หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 550-557

 บทที่ 550 ใบของต้นเฟิงซิ่น

Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่ออาจจะดูเป็นคนอารมณ์ดีที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาแถมยังมองโลกในแง่ดี แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าลึกลงไปนั้นเขามีความน่าสะพรึงกลัวที่แม้แต่ตัวเองก็ยังหวั่นเกรง


สิ่งนั้นไม่ได้เผยตัวตนออกมาง่ายๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่มันออกมา จิตสังหารและความชั่วร้ายของเขาจะรุนแรงเพียงพอที่จะส่งผู้คนให้ถอยหลังผงะไปด้วยความตื่นตะลึง นิสัยนั้นจะผุดออกมาเมื่อใดก็ตามที่เขาตกอยู่ในอันตรายหรือกำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย


พูดให้ง่ายก็คือ…หากใครหมายจะสังหารเขา หวังเป่าเล่อก็จะสังหารคนผู้นั้นก่อน!


ในอีกยุคหนึ่งก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณยังไม่ปรากฏกาย นิสัยดุร้ายเช่นนี้ต้องถูกซ่อนเอาไว้ลึกๆ ในใจ และบางทีเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจจะหายไปเองตามช่วงอายุ


แต่ในยุคกำเนิดวิญญาณและการถือกำเนิดของเหล่าผู้ฝึกตน รวมถึงการที่อารยธรรมการฝึกปราณของสหพันธรัฐถูกมองว่าเป็นพลังที่อ่อนแอกว่า นิสัยนี้ในตัวของหวังเป่าเล่อก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นิสัยรักความรุนแรงและกระหายเลือดนี้อาจถูกซุกซ่อนเไว้ แต่เมื่อใดก็ตามที่หลุดรอดออกมาแล้ว ก็จะลุกลามไปอย่างรวดเร็วราวเปลวเพลิง!


และเป็นเพราะนิสัยนี้นั่นเองที่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่รีรอ ชายหนุ่มเลือกวิธีที่เขาคิดขึ้นมาได้เพื่อที่จะฝึกฝนและสำเร็จวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ จากนั้นเขาจึงลองยืดจุดตันเถียนในกายออกมานอกร่างด้วยปราณวิญญาณในทันที


 อาจดูคล้ายหวังเป่าเล่อกำลังลอกเลียนเคล็ดการฝึกปราณของตระกูลไม่รู้สิ้น ภาพที่เห็นไม่เพียงแปลกประหลาดแต่ยังมีกลิ่นอายของความชั่วร้ายปะปนอยู่ จุดตันเถียนทั้งหมดที่ยืดและหลุดออกมาจากกายของเขาดูราวกับเป็นรยางค์ที่ทิ่มแทงออกมาจากร่างกระนั้น!


พวกมันไม่ได้เป็นสีแดงสดแต่กลับดูกึ่งโปร่งใส แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี ยิ่งเวลาผ่านไป และหวังเป่าเล่อยังคงฝึกปราณต่อไปเรื่อยๆ รยางค์เหล่านั้นก็เข้าล้อมกายเขามากขึ้น ก่อนจะก่อร่างเป็นระบบหมุนเวียนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของร่างกายมนุษย์!


ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็สำเร็จวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิขั้นต้นได้ด้วยวิธีการอันแปลกประหลาดนี้ ขั้นตอนต่อไปต้องหวังพึ่งวิชาลักอัคคีเพื่อเพิ่มกำลังวังชาเมื่อเขาสังหารศัตรูและคู่ต่อสู้ได้!


ช่างน่าเสียดายที่สำนักวังเต๋าไพศาลไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกวิชาลักอัคคี หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ชายหนุ่มมองเห็นโครงร่างของชุดเกราะที่ก่อตัวขึ้นนอกกายเขา จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาสั่งให้เกราะนั้นสลายตัวและกลับเข้าไปในกายได้ด้วยความคิด เกราะนั้นเข้าไปสร้างรูปทรงข้าวหลามตัดอยู่บนหัวใจของเขาราวกับเป็นตราสัญลักษณ์


สิ่งนั้นคือแก่นในของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ หากหวังเป่าเล่อฝึกตามวิธีปกติ แก่นในนี้ควรจะเข้าไปปรากฏแทนที่หัวใจ ไม่ใช่เป็นเพียงตราสัญลักษณ์บนหัวใจอย่างที่ชายหนุ่มมี


ในช่วงที่หวังเป่าเล่อกำลังฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ มีเหตุการณ์สำคัญกำลังเกิดขึ้นในสำนักวังเต๋าไพศาล ข่าวของเหตุการณ์นั้นแพร่สะพัดไปทั่วสำนักและรู้ถึงหูของบรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐอีกด้วย ทำให้เกิดการพูดคุยกันอย่างหนาหูในเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่


หวังเป่าเล่อเพิ่งได้รับรู้เรื่องหลังจากที่จบการฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ และเข้ามาดูเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่


ใบของต้นเฟิงซิ่น…กำลังจะร่วง!


ต้นเฟิงซิ่น หวังเป่าเล่อไม่รู้จักชื่อนี้เลย แต่ไม่นานนักชายหนุ่มก็รู้จนได้ว่ามันคืออะไร มันก็คือต้นเดียวกับต้นไม้ต้นแรกที่เขาเห็นเมื่อครั้งมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาลบนยอดเขาบนเกาะหลัก…ต้นไม้โบราณสุดอลังการต้นนั้นเอง!


ในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ต้นนั้นมีขนาดใหญ่โตมหึมา แต่กลับปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ตายแล้ว ดูราวกับว่าต้นไม้นั้นตายไปแล้ว ทว่าตัวตนและรัศมีของมันกลับส่งผลต่อหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก


สองสัปดาห์ก่อน มันผลิใบใหม่ออกมาสามใบ มีกลิ่นแปลกประหลาดเข้าปกคลุมไปทั่วเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกมีกำลังวังชาเมื่อได้กลิ่น เฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง


เหตุผลก็เพราะ…ใบของต้นเฟิงซิ่นนั้นไม่เพียงมีสรรพคุณทางยาเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งสำกับผู้อาวุโสทั้งสาม!


แต่รายละเอียดนั้นถือเป็นความลับระดับสูง มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานา พันธุ์กล้าสหพันธรัฐสอบถามเรื่องนี้กับหลายๆ คนและเอามาคาดคะเนกันเอง ทุกคนต่างพูดคุยเรื่องนี้กันในห้องสนทนากลุ่ม และสรุปกันว่าใบไม้นั้นน่าจะเป็นตราสัญลักษณ์ประเภทหนึ่ง


แต่ก็ไม่มีใครรู้รายละเอียดของเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้คำตอบแม้จะไปถามอวิ๋นเพียวจื่อก็ตาม ถึงชายอ้วนจะเป็นผู้ฝึกตนท้องถิ่นแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล อวิ๋นเพียวจื่อเขาก็ดูจะไม่ได้รู้เรื่องนี้มากเท่าใดนัก


ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็พบคำตอบว่าใบไม้นั้นใช้ทำอะไรจากการส่งข้อความเสียงไปหาเซี่ยไห่หยาง


“ใบต้นเฟิงซิ่นหรือ ของชั้นเลิศทีเดียวละ มีต้นเฟิงซิ่นอยู่หนึ่งร้อยแปดต้นบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ข้าเกรงว่าส่วนมากจะตายไปเสียแล้ว ในอดีต เมื่อใดก็ตามที่ต้นเฟิงซิ่นผลัดใบ ผู้ที่ได้รับใบไม้ไปนั้นสามารถใช้มันเป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าสำนักวังเต๋าไพศาลได้ หากพวกเขาผ่านการทดสอบ ก็จะได้เป็นศิษย์ของสำนักวังเต๋าไพศาล และยังได้รับการจำรึกนามเอาไว้อีกด้วย!


“แต่มาบัดนี้ แม้ว่าสำนักปัจจุบันจะรับนามสำนักวังเต๋าไพศาลมา ในความเป็นจริงแล้ว…มีศิษย์จำนวนหยิบมือที่ได้รับการจำรึกชื่อเอาไว้ในจารึกของสำนักและถือว่าเป็นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง”


“ดังนั้นแล้วเจ้าคิดว่าใบไม้นี้มันมีมูลค่าเท่าใดกันเล่า มันเป็นของที่ทำให้ศิษย์ได้รับการจารึกชื่อ แถมยังซื้อโอกาสในการได้เป็นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงอีกด้วย!” เซี่ยไห่หยางอธิบายอย่างละเอียด ชนิดที่เรียกว่าไม่ปิดบังอะไรจากหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย


ฝ่ายหวังเป่าเล่อก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เชื่อทุกสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมา หลังจากใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มก็เรียกแม่นางน้อยออกมาและขอคำยืนยันจากนาง คำตอบของนางคล้ายกับคำอธิบายของเซี่ยไห่หยาง แม่นางน้อยบอกชายหนุ่มว่าหากเขาสามารถชิงใบต้นเฟิงซิ่นมาได้ ก็จะย่นเวลาการค้นหาบันทึกของสำนักไปได้มากโข หากหวังเป่าเล่อสามารถทำให้ชื่อตนเองไปปรากฏอยู่ในจารึกสำนักได้ แม่นางน้อยก็มีวิธีช่วยยกสถานะของเขาในฐานะศิษย์ให้สูงขึ้นไปอีก


หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ ทันทีที่ชื่อของเขาไปอยู่ในจารึกสำนัก สถานะของเขาในสำนักวังเต๋าไพศาลก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการประเมินของเขา สิ่งนี้จะส่งผลดีเมื่อเขาต้องเข้าไปที่ตัวกระบี่เพื่อล่าสมบัติอีกด้วย


อย่างน้อยที่สุด ข้าก็น่าจะผ่านกฎข้อบังคับไปได้มากโขอยู่…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มตื่นเต้นและกังวล ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะออกจากเกาะเพลิงเขียวไปอย่างเร่งรีบ เขามุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ทันทีที่เข้าไปใกล้ กลิ่นหอมอวลของต้นเฟิงซิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศก็โชยมาเข้าจมูก ใบสีเขียวสามใบบนต้นก็มองเห็นได้ชัดเจน!


หวังเป่าเล่อจ้องมองใบไม้ทั้งสามด้วยความปรารถนา ชายหนุ่มหรี่ตาลงแล้วทำจมูกฟุดฟิด เขาดมกลิ่นอากาศรอบตัวอีกครั้ง ก่อนความสับสบงุนงงจะปรากฏขึ้นบนดวงตา


กลิ่นนี้ช่างคุ้นเสียจริง…ลมหายใจของหวังเป่าเล่อถี่เร็วขึ้น ก่อนจะมีประกายเจิดจรัสฉายขึ้นบนแววตา แต่ชายหนุ่มก็ซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้เข้าไปในสำนักวังเต๋าไพศาล ทำเพียงเดินไปเดินมาในบริเวณรอบๆ เหมือนเช่นเคย ก่อนที่จะจากมา


ทันทีที่กลับมาถึงเกาะเพลิงเขียว หวังเป่าเล่อก็รีบหยิบผลไม้ที่ช่วยเพิ่มจิตสัมผัสวิญญาณของเขาออกมา วางมันลงตรงหน้าก่อนจะดมอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มหยุดหายใจไปชั่วขณะ


กลิ่นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน! หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นโครมคราม ชายหนุ่มจ้องมองผลไม้อย่างพินิจพิจารณาก่อนจะลงความเห็นว่าเขาเข้าใจถูกต้อง ผลไม้แห้งเหี่ยวปริศนานี้มีต้นกำเนิดเดียวกับต้นเฟิงซิ่นแน่นอน!


ชายหนุ่มไม่พบหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับผลเฟิงซิ่นในการค้นคว้าคราวก่อน แต่ไม่มีทางเลยที่เขาจะจำกลิ่นผิด หวังเป่าเล่อเริ่มสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้นี้เลยเมื่อครั้งที่ไปค้นคว้า แม่นางน้อยก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักเช่นกัน คำถามมากมายเริ่มก่อตัวขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ เขาจึงตัดสินใจที่จะลงทุนด้วยแต้มการรบจำนวนหนึ่งเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเดิม


หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจที่จะถามเซี่ยไห่หยาง ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง บนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ในโถงใหญ่บนยอดเขา บรรดาผู้อาวุโสทั้งสามก็กำลังครุ่นคิดกันอย่างขะมักเขม้น


มีเพียงไม่กี่เรื่องที่จะนำพวกเขาให้มาร่วมพูดคุยกันได้ โดยเฉพาะโยวหรัน ที่ปรากฏตัวเฉพาะเมื่อบรรดาพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐมาถึง จากนั้นก็กลับเข้าไปถือสันโดษ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาต้องยอมหยุดการถือสันโดษและออกมา


พวกเขาครุ่นคิดอยู่ไม่นานนัก ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อผู้มีสีหน้าไร้อารมณ์พูดออกมาอย่างเยือกชา น้ำเสียงแหบพร่าของเขาฉาบเคลือบไปด้วยอำนาจ


“สหายเต๋าเฟิ่งเปิดประเด็นขึ้นมาสองเรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับการเปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและยอมให้พันธุ์กล้าสหพันธรัฐกลุ่มที่สองเข้ามา ซึ่งข้าไม่เห็นด้วย พวกเขาไร้ประโยชน์สิ้นดี!


“เรื่องที่สองเกี่ยวกับการผลัดใบของต้นเฟิงซิ่น สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ พวกเราควรถกเถียงจริงจังกับเรื่องนี้มากกว่า!”


