ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 548-554

 ตอนที่ 548 ขัดตาทัพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ภายใต้การกระตุ้นท่ามือ แสงสีดำก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปยังป่าแห่งนั้น


ครู่ต่อมา แสงสีดำก็เปล่งประกายเหนือป่า จากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏออกมา พอมองลงไปด้านล่างก็ต้องรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา


จะเห็นว่าบนพื้นสูงที่อยู่ในป่า ชายแซ่หัวแห่งหอร้อยหลอมผู้นั้นกับผู้ฝึกฝนวัยกลางคนผู้หนึ่ง ต่างก็โบกสะบัดธงค่ายกลจนเหงื่อเปียกโชก และร่วมมือกันกระตุ้นค่ายกลป้องกันชั่วคราวอยู่


แต่ลำแสงสิบกว่าลำที่พุ่งออกมาทั่วทิศ ดูระเกะระกะเล็กน้อย มันค้ำยันม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมทั้งสองไว้


และด้านข้างของทั้งสอง ยังมีชายชุดเทาที่โชกไปด้วยเลือดนอนหลับตาอยู่ โดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร


ด้านนอกค่ายกล ชายฉกรรจ์ใบหน้าหยินหยางกำลังปล่อยกำปั้นโจมตีม่านแสงอยู่ไม่หยุด


ท่ามกลางเสียงที่ดังโครมคราม ม่านแสงก็ดูท่าจะพังมิพังแหล่


แต่ขณะที่มีเสียงดังก้องเข้ามานั้น คนทั้งสองที่อยู่ในค่ายกลก็สังเกตเห็นหลิ่วหมิงที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนต้องหันมาดูอย่างอดไม่ได้


“ท่านทูตหลิ่ว!” พอชายแซ่หัวเห็นหลิ่วหมิง เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ


หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาหยุดอยู่เหนือค่ายกล พอก้มหน้ามองแล้วเห็นว่าคนผู้นี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็กวาดสายตามองชายฉกรรจ์ใบหน้าหยินหยางอย่างรวดเร็ว


คนผู้นี้ไม่ได้ใช้อาวุธจิตวิญญาณใดๆ อาศัยแต่พลังของตนเองก็สามารถสั่นสะเทือนค่ายกลป้องกันทั้งหลังได้ ทำให้หลิ่วหมิงไม่อาจดูเบาได้


อย่างที่รู้ว่า แม้ค่ายกลชุดนี้จะไม่มีจุดพิเศษอะไร แต่มันเป็นสิ่งที่นิกายยอดบริสุทธิ์มอบให้ศิษย์จำนวนหนึ่งที่ตั้งมั่นอยู่ภายนอกใช้ป้องกันศัตรูแข็งแกร่งได้ชั่วคราว โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับผลึกลงไปก็ไม่อาจทำลายได้อย่างรวดเร็ว


แต่ว่าในขณะที่สายตาหลิ่วหมิงตกอยู่บนใบหน้าขาวดำของชายฉกรรจ์นั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป และเอ่ยปากออกมาทันที


“ปีศาจหยินหยาง!”


“อ้อ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะจำข้าได้ เจ้าก็คงเป็นคนของนิกายยอดบริสุทธิ์ ทั้งยังเป็นศิษย์สายนอกด้วย ดีมาก! ดูท่าวันนี้ข้าจะเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อย” พอชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางได้ยิน ก็หยุดปล่อยกำปั้นและเงยหน้าไปมองหลิ่วหมิง ดวงตาที่มีขนาดใหญ่ราวกับระฆังทองแดงฉายแววอาฆาตแค้นออกมา


หลิ่งหมิงทำเสียงฮึดฮัดและไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด พอไอดำบนตัวพวยพุ่ง ร่างของเขาก็กระโจนมาจากบนอากาศอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พุ่งลงมาถึงเหนือศีรษะของชายฉกรรจ์ และทุบกำปั้นลงมาทันที


เงากำปั้นสีดำกลุ่มหนึ่งเปล่งประกายออกมา


ดูเหมือนปีศาจหยินหยางจะนึกไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ ใบหน้าของมันจึงเผยความประหลาดใจออกมา แต่ก็ยังปล่อยกำปั้นออกไปรับอย่างไม่หวาดกลัว ทำให้มีเปลวไฟสีเขียวอยู่ในเงาของกำปั้นขนาดใหญ่อย่างรำไร


“ตู้ม!” พอแสงสีดำปะทะกับเปลวไฟสีเขียว มันก็แยกตัวออกจากกันทันที


ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางต้องร่นถอยออกไปสิบกว่าก้าวถึงจะตั้งหลักได้ และสีหน้าของเขาก็ดูอึมครึมขึ้นมา


และอีกด้านหนึ่ง ร่างของหลิ่วหมิงเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศเบาๆ ทำให้พลังของปีศาจหยินหยางหายไป และค่อยๆ ร่อนลงหน้าค่ายกลราวกับขนปุยสีขาว


ครั้งนี้เขาใช้พลังสลายพลังอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้มาจากการต่อสู้กับหลานสี่หลากหลายครั้งในแดนมายา


ขณะนี้ ไอดำที่พวยพุ่งอยู่บนตัวเขาได้กลายเป็นมังกรหมอกสองตัวกับพยัคฆ์อีกหนึ่งตัวแล้ว ทั้งยังส่งเสียงคำรามใส่ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางอยู่พักหนึ่ง


“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ!” ดูเหมือนชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางจะจำวิชานี้ได้ ใบหน้าสีดำขาวของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวกลายเป็นแสงสีเขียวแล้วพุ่งหนีไปไกลๆ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หันมากล่าวกับคนทั้งสอง


“ผู้เชี่ยวชาญหัว พลังเวทของพวกเจ้าหมดสิ้นไปแล้ว รีบกลับไปที่ตลาดเถอะ ข้าจะไปตามมนุษย์ปีศาจผู้นั้นเอง”


กล่าวจบก็ไม่รอคำตอบจากทั้งสอง พอแสงสีดำบนตัวเปล่งประกาย เขาก็ทะยานขึ้นฟ้าในทันที และพุ่งไปทางที่ปีศาจหยินหยางหนีไป


ปีศาจหยินหยางที่จัดอยู่ในอันดับที่สามสิบนี้ นิกายยอดบริสุทธิ์ประกาศให้รางวัลนำจับสามหมื่นแต้มคุณูปการ โอกาสอันดีเช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ปล่อยไปโดยง่าย


เพราะเขายังติดหนี้แต้มคุณูปการอยู่เป็นจำนวนมาก


บนพื้นที่สูงในป่า ผู้เชี่ยวชาญหัวกับสหายต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทั้งสองยังไม่ทันรู้สึกตัว หลิ่วหมิงกับชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางก็หายไปอย่างรวดเร็วแล้ว


ทั้งสองสามารถเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้ ไหนเลยจะกล้าอยู่ที่นี่นานอีกต่อไป หลังจากเก็บธงค่ายกลบนพื้นอย่างรีบร้อนแล้ว ก็พุ่งกลับไปทางตลาดทันที


พริบตาเดียว หลิ่วหมิงก็ตามล่าปีศาจหยินหยางออกไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว


เขาจ้องมองแสงสีเขียวตรงหน้าด้วยความฉงน


ตั้งแต่ปีศาจหยินหยางเริ่มต้นหลบหนี ความเร็วของเขาก็ประเดี๋ยวช้าประเดี๋ยวเร็ว ตอนนี้กลับช้าลงไปสองสามส่วน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลบหนีจริงๆ แต่เหมือนจะล่อให้เขาออกไปไกลจากตลาดฉางหยางหน่อย


แม้ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคิดจะทำอะไร แต่การแลกมือในก่อนหน้า หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน เขาย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็กระตุ้นแสงหลบหลีกไล่ตามไปทันที


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสีเขียวตรงหน้าก็หยุดชะงักอยู่บนอากาศเหนือยอดเขาลูกหนึ่งในฉับพลัน พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของปีศาจหยินหยางที่ยืนยิ้มอย่างน่าเกลียดโดยที่เอามือไขว้หลังไว้


บริเวณที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง พอแสงสีดำเปล่งประกาย หลิ่วหมิงเองก็หยุดแสงหลบหลีกลง และยืนคุมเชิงกันอยู่


พอเขาร่อนลงพื้นก็ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปสำรวจดูพื้นที่ในระยะหลายลี้อย่างละเอียด


เขาค้นพบว่าพื้นที่บริเวณนี้รกร้างว่างเปล่า นอกจากสัตว์ป่าไม่กี่ตัวแล้ว ก็ไม่ค้นพบอะไรที่ผิดปกติเลย ตอนนี้เขามองชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา


“เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของนิกายยอดบริสุทธิ์ คงเป็นศิษย์สายในสินะ? จุ๊ๆ! ข้ายังไม่เคยฆ่าศิษย์สายในเลยนะ วันนี้นับว่าเป็นครั้งแรก” ชายฉกรรจ์บดฟันของเขา และจ้องมองหลิ่วหมิงราวกับจ้องมองลูกแกะที่รอเชือด


“เจ้าล่อข้ามาถึงที่นี่ คงกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือระดับแก่นแท้เหล่านั้นสินะ?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ก็ไปตายซะเถอะ!” พอปีศาจหยินหยางได้ยิน ก็ดูเหมือนจะมองดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ร่างของชายฉกรรจ์ก็พร่ามัว พริบเดียวก็กระโจนมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง มีเปลวไฟสีเขียวปรากฏออกมาบนกรงเล็บปีศาจขนาดยักษ์ และคว้าลงมาอย่างโหดเหี้ยม


“ฟู่!”


ในขณะที่กรงเล็บปีศาจคว้าลงมา ร่างของหลิ่วหมิงก็พร่ามัวหายไปทันที ที่แท้ก็เป็นแค่เศษเงาของเขาเท่านั้น


พอชายฉกรรจ์คว้าได้แต่ความว่างเปล่า ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ทันใดนั้นแววตาของเขาก็ฉายแววโหดเหี้ยมออกมา และชกกำปั้นออกไปด้านข้าง


หลิ่วหมิงเพิ่งจะปรากฏตัวตรงด้านข้าง และเพิ่งจะตั้งหลักได้ ก็มองเห็นกำปั้นขนาดเท่าศีรษะโจมตีเข้ามา


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที คิดไม่ถึงว่ารูปร่างขนาดใหญ่ของชายฉกรรจ์จะเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้


พอเงาร่างปรากฏออกมา เขาก็หายวับไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง


ด้วยพลังของหลิ่วหมิงที่ต่อสู้กับหลานสี่นับร้อยรอบแต่ยังสามารถประคับประคองไว้ได้ แม้ว่าการเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์จะน่าตกใจ แต่ไหนเลยจะเทียบกับเขาได้จริงๆ


ขณะนี้ สีหน้าของปีศาจหยินหยางดูแค้นเคืองเป็นอย่างมาก


แม้เขาจะไม่ใช้ร่างฝึกแท้ แต่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันที่สามารถเทียบความเร็วกับเขาได้นั้นมีอยู่น้อยมาก แต่การทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ถึงสองครั้ง ย่อมทำให้เขาโมโหเล็กน้อย


พอเขาขยับแขนทั้งสอง จิตรับรู้กลับไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นไอของฝ่ายตรงข้ามได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที


ครู่ต่อมา ลมร้อนก็พัดผ่านข้างหูของชายฉกรรจ์ พอเหลือบตามองก็เห็นแสงสีขาวเส้นหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์อันร้อนรนใจ เขาโค้งตัวเก้าสิบองศาอย่างรวดเร็ว จนพอที่จะหลบพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชายฉกรรจ์ก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไม่น้อย ประจักษ์ชัดว่าถูกเศษลำแสงสีขาวทำร้ายเข้าแล้ว


ชายฉกรรจ์พุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้งท่ามกลางแสงสีเขียวที่เปล่งประกาย บนหลังเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเม็ดเล็กๆ


หากไม่ใช่ว่าเขาหายวับอย่างรวดเร็ว ศีรษะคงถูกแสงสีขาวฟันออกไปครึ่งหนึ่งแล้ว


“แสงกระบี่!” ในที่สุดปีศาจหยินหยางก็มองเห็นแสงสีขาวอย่างชัดเจน


หลิ่วหมิงยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่ทว่ารอบตัวของเขากลับไม่มีร่างจริงของกระบี่เลย


“เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่?” ปีศาจหยินหยางกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูสะพรึงกลัว ขณะเดียวกัน ดวงตาของเขาก็ดูฉงนเล็กน้อย


แม้หลิ่วหมิงจะมีใบหน้าไร้ความรู้สึก และดูเหมือนไม่คิดจะตอบแต่อย่างใด แต่ในใจเขาก็รู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย


เมื่อครู่เขาใช้ดัชนีกระบี่จู่โจมฝ่ายตรงข้ามอย่างฉับพลัน ประกอบกับการฝึกต่อสู้กับวิชาปีศาจของหลานสี่อยู่หลายครั้ง เดิมทีคิดว่าสามารถโจมตีจุดสำคัญของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะหลบไปได้


ที่แท้คนชั่วช้าที่มีชื่ออันดับที่สามสิบในบัญชีความเป็นความตาย ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอไอดำบนตัวพวยพุ่ง ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิม


ปีศาจหยินหยางเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็อ้าปากพ่นธงกระดูกขาวเล็กๆ ออกมา พอทำท่ามือ ม่านแสงสีขาวก็ปรากฏอยู่รอบๆ


“ตู้ม!”


