ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 552-554
ตอนที่ 552 เหตุใดท่านเจ้าสำนักต้องรีบ...
เป็นเพราะรู้แล้วว่าจำคนผิด ก็เลยผิดหวัง?
แต่มีอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจที่ไม่เคยหวั่นไหวต่อสิ่งใดของเขาถึงได้รู้สึกผิดปกติขึ้นมา
อึดอัดไม่สบาย ราวกับว่ามีสิ่งใดมาทับอยู่เสียอย่างนั้น
“ข้าบอกกับเจ้าตั้งแต่แรก ว่าจำคนผิดแล้ว” ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยปากเสียงทุ้มๆออกมา
จากนั้นก็ลุกลงจากเตียง มือก็ปลดเสื้อผ้าบนร่างทั้งหมดออกไป เดินไปจนถึงข้างตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ของเขา หยิบชุดสีดำติดมือออกมาตัวหนึ่ง
เสื้อผ้าในตู้ทั้งหมดของเขาล้วนเป็นสีดำ ดำเสียจนมองไม่ออกว่ามีเนื้อผ้าใดที่แตกต่างกันหรือไม่
ทั้งยังเป็นแบบแขนกว้างเอวสอบเหมือนกัน และเป็นสีดำเหมือนกันทั้งหมด
เขาไม่มีรัดเกล้าประดับศีรษะ มีแต่เพียงแถบผ้าสีม่วงผืนยาวที่แขวนรวมอยู่กับเสื้อผ้าเท่านั้น
หากมองจากลายละเอียดเล็กๆเหล่านี้ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง
รอจนเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา
นางหยิบเอากระถางศิลาโลหิตที่อาจารย์ให้เอาไว้ออกมาจากในถุงเฉียนคุน ถุงเฉียนคุนที่ชือหลีให้นางมา สามารถเก็บได้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตปริมาณหนึ่ง แต่ว่าถุงเฉียนคุนใบใหม่นี้ มีพื้นที่ภายในกว้างใหญ่มากกว่าหลายต่อหลายเท่า ทั้งยังสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้บ้างเล็กน้อย
ดังนั้นนางจึงได้เก็บกระถางศิลาโลหิตเอาไว้ในถุงเฉียนคุนใบนี้ พกติดตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้นางนั่งอยู่บนเตียง กอดกระถางเอาไว้
ในกระถางดอกไม้หยก มีดินสีดำเข้มที่อุดมสมบูรณ์ ในดินดำนั้นฝังศิลาโลหิตที่อาจารย์มอบให้นางก่อน ‘ตาย’
ถึงตอนนี้ ศิลาโลหิตก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ก้อนหินจะผลิบานได้อย่างไร
ทุกคนล้วนพูดเช่นนี้ แต่ว่านางก็ไม่ยอมเชื่อคนเหล่านั้น
นางเชื่อว่าสักวันหนึ่งอาจารย์และจีเฉวียนจะต้องกลับมา….
ขอเพียงอาจารย์กลับมา เสี่ยวเฉวียนเฉวียนก็จะกลับมาได้เช่นกัน เพราะพวกเขาเดิมเป็นหนึ่งเดียวกัน
ตอนที่ได้พบกับเจ้าสำนักหยินหยางนั้น นางนึกว่าการรอคอยของนาง ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
แต่ว่ายิ่งหวังไว้มาก ก็ยิ่งผิดหวังมาก……..
นางแทบจะไม่เคยรู้สึกหมดแรงถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตกจากความสว่างร่วงลงสู่ความมืดมิดเช่นนี้ ทำให้คนเหมือนขาดอากาศหายใจ
นางนั่งงอเข่ากอดกระถางดอกไม้เอาไว้ ดูอ่อนแอและน่าสงสารอย่างที่สุด
แม้แต่ท่านเจ้าสำนักได้เห็นแล้ว ก็ยังรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง
เขาใช้แถบผ้าสีม่วงเข้มผูกเส้นผมยาวสีดำดุจน้ำหมึกที่ยาวสยายจนพันกันไปบ้างอย่างลวกๆ เส้นผมยังคงยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อประกอบกับรูปโฉมที่งดงามอย่างร้ายกาจของเขาแล้ว ก็กลายเป็นความงามอย่างเกียจคร้าน
เขาเดินเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลัน แต่กลับไม่ไปยืนตรงหน้านาง
หลังกระแอมอยู่เล็กน้อย ก็ค่อยเอ่ยว่า
“เขาเป็นใครกัน?”
