หมอดูยอดอัจฉริยะ 550-555
ตอนที่ 550 ใต้สุสานมีสุสาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชี่ของศพมีเพียงคนเพิ่งตายเท่านั้นถึงจะปรากฏ รอจนกระทั่งเนื้อหนังเน่าเปื่อยแล้ว จะมีแบคทีเรียทำให้เกินชี่ของศพจากนั้นก็จะค่อยๆ สลายไป ต้องทราบก่อนว่าแบคทีเรียนั้นไม่มีตัวนำพาหะ เหมือนกับที่ก็สูญเสียช่องทางในการมีชีวิตอยู่
โก่วซินเจียเคยเห็นชี่ของศพพวกนั้นกับตา แค่มองเขาก็แยกแยะออก คนพวกนี้ตอนที่ตายนั้นน้อยที่สุดก็มีห้าสิบปีขึ้นไป ไม่สามารถจะหลงเหลือชี่ของศพอยู่ได้เลย
“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่ใหญ่พูดไม่ผิด ตอนนั้นที่หน้างานฉันก็ดูแล้ว ศพคนตายพวกนั้นตอนนี้ไม่มีการเผา หากนายไม่เชื่อ ฉันสามารถพาไปดูที่ห้องเก็บศพได้”
จั่วเจียจวินนั้นก็ไม่ค่อยอย่างจะเชื่อในการวินิจฉัยของเยียเทียน คนที่ตายมาเป็นสิบปีจะยังมีชี่ของศพหลงเหลืออยู่ นั่นแสดงว่าโลกนี้มีวิญญาณจริง ๆ แล้ว
“ศิษย์พี่รอง ที่ผมพูดไม่ได้หมายถึงศพคนตายพวกนั้น”
เยี่ยเทียนส่ายหัว กล่าวว่า “ศพคนตายพวกนั้นถูกฝังอย่างรีบๆ แน่นอนว่าจะต้องไม่มีชี่ของศพหลงเหลืออยู่ แต่ว่าด้านล่าง นั้นจะต้องมีสุสานอยู่แน่!”
“อะไรนะ นี่..นี่เป็นไปไม่ได้หรอก”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินพลันก็ตะลึงตาถลน แน่นอนว่าขัดกับหลักการปกติ
ต้องทรางก่อนว่าปกติแล้วสุสานนั้นจะอยู่ลึกลงไปประมารหนึ่งเมตร นอกเหนือจากฮ่องเต้ในสมัยโบราณ ก็จะเป็นพวกขุนนางผู้ใหญ่ แต่ก็จะไม่เกินประมาณสามเมตร
แต่สถานที่นั้นที่นั้นหลุมลึกที่เจอศพ ความลึกถึงสามเมตรหนึ่งแล้ว ในตอนฮ่องกงเมื่อสมัยโบราณเป็นเพียงสถานที่ห่างไกล ไม่มีทางมีสุสานกษัตริย์มาสร้างอยู่ทีนี่ได้
เยี่ยเทียนไม่ได้อธิบายเพิ่มแต่มองไปทางจั่วเจียจวิน ถามว่า “ศิษย์พี่รอง ตอนนั้นเมื่อโครงกระดูกเหล่านั้นถูกนำขึ้นมาแล้ว พี่ไปดูที่หน้างานแล้วรึเปล่า ดินเก่ากับดินใหม่พี่น่าจะแยกออกนะ”
ที่เยี่ยเทียนกล่าวถึงดินเก่านั้น ก็คือเป็นคำศัพท์เฉพาะทางของโบราณคดี ความหมายก็คือดินที่เคยถูกขุดมาก่อน ปกติถูกคนโบราณนั้นทำการพลิกหน้าดินมาก่อน ด้านล่างของดินเก่า มักจะมีสุสานอยู่
เหมือนกับเสียมลั่วหยางที่คนขุดสุสานคิดค้น สามารถนำดินที่อยู่ลึกสิบเมตรขึ้นมาอยู่ด้านบนได้ พวกเขาอาศัยดินพวกนี้ในการพิจารณาว่ามีสุสานอยู่หรือไม่
ในทางของฮวงจุ้ยแล้วจะต้องเกี่ยวข้องกับสุสานแน่นอน ในฐานะอาจารย์ฮวงจุ้ย จั่วเจียจวินแน่นอนว่าจะต้องเข้าใจมีความรู้ในการแยกแยะดิน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงถามแบบนี้
“วันนั้นมีฝนตก ตอนที่ฉันไปถึง ก็ยุ่งอยู่แต่กับการย้ายโครงกระดูกพวกนั้น แต่ไม่ได้สังเกตคุณภาพของดิน”
เมื่อได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าวแบบนี้ จั่วเจียจวินสีหน้าก็แดงเห่อ นี่เป็นความผิดพลาดของเขา เพราะไม่ได้คิดไปถึงว่าด้านล่างนั้นจะยังมีสุสานอยู่อีก
“เยี่ยเทียน ต่อให้ด้านล่างมีสุสาน แต่ในตอนที่ก่อสร้างนั่นจะต้องนานกว่าที่ฝังกระดูกพวกนั้น ด้านล่างคงไม่มีคนทำให้เกิดชี่ของศพได้หรอก”
โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวต่อว่า “และคนเดียวทำให้เกิดชี่ของศพ ไม่สามารถทำอันตรายอะไรกับพวกคนหนุ่มพวกนั้นได้ นายอย่าบอกว่าด้านล่างมีการขโมยศพนะ ศิษย์พี่ไม่เชื่อเรื่องนี้”
โก่วซินเจียตั้งแต่เกิดมาเห็นอะไรต่อมิอะไรมามาก ที่บอกว่าเซียงซีศพเดินได้และเหมาซานเลี้ยงศพและอื่นๆ นั้นเขาเคยพบมาหมดแล้ว สุดท้ายก็เป็นพวกคนที่หาวิธีหลอกลวงจิตใจของคนอื่นท่านั้นเอง
“ขโมยศพนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่ แต่ว่าจะต้องมีสุสานอยู่แน่นอน เป็นจริงหรือไม่ พวกเราขุดไปก็จะรู้”
ถึงแม้ว่าตบะนั้นจะไม่แตกต่างกับโก่วซินเจีย แต่เยี่ยเทียนนั้นสัมผัสกับพลังธาตุทั้งหลายบนโลกนี้ยังน้อยกว่าศิษย์พี่ใหญ่อีกมาก
ในตอนแรกที่ยืนอยู่บริเวณหลุมลึกนั้น เยี่ยเทียนแอบสัมผัสได้ว่า ด้านล่างของหลุมลึกที่มีชี่พิฆาตลอยออกมา เมื่อเทียบกับพลังหยินจากธรรมชาติที่ทำให้เกิดชี่พิฆาตนั้นไม่เหมือนกัน
ในตอนั้นเยี่ยเทียนจึงใช้พลังลับจากสมองที่ได้รับมาพยากรณ์ ผลปรากฏว่า สถานที่นั้นกลายเป็นว่าเมื่อก่อนเป็นชีพจรมังกร แต่เป็นเพราะฮ่องกงถมทะเล ทำให้ชีพจรมังกรแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป
แน่นอนมีสถานที่ชีพจรมังกรเหมาะแก่การสร้างสุสานคนตาย จะต้องมีคนใช้ประโยชน์จากสถานทีนี้ ดังนั้นตอนนั้นเองเยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าด้านล่างมีสุสานอยู่อีก
รอจนกระทั่งได้พบกับคนที่ถูกชี่พิฆาตเข้าสู่ร่างกายในหมู่บ้านประมงแล้ว เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้จากร่างกายของเขาว่ามีพลังสายหนึ่งเหมือนกับหลุมบ่อน้ำลึกนั้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำการวินิจฉัยของตัวเอง
แต่สำหรับว่าทำไมร่างกายของศพที่อยู่ด้านล่างของบ่อน้ำนั้นไม่ย่อยสลายไปตามการเวลา เยี่ยเทียนกลับไม่สามารถให้คำตอบได้ มีเพียงแต่ขุดสุสานด้านล่างนั้นขึ้นมา จึงจะตอบข้อปัญหาที่มีอยู่ได้
จั่วเจียจวินและโก่วซินเจียมองกันเองหนึ่งที เห็นด้วยกับคำแนะนำของเยี่ยเทียน พวกเขาก็อย่างรู้ว่า ศิษย์น้องของพวกเขานั้นที่พูดมาเป็นความจริงหรือไม่
เยี่ยเทียนวันนี้เพิ่งมาจากปักกิ่ง และก็ยังวิ่งรอกไปที่หน้างานและหมู่บ้านประมง ตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงห้าโมงกว่าแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถลงมือได้ทันที เรื่องนี้ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว
รับประทานอาหารค่ำที่บ้านของจั่วเจียจวินแล้ว เยี่ยเทียนก็ขอเนื้อหมูชิ้นหนึ่ง หยิบเอาไปป้อนเต่าทะเลสีเขียวตัวนั้น เจ้าตัวนั้นทำเหมือนกับคน หลังจากทานอาหารที่เยี่ยเทียนป้อนเรียบร้อยแล้ว ก็พยักหน้าใส่เขา เหมือนกับว่าจะแสดงความขอบคุณ
เช้าวันที่สอง จั่วเจียจวินก็ขับรถพาผู้ชมทั้งหลายไปที่หน้างาน ในตอนที่ไปถึงที่นั่น ด้านข้างก็มีรถของก่อสร้างจอดอยู่หลายคัน
เพียงแต่ว่ารถพวกนั้นจอดห่างจากสถานที่ที่มีของทิ้งร้างอยู่สี่สิบห้าสิบเมตร คนขับและคนงานไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สถานที่ที่มีร้อยศพนั้น
“อาจารย์จั่ว ข้าวของพวกเราเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่า…แต่ว่าคุณดู พวกเราไม่เข้าไปได้มั๊ย”
จั่วเจียจวินเพิ่งจะจอดรถไว้ที่ข้างถนน ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าก็ออกมาต้อนรับ สีหน้านั้นลำบากใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าแม้แต่ตัวเอง ก๋ไม่กล้าเข้าใกล้สถานที่เลวร้ายนั้น
“ทำไม มีฉันอยู่ตรงนี้พวกนายยังกลัวอะไรอีก”
หลังจากจั่วเจียจวินได้ฟัง พลันก็ถลึงตา จะต้องสูบน้ำจากหลุมให้แห้ง ก่อนอื่นก็ต้องดึงสายท่อสูบน้ำไป คงไม่ได้หวังให้พวกเขาทำงานใช้แรงพวกนี้หรอกใช่มั๊ย
และยังมีศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องอยู่เป็นสามคมแบบนี้ อาศัยพลังกายจากในกายของพวกเขา ต่อให้สถานที่นี้มีชี่พิฆาตหนาแน่น ก็สามารถทำให้สลายไปได้มาก
“แต่…แต่ว่าอาจารย์จั่ว ต่อให้จ่ายเงินมากขนาดไหน พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปน่ะสิ”
หลังจากได้ฟังคำของจั่วเจียจวินแล้ว ชายวัยกลางคนนั้นก็เกือบจะร้องไห้ออกมา กัดฟันกล่าวว่า “อาจารย์จั่ว ไม่อย่างนั้นผมให้พวกเด็กยกเครื่องสูบน้ำมา ส่วนคนอื่นก็ให้ยืนอยู่ที่นั้นแหละ”
เห็นท่าทางลำบากใจของคนนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะและกล่าวว่า “โอเค คุณคนนี้ ให้พวกเขาเดินเครื่อง อย่างอื่นก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”
สถานที่ที่มีหยินพิฆาตนี้แน่นอนว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด ชี่พิฆาตที่ปล่อยออกมาจากหลุมนั้นชั่วร้ายมาก เกรงว่าเยี่ยเทียนและคนอื่น จะต้องกลายเป็นคนธรรดาที่เลือดลมไม่ดีแล้ว ไม่แน่ว่าหากไม่ระวังก็อาจจะถูกทำร้ายได้
และยังจะต้องหันกลับมาดูแลพวกเขาอีก นั่นก็ไม่เท่ากับทำเอง ยังไงเยี่ยเทียนและโจวเส้าเทียนก็อายุยังน้อย ทำงานใช้แรงหน่อยก็ไม่กระไร
“นี่…” ชายวัยกลางคนไม่ทราบว่าเยี่ยเทียนเป็นใคร ก็มองอย่างสงสัยไปที่จั่วเจียจวิน
จั่วเจียจวินพยักหน้า กล่าวว่า “ทำตามที่เขาบอกแล้วกัน กำลังของเครื่องสูบน้ำจะต้องมากหน่อย!”
“ได้ อาจารย์จั่ว คุณวางใจได้ เครื่องหนึ่งไม่พอละก็ผมจะเอามาอีกสองเครื่อง” ชายวัยกลางคนดีใจ รีบวิ่งกลับไป เรียกคนงานมาขนเครื่องสูบน้ำลงจากรถ
เยี่ยเทียนยยื่นมือไปรับปั๊มน้ำตัวหนึ่งมา ลองยกขึ้นมาดู แต่ปากก็ไม่วายกล่าวว่า “โถ่เอ๋ย เจ้าสิ่งนี้นี่ไม่เบาจริงๆ”
“นี่…เด็กคนนี้เป็นคนรึเปล่า”
ไม่พูดที่เยี่ยเทียนยกเครื่องสูบน้ำเดินไปยังบ่อน้ำ พวกคนงานพวกนั้นมองกันตาค้าง เพราะว่าปั๊มน้ำเครื่องนั้นเป็นตัวที่มีกำลังมากที่สุดในบริษัท น้ำหนักนั้นหนักประมาณ 240 กิโลกรัมได้
เมื่อซักครู่ตอนที่ยกเครื่องนี้ลงจากรถ ใช้คนงานที่รูปร่างแข็งแรงถึงแปดคน แต่ว่าเยี่ยเทียนใช่มือเดียวก็ยกขึ้นมาอย่างสบายก่อนเดินไป ทำให้พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก
“เส้าเทียน ดึงท่อมา!”