ขณะที่เพิ่งทำทุกอย่างที่ว่านี้เสร็จ ชายฉกรรจ์ก็รู้สึกว่ามีแสงสีขาวสั่นสะท้านอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังออกมา


กำปั้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีม่วงโจมตีใส่ม่านแสงทันที


“เปรี๊ยะๆ!” พื้นผิวม่านแสงแตกร้าวเป็นรูปใยแมงมุม


ปีศาจหยินหยางที่อยู่ด้านในเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


แม้ธงกระดูกขาวของเขาจะไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด แต่ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณป้องกันระดับสูงที่มียี่สิบสี่ชั้นจำกัด คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนเกือบแตกกระจาย


และหลิ่วหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าม่านแสงสีขาวตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดหมายไว้เล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานการโจมตีของมุกพลังวารีในมือเขาได้


แต่หลังจากเขาทำเสียงฮึดฮัดออกมาแล้ว ก็ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ในม่านแสงทำการตอบโต้แต่อย่างใด หมอกดำชั้นหนึ่งปรากฏบนแขนทันที พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่หนึ่งเท่าตัว เกล็ดมังกรบนแขนเปล่งประกายท่ามกลางหมอกดำ แลดูโหดเหี้ยมยิ่งนัก


พอเขาตะคอกเสียงออกมา แขนข้างหนึ่งก็พร่ามัว และกลายเป็นเงากำปั้นจำนวนมากโจมตีลงบนม่านแสงทันที


“เพล้ง!” ม่านแสงสีขาวแตกกระจายในพริบตา


ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จากนั้นแสงสีเขียวบนตัวก็เปล่งประกายเพื่อจะหลบหนี


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กางนิ้วทั้งห้าทันที แสงสีขาวจำนวนมากเปล่งประกายออกมา จากนั้นลำแสงสีขาวก็มาถึงตรงหน้าชายฉกรรจ์


“ฟิ้วๆ!”


แสงสีเขียวแปลกประหลาดเปล่งประกายบนแผ่นหลังของปีศาจหยินหยาง แต่พริบตาเดียวก็ถูกแสงสีขาวแทงทะลุ จนเกิดเป็นรูเลือดของนิ้วมือห้านิ้ว โลหิตบริสุทธิ์ไหลออกมาทันที


ร่างของชายฉกรรจ์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายแล้วพุ่งออกไปด้านนอก


จะบอกว่าช้าแต่กลับรวดเร็วมาก หลิ่วหมิงยกแขนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ชี้นิ้วไปด้านหน้า


ตอนที่ 549 ชายหนุ่มชุดเขียว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฟิ้ว!” ปราณกระบี่สีขาวที่เห็นได้ชัดว่ามีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัวพุ่งยิงออกไป และหมุนวนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พร่ามัวหายไปบนใจกลางสันหลังของชายฉกรรจ์


“อ๊าก!”


ปีศาจหยินหยางร้องออกมาอย่างเวทนา พอกระอักเลือดออกมาแล้ว ร่างของเขาก็ล้มลงกลางอากาศ


ระหว่างที่ตกลงมานั้น ลำแสงสีเขียวจำนวนมากก็ปรากฏบนตัวชายฉกรรจ์ และรวมตัวตรงปากแผล ร่างขนาดใหญ่ของเขาหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจก็ร่วงลงพื้นกลายเป็นชายหนุ่มชุดเขียว ขณะเดียวกันบาดแผลบนหลังก็สมานกันดังเดิม


“สมควรตาย บังอาจทำลายร่างปีศาจหยินหยางที่ข้าลำบากฝึกฝนมาหลายสิบปี! เดิมทีการกลับนิกายในครั้งนี้ ก็สามารถเข้าสู่ระดับผลึกในบ่อหยินหยางได้แล้ว! ฮึ! เอาชีวิตของเจ้ามาชดใช้เถอะ!” ชายหนุ่มชุดเขียวพลิกตัวขึ้นมาจ้องมองหลิ่วหมิง แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น พอเขาตบเอว แสงสีทองสี่ลำก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นนักรบชุดเกราะสีทองสี่ตัวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ก่อนที่จะร่วงลงพื้น


“เอ๋! นี่คือนักรบเกราะทองคำในงานประมูลชุดนั้นนี่?” พอหลิ่วหมิงเห็นหุ่นนักรบชุดเกราะทั้งสี่ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา


“ที่แท้ผู้ฝึกฝนนิกายปีศาจลี้ลับที่ประมูลหุ่นนักรบไปได้ก็คือคนผู้นี้นั่นเอง มันก็ถูก! หลังจากร่างของเขาฟื้นคืนเป็นปกติแล้ว น้ำเสียงก็เหมือนกับในงานประมูลไม่มีผิด……” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่งก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด แววตาของเขาเผยแววสังหารออกมาโดยไม่รู้ตัว


ในห้องประมูลในก่อนหน้านั้น มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยู่ข้างตัวคนผู้นี้ ดูท่าคงจะต้องจัดการคนผู้นี้โดยเร็ว มิเช่นนั้นหากผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นั้นตามมาถึง และร่วมมือกันล่ะก็ คงต้องลงไม้ลงมือไม่น้อย


ระหว่างที่คิดไตร่ตรองนั้น ชายหนุ่มชุดเขียวกลับร่ายคาถาออกมา และสะบัดแขนปล่อยอักขระสีทองใส่ระหว่างคิ้วของหุ่นนักรบทั้งสี่


ทันใดนั้น แสงสีทองก็เริ่มเปล่งประกายบนตัวหุ่นนักรบ และมันก็แผ่พลังกดดันระดับของเหลวขั้นปลายอออกมา


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที เขาย่อมไม่อยู่นิ่งรอให้ฝ่ายตรงข้ามกระตุ้นหุ่นนักรบ ทันใดนั้นร่างของเขาก็พร่ามัว และกระโจนเข้าหาชายหนุ่มชุดเขียว


ร่างของเขาอยู่กลางอากาศ แสงสีแดงเปล่งประกายในแขนเสื้อ กระบี่บินสีแดงเล่มหนึ่งพุ่งออกไป และกลายเป็นสายรุ้งม้วนตัวเข้าหาชายหนุ่มชุดเขียว


ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น ร่างของเขาค่อยๆ สั่นไหว และม่านแสงสีขาวก็ปกคลุมตนเองกับหุ่นนักรบทั้งหมดไว้


มันคือธงกระดูกขาวที่ได้รับความเสียหายในก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าเขาเก็บคืนไปเมื่อใด และกระตุ้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ทว่าพลังของม่านแสงสีขาวในขณะนี้ลดลงไปมาก และมีทีท่าไม่มั่นคงเท่าไหร่ ประจักษ์ชัดว่าไม่อาจต้านทานได้นาน


การกระทำของชายหนุ่มชุดเขียวในขณะนี้ เป็นแค่การเยื้อเวลาเพื่อกระตุ้นหุ่นนักรบทั้งสี่เท่านั้น


แม้หุ่นนักรบทั้งสี่จะมีพลังไม่ต่ำไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลาย แต่ก็ต้องใช้พลังจิตไม่น้อย หากชายหนุ่มจะกระตุ้นมัน ยังต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง


พอม่านแสงสีขาวก่อตัวขึ้น แสงสีแดงก็พุ่งเข้ามาถึง แสงกระบี่ที่ยาวหลายจั้งฟันลงมาอย่างโหดเหี้ยม


“ตู้ม!”


ม่านแสงสีขาวสั่นสะท้านขึ้นมา แสงบนตัวมืดลงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้แตกกระจายในทันที


ชายหนุ่มชุดเขียวที่อยู่ท่ามกลางม่านแสงกลับไม่สนใจสิ่งนี้ มือทั้งสองปล่อยพลังใส่หุ่นนักรบทั้งสี่อยู่ไม่หยุด


ครู่ต่อมา ร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มชุดเขียวอย่างรวดเร็ว ไอดำลอยบนอยู่บนแขน และทุบลงบนม่านแสงอย่างรุนแรง


“เพล้ง!”


ม่านแสงสีขาวสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็แตกกระจายออกมา


“สำเร็จแล้ว!”


ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แสงสีทองสี่ลำตรงหน้าพุ่งขึ้นฟ้า ในที่สุดหุ่นนักรบก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!


หลิ่งหมิงเห็นเช่นนี้ก็กระทืบเท้าลงพื้นอย่างรุนแรง ร่างของเขาหายวับไปทันที ครู่ต่อมาก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มชุดเขียว และกำลังจะทำอะไรบางอย่าง


ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายตรงหน้า เงาร่างสูงจั้งกว่าๆ ขวางอยู่ใจกลางระหว่างเขากับชายหนุ่มชุดเขียว จากนั้นกำปั้นสีทองขนาดเท่าศีรษะก็โจมตีออกมาอย่างรุนแรง


“ปัง!”


แขนที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรของหลิ่วหมิง ปะทะกับกำปั้นสีทองของหุ่นนักรบในฉับพลัน


พลังมหาศาลพุ่งเข้ามา หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อาศัยพลังพุ่งถอยไปไกลหลายจั้ง แต่ร่างของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อยสองที ก็สลายพลังมหาศาลนี้ไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยละล่องลงพื้น


“รสชาติของหุ่นนักรบเป็นอย่างไรบ้าง! ไม่สบายเลยใช่ไหม!” พอชายหนุ่มชุดเขียวเห็นหลิ่งหมิงกระเด็นออกไปหลายจั้ง ก็ค่อยๆ หันมากล่าวด้วยความพอใจ


หลังจากมีเสียงดังฟู่ๆ เงาร่างสีทองอีกสามเงาก็พร่ามัวพุ่งขึ้นฟ้า และค่อยๆ ร่วงลงมาอย่างมั่นคง หุ่นนักรบทั้งสี่ยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยมระหว่างชายหนุ่มชุดเขียวกับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา สีหน้าดูลังเลเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าหุ่นนักรบเหล่านี้รับมือได้ยากกว่าที่เขาคิดมาก


ชายหนุ่มชุดเขียวมองหุ่นนักรบตรงหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ละสายตาไปมองหลิ่วหมิง และหัวเราะอย่างเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็โบกแขนปล่อยแสงสีทองสองลำใส่หุ่นนักรบสองตัวที่อยู่ตรงหน้าสุด


หุ่นนักรบตรงกลางสองตัวกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง และอีกสองตัวก็ทำท่าป้องกันเพื่อปกป้องชายหนุ่มชุดเขียวไว้ด้านใน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา และรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


ความจริงแล้วหุ่นนักรบเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นค่ายกลสี่ทิศ เพื่อใช้ในการป้องกัน ขณะเดียวกันก็มีพลังในการโจมตีด้วย หากใช้หุ่นนักรบทั้งสี่ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกล อานุภาพของมันย่อมเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย


แต่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้มั่นใจจนเกินไปหรือว่าโง่กันแน่ ถึงได้แยกหุ่นนักรบทั้งสี่ออกจากกัน เช่นนี้แล้วเพียงแค่ทำลายได้ตัวหนึ่ง ก็ไม่สามารถวางค่ายกลสี่ทิศได้แล้ว


หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจแล้ว ก็แตะเท้าลงพื้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งถอยออกไปพร้อมกับเศษเงา


ขณะเดียวกัน พอเขาทำท่ามือ กระบี่บินสีแดงตรงหน้าก็สั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งกระบี่ยาวหลายจั้ง และเปล่งแสงเจิดจ้า


ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง น้ำเสียงดูไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย


ครู่ต่อมา เกิดเสียงดัง “ตู้ม!”