“พวกเราได้ตัดสินใจเรื่องพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองไปหลายปีแล้ว และยังยืนยันไปเมื่อปีก่อนแล้วด้วยว่าโครงการนี้จะต้องเกิดขึ้น เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้ากำลังมาบ่นเสียดายกับการตัดสินใจหรืออย่างไร หากเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยกับเจ้าเช่นกัน!” เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้ว นางเหนื่อยหน่ายใจขึ้นทุกที เส้นตายรายปีนั้นได้ผ่านไปแล้ว ตามข้อตกลงของพวกเขา สหพันธรัฐควรจะได้ส่งผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองขึ้นมา ถึงกระนั้น อำนาจของเมี่ยเลี่ยจื่อก็แข็งแกร่งขึ้นทุกที ในขณะที่อำนาจของนางเองกลับอ่อนแอลงทุกขณะ สุ้มเสียงความไม่พอใจเริ่มดังขึ้นในช่วงปีหลังนี้ เฟิ่งชิวหรันพบว่าการทำโครงการร่วมกับสหพันธรัฐกลายมาเป็นเรื่องยาก จำเป็นจต้องมีการต่อรองและการประนีประนอมกันอยู่ทุกครั้งไป


บทที่ 551 ความขัดแย้งภายใน

Ink Stone_Fantasy

เมี่ยเลี่ยจื่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิวหรันและพลันส่งสายตาเย็นชาไปหานาง ก่อนหน้านี้ เฟิ่งชิวหรันมีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นช่วงปลาย แรงกดดันที่นางแผ่ออกมาส่งผลกับเมี่ยเลี่ยจื่อผู้ซึ่งเพิ่งจะบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณขั้นต้นไม่น้อย ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมร่วมมือกับสหพันธรัฐ


แต่การฝึกปราณของเมี่ยเลี่ยจื่อก็รุดหน้าเรื่อยมา ความแตกต่างระหว่างตัวเขากับเฟิ่งชิวหรันมีไม่มากแล้ว แต่ถึงกระนั้น หากเขามีทางเลือก เขาก็คงไม่อยากขัดใจนาง เพราะอย่างไรเสียก็ยังมีโยวหรันเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยอีกคน


แม้ว่าโยวหรันจะไม่ค่อยพูดมาก เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังระวังอีกฝ่ายอยู่ตลอด เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่โยวหรัน ผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กลับถอนหายใจขึ้นมาเสียก่อน


“เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน หยุดเถียงกันได้แล้ว เป็นเช่นนี้ทุกทีสิ…ทว่าผู้อาวุโสเฟิ่ง ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือเรื่องของต้นเฟิงซิ่น! ข้าคิดว่าเราควรจะลงความเห็นเรื่องต้นเฟิงซิ่นกันก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”


เมื่อโยวหรันทำหน้าที่เป็นกรรมการเช่นเคย เฟิ่งชิวหรันจึงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย


“สามสิบเจ็ดปีที่แล้ว มีใบไม้เจ็ดใบร่วงลงมาจากต้นเฟิงซิ่น มาบัดนี้เหลือเพียงสามใบเท่านั้น จำนวนใบไม้ที่ร่วงหล่นนั้นเริ่มลดน้อยถอยลง เป็นไปได้มากว่าครั้งหน้าจะมีเพียงใบเดียว” โยวหรันกล่าวอย่างเนิบๆ แต่ในดวงตาของเขามีความวิตกกังวลฉายชัดอยู่


“แปลว่าครั้งนี้เราจะมีเหรียญตราสามเหรียญเท่านั้น หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ศิษย์สามคนจะได้เข้าไปยังตำหนักวังบูชาแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและสลักชื่อลงไปบนแท่นสลักเต๋าตามแต่โอกาสที่พวกเขาจะได้รับ ซึ่งจะเป็นการรับพวกเขาเข้ามาเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเจ้าทั้งสองมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการคัดเลือกศิษย์หรือไม่” ขณะที่โยวหรันพูด เขาก็มองไปทางผู้อาวุโสอีกสองคน


เมี่ยเลี่ยจื่อพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาโดนไม่รอเฟิ่งชิวหรัน


“ก่อนหน้านี้ มีใบไม้เจ็ดใบ เราส่งคนไปเจ็ดคน สี่คนไม่รอดชีวิตกลับมา มีเพียงชื่อหลินและอีกสามคนเท่านั้นที่กลับมาและได้เป็นศิษย์สำนักนอกของสำนักวังเต๋าไพศาล มีความสูญเสียมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เรามีใบไม้อยู่เพียงสามใบ ข้าคิดว่าไม่ควรจะส่งใครไปเลยเสียด้วยซ้ำ!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งชิวหรันก็ไม่พอใจและตอบโต้ทันควัน


“ใบของต้นเฟิงซิ่นเป็นตราที่แสดงว่าคนผู้นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักวังเต๋าไพศาลโดยสมบูรณ์ สิ่งนี้เป็นธรรมเนียมสืบทอดกันมาตั้งแต่สำนักวังเต๋าไพศาลเพิ่งก่อตั้ง เมื่อครั้งเราก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะมีอันตรายอยู่บ้างในการเข้าไปยังตำหนักวังบูชา แต่การที่ต้นเฟิงซิ่นยังผลัดใบก็แปลว่าธรรมเนียมนี้ยังมีความสำคัญอยู่!”


“บางทีอาจจะมีใครสักคนที่มีคุณค่ามากพอและได้เป็นศิษย์สำนักในก็ได้ และนั่นคงจะมีความหมายมากสำหรับพวกเรา แน่นอนว่าหากผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อไม่เห็นด้วย เจ้าจะปฏิเสธไม่รับใบเฟิงซิ่นไปให้ศิษย์ของท่านก็ได้นะ” เฟิ่งชิวหรันพูดไม่ทันขาดคำ เมี่ยเลี่ยจื่อก็หัวเราะขึ้นมาทันที


“สิ่งที่ผู้อาวุโสเฟิ่งพูดนั้นมีเหตุผล ข้าคิดไม่ถี่ถ้วนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การจะแบ่งใบไม้ทั้งสามก็ไม่ยากอีกต่อไป พวกเราก็แบ่งใบไม้กันคนละใบ และให้สานุศิษย์ของพวกเราเข้าร่วมการทดสอบ ผู้ชนะการทดสอบจะได้รับใบเฟิงซิ่นเป็นรางวัล!”


“ขณะนี้บรรดาศิษย์ต่างก็นิ่งนอนใจกันมากเกินไป พวกเราต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการฝึกปราณนั้นยากลำบากเพียงใด ให้พวกเขาได้รู้ว่าการฝึกปราณนั้นแท้จริงแล้วคือการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และสรวงสวรรค์ อย่างไรเสีย ในอดีตพวกเราทั้งสามก็ต้องผ่านการทดสอบนานัปการกว่าจะมีทุกอย่างที่เรามีในวันนี้ได้” เมื่อพูดจบเมี่ยเลี่ยจื่อก็หรี่ตาลงและเพ่งมองไปยังเฟิ่งชิวหรัน แต่กลับหัวเราะชั่วร้ายอยู่ในใจ ในฉากหน้า ถ้อยคำที่เขาพูดเรื่องการแบ่งใบไม้สามใบนั้นอาจฟังดูยุติธรรมแต่ในความเป็นจริงแล้วมีแผนการชั่วร้ายแอบซ่อนอยู่!


สำหรับเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรัน พวกเขาสามารถแสร้งทำเป็นให้ศิษย์ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงใบเฟิงซิ่น แต่จริงๆ แล้วค่อยชี้นิ้วตัดสินใจเองง่ายๆ ได้


ทว่าสถานการณ์ของเฟิ่งชิวหรันนั้นต่างออกไป นั่นเป็นเพราะความยุ่งยากที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมกับสหพันธรัฐภายใต้การนำของนาง แม้ว่านางจะพยายามยุติเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น แต่ภายในฝ่ายของนางกลับแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยังคงให้การสนับสนุนเฟิ่งชิวหรันต่อไป อีกฝ่ายเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาแม้จะยังเงียบอยู่ก็ตาม


การก่อตัวของสองฝ่ายนี้ก็ทำให้เกิดการแบ่งแยกในบรรดาศิษย์เช่นกัน บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐนั้นอ่อนแอและทำได้เพียงเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันเท่านั้น และแม้ศิษย์อื่นๆ ในฝ่ายที่ทำงานอยู่ภายใต้เฟิ่งชิวหรันจะให้การช่วยเหลือพวกเขาอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่อาจมองคนเหล่านั้นเป็นพวกเดียวกันได้ภายในระยะเวลาอันสั้น


ดังนั้นปัญหาในขณะนี้คือใครที่ควรจะได้รับใบไม้ของเฟิ่งชิวหรันไป หากต้องคัดเลือกผ่านการประลองเช่นที่เมี่ยเลี่ยจื่อเสนอ ก็จะมีปัญหาอีกว่าควรให้พันธุ์กล้าสหพันธรัฐเข้าร่วมด้วยหรือไม่…


หากให้เข้าร่วมด้วยก็แปลว่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐต้องต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงใบเฟิงซิ่น การบาดเจ็บและล้มตายก็จะกลายมาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่น่าจะมีใครยอมลดลาวาศอกเมื่อโอกาสชิ้นงามเช่นนี้มาอยู่ตรงหน้า เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ช่องว่างระหว่างสหพันธรัฐและกลุ่มต่างๆ ภายใต้เฟิ่งชิวหรันก็จะห่างออกไปเรื่อยๆ แม้ว่าการต่อสู้นั้นจะยุติธรรมและสมเหตุสมผลสักเพียงใดก็ตาม


อย่างไรก็ดี หากพันธุ์กล้าสหพันธรัฐไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม การเลือกปฏิบัตินี้ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาห่างเหินกันขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกัน หากเฟิ่งชิวหรันไม่คิดให้บรรดาศิษย์ต่อสู้แย่งชิงกัน นางก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน การมอบใบไม้ให้หนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐย่อมสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้บรรดาผู้ฝึกตนภายใต้การดูแลของนาง


ตามแผนของเมี่ยเลี่ยจื่อ ไม่ว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขอย่างไร ก็ต้องเกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างเฟิ่งชิวหรันและสหพันธรัฐอย่างแน่นอน จากนั้นหากมีเหตุใดอื่นเพิ่มเติมแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนขั้วขึ้นในบรรดาผู้ฝึกตนภายใต้การนำของเฟิ่งชัวหรันเป็นแน่!


ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้!


ตั้งแต่ต้น เรื่องการที่เขาปฏิเสธจะต้อนรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สอง หรือเรื่องความคิดเห็นว่าใบต้นเฟิงซิ่นนั้นไร้ค่า เมี่ยเลี่ยจื่อพูดไปก็เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เขาได้เสนอวิธีคัดเลือกเช่นนี้ขึ้นมา!


เพราะอย่างไรเสีย หากเฟิ่งชิวหรันยืนยันหนักแน่นในการรักษาขนมธรรมเนียม นางก็ไม่อาจปฏิเสธวิธีการแบ่งใบไม้อย่างเท่าๆ กันนี้ได้ วิธีนี้ยังมอบอำนาจการตัดสินใจให้โยวหรันด้วย เมี่ยเลี่ยจื่อเชื่อว่าแม้เฟิ่งชิวหรันจะมองเห็นปัญหาในข้อเสนอของเขา แต่ก็เป็นการยากสำหรับนางที่จะปฏิเสธอยู่นั่นเอง


ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เตรียมการสำหรับอนาคตเอาไว้แล้ว


ในความเป็นจริง แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะดูไม่เด็ดขาดและค่อนข้างอ่อนแอ แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ หลังจากที่นางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง นางก็ละสายตาจากมา ดูเหมือนว่าจะรู้ถึงกับดักในข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อ นางกำลังจะอ้าปากพูดเมื่อโยวหรันหัวเราะและเริ่มพูดพลางพยักหน้า


“เป็นข้อเสนอที่ดี ข้าเห็นด้วย!”


เฟิ่งชิวหรันถึงกับนิ่งงันไป นางมีสีหน้าบูดเบี้ยวเมื่อได้ยินโยวหรันพูด ดูเหมือนว่านางจะนิ่งนอนใจกับการตัดสินใจเรื่องในวันนี้เกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไปได้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อกับโยวหรันจะวางแผนร่วมกันเพื่อไล่ต้อนนางให้จนมุม


ขณะเดียวกัน ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใดก็ยิ่งน่าหวั่นใจมากขึ้นเท่ากัน ความสำคัญของทุกอย่างจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อสองในสามของผู้อาวุโสบรรลุฉันทามติกันได้แล้ว ไม่ใช่เพียงการตัดสินใจของโยวหรันฝ่ายเดียว


ความคิดเหล่านี้พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเฟิ่งชิวหรัน นางรู้ดีว่าจะต้องหาทางออกในเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด หาไม่แล้วเมื่อใดก็ตามที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเมี่ยเลี่ยจื่อ นางก็จะเสียสิทธิ์ในการตัดสินใจทั้งหมด


ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่อยากเชื่อว่าโยวหรันจะเลือกข้างเอาตอนนี้หลังจากที่วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น แววเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนดวงตาของเฟิ่งชิวหรันอีกครั้ง นางยกมือขวาขึ้นทุบลงบนพนักวางแขนของที่นั่งข้างๆ ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ก่อนที่เก้าอี้นั้นจะแหลกเป็นชิ้น นางลุกขึ้นยืน ความเจ็บปวดและโทสะฉายชัดอยู่ในแววตา


“เมี่ยเลี่ยจื่อ โยวหรัน วังเต๋าหลักขณะนี้ถูกปิดผนึกอยู่ บรรดาปรมาจารย์หากไม่จำศีลก็หายตัวไป เราทั้งสามมีภาระอันใหญ่หลวงในการสร้างเหล่าศิษย์สำนักในขึ้นมาใหม่ให้สำนักวังเต๋าไพศาล นี่ไม่ใช่เวลาจะมาแตกคอกันเอง!


“เมี่ยเลี่ยจื่อ การที่เจ้าพูดถึงฝ่ายทั้งสามอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ เจ้าต้องการอะไรกันแน่”


“ในสำนักวังเต๋าไพศาลมีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น มิใช่สาม และมีสำนักวังเต๋าไพศาลเพียงหนึ่งเดียว เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้าพยายามจะตั้งฝ่ายใหม่ขึ้นมาเองหรืออย่างไร” เฟิ่งชิวหรันพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น จิตสังหารที่หาชมได้ยากฉายชัดอยู่ในแววตา โทสะในดวงตานางขับเน้นให้จิตสังหารนั้นดูชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก!


โยวหรันถึงกับตะลึง ก่อนจะจ้องมองเฟิ่งชิวหรันอย่างนิ่งเงียบ เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฟิ่งชิวหรันจะหยิบเรื่องที่เขาพูดถึงฝ่ายทั้งสามมาพลิกให้ฟังดูเป็นเรื่องเลวร้าย เขากำลังจะพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่เฟิ่งชิวหรันไม่เปิดโอกาสให้ นางพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด


“ไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งใบเฟิงซิ่นเท่าๆ กันให้กับทั้งสามฝ่าย พวกเราทุกคนเป็นสมาชิกสำนักวังเต๋าไพศาลเท่าเทียมกัน พวกเราจะเลือกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั้งสิ้นสองร้อยคน รวมทั้งหมดเป็นหกร้อยคน และให้ทุกคนเข้าร่วมประลองเพื่อชิงใบเฟิงซิ่น ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีใครเสียชีวิตในสำนักวังเต๋าไพศาล ดังนั้นการทดสอบนี้จะจัดขึ้นในวงแหวนปราณแห่งความเป็นไปได้ไร้สิ้นสุด!”


“ศิษย์สำนักเต๋าโยวหรัน ท่านคิดเห็นอย่างไร” ขณะที่เฟิ่งชิวหรันพูดนางก็หันหน้าไปจ้องมองโยวหรัน


“ข้อนี้…ข้าเห็นด้วย ข้อเสนอของเจ้าทั้งสองสมเหตุสมผล ข้าเห็นด้วยกับทั้งสองข้อ” ศิษย์สำนักเต๋าโยวหรันหัวเราะแหยๆ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย เขาพยายามจะพูดให้เฟิ่งชิวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อใจเย็นลง


ฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเฟิ่งชิวหรัน เขารู้ว่าได้ทำพลาดลงไปแล้วในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาไม่ต้องการจะถูกมองว่าเป็นคนแบ่งแยกที่อยากแยกตัวไปทำอะไรด้วยตัวคนเดียว หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เมี่ยเลี่ยจื่อก็แค่นลมหายใจออกมาทางจมูกแต่ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งเป็นท่าทีว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอของเฟิ่งชิวหรัน!