เมื่อเดินไปถึงข้างบ่อน้ำ เยี่ยเทียนก็นำปากทางน้ำเข้าของเครื่องสูบน้ำด้านหนึ่งใส่ลงไปในน้ำ จากนั้นก็ตะโกนเรียกโจวเส้าเทียน
“โอ้ มาแล้ว” โจวเส้าเทียนออกรับคำหนึ่ง ดึงท่อใหญ่ที่ม้วนเป็นวงกลมอยู่เดินเข้าไป เอาไปต่อเข้ากับปั๊มน้ำ
ในตอนที่เสียงของเครื่องสูบน้ำดังขึ้นนั้น ท่อทีเดิมราบเรียบก็พลันโป่งพองกลมขึ้นมา น้ำในบ่อน้ำก็ไหลผ่านท่อออกมาไม่หยุดไปยังถนนฝั่งตรงข้าม
“ไม่ได้ ช้าไป ไปเอาปั๊มน้ำมาอีกสองตัว”
ยืนมองระดับน้ำที่ลดลงในบ่อน้ำอยู่พักใหญ่ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว หากตามความเร็วนี้ รอจนน้ำในบ่อถูกสูบออกหมดเกรงว่าจะเป็นตอนค่ำแล้ว
จั่วเจียจวินนั้นไม่ขัดคำของเยี่ยเทียน พลันก็เรียกชายวัยกลางคนมา กำชัดให้ไปเอาปั๊มน้ำมาอีกสองเครื่อง
ปั๊มน้ำสามเครื่องที่มีกำลังมากทำงานพร้อมกัน น้ำที่ขังในบ่อน้ำมองด้วยตาแล้วก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันถึงตอนเที่ยง ก็ปรากฏก้นบ่อออกมาให้เห็น
“ทำไมอากาศนี่พลันก็เย็นขึ้นมากันนะ”
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นตอนกลางวันพอดี แต่ว่ายืนอยู่รอบบ่อลึก โจวเส้าเทียนที่ตะบะอ่อนด้อยและเหลี่ยวติ้งติ้งก็ยังคงรู้สึกถึงไอเย็นเยียบเข้ากระดูก เหมือกนับว่าหลุมด้านล่างเป็นปากทางเข้าประตูนรกก็ไม่ปาน
หลังจากปรับตำแหน่งของเครื่องดูดน้ำ และสูบน้ำจนไม่เหลือซักหยดแล้ว เยี่ยเทียนก็พับแขนเสื้อและกางเกงเห็นว่าเยี่ยเทียนจะลงไปด้วยตัวเอง โจวเส้าเทียนก็กล่าวอาสาอย่างแข็งขันว่า “อาจารย์ ให้ผมไปเถอะ ผมเด็กกว่าคุณ!”
“ไสหัวไป ฉันอายุมากกว่านายแค่ไม่กี่ปีเอง”
เยี่ยเทียนถูกคำพูดของลูกศิษย์ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่งเท้าออกไปสัมผัสกับก้นของโจวเส้าเทียนเบาๆ กล่าวว่า “หยิบพลั่วเหล็กมา นายกับติ้งติ้งกลับไปแล้วยืนอยู่ให้ไกลหน่อย”
สุสานด้านล่างนั้นไม่ปรากฏออกมา แต่หยินพิฆาตที่ปล่อยออกมานั้นก็หนาแน่นมาก เยี่ยเทียนกลัวลูกศิษย์รับไม่ไหว ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ
เห็นเยี่ยเทียนกระโดดลงไปในหลุม โคลนเหลวก็คลุมถึงหัวเข่า จั่วเจียจวินอดไม่ได้ที่จะตะโกนบอก “ศิษย์น้อง นายระวังตัวด้วย ถ้าไม่ไหวก็ใช้เครื่องขุด”
“ศิษย์พี่รองไม่เป็นไร ด้านล่างไม่ได้ลึกเท่าไหร่”
เยี่ยเทียนส่ายหัว นี่ดีว่าเป็นเขา หากเป็นคนอื่นนั้นไม่มีทางขุดได้แน่โคลนตมพวกนี้จับตัวกันแน่นอยู่ด้านล่างของหลุม
ตอนที่ 551 สกัด
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนที่ทำไร่ทำนามาก่อนจะรู้ว่า โคลนที่ถูกน้ำนั้น ในตอนที่ทำความสะอาดนั้นหากเทียบกับการขุดดินตอนแห้งแล้วยากกว่าหลายเท่าตัว น้ำและโคลนผสมกัน คนปกติก็เลิกคิดไปเลยว่าจะขุดได้
เยี่ยเทียนนั้นใส่พลังธาตุเข้าไปที่พลั่วในมือ พลั่วขุดลงไปก็ได้โคลนจำนวนมากโยนออกมาอยู่บนพื้น เวลาไม่นาน บริเวณรอบหลุมนี้ ก็เต็มไปด้วยโคลนตมสีดำ
ฮ่องกงในเดือนมกราคม อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณยี่สิบกว่าองศา ตอนนี้เป็นเวลาตอนเที่ยง โคลนพวกนั้นพอถูกพระอาทิตย์สาดส่อง ก็ปล่อยกลิ่นเหม็นตลบอบอวลออกมา
แม้แต่จั่วเจียจวินและโก่วซินเจียก็ทนกลิ่นนี้ไม่ไหว ขยับออกห่างไปไกล และคนงานที่เดิมอยู่บนถนน ก็พากันขับรถห่างออกไปหลายร้อยเมตรในทางเหนือลม
“สถานที่นี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนก็เป็นชีพจรมังกร แต่ทำไมชี่พิฆาตหนาแน่นขนาดนี้กัน”
สัมผัสได้ถึงชี่พิฆาตที่เอ่อทะลักออกมาจากใต้พื้นดิน เยี่ยเทียนก็มีตกใจอยู่ไม่น้อย ปากนั้นสวด “คัมภีร์เทพ” ไม่หยุด ทำให้ชี่พิฆาตที่ห่อหุ้มตัวเองอยู่เป็นชั้นๆ นั้นสลายหายไป
ในขณะเดียวกันเยี่ยเทียนก็ปล่อยพลังธาตุรอบตัว พลังกายที่เลือดลมสูบฉีดก็พลันประทุออกมา กดดันทำให้ชี่พิฆาตพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ตนเอง ชี่พิฆาตพวกนี้นั้นค่อนข้างแปลก เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าให้มาเกาะอยู่ตามตัว
ปากสวดมนต์ มือทำงาน และยังต้องขับพลังธาตุห่อหุ้มตัว เยี่ยเทียนนั้นปลดปล่อยพลังทั่วทั้งร่าง หลังจากผ่านไปเจ็ดแปดนาทีแล้ว ด้านบนศรีษะก็มีเม็ดเหงื่อผลุดพรายออกมา
“ตึง!”
ในตอนที่เยี่ยเทียนเริ่มรู้สึกอ่อนแรงนั้นเอง ในมือก็พลันสั่นสะเทือนอย่างแรงขึ้นมา เป็นพลั่วเหล็กที่กระทบเข้ากับวัตถุแข็ง ส่งเสียงสะเทือนออกมา เยี่ยเทียนในใจพลันดีใจ ออกแรงในมือเล็กน้อย ขุดเอาวัตถุแข็งนั้นออกมา
“แม่เอ้ย ที่แท้เป็นเต่าฮวงจุ้ย”
เห็นของสิ่งนี้ เยี่ยเทียนก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ นี่เป็นเต่าตัวหนึ่งที่ใช้ทองแดงหล่อ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามสิบเซ็นติเมตร ทั่วทั้งตัวเต่านั้นเต็มไปด้วยโคลนตม แต่หัวของเตานั้นเห็นได้ชัดเจน
“นี่…นี่เป็นคนกันเองทำเหรอ”
เห็นเต่าฮวงจุ้ย เยี่ยเทียนยังรู้สึกว่ามีตรงไหนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ สถานที่นี้เป็นสถานที่ฝังศพที่ดีที่สุด กลายเป็นว่าถูกคนค้นหาชีพจรมังกรสกัดจุดเอาไว้
เต่านั้นถือเป็นของมงคลหนึ่งใน “สี่เทพ” และสามารถดูดพลังของภูเขาได้ สุสานที่อยู่นี้ แผ่นป้ายหินที่เป็นหัวมังกรหางเต่านั้นเป็นสิ่งที่ฝังร่วมด้วยและพบเห็นได้ทั่วไป
เต่านั้นเป็นของที่มีหยินน้อยมาก เหมาะกับการใช้อ่อนสะกดแข็ง ในขณะเดียวกันก็เป็นของที่ใช้สำหรับการขจัดชี่พิฆาต เต่าทองแดงวางไว้ในสุสานเพื่อเป็นการกำจัดชี่พิฆาต สอดคล้องกับหลักของฮวงจุ้ยที่ว่าไปพิฆาตทีร้ายนั้นเหมาะกับการสลายมากกว่าการสู้ปะทะ
แต่ที่ทำให้เยี่ยเทียนไม่เข้าใจก็คือ มีเต่าทองแดงตัวใหญ่ฝังอยู่อย่างนี้ ทำไมด้านล่างถึงได้เกิดชี่พิฆาตที่ร้ายแรงขนาดนี้ออกมา หรือว่ามีผีดิบที่เป็นปีศาจร้ายอยู่จริง ๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้หนังหัวของเยี่ยเทียนก็เริ่มชา เขาเคยเห็นคนโบราณอธิบายวิญญาณร้ายไว้ในคัมภีร์โบราณ กล่าวว่าไว้ว่าวิญญาณร้ายสองตานั้นเงยขึ้นด้านบน สามารถฆ่ามังกรกลืนกินก้อนเมฆ เคลื่อนไหวเหมือนลม สถานที่ที่ไปถึงนั้นไหลออกไปหลายพันลี้ ถือว่าเป็นฮ่องเต้ของผีดิบแล้ว
เยี่ยเทียนนั้นถึงแม้ว่าวิชาจะแก่กล้าสูงส่ง แต่หากว่าด้านล่างนั้นมีสัตว์ประหลาดในตำนานอยู่ เขานั้นก็คงจะต้องขยายพลังออกไปหน่อยแล้ว ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะขุดต่อไปดีหรือไม่
“ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้น ตอบมาหน่อย” จั่วเจียจวินที่ยืนห่างออกไปสี่ห้าสิบเมตรเห็นในหลุมไม่การเคลื่อนไหว เกรงว่าเยี่ยเทียนจะเกิดเรื่อง จึงรีบตะโกนเสียงดังออกมา
“มีอะไรประหลาดบางอย่าง ศิษย์พี่ นี่ผมก็กำลังจะขึ้นไปแล้ว!”
เยี่ยเทียนตอบกลับมา ใช้พลั่วเหล็กขูดบนตัวเต่าทองแดง จากนั้นก็โยนขึ้นมาด้านบน ตัวเองใช้ขาเหยียบผนังของหลุมไม่กี่ทีก็กระโดดขึ้นมาจากหลุมลึก
“ผีน่ะสิ!” เยี่ยเทียนเพิ่งยืนได้มั่นคงแล้ว บริเวณที่ไกลนั้นก็มีเสียงลอดออกมา คนกลุ่มใหญ่วิ่งหนีกันอุดตะลุด
“ผี ว่าฉันเหรอ”
เยี่ยเทียนก้มลงมองบนร่างกายตัวเอง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ตัวเขานั้นทั่วตัวเต็มไปด้วยดินโคลน มองไปดูเหมือนกับคนผิวสีไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ก็ไม่แปลกใจที่พวกคนงานพวกนั้นจะกลัว
เบะปากแล้วเยี่ยเทียนก็เริ่มบิดขี้เกียจ โคลนที่เริ่มจะแข็งตัวแล้วก็พลันแตกออกมา จากนั้นสะบัดเบาๆ พลันก็หลุดลงมาจากตัวของเยี่ยเทียน
ยื่นมือออกไปหยิบเต่าทองแดง เยี่ยเทียนก็เดินไปทางที่จั่วเจียจวินและคนอื่นรออยู่
“ศิษย์น้องของนี่ขุดมาได้จากด้านล่างเหรอ”
หลังจากเห็นของในมือเยี่ยเทียนชัดเจนแล้ว โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินก็ตกตะลึง เต่าทองแดงนี้เห็นได้ชัดว่าคนทำขึ้น นั่นก็แปลว่าก่อนหน้านั้นที่เยี่ยเทียนเดาไว้ก็ไม่ผิด ด้านล่างมีสุสานหนึ่งจริงๆ
นี่ทำให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินหน้าเห่อร้อน พวกเขาสองคนรวมกันอายุก็มากกว่าร้อยหกสิบปีแล้ว แต่ยังไม่สู้เยี่ยเทียนที่เป็นคนหนุ่มอายุเพิ่งยี่สิบกว่ามองได้ทะลุปรุโปร่ง
“ถูกต้องศิษย์พี่ พกวเราน่าจะได้พบกับเพื่อนร่วมอาชีพแล้วล่ะ คนนี้ฝังเต่าทองแดงไว้ที่ตำแหน่งชีพจรมังกรเพื่อรวบรวมพลังหลิงชี่ของภูเขา คิดแล้วก็น่าจะเพื่ออวยพรให้กับลูกหลานของคนที่ถูกฝังอยู่ที่นี่”
เยี่ยเทียนหยุดไปนิดหนึ่ง สีหน้าปรากฏแววสงสัย กล่าวต่อว่า “แต่ว่ามีเต่าทองแดงตัวนี้กำจัดชี่พิฆาตอยู่ ฉันมองดูแล้วก็เห็นว่ามันมีลักษณะของอาวุธวิเศษอยู่พอตัว แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมชี่พิฆาตที่นี่ถึงได้รุนแรงนัก ฉัน…ฉันสงสัยว่าศพด้านล่างกำลังจะกลายเป็นผีดิบหรือเปล่า”
หลังจากเยี่ยเทียนพูดจบ โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินก็พูดออกมาพร้อมกันว่า “ผีดิบ ไม่น่าเป็นไปได้”
ศิษย์พี่ของเยี่ยเทียนทั้งสองนี้มีความรู้มากมาย โดยเฉพาะโก่วซินเจียสมัยก่อนเดินทางไปทั่วใจยุดของสงคราม สนามรบหนึ่งมักจะมีคนตายเป็นหมื่น และคนตายนั้นก็ถูกฝังแบบลวกๆ
แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ โก่วซินเจียกลับไม่เคยได้ยินว่าผีดิบจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในยุคสมัยที่สงบผาสุกแบบนี้
“ฉันก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าหลังจากหยิบเต่าทองแดงตัวนี้ออกมาแล้ว ชี่พิฆาตด้านล่างนั้นกลับทะลักออกมามากว่าเดิมอีก …” เยี่ยเทียนมองไปรอบทิศ ชี้ไปที่จุดหนึ่งกล่าวว่า “ศิษย์พี่ พี่ดูต้นไม้ที่นั่น”
ฮ่องกงนั้นไม่มีหน้าหนาว ต้นไม้ที่เขตร้อนที่นี่นั้นหนึ่งปีตลอดสี่ฤดูเขียวชอุ่ม แต่ต้นไม้ที่อยู่ห่างจากหลุมลึกนั่นสิบกว่าเมตร กลับเปลี่ยนเป็นเหี่ยวเฉา กิ่งของมันก็ห้อยตกลงมา
ภาพนี้ทำให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินนั้นตกใจขึ้นมาไม่ได้ สถานที่ศูนย์รวมพลังหยินนั้นกลับมีโอกาสในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หากว่าพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ บริเวณโดยรอบกินพื้นที่สิบกิโลเมตรจะต้องได้รับผลกระทบ
หลังจากสังเกตอยู่ประมาณหนึ่งแล้ว จั่วเจียจวินก็สีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า “แบบนี้ไม่ได้ จะต้องกดไอชี่พิฆาตพวกนี้ลงไป มิเช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าจะสร้างค่ายกลดูดพลังหลิงที่คฤหาสน์แล้ว เกรงว่าฮวงจุ้ยของครึ่งภูเขาจะถูกมันทำลายไปหมด!”