สายรุ้งกระบี่สีแดงฟันใส่หุ่นนักรบตัวที่อยู่ทางซ้ายอย่างรุนแรง


แต่ทว่าหุ่นนักรบเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็สะบัดกำปั้นใส่สายรุ้งกระบี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งไว้เพียงรอยกระบี่จางๆ บนพื้นผิวเท่านั้น และมันก็ไล่ตามหลิ่วหมิงไป


ขณะเดียวกัน หุ่นนักรบที่อยู่ทางขวาก็ไล่ตามเข้ามาใกล้แล้ว มันอ้าปากพ่นลำแสงสีทองขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งใส่หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เขารู้ดีว่าไม่อาจหลบหลีกได้โดยง่าย ร่างของเขาจึงหยุดชะงักในทันที จากนั้นเกล็ดมังกรจำนวนมากก็ปกคลุมแขนของเขาไว้อย่างแน่นหนา และสะบัดออกไปรับมือกับลำแสง


“ตู้ม!”


ภายใต้การปล่อยกำปั้นของหลิ่วหมิง ทำให้ลำแสงสีทองถูกโจมตีจนแตกกระจาย


“ร้ายกาจ!”


แม้ดูเหมือนเขาจะโจมตีลำแสงสีทองอย่างง่ายดาย แต่ทว่าแขนของเขาก็สั่นสะเทือนจนรู้สึกชาเล็กน้อย


แสงลำนี้มีอานุภาพเกือบจะเทียบเท่าได้กับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย


ในขณะนั้น หุ่นนักรบทางด้านซ้ายก็ตามมาถึง และอยู่ห่างจากตรงหน้าเขาเพียงลัดมือเดียว พอแขนของมันพร่ามัว กำปั้นสีทองอร่ามก็ชกใส่หลิ่วหมิง และเกิดเป็นระลอกคลื่นสีทองยาวๆ


หลิ่วหมิงก็ตอบสนองรวดเร็วมาก ทันทีที่เขาบิดตัวจนบิดเบี้ยว ก็สามารถหลบกำปั้นนี้ไปได้ ขณะเดียวกันก็หันไปชกหุ่นนักรบอย่างรุนแรง


“ปัง!” ครู่ต่อมา กำปั้นของหลิ่วหมิงที่ถูกปกคลุมไปด้วยกำปั้นสีดำ ก็ปะทะกับกำปั้นอีกลูกของหุ่นนักรบ ในขณะที่หุ่นนักรบโซซัดโซเซร่นถอยออกไปสองก้าวนั้น หลิ่วหมิงก็พุ่งถอยออกไปหลายจั้งอีกครั้ง


เขายังไม่ทันตั้งหลักได้ ลำแสงสีทองก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ


ผ่านไปไม่นาน หุ่นนักรบทั้งสองก็ถูกหลิ่วหมิงล่อให้ออกห่างชายหนุ่มชุดเขียวไปหลายสิบจั้ง


หุ่นนักรบอีกสองตัวกลับคุ้มครองอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มชุดเขียวโดยไม่ยอมออกห่าง และไม่ตามเข้ามา


“นี่ก็พอประมาณแล้ว”


หลิ่วหมิงโจมตีลำแสงสีทองจนแตกสลายอีกครั้ง จากนั้นก็ชำเลืองมองชายหนุ่มชุดเขียวทีหนึ่ง และตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว


หมอกดำสองกลุ่มพุ่งออกจากถุงหนังสองใบ


ในขณะที่ไอดำลอยวนนั้น ก็มีเสียงหัวเราะออกมา หัวบินหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และตกลงข้างตัวหลิ่วหมิง


และหมอกดำอีกกลุ่มก็หมุนวนร่วงมาอยู่ข้างเท้าหลิ่วหมิง พอไอหมอกสลายไปก็เผยให้เห็นร่างของแมงป่องกระดูก


“ปีศาจบ่มเพาะ!” พอชายหนุ่มชุดเขียวเห็นท่าทีของหลิ่วหมิง ก็ดูเหมือนจะหัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่ใส่ใจแต่อย่างใด มือทั้งสองก็ควบคุมหุ่นนักรบทั้งสองอยู่ไม่หยุด เพื่อที่จะโจมตีหลิ่วหมิงให้เสียชีวิตในทีเดียว


สำหรับนิกายปีศาจลี้ลับอย่างพวกเขาแล้ว ปีศาจรับใช้เป็นสิ่งที่เห็นจนชินชา ทั้งยังอ่อนแอกว่าเจ้าของมาก ในขณะทำการต่อสู้ก็มีบทบาทจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นเวลาเผชิญหน้ากับหุ่นนักรบที่แข็งแกร่ง การโจมตีโดยทั่วไปก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้หุ่นนักรบได้เลยแม้แต่น้อย


“ไป! ก่อกวนหุ่นนักรบทั้งสองตัวไว้!” หลิ่วหมิงกระตุ้นจิต และถือโอกาสที่หุ่นนักรบทั้งสองยังไม่ทำการโจมตีสั่งปีศาจทั้งสองผ่านจิต


พอแมงป่องกระดูกได้รับคำสั่ง ร่างขนาดเท่าปากถ้วยของมันก็ปล่อยไอดำออกมา และขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าแผ่นหินโม่ พอดีดขาหลังทั้งหก ร่างของมันก็กระโดดขึ้นมา ก้ามยักษ์โจมตีหน้าอกของหุ่นนักรบทางด้านซ้ายอย่างรุนแรง


หุ่นนักรบถูกพลังมหาศาลปะทะเช่นนี้ ก็จำต้องถอยไปหนึ่งก้าว ขณะที่กำลังจะต่อยให้แมงป่องกระเด็นออกไปนั้น พลันมีเสียง “ฟิ้วๆ!” ดังติดต่อกัน เส้นสีดำเล็กๆ จำนวนมากโจมตีใบหน้ากับหน้าอกของหุ่นนักรบจนเกิดเป็นรูเข็มบางๆ


เกือบจะในเวลาเดียวกัน หัวบินก็หมุนวนไปหาหุ่นนักรบทางด้านขวา เส้นผมสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง


หุ่นนักรบเกราะทองคำไม่สนใจการโจมตีของเส้นผมสีเขียว พอมันอ้าปาก ลำแสงสีทองก็ถูกพ่นใส่หน้าหัวบิน


หัวเล็กๆ ทั้งสองข้างส่งเสียงร้อง “แคล็กๆ!” พอมันอ้าปาก เปลวไฟสีเขียวก็ถูกพ่นออกมาทันที เมื่อปะทะกับลำแสงสีทอง ทั้งสองก็สลายไป


ครู่ต่อมา เส้นผมสีเขียวม้วนตัวเป็นตาข่ายสีเขียวขนาดใหญ่ในทันที และปกคลุมหุ่นนักรบตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา


พลังของหุ่นนักรบเกราะทองคำก็ไม่อาจดูเบาได้ ภายใต้การสะบัดแขนทั้งสอง แม้ว่าจะไม่อาจหลุดออกไปได้ แต่ก็มีเส้นผมจำนวนไม่น้อยที่ฉีกขาดออกมา


และในขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าในมือของหลิ่วหมิงถือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองตั้งแต่เมื่อไหร่ และใช้มือทั้งสองประกบมันไว้ จากนั้นก็ส่งพลังเวทเข้าไป


เมื่อแสงสีทองส่องแสงเจิดจ้า เงาร่างสีทองที่สูงจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏออกมา


ตอนที่ 550 หุ่นสี่ทิศ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไป!”


ขณะที่ออกคำสั่ง หลิ่วหมิงก็สะบัดแขนเสื้อออกไป แสงสีทองแวววาวพุ่งออกมา และยื่นขยายกลายเป็นอสรพิษสีทองที่ยาวหลายจั้ง จากนั้นก็กระพริบไปรัดพันหุ่นนักรบที่ถูกเส้นผมรัดไว้


ขณะนี้นักรบยันต์เกราะทองคำได้กระโจนมาถึงตรงหน้าหุ่นนักรบ และโจมตีหัวของหุ่นนักรบที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้


หุ่นนักรบตัวนั้นไม่ทันได้ระวัง จึงถูกโจมตีจนล้มลงพื้น


ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าปีศาจบ่มเพาะทั้งสองของหลิ่วหมิงจะแข็งแกร่งเช่นนี้ ดูจากคลื่นพลังเวทที่แผ่ออกมา นึกไม่ถึงว่าจะมีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย!


การกระทำของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจล่อหุ่นนักรบของเขาออกไปไกลๆ


“กล้าทำลายหุ่นนักรบของข้าเชียวหรือ? ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!” ชายหนุ่มชุดเขียวตะคอกออกมา แสงสีเขียวบนตัวสว่างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็กระโจนเข้ามาพร้อมกับหุ่นนักรบอีกสองตัว


แต่ร่างของหลิ่วหมิงกลับพร่ามัวไปนานแล้ว และไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหุ่นนักรบที่ถูกหัวบินกับนักรบยันต์ผ้าเหลืองโจมตีจนกระเด็น พอกระบี่บินในมือเปล่งประกาย ก็แทงใส่อักขระสีเหลืองบนอกซ้ายของมัน


สำหรับโครงสร้างของหุ่น หลิ่วหมิงก็ศึกษามาไม่น้อย เพียงแค่ทำลายบริเวณที่เป็นแกนหลักของพลัง หุ่นที่แข็งแกร่งก็จะใช้งานไม่ได้ทันที จากการสังเกตดูในก่อนหน้า เขาย่อมหาแกนสำคัญของมันเจอนานแล้ว


“ฟิ้ว!”


กระบี่บินสีแดงแทงลึกลงบนสัญลักษณ์ตรงหน้าอกของหุ่นนักรบ แสงสีทองบนตัวของมันเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง และมีเสียงแตกหักดังมาจากด้านใน


ดวงตาหลิ่วหมิงเผยแววดีใจออกมา แต่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว


คิดไม่ถึงว่ากลไกภายในกับพลังเวทที่ไหลวนของหุ่นตัวนี้ จะไม่หยุดลงอย่างสมบูรณ์ หัวสีทองยังคงเปล่งแสงสีทองออกมา แต่เห็นได้ชัดว่ากลิ่นไอที่ปล่อยออกมาอ่อนแอกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! คิดไม่ถึงว่าหุ่นนักรบนี้จะมีแกนสำคัญสองจุด มิน่าล่ะถึงได้เคลื่อนไหวปราดเปรียวเช่นนี้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอเขาทำท่ามือ กระบี่บินสีแดงก็พุ่งออกไปอีกครั้ง หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็แทงเข้าไประหว่างคิ้วของหุ่นนักรบ


“ปัง!”


ในที่สุดหุ่นนักรบเกราะทองคำก็หยุดการเคลื่อนไหว แสงสีแดงในดวงตาดับลง จากนั้นก็ล้มลงพื้นอย่างรุนแรง


ตั้งแต่หลิ่วหมิงปล่อยปีศาจทั้งสองปิดล้อมศัตรู จนถึงตอนที่ทำลายหุ่นนักรบไปหนึ่งตัวนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น


จนเมื่อหุ่นเกราะทองคำล้มลงพื้น ชายหนุ่มชุดเขียวถึงพาหุ่นทั้งสองตามมาถึง แต่พอเขากวาดสายตาดูหุ่นที่นอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นกับอีกตัวที่ถูกแมงป่องกระดูกก่อกวนจนไม่อาจหลุดออกมาได้แล้ว ร่างของเขาก็หยุดชะงักในทันที ใบหน้าเขียวปัดไปทั้งแถบ จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความอาฆาตแค้น


หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ และโบกแขนปล่อยพลังออกไป ทรายทองคำที่รัดพันหุ่นอยู่สลายออกมาทันที หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีทองตกลงบนมือของเขา


“เจ้าคิดว่าหากข้าไม่สามารถแสดงค่ายกลสี่ทิศได้ ก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าได้งั้นหรือ?” ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น


หลิ่วหมิงยิ้มและไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับใช้จิตสั่งหัวบินกับนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองอย่างรวดเร็ว


“ฟู่ๆ!”


หัวบินกับนักรบพลังผ้าเหลืองพุ่งยิงออกไปในทันที และกระโจนเข้าใส่หุ่นนักรบทั้งสองที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดเขียว


ในขณะเดียวกัน พอหลิ่วหมิงทำท่ามือ แสงกระบี่สีแดงก็เปล่งประกายตรงหน้า และฟันใส่ชายหนุ่มชุดเขียว


“รนหาที่ตาย!”