บทที่ 552 ต่างคนต่างเตรียมตัว!

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะแก้ไขปัญหาเรื่องข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อได้สำเร็จ แต่นางก็ยังกลุ้มใจไม่หาย ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อเสนอของนาง นางเองก็ยังตกที่นั่งลำบากอยู่ดี


แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อได้รับการยอมรับ ก็เท่ากับว่าจะไม่เหลือทางออกสำหรับนาง เพราะฉะนั้น ข้อเสนอล่าสุดของนางที่ให้คนหกร้อยคนมาประลองกันจึงเป็นทางที่ดีที่สุดที่นางจะคิดได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้


กระแสความคิดวิ่งวนอยู่ในใจขณะที่เฟิ่งชิวหรันพยายามวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของสถานการณ์ หญิงสาวยังคิดไปถึงว่าจะมีวิธีใดบ้างที่ผลักดันให้สถานการณ์ไปอยู่ในจุดที่นางได้เปรียบ


แต่เป็นที่แน่ชัดว่าเมี่ยเลี่ยจื่อไม่ยอมให้เวลาเฟิ่งชิวหรันได้คิดไปมากกว่านี้ เมื่อเขาแค่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วก็เปลี่ยนเรื่องหนีจากเรื่องใบต้นเฟิงซิ่นไปคุยเรื่องที่สองต่อทันที!


“ข้ายังไม่เห็นด้วยกับการต้อนรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สอง พวกเขาไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ กับเราเลย ทั้งในแง่ความสามารถหรือปัจจัยอื่นใด การมาอยู่บนสำนักวังเต๋าไพศาลของพวกเขาเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรอันจำกัดโดยใช่เหตุ!”


“ทรัพยากรเหล่านั้นควรจะนำไปให้บรรดาศิษย์ที่มีความสามารถมากกว่าพวกเขาจะเหมาะควรกว่า!” เมี่ยเลี่ยจื่อพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่เฟิ่งชิวหรันไม่อาจเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนั้นได้ นางพูดออกมาหลังจากหัวเราะเสียงเย็น


“บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐสามารถพัฒนาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่มีอยู่มากล้นในตัวพวกเขา ขณะเดียวกัน ปริมาณประชากรของสหพันธรัฐก็มีมากกว่า แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเริ่มฝึกปราณ แต่พวกเขาก็จะเจริญเติบโตไปจนถึงจุดที่จะเป็นประโยชน์แก่เราในไม่ช้าแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้พวกเราตัดสินใจไปนานแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองจะมาที่นี่ตามที่เราได้ตกลงกันไว้แน่นอน!”


“เฟิ่งชิวหรัน!” เมี่ยเลี่ยจื่อค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ปราณขั้นเชื่อมวิญญาณของเขาถูกปลดปล่อยออกมาในบัดดล สายตามีความโหดร้ายฉาบเคลือบอยู่ ดูราวกับว่าเขาพร้อมจะจู่โจมนางหากได้ยินสิ่งที่ไม่เห็นด้วยอีกครั้ง


แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะมีนิสัยโอนอ่อน แต่นางก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงข้อตกลงที่มีอยู่แต่เดิม อย่างไรเสียสิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอุปสรรคให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างนางและสหพันธรัฐเท่านั้น แต่จะเท่ากับเป็นการทำลายสถานะพันธมิตรลงโดยสิ้นเชิง ดังนั้นพลังปราณของนางก็ถูกปลดปล่อยออกมาเช่นกัน รัศมีของนางแผ่ซ่านออกมาขณะที่แววตาเยือกเย็นปรากฏให้เห็น


เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองต่างก็เลือดร้อนไม่แพ้กัน ศิษย์สำนักเต๋าโยวหรันจึงผุดลุดขึ้นยืนตรงกลางระหว่างทั้งคู่ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะขื่นๆ พลางส่ายศีรษะดิก


“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว พวกเจ้าทั้งคู่ ศิษย์น้องชิวหรัน เอาอย่างนี้เป็นไร หากเจ้าคิดว่าพวกเด็กจากสหพันธรัฐทำได้ดี เช่นนั้นมาลองดูผลงานของพวกเขาในการประลองครั้งนี้สักหน่อยดีหรือไม่


“พวกเราตัดสินใจไปแล้วว่าจะมีผู้ฝึกตนเข้าร่วมการประลองทั้งสิ้นหกร้อยคน แม้ว่าจะมีเพียงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้นที่เข้าร่วมได้ แต่ข้าก็จำได้ว่าในบรรดาพันธุ์กล้าเองก็มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้นก็ ให้พวกเขาเข้าร่วมด้วย หากใครสักคนสามารถชนะได้ตราประจำตัวไปครอง ก็แปลว่าพวกเขายังมีคุณค่าอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้วเราก็จะอนุญาตให้พันธุ์กล้ารุ่นที่สองขึ้นมาได้!


“แต่หากพวกเขาทำไม่ได้เลย…ศิษย์น้องชิวหรัน ไม่นานมานี้ มีคนจำนวนมากมาบอกข้าว่าพวกเขาเริ่มไม่มั่นใจในตัวเจ้า พอข้ามาคิดดูแล้ว ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าจุดยืนของศิษย์น้องเมี่ยเลี่ยจื่อเองก็อาจไม่ได้ผิดนัก” เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เฟิ่งชิวหรันก็ถึงกับตกตะลึง หัวใจหยุดไปชั่วขณะ นัยน์ตาของนางหดแคบเมื่อมองไปทางศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน


จากการหารือกันเรื่องแรก นางก็รู้สึกได้แล้วว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นเอนเอียงไปทางเมี่ยเลี่ยจื่อ มาบัดนี้ ในเรื่องที่สอง แม้ว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะพูดราวกับพยายามปรองดอง แต่ความหมายภายใต้คำพูดของเขาก็ส่งสัญญาณว่าเขากำลังเข้าข้างเมี่ยเลี่ยจื่อ!


เมี่ยเลี่ยจื่อฉีกยิ้มและไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ทั้งคู่หันไปมองเฟิ่งชิวหรันเป็นตาเดียว


โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบสงัด เฟิ่งชิวหรันรู้สึกขมขื่นในใจ นางอยากจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่แต่ก็จนปัญญา…


สามวันต่อมา คำสั่งที่บรรดาศิษย์ต่างรอคอยอยู่แต่ก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นก็ถูกประกาศออกมาจากโถงหลักโดยตรง


“การทดสอบจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันให้หลัง ผู้ฝึกตนสามอันดับแรกจะได้รับใบเฟิงซิ่นคนละหนึ่งใบ!”


เมื่อข่าวนั้นแพร่ออกไป ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนเป็นการใหญ่ ทุกคนต่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปมาหวังจะได้รับรายละเอียดเพิ่มเติม บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐก็ทุ่มเถียงกันเป็นการใหญ่ หวังเป่าเล่อเองก็ให้ความสนใจใบไม้ทั้งสามอยู่เช่นกัน หลังจากที่ได้รู้ว่าผลไม้แห้งเหี่ยวในความครอบครองของเขาคือผมของต้นเฟิงซิ่น


ชายหนุ่มลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้รับข่าวจากสำนัก เขากลับมาเปิดห้องสนทนากลุ่มและอ่านข้อความในนั้น แถมยังติดต่ออวิ๋นเพียวจื่อไปเพื่อขอรายละเอียดอีกด้วย


ในฐานะผู้ฝึกตนท้องถิ่นของสำนักวังเต๋าไพศาล ผนวกเข้ากับภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ทำให้อวิ๋นเพียวจื่อรู้เรื่องต่างๆ มากกว่าคนจากสหพันธรัฐไม่น้อย หากเป็นใครคนอื่นมาถาม เขาก็คงไม่บอก แต่เมื่อเป็นหวังเป่าเล่อ อวิ๋นเพียวจื่อจึงบอกอีกฝ่ายจนหมดไส้หมดพุง


“ครั้งนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามจะส่งตัวแทนไปคนละสองร้อยคนเพื่อเข้ารับการทดสอบ การแข่งขันจะต้องเข้มข้นมากแน่นอนเพราะทุกคนล้วนต้องอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเป็นอย่างน้อย แต่ไม่มีการกำหนดระดับของขั้นกำเนิดแก่นในเอาไว้ แปลว่าในการแข่งขันครั้งนี้จะมีทั้งผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นไปจนถึงชั้นปลาย!”


หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น


“แล้วจุดประสงค์ของการทดสอบครั้งนี้คืออะไร”


อวิ๋นเพียวจื่อหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำถาม ก่อนจะส่งข้อความเสียงมาอีกครั้ง


“จุดประสงค์น่ะหรือ ไม่มีหรอก ศิษย์ส่วนมากไม่มีโอกาสผ่านการทดสอบได้เลย ดังนั้นในแง่หนึ่ง การทดสอบนี้จึงไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ข้าเดาว่าทุกอย่างคงมีการตัดสินใจกันไปแล้วอย่างลับๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็แค่ไปร่วมเป็นฉากหน้าของการแสดงเท่านั้นเอง”


“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าเพื่อเป็นการตอบโต้ความอยุติธรรมนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามยังได้ตระเตรียมทางเลือกเอาไว้อีก ส่วนรายละเอียดนั้นจะประกาศในวันทดสอบ”


อวิ๋นเพียวจื่อรู้เพียงเท่านี้ เขาไม่รู้รายละเอียดอื่นๆ หวังเป่าเล่อส่งข้อความเสียงไปถึงเซี่ยไห่หยางด้วยและได้รับคำตอบเดียวกัน เซี่ยไห่หยางไม่รู้รายละเอียดเรื่องการยุติความอยุติธรรมแต่อย่างใด แถมยังเรียกค่าใช้จ่ายมาจำนวนมากอีกด้วย


แม้ว่าเขาจะลดให้หวังเป่าเล่อเป็นพิเศษเพราะเห็นแก่ว่าเคยทำการค้าด้วยกันมามาก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าเซี่ยไห่หยางนั้นละโมบเกินไปจึงได้ตอบปฏิเสธ


“ห้าหมื่นแต้มการรบเพื่อข่าวชิ้นเดียวน่ะหรือ…ขูดรีดกันชัดๆ!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ขณะที่วางแหวนสื่อสารลง ชายหนุ่มทำใจจ่ายไม่ลง เพราะอย่างไรเสีย ข้อมูลนี้ก็จะถูกเปิดเผยออกมาหากรออีกเพียงเจ็ดวัน


แม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบหากได้รู้ล่วงหน้า แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าไม่คุ้ม ดังนั้นเขาจึงหันความสนใจมายังเฟิ่งชิวหรันแทน คิดว่าทำอย่างไรจึงจะไปพบนางได้ อย่างไรเสียเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ภายใต้การนำของนาง หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและก็ควรจะได้อยู่ในตัวแทนสองร้อยคนนั้นด้วย


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เฟิ่งชิวหรันอยู่ในถ้ำที่พักของนาง กำลังรู้สึกสิ้นหวัง นางไม่มีความสุขมากหลายวันแล้ว เพราะการร่วมมือกันระหว่างศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกับเมี่ยเลี่ยจื่อในครั้งนี้ทำให้นางไม่มีทางต่อต้าน หลังจากมาคิดทบทวนสถานการณ์โดยละเอียดแล้ว นางก็ตระหนักได้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อได้เปรียบอยู่ตลอดในการเจรจาต่อรองครั้งนั้น


ขณะนี้มีปัญหาใหญ่สำหรับนาง หากนางต้องการรักษาความสัมพันธ์กับสหพันธรัฐไว้ หนึ่งในศิษย์จากสหพันธรัฐก็ควรจะได้รับใบเฟิงซิ่น


แต่มีความท้าทายในเรื่องนี้อยู่สองประการ ประการแรกคือบรรดาผู้ติดตามของนางอาจไม่พอใจมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้มีคนเอาใจออกหากขึ้นไปอีก ไหนจะปัญหาประการที่สองที่สำคัญอย่างยิ่ง…นั่นคือการที่คนจากสหพันธรัฐจะได้รับใบไม้นั้นเป็นเรื่องยากแสนยาก


แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะเชื่อมั่นในฝีมือของสหพันธรัฐมากเพียงใด แต่สิ่งที่นางเชื่อมั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มิใช่สภาพปัจจุบันของพวกเขา ในความเป็นจริงแล้ว นางคิดว่า ณ เวลานี้ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐยังไม่อาจเทียบผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลได้ จากการคาดคะเนของนาง ไม่น่าจะมีใครติดหนึ่งในสามจากผู้ฝึกตนหกร้อยคนได้เลย!


เพราะอย่างไรเสีย ในกลุ่มนี้ก็ยังมีศิษย์เอกอีกหลายคน ความสามารถและความแข็งแกร่งของพวกเขาที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐจะรับมือได้


ดังนั้น เพื่อจะทำประการที่สองให้สำเร็จผล หญิงสาวจึงจำเป็นต้องให้ศิษย์เอกของนางยอมแพ้…เมื่อคิดเช่นนั้น เฟิ่งชิวหรันก็ทอดถอนใจ ก่อนจะมองไปยังปากทางเข้าถ้ำที่พักของนางเอง ในไม่นานนัก เสียงทักทายก็ดังมาจากหน้าถ้ำ ผู้ฝึกตนสองคนเดินเข้ามา


ทั้งคู่อายุยังน้อย คนหนึ่งเป็นชายที่สะสวยราวสตรี เขาแสดงท่าทีสง่างามและอ่อนโยนออกมา หากชายหนุ่มถือพัดอยู่ในมือแล้วละก็ จะต้องดูเหมือนนายน้อยอย่างแน่นอน หลังเข้ามาในถ้ำที่พัก ชายหนุ่มก็ยกมือคำนับเฟิ่งชิวหรันทันที


“ศิษย์เอกสวีหมิงคารวะอาจารย์”


“ศิษย์เอกลู่อวิ๋นคารวะอาจารย์!” อีกคนหนึ่งดูอาวุโสกว่าและแข็งแกร่งกว่าในเชิงกายภาพ สายตามุ่งมั่นราวขุนเขา กระทั่งซุ่มเสียงของเขายังฟังดูมีพลัง


เมื่อมองเห็นทั้งสอง เฟิ่งชิวหรันก็มีรอยยิ้มออกมา ทั้งคู่เป็นศิษย์ที่นางโปรดปรานที่สุด ทั้งยังเป็นศิษย์ขั้นกำเนิดแก่นในชื่อดังของสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้!


เรียกได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่นางฝากความหวังไว้มากที่สุดในบรรดาศิษย์ของนางทุกคน!


“หมิงเอ๋อร์ อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ามีงานให้เจ้าทั้งสองคนทำ!”


บทที่ 553 หลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรัน!

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากอาจารย์ สวีหมิงและลู่อวิ๋นต่างก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด ยืนรอรับคำสั่งจากอาจารย์อย่างแข็งขัน


เฟิ่งชิวหรันรู้สึกใจชื้นเมื่อเห็นความเอาจริงเอาจังในแววตาของศิษย์ทั้งสองที่นางรักที่สุด หลังจากความเงียบชั่วอึดใจ นางก็เริ่มพูด


“เจ้าทั้งคู่ได้ยินเรื่องการทดสอบที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันแล้วใช่หรือไม่ ข้าต้องการให้เจ้าทั้งสองติดหนึ่งในสามให้จงได้ไม่ว่าจะต้องเผชิญอะไร!”