ต้องทราบก่อนว่าที่ฮ่องกงนั้นคนที่รู้จักดูฮวงจุ้ยชัยภูมิไม่ได้มีจั่วเจียจวินคนเดียวเท่านั้น หากว่าไอชี่พิฆาตนี้แผ่ขยายออกไป จะต้องส่งผลกระทบกับฮวงจุ้ยของทั้งครึ่งภูเขาแน่นอน
สำหรับพวกคนรวยที่เชื่อในฮวงจุ้ยนั้น หากว่าฮวงจุ้ยของคฤหาสน์เปลี่ยนไป พวกเขาจะจากไปโดยไม่ลังเล หรือแม้แต่กระทั่งเลือกที่จากฮ่องกงไปก็เป็นแน่
จั่วเจียจวินนั้นมีชื่อเสียงขึ้นมาในฮ่องกงแห่งนี้ เมืองนานาชาติแห่งนี้นั้นมีเลือดของเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะสาธารณะหรือว่าส่วนตัว จั่วเจียจวินก็ยอมไม่ได้ที่จะให้เศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงนี้กลายเป็นหนักยิ่งกว่าเดิม
“กดสกัดเอาไว้ไม่ได้…”
เยี่ยเทียนส่ายหัว กล่าวว่า “ดูจากปีของเต่าทองแดงนี้แล้ว สุสานแห่งนี้นั้นอยู่มาน่าจะหลายร้อยปีแล้ว ร้อยกว่าปีไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มาเกิดขึ้นตอนนี้ ต้องเป็นเพราะฮวงจุ้ยของสุสานถูกทำลาย ทำให้ค่ายกลที่ทำงานอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าให้ผมเดา รักษาที่ปลายเหตุไม่สู้รักษาที่ต้นเหตุ ยังคงต้องเปิดสุสาน ดูว่าท่านรุ่นก่อนนั้นใช้ค่ายกลอะไร พวกเราถึงจะรู้วิธีจัดการ แต่ว่าหากจะเปิดสุสานแห่งนี้ แรงผมคนเดียวเกรงว่าคงไม่พอ!”
ตั้งแต่โบราณมาจนปัจจุบัน ผู้สืบทอดฉีเหมินนั้นมีมากมาย แต่ละสำนักล้วนแล้วแต่มีเคล็ดวิชาเป็นของตัวเอง จะว่าไปแล้ว ลัทธิเสื้อป่านั้นการดูฮวงจุ้ยชัยภูมินั้นหากแต่เป็นสุสานแล้วไม่ใช่ด้านที่ถนัด
นี่เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนเค้นมันสมองและใช้พลังที่ได้รับสืบทอดมาในหัวแต่ก็ไม่มีทางสำรวจพื้นที่ด้านล่างได้เลย ต้องทราบก่อนว่า การพยากรณ์ทำนายนั้นกระทำกับคนเป็น แต่เมื่อมาใช้กับคนตาย แน่นอนว่าผลนั้นออกมาไม่ดีเท่าไหร่
“ศิษย์น้อง นายบอกมาเลยว่าจะให้ฉันกับศิษย์พี่ใหญ่ช่วยนายอย่างไร” จั่วเจียจวินพูดออกมาตรงๆ สถานที่นี่เกิดปัญหาในตอนที่เขาทำงาน จั่วเจียจวินแน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะกำจัดปัญหาให้เสร็จสิ้น
เยี่ยเทียนเงียบไปซักครู่ กล่าวว่า “ผมต้องการให้ศิษย์พี่ทั้งสองคนยืนอยู่คนละมุม รอจนผมเปิดสุสานแล้ว พวกพี่ใช้อาวุธวิเศษสกัดชี่พิฆาตพวกนั้นลงไป มิเช่นนั้นผมเกรงว่าพลังชี่พิฆาตมหาศาลจะไหลทะลักออกมา ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบได้รับผลกระทบ”
ใน “วีรบุรุษเขาเหลียงซาน” มีอยู่ท่อนหนึ่ง กล่าวว่าหงไท่เวยเดินทางผิดไปทางมาร ทำให้สามสิบหกขุนพลสวรรค์ เจ็ดสิบสองขุนพลนรกออกมา
จริงๆ แล้วในฉีเหมินเองก็มีบันทึกเอาไว้ ที่กล่าวว่าปีศาจออกมาสู่โลกนั้น นั้นมาจากสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของชี่พิฆาตที่คนไม่เหลียวแล ปล่อยให้ชี่พิฆาตที่สะสมมากว่าพันปีปล่อยออกมา ทำให้รอบด้านในรัศมีร้อยลี้โรคระบาดแพร่กระจาย
แน่นอนว่า นอกจากคนในฉีเหมินแล้ว ประชาชนคนธรรมดาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นชือน่ายอันก็เลยปิดบังทุกคน ทำให้ชี่พิฆาตพวกนี้เปลี่ยนเป็นภูตผีปีศาจเท่านั้น
หลังจากฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วจินเซียรู้สึกไม่ดีจึงถามขึ้นมา “ศิษย์น้อง ช่วยสกัดชี่พิฆาตไม่มีปัญหา แต่ว่า…แต่ว่าในมือของศิษย์พี่ไม่มีของวิเศษล่ะ”
โก่วซินเจียหลายปีก่อนนั้นถูกทำร้ายกลับมาจากพม่า หลังจากนั้นก็เหมือนแมวเก้าชีวิตกลับเข้าไปใช้ขีวิตอยู่บนเขา ถึงแม้ว่าในมือจะมีของดี แต่ตอนนี้ก็ไม่มีชิ้นไหลอยู่รอดมาได้
“จานหลัวของอาจารย์พี่เอาไปใช้ก่อน”
เยี่ยเทียนพลิกข้อมือทีเดียว ก็หยิบจานหลัวออกมา ส่งให้กับโก่วซินเจีนแล้ว กล่าวว่า “ศิษย์พี่รอง ที่ผมนี่ยังมีเหรียญมงคลของอาจารย์อยู่ พี่เอาไปใช้เถอะ”
เยี่ยเทียนครั้งนี้ที่มาฮ่องกงไม่ได้เอาทวนชิงหลงเยี่ยนเยว่มาด้วย มิเช่นนั้นจะวางให้ซึมซับพลังตรงนี้ซักชั่วระยะหนึ่ง สำหรับอาวุธร้ายนั้นจะมีประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว
“มีของครบแล้ว พวกเราก็ลงมือกันเลยเถอะ”
นับตั้งแต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องมารวมตัวกัน โดยมากมักจะดื่มกินสังสรรค์ พูดคุยกับเรื่องกระบวนวิขา การที่ทั้งสามคนมาร่วมแรงกันเหมือนตอนนี้นั้น กลับเป็นครั้งแรก สีหน้าของหลายคนนั้นดูตื่นเต้น
หลังจากระโดดลงไปในหลุมใหม่แล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า รีบเงยหน้าตะโกนว่า “ศิษย์พี่ ใหญ่ยืนในตำแหน่งเฉียน ศิษย์พี่รองยื่นในตำแหน่งเกิ้น!”
ตอนที่ 552 โปรดสัตว์ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ได้…”
โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นต่างก็รับปากกันอย่างฉับพลัน ยืนกันอยู่เข็มทิศโป๊ยก่วยทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือตำแหน่งเฉียนและทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือตำแหน่งเกิ่น วางเข็มทิศและเหรียญกษาปณ์ที่ทำจากทองแดงไว้ในมือคุณ
ประสิทธิภาพของเครื่องรางของขลังประกอบพิธีทางศาสนาเจิ้นไจ๋ที่ใช้กำจัดพลังพิฆาต โดยเฉพาะเข็มทิศที่อยู่ในมือของโก่วซินเจียที่สืบทอดมาเป็นเวลานั้น เมื่อหยิบออกมา พลังพิฆาตก็ลอยว่อนอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นเหมือนคลื่นที่แยกจากร่างกายเขา
เหรียญกษาปณ์ที่ทำจากทองแดงที่ถืออยู่ในมือของจั่วเจียจวิ้นถึงแม้ประสิทธิภาพน้อยกว่า แต่พลังเขากลับเพิ่มมากขึ้น และก็ยังแสดงพลังพิเศษอย่างเห็นได้ชัด ในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังพิฆาต เหรียญกษาปณ์ที่ทำจากทองแดงนี้เปล่งประกายแวววาวสีทองจางๆ มันเหมือนเหรียญทองแดงล้ำค่าในตำนาน
เมื่อเห็นศิษย์พี่ทั้งสองยืนประจำตำแหน่งแล้ว เยี่ยเทียนพลิกข้อมือด้านขวา มีใบมีดสั้นสีดำมันวาวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
ซึ่งแตกต่างจากเข็มทิศและเหรียญต้าจี้ท่งเป่า มีดสั้นอู๋เหินเพิ่งออกมาเมื่อครู่ พลังพิฆาตที่อยู่ในอากาศราวกับจะรวมกันเป็นสายน้ำ หลั่งเข้าสู่มีดสั้นอู๋เหินด้ามนั้น
มีดสั้นอู๋เหินดาบเล็กๆ นั้นในขณะนี้เหมือนกับมีหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง กัดกินพลังพิฆาตนั้นอย่างบ้าพลัง ใบมีดมืดสีดำที่ส่องแสงใต้ดวงอาทิตย์ ก็เปล่งประกายพลังพิฆาตอันหนาวเหน็บขึ้น
“เยี่ยเทียน นาย…นั่น…นั่นก็เป็นเครื่องรางของขลังประกอบพิธีทางศาสนาเหรอ?”
มีดสั้นอู๋เหินของเยี่ยเทียนที่ควักออกมาต่อหน้าต่อตาของจั่วเจียจวิ้น ซึ่งแม้แต่โก่งซินเจียเองก็ไม่รู้ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบของขลังชิ้นหนึ่งออกมา สายตาก็อดที่จะจ้องมองไม่ได้
“ฮิๆ ได้มาโดยบังเอิญครับ ศิษย์พี่ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปเดินเล่นที่ผานเจียหยวนได้นะ”
เยี่ยด้วยพูดแฝงไปด้วยการล้อเล่น แต่สายตากลับกำลังพิจารณาตำแหน่ง สะบัดมือขวา มีดสีดำปลายแหลมสว่างวาบแวบหนึ่ง มีดสั้นอู๋เหินได้แทงเข้าไปในตำแหน่งซุ่นที่อยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตรงข้ามกับโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นทั้งสองคน ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม
เครื่องรางของขลังทั้งสองที่ใช้การยับยั้งพลังพิฆาตไม่เหมือนกัน มัดสั้นอู๋เหินกำลังกลืนพลังพิฆาตในตำแหน่งนี้ที่ทะลักออกมา
แต่เป้าหมายเดียวกันคือ เมื่อรูปสามเหลี่ยมนี้ก่อตัวขึ้น พลังพิฆาตที่อยู่ในหลุมไม่สามารถล้นทะลักออกมาได้อีกต่อไป ทั้งหมดถูกขังไว้ในหลุมลึกในบริเวณรอบนอกสิบเมตรในของขลังสามชิ้นนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ เยี่ยเทียนกลับมีความกดดันมากยิ่งขึ้น พลังหยินที่เหน็บหนาวนี้เกือบทั้งหมดได้เหนียวราวกับสสาร บังคับให้เยี่ยเทียนต้องใช้ศิลปะทางด้านมวยจีนออกมาทั้งหมด เพื่อที่ให้มันสามารถหมุนเวียนอยู่นอกร่างกายได้
เยี่ยเทียนรีบทำงานต่อทันที ถือพลั่วและทำงานต่อไป เมื่อขุดลงลึกประมาณยี่สิบเซนติเมตร พลั่วก็ไปถูกกับวัตถุแข็งๆ เสียงสัมผัสนั้นแม้แต่พวกโก่วซินเจียที่ยืนอยู่สองคนต่างก็ได้ยินเสียง
“เป็นแผ่นกระดานหินปูพื้น ช่วงเวลาน่าจะไม่นานมาก!”