ชายหนุ่มชุดเขียวตะโกนออกมา แสงสีดำเปล่งประกายบนมือทั้งสอง จากนั้นกำปั้นสีดำสนิทก็ปรากฏออกมา และชกใส่แสงกระบี่ตรงหน้า


“ตู้ม!” กระบี่บินสีแดงถูกโจมตีจนกระเด็นกลับไป และชายหนุ่มชุดเขียวก็ถูกพลังมหาศาลกดดันจนต้องร่นถอยไปสองก้าว


ขณะที่ชายหนุ่มชุดเขียวตั้งหลักได้ และคิดที่จะสะบัดกำปั้นออกไปนั้น ก็มีเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นดังเข้ามาในหู ชายหนุ่มเพียงแค่รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว จากนั้นเส้นเงาดำก็สะบัดใส่หน้าอกของเขา


“ปัง!” ชายหนุ่มชุดเขียวไม่ทันได้ระวังจึงทำให้ปราณแกร่งคุ้มร่างถูกโจมตีจนแตกกระจาย และความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอกก็ประดังประเดเข้ามา ร่างของเขากระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และหล่นลงพื้นราวกับเป็นถุงกระสอบ


“เอื๊อก!” ชายหนุ่มชุดเขียวกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก หน้าอกยุบลงไปทั้งแถบ แม้ขณะหายใจยังรู้สึกเจ็บปวดจนยากที่จะทนได้


“เป็นไปไม่ได้……” ชายหนุ่มชุดเขียวพลิกตัวขึ้นมา แววตาของเขาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก


ในนิกายปีศาจลี้ลับเขาเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก และยังมีที่พึ่งขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลัง สามารถพูดได้ว่าเรียกลมเรียกฝนได้ ไม่เคยกระเซอะกระเซิงเช่นนี้มาก่อน


และห่างออกไปไม่ไกล หุ่นนักรบสี่ตัวที่เป็นที่พึ่งอันแข็งแกร่งที่สุดของเขา ตัวหนึ่งถูกทำลายไปแล้ว อีกสามตัวก็ถูกฝ่ายตรงข้ามก่อกวนอยู่ ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ อย่าพูดถึงว่าจะมาช่วยเขาเลย


ชายหนุ่มชุดเขียวฝืนความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกลุกขึ้นมาพร้อมส่งเสียงตะโกน แต่พอเงาดำเคลื่อนไหวตรงหน้า ก็มีเงาคนผู้หนึ่งปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาในที่สุด แต่พออ้าปาก แสงสีดำก็พุ่งออกมา มันคือเข็มเล็กสีดำที่ยาวหลายชุ่นเล่มหนึ่ง


หลิ่วหมิงไม่ก้าวเข้าไปด้านหน้า แต่กลับถอยออกไป หลังจากหัวบินพร่ามัว เงาเข็มดำก็กระพริบผ่านไป พอเขาสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็ม้วนตัวออกมา และก่อตัวเป็นดาบแสงสีทองภายในพริบตา จากนั้นก็แทงไปด้านหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง


ระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวไม่สามารถหลบหลีกได้เลยแม้แต่น้อย พอจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณอย่างอื่นมาป้องกันตัว ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ทำได้แต่พยายามขยับตัวไปด้านข้าง เพื่อหลบให้พ้นจุดสำคัญไปก่อน


พอแสงสีทองเปล่งประกาย ปราณแกร่งคุ้มร่างของชายหนุ่มชุดเขียวก็ถูกฟันจนแตก แขนข้างหนึ่งถูกตัดออกมา และระเบิดตัวเป็นหมอกโลหิต


“อ๊าก!” ชายหนุ่มชุดเขียวร้องอย่างเวทนา


แต่เขาก็เป็นผู้ที่มีจิตใจหนักแน่น พอกัดฟันอย่างรุนแรง ร่างของเขาก็ร่นถอยออกไปหลายจั้ง มืออีกข้างหยิบยันต์มาแปะไว้บนแขนที่ขาดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดบริเวณไหล่หยุดไหล และพอโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีดำก็เปล่งประกาย พัดขนนกที่มีสีดำมากกว่าสีขาวปรากฏออกมา มันคือพัดดับวิญญาณ อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่เขาประมูลมาได้


หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ พัดด้ามนี้คงมีสามสิบชั้นจำกัด ภายใต้การกระตุ้นอย่างบ้าคลั่ง อานุภาพของมันก็ไม่อาจดูเบาได้


แต่เวลาในตอนนี้เลยงานประมูลมาแค่สองสามเดือนเท่านั้น ในเมื่อชายหนุ่มผู้นี้สามารถปรับแต่งหุ่นชุดนี้สำเร็จ คิดว่าคงยังไม่ได้ปรับแต่งพัดดับวิญญาณจนเสร็จสิ้น หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก


ในขณะที่เขากำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น ชายหนุ่มชุดเขียวก็เผยสีหน้าอัปลักษณ์ออกมา และปล่อยพลังเวททั้งหมดเข้าไปในพัดดับวิญญาณ ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอ เขาจึงอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ลงไปบนพัดอีก


แสงสีขาวดำเปล่งประกายบนพัดดับวิญญาณ จากนั้นก็พัดใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง


พอไอหมอกสีม่วงพุ่งออกจากพัด มันก็ก่อตัวเป็นโครงกระดูกสีม่วง และอ้าปากดูดมาทางหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ปกคลุมเต็มอากาศบริเวณรอบๆ หูทั้งสองเจ็บปวดอย่างรุนแรง และก็รู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อย


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือหยิบโซ่เล็กสีเงินออกมา ขณะเดียวกันก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว


โซ่เล็กสีเงินเปล่งประกาย ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งแสงสีเงินออกมา พลังจิตอันแข็งแกร่งทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งไปรับมือกับโครงกระดูกสีม่วงที่เพิ่งมาถึง


“ตู้ม!” โครงกระดูกสีม่วงสลายไปทันที และกลายเป็นไอหมอกสีม่วงอันพวยพุ่งก่อนที่จะค่อยๆ หายไปในอากาศ


ท่ามกลางไอหมอก เงาร่างสีเขียวเพียงแค่หมุนตัว เงาปีศาจก็หายวับไป ครู่ต่อมาเขาก็มาอยู่ห่างจากตรงหน้าชายหนุ่มชุดเขียวสองสามจั้ง


“ไม่! ข้าไม่ยอมแพ้ให้กับคนไร้ชื่อเสียงอย่างเจ้าหรอก!” ชายหนุ่มชุดเขียวมีใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ตะคอกออกมา พัดดับวิญญาณในมือพัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง คมวายุสีดำจำนวนมากก็ค่อยๆ ม้วนตัวออกไป เพื่อคิดจะต่อสู้อย่างสุดชีวิต


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมาทันที ไอดำบนตัวเปล่งประกาย ร่างของเขาบิดตัวไปมาราวกับอสรพิษ พริบตาเดียวก็พุ่งออกจากคมวายุไปได้


ครู่ต่อมา ชายหนุ่มชุดเขียวรู้สึกว่ามีพายุสีดำพัดผ่านข้างตัว จากนั้นก็รู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก พอหันไปมอง กลับเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง และกำลังยกฝ่ามือข้างหนึ่งที่มีไอดำลอยวนขึ้นมา บนฝ่ามือมีหัวใจที่มีโลหิตสดๆ ไหลรินกำลังเต้นอย่างช้าๆ


ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นฉากเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็หยุดชะงักในพริบตา ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง ใบหน้าดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


“โพล๊ะ!”


เขากุมฝ่ามืออย่างรุนแรง หัวใจถูกบีบจนแตกสลาย และโลหิตสดๆ ก็พุ่งออกมา


ชายหนุ่มชุดเขียวอ้าปากพะงาบๆ มีเสียงแหบแห้งจนฟังไม่ออกดังออกจากลำคอ จากนั้นร่างกายก็อ่อนยวบยาบแล้วล้มลงพื้น ดวงหน้าไร้ซึ่งสีสันใดๆ มีเพียงแค่รูบริเวณหน้าอกที่ยังมีเลือดไหลอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงดึงฝ่ามือกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และสะบัดรอยเลือดบนมือออกเบาๆ


ขณะนั้นเอง ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากศีรษะของชายหนุ่มชุดเขียว มันกระพริบแค่ทีเดียวก็พุ่งออกไปไกลหลายจั้ง และคิดจะทำการหลบหนี


หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่ตายแล้วยังสามารถรักษาดวงจิตส่วนหนึ่งไว้ได้นั้น เขาเองก็ไม่ได้เจอเป็นครั้งแรก ดังนั้นย่อมไม่ให้เขาหนีไปได้เป็นอันขาด เพียงแค่โบกมือ กระบี่เล็กสีแดงก็พุ่งยิงออกไปล้อมรอบไอดำไว้


มีเสียงร้องออกจากไอดำอย่างน่าเวทนา จากนั้นก็ระเบิดด้วยเสียงดัง “ปัง!” และกลายเป็นจุดแสงสีดำก่อนสลายไป


ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมจะเก็บกระบี่บินด้วยสีหน้าผ่อนคลายนั้น พลันมีแสงโลหิตเส้นเล็กๆ พุ่งออกจากแสงสีดำ มันกระพริบแค่ทีเดียวก็จมหายไปในร่างของเขา


มันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ทำให้เขาไม่อาจหลบได้ทัน!


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบกระตุ้นพลังจิตเข้าไปสำรวจดูภายในร่าง ไม่นานก็เห็นเส้นสีแดงจางๆ อยู่ในส่วนลึกของเส้นลมปราณ


ใจเขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา นึกถึงวิชาสายปีศาจแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ ส่วนมากใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตนเอง แสดงวิชาชั่วร้ายออกมา


เขาจำได้ว่ามีเคล็ดวิชาสายปีศาจชนิดหนึ่งที่เรียกว่ากระบี่โลหิตพ่าย ซึ่งเป็นการเผาไหม้โลหิตบริสุทธิ์ของตนเองให้กลายเป็นกระบี่โลหิต เพียงสัมผัสโดนตัวของศัตรูแค่เล็กน้อย ก็สามารถบุกเข้าไปในพลังชีวิตกับจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้ และค่อยๆ กลืนกินพลังชีวิตของฝ่ายตรงข้ามไปจนเสียชีวิต ราวกับหนอนแมลงวันบนกระดูกข้อเท้า มันเป็นวิชาชั่วร้ายที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจใช้ก่อนตาย เพื่อทำให้ศัตรูตายตกไปพร้อมกัน


“หรือว่าโลหิตนี้จะเป็นหนึ่งในวิชาชนิดนี้?”


หลิ่วหมิงรู้สึกกังขาเล็กน้อย แต่พอมาคิดไตร่ตรองดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมือนมากนัก


วิชาชั่วร้ายอย่างกระบี่โลหิตพ่าย ล้วนต้องใช้พลังชีวิตกับพลังเวทที่เพียงพอถึงจะแสดงออกมาได้ ตอนที่วิญญาณบริสุทธิ์ถูกแสงกระบี่ทำลายไปนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณของการใช้พลังเวทเลย


จากนั้นเขาก็รีบขับไล่ไหมโลหิตออกไป แต่ไม่ว่าจะกระตุ้นพลังเวทอย่างไร ก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไหมโลหิตไม่ได้มีอยู่จริง ดูท่าเคล็ดวิชานี้คงเป็นเคล็ดวิชาพิเศษของนิกายปีศาจลี้ลับ


“ช่างเถอะ! รอกลับไปตลาดแล้วค่อยจัดการ” ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่อาจทำอะไรได้ ทำให้เพียงแค่ขมวดคิ้ว และหยุดการแสดงวิชาไว้ชั่วคราว


ตอนที่ 551 แผ่นล่อวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเรียกทรายทองคำร่วงกลับมา จากนั้นก็เก็บพัดดับวิญญาณ และถุงมือสีดำขึ้นมา


พัดดับวิญญาณเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่แท้จริง แม้จะไม่สอดคล้องกับวิชาที่เขาฝึก แต่หากนำมาขายล่ะก็ สามารถแลกได้ร้อยล้านกว่าหินจิตวิญญาณ ถุงมือสีดำสามารถรับแสงกระบี่ของกระบี่บินได้ ย่อมนับว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่ไม่เลว น่าเสียดายที่ถูกทรายทองคำร่วงของเขาทำลายไปข้างหนึ่ง ตอนนี้เหลือแค่ข้างเดียว คงจะแลกหินจิตวิญญาณได้จำนวนหนึ่ง


หลังจากเก็บของทั้งสองอย่างเข้าไปแล้ว เขาก็ก้มลงไปค้นตัวชายหนุ่มชุดเขียว ไม่นานก็ค้นเจอยันต์เก็บของที่เปล่งแสงสีทองอยู่


เขายัดยันต์เก็บของเข้าไปในอก จากนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ พอแสงสีแดงเปล่งประกายในมือ ศีรษะของชายหนุ่มชุดเขียวก็ถูกตัดจนขาด