“คนที่สำคัญที่สุด” ตู๋กูซิงหลันกอดกระถางดอกไม้เอาไว้ ท่านเจ้าสำนักดูแล้วก็คิดว่าท่าทางเช่นนั้น เหมือนอุ้มเถ้ากระดูกเอาไว้มากกว่า
สามารถทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้ ย่อมต้องเป็นคนสำคัญในชีวิตอยู่แล้ว
เขาย่อมรู้ว่าเป็นคนสำคัญ
“ข้าคล้ายกับเขาที่ตรงไหน ถึงทำให้เจ้าติดตามอย่างพัวพันเช่นนี้?”
“เป็นความรู้สึก เจ้าคล้ายเขา และก็คล้ายเขาด้วย”ตู๋กูซิงหลันถอนหายใจยาวเหยียด ในดวงตามีแต่หมอกชื้น แต่ไม่ได้จับเป็นไอ และไม่ได้หลั่งเป็นน้ำตา
“ในใต้หล้านี้คนที่คล้ายคลึงกันมีอยู่มากมาย” ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ตรงหน้านางครู่หนึ่ง ก็เอาเก้าอี้ไปนั่งลงข้างโต๊ะเตี้ยของตนเอง
บนโต๊ะมีพิณโบราณของเขาวางอยู่ พิณสีน้ำตาลดำส่งกลิ่นอายโบราณที่เข้มข้นออกมา
เขานั่งคุกเข่าลงที่ข้างโต๊ะ สวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง กริยาเรียบร้อยปราศจากรอยยิ้ม ท่าทางที่หมดจดนุ่มนวลเช่นนั้นช่างคล้ายคลึงกับท่านอาจารย์ และก็ดูคล้ายคลึงกับจีเฉวียนยามนั่งอยู่บนบัลลังก์
หากมิใช่เพราะว่าที่บั้นเอวของเขาไม่มีรอยประทับดอกบัวนั้นอยู่จริงๆ ตู๋กูซิงหลันจะต้องแน่ใจว่าเป็นเขาอย่างแน่นอน
“อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลหมื่นบุปผชาติแล้ว” ปลายนิ้วของเขาวางลงบนพิณ แต่ก็ไม่ได้ดีดเสียงใดออกมา
“ถึงตอนนั้นผู้เข้มแข็งทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจวย่อมต้องมาปรากฏตัว บางทีคนที่เจ้าตามหาอาจจะอยู่ในหมู่คนเหล่านั้นก็เป็นได้”
ยากนักที่ท่านเจ้าสำนักจะพูดอะไรยาวๆ
“ในเมื่อคนที่เจ้าตามหาคล้ายคลึงกับข้า ข้าก็จะถือว่าทำความดีแผ่เมตตาแล้วกัน”
เขาพูดโดยมิได้หยุดหายใจ ทั้งยังไร้ริ้วรอยอารมณ์ใดๆ เย็นชาเสมือนไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
ตู๋กูซิงหลันตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะโต้เถียง ย่อมไม่สนใจงานเทศกาลหมื่นบุปผาอะไรนั่นเลยสักนิด
ในเมื่ออาจารย์กับจีเฉวียนยังไม่กลับมา แล้วจะไปร่วมงานหมื่นบุปผาได้อย่างไร
นางสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยหันกลับไปมองเขา “ผู้อื่นต่างพูดกันว่าเจ้าเป็นบุปผาบนยอดเขา ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้ แล้วไยจึงรั้งข้าเอาไว้?”
ท่านเจ้าสำนักสีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ “ข้าเป็นคนใจดีมีเมตตา ชอบสร้างกุศล”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
เชื่อกับผีน่ะสิ?
เอาเถอะ เช่นนั้นก็ถือเสียว่าเขาเป็นคนดีมีเมตตาจริงๆแล้วกัน
“พิณโบราณตัวนั้น คืออาวุธของเจ้า?” ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนหัวข้อไปอีก ไม่ต้องพูดถึงคนผู้นี้ แค่เพียงพิณโบราณตัวนั้น ก็ดูคล้ายกับพิณของอาจารย์จนแทบจะเป็นตัวเดียวกัน
แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่สันทัดในเครื่องดนตรี เหมือนเป็นคนหูดับ พิณโบราณตัวนี้….นางจึงไม่กล้ามั่นใจว่าจะใช่ของท่านอาจารย์หรือไม่
เพียงแต่มองดูแล้ว ก็รู้สึกว่าคล้ายคลึงมาก
“ใช่แล้ว อยู่กับข้ามาโดยตลอด ไม่เคยห่างกาย”
“พิณนี้เรียกว่าอะไร?”
“ไม่มีชื่อ”
“เจ้าไม่มีชื่อ พิณก็ไม่มีชื่อ เจ้ามาจากที่ใดกันแน่?”
ต่อให้ไม่มีรอยประทับดอกบัวดำลายทองนั่น ตู๋กูซิงหลันก็ยังมีเรื่องสงสัยในตัวเขาอยู่เต็มไปหมด
“เจ้ามีคำถามมากมายเกินไปแล้ว”
ท่านเจ้าสำนักหรี่ดวงตาหงส์ลง ปลายหางตามีริ้วสีแดงที่ดุจมาร
“เจ้ายอมให้ข้ารั้งอยู่ ข้าย่อมต้องมีคำถามต่างๆมากมาย…..”