ไม่รอให้โก่วซินเจียเปิดปากถาม เยี่ยเทียนก็กำจัดดินเลนที่อยู่ด้านบนวัตถุ แผ่นกระดานหินปูพื้นแผ่นหนึ่งปรากฎต่อหน้าทั้งสามคน
“นี่เหมือนกับสุสานสมัยใหม่ และก็ไม่เหมือนครอบครัวที่ร่ำรวยอะไร?แปลกจริงๆ!”
หลังจากที่เห็นแผ่นกระดานหินปูพื้น โก่วซินเจียก็พึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็คิดอะไรได้ แล้วรีบพูดขึ้นว่า “ศิษย์น้องเล็ก นายไปขุดแผ่นหินที่อยู่ด้านหน้าไปอีกสามฟุต ดูสิว่ามีป้ายสลักชื่อผู้ตายไหม?”
หลุมศพสมัยโบราณของจีน ยึดมั่นในหลักการของ “หลุมฝังศพไม่ใช่หลุมศพ” อีกนัยหนึ่งคือต้องฝังอยู่ใต้ดินเท่านั้น ไม่ต้องทำเครื่องหมายบนพื้นดิน ต่อมาค่อยๆ มีหลุมศพตั้งกองอยู่บนพื้นดิน และมีป้ายสลักชื่อผู้ตาย
แต่หลุมศพในสมัยแรก ที่จริงก็มีป้ายสลักสลักชื่อผู้ตาย ก็คือเหมือนกับโลงศพที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกๆ ทั้งหมด และสลักข้อความจารึกไว้เพื่อบันทึกตัวตนของเจ้าของ
วิธีการฝังศพนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่โจรปล้นหลุมฝังศพจะมาพบ สามารถลดความเสี่ยงจากการถูกขโมย ดังนั้นแม้จะอยู่ในยุคปัจจุบัน ถ้าพบฮวงจุ้ยที่เต็มไปด้วยโภคทรัพย์ มักจะใช้วิธี”หลุมฝังศพไม่ใช่หลุมศพ” มาฝังศพ
“ผมไปหาดูก่อน”เยี่ยเทียนถือพลั่วไปขุดแผ่นหินปูนที่ิอยู่ด้านหน้าเมตรหนึ่ง แต่กลับไม่พบป้ายสลักชื่อหลุมฝังศพ
“ไม่ต้องสนใจอันนี้แล้ว ผมจะเปิดแผ่นหินปูนออกก่อน ศิษย์พี่ พวกคุณก็ระวังหน่อยนะ ระวังพลังพิฆาตวิญญาณร้ายพุ่งออกมา!”
เมื่อสัมผัสได้กับพลังพิฆาตน่าเกรงขามของแผ่นหินปูน เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าที่จะประมาท
หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ พลังเส้นเลือดและสมปราณในร่างกายของเยี่ยเทียน เหมือนแทบจะรวมตัวกันทั่วทั้งร่างกาย กำลังวังชาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
เมื่อเดินมาที่ริมขอบของแผ่นหินปูน เยี่ยเทียนใช้สองมือยกขึ้นไป และตะโกนร้องเสียงดัง “จงเปิด…ออก!”
หลังจากที่ส่งเสียงคำราม เอวและหน้าท้องของเยี่ยเทียนค่อยยืนตรงขึ้น ใช้แรงทั้งสองมือยกขึ้นไปอย่างสุดกำลัง แผ่นหินนั้นมีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัม แต่กลีบถูกเขาเปิดออกอย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกันก็เห็นรอยรั่วของแผ่นหินปูน ร่างกายส่วนล่างของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเย็นชาทันที ราวกับเสื้อผ้าเกือบทั้งหมดถูกถอดและยืนอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะน้ำแข็ง ลมเย็นมืดครึ้มนั้นหนาวเย็นจนเข้ากระดูก
“แม่ง อย่าบอกนะว่าผีพรายกำลังเล่นงานอยู่!”
พูดความจริง เยี่ยเทียนก็ใจฝ่อบ้าง สองมือที่มีแรงอย่างบ้าคลั่งได้หินทั้งก้อนออกมา ร่างกายของเขาเดินถอยหลังอัตโนมัติ หลีกเลี่ยงพลังพิฆาตของวิญญาณร้ายที่จะทะลักออก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย พลังพิฆาตจำนวนมหาศาลโจมตีที่เส้นประสาทสมองของเขาไม่หยุด ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นอยู่ข้างล่างคนเดียว เกรงว่าชั่วพริบตาพลังที่โจมตีอาจจะทำให้กลายเป็นบ้าได้
“ปากว้าฟ้าดินคน สามรวมเป็นหนึ่ง จัดให้ข้า!”
ในขณะเดียวกันตอนที่เยี่ยเทียนปล่อยร่างกายตัวเอง โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็แสดงความสามารถออกมา ปลูกฝังพลังทั้งหมดของเขาลงในของขลังที่อยู่ในมือของพวกเขา
ทันใดนั้น ของขลังทั้งสองชิ้นราวกับมีจิตวิญญาณ สะท้อนมาจากระยะไกล ก่อตัวเป็นตาข่ายที่มองไม่เห็น พลังพิฆาตทั้งหมดที่ถูกขังอยู่ในพื้นก็ได้ทะลักออกมา
ส่วนอู๋เหินที่อยู่ตำแหน่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เหมือนหลุมดำที่ไร้ก้นบึ้ง กัดกินพลังพิฆาตอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเหมือนได้ยินเสียงฮัมเพลงของมันอย่างแผ่วเบา
“ไฟเจ็ดดวงต่อชีวิตเหรอ? เยี่ยเทียน ด้านล่างมีคนใช้ค่ายกลวิชาฝืนลิขิตพลิกชะตาเพื่อสร้างดวงไฟเจ็ดดวงต่อชีวิต เร็วเข้า เปิดไฟตรงตำแหน่งดาวไถดวงและทำลายค่ายกลซะ!”
ในขณะที่เยี่ยเทียนต่อต้านการโจมตีของวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นอย่างลำบาก โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นที่อยู่ด้านบนกับมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน หลังจากที่แผ่นหินถูกเปิดออก ทันใดนั้นก็เผยหลุมศพหินออกมา
หลุมศพหินนี้มีความยาวประมาณสองเมตรครึ่ง ความสูงประมาณหนึ่งเมตร เห็นไม่ชัดว่าทำด้วยวัตถุอะไร แต่วัตถุสองสามชิ้นที่อยู่บนโลงศพหิน กลับดึงดูดความสนใจของโก่วซินเจียเป็นอย่างมาก
นั่นคือตะเกียงน้ำมันทองแดงขนาดเล็กเจ็ดดวง สี่ดวงในนั้นติดอยู่สี่มุมของโลงศพ ที่เหลืออีกสามดวงอยู่บนโลงศพ เจ็ดดวงรวมกัน กลายเป็นภาพของกลุ่มดาวไถ แต่ตะเกียงน้ำมันเหล่านี้กลับดับไปนานแล้ว
โก่วซินเจียกำลังวิเคราะห์กลค่ายกลนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะใช้วิชาฝืนลิขิตพลิกชะตาสร้างดวงไฟเจ็ดดวงต่อชีวิตไม่ได้ แต่ก็เคยฟังเยี่ยเทียนอธิบายมาก่อน เมื่อได้เห็นกับตาก็รู้ทันที
หลังจากที่ได้โก่วซินเจียพูด เยี่ยเทียนที่อดทนกับการบุกรุกโจมตีของพลังพิฆาต ก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หลังจากเห็นโลงศพหินนั้นกับดวงไฟทั้งเจ็ดดวง จึงอดพูดไม่ได้ “ศิษย์พี่ นี่คือดวงดาวเจ็ดดวงต่อชีวิต? นี่คือการปกป้องร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อย และใช้ในการให้พรแก่คนรุ่นหลัง!”
ไฟเจ็ดดวงต่อชีวิตเป็นเทคนิคยอดนิยมสำหรับการขโมยวันเปลี่ยนดวงอาทิตย์ แต่ต้องใช้กับคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ซึ่งคือต้องเป็นคนที่ยังมีอายุขัยถึงจะมีประสิทธิภาพ
เหมือนกับการตายประเภทนี้หลังจากที่อยู่ในโลงศพฝั่งอยู่ในดินแล้ว อย่าว่าแต่ดวงไฟเจ็ดดวงในการต่อชีวิตเลย ถ้าเด็ดกลุ่มดาวไถเจ็ดดวงลงมาก็ช่วยไม่ได้ เพราะคนจะตายอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี
แต่การสืบทอดที่อยู่ในสมองของเยี่ยเทียน ก็มีการบรรยายสถานการณ์แบบนี้อยู่ นั่นก็คือการใช้ตะเกียงน้ำมันจัดเป็นค่ายกลดาวเจ็ดดวง และตำแหน่งรอบโลงศพให้เลือกจุดเส้นเลือดมังกรและฝังลงไป เพื่อคุ้มครองลูกหลานให้มั่งคั่งร่ำรวยในภายภาคหน้า
และค่ายกลแบบนี้ยังมีผลอีกอย่างหนึ่ง ก็คือสามารถใช้ค่ายกลวิชานี้รวบรวมของพลังความโชคดี รักษาเนื้อหนังและร่างกายคนที่อยู่ในโลงศพไม่ให้เน่าเปื่อย
ก็เหมือนกับมัมมี่ที่เหมือนเป็นตัวแทนของหลายศพที่ถูกขุดพบในประเทศจีน ที่จริงแล้วบริเวณรอบๆ นั้นเคยมีการใช้ค่ายกลวิชาแบบนี้ แต่ตอนหลังโคมไฟทองแดงที่วิจิตรงดงามเหล่านั้นได้ถูกพวกโจรหลุมศพขโมยไป
เนื่องจากโครงการรับถมที่บนเกาะฮ่องกง ทำให้สถานที่ที่เป็นเส้นเลือดมังกรกลายเป็นการรวมตัวของพลังหยิน ทำให้ค่ายกลวิชาดาวเจ็ดดวงรวมตัวกลายเป็นค่ายกลพิฆาต ดูดซับพลังวิญญาณชั่วร้ายจากหลายสิบตารางกิโลเมตรเข้ามาสู่โลงศพ
นี่ก็คือพลังหยินพิฆาตชั่วร้ายที่รวมตัวอยู่ในหลุมฝังศพ ซึ่งก็เป็นเหตุผลหลักที่ภูเขาปีศาจในพม่าเต็มไปด้วยพลังพิฆาตนั่นเอง
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนที่มีทีมงานก่อสร้างมาชำระสะสางศพพวกนี้ และเคลื่อนย้ายฮวงจุ้ยเต่าทองแดงด้านล่างโดยไม่ตั้งใจทำให้วิพลังหยินพิฆาตออกมา และมีความเป็นไปได้ว่าสถานที่ตรงนี้ได้พัฒนากลายเป็นสถานที่อันตรายแห่งหนึ่งในภายหลัง
เยี่ยเทียนที่อยู่ในหลุมลึกเวลานี้ ราวกับตกลงไปในบึงน้ำ และเดินทุกย่างก้าวด้วยความลำบาก
ถึงแม้โก่วซินเจียจะพูดเรื่องค่ายกลผิด แต่วิธีทำลายค่ายกลกลุ่มดาวไถกลับพูดถูกแล้ว ตอนนี้เขาเห็นเยี่ยเทียนกำลังเดินไปที่หน้าโลงศพ และหยิบตะเกียงทองแดงที่อยู่ตรงกลางขึ้นมา
เพียงแค่เข้าใกล้โลงศพ พลังความหนาวเย็นก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น เหมือนกับมีมีดเล็กๆ ที่คอยเชือดผิวของเยี่ยเทียนอยู่ ถึงแม้วรยุทธของเยี่ยเทียนที่จะแก่กล้า แต่ก็ยังรู้สึกทนไม่ได้
ความพยายามอดทนของร่างกายที่ไม่เหมาะสม ในที่สุดเยี่ยเทียนก็เดินมาที่ด้านข้างโลงศพ ยื่นมือเอาตะเกียงทองแดงขนาดเท่าจานน้ำมันอันนั้นวางไว้ในมือ
“แม่ง คนที่อยู่ในโลงศพนี้ถูกวิญญาณร้ายกัดเซาะมาหลายปี จะกลายเป็นผีดิบจริงๆ ไหมนะ?”
ในขณะที่เยี่ยเทียนถอนตะเกียงทองแดงในตำแหน่งดาวไถอยู่ เหมือนเขาได้ยินเสียงขยับในโลงศพเบาๆ เยี่ยเทียนตกใจแล้วจึงรีบเดินถอยหลัง เขากล้าที่ต่อสู้กับคน แต่ยังไม่เคยต่อสู้กับผีดิบมาก่อน
ในขณะที่ถอยหลังออกมา เยี่ยเทียนตะโกนว่า “ศิษย์พี่ สวดมนต์คัมภีร์โปรดมนุษย์!”
