นมีลำแสงสีต่างๆ เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และใกล้จะระเบิดออกมา


แต่ชายหนุ่มกลับถอยออกไปสิบกว่าจั้งราวกับพายุ ขณะเดียวกันก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขวานเล็กสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ลวดลายจิตวิญญาณหลายเส้นปรากฏอยู่บนพื้นผิว ด้ามขวานยังสลักเครื่องหมายสีเงินแปลกประหลาดไว้อันหนึ่ง ทำให้ดูลึกลับเป็นอย่างมาก


เงาร่างชายหนุ่มเพียงแค่เคลื่อนไหว ขวานเล็กก็ขยายตัวตามแรงลมจนมีขนาดสามสี่จั้ง มีไอสีม่วงลอยวนเวียนอยู่ตรงคมขวาน เพียงแค่โบกสะบัดมันออกไป ขวานแสงสีม่วงแคบยาวก็พุ่งเข้ามาตามพื้น


“ตูม!”


อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำเหล่านั้นถูกขวานแสงม้วนตัวเข้าไป พริบตาเดียวก็ค่อยๆ แตกสลายไป


หลังจากแสงสีม่วงกระพริบ มันก็ม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง โล่เล็กสีดำก็ปรากฏออกมา


อสูรมายาร่างมนุษย์นี้ สมกับเป็นเงาร่างลอกเลียนแบบผู้บุกวังที่โดดเด่นในก่อนหน้านั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังหรืออาวุธจิตวิญญาณล้วนร้ายกาจเป็นอย่างมาก ซึ่งอสูรมายาทั่วไปไม่อาจเทียบได้


หลังจากเขากระตุ้นเคล็ดวิชาแล้ว โล่เล็กสีดำก็ขยายใหญ่หลายจั้ง และปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา หัวกะโหลกเก้าใบนูนออกมา และพ่นเปลวไฟสีดำออกมา


“ตูม!”


หลังจากเปลวไฟสีดำปะทะกับขวานแสงสีม่วง เปลวไฟสีดำกับแสงสีม่วงก็ประประสานกันและพุ่งขึ้นฟ้า คลื่นอากาศม้วนตัวออกไปทั่วทิศอย่างรุนแรง


ขณะที่หลิ่วหมิงกับเงาร่างต่อสู้กันอยู่นั้น ห่างจากทั้งสองไปสิบกว่าจั้ง หัวบินกำลังต่อสู้กับปีศาจวานรที่กลายร่างมาจากธงสีเขียวอย่างดุเดือด


ขณะนี้หัวบินได้กลายเป็นเก้าหัวแล้ว มันกำลังใช้เส้นผมสีเขียวโจมตีวานรยักษ์ด้านหน้าที่ไม่รู้ว่าขยายใหญ่สามสี่จั้งตั้งแต่เมื่อใด


จะเห็นว่ามีคมวายุสีเขียวก่อตัวขึ้นมามากกว่าเดิม และตัดเส้นผมสีเขียวที่ปกคลุมเต็มฟ้าจนขาด


แต่ทว่าในขณะที่หัวทั้งเก้าสั่นสะท้านเบาๆ ก็มีเส้นผมจำนวนมากงอกออกมา และม้วนตัวเข้าหาวานรยักษ์อย่างหนาแน่น


ทั้งสองดูเหมือนจะไม่สามารถแยกแยะผู้ชนะหรือผู้แพ้ได้สักพัก


หลิ่วหมิงอาศัยช่องว่างในระหว่างการต่อสู้หันไปมองหัวบินทีหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาต่อสู้กับเงาร่างชายหนุ่มต่อ


แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่สามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดจำนวนมากพร้อมกันได้ พลังจิตแข็งแกร่งมาก ดูเหมือนกันว่าจะแตกต่างหลิ่วหมิงที่แสดงพรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังไม่มากนัก


อีกอย่าง คนผู้นี้ก็เคลื่อนไหวรวดเร็ว วิธีการซ่อนเร้นก็สูงส่งมาก คงไม่ใช่เป็นแค่ระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไปเท่านั้น


จากประสบการณ์ของหลิ่วหมิง พลังแท้จริงของคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นด้วยซ้ำ


ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ร่างของชายหนุ่มก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านที่หลัง ขวานแสงสีม่วงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ


เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่เล็กที่เปล่งแสงสีแดงสลัวๆ ปรากฏขึ้นในมือ


ขณะที่มีเสียงดังก้อง แสงกระบี่สีแดงที่ยาวจั้งกว่าๆ ก็พุ่งยิงออกไป


“ตูม!”


พอแสงกระบี่สีแดงและขวานแสงสีม่วงพบกัน ก็เกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้อย่างรุนแรงจนปกคลุมแสงสีม่วงไว้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ชั่วเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว เปลวไฟสีแดงก็มืดลง และแสงสีม่วงก็พุ่งออกมา


หลิ่วหมิงอาศัยจังหวะนี้โบกมือข้างหนึ่ง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่ม และเขวี้ยงโล่กระดูกที่อยู่ในมืออีกข้างออกไปอย่างรุนแรง


เสียงพิลาปร่ำไห้อย่างน่าเวทนาดังออกมา เงากะโหลกเก้าใบพุ่งออกไปท่ามกลางไอดำ


เงาร่างชายหนุ่มทำได้แค่บิดตัวและถอยออกไปด้านหลัง


แต่ในขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”


ม่านทรายทองคำที่หมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว กลับปล่อยลูกธนูสีทองเล็กๆ ออกมา


แต่ทว่าในขณะที่ชายหนุ่มลอยอยู่กลางอากาศนั้น มันยังคงพยายามปล่อยขวานแสงสีม่วงออกมา ทำให้ลูกธนูสีทองจำนวนมากกระเด็นออกไป แต่ยังคงถูกแทงทะลุไปหลายดอก ทำให้ร่างของเขาโซซัดโซและหยุดตัวลง


