ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 555-556
ตอนที่ 555 เป็นศัตรูกับแดนจิ่วโจว
“วันนี้ที่พวกเรามาเยี่ยมคารวะสำนักหยินหยาง มิใช่ว่าจะมาหาเรื่อง”
เจ้าแคว้นทองถึงกลับกรอกตาขาวอยู่ในใจ ไม่ได้มาหาเรื่อง หรือว่าจะมามอบศีรษะให้หรือยังไง?
ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนช่างสมกับคำเล่าลือนัก ล้วนมิใช่ตัวดี
คนผู้นี้ใช้เขาเป็นหินรองเท้า คิดใช้เขาเป็นหินปูทางเหยียบขึ้นไปตั้งแต่แรก!
พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็เริ่มแสดงท่าทีจะย้ายฝั่ง เจ้าคนทรยศ
“ครั้งก่อนหลังจากจบงานสุดยอดการประลอง ท่านเจ้าตำหนักของข้ามีความตั้งใจจริงจะสานไมตรีกับท่านเจ้าสำนัก เพียงแต่ท่านเจ้าสำนักเป็นผู้สูงส่งที่มีภารกิจมากมาย…..”
แม้ว่าต้าซือมิ่งจะมิได้เอ่ยออกมาอย่างหมดเปลือก แต่ว่าตอนนี้มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความหมาย
“ท่านเองก็ทราบดีว่า ยาตันกว่าครึ่งหนึ่งในดินแดนจิ่วโจวล้วนมาจากวังตันติ่งกง ผู้น้อยพอดีได้รับมอบหมายให้ไปรับยาที่วังตันติ่งกง แต่ใครจะนึกว่าพอไปถึงวังตันติ่งกงจะเกิดเรื่องจนถึงขั้นถูกลบล้าง…..”
“เหล่าศิษย์ที่เหลือรอดในวังตันติ่งกงต่างก็ระบุออกมาว่าท่าน…. เพื่อหนุ่มน้อยผู้หนึ่งจึงเปิดการสังหารใหญ่โต”
“คิดๆดูแล้ว หนุ่มน้อยผู้นั้น ก็คงจะเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายท่านในตอนนี้กระมัง”
ต้าซือมิ่งว่าต่อไป สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าคุ้นตาอยู่บ้าง ตอนนี้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกว่าเดิม
“อย่าได้อ้อมค้อม มีเรื่องใดก็ว่ามา” ท่านเจ้าสำนักไม่ชอบแววตาที่เขามองไปที่ตู๋กูซิงหลันสักเท่าไร
เทียบกับเจ้าจินฮั่นฮั่นผู้นั้นแล้ว ต้าซือมิ่งผู้นี้เฉลียวฉลาดกว่ามาก
เขาประคองหมัดขึ้นมาคำนับอีกครั้ง กล่าวต่อไปว่า “ดินแดนจิ่วโจวไร้ความสงบสุขมาโดยตลอด เจ้าวังตันติ่งกงได้รับความชื่นชมจากทั่วแผ่นดินจิ่วโจว มีฐานะที่สำคัญเพียงไร คงไม่จำเป็นจะต้องให้ผู้น้อยอธิบายแล้ว”
“ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักสังหารท่านเจ้าวังเพื่อหนุ่มน้อยผู้นี้ ทั้งยังลบล้างวังตันติ่งกงทั้งวัง……เรื่องนี้คาดว่าคงจะมีข่าวแพร่กระจายกันไปกว่าครึ่งดินแดนแล้ว ท่านย่อมกลายเป็นศัตรูของส่วนรวม”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองนั่งอยู่ในบ้านแต่ความซวยตกลงมาจากท้องฟ้า ท่านเจ้าสำนักลบล้างวังตันติ่งกงเพื่อนางตั้งแต่เมื่อใดกัน?