ค่ายกลถูกทำลาย ทันใดนั้นพลังพิฆาตพวกนี้ก็กลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที และไม่ก่อเกิดพลังพิฆาตใหม่ขึ้นมา จากวรยุทธของเยี่ยเทียนทั้งสามคน ขอเพียงแต่สวดมนต์โปรดมนุษย์ ก็สามารถกำจัดได้ในไม่ช้า
เยี่ยเทียนไม่สนใจดินโคลนที่เต็มพื้น และเดินถอยกลับไปนั่งขัดสมาธิใต้กำแพงดินที่มีมีดสั้นอู๋เหินปักอยู่ สองมือประสานกันอยู่ที่บนหน้าตัก แล้วผสมผสานกับการท่องบทสวดมนต์
เมื่อเห็นการกระทำของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็มีสติขึ้นมาทันที ใช้เครื่องรางของขลังกดทับพลังพิฆาต พลางท่องบทสวดมนต์ให้ก้องกังวานไปด้วย
เส้นสีดำพวกนั้นปรากฎขึ้นในสายตา ในขณะที่พวกเขาสามคนกำลังสวดมนต์ และค่อยๆ จางลงไป บวกกับการดูดพลังพิฆาตในหลุมของมีดสั้นอู๋เหินอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลังพิฆาตอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตามพลังพิฆาตที่สะสมมานานหลายสิบปีนั้น ไม่สามารถลดลงได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น หลังจากผ่านไปห้าชั่วโมงกว่า ศิษย์พี่โก่วเจียซินและจั่วเจียจวิ้นทั้งสองก็มีเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก และรู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายจะทรงตัวไม่ไหวแล้ว
ตอนที่ 553 โปรดสัตว์ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
สถานที่ที่เยี่ยเทียนอยู่มีมีดสั้นอู๋เหินกำลังดูดซับวิญญาณชั่วร้าย เขาจำเป็นต้องกระตุ้นเลือดลมของเขาเพื่อต่อต้านการโจมตีของวิญญาณชั่วร้าย และการประนมมือสวดมนต์ก็ยังมีผลในการขับไล่พลังหยินพิฆาต ทำให้ขจัดภัยได้สบายมากทีเดียว
หลังจากที่ได้เห็นความเหนื่อยล้าของศิษย์พี่ทั้งสอง เยี่ยเทียนก็รีบตะโกน “เซี่ยวเทียน พวกนายสองคนมานี่สิ รับเข็มทิศที่อยู่ในมือของอาจารย์ลุงของพวกนายไปที!”
เนื่องจากวิญญาณชั่วทั้งหมดถูกระงับอยู่ในหลุมนี้ในระยะสิบเมตร พลังหยินที่ล่องลอยด้านนอกจึงน้อยมากแล้วสำหรับโจวเซี่ยวเทียนและหลิ่วติ้งติ้งแล้วถือว่าไม่เป็นภัยคุกคาม ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงให้พวกเขามารีบช่วงระงับพลังพิฆาตแทนโก่วซินเจีย
“ระวังด้วยนะ ถ้าไม่ไหวก็บอก!”
ในขณะนี้โก่วซินเจียหมดแรงเต็มที ไม่ได้นอบน้อมถ่อมตัวใดๆ หลังจากที่อาจารย์สอนวิธีการใช้เข็มทิศให้ทั้งสองคนอย่างคร่าวๆ แล้วก็ปล่อยมือ แล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิกับพื้น
ในส่วนของจั่วเจียจวิ้นถึงแม้อายุจะน้อยกว่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่เลือดลมก็สูบฉีดดีอยู่ เมื่อเห็นสถานการณ์ดังกล่าวจึงยังพอรับมือได้สักพักหนึ่ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง โก่วซินเจียก็ลุกขึ้น รับเหรียญกษาปณ์ทองแดงที่อยู่ในมือของจั่วเจียจวิ้น และทั้งสี่คนก็ผลัดกันพักผ่อน พร้อมกับพลังพิฆาตที่อยู่ในหลุมก็เสื่อมลงเรื่อยๆ
เมื่อตกตอนกลางคืน จั่วเจียจวิ้นก็ให้คนที่อยู่ข้างๆ ช่วยเปิดไฟ และกองไฟก็ลุกโชนขึ้นทั้งสี่ด้าน ไฟเปรียบเสมือนวัตถุ หยาง ที่สามารถพิชิตกับพลังหยินพิฆาตได้
แต่พลังหยินพิฆาตในหลุมนี้มีความโลดแล่นมากตอนกลางคืน ถึงแม้จะไม่สามารถปะทะกับของขลังทั้งสามชิ้นได้ แต่กลับเปลี่ยนรูปร่างแปลกประหลาดอยู่บนหลุมนี้ได้ ซึ่งมีผลหระทบมีผลต่อจิตใจของคน
คนงานเหล่านั้นยืนห่างหนึ่งหรือสองร้อยเมตร บางคนก็มีท่าทางอ่อนเพลีย และส่วนใหญ่ที่มองเห็นภูตผีปีศาจรูปแบบต่างๆ ปรากฏอยู่ที่ตรงนั้น ทุกคนต่างก็ตกใจแล้วหนีออกไปจนไกล
“เยี่ยเทียน นายเป็นยังไงบ้าง?”
โก่วซินเจียที่เพิ่งสลับมาพักผ่อน มองเห็นศิษย์น้องที่อยู่ในหลุม ขณะที่พวกเขาทั้งสองสามคนสามารถพักผ่อนได้ แต่ไม่มีใครที่สามารถแทนที่เยี่ยเทียนได้
“ไม่เป็นไร รอให้ฟ้าสว่างก่อน พลังพิฆาตในหลุนี้ก็คงจะหายไปจนหมดแล้ว”
สีหน้าของเยี่ยเทียนขาวซีด ไม่ค่อยมีพลังในการพูดมากนัก พอถึงตอนกลางคืนพลังหยินก็เพิ่มมากขึ้น ความกดดันของเยี่ยเทียนได้รับจึงมีมากขึ้นกว่าตอนกลางวัน
“ทานอะไรสักหน่อยก่อนเถอะ!”
โก่วเจียซินโยนถือเนื้อวัวสุกพลังงงานสูงลงไป เยี่ยเทียนยื่นมือมารับ และในระยะเวลาสั้นๆ เขาก็ทานเนื้อวัวเจ็ดแปดชั่งนั้นจนหมดเกลี้ยง เช็ดปาก จากนั้นก็ท่อง “คัมภีร์โปรดมนุษย์” ต่อ
ค่ำคืนนี้เห็นได้ชัดว่ายาวนานกว่าปกติ เมื่อเสียงร้องขันของไก่กาในหมู่บ้านที่ห่างไกลออกไปดังขึ้น เมื่อแสงแดดแรกของวันปรากฏบนขอบฟ้า เยี่ยเทียนที่รู้สึกเกร็งทั้งตัวจู่ๆ ก็ผ่อนคลายลง และกลั้นไม่อยู่จนกระอักเลือดสดออกมา
“อาจารย์ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกระอักเลือดออกมา โจวเซี่ยวเทียนที่นั่งตรงข้ามกับเยี่ยเทียนถึงกับตกใจ จนเกือบทำเข็มทิศตกลงไป
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก เซี่ยวเทียน พวกนายหยุดได้แล้ว พลังพิฆาตที่เหลือเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ จะสลายไปเมื่อถูกแสงอาทิตย์…” เยี่ยเทียนเอาหลังพิงที่กำแพงหลุม พลางยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ ตั้งแต่ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนเข้าสู่ขั้นสุดยอด เขาไม่เคยสะบักสะบอมแบบนี้มาก่อนเลย
แต่สถานที่นี้เต็มไปด้วยพลังพิฆาตที่สะสมมานานกว่าสิบปี จู่ๆ ก็ถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเขากำจัดจนหมดสิ้นในคืนเดียว ในใจของเยี่ยเทียนจึงรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และพวกสำนักหรือศาสตร์ลี้ลับต่างๆ ในยุทธภพ เกรงว่าจะมีแค่สำนักเสื้อป่านของพวกเขาที่สามารถทำได้
“ศิษย์น้องเล็ก ขึ้นมาเถอะ!”
โก่วซินเจียก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในหลุม ในใจจึงรู้สึกผ่อนคลายลง เขาถึงกับนั่งฟุบลงกับพื้น แขนขาทั้งเนื้อทั้งตัวก็ไม่มีแรง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผม…ผมยังจะขึ้นไปได้เหรอ?” สถานการณ์ของเยี่ยเทียนในขณะนี้แย่กว่าจากโก่วซินเจียเสียอีก จะเอาแรงที่ไหนปีนขึ้นมาจากหลุมลึกและสูงถึงสามเมตรกว่า
สุดท้ายโจวเซี่ยวเทียนหาบันไดเชือกวางลงไป แบกเยี่ยเทียนวางไว้บนหลังของเขา เขาฝึกบำเพ็ญเพียรมานานขนาดนี้ เยี่ยเทียนเคยมีท่าทางที่น่าอนาถเมื่อตอนที่ช่วยท่านอาจารย์แก้ลิขิตพลิกชะตาในครั้งนั้นเอง
ในขณะเดียวกันจั่วเจียจวิ้นที่หมดแรงอ่อนล้า พลางมองไปที่เยี่ยเทียนแล้วถามว่า “เยี่ยเทียน พลังพิฆาตในหลุมโปรดสัตว์เสร็จหมดแล้วใช่ไหม?”
“อืม มีอู๋เหินอยู่ พลังพิฆาตที่เหลือจึงไม่ต้องกังวลแล้ว”
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “พวกเรานอนก่อนอีกสักหนึ่งวัน และบอกคนงานพวกนั้นว่าอย่าเข้าใกล้ที่นี่ เพราะคนในโลงศพด้านล่างอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนสำนักเสื้อป่านของพวกเรา จะได้หลีกเลี่ยงการทำร้ายโครงกระดูกของบรรพบุรุษ!”
ในสมองของเยี่ยเทียนปรากฎเรื่องการสืบทอดออกมา ค่ายกลวิชาเจ็ดดาวไถแบบนี้เป็นการอวยพรให้แก่คนรุ่นหลัง และมีเพียงแค่สำนักเสื้อป่านพวกเขาเท่านั้นที่มี
ซึ่งหมายความว่า คนที่ทำค่ายกลนี้ต้องเป็นรุ่นพี่ของสำนัก เพียงแต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่มีพลังที่จะสำรวจอย่างละเอียดและจะสามารถสรุปทุกอย่างได้หลังจากเปิดโลงศพ
สภาพของทั้งสามคนในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก จั่วเจียจวิ้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก พลางพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันจะบอกพวกเขาเอง และจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่นี่หรอก”
ถึงแม้ว่าพลังพิฆาตที่แห่งนี้จะถูกกำจัดหมดไปแล้ว แต่เรื่องที่แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทำให้พวกคนงานพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้โลงศพหินนั้นไม่ได้รับความเสียหายอะไร
พลังชีวิตที่นี่เบาบางมาก การทำสมาธิยังฟื้นฟูเร็วไม่เท่ากับการนอนหลับเลย เมื่อให้โจวเซี่ยวเทียนขับรถเข้ามาสองสามคัน เยี่ยเทียนและศิษย์พี่ต่างก็มุดเข้าไปนอนในรถและนอนหลับทั้งชุดนั้น
พอถึงเวลาบ่ายสามโมงกว่า เยี่ยเทียนก็ตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อเช็คร่างกายของตัวเองพักหนึ่ง แล้วจึงอดส่ายหัวยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ เพราะเขาพลังชี่ดั้งเดิมฟื้นตัวได้ไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของพละกำลังของเขา
แต่ฮ่องกงมีฝนตกเป็นส่วนใหญ่ ไม่แน่ว่าเมื่อไรอาจมีฝนตกกระหน่ำเทลงมา เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าที่จะรอช้า รีบขนย้ายโลงศพโดยเร็ว เพื่อที่นี่จะได้ดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้
แต่ผ่านไปไม่นาน โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นก็ทยอยตื่นขึ้นมา สภาพทั้งสามคนไม่ต่างกัน การสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิมภายในร่างกาย ไม่สามารถฟื้นฟูได้ในเวลาแค่วันสองวัน
ถึงแม้ว่าจะยังอ่อนเพลียอยู่มาก แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร จั่วเจียจวิ้นคิดถึงคำพูดก่อนหน้าของเยี่ยเทียน อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ศิษย์น้องเล็ก นายบอกว่าคนที่ใช้ค่ายกลนี้มาจากสำนักเสื้อป่านเหมือนกับพวกเรา มันคืออะไรกันแน่?”
เยี่ยเทียนอธิบายว่า “ศิษย์พี่จั่ว ค่ายกลที่ใช้บนโลงศพหินนี้เรียกว่าค้ายกลเจ็ดดาวไถ ใช้ในการเปลี่ยนพลังหยินให้เป็นพลังมงคล เพื่ออวยพรและเป็นประโยชน์ให้แก่คนรุ่นหลัง แต่ค่ายกลประเภทนี้มีแค่สำนักเสื้อป่านของพวกเรา คนนอกไม่สามารถทำได้”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะถ่ายทอดคาถาวิชาให้กับศิษย์พี่ทั้งสองคนไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ใช้ในการโจมตี แต่พวกคาถาวิชาของฮวงจุ้ยสุสาน กลับยังไม่ทันได้ถ่ายทอด
“เยี่ยเทียน ที่นายพูดถ้าเป็นเรื่องจริง คนที่จัดวางค่ายกลนี้ ต้องเป็นรุ่นก่อนของอาจารย์อีกน่ะสิ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ตอนนั้นที่ฉันไม่ได้วิชาคาถาของสำนักเสื้อป่าน อาจเป็นเพราะอาจารย์รุ่นพี่มาที่ตอนใต้เหรอ?”
ก่อนที่หลี่ซั่นหยวนจะเข้ามาในสำนักเสื้อป่าน ประเทศจีนก็เกิดภัยพิบัติหลายอย่าง
เมืองแมนแดนสันติก่อการจราจลขึ้น เกือบจะกวาดล้างดินแดนทั้งหมดของจีน สำนักจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในภูเขาและป่าไม้ก็ถูกลากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง กระทั่งสำนักฉีเหมินบางแห่งได้ขาดการสืบทอด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลายคนในสำนักฉีเหมินหนีไปทางใต้เพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ทำให้คนใต้ในตอนนี้ เชื่อเรื่องคาถาวิชาฮวงจุ้ยมากกว่าชาวเหนือ จึงมีที่มาเพราะสาเหตุนี้
หลังจากเยี่ยเทียนคิดสักพักก็พูดว่า “ถ้าตามปกติแล้วหากเป็นการลงมือของอาจารย์สำนัก น่าจะมีป้ายจารึกสิ่งนี้ไว้ด้วย เดี่ยวรอให้เปิดหีบศพก่อน ผมจะไปขุดหาที่อื่นอีก เพื่อดูว่าจะหาป้ายหินศิลาจารึกได้ไหม?”