ตู๋กูซิงหลันพยายามปรับเปลี่ยนอารมณ์ของตนเอง ต่อให้คนผู้นี้ไม่ใช่พวกเขา….
แต่ว่าก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาก็เป็นได้
ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป นางไม่เชื่อว่ามีเรื่องบังเอิญเช่นนั้น
เพียงแค่เรื่องดอกบัวดำลายทองนั่นก็ยังไม่อาจสรุปปัญหาเพียงแค่นี้
คนนอกต่างก็พูดกันว่า ท่านเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่วาจาไม่มาก ทั้งเย่อหยิ่งและปลีกวิเวก แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีอำนาจในสำนักหยินหยาง เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ยังไม่มีน้ำหนักจะพูดจา
แต่ว่าตอนนี้ เขากลับยินยอมพาสาวน้อยที่ไปพบระหว่างการต่อสู้กลับมาด้วย
ฝีมือแปลงโฉมของตู๋กูซิงหลันนับว่าใช้ได้ ถึงนางจะแต่งตัวปลอมเป็นบุรุษ แต่ก็เหมือนตัวจริงแค่เพียงสามส่วนเท่านั้น
แต่ว่าสำหรับท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ เขาย่อมมองออกตั้งแต่แรกแล้ว
“หากเจ้าอยากจากไป ประตูใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ ข้าจะไม่รั้งเจ้าเอาไว้”
ถึงอย่างไรท่านเจ้าสำนักก็ไม่ใช่คนอารมณ์แจ่มใสหรือใจดีถึงเพียงนั้น
ตู๋กูซิงหลัน “……”
นิสัยของคนผู้นี้นางคาดเดาอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือเพราะนางเป็นคนที่แสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากจนเกินไป?
นางอุ้มกระถางดอกไม้เอาไว้ พอลงจากเตียง ก็มองออกไปสำรวจดูทางที่มีประตูใหญ่อยู่
ท่านเจ้าสำนักที่เดิมนั่งอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยเหลือบตามองดูนางแวบหนึ่ง
“ฮ่องเต้หญิงของดินแดนโบราณ เดินทางมายังดินแดนจิ่วโจวเพียงลำพัง หากก้าวเท้าออกจากสำนักหยินหยาง เนื้อติดมันอย่างเจ้าคงต้องถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย”
ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปเล็กน้อย ก็ค่อยหันหน้ากลับไป “ข้าไม่ได้บอกว่าจะไปสักหน่อย? เจ้าร้อนใจทำไม?”
นางแค่อยากจะมองดูบรรยากาศรอบนอก ไม่ได้คิดจะไปจากที่นี่
เพราะยังมีข้อสงสัยบางประการในตัวคนผู้นี้ ที่นางยังไม่เข้าใจ แล้วจะให้จากไปทั้งๆที่ยังไม่รู้ชัดได้อย่างไร?
คนที่ไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้เช่นนี้ จะสามารถเป็นเจ้าสำนักที่ดีได้จริงหรือ?
นางเดินกระแทกเท้าตึงตึงกลับเข้ามา ยืนอยู่ข้างกายเขา ก้มลงมองจากด้านบน
“เจ้ารู้ฐานะของข้าตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่?”
ตอนที่ 553 ศิษย์คนแรกและเพียงคนเดียวเ...
ฝืมือแปลงโฉมของนางพอจะใช้ได้อยู่บ้างกระมัง อย่างน้อยๆก็ปกปิดเพศที่แท้จริงได้อยู่
“บนร่างของบุรุษย่อมไม่มีกลิ่นหอม” ท่านเจ้าสำนักเงยหน้าขึ้นมา ขนตาของเขายาวมาก แต่ละเส้นคมชัดเจน ยังสวยงามกว่าขนตาของสตรีเสียอีก
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ถูก ฮ่องเต้ที่เป็นบุตรของข้าตัวหอมตลอดเวลา”
ท่านเจ้าสำนัก “…..”
“จีเฉวียน ฮ่องเต้องค์ก่อนของต้าโจว ชอบหว่านเสน่ห์ถึงเพียงนั้น?”
ตู๋กูซิงหลันถึงกับแปลกใจอยู่บ้าง เขารู้จักจีเฉวียนด้วยหรือ?