นางสมควรจะจัดการพวกผู้รอดชีวิตของวังตันติ่งกงให้หมด แต่ละคนช่างปากยืดปากยาวรู้จักกล่าววาจาเฉไฉนัก
ยามนี้ ท่านเจ้าสำนักมิได้เอ่ยวาจาใดๆทั้งสิ้น เพียงนั่งอยู่บนเก้าอี้สูง ทั้งไม่รู้ว่าเขาสนใจฟังต้าซือมิ่งอยู่หรือไม่
ต้าซือมิ่งที่ถูกละเลยก็มิได้โกรธเคือง เขาเพียงเอ่ยต่อไปว่า “เรื่องนี้ว่าไปแล้วก็ง่ายดาย ขอเพียงท่านเจ้าสำนักมอบตัวหนุ่มน้อยผู้นั้นออกมา ให้ผู้คนในดินแดนต้าโจวได้ใช้พันดาบหมื่นกระบี่แล่เนื้อ ชำระความแค้นในหัวใจ ก็ถือว่าจบสิ้นกันไป”
“ผู้คนทั้งหลายย่อมจะต้องไม่ทำให้ท่านเจ้าสำนักลำบากใจ”
เขาทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็สังเกตปฏิกริยาของท่านเจ้าสำนักไปพลางๆ คิดจะดูว่าเขาจะมีท่าทีเช่นไรบ้าง
ทันทีที่พูดจบ แววตาของท่านเจ้าสำนักก็ปรากฏไอสังหารออกมา
“ใช้พันดาบหมื่นกระบี่แล่เนื้อผู้ใด?”
ต้าซือมิ่ง “ย่อมต้องเป็นเจ้าหนุ่มน้อยที่ก่อความผิดผู้นั้น”
“คิดว่าท่านเจ้าสำนักเองก็คงจะทราบแก่ใจดี ผู้ที่ไม่สมควรปกป้องย่อมไม่อาจปกป้องได้ ท่านคงจะไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับผู้คนทั้งแผ่นดินจิ่วโจวเพียงเพื่อเขากระมัง? มันไม่คุ้มเลย”
ตู๋กูซิงหลันใคร่ครวญคำพูดของเขาอย่างละเอียด วาจาผายลมสุนัขแท้ๆ
นางยังไม่ทันเอ่ยปาก แววตาที่มีไอสังหารของท่านเจ้าสำนักก็เข้มข้นขึ้นมากว่าเดิม ทำเอาผู้คนรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทง
“ลูกศิษย์ของข้า ใช่คนที่พวกเจ้าคิดจะอาจเอื้อมได้หรือ?”
เขากวาดสายตาเย็นยะเยือกออกไป ทำเอาผู้คนทั้งหลายต่างก็ลิ้นจุกปากไปตามๆกัน
ลูกศิษย์?
เด็กหนุ่มคนนี้….เป็นลูกศิษย์ของเขา?
ต้าซือมิ่งเองก็ตกตะลึงไป เขาได้ยินมาแต่แรกแล้วว่า ในดินแดนจิ่วโจว มีผู้คนไม่น้อยคิดจะกราบคนผู้นี้เป็นอาจารย์ แต่เจ้าตัวกลับไม่แยแส
อย่าว่าแต่เป็นศิษย์สายตรงเลย แม้แต่คิดจะมาเป็นศิษย์ในสำนัก ก็ยังยากกว่าป่ายปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก
ก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า เขารับลูกศิษย์เอาไว้
นัยตาของต้าซือมิ่งวาวลึกขึ้นกว่าเดิม คราวนี้สายตาที่มองดูตู๋กูซิงหลันของเขาถึงกับเปลี่ยนไปแล้ว
“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะมาล่อเล่นกันได้”
“แล้วข้าดูเหมือนพูดจาล้อเล่นที่ตรงไหน?”