หากนำศีรษะของปีศาจหยินหยางไปที่หอความเป็นความตาย ก็สามารถแลกแต้มคุณูปการได้สามหมื่นแต้ม เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ปีศาจหยินหยางปรากฏตัวในรูปแบบของชายฉกรรจ์หน้าหยินหยาง ไม่รู้ว่าหอความเป็นความตายจะรู้ใบหน้าที่แท้จริงของปีศาจหยินหยางหรือไม่


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองนำไปดู ทันใดนั้นเขาก็แยกศีรษะใส่เข้าไปในยันต์เก็บของอีกผืน


จากนั้นหลิ่วหมิงก็จ้องมองร่างไร้ศีรษะด้วยสายตาเยือกเย็น พอสะบัดแขนเสื้อ ลูกเปลวไฟสีแดงก็ร่วงลงมาตรงหน้า พริบตาเดียวก็เผาไหม้ศพของชายหนุ่มชุดเขียวจนกลายเป็นขี้เถ้า


อีกด้านหนึ่ง พอชายหนุ่มชุดเขียวเสียชีวิต หุ่นนักรบทั้งสามก็สูญเสียการควบคุม และนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็โบกมือเรียกหัวบิน แมงป่องกระดูก และนักรบยันต์ผ้าเหลืองที่คอยเฝ้าอยู่บริเวณนั้นกลับมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว เพื่อลองเรียกเก็บหุ่นเหล่านั้น ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ในที่สุดก็ทำให้หุ่นทั้งสี่กลายเป็นมุกกลมๆ สีเหลือง และเก็บมันเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน


หุ่นชุดนี้เทียบเท่าได้กับยอดฝีมือระดับผลึกคนหนึ่ง จะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นสิ่งของที่ดีที่สุดที่ได้รับหลังจากการต่อสู้ในวันนี้


แม้หนึ่งในนั้นจะถูกทำลายแกนสำคัญไป แต่ตอนที่ลงมือ เขาก็รู้จักบันยะบันยังดี จึงไม่ได้ทำลายร่างของหุ่นจนไม่อาจกอบกู้คืนมาได้ เพียงแค่ทำการซ่อมแซมเล็กน้อย คิดว่าคงสามารถฟื้นคืนสภาพเดิมได้


หลังจากหลิ่วหมิงทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็ไม่อยู่ที่นี่นานอีกต่อไป พอเมฆดำใต้เท้าพยุงร่างขึ้นมา เขาก็พุ่งกลับไปทางตลาด


……


ขณะที่ดวงจิตของชายหนุ่มชุดเขียวถูกทำลายนั้น พลันมีเสียงดัง “ตู้ม!” บนหลังคาชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในตลาดฉางหยาง จนหลังคากลายเป็นรูขนาดใหญ่


แสงสีดำเปล่งประกาย ชายฉกรรจ์ถือแผ่นค่ายกลสีดำ และลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าอึมครึม


เกิดเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ ทำให้ผู้คนบริเวณรอบๆ โรงเตี๊ยมพากันออกมาดู


และชายฉกรรจ์ก็ไม่สนใจเหตุการณ์บริเวณรอบๆ เลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่จ้องมองแผ่นค่ายกลสีดำ ทันใดนั้นก็คำรามออกมาด้วยความโมโห แสงสีดำม้วนตัวพุ่งออกไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มขุดเขียวเสียชีวิต


……


หลิ่วหมิงยืนเหยียบเมฆดำอยู่ และกลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งไปตลาดฉางหยางอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ระหว่างทางที่กลับมาก็ไม่เจอผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ


ขณะที่อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางระยะหนึ่งนั้น สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป มีจุดสีดำเล็กๆ พุ่งมาจากด้านหน้า ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็ขยายใหญ่หลายเท่า และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แม้จะมองไม่ออกว่าจุดสีดำนี้เป็นใคร แต่ในใจก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว


ดูจากความเร็วที่พุ่งเข้ามา เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามมีระดับการฝึกฝนที่ไม่ต่ำเลย มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก และกลิ่นไอที่แผ่ออกจากแสงสีดำ ก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย


ขณะที่หลิ่วคิดที่จะซ่อนร่องรอยนั้น พลังจิตอันแข็งแกร่งก็กวาดเข้ามา และปกคลุมหลิ่วหมิงไว้


หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา คิดจะซ่อนตัวตอนนี้ก็ช้าไปเสียแล้ว หลังจากทำเสียงฮึดฮัดแล้ว เขาก็พุ่งไปทางตลาดต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


ไม่นาน ไอดำก็ม้วนตัวเข้ามาถึง และหยุดอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ไกลมาก


พอไอดำสลายไป ร่างของชายฉกรรจ์รูปร่างขนาดใหญ่ ก็มองเข้ามาด้วยสายตาเยือกเย็น


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ชายฉกรรจ์ตรงหน้าคือผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่ปรากฏตัวในงานประมูลพร้อมกับชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น!


“ไม่ทราบว่าที่ผู้อาวุโสขัดขวางข้า มีธุระอันใดหรือ? หากไม่มีล่ะก็ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าสงบ


ชายฉกรรจ์สังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยแววตาเยือกเย็น และหยิบแผ่นค่ายกลสีดำออกมา


“ท่านมีจุดประสงค์ใด?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


ชายฉกรรจ์ไม่สนใจคำถามของหลิ่วหมิง เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา และปล่อยพลังใส่แผ่นค่ายกลในมือ


มีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากแผ่นค่ายกล ขณะเดียวกันหมอกโลหิตก็พุ่งออกมา และก่อตัวเป็นหนวดสัมผัสสีแดงเจ็ดแปดเส้นที่มีลักษณะคล้ายปลาหมึก และโบกสะบัดมาทางหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด


“เจ้าเป็นคนฆ่าคุณชายใช่ไหม?” ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาอาฆาตออกมา ดวงตาดูเยือกเย็นเป็นอย่างมาก


“ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าน้อยดูเหมือนจะไม่เข้าใจ” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และกล่าวอย่างราบเรียบ


“ฮึ! บนตัวเจ้ามีพลังดวงจิตส่วนหนึ่งของคุณชายอยู่ แผ่นล่อวิญญาณสัมผัสได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เอาชีวิตมาชดใช้เถอะ!” ชายฉกรรจ์มองดูหลิ่วหมิงราวกับมองดูคนที่ตายไปแล้ว


ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มีสีหน้าหนักอึ้ง ในเมื่อถูกจับได้แล้ว ชายฉกรรจ์ผู้นี้คงไม่ปล่อยเขาไปแน่ คงจะต้องต่อสู้กันแล้ว


แต่จากคำพูดของชายฉกรรจ์ ทำให้เขายืนยันเรื่องหนึ่งได้ ไหมสีแดงในร่างของเขาคงเป็นพลังดวงจิตที่ชายฉกรรจ์พูดถึง คงเป็นตราประทับในการติดตาม สิ่งนี้กลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย


หากเป็นพลังเช่นนี้ล่ะก็ โดยทั่วไปไม่อาจอยู่ในร่างได้นานมากนัก


ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดนั้น ไอดำบนตัวชายฉกรรจ์ก็ม้วนตัวออกมา และร่างของเขาก็กระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง


ครู่ต่อมา ฝ่ามือสีดำที่มีขนาดใหญ่ราวกับพัดใบลาน ก็คว้ามาเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง


เห็นได้ชัดว่า ชายฉกรรจ์ผู้นี้คิดที่จะโจมตีศีรษะของหลิ่วหมิงให้ระเบิดในทีเดียว


หลิ่วหมิงไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย ไอดำพวยพุ่งออกจากตัว เท้าข้างหนึ่งแตะลงบนอากาศ จากนั้นก็ขยับตัวไปด้านหลังจนกลายเป็นเงา ทำให้พอที่จะหลบการโจมตีของชายฉกรรจ์ไปได้


ชายฉกรรจ์คว้าได้แต่ความว่างเปล่า สีหน้าเผยแววประหลาดใจออกมา ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงสามารถเคลื่อนไหวได้รวดูเร็วเช่นนี้


พริบตานั้น พอชายฉกรรจ์ดึงมือกลับ นิ้วทั้งห้าก็ส่งเสียงดังออกมา และลากแสงสีดำขนาดยาวครึ่งฉื่อออกมาด้วย จากนั้นก็คว้าไปบริเวณหน้าอกหลิ่วหมิงอีกครั้ง


ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายแวววาว ไม่รู้ว่าเกล็ดมังกรจำนวนมากปกคลุมอยู่บนกำปั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาชกใส่มือยักษ์ของชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


“ปัง!”


หลิ่วหมิงถูกกระเทือนจนร่นถอยออกไปสิบกว่าก้าว ไอดำบนตัวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ ตั้งหลักขึ้นมาได้


และร่างของชายฉกรรจ์ก็สั่นไหวเล็กน้อย สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็กล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย


“เจ้าก็เป็นผู้ฝึกร่างหรือ?”


วิชาที่คนผู้นี้ฝึกฝนเป็นเคล็ดวิชาฝึกร่างของนิกายปีศาจลี้ลับ ซึ่งมีน้อยคนที่จะเทียบได้ คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวตรงหน้าจะปะทะกันตรงๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งออกไปด้านหลังทันที ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีแดงที่ยาวจั้งกว่าๆ พุ่งออกจากมือไปฟันชายฉกรรจ์


ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แรงอาฆาตเพิ่มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่แสงกระบี่สีแดงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้น เขากลับไม่ต้านทานเลยแม้แต่น้อย


เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา


แสงกระบี่ฟันใส่ไหล่ของชายฉกรรจ์ แต่กลับกระเด็นออกมาราวกับฟันลงบนแท่งเหล็ก และกลายเป็นกระบี่เล็กสีแดงเล่มหนึ่ง ทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวจางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ผิวหนังก็ไม่ฉีกขาดเลยแม้แต่น้อย


ชายฉกรรจ์หัวเราะอย่างเยือกเย็น พอนิ้วทั้งห้ากางออกมา แสงสีดำก็พุ่งออกจากมือ และคว้าไปด้านหน้าทันที


“ฟิ้วๆ!”


แสงสีดำห้าลำพุ่งออกจากปลายนิ้วทั้งห้า และก่อตัวเป็นแสงรูปครึ่งวงกลม พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง พอสะบัดแขนเสื้อ ม่านทรายสีทองก็ปรากฏออกมา ครู่เดียวก็กลายเป็นม่านทรายสีทองห้าชั้นบังอยู่ตรงหน้า


“เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!”


ม่านทรายทองคำถูกฟันขาดไปสี่ชั้น จนเข้ามาถึงชั้นที่ห้า ม่านทรายสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่แสงทั้งห้ากลายเป็นแสงแวววาวและค่อยๆ สลายไปนั้น ม่านทรายก็แตกกระจายออกมา


ชายฉกรรจ์เผยแววตาประหลาดใจออกมา คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่งจะสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้


หลิ่วหมิงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ควบคุมกระบี่บินให้ฟันชายฉกรรจ์อีกครั้ง


ครั้งนี้เขากลับไม่ได้ใช้แสงกระบี่ที่มีอานุภาพ แต่กลับทำกระบี่บินให้กลายเป็นแสงกระบี่แคบยาวหมุนวนรอบตัวชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็ว


ปลายแหลมแทงไปที่ดวงตาทั้งคู่ หอคอย และจุดอ่อนอื่นๆ ของชายฉกรรจ์


ในขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็ตบถุงหนังอย่างเงียบๆ


แม้ชายฉกรรจ์จะไม่เกรงกลัวการโจมตีของแสงกระบี่เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ยอมให้กระบี่บินทำลายจุดอ่อนของตนเองได้ ในระหว่างที่แขนทั้งสองป้องกันอยู่นั้น ความเร็วในการโจมตีของเขาก็ลดลง


ขณะนั้นเอง ไอดำสองสายก็ม้วนตัวออกจากเอวของหลิ่วหมิง ซึ่งก็คือแมงป่องกระดูกกับหัวบินนั่นเอง พอมันปรากฏตัวก็พุ่งไปทั้งสองด้านของชายฉกรรจ์


แมงป่องกระดูกเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาถึงด้านซ้ายของชายฉกรรจ์ จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวไฟสีม่วงออกมา ขณะเดียวกันหางตะขอรูปมังกรตรงหลังก็พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง และกลายเป็นเส้นสีดำพุ่งเข้าหาชายฉกรรจ์เป็นจำนวนมาก