ผู้คนในสำนักฉีเหมินจะช่วยกันหาชัยภูมิของสุสาน เพื่อหลีกเลี่ยงการปัดแข้งปัดขาของคนอาชีพเดียวกัน และมักจะทิ้งข้อมูลบอกอย่างละเอียด อธิบายต้นสายปลายเหตุในการลงมือ ถ้าไม่มีความเกลียดแค้นมากเกินไป ปกติแล้วฝ่ายตรงข้ามจะไม่ขุดขโมยหลุมศพแบบนี้
เมื่อจ้องมองที่โลงศพหินที่อยู่ใต้หลุม เยี่ยเทียนก็หันไปพูดกับจั่วเจียจวิ้น “ศิษย์พี่ ให้คนขนโลงไม้ดีๆ เข้ามา เกรงว่าโลงศพหินนี้จะใช้ไม่ได้แล้ว”
ต่อให้ค่ายกลที่ใช้ในหลุมศพนี้ไม่ใช่อาจารย์อาวุโสเป็นคนทำ แต่ก็เป็นฝีไม้ลายมือของคนสำนักฉีเหมิน เยี่ยเทียนคงไม่ให้คนที่อยู่ในโลงศพหินออกมานอนแผ่หลาตรงนี้แน่นอน จึงสั่งให้คนหาผ้าใบมาคลุมหลุมลึกเอาไว้
หลังจากที่จัดวางเสร็จ เยี่ยเทียนและศิษย์พี่ทั้งสองก็ลงมาในหลุมพร้อมกัน และเดินไปที่หน้าโลงศพ
“ศิษย์พี่ พวกพี่ถอยไปหนึ่งก้าว ผมจะเปิดโลงศพ!”
เยี่ยเทียนถือไม้งัดในมือของเขา หลังจากที่รอโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นถอยออกไปนิดหนึ่ง ก็เอาไม้งัดไปเสียบตรงฝาโลง
“แกรก…แกรกๆ…”เยี่ยเทียนค่อยๆ ใช้แรง ฝาโลงศพก็กระดกขึ้น ในใจของเยี่ยเทียนเปี่ยมไปด้วยความดีใจ รีบเพิ่มกำลังมากขึ้น
แต่เมื่อไม้งัดงัดฝาโลงหินขึ้นมาได้ กลิ่นเหม็นเน่าก็ได้ลอยอบอวลไปทั่ว ทำให้เยี่ยเทียนกลั้นหายใจไม่ทัน จนเกือบอีกจะอาเจียนเนื้อวัวที่ทานเมื่อคืนออกมา
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหันกลับมาด้วยสีหน้าแปลกๆ โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาสองคนต่างก็มีประสบการณ์ในการเปิดโลงศพ แต่ก็รู้ว่าไม่ว่าโลงศพจะฝังนานขนาดไหน กลิ่นด้านในต้องไม่ใช่กลิ่นที่ดีแน่นอน จึงรีบกลั้นลมหายใจไว้ตั้งนานแล้ว
โบราณกล่าวไว้ว่าความเจ็บปวดระยะนานไม่สู้การเจ็บปวดระยะสั้น พยายามอดทนกับแรงกระเพื่อมที่อยู่ระหว่างหน้าอก เยี่ยเทียนใช้มือทั้งสองยกแผ่นหินขึ้นมาไว้ตรงเอว ใช้แรงเปิดออกทันที แผ่นหินที่มีน้ำหนักร้อยกิโลกรัมขึ้น จู่ๆ ก็ถูกร่างกายที่กำยำของเอาเปิดออกมาได้
“เห้ย นี่มันคือ…ผีดิบผมขาวเหรอ”
ถึงแม้จะปิดปากไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากเปิดฝาโลงออก มองเห็นสภาพในโลงชัดเจนแล้ว ดวงตาของเยี่ยเทียนและศิษย์พี่ทั้งสามคนแทบถลนออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
โลงศพหินนี้ไม่ได้ปิดอย่างแน่นหนา ในขณะนี้จึงเต็มไปด้วยน้ำขังอยู่ด้านใน
น้ำที่ขังอยู่ด้านบน กลับทำให้ซากศพลอยขึ้นมา เสื้อผ้าบนซากศพถูกกัดเซาะมานาน อาจเป็นสาเหตุที่ค่ายกลถูกทำลาย เวลานี้ซากศพได้เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว กลิ่นเหม็นเน่าจึงไหลออกมาจากทรวงอกและกระจายออกมา
แต่แขนขาของศพถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวเต็มไปหมด ความยาวประมาณหนึ่งนิ้ว มองดูแล้วแปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ถึงแม้จะเป็นกลางวันแสกๆ พวกเยี่ยเทียนก็ยังรู้หนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ พวกเขาต่างก็รับรู้ได้ ว่าซากศพนี้แฝงไปด้วยพลังพิฆาต น่าจะรุนแรงมากกว่าที่พวกเขากำจัดเมื่อวาน
วิญญาณชั่วเหล่านี้ดูเหมือนจะผสานกับกล้ามเนื้อบนแขนขาทั้งหมดของศพ บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมแขนขาไม่เน่าเปื่อย?
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่…พี่แน่ใจว่าโลกใบนี้ไม่มีผีดิบเหรอ?” เมื่อรับรู้ถึงพลังพิฆาตในตัวของซากศพ คำพูดของเยี่ยเทียนดูเหมือนจะสั่นเล็กน้อย
………………………..
ตอนที่ 554 โปรดสัตว์ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ของ…เล่นนี้ฉันก็ไม่เคยเจอมาก่อนนะ?”
น้ำเสียงของโก่วซินเจียก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะพวกเขาต่างรู้ว่า ตำนานบางอย่างในสมัยโบราณมาไม่ได้เป็นข่าวลือแน่นอน ปัจจุบันไม่ได้พบผีดิบแล้ว แต่ไม่ได้แสดงว่าบนโลกนี้จะไม่มีผีดิบอยู่จริง
เยี่ยเทียนเคยบรรยายถึงงูอนาคอนดาตัวนั้นที่อยู่ในภูเขาปีศาจ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เหนือการคาดหมาย ไม่แน่ว่าคนที่มีขนสีขาวขึ้นเต็มไปหมดที่อยู่ตรงหน้านี้ อาจจะเป็นผีดิบจริงๆ
เมื่อเห็นซากศพที่แปลกประหลาดตัวนี้ ในใจพวกเยี่ยเทียนสามคนต่างก็เหน็บหนาวไปหมด ใครจะรู้ว่าของสิ่งนี้อาจจะกระโดดออกมาจากในโลงศพหิน แล้วเอาเล็บแหลมๆ มาข่วนพวกเขาก็ได้
เมื่อรู้สึกถึงพลังพิฆาตที่น่าเกรงขามของศพมีขนยาวตนนั้น ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ปริปากพูดว่า “คำว่าผีดิบ อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดที่คนสร้างขึ้นมา บางทีร่างกายอาจจะไม่รับรู้อะไรแล้วก็ได้…”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาต่อสู้กับชาญทองทวนที่อยู่ในบ้านของถังเหวินหย่วน ก็มีสัตว์ประหลาดลักษณะเหมือนคนที่มีดหรือปืนฟันแทงไม่เข้าได้ติดตามมากับชาญทองทวนมาด้วย ซึ่งเหมือนกับศพที่มีผมสีขาวที่อยู่ตรงหน้าเขา
พลังพิฆาตที่อยู่ในตัวทั้งสองคนแฝงอยู่จำนวนมาก พลังวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นเกือบดูดกลืนร่างกายของพวกเขา แต่ก็เหมือนกับศพนี้ ตัวประหลาดนั้นไม่มีความคิดใดๆ เป็นเพียงการขับเคลื่อนของชาญทองทวนเท่านั้น
เยี่ยเทียนเดิมทีก็เป็นคนที่กล้าไม่กลัวอะไร เมื่อนึกถึงจุดนี้ จึงไปแกะหินเล็กๆ หนึ่งก้อนจากกำแพงหลุม นิ้วกลางมือขวาหนีบไว้ แล้วก็ดีดไปโดนขนขาสีขาวของซากศพนั่น
เกิดเสียง“ติง” ดังออกมา หลังจากที่ก้อนหินสัมผัสกับศพ คิดไม่ถึงว่าจะมีเสียงเหมือนทองปะทะกับเหล็ก ทำให้พวกเยี่ยเทียนต่างจ้องหน้ากันโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ โก่วซินเจียถึงกับพูดพึมพำว่า “สิ่งนี้ถ้าถูกพลังพิฆาตเปลี่ยนเป็นค่ายกลเจ็ดดาวไถและถูกกัดเซาะอีกระยะเวลหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ร่างกายไม่เสียหายเลยจริงๆ?”
ศพนี้จะกลายเป็นผีดิบได้ไหมทั้งสองสามคนก็ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าไม่ใช่ทีมงานก่อสร้างทำลายค่ายกลนี้ พลังชั่วร้ายเหล่านั้นก็คงเป็นตัวบำรุงให้กับศพต่อไป แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา จึงไม่มีใครที่จะสามารถคาดเดาได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ สิ่งนี้จะเก็บไว้ไม่ได้ ถ้าวิญญาณชั่วร้ายภายในร่างกายของพวกมันออกมา จะเกิดหายนะได้นะ!”
จั่วเจียจวิ้นไม่สนว่าจะเป็นผีดิบหรือไม่ใช่ผีดิบ ตอนนี้เขาแค่กลัวพลังพิฆาตในศพล้นออกมา “ไม่งั้น…พวกเราใช้ไฟเผาพวกมันเลยดีไหม?”
เคยได้ยินว่าการรับมือกับผีพรายแล้ง ก็คือการใช้ไฟเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เทถังน้ำมันลงบนนั้น แม้แต่ทองคำกับเหล็กก็ละลายได้
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น โก่วซินเจียจึงรีบส่ายหน้าพูด “ไม่เหมาะสม ศิษย์น้องจั่ว พลังวิญญาณชั่วร้ายในศพนี้กลายเป็นเนื้อแท้ของมันแล้ว ถ้าเผาด้วยน้ำมัน เกรงว่าหยินและหยางจะมาปะทะกัน อาจจะเกิดการระเบิดขึ้นได้”
พลังพิฆาตจะกลายเป็นหยินที่ชั่วร้ายที่สุด ดังนั้นไฟเป็นหยางที่แข็งแกร่งที่สุด
ถ้าทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันมาก การใช้ไฟพิชิตวิญญาณร้ายไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพียงแต่พลังพิฆาตในศพนี้น่ากลัวมากเกินไป การใช้ไฟเผาจึงไม่ใช่วิธีที่ดีอะไร
“งั้น…งั้นจะทำอย่างไรล่ะ?”
เมื่อจั่วเจียจวิ้นได้ยินถึงกับตะลึงตาค้าง ไม่มีการปลุกเสกคาถาค่ายกลเจ็ดดาวไถ ศพนี้ก็เหมือนถังระเบิด ไม่แน่อาจจะระเบิดเมื่อไรก็ได้
โก่วซินเจียคิดสักพัก และยิ้มพูดอย่างเจื่อนๆ “หรือจะใช้วิธีโง่ๆ พลังพิฆาตในตัวมันได้หลอมรวมในร่างกายแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นคงไม่มีอันตรายมาก พวกเราใช้ “คัมภีร์โปรดมนุษย์” โปรดเขาเถอะ!”
“มีแค่วิธีนี้แล้ว งานครั้งนี้ไม่ได้ทำสำเร็จง่ายๆ หรอก ต้องหาคนมากางเต็นท์สักสองสามหลังรอบบริเวณนี้”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เพราะไม่มีทางอื่นแล้ว อีกอย่างเรื่องเริ่มมาจากที่เขาสร้างคฤหาสน์ ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด
โชคดีที่พลังพิฆาตในศพนี้ยังไม่ได้ออกมาชั่วคราว แม้แต่หลิ่วติ้งติ้งที่ท่องบทสวดมนต์ “โปรดสัตว์” พลังพิฆาตก็ค่อยๆลดลง จากนั้นจึงพลัดกันท่องบทคัมภีร์โปรดสัตว์ จึงไม่ค่อยเหนื่อยกันมาก
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้แยกแยะระดับทักษะสูงต่ำของแต่ละคนชัดเจน เยี่ยเทียนใช้วิธีการผสมผสานท่องแบบประนมมือซึ่งได้ผลดีที่สุด เขาใช้เวลาแค่วันเดียว พลังพิฆาตที่อยู่ครึ่งหนึ่งของแขนศพได้ถูกบทโปรดสัตว์ขจัดจนหมดสิ้น
คนที่สองก็คือโก่วซินเจีย เขาได้กำหนดลมหายใจอย่างจริงจัง และท่องคัมภีร์ออกมาทำให้จิตใจของคนนั้นสงบ หนำซ้ำยังมีผลดีเยี่ยมกับวิญญาณชั่วร้าย และเมื่อคนงานที่ใจกล้าพวกนั้นได้ยิน ก็เกือบจะยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือลัทธิเต๋า
พละกำลังจั่วเจียจวิ้นค่อยๆ อ่อนลง ประสิทธิภาพก็ลดลงมากเช่นกัน ส่วนโจวเซี่ยวเทียนและหลิ่วติ้งติ้ง ก็ช่วยได้แค่นิดหน่อย แทบจะไม่มีผลต่อการโปรดสัตว์ของพลังพิฆาตเลย
เนื่องจากพลังพิฆาตในศพค่อยๆ หายไป ขนขาวที่อยู่บนศพก็ค่อยๆ หดตัว กล้ามเนื้อก็เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว กลิ่นเหม็นเน่านั้นทำให้คนที่ได้กลิ่นแทบจะอาเจียน
หลังจากทนกลิ่นนี้เป็นเวลาห้าวัน ในที่สุดพลังพิฆาตในศพก็หายไปจนหมด
ตามแบบสมัยโบราณ วิธีการนี้เรียกว่าการโปรดสัตว์ ต้องรู้ว่า ในสมัยโบราณหลังจากที่มีสงครามการต่อสู้กัน ทุกครั้งจะมีการเชิญพระลัทธิเต๋ามาทำพิธี ความจริงสิ่งที่เรียกว่าการโปรดสัตว์ ก็คือทำให้พลังพิฆาตนั้นหมดไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังหยินพิฆาตรวมตัวกันทำร้ายประชาชน
“เยี่ยเทียน ร่างศพนี้จะจัดการยังไง?”