ในโถงกว้าง เมื่อรวมกับบรรดาศิษย์ในสำนักของสำนักหยินหยางแล้ว อย่างน้อยๆก็ต้องมีผู้คนอยู่นับร้อย แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าถอนหายใจดังแม้แต่ผู้เดียว
พวกเขาต่างก็ยังตกตะลึงกับเรื่องที่ท่านเจ้าสำนักรับศิษย์เอาไว้อยู่
ที่ผ่านมาต่างก็คิดว่าท่านเจ้าสำนักไม่กินไม่เสพ ที่ไหนได้กลับเป็นเพราะว่าพวกเขาหน้าตาอัปลักษณ์จนเกินไป สุดท้ายแล้วท่านเจ้าสำนักก็ยังเลือกที่รูปร่างหน้าตา
หนุ่มน้อยผู้นี้ เกิดมาหน้าตาดีเกินไปแล้ว ถึงได้รับเลือกจากท่านเจ้าสำนักให้เป็นศิษย์
เจ้าแคว้นทองเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแล้ว เพราะใบหน้าครึ่งนั้นยิ่งทีก็ยิ่งบวมสูงขึ้น เจ็บปวดเหลือแสน
“ลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่ให้เขาขาดไปแม้แต่ผสมเส้นเดียว ผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้อง จดจำเอาไว้ให้ดี”
ยามท่านเจ้าสำนักเอ่ยวาจา มิได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้ดังกึกก้อง แต่ว่าทุกๆถ้อยคำล้วนเข้าสู่รูหูของทุกคนอย่างชัดเจน
พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านเจ้าสำนักจะยอมเป็นศัตรูกับผู้คนในดินแดนจิ่วโจวเพื่อเด็กหนุ่มผู้นี้
“วังตันติ่งกงแอบอ้างชื่อเสียงของสำนักหยินหยางเราไปทำความชั่ว ซ่งชิงอีตายโดยเหตุอันสมควร ที่วังตันติ่งกงถูกลบล้างเพราะความผิดบาปที่ตนเองก็กระทำจนไม่สมควรมีชีวิต ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับศิษย์ของข้า”
เพื่อศิษย์ของตนเองแล้ว ท่านเจ้าสำนักถึงได้ยอมลำบากเอ่ยวาจามากกว่าปกติอีกสองประโยค
คำพูดที่คาอยู่ในคอของต้าซือมิ่ง ยามนี้จึงต้องกล้ำกลืนกลับลงไปก่อน
ดูจากท่าทีแล้ว ท่านเจ้าสำนักคิดจะปกป้องหนุ่มน้อยผู้นี้อย่างแน่นอน ต่อให้เขาพูดอะไรมากไปกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
อย่างไรก็ไม่อาจต่อสู้กับเขาที่นี่ได้อยู่ดี มันไม่คุ้มกัน
เพราะว่าขนาดตอนที่อยู่ในสุดยอดการประลองสามฝ่าย แม้แต่เจ้าตำหนักของเขาก็ยังเอาชนะเจ้าสำนักหยินหยางไม่ได้ แล้วเขาจะทำได้อย่างไร
อึกอักอยู่เป็นนาน ต้าซือมิ่งถึงได้เอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป จิ่วโจวจะถือว่าท่านเจ้าสำนักเป็นศัตรู ท่านเจ้าสำนักก็อย่าได้นึกเสียใจ”
“เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนขี้กลัว เป็นคนที่จะนึกเสียใจกระนั้นหรือ?”
ท่านเจ้าสำนักมีนิสัยเช่นใด เหล่าศิษย์ในสำนักต่างก็รู้กันดี
นั้นก็คือเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ต่อให้ผู้คนทั้งจิ่วโจวมาถึงหน้าประตู เกรงว่าท่านเจ้าสำนักก็คงจะเปิดฉากต่อสู้ออกไปเลย โดยมิได้ขมวดคิ้วด้วยซ้ำ
ทำไมพวกเขาถึงได้รู้สึกว่า ……หากจิ่วโจวกล้าเป็นศัตรูกับท่านเจ้าสำนัก ผู้ที่ต้องสำนึกเสียใจสมควรเป็นชาวจิ่วโจวต่างหาก?