ดูท่าอีกฝ่ายจะศึกษาข้อมูลของนางมาอย่างชัดเจน หรืออย่างน้อยๆก็ต้องทราบดีว่าตำแหน่ง ‘ฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณ’ นี้ นางได้รับมาได้อย่างไร
“เขาคือจีเฉวียนที่ดีที่สุดในใต้หล้า ไม่ได้ชอบหว่านเสน่ห์ เพียงแค่เกิดมาตัวหอมเฉยๆ”
จีเฉวียนกับตู๋กูซิงหลันต่างก็เหมือนกัน บนร่างมีกลิ่นหอมจางๆ ต้องเข้าไปใกล้ตัวเขาถึงจะได้กลิ่น
นั่นเป็นกลิ่นหอมของไม้ชนิดหนึ่ง เหมือนกับไม้สน
พอดมแล้วให้ความรู้สึกสบายใจ
“จีเฉวียนที่ดีที่สุด…..” ท่านเจ้าสำนักทวนประโยคของนางช้าๆอีกครั้งหนึ่ง
ชื่อจีเฉวียนสองคำนี้พอเอ่ยออกมาจากปากของเขา ให้ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
“ที่แท้คนที่เจ้าต้องการตามหาก็คือเขานั่นเอง?”
ตู๋กูซิงหลันไม่อาจไม่ยอมรับว่า ท่านเจ้าสำนักผู้นี้เป็นคนที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง
“ไม่ว่าจะนานเพียงไร ข้าก็จะรอเขากลับมา หนึ่งปียังไม่กลับมาก็รอไปอีกปี สิบปียังไม่กลับมาก็รอไปอีกสิบปี….ร้อยปี….พันปี…..”
ตู๋กูซิงหลันจ้องมองไปที่เขา อย่างไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอเอ่ยถึงจีเฉวียนขึ้นมา หมอกชื้นในดวงตาของนางก็ก่อตัวขึ้นมาอีก
นาง……คิดถึงเขา
“รอคอยคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่ทรมาน” ท่านเจ้าสำนักได้เห็นหมอกชื้นในดวงตาของนางเข้าพอดี
หมอกนั้นเกลือบจะกลายเป็นหยดน้ำตาอยู่แล้ว
เมื่อผ่านวันคืนในดินแดนจิ่วโจว เขาได้เห็นความเป็นความตายมามากมาย แต่ก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกใดๆมาก่อน
แต่ว่าตอนนี้ พอได้เห็นท่าทางจะร้องไห้ของนาง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวใจถึงได้เกิดความรู้สึกเหมือนกระตุกขึ้นมา จนเหมือนจะรู้สึกเจ็บไปด้วย
“อย่าร้อง น่าเกลียด”
ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ยอย่างมั่นคงสงบนิ่งดุจขุนเขา
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าปลายจมูกแสบร้อน
นางสูดจมูกอยู่หลายครั้ง เดิมทีนางคิดว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว แต่ว่าสุดท้าย ก็ยังแพ้ให้กับคำว่า ‘จีเฉวียน’
เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นหยดน้ำตา
“โอรสสวรรค์ของแคว้นโจวคนก่อนหายสาบสูญไปในก้นทะเลลึก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องตาย เจ้าลองเสาะหาให้ดี บางทีอาจจะเจอก็ได้”
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาท่านเจ้าสำนักไม่เคยกล่าววาจามากมายถึงเพียงนี้มาก่อน
ยิ่งไม่เคยพูดจาปลอบโยนผู้ใด
ตู๋กูซิงหลันกลับเป็นข้อยกเว้น
เวลาที่เขาพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็คอยสังเกตเขาอย่างละเอียด แม้แต่อารมณ์เล็กๆน้อยๆบนใบหน้าก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน
เมื่อเขาพูดถึง ‘จีเฉวียน’ ก็เหมือนว่าเป็นคนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนจริงๆ
เขากำลังพูดถึงเรื่องของผู้อื่นอยู่
จีเฉวียนจากไปได้อย่างไร มีแต่นางเท่านั้นที่รู้….เขาไม่ได้หายไปในก้นทะเลลึก
คำพูดของนางติดอยู่ในลำคออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงค่อยหลุดออกมาเพียงคำว่า ‘อืม’ คำเดียว
เวลาที่เป็นเรื่องจริงจังนั้น นางดูเชื่อฟังน่าเอ็นดูอย่างที่สุด
ทำให้ใครต่างก็รู้สึกเอื้อเอ็นดูในความว่าง่ายเหล่านั้น
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงติดตามอยู่ข้างกายข้า เป็นศิษย์ของข้า”
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าเขากำลังคิดพิเรนทร์อะไรอยู่ในใจ ถึงได้อยู่ๆก็จะรับนางเป็นศิษย์
นางตกตะลึงไปชั่วครู่ “หือ?”
“เจ้ากำลังเสาะหาอาจารย์ไม่ใช่หรือ?” เขาถาม
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ไม่ใช่ นางตามหาอาจารย์นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ
“ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักไม่เคยรับศิษย์มาก่อน เจ้าจะเป็นคนแรกและเพียงคนเดียวเท่านั้น สมควรจะรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจ”
“สามารถปฏิเสธได้หรือไม่?”