ขณะนี้ชายฉกรรจ์กำลังโบกสะบัดแขนโจมตีกระบินสีแดงอยู่ พอแสงสีดำบนตัวเปล่งประกาย เปลวไฟสีม่วงบนตัวก็ถูกสั่นสะเทือนจนสลายไป และหลังจากมีเสียงคำรามออกมา มือข้างหนึ่งก็จมเข้าไปในเส้นสีดำอย่างรวดเร็ว พอกำนิ้วทั้งห้า ก็คว้าเอาหางตะขอสีดำม่วงเอาไว้ได้


แต่ขณะนั้นเอง หางตะขอก็พร่ามัวหายไปจากมือยักษ์ของชายฉกรรจ์ จากนั้นก็เกิดเสียงดังกึกก้อง เงาตะขอจางๆ ปรากฏอยู่ด้านหลังศีรษะของชายฉกรรจ์ และเสียบเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง


ตอนที่ 552 กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หัวบินอ้าปากพ่นเปลวไฟสีเขียวออกมา พริบตาเดียวก็บดบังสายตาของชายฉกรรจ์ไว้ จากนั้นเส้นผมสีเขียวก็ม้วนตัวกลายเป็นไหมเล็กละเอียดจำนวนมาก และแผ่คลุมออกไป


ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว และชกกำปั้นออกไปด้านหลัง เพื่อโจมตีเงาตะขอจางๆ ให้หายไปก่อน จากนั้นก็พุ่งถอยออกไป


แต่ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีแดงก็ฟันลงบนไหล่ชายฉกรรจ์ แม้ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันได้ แต่ก็ทำให้เขาโซเซไปทีหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกแน่นที่แขน ไหมสีเขียวเล็กๆ รัดพันไว้อย่างแน่นหนา


หัวบินหัวเราะแปลกประหลาด “แคล็กๆ!” พอมันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็แยกร่างออกเป็นแปดร่าง เส้นผมสีเขียวจำนวนมากกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ และรัดพันชายฉกรรจ์ไว้อย่างแน่นหนา


สีหน้าของชายฉกรรจ์เปลี่ยนไปทันที แม้จะออกแรงดิ้นรนก็ไม่อาจหลุดออกมาได้ พอร่างของเขาสั่นสะท้าน เปลวไฟสีดำก็พุ่งออกจากตัว และคิดจะเผาเส้นผมเหล่านี้ให้หมดสิ้น


ขณะนั้นเอง เงาร่างพร่ามัวเงาหนึ่งก็มาปรากฏตรงด้านหลังของชายฉกรรจ์อย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกาย ดาบสีทองที่เต็มไปด้วยฟันเลื่อยปรากฏขึ้นตรงหน้าเงาร่าง และฟันลงบนหลังชายฉกรรจ์อย่างรุนแรง ทั้งยังลากลงไปด้านล่าง


หลิ่วหมิงอาศัยจังหวะที่แมงป่องกระดูกกับหัวบินดึงดูดความสนใจของชายฉกรรจ์นั้น ซ่อนกลิ่นไอของตัวเองไว้และแฝงตัวเข้ามา ขณะเดียวกันก็ใส่พลังเวทเข้าไปในทรายทองคำร่วง และโจมตีออกไป


“ตู้ม!”


เปลวไฟสีดำที่ปกคลุมร่างชายฉกรรจ์ถูกตัดจนขาด ขณะเดียวกันก็มีรอยแผลยาวๆ ปรากฏบนแผ่นหลัง โลหิตซึมออกมา


ชายฉกรรจ์รู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงหลัง พริบตาเดียวก็รู้สึกโมโหมาก ตั้งแต่เขาฝึกฝนวิชาปีศาจศีรษะทองแดงแขนเหล็กจนเข้าถึงระดับผลึกมา ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน และฝ่ายตรงข้ามยังเป็นแค่ผู้น้อยระดับของเหลวขั้นปลายเท่านั้น


เขาคำรามเสียงออกมา เปลวไฟสีดำบนตัวลุกโชนขึ้นมาเผาไหม้เส้นผมสีเขียว พอออกแรงดิ้นรนก็หลุดออกมาได้


เงาหัวบินไม่ทันได้ระวัง ทันใดนั้นจึงถูกแรงฉุดกระชากจนค่อยๆ สลายไป มีเพียงร่างแท้จริงเท่านั้นที่พุ่งกระเด็นออกไปหลายจั้ง


ชายฉกรรจ์หันตัวโดยฉับพลัน คิ้วทั้งสองตั้งตรงขึ้นมา และพ่นแสงสีดำใส่หลิ่วหมิง


แสงสีดำพุ่งออกมาพร้อมด้วยกลิ่นไอที่อันตรายอย่างสุดขีด พริบตาเดียวก็พุ่งไปโจมตีหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้าน พอสะบัดแขนเสื้อโล่เก้ากะโหลกก็ปรากฏบนมือ และต้นทานแสงสีดำไว้


“เพล้ง!”


หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังที่ทะลักออกมาอย่างมหาศาลราวกับภูเขาที่ล้มลงกลางทะเล ร่างของเขากระเด็นออกไปราวกับโดนค้อนหนักๆ ปะทะใส่ หลังจากกลิ้งอยู่กลางอากาศหลายที ถึงค่อยๆ หยุดลง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา


การโจมตีของแสงสีดำนี้แข็งแกร่งมาก ประจักษ์ชัดว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นหนึ่ง โชคดีที่ครั้งนี้มีโล่เก้ากะโหลกที่พอจะรับมือไว้ได้


หลังจากหลิ่วหมิงตั้งหลักได้แล้ว ก็จ้องมองออกไป ตอนนี้เขาถึงมองเห็นสภาพแท้จริงของแสงสีดำได้อย่างชัดเจน มันเป็นค้อนหยกดำที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ขณะนี้มันได้พุ่งกลับไปแล้ว แสงสีดำเปล่งประกายและหมุนวนรอบตัวชายฉกรรจ์อยู่ไม่หยุด


หัวค้อนกลมๆ มีอักขระซับซ้อนสลักอยู่เต็มไปหมด และแผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมา


ชายฉกรรจ์เห็นหลิ่วหมิงต้านทานการโจมตีนี้ได้ ก็ต้องร้องอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้


เขารู้ดีว่าการโจมตีของค้อนเล็กนี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถต้านทานได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกผู้น้อยระดับของเหลวผู้นี้ป้องกันได้อีกครั้ง


ชายฉกรรจ์มองโล่บนแขนของหลิ่วหมิง พอเห็นแสงสีดำที่โล่เก้ากะโหลกแผ่ออกมา เขาก็มีแววตาละโมบในทันที


“ฟู่!” เงาร่างสีขาวเงินพุ่งไปด้านหลังชายฉกรรจ์ จากนั้นก็มีเส้นสีดำพุ่งยิงออกมาท่ามกลางเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!” มันคือแมงป่องกระดูกที่ถูกชายฉกรรจ์สะบัดทิ้งไปนั่นเอง


ชายฉกรรจ์กระตุ้นค้อนเล็กโดยไม่หันหน้า และโจมตีออกไป


แมงป่องกระดูกส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา มันถูกแสงสีดำโจมตีจนกระเด็นออกไป


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที คิดจะยื่นมือเข้าช่วยก็ไม่ทันการเสียแล้ว ดีที่หลังจากใช้จิตสื่อสารกับมันแล้วพบว่า มันได้รับบาดเจ็บไม่มาก เขาถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา


ขณะเดียวกัน หัวบินที่อยู่อีกด้านก็ถือโอกาสที่ชายฉกรรจ์โจมตีแมงป่องจนกระเด็น พุ่งยิงเส้นผมสีเขียวออกไปอีกครั้ง


ชายฉกรรจ์ยิ้มอย่างเยือก มือข้างหนึ่งจับค้อนไว้มั่นและโบกสะบัดออกไป เทียบกับแมงป่องกระดูกแล้ว หัวบินตรงหน้าทำให้เขารู้สึกแค้นเคืองยิ่งกว่า


“ฟู่!” ค้อนเล็กของชายฉกรรจ์พร้อมด้วยแขนของเขาทุบลงไปบนหน้าอกของมนุษย์ยักษ์สีทองจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่


ชายฉกรรจ์รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และจ้องมองนักรบยันต์เกราะทองคำตรงหน้าด้วยความตกใจ


ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงแอบกระตุ้นยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังต้านทานการโจมตีนี้ไว้ได้


พอหัวบินเห็นโอกาสอันดี มันก็หัวเราะ “เคล็กๆ!” จากนั้นก็ปล่อยผมยาวสีเขียวไปรัดพันแขนที่จับค้อนไว้แน่น ขณะเดียวกันนักรบยันต์ผ้าเหลืองก็ขยับแขนในทันที แขนทั้งสองจับแขนชายฉกรรจ์ไว้แน่นราวกับเป็นคีมเหล็ก


ชายฉกรรจ์เห็นฉากเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา หลังจากมีเสียงดังกรอบแกรบ แขนของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว และหวดลงพื้นอย่างรวดเร็ว


“ตู้ม!”


แสงสีดำพุ่งออกจากร่างของนักรบพลังผ้าเหลือง ค้อนเล็กสีดำรวมถึงแขนขวาของชายฉกรรจ์ชกลงบนร่างของมันอย่างรุนแรง


ร่างนักรบพลังผ้าเหลืองสลายตัวในทันที หลังจากร้องอย่างเวทนา มันก็กลายเป็นยันต์ผืนหนึ่ง


ในขณะที่ชายฉกรรจ์จะสะบัดค้อนเล็กเพื่อโจมตีหัวบินที่ก่อกวนอยู่ให้ถอยออกไปนั้น ใจของเขาก็พลันร่วงหล่นลงไป ความรู้สึกอันตรายอย่างสุดขีดบังเกิดขึ้นในหัวใจ


เขาหันหน้าไปฉับพลัน ตำแหน่งเดิมที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่พลันมีแสงกระบี่สีแดงห่อหุ้มเงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า


แสงกระบี่หมุนวนแค่รอบเดียว เงาร่างในนั้นก็พร่ามัวหายไปท่ามกลางแสงเย็นสะท้าน ขณะเดียวกัน แสงกระบี่ก็ขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ หลังจากพร่ามัวไปทีหนึ่งแล้ว ก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และม้วนเอาไอกระบี่เย็นสะท้านเข้ามา


ชายฉกรรจ์รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา คิดจะหลบหลีกตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ได้แต่คำรามเสียงออกมา อักขระสีดำแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนหน้า ขณะเดียวกันเปลวไฟปีศาจสีดำบนตัวก็พวยพุ่งขึ้นมา ครู่เดียวก็รวมตัวกันเหนือศีรษะของเขา และกลายเป็นกำแพงแสงสีดำ ขณะเดียวกันก็มีเสียงแตกหักดังออกจากร่าง ร่างของเขาขยายใหญ่เท่าตัว และคิดที่รับการโจมตีนี้โดยตรง


“ฟิ้ว!”


กำแพงแสงสีดำบนตัวชายฉกรรจ์ไม่อาจต้านทานแสงกระบี่ได้เลยแม้แต่น้อย พอแสงสีแดงกระพริบผ่านไป กำแพงแสงสีดำก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง จากนั้นก็พังทลายลงมา เผยให้เห็นเงาร่างของชายฉกรรจ์อีกครั้ง แขนซ้ายของเขายังคงถูกเส้นผมสีเขียวของหัวบินพันอยู่


เพียงแต่ว่าตอนนี้ชายฉกรรจ์มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมามาก ครู่ต่อมาเส้นสีแดงเล็กๆ ก็ปรากฏอยู่บนคอของเขา


“ตุบ!”