“ตำแหน่งหนึ่งในนั้นต้องส่งมอบให้ผู้เข้าร่วมทดสอบที่มาจากสหพันธรัฐในวินาทีสุดท้าย ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าทั้งสองอย่างงามสำหรับงานในครั้งนี้!” เมื่อพูดจบนางก็ส่งสายตาเฉียบคมไปยังศิษย์ทั้งสอง


สวีหมิงและลู่อวิ๋นนิ่งเงียบ ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับอาจารย์และพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจคำสั่ง


แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของทั้งคู่ แต่นางก็บอกได้ว่าพวกเขาทั้งสองต้องรู้สึกอะไรบ้างแน่นอน นางรู้ดีว่าคำขอนี้ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่เห็นทางอื่น ดังนั้นนางจึงเริ่มพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่นุ่มนวล


“ข้าสัญญาว่าจะช่วยเหลือผู้ที่ยอมสละตำแหน่ง หากเมื่อใดที่คนผู้นั้นใกล้จะบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ข้าจะช่วยให้บรรลุไปถึงชั้นกลางในทันที!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสวีหมิงและลู่อวิ๋นต่างก็ตกใจ ก่อนจะมีประกายปรากฏอยู่ในแววตา ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ต่างก็อิดออดกับคำสั่งของอาจารย์ แต่หากว่ารางวัลเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาเองก็ยินดี


“อาจารย์ แต่หากพวกเราได้แค่ที่เดียวเล่าขอรับ” ลู่อวิ๋นถามขึ้นมาอย่างปุบปับ


“ที่เดียวก็ไม่เป็นไร แต่จะต้องได้ที่หนึ่งมาเป็นอย่างน้อย!” หลังจากที่เงียบอยู่ชั่วอึดใจ เฟิ่งชิวหรันก็กล่าวตอบ


“อาจารย์ขอรับ หากว่าเราต้องติดหนึ่งในสามของการทดสอบนี้ พวกเราทั้งคู่จะต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้ว…คงเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยดูแลบรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ หากเราไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเขาและใช้สมาธิเต็มที่ เราก็น่าจะทำสำเร็จได้ง่ายกว่า ยิ่งกว่านั้น อย่างน้อยๆ เราก็อาจให้ใบต้นเฟิงซิ่นกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐสักคนและให้เขาเข้าไปยังตำหนักวังบูชาแทนเราได้” สวีหมิงพูดพลางมองไปที่เฟิ่งชิวหรันหลังจากคิดอยู่อึดใจหนึ่ง


เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้วและกำลังจะตอบคำ แต่หลังจากที่คิดใคร่ครวญดูแล้ว หญิงสาวก็ตระหนักขึ้นได้ว่าหากนางดื้อดึงจะทำงานนี้ให้ได้ดังใจ ก็จะทำให้เรื่องยากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว คงจะเป็นการยากหากพวกเขาต้องดูแลเหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแถมยังต้องระวังผู้ร่วมทดสอบที่แข็งแกร่งคนอื่นๆ ไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นกฎของการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่เหมือนใคร ดังนั้นหลังจากที่คิดจนถี่ถ้วนแล้วหญิงสาวจึงเข้าใจว่านางขอมากเกินไป


หลังจากที่คิดดูดีแล้ว เฟิ่งชิวหรันคิดว่าหากไม่มีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐติดหนึ่งในสามเลย และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของเมี่ยเลี่ยจื่อ นางก็เพียงต้องมอบใบเฟิงซิ่นให้สหพันธรัฐในตอนท้าย ซึ่งอาจอ้างได้ว่าพวกเขาบรรลุเงื่อนไขได้ขั้นหนึ่งแล้ว ผลลัพธ์เลวร้ายสุดที่อาจเกิดขึ้นคือการที่นางต้องทะเลาะกับเมี่ยเลี่ยจื่อต่อไป…


ในขณะเดียวกัน หลังการทดสอบหากศิษย์ของสหพันธรัฐได้เข้าไปยังตำหนักวังบูชาพร้อมใบต้นเฟิงซิ่นและได้รับสถานะศิษย์ที่แท้จริงแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล แผนของนางก็จะรุดหน้าไปไกล กว่าจะถึงตอนนั้น สิ่งต่างๆ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปมาก และแปลว่านางจะไม่ต้องกังวลกับแผนของเมี่ยเลี่ยจื่ออีกต่อไป!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟิ่งชิวหรันก็รู้ว่านางไม่ควรรอช้าอีกและต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ นางจึงกัดกรามแน่น


“พยายามดูแลพวกเขาเต็มที่ หากเกินกำลังเมื่อใด ก็ขอให้พวกเจ้าทั้งคู่มุ่งมั่นกับเป้าหมายก็พอ!”


เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิวหรัน ทั้งคู่ก็ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกเขาไม่ได้ดูแคลนบรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ชื่นชมเช่นกัน พูดให้ง่ายคือทั้งคู่ยังรู้สึกว่าบรรดาพันธุ์กล้านั้นเป็นภาระ เมื่อได้ยินการตัดสินใจของอาจารย์ พวกเขาก็ไต่ถามต่อไปเล็กน้อย ก่อนจะจากไปหลังจากที่เฟิ่งชิวหรันอธิบายกฎของการทดสอบให้ฟังจนเสร็จสิ้น


เมื่อมองดูแผ่นหลังของศิษย์ทั้งสอง เฟิ่งชิวหรันก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางสั่งเด็กรับใช้ให้ไปส่งข่าวถึงหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าซึ่งเป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐให้มาพบนาง


เฟิ่งชิวหรันยังมองเห็นค่าของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐอยู่ โดยเฉพาะในแง่ความก้าวหน้าในการฝึกตน เฟิ่งชิวหรันได้ยินมาว่าทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว


ขณะที่เฟิ่งชิวหรันกำลังเรียกตัวหวังเป่าเล่อและเพื่อนให้มาพบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็อยู่ในถ้ำที่พักของตนบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล เขาเรียกศิษย์เอกเพียงคนเดียวให้เข้ามาพบ ชื่อของศิษย์ผู้นั้นคือตู้กูหลิน!


“หลินเอ๋อร์ เจ้าพร้อมสำหรับการทดสอบครั้งนี้หรือไม่” เมี่ยเลี่ยจื่อจ้องมองศิษย์ตรงหน้าผู้ซึ่งแผ่รัศมีเย็นเยียบออกมา มีความรู้คุณปรากฏขึ้นในสายตาของชายหนุ่มก่อนที่เขาจะตอบ


“ข้าจะได้ที่หนึ่งแน่นอน ท่านอาจารย์วางใจได้” สายตาตู้กูหลินยังคงเย็นยะเยือน น้ำเสียงสงบนิ่ง


“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าได้ที่หนึ่ง ข้าต้องการให้ในการทดสอบครั้งนี้มีเพียงตำแหน่งเดียวและไม่มีตำแหน่งอื่นใดอีก เจ้าทำได้หรือไม่” เมี่ยเลี่ยจื่อหรี่ตาลงจ้องมองตู้กูหลิน


“กำจัดทุกคนอย่างนั้นหรือ ข้าจะพยายามก็แล้วกัน” ตู้กูหลินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งตามเดิม


“ดีมาก หลินเอ๋อร์ ข้าจะยอมให้เจ้าปลดผนึกกายของตนในเวลาที่เหมาะสมขณะทำการทดสอบและปลดปล่อยพลังการต่อสู้จนถึงขีดสุดของเจ้าออกมา ทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้จะได้รู้กันว่าศิษย์เอกของเมี่ยเลี่ยจื่อผู้นี้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเพียงใด!” แววตาแปลกประหลาดสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาที่คาดหวังของเมี่ยเลี่ยจื่อ


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้า…” ตู้กูหลินม้วนริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น เขาเชิดศีรษะขึ้นจ้องมองอาจารย์ก่อนจะพูดจบประโยค


“ก็จะทำตามที่ท่านปรารถนาขอรับ ท่านอาจารย์”


รัศมีเยือกเย็นที่ซุกซ่อนอยู่ในกายกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมา รัศมีนั้นผนวกกับรอยยิ้มชั่วร้าย ส่งผลให้กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อยังต้องยอมรับความน่าเกรงขามของตู้กูหลิน ชายวัยกลางคนผู้นี้รู้ดีว่าศิษย์คนนี้ยอดเยี่ยมเพียงใด เขาไม่เพียงมีพรสวรรค์อันหาตัวจับได้ยากในโลกการฝึกปราณเท่านั้น แต่ยังมีกายาละอองจักรวาลที่ออกแบบมาเพื่อการต่อสู้ ทั้งยังมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถพัฒนาขั้นปราณได้มากภายในเวลาหนึ่งวัน และมีคุณสมบัติพอจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณได้เนิ่นนานแล้วด้วย


ทว่าชายหนุ่มก็มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ นั่นคือการสร้างรากฐานที่เข้มแข็ง ตู้กูหลินใช้ความได้เปรียบของกายาละอองจักรวาลและกระบวนเวทของสำนักวังเต๋าไพศาลผนึกตนเองเอาไว้ เขาตั้งใจจะก้าวผ่านขั้นจุติวิญญาณในวินาทีที่บรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ แล้วจะผนึกตนเองไว้อีกครั้ง เป้าหมายของเขาคือการไปให้ถึงระดับดาวพระเคราะห์หลังจากที่บรรลุถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ!


ตั้งแต่โบราณกาล ทุกคนที่บรรลุเป้าหมายนี้ได้ล้วนกลายมาเป็นบุคคลที่ทรงพลังทั้งสิ้น เมี่ยเลี่ยจื่อยังยอมรับว่าเมื่อเขายังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ตัวเขาเองหรือต่อให้มีเขาสักสิบคนก็ไม่อาจเทียบเคียงศิษย์อย่างตู้กูหลินได้เลย เขายังรู้อีกด้วยว่าด้วยพรสวรรค์และปราณระดับนี้ ศิษย์เช่นตู้กูหลินจะต้องถูกพลังระดับสูงขึ้นไปของระดับดารานิรันดร์จับตามอง หากว่าสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงไม่ถูกทำลายไปเสียก่อน


เฟิ่งชิวหรันอาจคิดว่าเมี่ยเลี่ยจื่อมั่นใจในการฝึกตนของตนเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนความมั่นใจนี้ นั่นคือศิษย์เอกผู้นี้นั่นเอง!


ตู้กูหลินเป็นความพยายามและผลงานชิ้นเยี่ยมที่เมี่ยเลี่ยจื่อสร้างไว้ให้สำนัก สำหรับเขาแล้ว ต่อให้ต้องสังเวยทั้งสหพันธรัฐหรือต้องใช้ทะเลโลหิตและวิญญาณเพื่อปูทางให้กับความสำเร็จของศิษย์ผู้นี้ก็ยังนับว่าคุ้มค่า


สำหรับเขาแล้ว ตู้กูหลินผู้นี้คือพรสวรรค์ที่แท้จริง ในขณะที่ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเป็นเพียงขยะเท่านั้น


ดังนั้นเมี่ยเลี่ยจื่อจึงวางแผนให้ตู้กูหลินเป็นอาวุธลับในครั้งนี้ เขาจะทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อล้มเฟิ่งชิวหรันให้ได้หลังจากการทดสอบนี้ จากนั้นก็จะฉวยโอกาสขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง เมี่ยเลี่ยจื่อมั่นใจว่าเขาจะมีอำนาจมากพอที่จะเริ่มต้นการทำลายล้างและสังเวยสหพันธรัฐ!


ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังรู้สึกมั่นใจและทะเยอะทะยานอยู่นั่นเอง หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าก็ได้รับคำสั่งจากเฟิ่งชิวหรัน พวกเขาต่างก็ออกจากเกาะที่ตนอยู่ มุ่งหน้าไปที่เกาะหลักแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทันที


ไม่นานนักทั้งสามก็มาถึง พวกเขาจ้องมองกันและแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้ ทั้งสามเดินตามเด็กรับใช้มาจนถึงถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน หลังจากที่ทำความเคารพนางและเดินเข้าไปในถ้ำที่พัก พวกเขาก็มองเห็นเฟิ่งชิวหรันที่ดูเหนื่อยอ่อนนั่งอยู่บนยกพื้น


“ข้าน้อยคารวะผู้อาวุโสเฟิ่ง!” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นประกบกันทันที เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ารีบทำตาม


เฟิ่งชิวหรันไม่ได้ตอบคำ เพียงแต่กวาดสายตามองคนทั้งสาม นางจ้องมองพวกเขาทุกคนอย่างพินิจพิจารณา โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อ หากเป็นเวลาอื่น นางคงจ้องมองพวกเขาอย่างชื่นชม แต่ขณะนี้นางได้แต่เพียงส่ายศีรษะ สำหรับนางแล้วหวังเป่าเล่อและเพื่อนนั้นยอดเยี่ยมหากเทียบกับศิษย์ทั่วๆ ไป แต่ยังห่างไกลเมื่อเทียบกับศิษย์เอกของนางทั้งสองคน


หลังจากที่นางทอดถอนใจจนพอแล้ว เฟิ่งชิวหรันก็รู้สึกสิ้นหวัง นางเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจกับการตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับสหพันธรัฐ จากนั้นครู่ใหญ่ หญิงสาวชายจึงยกมือขึ้นถูหน้าผากและล้มเลิกการพูดปลุกใจพวกเขาทั้งสาม แล้วจึงกล่าวว่า


“ข้าเรียกพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อแจ้งว่าพวกเจ้าจะได้เป็นตัวแทนของสหพันธรัฐ ไม่ว่าเจ้าจะผ่านการทดสอบที่จะมีขึ้นในอีกเจ็ดวันหลังจากนี้หรือไม่ ข้าจะพยายามหาทางให้ใบเฟิงซิ่นกับเจ้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคน…จะทำเต็มที่ ไปได้แล้ว ข้าเหนื่อย” เมื่อพูดจบ เฟิ่งชิวหรันก็หลับตาลงทันที


หวังเป่าเล่อและเพื่อนต่างพากันตกใจ รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จับความหมายบางอย่างจากคำพูดของนางได้ ดูเหมือนผู้อาวุโสจะคิดว่าพวกเขาไม่อาจชิงใบไม้มาได้ด้วยกำลังของตนเอง


หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร หลังจากหันหน้าไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า พวกเขาก็หันหลังและกำลังจะเดินออกไป แต่ขณะนั้นเอง เฟิ่งชิวหรันก็ลืมตาขึ้น นางมองแผ่นหลังของพวกเขาก่อนจะพูดออกมา


“ผลการทดสอบจะเป็นตัวตัดสินว่าพันธุ์กล้ารุ่นต่อไปจะได้ขึ้นมาที่นี่หรือไม่…หวังเป่าเล่อ เมื่อเจ้าได้กลับไปที่สหพันธรัฐ บอกหลี่ซิงเหวินด้วยว่า…ข้าทำสุดความสามารถแล้ว” เมื่อพูดจบ เฟิ่งชิวหรันก็หลับตาไปอีกครั้ง ภาพของร่างที่ผอมเกร็งแต่แข็งแกร่งเมื่อหลายปีก่อนปรากฏขึ้นในใจนาง


หลายปีมานี้ เฟิ่งชิวหรันไม่แน่ใจว่าความชื่นชมที่นางมีให้สหพันธรัฐนั้นมาจากการมองเห็นสมรรถภาพของสหพันธรัฐ หรือเพราะร่างอันชัดเจนซึ่งจ้องมองมาที่นางอยู่ขณะนี้กันแน่…


บทที่ 554 เตรียมตัว!