นางสำเร็จวิชาจากสำนักในโลกปัจจุบัน มีอาจารย์คือซื่อมั่ว ชาตินี้ทั้งชาติขอมีอาจารย์คือซื่อมั่วเพียงผู้เดียว
หากนับผู้อื่นเป็นอาจารย์ เช่นนั้นก็ถือว่าทำผิดต่ออาจารย์อย่างร้ายแรง
นางไม่มีทางทำได้
ท่านเจ้าสำนัก “ไม่ได้”
พอสิ้นเสียง ปลายนิ้วของเขาก็กดลงไปบนตัวพิณ ดีดเพียงเบาๆก็เกิดเป็นสำเนียงชุดหนึ่งออกมา
เสียงพิณนั้นกลายเป็นคลื่นพลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชุดหนึ่ง พุ่งเข้าสู่หัวคิ้วของนาง
พลังนั้น แข็งแกร่งเหนือธรรมดา แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธ
สิ่งที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายทางหว่างคิ้วพร้อมกับเสียงพิณ ก็คือพลังหยินที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง
จากนั้นบนหว่างคิ้วของนางก็ปรากฏสัญลักษณ์บางอย่างวาบขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้เห็นชัด สัญลักษณ์นั้นก็จางหายไปเสียก่อน
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือศิษย์ของข้าแล้ว”
เสียงพิณหยุดลง เขาเองก็ลุกขึ้นยืน
เปิดลิ้นชักในตู้ของตนเองหยิบเอาผ้าผูกผมสีม่วงมาเส้นหนึ่ง เดินมาถึงข้างกายนาง ค่อยผูกผมให้นางด้วยตนเอง
ปลายนิ้วที่เรียวยาวลูบลงบนศีรษะของนางเบาๆ “ต่อไปต้องว่าง่ายเชื่อฟัง”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?
ฟ้าดินเป็นพยาน นี่มิใช่ว่านางทรยศอาจารย์สักหน่อย นางถูกบังคับให้เป็นศิษย์ต่างหาก
ตอนที่เขาวางมือลงมานั้น ทำเอานางถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
ความรู้สึกที่ได้เหมือนกับมือของอาจารย์
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะสติแตกแล้ว
คนผู้นั้น ประเดี๋ยวก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้พบอาจารย์ อีกประเดี๋ยวก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้เจอจีเฉวียน
แต่ว่าเขากลับไม่ยอมรับ บั้นเอวก็ไม่มีรอยประทับสัญญลักษณ์ดอกบัว ความรู้สึกเช่นนี้รุมเร้าผู้คนจนนางแทบจะทรุดลงไปแล้ว
………………….
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่อาจย่อยความคิดความรู้สึกทั้งหมดได้นั้น ก็มีขุมกำลังหนึ่งบุกมาถึงสำนักหยินหยางเข้าแล้ว
ผู้ที่มาเป็นถึงต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน และผู้ที่ติดตามมาพร้อมกันก็คือเจ้าแคว้นทอง
ศิษย์ของสำนักหยินหยางต่างก็ตกอกตกใจกันไปหมดแล้ว
เพราะหลังจากที่เจ้าสำนักของตนเอาชนะผู้คนทั้งหมดในสุดยอดการประลองสามฝ่ายไปแล้ว ถึงแม้ไม่อาจบอกว่าสำนักหยินหยางมีแต่ความสงบสุข แต่ยามปกติก็ไม่มีใครกล้ามารังควานถึงหน้าประตูอีกแล้ว
แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า ตอนนี้ผู้ที่ริษยาสำนักหยินหยางมากที่สุดก็คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถือว่าตนเป็นผู้นำในดินแดนจิ่วโจวมาโดยตลอด แล้วจะยอมถอยจากตำแหน่งนี้ง่ายๆได้อย่างไร?
ว่าแล้ว…..ว่าจะต้องบุกมาถึงหน้าประตูเข้าสักวัน
แต่ว่าครั้งนี้ ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงก็คือ เหตุผลที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนและเจ้าแคว้นทองบุกเข้าประตูมา ก็เพราะว่า……วังตันติ่งกงถูกทำลายไปแล้ว?