ดูเหมือนจะช้าแต่กลับรวดเร็วมาก หลังจากร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่ม พอโล่กระดูกในมือสั่นไหว คลื่นยักษ์สีดำขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นมา เงาหัวกะโหลกทั้งเก้าขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง และกัดลงมาอย่างโหดเหี้ยม


เงาร่างชายหนุ่มคำรามออกมา ขวานยักษ์สีดำในมือถูกโยนออกไปอย่างรุนแรง แขนทั้งสองสั่นสะท้านเบาๆ เงากรงเล็บยักษ์สีเทาสองข้างพุ่งขึ้นฟ้าทันที เพื่อที่จะขยี้หัวกะโหลกทั้งเก้าใบให้แหลกละเอียด


แต่ภายใต้การตอบโต้อย่างรุนแรง เขากลับต้องร่นถอยออกไปสิบกว่าเก้า


ขณะนั้นเอง หมอกทรายสีทองก็ม้วนตัวกลายเป็นตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ปกคลุมเขาไว้ และรัดแน่นในทันที ในที่สุดเงาร่างชายหนุ่มก็ถูกขังไว้ในนั้น และไม่อาจดิ้นรนได้อีก


หลิ่วหมิงย่อมไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มพลิกตัวแต่อย่างใด ทันนั้นใด เขาก็หายวับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม พอกระบี่เล็กสีแดงในมือเคลื่อนไหว มันก็กลายเป็นสายรุ้งแวววาวพุ่งออกจากมือ เพียงแค่หมุนวนรอบตัวชายหนุ่มหนึ่งรอบ ศีรษะของชายหนุ่มก็หลุดร่วงลงมา


“ตุ๊บ!” “ตุ๊บ!”


ร่างไร้ศีรษะของชายหนุ่มระเบิดตัวเป็นไอหมอกสีขาว และมีมุกสีต่างๆ ร่วงลงมาจากในนั้น ซึ่งมีทั้งหมดร้อยกว่าเม็ด


ส่วนมากเป็นมุกระดับต่ำสุดที่มีสีเทากับสีขาว และยังมีมุกสีเขียวสิบกว่าเม็ดกับมุกสีม่วงสองเม็ด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจระคนดีใจอย่างอดไม่ได้ พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป ก็เก็บอาวุธจิตวิญญาณที่นำออกมากับมุกทั้งหมดเข้าไปในแขนเสื้อ


ในสถานการณ์ปกติ อสูรมายาแต่ละตัวจะมีมุกนภาหยกร่วงลงมาหนึ่งเม็ดเท่านั้น แต่เงาร่างชายหนุ่มผู้นี้กลับมีมุกนภาหยกสีต่างๆ ร่วงออกมามากถึงเพียงนี้ ทำให้หลิ่วหมิงนึกถึงคำพูดของเถ้าแก่เย่ก่อนออกเดินทาง


ดูเหมือนว่าในวังนภาหยก อสูรมายาก็สามารถโจมตีผู้บุกวังเพื่อแย่งชิงมุกนภาหยกได้ เพียงแค่โจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่ง วังนภาหยกจะตัดสินว่าคนผู้นั้นไม่อาจต่อสู้ได้อีก ขณะเดียวกันก็จะกระตุ้นชั้นจำกัดส่งออกไปนอกวังด้วย


ขณะนี้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจนำมุกนภาหยกที่รวบรวมมาทั้งหมดออกไปนอกวังได้ ย่อมเป็นเพราะว่าได้สูญเสียให้กับอสูรมายาที่พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว


ดูจากสถานการณ์เช่นนี้แล้ว มุกนภาหยกเหล่านี้คงได้มาจากการที่เงาร่างชายหนุ่มสังหารผู้บุกวังในก่อนหน้านั้น น่าเสียดายที่พวกเขาลำบากมาเป็นเวลานานถึงจะได้มันมา แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในมือของเขา


ขณะนั้นเอง หัวบินพุ่งกลับมาอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิวอย่างรวดเร็ว


ขณะที่เงาร่างชายหนุ่มหายไปนั้น วานรยักษ์ที่กำลังต่อสู้กับหัวบินอย่างไม่รู้แพ้ชนะ ย่อมหายไปพร้อมกันด้วย


หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ และตบถุงหนังบนเอวเพื่อเรียกหัวบินให้กลับเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ


หลังจากเงาร่างชายหนุ่มถูกโจมตีจนสลายไปได้ไม่นาน ก็ดูเหมือนว่าชั้นจำกัดพิเศษในห้องโถงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย


จะเห็นว่าลวดลายจิตวิญญาณบนผนังทั้งสี่ด้านกระพริบก่อนที่จะหายไป และประตูหินก็ปรากฏออกมา


สถานที่ที่ประตูหินหายไปเช่นนี้ โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในห้องโถงที่มีอสูรมายาร้ายกาจเท่านั้น หากคิดจะออกไปจากห้องโถง ก็ต้องสังหารอสูรมายาในนั้นให้ได้ หรือไม่ก็ต้องสามารถยืนหยัดได้นานพอภายใต้การไล่ล่าของอสูรมายา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้รีบเข้าไปในห้องโถงอีกแห่งแต่อย่างใด แต่กลับถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็นำโอสถจินหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ด และนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวท


การต่อสู้ในครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่นาน แต่ก็ดุเดือดเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเองก็ใช้ความสามารถที่แท้จริงไปเจ็ดแปดส่วน ถึงสามารถสังหารอสูรมายาร่างมนุษย์นี้ได้ ขณะเดียวกันก็สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย ย่อมไม่เสี่ยงอันตรายออกไปอย่างแน่นอน


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)