Ink Stone_Fantasy

ทันทีที่น้ำเสียงอ่อนแรงของเฟิ่งซิวหรันดังมากระทบหลังคนทั้งสาม หวังเป่าเล่อและเพื่อนก็หยุดเดินด้วยความตกใจที่เกิดจากสิ่งที่ได้ยิน พวกเขาจ้องมองกันอยู่ไปมาและนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม หลังจากที่หันหลังมาและยกมือทำความเคารพอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นทันที


“ผู้อาวุโสเฟิ่ง โปรดบอกกฎการทดสอบกับเราทั้งสามได้หรือไม่ขอรับ เราจะได้เตรียมตัว”


เฟิ่งชิวหรันไม่ได้พูดอะไร นางคิดว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็คงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หญิงสาวยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้พวกเขาออกไป หวังเป่าเล่ออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็อดใจเอาไว้ ในที่สุดชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดสิ่งใดก่อนจะหันหลังเดินออกจากถ้ำที่พักไป


เมื่อทั้งสามจากไปแล้ว ความเหนื่อยล้าทั้งกายใจของเฟิ่งชิวหรันก็ไม่อาจถูกซุกซ่อนเอาไว้ได้อีก นางแสดงออกมาอย่างเด่นชัดทั้งร่างกายและโดยเฉพาะสีหน้า แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง เพราะนางได้ทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญยิ่งคือการส่งศิษย์เอกทั้งสองไปชิงใบเฟิงซิ่นมา ทว่านางก็ทำได้เพียงเท่านั้น


นอกเสียจากว่านางจะตัดสัมพันธ์กับเมี่ยเลี่ยจื่อผ่านการต่อสู้ นางก็ไม่มีหนทางอื่นใดที่จะจัดการกับสถานการณ์นี้ได้ แต่แม้หญิงสาวจะตัดสินใจสู้จริงๆ พันธมิตรระหว่างเมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ปรากฏอย่างเด่นชัด ก็ทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อหมดหนทางเปลี่ยนสถานการณ์ได้อีกต่อไป


“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น…” เฟิ่งชิวหรันพึมพำ นางรู้ดีว่าต่อให้ศิษย์เอกทั้งสองของนางยอดเยี่ยมเพียงใด เรื่องเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเช่นกัน หญิงสาวได้เตรียมใจรับความล้มเหลวมาบ้างแล้ว หรือต่อให้ทั้งสองทำสำเร็จ ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่านางจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากที่เมี่ยเลี่ยจื่อผลักไสนางเข้ามา


ความคิดเช่นนี้ทำให้เฟิ่งชิวหรันไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง และทำให้ความเหน็ดเหนื่อยถาโถมเข้าใส่นางยิ่งขึ้น ส่งผลให้นางแอบเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน


ไม่มีทางออกเลย…นอกจากว่าพวกเขาทั้งสามจะได้เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกด้วยความสามารถของตนเอง ชนะการทดสอบอย่างมีเกียรติและได้รับใบเฟิงซิ่นมาโดยที่มีสำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดเป็นพยาน…ถึงกระนั้น ด้วยความสามารถของพวกเขาในตอนนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะเอาชนะคนหกร้อยคนได้ นอกจากจะมีปาฏิหาริย์…เฟิ่งชิวหรันหลับตาลงอีกครั้ง นางรู้ดีว่านางกำลังฝันกลางวันอยู่


ขณะที่เฟิ่งชิวหรันจมอยู่ในความไม่แน่ใจในตัวเองและความสัมพันธ์กับสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อและพรรคพวกที่เพิ่งจะออกจากถ้ำที่พักมาก็ยังไม่ได้แยกกัน กลับกัน หวังเป่าเล่อชวนสหายทั้งสองมายังเกาะเพลิงเขียว ระหว่างทางทุกคนต่างก็ครุ่นคิดอย่างหนักโดยไม่ได้พูดอะไรกัน แต่เมื่อพวกเขามาถึงถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของกงเต๋าก็ฉายแสงขึ้น ชายหนุ่มพูดขึ้นมาก่อน


“มีปัญหาเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเฟิ่งไม่อาจคุมอำนาจในสำนักวังเต๋าไพศาลได้อีกต่อไป แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่สหพันธรัฐคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่พวกเขาย่อมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้!”


“ยิ่งไปกว่านั้น การทดสอบนี้ดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจของสำนักวังเต๋าไพศาลที่จะกลั่นแกล้งพวกเรา หากเราชิงตำแหน่งมาไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่ยอมให้รุ่นที่สองเข้ามาที่นี่!” กงเต๋าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ส่งผลต่ออารมณ์ของเขาไม่น้อย


“อันที่จริงแล้ว ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลตั้งแต่คราวก่อนที่ข้าเคลื่อนย้ายเคล็ดวิชาฝึกปราณกลับไปยังสหพันธรัฐ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาลดูเหมือนจะมีกลไลบางอย่างที่จะตรวจสอบเคล็ดวิชาฝึกปราณซึ่งเรานำกลับไป พูดให้ง่ายก็คือพวกเขายอมให้เรานำเคล็ดวิชาการฝึกปราณกลับไป แต่ไม่ยอมให้นำข้อมูลอื่นใดกลับไปเลย!” เจ้าเยี่ยเหมิงดูนิ่งเฉยเช่นเดิมขณะที่พูด นางบอกหวังเป่าเล่อและกงเต๋าถึงเรื่องที่ตนกำลังตรวจสอบอยู่ในช่วงนี้


“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ” กงเต๋ามีสีหน้าน่ากลัวขณะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ เหมือนจะรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ อย่างไรเสียตอนที่พวกเขาอยู่บนดาวอังคาร หวังเป่าเล่อก็เคยเป็นหัวหน้ากงเต๋ามาก่อน เขาจึงเคยชินกับการฟังคำสั่งของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว มาที่นี่หวังเป่าเล่อก็ยังเป็นผู้นำ และเพราะอย่างนั้นไม่จะเป็นตัวเขาเองหรือเจ้าเยี่ยเหมิง ต่างก็รอฟังแผนของหวังเป่าเล่อด้วยกันทั้งสิ้น


หวังเป่าเล่อเองก็มีสีหน้าจริงจัง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาความเข้าใจเรื่องสำนักวังเต๋าไพศาลของชายหนุ่มเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าศิษย์สหพันธรัฐคนไหนๆ ชายหนุ่มรู้มานานแล้วว่าเฟิ่งชิวหรันนั้นยังคลางแคลงใจในเหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ นางจะทำตัวหนักแน่นในบางครั้งแต่ก็ยังลังเลใจอยู่บ่อยๆ ในแง่หนึ่งเป็นเพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกันของผู้ฝึกตนที่อยู่ภายใต้การนำของนาง ในอีกแง่หนึ่งเป็นเพราะฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นแข็งแกร่งไม่น้อย!


อำนาจของเมี่ยเลี่ยจื่อเป็นที่รับรู้กันดีในศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมาก รวมถึงศิษย์ของทั้งเฟิ่งชิวหรันและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยเช่นกัน มีศิษย์ของพวกเขาบางคนที่เริ่มหันไปเข้าข้างเมี่ยเลี่ยจื่อ แนวคิดที่ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นสำนักที่เหนือชั้นกว่าเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างช้าๆ


ทำให้อำนาจของเมี่ยเลี่ยจื่อค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง จนกระทั่งแซงหน้าเฟิ่งชิวหรันไปเป็นเสียงหลักเพียงเสียงเดียวในสำนักวังเต๋าไพศาล อีกไม่นานนักเรื่องนี้ก็คงจะกลายมาเป็นความจริง และสหพันธรัฐก็คาดคะเนสถานการณ์นี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเหตุนี้สหพันธรัฐจึงได้ส่งพันธุ์กล้ารุ่นแรกขึ้นมาเพื่อสนับสนุนเฟิ่งชิวหรัน


แต่ดูเหมือนว่าจะมีเวลาไม่พอ จุดประสงค์และผลลัพธ์ของการสนับสนุนนี้ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่จุดวิกฤติกลับเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หากพวกเขาทั้งสามไม่อาจชนะการทดสอบได้ก็แปลว่าจะไม่มีพันธุ์กล้ารุ่นต่อไป


สิ่งนี้ไม่ใช่ผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ผลร้ายแรงที่สุดก็คือเมื่อเมี่ยเลี่ยจื่อยึดอำนาจในสำนักวังเต๋าไพศาลได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปย่อมไม่พ้น…สงครามระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐ!


หวังเป่าเล่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ไว้แล้ว กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน นัยน์ตาของทั้งสองแสดงความวิตกกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเขาก็ไม่มีทางออกและทำได้เพียงเฝ้ามองไปทางหวังเป่าเล่อเท่านั้น


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พวกเราทั้งสามก็ต้องติดอันดับหนึ่งถึงสามและยึดตำแหน่งในการทดสอบครั้งนี้ให้จงได้! นี่เป็นทางออกที่ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว!” หลังจากเงียบไปชั่วขณะ สายตามุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ พร้อมด้วยแววเยือกเย็นที่ส่องประกายออกมาทางดวงตาในทุกคำพูด ความเยือกเย็นนั้นสัมผัสได้กระทั่งในคำพูดของเขา ทำให้ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเริ่มหายใจถี่ ทั้งสองต่างมีสายตามุ่งมั่นขึ้นมาเช่นกัน


“ช่างน่าเสียดายที่ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่ได้บอกกฎการทดสอบกับพวกเรา…ในช่วงเวลาที่เหลือนี้ พวกเราต้องใช้ประโยชน์จากการเป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ได้!”


“เยี่ยเหมิง กงเต๋า พวกเจ้าทั้งสองเตรียมตัวให้ดีในเวลาที่เหลือนี้ ครั้งนี้…เรามาลองทำให้สำนักวังเต๋าไพศาลประหลาดใจกันเถอะ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากรู้นักว่าพวกศิษย์หัวกะทิของสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นจะเก่งกาจกว่าพวกเราศิษย์สหพันธรัฐสักเพียงใดกัน!” เมื่อพูดจบหวังเป่าเล่อก็ยิ่งมุ่งมั่นขึ้นไปอีก คำพูดของเขาทำให้กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงมั่นใจขึ้น หลังจากที่ตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อย ทั้งคู่ก็จากไป


เมื่อทั้งสองคนจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิดก่อนจะติดต่อเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มวางแผนจะใช้แต้มการรบเพื่อแลกข้อมูลเกี่ยวกับกฎของการทดสอบ แต่เซี่ยไห่หยางกลับไม่ตอบข้อความ


หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว หลังจากนั้นพักใหญ่เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่หยางยังไม่ตอบ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจจะไม่เสียเวลาอีก เขารีบถือสันโดษทันที เพื่อรักษาพลังปราณให้อยู่ในระดับสูงสุดในขณะที่ตระเตรียมการเพื่อการทดสอบ


ชายหนุ่มเริ่มต้นด้วยการนำอาวุธเวทออกมาทำความสะอาด ในหมู่อาวุธเวท กระบี่บินสามสีและเหรียญทองแดงทหารขุนพลอักขระเวทโบราณที่หวังเป่าเล่อควบคุมได้เป็นอาวุธเวทที่ทรงพลังที่สุดที่เขามี แม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่อาวุธเวทระดับเก้าจริงๆ แต่ตามความหมายแล้วก็ถือว่าใกล้เคียง


นอกจากนั้นในบรรดาอาวุธเวทระดับแปดของเขา นอกจากแถบผ้าที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธเวทระดับแปดจริงๆ ยังมีอาวุธเวทอีกสิบชิ้นที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว หวังเป่าเล่อยังมีอาวุธเวทระดับเจ็ดอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นโทรโข่งหรือกระบี่บินหรือกระบี่ที่เขาหลอมขึ้นเอง พวกมันต่างก็เป็นสมบัติเวทที่ใช้ได้ตลอด


ต่อไปก็พวกหุ่นเชิด…แต่ว่าข้าไม่มีเวลาแล้ว วัตถุดิบที่ต้องใช้ก็แพงเกินไป แถมโอกาสสำเร็จก็ต่ำ…ไม่เช่นนั้น หากพวกหุ่นเชิดสามารถเสริมพลังขึ้นเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้ พวกมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของข้าได้มาก หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะขณะจัดเรียงบรรดาอาวุธเวท จากนั้นชายหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิพลางคิดถึงถาคาที่จะใช้


เกราะจักรพรรดิที่เขาฝึกฝนมาตลอดสามารถใช้เป็นไพ่ตายได้ แต่ชายหนุ่มไม่รู้กฎของการทดสอบ และแม้ว่าจะมีการอนุญาตให้สังหารคู่แข่งได้ พวกเขาคงไม่ยอมให้มีการตายจำนวนมากเกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ชมเฝ้าดูการทดสอบอยู่ตลอด ทำให้ยากที่จะใช้พลังของเกราะจักพรรดิได้อย่างเต็มที่


“ยังมีอัสนีอวตารอยู่…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะคิดถึงวิชาแห่งศาสตร์มืดและกำลังกายของเขา ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่มั่นใจนัก เขาหลับตาลงคิด จนในที่สุดก็มีแสงเย็นยะเยือกสะท้อนผ่านหน้าเขาไป!


หรือไม่ข้าก็ต้องใส่พลังการต่อสู้ลงในเกราะจักรพรรดิระดับหนึ่งโดยใช้วิชาลักอัคคี เพื่อความแน่นอนในการทดสอบ เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที เขาเดินออกจากถ้ำที่พักและจับตัวเจ้าลา ใส่มันเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บก่อนจะออกเดินไปยังทะเลเพลิง


การจะหลอมเกราะจักรพรรดิโดยใช้วิชาลักอัคคีต้องมีการสังหารเกิดขึ้น…ในเมื่อไม่มีใครให้เขาสังหารในตอนนี้ หวังเป่าเล่อจึงทำได้เพียงไปที่ทะเลเพลิงและสังหารอสูรจำนวนหนึ่ง เพื่อจะใช้วิชาลักอัคคีกับเกราะจักรพรรดินั่นเอง!


บทที่ 555 สังหารเกราะปีศาจ!

Ink Stone_Fantasy

ยังมีเวลาอีกหกวัน ข้าต้องเร่งมือหน่อยแล้ว! หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งขณะนี้อยู่ในทะเลเพลิงคาดคะเนแล้วก็รู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้น การทดสอบที่จะมาถึงในอีกหกวันนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มันจะส่งผลกระทบต่อความเป็นพันธมิตรระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล หรือพูดอีกอย่างก็คือจะเป็นตัวตัดสินว่าจะเกิดสงครามขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายหรือไม่!