“เจ้าสำนักหยินหยาง หากว่าเจ้าเป็นบุรุษก็จงออกมา เผชิญหน้ากับข้าผู้เป็นอ๋องตรงๆ”
ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังไม่ทันได้ว่าอะไร เจ้าแคว้นทองก็ชิงกล่าวออกมาอย่างพลุ่งพล่านก่อนแล้ว
เขาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ที่โถงกลางสำนัก ด้วยท่าทางทีมิได้เห็นสำนักหยินหยางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“แม่นางซ่งเป็นเพียงแค่สตรีอ่อนแอ แต่เจ้ากลับใช้เลือดล้างวังตันติ่งกง จนทั่วทั้งวังตันติ่งกงมีแต่ความว่างเปล่า ก้าวต่อไปก็คงคิดจะทำลายขุมอำนาจต่างๆในดินแดนจิ่วโจวให้หมดสิ้นใช่หรือไม่?”
“เป็นบุรุษแท้ๆแต่ว่ากลับลงมือกับสตรีอ่อนแอ ฝีมือก็โหดเ**้ยมจนคนต้องสยดสยอง ตำแหน่งประมุขของดินแดนจิ่วโจวหากว่าให้คนอย่างเจ้าครอบครอง เกรงว่าแม้แต่นรกก็คงไม่พอใจด้วยแล้ว!”
เจ้าแคว้นทองตะโกนด่าจนหน้าแดงคอสั่น ใครๆต่างก็รู้ว่า เพื่อไล่ตามความรักจากซ่งชิงอี เขาทุ่มเทชีวิตและจิตใจไปมากมายเพียงไร แต่ว่าตอนนี้ คนจากไปแล้วก็คือจากไปแล้วจริงๆ…..แถมยังตายอย่างอนาถ………….
ตอนที่ 554 จินฮั่นฮั่น
พอคิดถึงภาพที่วังตันติ่งกงนองเลือดดุจแม่น้ำ เขาก็ต้องขนลุกจนตัวชาขึ้นมา
ที่นั่นกลายเป็นนรกบนดิน ไม่มีชีวิตผู้ใดเหลือรอด
ซ่งชิงอีถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ได้แต่อาศัยเสื้อผ้าเพื่อแยกแยะตัวตน…..
บนแผ่นดินจิ่วโจวนี้ มีบุรุษมากมายเพียงไรที่เฝ้าฝันถึงนาง แต่ละคนล้วนอยากจะสอยพระจันทร์เกี่ยวดวงดาวลงมาให้นางด้วยกันทั้งนั้น
ยามปกติ ใครบ้างที่จะไม่เชิดชูซ่งชิงอีเอาไว้อย่างสูงส่ง ด้วยความเกรงกว่าจะทำอะไรให้นางไม่พอใจ
แต่ใครจะไปนึกว่า ผู้ที่เป็นยอดใฝ่ฝันของผู้คนทั้งหลายจะมาตกตายอย่างอนาถใต้น้ำมือของเจ้าสำนักหยินหยาง
คนที่เหลือรอดในวังตันติ่งกงต่างก็เล่าว่า เจ้าสำนักคนใหม่ลงมือทำร้ายซ่งชิงอีอย่างโหดเ**้ยมก็เพราะเพื่อหนุ่มน้อยผู้นี้
เจ้าแคว้นทองก็มิใช่คนโง่เขลา ในเมื่อต้องการจะทวงความยุติธรรมให้ซ่งชิงอี ก็รู้จักหาคนมาสนับสนุน
และครั้งนี้เขาบังเอิญได้พบกับต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจึงพามาด้วย
เมื่อมีต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคอยหนุนหลัง เอวและแผ่นหลังของเจ้าแคว้นทองก็ตั้งตรงกว่าเดิม
เขาเองก็รู้ดี ว่าวังตันติ่งกงและตำนหนักซิวหลัวเตี้ยนมีการแลกเปลี่ยนกันอยู่ ซ่งชิงอีตายอนาถเช่นนี้ ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนย่อมไม่อาจนั่งดูอยู่เฉยๆ
วันนี้พวกเขามาเจรจาก่อน ต่อไปค่อยยกกำลังมา ในดินแดนจิ่วโจวบุรุษมากมายที่หลงใหลในซ่งชิงอีมีอยู่เป็นร้อยๆ ยังไม่พอจะจับสำนักหยินหยางพลิกคว่ำได้อีกหรือ
ตอนนี้ เขาตะโกนด่าอยู่กลางโถงของสำนักหยินหยางมาครึ่งค่อนวันแล้ว ยังไม่มีผู้ใดกล้าออกมาโต้เถียงสักคำ
ดังนั้นเจ้าแคว้นทองจึงยิ่งรุกหนักกว่าเดิม
เขาพ่นน้ำลายออกไป “เป็นเพราะว่าทำเรื่องน่าละอายใจจึงไม่กล้าออกมา ได้แต่หดหัวอยู่ในห้องเหมือนเต่าอยู่ในกระดองใช่หรือไม่?”