ต้าซือมิ่ง “……”
เมื่อถูกผู้อื่นดูถูกเอาซึ่งๆหน้าเช่นนี้ แล้วเขายังจะทำอะไรได้?
คิดๆอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็บังเอิญคิดออะไรออก จึงกล่าวต่อไปว่า “ผู้น้อยบังเอิญคิดขึ้นมาได้ว่า บรรพชนของเจ้าวังตันติ่งกง มีผู้ที่ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นเทพเซียนไปแล้ว …..ตลอดหลายปีมานี้ ที่วังตันติ่งกงครองฐานะอยู่ในจิ่วโจวโดยไม่เคยสั่นคลอน ก็เป็นเพราะมีเซียนพิทักษ์รักษา เป็นเซียนที่แท้จริง….”
“หากว่าท่านเจ้าสำนักยังคงไม่ยินยอมมอบตัวหนุ่มน้อยผู้นั้นออกมา ศัตรูของท่านย่อมไม่มีเพียงแค่ชาวจิ่วโจว หากแต่เป็นเซียนจริงๆ”
ท่านเจ้าสำนัก “อ๋อ”
อ๋อหรือ?
อ๋อ หมายความว่าอะไร?
ช่างยโสถึงเพียงนี้?
เบื้องหลังของวังตันติ่งกง คือเซียนจริงๆที่อยู่บนสวรรค์เลยนะ! เจ้ากลับแค่พูดว่า อ๋อ?
นี่มันดูถูกกันถึงไปถึงกระดูกเลย!
ตู๋กูซิงหลันเองก็ถูกคำว่า ‘อ๋อ’ ของเขาทำเอาเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว
อีกฝ่ายพูดอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่คนผู้นี้กลับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่า ว่ากันตามจริงแล้ว แม้แต่ตัวตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้เอาคำว่า ‘เซียน’ มาใส่ใจเช่นกัน
เนื่องเพราะว่าศัตรูของนางก็คือ เทพบนสวรรค์ คนพวกนั้นยังสูงส่งกว่าเซียนหลายเท่าตัว
“เอาล่ะ อย่าได้มั่วแต่ทุ่มเถียงกันไปมาอยู่เลย ท่านอาจารย์ของข้าก็บอกแล้วว่า จะปกป้องข้า มีปัญญาก็บุกเข้าประตูมา พวกเราไม่กลัวอยู่แล้ว”ตู๋กูซิงหลันพูดออกไปอย่างนักเลงโต ที่ขี้โม้อย่างที่สุด
ตอนที่่ 556 เทศกาลหมื่นบุปผชาติ
เขาไปเอาตาข้างไหนมาดูถึงได้กล้าพูดว่าเจ้าสำนักหยินหยางจะคุ้มครองเขากัน?
ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าสำนักหยินหยางคงจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังของวังตันติ่งกงยังมีเซียนที่แท้จริงอยู่ ถึงได้ตันสินใจเอ่ยออกไปว่าใครก็ไม่อาจแตะต้องเขา มาตอนนี้ยังคิดว่าจะได้อยู่อีกหรือ?
ต้าซือมิ่งและเจ้าแคว้นทองเดิมทีก็ชิงชังตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเห็นนางพูดออกมาเช่นนั้น ในใจก็ยิ่งเกิดความชิงชังกว่าเดิม
เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดี เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้คิดจะสร้างความแตกร้าวแท้ๆ นี่มิเท่ากับว่าลากท่านเจ้าสำนักหยินหยางและพวกเขาที่เป็นคนในสำนักหยินหยางไปงัดข้อกับชาวจิ่วโจวทั้งหมดหรอกหรือ?