ศีรษะของชายฉกรรจ์ร่วงลงไป ใบหน้ายังคงดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน เสาโลหิตก็พุ่งออกมาจากร่างไร้ศีรษะ จากนั้นไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งหนีออกไปไกลๆ


แต่แสงกระบี่ที่สังหารชายฉกรรจ์ในก่อนหน้านั้นม้วนตัวแค่ทีเดียว ก็ปั่นไอดำจนละเอียด และมีเสียงร้องอย่างเวทนาของชายฉกรรจ์ดังออกมา พริบตาเดียวเสียงร้องก็หยุดลง


ห่างจากด้านหลังของชายฉกรรจ์ไปไม่ไกล พอแสงสีแดงดับลง ก็ปรากฏร่างของหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่สีแดงยืนหายใจหอบอยู่


เมื่อครู่เขาทุ่มพลังเวทเกือบหมดร่างเพื่อแสดงเคล็ดวิชา ‘กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง’ ในที่สุดก็สังหารชายฉกรรจ์ได้ในกระบี่เดียวอย่างคาดไม่ถึง


ชายฉกรรจ์ผู้นี้ดูเบาศัตรูไปหน่อย และตัวหลิ่วหมิงเองก็มีพลังป้องกันอันน่าตกใจ บวกกับมีนักรบพลังผ้าเหลือง หัวบิน และอื่นๆ คอยก่อกวนอย่างต่อเนื่อง ถึงทำให้ลงมือสำเร็จได้โดยง่าย


มิเช่นนั้นในขณะโจมตีก็เท่ากับว่าส่งตัวเองไปตาย ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้นไม่อยากจะนึกถึง


แม้ว่าชายฉกรรจ์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น แต่ความน่ากลัวของการฝึกร่างของเขา เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน


หลิ่วหมิงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ และโบกมือข้างหนึ่งเรียกหัวบิน แมงป่องกระดูก นักรบพลังผ้าเหลืองกลับมา จากนั้นก็หยิบค้อนเล็กสีดำกับยันต์เก็บของของชายฉกรรจ์ออกมา และปล่อยลูกเปลวไฟสองลูกเผาศพจนกลายเป็นขี้เถ้า


หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็ขี่เมฆพุ่งไปทางตลาด


ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนใส่ชุดสีเขียวแล้วกลับไปยังหอร้อยหลอม


พอเขาเหยียบเข้าไปในประตูใหญ่ เถ้าแก่เย่ก็เดินออกมารับด้วยความดีใจ


“เถ้าแก่เย่ไม่ต้องกังวลแล้ว ปีศาจหยินหยางถูกข้ากำจัดไปแล้ว ใช่สิ! ผู้เชี่ยวชาญหัวกลับมาแล้วหรือยัง?” หลิ่วหมิงถามโดยไม่รอให้เถ้าแก่เย่เอ่ยปาก


“ผู้เชี่ยวชาญหัวกลับมาได้ครึ่งวันแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้อง ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านฑูตหลิ่วที่ยื่นมือเข้าช่วย” เถ้าแก่เย่รีบโค้งตัวตอบ เห็นได้ชัดว่าดูนอบน้อมกว่าก่อนหน้านั้นมาก


หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปบนห้องลับชั้นสาม


ภายในห้องโถงชั้นหนึ่ง ลูกน้องหลายคนก็พูดคุยกันด้วยความตกใจระคนดีใจ


“ท่านทูตหลิ่วสังหารปีศาจหยินหยางไปแล้วจริงหรือ? ได้ยินมาว่า แม้คนผู้นี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังเทียบเท่ากับระดับผลึก” ชายหนุ่มผู้หนึ่งถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ


“คนระดับท่านทูตไหนเลยจะกล้าโกหกพวกเรา” เถ้าแก่เย่กล่าวดว้ยสีหน้าเคร่งขรึม


“ข้ารู้สึกแต่แรกแล้วว่า ท่านทูตหลิ่วไม่ใช่คนธรรมดา” ชายหนุ่มอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา


“อย่างไรซะปีศาจหยินหยางก็ถูกสังหารไปแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเก็บตัวไม่กล้าออกไปไหนอีกต่อไป” ขณะที่พูดเถ้าแก่เย่ก็แสดงสีหน้าเพื่อบ่งบอกให้คนเหล่านี้กลับไปทำงานด้วย


เพราะเรื่องปีศาจหยินหยางนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ธรรมดาที่จากนิกายมานานอย่างพวกเขาจะสามารถจัดการได้ พวกเขารับผิดชอบแค่ดูแลร้านให้ดีก็พอแล้ว


ห้องลับบนชั้นสาม หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ สีเหลือง


เขาเทโอสถสีเขียวออกจากขวดเล็กๆ มาทานเป็นระยะๆ


สองชั่วยามผ่านไป ใบหน้าขาวซีดของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ดูมีเลือดฝาดขึ้นมา รอยแผลเล็กๆ บนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว


ก่อนหน้านั้นเขายังกังวลว่านอกจากชายฉกรรจ์แล้ว ยังมีคนของนิกายปีศาจลึกลับคนอื่นติดตามดวงจิตที่ประทับอยู่ในร่างมาสังหารเขาหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าพอกลับถึงตลาด เส้นสีแดงที่ปีศาจหยินหยางทิ้งไว้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูท่าเคล็ดวิชาจับตำแหน่งนี้คงมีผลแค่ครึ่งวันเท่านั้น


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้สึกโล่งใจไปมาก


ตอนที่ 553 คัมภีร์อักขระปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ต่อมาหลิ่วหมิงก็ไม่ได้โคจรพลังฟื้นฟูพลังเวทต่อแต่อย่างใด แต่กลับตบเอวเพื่อตรวจสอบยันต์เก็บของสองผืนของปีศาจหยินหยางกับชายฉกรรจ์อย่างอดใจรอไม่ไหว


 พอเขาปล่อยจิตสำรวจภายในยันต์เก็บของที่เปล่งแสงสีทองทั้งสองผืน ก็ต้องแสดงสีหน้าดีใจออกมา


 ในยันต์เก็บของของชายหนุ่มชุดเขียวมีหินจิตวิญญาณระดับสูงอยู่สามร้อยกว่า และยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงอยู่สองสามชิ้น


 แม้ว่าอาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้จะมีคุณสมบัติไม่เลว แต่ประจักษ์ชัดว่าต้องฝึกฝนพลังสายปีศาจถึงจะแสดงอานุภาพขีดสุดของมันออกมาได้ สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้มันมีมูลค่าไม่มาก นอกจากหาตลาดที่ห่างไกลแลกหินจิตวิญญาณแล้ว หากนำอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงเหล่านี้ไปลองประทับชั้นจำกัด ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว


 นอกจากนี้ในถุงเก็บของยังมีขวดสีดำเล็กๆ ใบหนึ่ง ด้านในมีคัมภีร์ชำรุดหนึ่งเล่มกับเศษกระจกโบราณที่เปล่งแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง


 ภายในขวดเล็กสีดำ มีของเหลวสีดำมืดบรรจุอยู่  หลิ่วหมิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพียงแต่รับรู้ถึงไอปีศาจลางๆ เท่านั้น แต่ว่ามันแตกต่างจากไอปีศาจแท้เล็กน้อย คิดว่าคงเป็นของที่ใช้สำหรับการฝึกฝนพลังปีศาจบางอย่าง


 ส่วนเศษกระจกโบราณมีขนาดเท่ากับไข่ไก่เท่านั้น มีอักขระสีขาวแปลกประหลาดประทับอยู่ด้านบน และยังเปล่งแสงแวววาวออกมาตลอดเวลา ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่สิ่งของธรรมดา


 แต่นอกจากหลิ่วหมิงจะค้นพบว่ามีกลิ่นไอลี้ลับอยู่บนนั้นลางๆ แล้ว ก็มองอะไรไม่ออกเลย หลังจากเก็บมันเข้าไปเสร็จ เขาก็หยิบคัมภีร์ที่มีสภาพชำรุดขึ้นมา


 ไม่รู้ว่าคัมภีร์เล่มนี้มีอายุกี่ปีแล้ว ปกเริ่มเหลืองเล็กน้อย มุมบางแห่งหายไปหนึ่งชุ่นกว่าๆ และมีรอยฉีกขาดจากตรงกลาง เห็นชัดว่ามันมีแค่ครึ่งเล่มเท่านั้น


 หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดดู แต่กลับค้นพบว่ามีแสงสีดำสลัวๆ เปล่งประกายอยู่ด้านใน อักขระสีม่วงดำจำนวนหนึ่งลอยขึ้นมา ดูเหมือนจะถูกวางชั้นจำกัดบางอย่างไว้


 พอหลิ่วหมิงจ้องมองอย่างละเอียด กลับต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อค้นพบว่าอักขระแปลกประหลาดที่เปล่งประกายเหล่านี้ เหมือนกับอักขระที่ปรากฏบนบาทาปีศาจยักษ์โบราณในเจดีย์กักปีศาจของนิกายหยวนหมัวมาก และเขายังอ่านออกได้ในทันทีด้วย


 ในขณะที่เขาคิดจะอ่านดูอย่างละเอียดด้วยความดีใจนั้น แสงสีดำพลันปะทะเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงดังหวึ่งที่หูทั้งสอง เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะจนเกือบจะล้มลงพื้น


 หลิ่วหมิงรีบปิดคัมภีร์ในทันที หลังจากนั่งเข้าฌานไปได้ราวๆ ครึ่งถ้วยชาแล้ว ถึงค่อยๆ ตั้งสติขึ้นมาได้


 ความคิดวกวนอยู่ในใจของเขาอย่างรวดเร็ว ประจักษ์ชัดว่าชั้นจำกัดบนคัมภีร์โบราณแปลกประหลาดเล่มนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด


 หลิ่วหมิงวางมันไว้ด้านข้าง และหยิบยันต์เก็บของของชายฉกรรจ์ผู้นั้นขึ้นมา


 สิ่งที่ชายฉกรรจ์ระดับผลึกผู้นี้ทิ้งไว้ กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นอกจากจะมีหินจิตวิญญาณระดับสูงยี่สิบกว่าก้อนแล้ว ก็มีแต่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางหนึ่งชิ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานะระดับผลึกของเขาเลย


 นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์สีดำเล่มหนึ่ง พอมองผ่านๆ กลับค้นพบว่ามันเป็นวิชาสายปีศาจ แต่ดูธรรมดามาก ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนได้ตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับผลึกขั้นต้น


 เขาส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็วางคัมภีร์เล่มนี้ไว้อีกด้านหนึ่ง……


 ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงนับจำนวนของที่ได้มาทั้งหมดแล้ว เขาก็ให้ความสนใจกับคัมภีร์ที่มีอักขระปีศาจโบราณปรากฏออกมา และคิดจะคลายชั้นจำกัดบนนั้น


 วิธีการคลายชั้นจำกัดนี้มีหลายวิธีการ แต่หากไม่อาจคลายได้ถูกวิธี หรือฝืนใช้พลังพลังบีบบังคับล่ะก็ จะทำให้ชั้นจำกัดเกิดความเสียหายได้


 สำหรับคัมภีร์ชำรุดเล่มนี้แล้ว หากหลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทจำนวนมากเข้าไปโดยไม่สนใจผลลัพธ์ล่ะก็ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะทำให้ชั้นจำกัดระเบิดออกมา แต่คัมภีร์เล่มนี้ก็จะถูกเผาไหม้จนหมด


 หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็คิดจะใช้วิธีการบางอย่างที่ค่อนข้างปลอดภัยในการคลายชั้นจำกัดบนคัมภีร์เล่มนี้


 หลิ่วหมิงวางคัมภีร์ไว้บนก้อนหินสีดำตรงหน้า และเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทำท่ามือปล่อยพลังเวท ไอดำพุ่งออกจากระหว่างนิ้วของเขา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกลางอากาศแล้ว ก็พุ่งเข้าหาคัมภีร์


 แต่พอไอดำเหล่านี้สัมผัสกับชั้นจำกัดบนพื้นผิว ก็ถูกแสงสีดำดูดเข้าไปด้านในจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 หลิ่วหมิงถอนหายใจเล็กน้อย พอเปลี่ยนท่ามือ ปราณกระบี่ที่มีลักษณะเป็นเกลียวก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และถูกเขาควบคุมให้ค่อยๆ เข้าไปใกล้คัมภีร์ ดูเหมือนเขาคิดที่จะตัดแสงสีดำสลัวๆ ที่อยู่บนนั้นให้ขาดออกจากกัน


 ครู่ต่อมา ได้เกิดฉากน่าประหลาดใจขึ้น


 ปราณกระบี่รูปเกลียวยังไม่ทันได้สัมผัสชั้นจำกัดบนพื้นผิว ก็ถูกแสงสีดำดีดกระเด็นออกมา และพุ่งไปยังผนังด้านหนึ่งของห้องลับ


 “ตู้ม!” รูขนาดใหญ่หนึ่งข้อนิ้วปรากฏบนผนังในทันที


 เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม หลังจากลองดูไปหลายวิธีแล้วแต่ยังไม่ได้ผล หลิ่วหมิงก็ขมวดคิ้วและเงียบขรึมลง


 ดูท่าตอนนี้ เขาคงมีพลังไม่เพียงพอที่จะเปิดดูคัมภีร์เล่มนี้ จึงต้องเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน เพื่อรอหลังเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ค่อยลองเปิดดูอีกครั้ง


 ……


 ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากตลาดฉางหยางกี่หมื่นลี้


 เทือกเขาสีดำมืดทอดตัวยาวเป็นพันลี้ พายุเย็นสะท้านพัดอยู่ในหุบเขาตลอดเวลา ทำให้ฝุ่นทรายคละคลุ้งเต็มฟ้า


 สถานที่แห่งนี้คือตำแหน่งของนิกายปีศาจลี้ลับที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่