“อ๋องเช่นข้ายังเคยคิดว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษสมชายชาตรี ที่แท้ก็เป็นแค่หมีหมาเท่านั้น”
เขาแสยะยิ้มเย็นชาออกมา ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่อยู่ด้านข้างยังคงเงียบงันไม่พูดไม่จา เขาสวมใส่ชุดยาวสีน้ำเงินเข้ม สองมือซุกอยู่ในแขนเสื้อ ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
ดวงตาคู่นั้นมองลึกเข้าไปด้านใน
ขณะที่เจ้าแคว้นทองตะโกนน้ำลายแตกฟองจนคอแห้งผาดแล้ว เขาก็มองเห็นว่ามีเงาร่างคนเคลื่อนไหว
คนผู้นั้นยังไม่ทันออกมา ไอเย็นซ่านลึกถึงกระดูกก็กำจายออกมาก่อน
เพียงพริบตาเดียวก็ครอบคลุมถึงใต้เท้า จากนั้นก็คืบคลานผ่านกระดูกขึ้นมาบนร่างกาย เป็นความเย็นยะเยือกจนทำให้กระดูกทั่วร่างสั่นสะท้าน
เจ้าแคว้นทองถูกคลื่นความเย็นแทรกซึมจนตะลึงไปแล้ว ลำคอที่เดิมทียังพ่นคำพูดออกมาได้ไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ถึงกับจับแข็งไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็เหมือนจะแตกออกกลายเป็นผง
เขาอ้าปากขึ้นมา แต่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
ได้แต่ลืมตามองดู เงารางของคนที่เคลื่อนออกมาเท่านั้น
กระทั่งเมื่อร่างของคนผู้นั้นปรากฏสู่สายตา ไอสังหารที่ไร้ที่มาก็คืบคลานมาพร้อมๆกัน ไอสังหารที่เข้มข้นจนสามารถสัมผัสได้นี้เคลื่อนตามพื้นดินไหลขึ้นมาแทรกซึมเข้าไปในอกของเขา
ต้าซือมิ่งกดทรวงอกเอาไว้ในทันที แต่ก็ยังทนไม่ไหว ต้องกระอักเลือดคำโตออกมา
เลือดสดๆพุ่งออกมาเป็นสาย ย้อมพื้นของโถงกว้างกลายเป็นสีแดงฉาน
เจ้าแคว้นทองเองก็ตกตะลึงไป พอเห็นร่างของเขาโอนเอนไปมา ก็รีบเข้าไปประคอง
พึ่งจะประคองคนเอาไว้ ก็เห็นท่านเจ้าสำนักชักเท้าออกมา เขาสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง เส้นผมดำยาวดุจน้ำหมึก แม้ว่าในโถงกว้างจะไม่มีลมพัด แต่เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาก็พลิ้วออกไปอยู่ตลอดเวลา
ดวงหน้าที่งดงามอย่างร้ายกาจนั่นเรียบนิ่งดุจดังแผ่นน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลาย
และที่ข้างกายเขาก็ยังมีหนุ่มน้อยในชุดสีดำแบบเดียวกันผู้หนึ่ง
เด็กหนุ่มผู้นั้นรูปร่างหน้าตาดีอย่างยิ่ง ดูแล้วอายุยังน้อยอยู่ แต่ว่ามีอัธยาศัยดีกว่าเจ้าสำนักมากนัก
พอท่านเจ้าสำนักปรากฏตัว เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางที่อยู่รอบลานกว้างก็พากันทยอยคุกเข่าลงไป
ไม่มีใครกล้าพูดจา แม้แต่สายตาก็ยังไม่กล้ามองมากเกิน
บรรยากาศบนลานกว้างอึมครึมขึ้นมาในทันที
สายตาของท่านเจ้าสำนักทอดมองไปยังร่างของเจ้าแคว้นทองและต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
แม้ว่ามองเห็นคนทั้งสองแล้ว สายตาของเขาก็ไม่มีริ้วคลื่นใดๆดังเดิม
สายตาเช่นนั้นเหมือนมองไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน
เจ้าแคว้นทองรู้สึกว่าตนเองถูกหมิ่นหยามอยู่ไม่น้อย เขาฝืนอาการเจ็บปวดตรงทรวงอกเอาไว้ ถลึงตาโตออกมา “จะเอาไง เจ้าฆ่าแม่นางซ่งไปแล้ว แล้วยังคิดจะฆ่าข้าผู้เป็นอ๋องอีกหรือ?”