แต่ถึงแม้จะมีความไม่พอใจอยู่เต็มท้องก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ไม่เห็นหรือว่าท่านเจ้าสำนักมีไอสังหารอยู่เต็มร่าง? ราวกับว่าหากใครกล้าด่าว่าเจ้าหนุ่มนั้นเพียงครึ่งคำ คงต้องถูกไอสังหารของเขาทิ่มแทงจนเป็นรูพรุนอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้คนทั้งหมดจึงได้แต่ก้มศีรษะลงไป สนใจไยกัน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงส่งกว่ารับเอาไว้ หากชาวจิ่วโจวบุกเข้ามา ท่านเจ้าสำนักก็ต้องขึ้นสวรรค์ไปเป็นคนแรก ส่วนพวกเขาอย่างมากก็คงต้องร่วมกลบฝังเท่านั้นเอง
เมื่อไม่มีหัว ตัวก็ต้องมีแผลถลอก….คิดๆดูแล้วช่างน่าอนาถใจจริงๆ
ว่าแล้วต่างก็ได้แต่คร่ำครวญกันอยู่ในใจ
ตู๋กูซิงหลันค่อยๆละเลียดริมฝีปากตนเองอย่างช้าๆ นางเหลือบตามองดูต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอยู่หลายครั้ง ว่าไปแล้ว ตอนที่นางยังเป็นไทเฮาน้อยอยู่…..ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนี้ ก็คอยหาเรื่องกับนางอยู่ไม่น้อย
ท่านราชครู ซิ่วเออร์….ใช่แล้ว ซิ่วเออร์ผู้นั้นก็คือคนของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยนบนดินแดนจิ่วโจวอย่างไร ถึงได้คอยหาเรื่องแทงหลังจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา
กระทั่งสุดท้ายก็ยังปั้น ‘ฉางซุนอิง’ ตัวปลอมนั่นออกมาอีกคน
เนื่องเพราะดินแดนจิ่วโจวนี้อยู่ห่างแสนไกล ข้อมูลที่ตู๋กูซิงหลันได้มาจึงยังมีน้อยไปอยู่บ้าง ทั้งยังไม่ทราบเรื่องของซิวหลัวเตี้ยนอย่างละเอียดนัก ตกลงแล้วพวกเขากับต้าโจว กับจีเฉวียนมีความแค้นใดกันแน่
ถึงขนาดที่ทำให้ แม้อยู่ห่างไกลกันด้วยพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นกลาง ก็ยังไม่อาจขัดขวางได้
เพราะรู้สึกถึงแววตาของนาง ต้าซือมิ่งถึงได้มองกลับไป ยามที่เขามองไปนั้น แววตาของตู๋กูซิงหลันก็มิได้หวั่นไหว ทั้งยังคมกริมประดุจเข็มที่สามารถทิ่มแทงผู้คนได้ตลอดเวลา
ที่นางมายังดินแดนจิ่วโจว เพราะตอนแรกมีจุดประสงค์จะตามหาพี่รอง …..กับบางที ชือหลีอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้
บิดาคนงามได้บอกกับนางแล้ว ว่า พี่รองยังไม่ตาย และบางทีอาจจะอยู่ในดินแดนจิ่วโจว หากนางไม่มีเป้าหมายในการตามหา ก็คงจะไม่ได้มาแล้ว
มิสู้เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของตนเองออกไป หากว่าพี่รองได้รู้ จะต้องเดินทางมาหานางเอง
ตอนนี้ มิใช่ว่ามีคนเหล่านี้เร่งรุดมาช่วยงานอยู่พอดีหรอกหรือ?