ในความเป็นจริงแล้ว พวกจิ้งจอกเฒ่าในสหพันธรัฐต่างคาดการณ์และถึงขั้นจำลองเหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลไว้นานแล้ว แม้ว่าสหพันธรัฐจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่หากพวกเขาสามารถยืดการต่อสู้ออกไปให้นานที่สุด โอกาสชนะของสหพันธรัฐจะเพิ่มขึ้นทุกๆ สิบปี


ในแง่หนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าการต่อสู้จะไม่เกิดขึ้นหากเตะถ่วงเวลาออกไปได้นานพอ เพราะอย่างไรเสียกระบวนการทำศึกก็มีราคาที่ต้องจ่าย หากราคานั้นสูงเกินไป ถึงตอนนั้นแม้เฟิ่งชิวหรันจะอ่อนแอในแง่ของอำนาจ นางก็คงต้องฉวยโอกาสแสดงจุดยืนขัดแย้ง เพื่อจะให้ได้อำนาจกลับคืนมาอีกครั้ง


ความคิดเหล่านี้บางส่วนหลี่ซิงเหวินก็เปิดเผยให้หวังเป่าเล่อรู้อย่างลับๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินทางมายังสำนักวังเต๋าไพศาล บางส่วนหวังเป่าเล่อก็สรุปเอาเองผ่านการวิเคราะห์ ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในศีรษะของชายหนุ่ม ขณะที่เขามาถึงทะเลเพลิงและยังคงมุ่งหน้าต่อไป


ขณะที่เขามุ่งหน้าต่อไปนั้นเอง ตรารูปข้าวหลามตัดบนหัวใจของหวังเป่าเล่อซึ่งเกิดขึ้นจากเกราะจักรพรรดิก็ส่องสว่างและถูกปลดปล่อยออกมา มันปลุกจุดตันเถียนภายในกายของหวังเป่าเล่อ จุดนั้นเข้าเชื่อมกับปราณวิญญาณและหลุดออกมาจากร่าง ไม่นานนัก ร่างของมนุษย์ตัวใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏขึ้นนอกกายเขา


ร่างนั้นสร้างขึ้นจากจุดตันเถียนที่เชื่อมกับปราณวิญญาณ มันโปร่งใสและสังเกตเห็นได้ยากหากไม่มองให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ในทะเลเพลิง


หลังจากนั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกาย การเรียกใช้งานและการแปรสภาพเกราะจักรพรรดิครั้งแรกของทำให้ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันเหลือล้นในกายได้ ราวกับว่าเขาได้สวมชุดเกราะที่ไม่มีวันแหลกสลาย มันมอบความมั่นใจลวงๆ ว่าเขาจะสามารถทำลายทุกสรรพชีวิตลงได้


ต่อไปข้าก็ต้องตามฆ่าอสูรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้วิชาลักอัคคี หลังจากนั้นก็ดูดซับเอาปราณในตำนานของพวกมันมาเป็นพลังงานให้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีของข้า! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกและหยิบเจ้าลาออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ


“ไสหัวไป ไปหาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดยกเว้นผู้ฝึกตนในทะเลเพลิงมาเดี๋ยวนี้!” ก่อนที่เจ้าลาจะทันได้มองสิ่งรอบข้างให้ชัดเจน มันก็ได้ยินคำสั่งของหวังเป่าเล่อ เพราะตัวตนของเกราะจักรพรรดิ ทำให้เสียงของชายหนุ่มดังและมีอำนาจยิ่งขึ้น เจ้าลาตัวสั่น ตาของมันเบิกโพลงเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่ออย่างเต็มตา


คนอื่นๆ อาจจะมองไม่เห็นเกราะจักรพรรดิได้ชัดเจนนัก แต่เจ้าลาที่ทั้งอยู่ใกล้และทั้งความสามารถพิเศษที่มันมี ทำให้มันไม่เพียงมองเห็นเกราะได้อย่างชัดเจน แต่ยังสัมผัสได้จากสัญชาตญาณว่ามีรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากหวังเป่าเล่อจนทำให้มันตัวสั่นเทิ้ม


แม้รัศมีนั้นจะแผ่วเบาและซ่อนไว้อย่างมิดชิด แต่เจ้าลาก็รู้สึกได้อยู่ดี ดังนั้นมันจึงรีบตอบรับคำสั่งของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ก่อนจะผงกศีรษะหงึกๆ อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มอย่างไม่รีรอ มันรีบมองไปรอบตัวอย่างแข็งขัน ถึงกับใช้จมูกสูดดมอยู่ไปมา ดูเหมือนว่ามันจะสัมผัสรัศมีของทะเลเพลิงได้ ไม่นานนักดวงตาของเจ้าลาก็เป็นประกาย ก่อนที่มันจะกระโจนออกไปข้างหน้าในทันที


เจ้าลาวิ่งเร็วมากเสียจนหวังเป่าเล่อตกตะลึง ชายหนุ่มคิดกับตนเองว่าถ้าเจ้าลาไม่ได้มีเชื้อสุนัขอยู่ในตัว พ่อหรือแม่ของมันอาจจะเป็นสุนัขก็เป็นได้ มันจึงมีจมูกไวแถมยังมีนิสัยชอบกระดิกหากอีกด้วย


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสงสัยเกี่ยวกับชาติกำเนิดของมัน เจ้าลาก็พาชายหนุ่มมาถึงเนินเขาใต้ทะเลแห่งหนึ่ง มีเสียงกรีดร้องดังก้องขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป ทันใดนั้นหนูเพลิงนรกสามตัวก็พุ่งออกมาและหนีไปทันที


หวังเป่าเล่อนัยน์ตาเป็นประกายก่อนจะพุ่งตัวตามไปโดยไม่รอเจ้าลา ทะเลเพลิงแหวกออกจนเกิดคลื่นเป็นทางขณะที่ชายหนุ่มไล่ตามหนูเพลิงนรกทั้งสามไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด ไม่ว่าหนูทั้งสามจะพยายามหนีเท่าใด พวกมันก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของหวังเป่าเล่อไปได้ ชายหนุ่มจับพวกมันขึ้นมาด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว


เขาเคลื่อนที่รวดเร็วเสียจนกระทั่งหนูเพลิงนรกตกอยู่ในมือขนาดใหญ่ของเขาในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อท่องคำว่า ‘ลักอัคคี’ อยู่ในใจ


ทันทีที่เขาท่องถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แสงสีโลหิตก็แผ่ออกมาจากกายของชายหนุ่ม เข้ามารวมอยู่ในมือขวาของเขาก่อนจะปกคลุมหนูเพลิงนรกตัวหนึ่งเอาไว้ ร่างของหนูตัวนั้นสั่นอย่างรุนแรงขณะที่พยายามจะเปล่งเสียงร้อง ทว่าเมื่อมันเปิดปากออก ร่างกายของมันก็เหี่ยวเฉาลงในพริบตา


แม้ว่ามันจะเปิดปากออกมาได้ในที่สุด แต่ก็สูญเสียความสามารถในการเปล่งเสียงไปจนหมดแล้ว เลือดและเนื้อของมันถูกสูบไป จิตวิญญาณของมันค่อยๆ สลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของแสงสีโลหิต แสงสีแดงฉานคืบคลานไปหาหนูเพลิงนรกอีกสองตัวอย่างรวดเร็ว


หนูอีกสองตัวกลัวจัดอย่างเห็นได้ชัด พวกมันพยายามจะหนีอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถหนีการไล่ล่าของแสงสีแดงฉานได้  ก่อนจะถูกแสงนั้นปกคลุมจนทั่ว เมื่อแสงสีโลหิตกลับมาหาหวังเป่าเล่อ เจ้าลาก็ตื่นตะลึงเมื่อมองเห็นว่าซากที่เหลืออยู่ของหนูสองตัวนั้นคือหนังและเส้นขนที่ซีดเซียวเท่านั้น


แสงสีโลหิตเข้าไปรวมกับเกราะจักรพรรดิซึ่งอยู่ภายนอกกายของหวังเป่าเล่อ เกิดเป็นริ้วสีโลหิตจางๆ บนเกราะที่ก่อนหน้านี้เป็นสีใส มันไม่ได้ดูโปร่งใสอีกต่อไป แต่กลับดูแปลกประหลาดเมื่อมีริ้วโลหิตปรากฏอยู่!


“ทำต่อไป!” หวังเป่าเล่อหลับตาลง ก่อนจะส่งสัญญาณเสียงไปยังเจ้าลาหลังจากที่ได้สัมผัสวิชาลักอัคคีเกราะจักรพรรดิ


เสียงนั้นยิ่งฟังดูน่ากลัวสำหรับเจ้าลากว่าตอนแรกเสียอีก มันรีบพยักหน้าราวกับกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะกลืนมันเข้าไปหากมันไม่สามารถหาหนูเพลิงนรกมาให้ได้อีก ดังนั้นเจ้าลาจึงรีบวิ่งหาหนูอย่างลนลาน จนกระทั่งตาแดงก่ำและจมูกก็เมื่อยล้าไปหมด


การตามล่าและการสังหารของหวังเป่าเล่อดำเนินไปเป็นเวลาหลายวัน  ยิ่งเขาฆ่าหนูเพลิงนรกด้วยวิชาลักอัคคีมากขึ้นเท่าใด เกราะจักรพรรดิก็มีสีแดงฉานมากขึ้นตามกัน และในเมื่อวิชาลักอัคคียังคงแกร่งกล้าอยู่ หวังเป่าเล่อก็ไม่ใส่ใจว่าหนูเพลิงนรกจะมีแก่นในอสูรหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร วิชาลักอัคคีก็กลืนกินพลังงานทุกรูปแบบ ดังนั้นถึงแม้พวกหนูจะมีแก่นในอสูรแก่นในเหล่านั้นก็ถูกย่อยสลายอยู่ดี


การเข่นฆ่าดำเนินต่อไป เกราะจักรพรรดิมีสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวเริ่มแพร่กระจายออกมาจากเกราะอย่างช้าๆ และยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามจำนวนหนูที่สังหารไป อีกทั้งความเร็วและพลังการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดดในทะเลเพลิงแห่งนี้


จนสุดท้าย เจ้าลาก็กลัวจนเคลื่อนไหวไม่ออก ยิ่งพวกเขารุดหน้าไปมากเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ยิ่งพูดน้อยลงเท่านั้น รัศมีรุนแรงและบ้าคลั่งที่ออกมาจากตัวชายหนุ่มเป็นสิ่งที่เจ้าลาไม่คุ้นเคย หากวิญญาณของพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน เจ้าลาก็คงคิดว่าบิดาของมันกลายเป็นคนอื่นไปเสียแล้ว


ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงจับหนูต่อไป ก็เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนที่การทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลต่างพากันพูดคุยเรื่องนี้อย่างออกรส ทั้งสำนักเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ศิษย์เกาะนอกจำนวนมากมารวมตัวกัน และการเดินทางข้ามเมืองระหว่างบรรดาศิษย์ก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย


ดูเหมือนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา รายชื่อของตัวแทนจะถูกประกาศออกมาแล้ว และผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมก็เริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจัง เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็เช่นกัน แต่แม้ว่าบรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐจะรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และหันมาหาข้อมูลกันอย่างจริงจัง พวกเขาก็ยังไม่เจออะไรมากนัก


สองวันผ่านไป คืนก่อนหน้าวันทดสอบ มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นออกมาจากเขตที่ลึกเข้าไปในทะเลเพลิง แม้ว่าเสียงนั้นจะดังมาจากใต้ดิน แต่ก็กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ ส่งผลให้ทะเลเพลิงหมุนวนอย่างรุนแรง เจ้าลาห้อตะบึงออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อหนีจากพลังรุนแรงที่ถูกปลดปล่อยออกมา เมื่อมันรู้สึกว่าออกมาห่างพอแล้ว จึงหันหลังไปมองอย่างวิตก


ในทิศทางที่เจ้าลามองไปนั้น ปรากฏแสงสีแดงขนาดหลายร้อยเมตรพร้อมเสียงดังสนั่นสะท้อนก้องออกมา มีเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังตามหลังมา และใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะสงบลง แสงสีแดงค่อยๆ หดตัวลงและมีร่างๆ หนึ่งเดินออกมาจากแสงนั้น!


ร่างนั้นมีผมที่พลิ้วไหวไปตามสาวลมและมีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับประกายเยือกเย็นในแววตา ภายนอกของร่างนั้นมีโครงร่างสีแดงฉานที่สูงราวยี่สิบเมตรยืนตระหง่านอยู่ โครงร่างนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ราวกับว่าทำมาจากจุดตันเถียนจำนวนนับไม่ถ้วนเชื่อมต่อกัน ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังแผ่รัศมีน่าเกรงขามออกมาไม่หยุดหย่อน


ดูคล้ายกับเป็นฉากที่เทพยดาลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน


แต่ที่จริงแล้วร่างนี้หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งปลดปล่อยชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของเขาออกมา!


ศพของหนูเพลิงนรกขนาดยาวสามสิบเมตรถูกชุดเกราะใช้มือขวาลากออกมา มีเขาสีดำอยู่บนหัวของศพ ที่แม้จะตายไปแล้วก็ยังแผ่รัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุดหย่อน สำหรับเจ้าลาแล้ว ชัดเจนว่ารัศมีจากอสูรนั้นแข็งแกร่งกว่าขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย จนใกล้เคียงกับชั้นสมบูรณ์!


เจ้าลาตัวสั่น สิ่งที่ทำให้มันกลัวยิ่งกว่าก็คือ เมื่อร่างของหวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ ศพนั้นก็ย่อยสลายไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ชายหนุ่มเดินมาถึงตัวเจ้าลา ศพของหนูเพลิงนรกก็เหลือเพียงหนังกับขนเท่านั้น เนื้อและพลังงานทั้งหมดของมันถูกย่อยสลายกลายเป็นกองโลหิตที่ไหลเข้าไปรวมกับเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นของเหลว!


“ไปกันเถอะ ได้เวลากลับแล้ว”


บทที่ 556 ศิษย์เอกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้า!