เมื่อครู่หากมิใช่ว่าเขามีปฏิกริยาได้รวดเร็วพอ เกรงว่าคงต้องถูกไอสังหารเมื่อครู่บีบคั้นจนตายไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันหันไปสังเกตดูเจ้าแคว้นทองผู้นั้น
เขาน่าจะอายุประมาณสามสิบกว่า รูปร่างหน้าตานับว่าสมส่วนใช้ได้ ปลายคางไว้เคราอยู่ไม่น้อย คิ้วหนาตาโต สวมใส่ชุดไหมทองที่ดูหรูหรา ทั่วร่างทั้งบนและล่างมีเครื่องประดับทองเต็มไปหมด ทำหน้าทำตาฮึดฮัด กระฟัดกระเฟียดอยู่บนโถง
แค่ดูก็รู้ว่าคือ จินฮั่นฮั่น
“หากอยากตายล่ะก็ ข้าก็จะสงเคราะห์ให้เจ้า”
ท่านเจ้าสำนักมิได้ไว้หน้าเลยสักนิด สำหรับคนที่รีบร้อนอยากตาย เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำขอร้องเช่นนี้
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาเจ้าแคว้นทองตัวแข็งทื่อ เขาตัดสินใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ไม่คิดจะหยุดปาก
แต่ขณะที่คำพูดยังไม่ทันได้เปล่งออกมา ก็โดนฝ่ามือของท่านเจ้าสำนักซัดลงไปบนหน้าครั้งหนึ่ง“เพี้ยะ…..”
เสียงตบที่ดังสดใส ทำเอาครึ่งใบหน้าของเขาบวมขึ้นมาแล้ว
“อยู่ต่อหน้าข้า ไม่อนุญาตให้ผู้ใดกล้าเหิมเกริม”
เจ้าแคว้นทองกุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเองเอาไว้ เขาเจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไป
จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงเจ้าแคว้นแห่งหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้ลงมมืออย่างจริงจังก็เกือบจะเอาชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเองก็เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา แต่ว่าไม่ได้กล่าวอะไรมากความแม้แต่คำเดียว
กลับเป็นเจ้าแคว้นทองที่ไม่กลัวตาย ที่ยังกุมใบหน้าบวมเป็นหน้าหมูครึ่งหนึ่งเอาไว้ กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าถือว่าตนเองเป็นประมุขดินแดนจิ่วโจว ก็คิดว่าจะสามารถเข่นฆ่าพวกเราที่เป็นขุมกำลังอื่นๆได้ตามอำเภอใจกระนั้นหรือ?”
ท่านเจ้าสำนักนั่งลงบนเก้าอี้สูงเหนือโถงนั้นอย่างช้าๆ ดวงตาหงส์ที่เย็นชากวาดมองออกไป “เข่นฆ่าก็เข่นฆ่าสิ มีปัญหาหรือ?”
เจ้าแคว้นทอง “……”
เดิมทีเขานึกว่าอย่างน้อยๆเจ้าสำนักผู้นี้จะต้องมีความกังวลลังเลอยู่บ้าง ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะโอหังถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีใจคิดจะกวาดล้างขุมกำลังอื่นๆอีกด้วย?
เรื่องของวังตันติ่งกงคือการเชือดไก่ให้ลิงดูของเขากระนั้นหรือ?
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายท่านเจ้าสำนัก นางเหลือบตาไปดูเขาแวบหนึ่ง ตัวร้ายผู้นี้…..ช่างยโสโอหังเหมือนกับจีเฉวียนไม่มีผิด
กับพวกที่กล้าบุกมารังควานถึงหน้าประตู ไม่เคยให้การออมมือมาก่อน
ขณะที่นางหันไปมองเขา เขาก็หันมาสบตาครั้งหนึ่งเช่นกัน ทั้งยังตบลงไปบนพื้นเก้าอี้ข้างกาย เอ่ยคำหนึ่งว่า “นั่งสิ”
ตู๋กูซิงหลัน “ก็ได้”
ให้ยืนเฉยๆก็รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน….
พอนางนั่งลง ทั่วทั้งโถงกว้างก็เงียบเป็นป่าช้า
ศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็ทราบกระจ่างดีว่าท่านเจ้าสำนักปฏิบัติต่อศิษย์ที่พากลับมาใหม่ผู้นี้แตกต่างจากผู้อื่น แต่คิดไม่ถึงว่า จะให้ความโปรดปรานมากขนาดนี้
เก้าอี้ประธานนั่น….ถึงแม้ว่าจะใหญ่โตอยู่สักหน่อย ขนาดที่ให้คนสามคนนั่งเรียงกันได้อย่างสบาย แต่อย่างไรก็เป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของท่านเจ้าสำนัก ไหนเลยจะปล่อยให้ผู้อื่นนั่งลงไปได้?
ที่จริงแล้วท่านเจ้าสำนัก……คิดอย่างไรกับเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่กันแน่?
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่า คนทั้งสองพอนั่งลงอยู่ด้วยกันดูแล้วเหมาะสมกันอย่างยิ่ง
คราวนี้ แม้แต่ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็นิ่งไม่ไหวอีกต่อไป
เขากระแอมไอเสียงเบาๆ ดวงตาจับจ้องไปที่คนทั้งสอง พอคำนับครั้งหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น