เมื่อเห็นศพที่ไม่เหมือนศพได้เน่าเปื่อยแล้ว โก่วซินเจียจึงขมวดคิ้ว ถึงแม้พลังพิฆาตจะหมดไปแล้ว แต่ใครจะรู้ถ้าขุดดินลึกลงไปอีก อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกก็ได้
“เผาศพเถอะ เผาศพที่แท่นบูชานี้”
เยี่ยเทียนหันมามองจั่วเจียจวิ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ รบกวนท่านขึ้นแท่นพิธีทำพิธีด้วยนะครับ ช่วยโปรดผีดิบตนนี้เถอะ”
เพื่อที่จะบำบัดจิตของหมู่บ้านชาวประมงและคนงานก่อสร้าง สองสามวันมานี้จั่วเจียจวิ้นตั้งใจสร้างแท่นบูชาขึ้นมาเป็นพิเศษ ทุกวันตอนที่กำจัดพลังพิฆาตต่างก็นั่งอยู่บนแท่นบูชานี้
ยังไม่ได้พูดถึง ว่าการกระทำของจั่วเจียจวิ้นได้รับผลตอบรับดีมาก พวกชาวประมงและทีมงานคนก่อสร้างพวกนั้นหลังจากที่ได้เห็นแท่นบูชา ก็มีความกล้าหาญขึ้น รวมถึงพลังหยินที่เยือกเย็นนั้นค่อยๆ จางหายไป หลายคนจึงได้วิ่งมาที่ข้างหลุมเพื่อมาดูศพที่มีขนสีขาว
เมื่อมีการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ จั่วเจียจวิ้นก็ปฏิเสธทั้งหมด แต่ก็มีนักข่าวสองสามคนที่นำวีดีโอมาแอบถ่าย ทว่าได้ถูกโจวเซี่ยวเทียนไล่ออกไป
ต่อมาจั่วเจียจวิ้นก็อดทนจนถึงที่สุด บอกให้เถ้าแก่หัวอย่างตรงไปตรงมาว่าให้ส่งคนที่บริษัทมาคุมที่นี่หน่อย นี่ถึงจะสามารถปิดกั้นการรบกวนจากนักข่าวซุบซิบพวกนี้ได้
“ได้ ในที่สุดก็กำจัดอันตรายที่ซ่อนเร้นนี้ได้แล้ว”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า เรียกให้คนขับรถเครนมาหนึ่งคัน แต่ถึงแม้คนงานพวกนั้นจะใจกล้ามากขึ้น ทว่ายังไม่มีใครสักคนที่จะกล้าลงไปในหลุม
“ผมทำเอง”
ภายใต้ความจนปัญญา เยี่ยเทียนก็กระโดดเข้าไปในหลุมอีกครั้ง ใช้เชือกลวดมัดที่โลงศพหินจนแน่น ยกไปแขวนที่รถเครน โลงศพหินที่ใหญ่ก็ค่อยๆ ถูกดึงขึ้นมาไว้ที่บนพื้น
“หืม มีแผ่นศิลาจารึกด้วยเหรอ”เมื่อเห็นโลงศพหินยกขึ้นมาแล้ว เยี่ยเทียนก็พลิกโคลนดินที่อยู่ตรงท้ายโลงศพหิน ป้ายหินสีดำคล้ำแผ่นหนึ่งเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
เยี่ยเทียนยื่นมือทั้งสองข้างดึงป้ายหินออกจากในโคลน พบว่าด้านบนเต็มใบด้วยดินโคลน ไม่สามารถแยกข้อความด้านบนได้ชัดเจน แต่ด้วยความจำใจจึงต้องเอาป้ายหินขึ้นไปข้างบนก่อน
“กลับไปค่อยดู ทำพิธีกรรมให้เสร็จก่อน”
หลังจากที่ขึ้นมาบนพื้น โก่วซินเจียก็ได้เห็นแผ่นป้ายหินศิลาจารึก แต่จั่วเจียจวิ้นได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมทำพิธีเป็นลิงหลอกเจ้า
และพิธีเปิดแท่นบูชาในวันนี้ ได้เชิญคนจากสองสามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงมาดู รวมถึงกลุ่มคนงานก่อสร้าง ต่อไปการดำเนินการก่อสร้างจะต้องฝากความหวังไว้ที่พวกเขาแล้ว
สวมใส่ชุดนักบวชเต๋า มือซ้ายถือเข็มทิศ มือขวาโบกดาบไม้ท้อ จั่วเจียจวิ้นปรากฎตัวบนแท่นบูชา
โบราณกล่าวว่าคนวงในดูช่องทาง คนวงนอกเป็นไทยมุง เช่นเดียวกับการใช้วิชาทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวจุดผ้ายันต์พวกนั้นโดยไม่มีไฟ จั่วเจียจวิ้นทำออกมาได้อย่างคล่องแคล่วดังใจคิด ทำให้คนดูพวกนั้นต่างก็ปรบมือส่งเสียงร้องด้วยความยินดี
มีเพียงเยี่ยเทียนที่สงสัยว่า เมื่อก่อนศิษย์พี่สองเคยให้คำแนะนำเทคนิคภาพยนตร์เกี่ยวกับผีดิบที่เป็นกระแสในฮ่องกงช่วงหนึ่งมาก่อนหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นท่าทางพวกนี้ทำไมถึงแสดงเหมือนในภาพยนตร์ขนาดนี้?
“จุดไฟ!”
หลังจากที่แสดงเสร็จ จั่วเจียจวิ้นก็ออกคำสั่ง โจวเซี่ยวเทียนวางกองฟืนที่แช่น้ำมันเบนซินลงในโลงศพหิน โยนฟืนเข้าไป เชื้อเพลงในหลุมศพหินก็ลุกโชนขึ้น
รอจนกระทั่งไฟไหม้จนหมด เยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนก็ลงมือเอง เก็บขี้เถ้าของกระดูกทั้งหมดใส่ในโลงไม้ที่เตรียมไว้ เพราะบุคคลนี้อาจเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสของสำนักเสื้อป่าน จึงต้องจัดตำแหน่งไว้ในที่ดีๆ
หลังจากที่ร่ายมนตร์คาถาเสร็จ จั่วเจียจวิ้นคำนับผู้คนที่ล้อมทั้งสี่ด้าน พูดว่า “เรียนพ่อแม่พี่น้องทุกคน ผีดิบที่ทำร้ายคนตนนี้ ได้ถูกนายจั่วอย่างฉันคนนี้โปรดสัตว์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างวางใจ และจะไม่เกิดอันตรายอะไรอีก!”
“ขอบคุณท่านอาจารย์จั่ว เหล่าอู๋ขอเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้านหลายร้อยครัวเรือน ขอบคุณอาจารย์จั่วครับ!”
หลังจากที่สิ้นเสียงของจั่วเจียจวิ้น ผู้ใหญ่บ้านอู๋คนนั้นก็เป็นผู้นำในการตะโกนขึ้น นอกจากนั้นคนในหมู่บ้านก็ส่งเสียงร้องพร้อมกัน ชั่วพริบตาเดียว “ปรมาจารย์จั่ว” ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบรรพบุรุษซันชิง
ผู้คนรวมตัวกันเป็นเวลานานแล้วจึงแยกออกไป อาจารย์จั่วลงมาจากท่านบูชาด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชก โดยที่มีศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองคนที่ให้กำลังใจอยู่ด้านล่าง คำชมพวกนั้นทำให้เขาหน้าแดงมาก
“ศิษย์น้องจั่ว นี่คือแผ่นหินศิลาจารึกที่เยี่ยเทียนขุดขึ้นมาจากหลุม หาคนไปล้างซักหน่อย ดูว่าข้างบนเขียนว่าอะไร”
ไม่ใช่เพียงเยี่ยเทียนที่แปลกใจ แม้แต่โก่วซินเจียเองก็รู้สึกตะหงิดในใจ เพราะหลุมฝังศพนี้แม้แต่ร้านขายสินค้าพวกงานศพก็ยังไม่มี จึงไม่รู้ว่าศิษย์พี่อาวุโสคนนั้นทำไมต้องสร้างค่ายกลให้คนผู้นี้ด้วย?
ต้องรู้ว่า ผู้คนในสำนักฉีเหมินจะช่วยคนในการดูฮวงจุ้ย ราคานั้นสูงไม่ธรรมดา ถ้าหากอยากจัดตั้งฮวงจุ้ยที่ให้พรแก่คนรุ่นหลัง หากไม่มีทองคำถึงสองสามร้อยก็ไม่ต้องคิดถึงเลย
และสิ่งที่แปลกของที่นี่ คนโบราณให้ความสำคัญกับการจัดงานศพ คนที่สามารถซื้อทองได้ร้อยสองร้อยเหรียญ การฝังศพก็คงไม่ซอมซ่อแบบนี้ คำถามนี้จึงยังรบกวนใจพวกเยี่ยเทียนมาหลายวัน
ทั้งสามคนรอกลับไปดูไม่ไหว หลังจากที่ให้คนดึงท่อน้ำมาล้างดินบนป้ายหินให้สะอาดแล้ว ทันใดนั้นแถวข้อความหนาแน่นจึงปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
ตัวอักษรที่เขียนเป็นตัวอักษรบรรจงเล็กหรือเสี่ยวไข่ บทความนี้มีมากกว่าหนึ่งพันตัวอักษร ศิลปะการแกะสลักประณีตมาก ถึงแม้ตัวอักษรจะเล็ก แต่ตัวอักษรทุกตัวกลับแยกออกและเห็นได้อย่างชัดเจน
ทว่าเมื่อเริ่มอ่านคำจารึก เยี่ยเทียนก็มองไปที่จั่วเจียจวิ้นอย่างไม่เข้าใจและถามว่า “ศิษย์พี่จั่ว ซือซานเหลียงนี่เป็นใครกัน เขามีชื่อเสียงในฮ่องกงมากไหม?”
……………………………..
ตอนที่ 555 มหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ซือซานเหลียง? นี่…นี่คือใครกัน?”
จั่วเจียจวิ้นเผยสีหน้าที่งงงวยออกมา ปากก็บ่นซือซานเหลียงสามคำนี้ แต่การแสดงอออกของเขาก็บอกเยี่ยเทียนอย่างชัดเจนว่า เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ถึงแม้จั่วเจียจวิ้นจะมาที่ฮ่องกงเมื่อหลายสิบปีก่อน และเขายังเข้าออกตระกูลเศรษฐีที่ฮ่องกงอยู่บ่อยครั้ง แต่ในขณะนี้จั่วเจียจวิ้นคิดแล้วคิดอีก ก็คิดไม่ออกว่าตระกูลร่ำรวยไหนที่มีแซ่ซือ?
ต้องรู้ว่า ช่วงเวลาที่ศพฝังในถ้ำมังกรนี้ไม่ใช่เวลาเพียงสั้นๆ อย่างน้อยต้องหนึ่งร้อยห้าสิบปีขึ้นไป ซึ่งหมายความว่า ลูกหลานของผู้คนในสุสานนี้ จะต้องเคยร่ำรวยมั่งคั่งมาก่อน และคนร่ำรวยพวกนั้นน่าจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดา
แต่จั่วเจียจวิ้นกลับไปมองแค่คนร่ำรวยสมัยใหม่ของฮ่องกง ก็ไม่มีใครสักคนที่มีแซ่ซือ ทำให้เขาต้องเกาศีรษะเล็กน้อยๆ มองไปที่เยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ฮ่องกงไม่มีเศรษฐีนามสกุลซือจริงๆ เป็นไปได้ไหมที่ค่ายกลนี้จะใช้ไม่ได้ผล?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ ค่ายกลเจ็ดดาวไถเป็นความลับของสำนักเสื้อป่านของพวกเราที่ไม่เคยถ่ายทอดไปข้างนอก ในเมื่อท่านอาวุโสท่านนี้ได้สร้างออกมาแล้ว คงจะต้องรอให้ค่ายกลแสดงผลถึงจะไปจากที่นี่”
ตอนที่จั่วเจียจวิ้นและเยี่ยเทียนพูด โก่วซินเจียกลับอ่านป้ายศิลาจารึกบนแผ่นหินอย่างละเอียด สีหน้าก็เปลี่ยนทันที หลังจากที่ฟังทั้งสองคนถกเถียงกัน จึงปริปากพูดว่า “พวกนายทั้งสองอย่าถกเถียงกันไปไกลเลย มาอ่านตัวหนังสือบนแผ่นศิลาจารึกสิ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมเหรอครับ?” เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นหันหน้ามองไปที่โก่วซินเจียพร้อมกัน
โก่วซินเจียส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนจัดฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัยเรือนหยินนี้ เป็นผู้อาวุโสของสำนักพวกเราจริงๆ พวกนายอ่านจบก็จะรู้เอง”
“อ้อ?”
เยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นต่างก็ประหลาดใจอย่างมาก ไม่ได้ถกเถียงกันต่อ แต่กลับอ่านข้อความศิลาจารึกบนแผ่นหินอย่างละเอียด เรื่องราวช่วงนี้เป็นช่วงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าของทั้งสองคน
ที่แท้ เจ้าของในโลงศพหินนี้ ไม่ใช่พ่อค้าที่ร่ำรวย แต่เป็นช่างหินที่เป็นคนสังคมชั้นล่างในสมัยก่อน
ตอนที่ช่างหินชื่อซือซานเหลียงอายุสิบแปดปี นั่นคือในปี 1842 อังกฤษปกครองในฮ่องกง และสถานะทางสังคมของจีนตกไปที่สังคมชั้นล่าง
โชคดีที่ซือซานเหลียงที่มีความสามารถในการแกะสลักเครื่องหิน ถึงแม้ชีวิตจะลำบาก แต่ก็ยังสามารถยืดหยัดต่อไปได้ และจะได้รับธุรกิจใหญ่โดยบังเอิญจนกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
พูดกันว่าทั้งชีวิตซือซานเหลียงน่าจะใช้ชีวิตธรรมดาแบบนี้ แต่มีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา ไม่…น่าจะพูดว่าเปลี่ยนชีวิตคนรุ่นหลังของเขา
ในปี 1855 ซือซานเหลียงทำงานแกะสลักหินสิงโต เมื่อทำธุรกิจนี้ จึงสามารถรับรองได้ว่าครอบครัวเขาสามคนจะต้องมีกินมีใช้ไม่ขาดแน่นอนตลอดสองสามเดือนนี้
ในเวลานั้นฮ่องกงไม่ได้ตระหนักถึงการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ชาวประมงพึ่งพาทะเลกินอยู่กับทะเล ดังนั้นช่างหินจึงขึ้นอยู่กับภูเขากินอยู่กับภูเขา เมื่อมีกำลังคนสองสามคน ซือซานเหลียงก็เตรียมที่จะขึ้นภูเขาไปเลือกหาหินที่เหมาะสม
แต่เมื่อกลุ่มผู้คนมาถึงตีนเขา กลับพบชายชราที่กำลังจะตายมีเลือดออกเต็มตัวในพงหญ้า บนตัวมีแผลมีดเจ็ดแปดสิบเปอร์เซ็นต์
ถึงแม้ซือซานเหลียงจะเป็นช่างหินที่อยู่ในสังคมชั้นล่าง แต่กลับมีจิตใจที่ดีมาก เมื่อเห็นชายชราน่าเวทนาคนนี้ ตอนนั้นก็เกิดความสงสาร แม้แต่ก้อนหินสักก้อนก็ยังไม่ได้เก็บ แล้วก็แบกชายชราคนนี้กลับไปที่บ้าน
พ่อแม่ของซือซานเหลียง เสียชีวิตตั้งนานแล้ว ในบ้านมีเพียงภรรยาและลูกสาวอายุสิบสามปี หลังจากที่ช่วยทำความสะอาดร่างกายให้ชายชรา เขาก็ให้ภรรยาฆ่าแม่ไก่ที่ออกไข่เพียงตัวเดียวในบ้าน
หลังจากการดูแลอย่างดีของซือซานเหลียง ร่างกายของชายชราก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว หลังจากสามวันเขาสามารถเดินได้ และหลังจากนั้นโรงโม่หินในบ้าน ดูเหมือนจะไม่มีของอะไรในมือของเขา
ในเวลานี้ซือซานเหลียงก็รู้แล้ว ว่าตัวเองได้ช่วยเหลือคนมหัศจรรย์ แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่อยากให้คนอื่นตอบแทนบุญคุณ อีกทั้งเขาไม่มีพ่อแม่ ถ้าชายชราไม่พูดว่าจะไป ซือซานเหลียงจะดูแลเขาเสมือนพ่อกับแม่
หลังจากหนึ่งปีต่อมามีวันหนึ่ง จู่ๆ ชายชราก็เรียกซือซานเหลียงเข้าไปในห้อง บอกเขาว่าวันที่กำหนดอายุขัยของภรรยาของเขาใกล้เข้ามาแล้ว และจะตายในวันถัดไป ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้
และแล้ว หลังจากหนึ่งวันถัดไป ภรรยาของซือซานเหลียงก็ตายโดยไม่มีอาการป่วย หลังจากจัดการศพภรรยาเสร็จ ชายชราก็พูดกับซือซานเหลียงอีกว่า บอกเขาว่าโชคชะตาของเขาอยู่ในระดับต่ำ แม้แต่ตัวเขาเองจะมีชีวิตอยู่เพียงสามปี
ตามที่ชายชราพูด ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บาดเจ็บ ก็ยังสามารถช่วยซือซานเหลียงพลิกลิขิตเปลี่ยนชะตาได้ เพื่อต่ออายุไปได้อีกสองสามปี แต่หลังจากที่ชี่ดั้งเดิมได้รับการบาดเจ็บหนัก จึงไม่มีความสามารถนั้นแล้ว
ซือซานเหลียงถือว่าเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง ตอนนั้นเขาจึงพูดกับชายชราว่า เขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ชายชราช่วยให้คนรุ่นหลังของเขามีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง
หลังจากที่ชายชราครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก็รับปากคำขอของซือซานเหลียง แต่ตามคำบอกเล่าของซือซานเหลียง เพราะเขามีลูกสาวคนเดียว พรนี้เกิดขึ้นกับลูกสาวของซือซานเหลียง และคนรุ่นหลังก็คงไม่ได้นามสกุลซืออีกต่อไปแล้ว
ซือซานเหลียงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย ไม่ว่าคนรุ่นหลังจะนามสกุลอะไร สายเลือดของเขาก็ยังสืบทอดอยู่ในร่างกายอยู่ดี ภายใต้คำอ้อนวอนที่หนักแน่นชายชราก็ได้จัดเตรียมไว้ให้เขา
ตั้งวันนั้นเป็นต้นมา นอกจากซือซานเหลียงจะทำงานเลี้ยงชีพเป็นปกติแล้ว เวลาที่เหลือก็สร้างโรงศพหินของตัวเอง ใช้เวลาสองปีถึงสร้างโรงศพหินเสร็จ
สามวันก่อนถึงเส้นตายของซือซานเหลียง ชายชราก็พาเขามาที่แห่งนี้ ให้เขาขุดหลุมลึกลงไปในพื้นดินถึงห้าเมตร และเอาโลงศพหินเข้าไปข้างใน
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จ ซือซานเหลียงก็เป็นอย่างที่ชายชราพูด เขาตายอย่างฉับพลันเพียงชั่วข้ามคืน และไม่มีใครหาสาเหตุของการตายได้
เนื่องจากซือซานเหลียงนั้นดีกับทุกคน รวมทั้งเพื่อนบ้านละแวกนั้นก็รู้ถึงความปรารถนาก่อนตายของเขา จึงได้ช่วยเหลือชายชราและลูกสาวของเขา ฝังเขาไว้ในโลงศพหินที่ได้ขุดขึ้นมาในสุสาน
ด้านล่างสุดของป้ายคำจารึก ชายชราได้ลงชื่อของตัวเอง เขานามสกุลลี่ ชื่อว่าหยวนจึ นักบวชเต๋าลี่หยวนจึ เป็นหัวหน้าสำนักเสื้อป่านรุ่นที่สี่สิบหก
เพื่อหลบสงคราม ลี่หยวนจึจึงอพยพจากแผ่นดินใหญ่มาที่ฮ่องกง แค่เขาคิดไม่ถึงว่า จะมีศัตรูต่างสำนักหลบหนีมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน
เมื่อเปรียบเทียบคนในสมาชิกของสำนักเสื้อป่านที่มีไม่มากนัก สำนักฉีเหมินนั้นกลับมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หลังจากผ่านชีวิตความเป็นความตาย ถึงแม้ลี่หยวนจึจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ตอนสุดท้ายของป้ายศิลาจารึก ลี่หยวนจึได้ทิ้งข้อความไว้ว่าเขาใช้พลังทั้งหมดในการทำนายดวงชะตาว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งร้อยกว่าปี จะมีคนในสำนักเสื้อป่านมาเห็นป้ายศิลานี้ เพื่อหาฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในการฝังคนในโลงศพหิน และเพื่อเป็นการตอบแทนซือซานเหลียงที่ได้ช่วยชีวิตไว้
เมื่อ่านจนถึงจุดนี้ เยี่ยเทียนถึงกับตกใจและรู้แจ้งโดยทันที ในสำนักเสื้อป่านมีเรื่องที่ลึกลับมากที่สุด กลับถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ
เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์หลี่ซั่นหยวนพูดว่า สำนักเสื้อป่านตอนที่สืบทอดมาถึงรุ่นที่สี่สิบหก ก็คือช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้า เป็นช่วงชองกบฏไท่ผิงเทียนกั๋วพอดี และเจ้าสำนักลี่หยวนจึในตอนนั้นก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เนื่องจากหัวใจหลักของวิชาคาถาสำนักเสื้อป่านมีมากมาย และทั้งหมดก็ถูกสืบทอดกันผ่านหัวหน้าสำนักเท่านั้น ตอนนั้นลูกศิษย์ทั้งสองคนของลี่หยวนจึต่างก็ไม่ได้รับการสืบทอดวิชาสำคัญ จึงเป็นสาเหตุทำให้คาถาวิชาของสำนักเสื้อป่านในร้อยปีหลังได้สูญหายไปอย่างมาก
เรื่องราวบนแผ่นป้ายศิลาจารึกก็เป็นอย่างนั้น ไม่เพียงแต่สถานะของเจ้าของโรงหินศพ ที่ไกลกว่าการจินตนาการของพวกเยี่ยเทียน แบะคนที่จัดฮวงจุ้ยหยินนี้ได้ ก็คือคนที่เป็นบรรพบุรุษของสำนักเสื้อป่านนั่นเอง
เรื่องราวของลี่หยวนจึได้จารึกไว้บนหินศิลาจารึก ทำให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องของเยี่ยเทียนที่ห่างกันร้อยปี ถึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เพียงเวลาไม่กี่นาที พวกเขาทั้งสามคนรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไป
หลังจากที่อ่านบันทึกช่วงนี้จบ เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นก็อดจ้องตากันอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าลี่หยวนจึใช้ภาษาลับมากมาย จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเชื่อเรื่องราวที่แปลกประหลาดนี้
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วปรมาจารย์ลี่หยวนจึจะเป็นยังไง? ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่ทิ้งวิชาสืบทอดไว้ด้วยล่ะ?”
โก่วซินเจียถอนหายใจยาว สำนักวิชาฉีเหมินให้ความสำคัญกับการพลิกชะตาฟ้าดิน จุดจบมักจะน่าอนาถมากกว่าคนที่อยู่ยุทธภพพวกนั้นหลายเท่า
ก็เหมือนกับตัวของโก่ววินเจีย แน่นอนว่าถ้าไม่ใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ เกรงว่าเขาอาจจะตายไปนานแล้ว แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ เขาก็รับภาระอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไว้เกือบครึ่งศตวรรษ
“หรือว่าการสืบทอดของลิทธิเต๋าเหมาซาน ถูกทิ้งไว้ในตัวของอาจารย์ลี่หยวนจึเหรอ?” หลังจากที่ฟังศิษย์พี่ใหญ่ ในใจของเยี่ยเทียนก็มีความคิดที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งออกมา
เพราะหลี่ซั่นหยวนเคยพูดว่า วัดเต๋าของสำนักเสื้อป่านนี้เขาเจอโดยไม่ได้ตั้งใจ เกรงว่าน่าจะอยู่มานานมากกว่าหนึ่งร้อยปีขึ้นไป เมื่อเทียบกับระยะเวลาแล้ว จึงเป็นช่วงเวลาที่ลี่หยวนจึหายตัวไปพอดี
ดังนั้นสามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่า บางทีลี่หยวนจึอาจเคยอาศัยอยู่ในภูเขาเหมาซาน ค้นพบวัดเต๋าที่สร้างขึ้นในสถานที่ดังกล่าว แต่ต่อมามีสงครามรุกรานมาถึงเจียงหนาน เขาถึงต้องหนีออกมาอย่างจำใจ
เยี่ยเทียนยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น แต่เขายอมรับเรื่องการถ่ายทอดวิชาที่เป็นปาฏิหาริย์ นอกจากที่เหล่านักพรตเฒ่าที่เคยเห็น บนโลกนี้ก็ไม่มีใครที่สามารถรู้ได้ ตอนนี้จึงไม่อาจใช้ถกเถียงกับศิษย์พี่ทั้งสองคนได้
“หืม? ศิษย์พี่รอง พี่…พี่เป็นอะไรไป?”
เมื่อระงับความตื่นเต้นในใจแล้ว เยี่ยเทียนจึงเงยหน้าขึ้น แต่กลับพบว่าจั่วเจียจวิ้นหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางของเขากลับตื่นเต้นมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงกลัดกลุ้มขึ้น และศิษย์พี่รองที่อ่านใจคนได้ จึงรู้ความรู้สึกในใจทั้งหมดของเขาว่าคิดอย่างไร?
จั่วเจียจวิ้นมองไปรอบๆ พูดอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “ฉัน…ฉันรู้ว่าเจ้าของโลงศพหินนี้เป็นใครแล้ว”
“ศิษย์พี่รอง ที่พี่พูดไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?”
เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินถึงกับตะลึง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ใช่แค่พี่ที่รู้ ผมกับศิษย์พี่ใหญ่ แล้วก็เซี่ยวเทียน ติ้งติ้งก็รู้กันหมดทุกคน คนนี้แซ่ซือ ชื่อว่าซือซานเหลียงไง”
“ถูกต้อง ศิษย์น้องจั่ว สถานะของเจ้าของโลงศพหินนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
โก่วซินเจียก็ยิ้มขึ้นมา เพราะป้ายบนแผ่นหินก็เขียนชื่อเจ้าของโลงศพไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ศิษย์น้องทั้งสองยังอยากจะโอ้อวดความสามารถต่อคนอื่นอีก ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก และรู้สึกว่าสมองเกิดความสับสนเล็กน้อย
“เฮ้อ ที่…ที่ฉันพูดไม่ใช่เขา”
จั่วเจียจวิ้นรีบพูดขึ้น และรีบอธิบาย “ที่ฉันพูดคือคนรุ่นหลังของเขา ก็คือสถานะทางสังคมของลูกสาวเขา นั่น…นั่นก็คือมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในฮ่องกง!”
พอพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเสียงของจั่วเจียจวิ้นก็ค่อยๆ ลดต่ำลง และพูดว่า “พวกเราเอาป้ายหินศิลานี้กลับไปที่บ้านก่อน ห้ามแพร่งพรายเนื้อหาในป้ายหินออกมาแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นภัยได้”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น