Ink Stone_Fantasy

เจ้าลาดำตัวสั่นเทิ้มทันทีที่จ้องมองไปยังเจ้านาย ความกลัวของมันนั้นกำเนิดมาจากสัญชาติญาณ “บิดา” ของมันที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้รู้สึกเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า ตัวตนที่แผ่ออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้คล้ายกับทะเลโลหิต เพียงชายหนุ่มเอ่ยปากพูดแค่คำเดียวเจ้าลาก็รู้สึกเกรงกลัวสะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจ มันตัวสั่น ก่อนที่จะนอนลงกับดิ้นอย่างอ่อนเปลี้ย ไม่กล้าจะขยับตัวแม้เพียงนิดเดียว


หวังเป่าเล่อถึงกับเงียบงันไปเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาสังหารหนูเพลิงนรกไปกี่ตัวในช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ก่อนที่จะบรรลุวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีชั้นหนึ่ง เขาเก็บสะสมพลังงานจำนวนมหาศาลเอาไว้ในเกราะ แถมยังเข้าใจวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่เขากึ่งส้รางขึ้นกึ่งสืบทอดมาอย่างลึกซึ้งขึ้นอีกด้วย


เห็นได้ชัดว่ายิ่งหวังเป่าเล่อสังหารไปมากเท่าใด ความบ้าคลั่งที่แฝงอยู่ในใจเขาก็ยิ่งเพิ่มทวีขึ้น ความบ้าคลั่งนั่นเริ่มจะแพร่กระจายออกมาจากกายเขาและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในลักษณะนิสัยของเขาไปโดยปริยาย ในช่วงที่หวังเป่าเล่อฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีนี้ กลายเป็นว่าอารมณ์ของเขาลดความแปรปรวณลง แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ดูห่างเหินขึ้นกว่าที่เขา แต่ทว่าบัดนี้เขากลับเย็นชายิ่งนัก


ชายหนุ่มเปลี่ยนไปมากเสียจนเจ้าลาตัวสั่นและจ้องมองเขาด้วยความกลัว ในทันใดนั้น หวังเป่าเล่อผู้รู้สึกงุนงงก็โบกมือขวาครั้งหนึ่ง ซากหนูเพลิงนรกที่เขาลากมาด้วยก็สลายกลายเป็นฝุ่นและร่วงหล่นลงไปในทะเลเพลิง หลังจากนั้นเขาจึงยกมือขวาขึ้นกำแน่น เกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่ล้อมกายเขาอยู่เปล่งแสงสีแดงฉายก่อนจะหดตัวลงอย่างรวดเร็ว


ดูราวกับว่าเกราะที่ล้อมกายหวังเป่าเล่ออยู่นั้นค่อยๆ แยกชิ้นส่วนและสลายกลับไปเป็นเส้นเลือดและจุดตันเถียนที่สร้างขึ้นมาจากปราณวิญญาณและโลหิตสีแดงสด จุดตันเถียนเหล่านั้นค่อยๆ ไหลคืนเข้าไปในกายหวังเป่าเล่อ เข้าไปรวมตัวกันที่หัวใจเขา ก่อนจะเรียงตัวกันเป็นตรารูปข้าวหลามตัดสีเลือดบนหัวใจอีกครั้ง


กายเนื้อที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อมาปรากฏต่อหน้าเจ้าลาอีกครั้งหลังจากที่เกราะมลายหายไป เจ้าลาหยุดตัวสั่น มันชูคอขึ้น ดวงตาของมันฉาบเคลือบไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ก่อนที่จะวิ่งเร็วจี๋เข้ามาอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ ก่อนจะใช้ศีรษะถูไถขาของชายหนุ่มอยู่ไปมา สีหน้าของมันแสดงความเป็นมิตรอันคุ้นเคยอีกครา


หวังเป่าเล่อเอื้อมมือไปลูบศีรษะเจ้าลา เมื่อเก็บชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเป็นแล้ว ชายหนุ่มก็เก็บกดเอาความป่าเถื่อนและกระหายเลือดในใจลงไปด้วย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง


“มา ไสหัวไป กลับบ้านกันเถอะ!” ขณะที่พูดไป หวังเป่าเล่อก็ออกเดินนำไปด้วย เจ้าลาส่งเสียงร้องดังก่อนจะเดินตามมาอย่างรื่นเริง ทั้งคนทั้งลาก็พากันเร่งฝีเท้าออกไปให้พ้นบริเวณทะเลเพลิง พวกเขาออกมาพ้นบริเวณนั้นตอนค่ำมืด ก่อนจะรีบรุดไปยังเกาะเพลิงเขียวในทันที!


เมื่อกลับมาถึง หวังเป่าเล่อก็นั่งลงขัดสมาธิในถ้ำที่พักก่อนจะเริ่มจัดแจงตนเองและระดับพลังปราณ เพื่อให้ทั้งสภาพจิตใจและปราณวิญญาณอยู่ในระดับสูงสุด ชายหนุ่มปล่อยใจจิตใจค่อยๆ สงบลงเพื่อรอรับวันแห่งการทดสอบที่กำลังจะมาถึง


ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบเชียบ


เช้าวันถัดมา ทันทีที่พระอาทิตย์ฉายแสง ระฆังจำนวนมหาศาลที่รายล้อมสำนักวังเต๋าไพศาลก็เริ่มสั่นขึ้นพร้อมกัน เสียงระฆังดังสะท้อนไปทั่ว ชัดเจนว่าดังมาจากวัตถุเวทลึกลับชนิดหนึ่ง เสียงระฆังนั้นสะท้อนไปไกลถึงครึ่งหนึ่งของด้ามกระบี่ ยิ่งห่างออกไปเสียงระฆังก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ แต่บนเกาะเพลิงเขียวที่ตั้งอยู่ใกล้กับเกาะหลัก ทำให้หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงระฆังชัดเจนแม้ว่าจะทำสมาธิอยู่ในถ้ำที่พักก็ตาม


ดวงตาของชายหนุ่มค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ตามจังหวะการดังของระฆัง นัยน์ตาของเขาส่องประกาย ขณะที่หวังเป่าเล่อลุกขึ้นยืนและเดินออกจากถ้ำที่พัก ประกายบนดวงตาก็ค่อยๆ จางไป ก่อนที่เขาจะอ้าปากร้องเรียกอย่างขี้เกียจ


“ไสหัวไป มาหาข้าเร็ว บิดาจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่น”


ลาดูไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ทว่ามันก็ไม่กล้าขัดคำสั่งหวังเป่าเล่อจึงทำได้เพียงวิ่งมาหาแม้จะคอตก ก่อนที่มันจะได้ส่งเสียงร้องประท้วง หวังเป่าเล่อก็จับตัวมันโยนเข้าใส่กระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะหมุนตัวหนึ่งครั้งและแปลงกายเป็นสายรุ้งที่พุ่งตัวไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด


ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มุ่งหน้าปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้เข้าแข่งขันจากเกาะต่างๆ รอบๆ เกาะหลักก็พากันทยอยเดินทางมาทันทีที่ได้ยินเสียงระฆัง ผู้ฝึกตนที่ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวนมากก็เดินทางมาเช่นกัน ไม่มีใครอยากพลาดงานใหญ่เช่นนี้ด้วยประการทั้งปวง


ทุกๆ คนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หลายคนก็ตั้งกลุ่มขึ้นและพากันแลกเปลี่ยนข้อความเสียงขณะที่กำลังเดินทาง เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดคุยเรื่องการทดสอบที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างออกรส


ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันที่จัตุรัสสาธารณะบนยอดเขาสำนักวังเต๋าไพศาลหนาตาขึ้นทุกขณะ ผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนหลายร้อยพากันจ้องมองไปยังบรรดาผู้ชมด้านนอกที่มีจำนวนมากกว่าพวกเขาหลายต่อหลายเท่า ทุกคนต่างก็พากันพูดคุยถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ดูเหมือนว่าผู้เข้าร่วมทดสอบอาจจะยังควบคุมตนเองได้ดีกว่า เพราะว่าเมื่อถูกจับจ้องด้วยสายตานับหมื่นคู่นั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมจะต้องเตะตาอย่างช่วยไม่ได้


บรรดาผู้ชมรอบข้างนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเท่าใดนัก เป็นเหตุให้ทุกต่างถกเถียงกันอย่างตื่นเต้นด้วยเสียงอันดัง หวังเป่าเล่อได้เสียงขู่คำรามของคนทันทีที่เขาเข้ามาในบริเวณปริมณฑลของเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล


“ข้าสงสัยอยู่ว่าตู้กูหลินจะติดอันดับหนึ่งในสามไหมครั้งนี้”


 “ตู้กูหลินข้าไม่แน่ใจนัก แต่ข้าเชื่อมั่นว่าศิษย์พี่สวีหมิงจะต้องทำได้แน่นอน!”


“ใครสนใจสวีหมิงกันเล่า ศิษย์พี่ของข้าโจวซู่เต๋าจะขยี้สวีหมิงและลู่หยุ่นด้วยนิ้วมือเดียว!” เสียงการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเช่นนั้นยังคงดังก้องไปทั่ว หวังเป่าเล่อมองมาจากที่ไกลแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ชายหนุ่มหันหน้าหนีและพุ่งตัวไปยังจัตุรัสสาธารณะบนยอดเขา


ผู้เข้าร่วมทดสอบราวร้อยละแปดสิบมาถึงเรียบร้อยแล้ว มีอยู่ราวห้าร้อยคนที่ยืนจับกลุ่มกันตามฝ่ายของตน ผู้ที่อยู่ภายใต้เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน และโยวหรันต่างก็มีพื้นที่เป็นของตนเอง หวังเป่าเล่อมองปราดเดียวก็รีบเดินเข้าไปร่วมกับกลุ่มของเฟิ่งชิวหรัน


ไม่ค่อยมีสนใจการมาถึงของชายหนุ่มเท่าใดนัก แม้ว่าจะมีคนมองเห็นเขามาถึงบ้าง แต่ก็เพียงแค่มองผ่านๆ เท่านั้น


หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มหาที่ว่างๆ ยืนก่อนจะหันหน้ามองไปรอบๆ ไม่นานนักก็มองเห็นกงเต๋า ทั้งคู่สบตากันก่อนจะเดินเข้าหากันทันที


ทันใดนั้น ทุกๆ คนรอบๆ กายของทั้งสองก็ส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ เสียงโห่ร้องสนับสนุนดังก้องมาจากด้านนอกและจากในจัตุรัสสาธารณะ เสียงนั้นดังมาจากกลุ่มของเมี่ยเลี่ยจื่อ


 “ศิษย์พี่ใหญ่ของเรากลับมาแล้ว!”


“ศิษย์น้องคารวะพี่ใหญ่ตู้กูหลิน!


ใครบางคนเดินทางมาทางอากาศท่ามกลางเสียงโห่ร้อง บุรุษผู้นั้นใส่ชุดดำสนิท สายลมตีผมยาวปลิวสยาย และดวงตาของเขาก็เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ ชายคนนั้นก็ก้าวเดินผ่านเข้ามาอย่างไร้อารมณ์ไปทางกลุ่มของเมี่ยเลี่ยจื่อ เมื่อเขาเดินผ่านกลุ่มผู้ฝึกตนของเมี่ยเลี่ยจื่อ สายตาของผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็ลุกโชนด้วยความชื่นชมและหึกเฮืม


ศิษย์เอกเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ…ตู้กูหลิน! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สองเท่านั้น ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเทียบพลังการยุทธของตัวเขาและอีกฝ่ายอยู่ในใจ กงเต๋าก็เดินมาประชิดตัว


“เป่าเล่อ ข้าหารายละเอียดกฎกติกาของการทดสอบเพิ่งไม่ได้เลย” กงเต๋ากระซิบทันทีที่เขาเข้ามาในระยะได้ยิน หวังเป่าเล่อพยักหน้า ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้แล้ว เรื่องเดียวที่เขาเสียดายอยู่เล็กน้อยก็คือการหายตัวไปอย่างปุบปับของเซี่ยไห่หยาง เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย เพียงแค่ไม่ได้รับคำตอบจากเซี่ยไห่หยางเลยตั้งแต่ก่อนหน้านี้


บางทีเซี่ยไห่หยางอาจจะเปิดเผยข้อมูลไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ หวังเป่าเล่อคิดขณะที่เสียงโห่ร้องดังเซ็งแซ่ขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มได้ยินเสียงคารวะศิษย์พี่สวีและศิษย์พี่ลู่อยู่ไปมา หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้น ไม่เพียงแต่เขาจะเดาได้ว่าผู้มาใหม่เป็นใครเท่านั้น ชายหนุ่มยังมองเห็นพวกเขาอีกด้วย!


ทั้งสองก็คือสวีหมิงผู้งดงามราวกับสตรีและลู่หยุนผู้กำยำ ทั้งคู่คือศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรันและอัจฉริยะที่แท้จริงแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล จะเปรียบว่าพวกเขาเป็นเจ้าชายก็คงไม่ผิดนัก ทั้งคู่แตกต่างกับตู้กูหลินผู้เย็นชา ต่างพากันทักทายฝูงชนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม พลางพยักเพยิดทักทายขณะที่เดินผ่านกลุ่มศิษย์ของเฟิ่งชิวหรัน ทำให้เกิดเสียงสนับสนุนดังขึ้นอีกครั้ง


หวังเป่าเล่อและกงเต๋าเหมือนเป็นเพียงวัชพืชในสายตาพวกเขา ตัวตนของพวกเขาเลือนลางราวกับว่าเป็นเพียงภาพวาดบนกำแพงที่ตกแต่งฉากให้กับเจ้าชายทั้งสองเท่านั้น หลังจากตู้กูหลิน สวีหมิงและลู่หยุนมาถึง ผู้ฝึกตนอีกจำนวนมากก็มาถึงเช่นกัน เจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏตัวขึ้นจากเส้นขอบฟ้าไกลๆ นางมองเห็นหวังเป่าเล่อและกงเต๋าจึงพุ่งตัวลงมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว


ในฐานะสามผู้ฝึกตนตัวแทนสหพันธรัฐ ก็มีคนสนใจพวกเขาอยู่บ้างเช่นกันเมื่อพวกเขามายืนรวมกลุ่มกัน หยุนเพียวจื่อเป็นหนึ่งในนั้น


ในฐานะของหนึ่งในผู้ฝึกตนจากกลุ่มของโยวหรัน เขาส่งยิ้มให้หวังเป่าเล่อเมื่อมองเห็นชายหนุ่มจากระยะไกล สายตาเขาเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ หวังเป่าเล่อเห็นรอยยิ้มนั้นจึงผงกศีรษะตอบ ชายหนุ่มกำลังจะส่งข้อความเสียงไปถามอีกฝ่ายว่าได้ข่าวใดๆ มาเพิ่มบ้างไหมก่อนที่ทุกคนจะส่งเสียงดังอีกครั้ง ผู้มาถึงใหม่คราวนี้เป็นคู่บุรุษและสตรี พวกเขาก็คือศิษย์เอกของโยวหรัน…


โจวซู่เต๋าและหวงหยุนซาน!


นอกจากจะเป็นศิษย์เอกของโยวหรันและพวกเขายังเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋ากันอีกด้วย มีเรื่องซุบซิบที่วนเวียนอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล พูดถึงคู่รักคู่หนึ่งที่ฝ่ายชายรูปร่างหน้าตาธรรม ดูละม้ายคล้ายกับชาวนา ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้นงดงามราวกับประกายแวววาวของดอกไม้ พวกเขาไม่ได้ดูสมกันเลยแม้แต่น้อย ตู้กูหลินผู้ซึ่งหลับตาอยู่เมื่อสวีหมิงและลู่หยุนมาถึง ตอนนี้ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังโจวซู่เต๋า มีประกายของความริษยาปรากฏขึ้นในดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้น


ดูราวกับว่า นอกจากโจวซู่เต๋าแล้วตู้กูหลินเห็นคนอื่นเป็นเพียง…ขยะที่ไม่มีค่าพอจะได้รับการโจมตีจากเขาเสียด้วยซ้ำ!