“ท่านเจ้าสำนัก ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่มาตราฐานในการรับศิษย์ของท่านต่ำต้อยจนถึงเพียงนี้?” ต้าซือมิ่ง ไม่ค่อยพอใจกับสายตาของตู๋กูซิงหลันสักเท่าไร สีหน้าจึงดำทะมึนอยู่ตลอดเวลา “คนเป็นอาจารย์ยังไม่ทันเอ่ยวาจา เขาก็กระโดดโลดเต้นออกมาแล้ว”
สถานที่อย่างตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนั้น ให้ความสำคัญกับกฏระเบียบและมารยาทอย่างที่สุด และตัวเขาเองก็เติบโตขึ้นมาจากบรรยากาศเช่นนี้ตั้งแต่เล็กๆ โดยรักษาและทำตามกฏของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมาโดยตลอด เขาจึงไม่อาจเข้าใจได้เลย ว่าคนอย่างตู๋กูซิงหลันที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ ทำไมท่านเจ้าสำนักหยินหยางถึงได้เห็นดีเห็นงามไปได้
เพราะว่า คนเช่นนี้ หากไปอยู่ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ก็ไม่รู้ว่าจะตายไปกี่ร้อยกี่พันหนตั้งแต่แรกแล้ว
อันที่จริงท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่นิยมพูดจามากความ และไม่ชอบคนมากและความครึกครื้น
เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ที่พึ่งจะรับเข้ามาใหม่ผู้นี้ เขากลับชื่นชอบเป็นพิเศษ
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบให้คนมาเอ็ดตะโรโวยวายอยู่ที่ข้างหู แต่ว่าคำพูดคำจาของนางกลับฟังดูแล้วลื่นหูเป็นพิเศษ
“ศิษย์น้อยของข้าบอกไม่ผิดแล้ว ข้าจะปกป้องเขา ชาวจิ่วโจวที่คิดไม่ตก อยากจะมาตาย ประตูใหญ่ของสำนักหยินหยางเราก็พร้อมต้อนรับ”
ต้าซือมิ่งกับเจ้าแคว้นทองถึงกับพูดอะไรไม่ออก…..
ไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยปาก ท่านเจ้าสำนักก็คิดจะจัดการกับผู้คนแล้ว
“ข้าชักจะล้าแล้ว ไม่อยากฟังวาจาไร้สาระอีก หากไม่มีเรื่องใดก็ไสหัวไปเสีย”
หลังจากนั้น เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวว่า “แน่นอน หากว่าอยากตาย ก็จงรั้งอยู่”
ต้าซือมิ่ง “…….”
เจ้าแคว้นทอง “……..”
ดังนั้นที่พวกเขาถ่อกันมาตั้งไกลก็เพื่อพาตัวเองมาถูกเหยียดหยามน่ะหรือ?
อยากจะกระอักเลือดออกมาเหลือเกิน
แต่ว่าที่นี่จะอย่างไรก็คือถิ่นของผู้อื่น พวกเขาย่อมไม่กล้าพูดอะไรมาก ในเมื่อสู้ไม่ได้ เถียงก็ไม่ได้ หากยังไม่ไปล่ะก็ คงจะต้องทิ้งชีวิตน้อยๆเอาไว้ที่นี่
ทุกคนต่างก็เป็นผู้ที่มีหน้ามีตามีที่มา มิใช่ว่าไร้ซึ่งสติปัญญา หลังไตร่ตรองดูเล็กน้อย พวกเขาก็ตัดสินใจจากไป
เจ้าแคว้นทองรู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เดิมทีเขาคิดจะมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับซ่งชิงอี แต่มาถึงที่นี่ไม่เพียงโดนตบตีไปรอบหนึ่ง ยังถูกขับไล่กลับไปอีก คิดแล้วก็ได้แต่คับแค้น
ยังดีที่ต้าซือมิ่งรั้งตัวเขาเอาไว้ พลางส่งสายตาให้เขาครั้งหนึ่ง เจ้าแคว้นทองจึงยอมถอยกลับไป
พอทั้งสองจากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงกว้างก็เงียบสงบลง
ภายในสำนักหยินหยางมีแต่ความมืด โถงกลางแม้กว้างใหญ่ แต่กลับเปิดหน้าต่างเอาไว้เพียงบานเดียว ทั่วทั้งโถงกว้างแขวนผ้าโปร่งดำสลับขาว ในโถงจุดเทียนเอาไว้ บรรยากาศดูไปแล้วคล้ายกับโถงสวดมนต์
เมื่อสองคนนั้นจากไป บรรดาศิษย์ในสำนักก็พากันถอยออกไป
เพียงครู่เดียวโถงกว้างก็มีแต่ความเงียบงันที่แม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยิน
รอจนผู้คนจากไปหมดแล้ว ตู๋กูซิงหลันค่อยเงยหน้าขึ้นมองดูคนข้างกาย นางยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
“ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ เจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา อย่าได้วิ่งวุ่นวาย”
“กลัวคนมาล้างแค้นหรือ?” ตู๋กูซิงหลัน โคลงศีรษะไปมา
“กลัวคนดักทำร้ายเจ้า”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
“ท่านเจ้าสำนัก”
“เรียกอาจารย์สิ”ตู๋กูซิงหลัน “……”
ช่างเถอะ ไม่คุยกับเขาแล้วก็ได้
อาจารย์ของนางมีเพียงซื่อมั่วคนเดียวตลอดกาล เขาไม่ใช่ซื่อมั่ว และก็ไม่ใช่จีเฉวียน นางจะไปโมเมเรียกเป็นอาจารย์ได้อย่างไร
……………………
ในดินแดนจิ่วโจวเต็มไปด้วยผู้ฝึกฝน ข่าวสารจึงแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งชิงอีตายแล้ว วังตันติ่งกงถูกทำลายจนแทบจะดับสูญ เจ้าแคว้นทองและต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ไปถกเถียงก็ถูกหยามเหยียดกลับไป ซ้ำยังถูกไล่ออกมาจากสำนักหยินหยาง
ข่าวนี้เพียงไม่กี่วันก็แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนจิ่วโจวแล้ว
และที่ยิ่งทำให้ชาวจิ่วโจวต้องตกตะลึงก็คือเจ้าสำนักหยินหยางที่กระทำเรื่องสังหารหมู่เพื่อศิษย์น้อยเพียงคนเดียวผู้นั้น เขายังจะมาร่วมงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติอีกด้วย?
โอ้ แล้วศิษย์น้อยผู้นั้นมีนามว่าอะไรนะ?
เยี่ยซิงหลัน
จุ๊……ทำไมถึงได้รู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูอย่างไรไม่รู้
เทศกาลหมื่นบุปผชาติ ถือเป็นงานใหญ่อันดับสองรองจากสุดยอดการประลอง
ทุกห้าปีในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง จะทำการจัดงานที่เมืองว่านฮวาเฉิง (เมืองหมื่นบุปผชาติ)
พูดตามจริงแล้วงานนี้ก็เป็นงานที่เจ้าแคว้นและหัวหน้าของขุมกำลังต่างๆมารวมตัวกัน เพื่อทำข้อตกลงเจรจาการค้าแลกเปลี่ยนความรู้ในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรต่างๆนานา
ก็เหมือนกับการจัดสุดยอดการประชุมเหล่าผู้นำในโลกปัจจุบัน
เจ้าสำนักหยินหยางที่พึ่งได้รับชัยชนะในสุดยอดการประลอง เขาย่อมต้องมาร่วมงานอย่างแน่นอนมิใช่หรือ?
…………………….
เมืองว่านฮวาเฉิง ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันเข้าประตูเมืองมา จมูกก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว
ตอนนี้ในดินแดนจิ่วโจวเป็นฤดูใบไม้ร่วง ที่อื่นๆล้วนมีแต่ใบไม้ปลิวว่อน มีแต่ที่เมืองว่านฮวาเฉิงที่อบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ
ท้องฟ้าใสกระจ่างราวกับผ่านการซักล้าง เมฆลอยละล่องดุจขนมสายไหม เมื่ออยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามก็ยิ่งชวนให้คนมองมากกว่าเดิม
นางยื่นคอมองออกไปนอกรถม้า ดวงตาเปล่งประกายอย่างยากนักที่จะได้เห็น
ในเมืองว่านฮวาเฉิงเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง และอาคารสูงที่สร้างจากไม้ อีกทั้งยังมีเกาะน้อยที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอีกด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น