บทที่ 557 มาเริ่มกันเลย!

Ink Stone_Fantasy

โจวชู่เต๋ารู้สึกถึงสายตาของตู้กูหลินที่จ้องมองมา จึงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางลอบถอนใจอยู่เงียบ หากไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์ไหว้วานขอให้เข้าร่วมแล้ว ตัวเขาเองก็คงไม่มาร่วมการทดสอบนี้เป็นเด็ดขาด


ข้าทำแบบนี้กับตนเองไปเพื่ออะไรกัน…โจวชู่เต๋าส่ายศีรษะไปมา ชายหนุ่มดูละม้ายคล้ายชาวนา เขาหลังค่อมเล็กน้อย ทำให้ยิ่งดูสุดแสนจะธรรมดาขึ้นไปอีก ในขณะที่เนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา หวงหยุนซานนั้น ส่องประกายรายกับดวงดาวในท้องนภา ความงามของนางช่างจับตายิ่งนัก นางดูงามจับใจโดยไม่ต้องพยายาม ทำเอาผู้ฝึกตนหลายคนหัวใจเต้นแรงแบบไม่อาจจะคุมตัวเองได้อยู่ หวงหยุนซานไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามร้ายกาจเท่านั้น นางยังมีรูปร่างทรวดทรงที่อ่อนช้อย เอวบางของนางขยับไหวเป็นจังหวะขณะที่นางเดิน ทำเอาผู้คนที่เฝ้ามองดูก็รู้สึกปั่นป่วนไปตามๆ กัน


กงเต๋าเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะลอบมองนางอยู่หลายหน…


ใบหน้าของโจวชู่เต๋าขึงขังเมื่อมองเห็นสายตาของชายหนุ่ม เขาโคลงศีรษะไปพลางขณะที่กำลังเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาไปยังกลุ่มของโยวหรัน โจวชู่เต๋าเลือกที่จะหลับตาเพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็น เป็นการหนีความหงุดหงิดรำคาญใจ


หวังเป่าเล่อก็จ้องมองรูปร่างของหวงหยุนซานอยู่เช่นกัน แต่ทว่าต่างกับกงเต๋าตรงที่ ไม่นานนักสายตาของชายหนุ่มก็เลื่อนไปจับที่โจวชู่เต๋าแทน แม้ว่าเขาจะดูธรรมๆ แต่หวังเป่าเล่อก็เชื่อในสัญชาติญาณของตนเอง เขาสัมผัสได้ถึงวิญญาณปราณจากร่างของโจวชู่เต๋าอย่างชัดเจน พลังที่ตาเนื้อของคนอื่นๆ มองไม่เห็น!


สำนักแห่งความมืดเรียกสิ่งนี้ว่าวิญญาณปราณ เป็นหน่วยวัดสำหรับผู้ที่สังหารผู้คนมามากมาย ทำให้ตัวตนนั้นแปดเปื้อนไปด้วยวิญญาณอาฆาต หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงวิญญาณปราณที่แรงกล้าจากบนร่างของโจวชู่เต๋า แม้ว่าภายนอก ศิษย์เอกผู้นั้นจะมีหลังโก่งงอและวิธีการวางตัวของเขาอาจจะดูเหมือนเป็นคนดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว…จากการคาดคะเนของหวังเป่าเล่อ ชายผู้นี้ได้มีโลหิตของคนจำนวนนับไม่ถ้วนเปื้อนมืออยู่


น่าสนใจทีเดียว ข้าคิดไปว่าตู้กูหลินเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาศิษย์เอกสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่คิดเลยว่ายังมีโจวชู่เต๋า ผู้ที่เชี่ยวชาญในการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนอยู่อีก! หวังเป่าเล่อจมดิ่งลงไปในความคิด ระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ทุกสรรพชีวิตในจัตุรัสสาธารณะเงียบเสียงลง ทำให้บรรดาผู้ชมพากันเงียบไปด้วย


หวังเปาเล่อละสายตาออกมาแล้วหันมายืนเคียงข้างเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า ระฆังดังอยู่เก้าครั้งท่ามกลางความเงียบสงัด ประตูที่มุ่งหน้าสู่โถงใหญ่ตรงหน้าของพวกเขาเปิดออก ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสิบสองคนเดินออกมา!


บรรดาศิษย์เอกมองตรงไปข้างหน้าอย่างเคารพเมื่อคนเหล่านั้นเดินออกมา บรรดาผู้ฝึกตนพากันไปตั้งแถวสองแถวรับก่อนจะเปล่งเสียงทักทาย


“คารวะท่านผู้อาวุโส!” ขณะที่เสียงของพวกเขายังสะท้อนก้องไปในอากาศ ทุกๆ คนทั้งในและนอกจัตุรัสสาธารณะต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำเพื่อทำความเคารพไปยังโถงใหญ่ เฟิ่งชิวหรันอยู่ตรงกลาง เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ด้านซ้าย และโยวหรันทางขวา ผู้อาวุโสทั้งสามย่างกรายออกมาจากโถงใหญ่อย่างช้าๆ!


คลื่นพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแผ่ออกมาจากกายของทั้งสาม สายลมแปรปรวน ก้อนเมฆก็เปลี่ยนแปร ท้องฟ้าแปรสภาพไปในขณะที่มีพายุหมุนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในกลางอากาศ ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่นราวกับสามารถจะกวาดกลืนเอาทุกสิ่งที่ขวางทางให้หายไปได้สิ้น บรรดาศิษย์ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับพลังตรงหน้า


หวังเป่าเล่อรวบรวมพลังวิญญาณที่อยู่รอบกาย ก่อนจะก้มศีรษะลงทำความเคารพเช่นกัน เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อดังก้องสะท้อนไปทั่วจัตุรัสสาธารณะ


“ศิษย์อันดับสูงสุดสามคนจากการทดสอบนี้จะได้รับใบของต้นไฮยาซิน และได้รับสิทธิในการเข้าสู่ตำหนักวังบูชาและจารึกชื่อเอาไว้บนแท่นสลักเต๋า เท่ากับว่าได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาล!”


 “ศิษย์ผู้ที่ได้สลักชื่อลงบนแท่นสลักเต๋าจะได้รับสถานะที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาจะสามารถใช้ตราประจำตัวในการควบคุมวงแหวนปราณที่ยิ่งใหญ่แห่งกระบี่โบราณได้ระดับหนึ่ง ผู้ที่มีชื่อสลักอยู่บน…แท่นสลักแห่งเต๋าเท่านั้นจึงจะได้ชื่อว่า…เป็นผู้ฝึกตนแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างแท้จริง!” เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อทั้งหนักแน่นและเด็ดขาด ดังกังวาลไปทั่วจัตุรัสสาธารณะ และความบ้าเลือดที่แฝงอยู่ในแต่ละถ้อยคำนั้นทำให้ไม่มีผู้กล้าจะท้าทายคำสั่งของเขา


เฟิ่งชิวหรันยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว โยวหรันยืนยิ้มอยู่อีกข้าง ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสามตกลงเรื่องนี้กันมาก่อนหน้านี้แล้ว เมี่ยเลี่ยจื่อจะเป็นผู้กำกับการทดสอบ แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะอึกอักอยู่บ้างในตอนต้น แต่นางก็ได้ตกปากรับคำไปแล้ว พวกเขาคงได้ตกลงต่อรองกันมาเสร็จเรียบร้อย


เมื่อเมี่ยเลี่ยจื่อพูดจบนัยน์ตาของเขาลุกโชนเป็นประกายกล้า เสียงของเขาแผ่วเบาลง แต่เมื่อชายชราเปิดปากพูดอีกครั้งก็ฟังดูเหมือนกันว่าเขากำลังร่ายมนต์


“การทดสอบนี้จะเกิดขึ้น…ในวงแหวนปราณขนาดย่อมที่เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนปราณที่ยิ่งใหญ่ของสำนักของเรา วงแหวนปราณแห่งความเป็นไปได้ไร้ที่สิ้นสุด กฎกติกามีตามนี้…จงฟังอย่างตั้งใจเพราะข้าจะไม่พูดซ้ำ!”


ทันทีที่เมี่ยเลี่ยจื่อพูดเช่นนั้น ผู้เข้าทดสอบทุกคนก็หันหน้าไปจ้องมองเขาทันทีอย่างตั้งใจ หวังเป่าเล่อทำใจให้สงบก่อนจะจ้องมองไปอย่างตั้งใจเช่นกัน กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็เงี่ยหูฟังอย่างมีสมาธิ


กฎการทดสอบนั้นสำคัญยิ่ง หากไม่มีกติกาบังคับ การทดสอบก็ดูจะไม่ยุติธรรมนัก  เพราะอย่างไรเสียในบรรดาผู้เข้าร่วมหกร้อยคนต่างก็อยู่ในขั้นการฝึกตนที่ต่างกันไปในขั้นกำเนิดแก่นใน


แม้ว่าจะไม่รู้กติกามาก่อน หวังเป่าเล่อก็คาดเดาว่ากฎน่าจะตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าในระดับหนึ่ง ทำให้ดูเผินๆ แล้วเหมือนว่าการทดสอบจะยุติธรรม อันที่จริงแล้ว…ก็เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะชนะ!


ทุกๆ คนไม่ว่าจะในหรือนอกจัตุรัสสาธารณะก็พากันเงี่ยหูฟังเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างตั้งใจ น้ำเสียงเย็นชาของเขาดังสะท้อนไปในอากาศ


 “เมื่อพวกเจ้าทั้งหกร้อยคนเข้าไปยังสถานที่ทดสอบแล้ว พวกเจ้าจะได้รับกุญแจคนละดอกที่สร้างขึ้นโดยวงแหวนปราณนั้น!


“ทุกๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือก็คือทุกๆ วัน วงแหวนปราณจะเปิดการเคลื่อนย้ายที่จะส่งผลกับบริเวณทั้งหมดที่ใช้ในการทดสอบ ผู้ที่ถือกุญแจอยู่จะสามารถสังเวยกุญแจเพื่อหลบเลี่ยงการถูกเคลื่อนย้ายได้ ผู้ที่ไม่มีกุญแจก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากบริเวณนั้นและถูกตัดสิทธิการทดสอบทันที!”


เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อดังฟังชัด ทุกๆ คนต่างก็ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ แต่หลังจากที่ได้ยินกฎทั้งหมดแล้ว อารมณ์ความรู้สึกนับไม่ถ้วนก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขา ก่อนที่ต่างคนต่างก็หันหน้าพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน


หวังเป่าเล่อและพวกไม่เคยพบกฎเช่นนี้มาก่อน แม้แต่บรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลก็ไม่เคย พูดให้ง่ายก็คือเป็นการทดสอบที่เน้นการคัดออก สำหรับพวกที่หัวไวก็รู้ได้ทันทีว่ากฎนี้โหดหินเพียงใด


“การทดสอบภายใตกฎเช่นนี้สาหัสแน่นอน!”


 “นอกจากความแข็งแกร่งและจุดอ่อนของแต่ละคนแล้ว ข้าพอจะจินตนาการได้ว่าการปกป้องกุญแจของตนเองและแย่งกุญแจของผู้อื่นมาจะต้องสำคัญยิ่งในการเอาชนะในการทดสอบนี้!”


“ทุกๆ การเคลื่อนย้ายจะกินกุญแจหนึ่งดอก แปลว่าจำนวนกุญแจก็จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ…หากไม่มีใครสู้กัน กุญแจทั้งหมดก็จะหายไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง! แต่ไม่มีเป็นไปได้แน่นอน!”


สวีหมิงและลู่หยุนหน้านิ่วคิ้วขมวด พวกเขาไม่รู้เรื่องกฎนี้มาก่อนและคิดว่าการเปลี่ยนแปลงกฎในครั้งนี้รุนแรงเกินไป หวงหยุนซานก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นางมีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะหันไปปรึกษากับโจวชู่เต๋าอยู่เงียบๆ มีเพียงตู้กูหลินเท่านั้นที่นิ่งเฉย สีหน้าของเขายังคงเย็นชาเช่นเดิม ราวกับว่าไม่ใช่ใจกับกฎใหม่เอาเสียเลย


หวังเป่าเล่อก็ครุ่ดคิดเช่นกันหลังจากที่ได้ยิน เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างเขามีสีหน้าเคร่งเครียด นางประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว กฎนี้เป็นการส่งเสริมแนวคิดว่าผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด ช่างใกล้กับที่นางคาดคิดไว้แต่ก็แตกต่างไปในเวลาเดียวกัน


“มีปัจจัยเรื่องโชคชะตาที่ถูกเพิ่มเข้ามาในการทดสอบผ่านกฎนี้ด้วย ผู้เข้าร่วมที่อ่อนแอกว่าก็จะมีวิธีชนะเพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีตัวอันตรายอยู่และพวกเขาจะต้องเริ่มต่อสู้อย่างดุเดือดแน่นอน!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ ในข้อความเสียงที่ส่งไปให้หวังเป่าเล่อและกงเต๋า


กงเต๋าพยักหน้า เขาเองก็ขมวดคิ้วอยู่เช่นกัน ขณะที่กงเต๋ากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดคำนวนสถานการณ์ไว้ดีแล้ว กฎกติกานั้นทั้งสำคัญและไร้ค่าในเวลาเดียวกัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก เพราะในท้ายที่สุดทุกๆ อย่างก็ขึ้นอยู่กับกฎง่ายๆ ข้อเดียว…ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมชนะ!


ทุกๆ คนต่างก็ถกเถียงกันอยู่ไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้เข้าร่วมในจัตุรัสสาธารณะก็ถกเถียงกับอยู่วุ่นวาย นัยน์ตาของเมี่ยเลี่ยจื่อเย็นชาขึ้น


“เงียบเสียง!” ชายชราตะโกน เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ก่อนจะตบท้ายเสียงกัมปนาทที่ครั่นครืนและดังก้องสะท้อนไปในอากาศ ทุกๆ คนตัวสั่นและเงียบเสียงลงทันที


“กฎมีเท่านั้น การเคลื่อนย้ายจะหยุดลงเมื่อมีพวกเจ้าเหลือสามคนหรือน้อยกว่า และการทดสอบก็จะจบลงทันที เมื่อมีผู้เข้าร่วมเหลือสามคนเมื่อใด แต่ละคนก็จะได้รับใบต้นไฮยาซินคนละใบ หากเหลือสองคนก็จะได้รับใบไม้คนละใบแล้วค่อยตัดสินใจกันว่าจะทำอย่างไรกับใบที่เหลือ หากเหลือคนเดียว…คนๆ นั้นก็จะได้รับใบไฮยาซินไปทั้งสิ้นสามใบ!”


 “เริ่มการเคลื่อนย้ายได้ ณ บัดนี้!” หลังจากที่พูดจบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยกมือขวาขึ้นกวาดทันที พายุหมุนขนาดยักษ์บนฟ้าเมื่อครู่ก็ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะปล่อยเอาพลังดูดกลืนที่รุนแรง ที่ดูดเอาผู้เข้าร่วมทั้งหกร้อยคนบนจัตุรัสสาธารณะเข้าไปทันที!


การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)