 ภายในถ้ำบนยอดเขาสีดำลูกหนึ่งที่สูงเสียดเมฆ ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเทาที่มีแขนข้างเดียว กำลังตัวสั่นอยู่หน้าประตูห้องลับแห่งหนึ่งที่ปิดสนิทอยู่


 “เรียนปรมาจารย์อู๋กวง…… ในห้องหนังสือ… คัมภีร์อักขระปีศาจที่ปรมาจารย์นำกลับมาเมื่อสามร้อยปีก่อน หายไปแล้ว” ชายผู้นี้รายงานด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ


 “ในเมื่อหายไปแล้ว ยังไม่รีบไปหาอีก” น้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากรอบด้านของชายแขนเดียว


 “ข้าตรวจสอบแล้วพบว่า เมื่อไม่นานมานี้ คุณชายเจ๋อที่ปรมาจารย์รักและเชื่อใจที่สุด ได้เข้าไปในห้องหนังสือหนึ่งครั้ง” ชายแขนเดียวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาตามตรง


 “ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”


 น้ำเสียงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟดังออกมาจากห้องลับ พายุเย็นสะท้านพุ่งผ่านรอยแยกของประตู พริบตาเดียวก็จมเข้าไปในศีรษะของชายวัยกลางคน


 “ปรมาจารย์……. ไว้……”


 ชายแขนเดียวยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงดัง “ตู้ม!” ศีรษะของเขาระเบิดออกมา สิ่งของสีขาวแดงกระจายเต็มพื้น


 จากนั้นก็มีน้ำเสียงทุ้มต่ำของชายผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน


 “เจ๋อเอ๋อร์ช่างเหลวไหลจริงๆ คัมภีร์ครึ่งเล่มนั้นถูกเขียนขึ้นโดยเผ่าปีศาจโบราณ และยังถูกวางชั้นจำกัดร้ายกาจไว้ ต่อให้จะสามารถใช้เคล็ดวิชาคลายชั้นจำกัดได้ สิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นล้วนเป็นอักขระปีศาจแท้ หากไม่ใช่คนเผ่าปีศาจ ไหนเลยจะอ่านเข้าใจได้ ช่างเถอะ! รอเขากลับมาแล้ว ข้าค่อยเก็บมันกลับมาก็แล้วกัน”


 ……


 ตอนเที่ยงวันที่สอง ร้านขายหุ่นที่อยู่มุมถนนทางด้านทิศตะวันตกของตลาดฉางหยาง


 ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีเขียวกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับนักพรตวัยกลางคนอยู่


 “สหายซิน คือหุ่นอันนี้ ท่านลองดูสิว่าสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่” ขณะที่พูดชายวัยกลางคนก็หยิบมุกสีเหลืองกลมๆ ที่มีรอยร้าวเล็กน้อยออกจากยันต์เก็บของ


 “สหายเย่ ดูเหมือนว่าหุ่นตัวนี้จะเสียหายไม่น้อยนะ!” นักพรตวัยกลางคนมองดูมุกกลมๆ ในมือแบบผ่านๆ และขมวดคิ้วกล่าว


 “สหายปราดเปรื่องยิ่งนัก ก่อนหน้านั้นข้าได้เผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ทำให้หุ่นตัวนี้ได้รับความเสียหายเล็กน้อย และสูญเสียพลังจิตวิญญาณไป ได้ยินมาว่าสหายซินเชี่ยวชาญสายหุ่น จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนท่าน” ชายวัยกลางคนถอนหายใจเบาๆ และยื่นมุกกลมๆ ไปให้นักพรตวัยกลางคน


 นักพรตวัยกลางคนรับมุกสีเหลืองมาแล้ว ก็รีบตรวจดูอย่างละเอียด


 ไม่นานเขาก็โยนมุกกลมๆ ขึ้นไปเบาๆ และปล่อยพลังใส่ มุกกลมๆ เปล่งประกายท่ามกลางแสงสีเหลือง พริบตาเดียวก็กลายเป็นหุ่นเกราะทองคำที่สูงจั้งกว่าๆ


 เพียงแต่ว่าในขณะนี้ เกราะทองคำบนตัวของมันบุบสลายเล็กน้อย มีรูขนาดชุ่นกว่าๆ อยู่บริเวณอกซ้ายกับใจกลางระหว่างคิ้วทั้งสอง


 “อยากจะซ่อมแซมหุ่นตัวนี้…… ก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้วัสดุจำนวนหนึ่งปรับแต่งใหม่อีกครั้ง และเปลี่ยนผลึกหินสองสามก้อนก็ได้แล้ว วัสดุเหล่านี้ร้านข้าก็มีพร้อม แต่เกรงว่าคงไม่ใช่ราคาน้อยๆ” นักพรตวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากออกมา


 “เพียงแค่สหายซินซ่อมแซมหุ่นกลับมาเหมือนเดิมได้ ต้องการหินจิตวิญญาณจำนวนเท่าใด ก็พูดออกมาได้เลย” ชายวัยกลางคนได้ยินก็เผยสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็ประสานมือกล่าว


 “ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอยู่ที่ราวๆ สามแสนหินจิตวิญญาณ ความจริงหากสหายเย่เพิ่มอีกแปดหมื่นหรือหนึ่งแสน ก็สามารถซื้อหุ่นธรรมดาระดับของเหลวขั้นปลายได้หนึ่งตัวแล้ว” ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา


 “ข้าคุ้นเคยกับหุ่นตัวนี้แล้ว จึงอยากรบกวนสหายให้ซ่อมมันกลับมาเหมือนเดิมหน่อย” พอกล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็ควักหินจิตวิญญาณระดับสูงสามสิบก้อนมาใส่ไว้ในมือนักพรตวัยกลางคน


 ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง ครึ่งวันก่อนหน้านี้ เขาไปเยือนร้านหุ่นมาแล้วสามร้าน และใช้หนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณทำการซ่อมแซมหุ่นอีกสามตัวที่เกิดความเสียหายเล็กน้อยไปแล้วหนึ่งรอบ เพียงแต่ว่าตัวสุดท้ายนี้เสียหายมากไปหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงต้องเสี่ยงอันตรายมาให้ร้านค้าหุ่นที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในตลาดทำการซ่อมแซม


 “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอสหายรออยู่ที่นี่สักครู่ ดื่มชาจิตวิญญาณสักหน่อย ใช้เวลาแค่สองชั่วยาม ข้าก็ซ่อมแซมหุ่นตัวนี้เสร็จ และจะนำมาคืนให้สหาย” นักพรตวัยกลางคนเก็บหินจิตวิญญาณเข้าไปแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


 จากนั้นหญิงรับใช้คนหนึ่งก็ยกชาเข้ามา และนักพรตวัยกลางคนก็หันตัวเดินไปทางด้านหลังของร้าน


 หลิ่วหมิงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างตั่งวางเครื่องดื่มชา หลังจากจิบชาไปคำหนึ่งแล้ว ก็หลับตาพักผ่อน


 ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ นักพรตวัยกลางคนกลับมาในห้องโถงของร้านอีกครั้ง ในมือถือมุกสีเหลืองกลมๆ อยู่หนึ่งลูก


 “สหายเย่ หุ่นตัวนี้ข้าได้ซ่อมแซมกลับมาดังเดิมแล้ว เชิญตรวจสอบดูเล็กน้อย” ขณะที่พูด นักพรตวัยกลางคนก็โยนลูกกลมๆ ออกไปเบาๆ


 หลังจากแสงสีทองเปล่งประกายผ่านไป หุ่นเกราะสีทองก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสอง


 บนตัวของหุ่นในขณะนี้ ไม่มีร่องรอยเสียหายใดๆ ทิ้งไว้เลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว กลิ่นไอของมันฟื้นคืนสู่ระดับของเหลวขั้นปลายอีกครั้ง


 “สหายซินมีฝีมือสูงส่ง ครั้งนี้ต้องขอบคุณสหายมาก” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ


 เขาตบลงบนตัวหุ่นเกราะทองคำสองสามที พอทำท่ามือด้วยมือเดียว มันก็กลายเป็นมุกกลมๆ ก่อนม้วนตัวเข้าไปในแขนเสื้อ


 หลิ่วหมิงพูดคุยกับนักพรตวัยกลางคนอย่างสุภาพสองสามประโยค จากนั้นก็เดินออกจากร้านด้วยสีหน้าพอใจ


 ตอนนี้ได้ซ่อมแซมหุ่นนักรบทั้งสี่จนเสร็จสิ้นแล้ว หลิ่วหมิงจึงรีบหามุมเปล่าเปลี่ยวเพื่อคืนร่างเดิม จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องลับภายในหอร้อยหลอม และศึกษาวิชาหลอมอาวุธต่อ


 แต่สิ่งที่เขาไม่ทราบก็คือ ผ่านไปไม่นานเรื่องที่ปีศาจหยินหยางถูกศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มาประจำการคนใหม่สังหารนั้น ก็แพร่กระจายไปในตลาดฉางหยางอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาไม่น้อย


ตอนที่ 554 เศษกระจกโบราณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในตลาด พอคนจำนวนหนึ่งที่รู้จักสถานะแท้จริงของปีศาจหยินหยางได้ยินข่าวนี้ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มสืบข่าวเกี่ยวท่านฑูตหลิ่วของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่เพิ่งมาใหม่ผู้นี้


ภายในห้องลับของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสชุดเทากำลังรายงานอะไรบางอย่างให้กับหญิงชุดม่วงเบาๆ


“ช่วงนี้ในตลาดเล่าลือกันว่า เจ้าเด็กนิกายปีศาจลี้ลับที่แย่งประมูลมีดบินตาข่ายกับคุณหนูผู้นั้น แท้จริงแล้วคือปีศาจหยินหยาง หลายวันก่อนถูกศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มาประจำการคนใหม่สังหารที่ชานเมืองแล้ว” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กที่ไม่รู้จักชั่วดีคนนั้น เดิมทีข้ายังคิดที่จะรอให้ปรับแต่งมีดปีกตาข่ายให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยไปคิดบัญชีกับเขา คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนผู้นี้ตัดหน้าไปก่อน” หญิงสาวชุดม่วงชื่นชมเศษกระจกโบราณที่เปล่งแสงแวววาวในมือ พอนางได้ยินเช่นนี้ ก็เพียงแค่เบะปากเล็กน้อย ดวงตางดงามเผยแววเหยียดหยามออกมา


“หากคุณหนูปรับแต่งมีดปีกตาข่ายสำเร็จ กะอีแค่ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนหนึ่ง ย่อมไม่มีอะไรที่คู่ควรกล่าวถึง แต่ในเมื่อศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์กล้าสังหารเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คงมีความกล้าไม่เบา เพราะเบื้องหลังของศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” ผู้อาวุโสฟั่นหนวดและกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ


“อืม! แม้ว่าคนผู้นั้นจะหยิ่งยโส แต่ชื่อเสียงของ ‘ปีศาจหยินหยาง’ ก็ไม่ใช่เรื่องลวงแต่อย่างใด ในงานประมูลยังชิงหุ่นค่ายกลสี่ทิศชุดนั้นมาได้ ควรจะมีพลังเพิ่มขึ้นถึงจะถูกต้อง ขอผู้เฒ่าเฉียวไปสืบดูเบื้องหลังของคนผู้นั้นสักหน่อย หากเขาสังหารปีศาจหยินหยางเพียงคนเดียวซึ่งๆ หน้าจริงล่ะก็ เรื่องมันคงไม่ง่ายแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่?” ดูเหมือนคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลโอวหยางผู้นี้จะรู้สึกสนใจหลิ่วหมิงมาก นางหัวเราะเบาๆ และสั่งออกไป


“ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็เดินออกจากห้องลับไป


หลังจากผู้อาวุโสไปแล้ว หญิงสาวชุดม่วงก็ก้มหน้ามองดูเศษกระจกโบราณในมืออีกครั้ง ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่


……


สิบกว่าวันผ่านไป ภายในห้องหลอมอาวุธแห่งหนึ่งของหอร้อยหลอม


หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ เหนือค่ายกลสีดำขนาดจั้งกว่าๆ ที่อยู่ตรงหน้า มีแท่งเหล็กสีดำสลัวๆ ขนาดชุ่นกว่าๆ ลอยอยู่


ทันใดนั้น พอเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ก็เปลี่ยนท่ามือแล้วชี้ไปเหนือค่ายกลในทันที เปลวไฟฟ้าสีฟ้ากลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นจากค่ายกล และกระพริบแค่ทีเดียวก็หายไปในแท่งเหล็กเล็กๆ


ครู่ต่อมา แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายบนแท่งเหล็ก ลวดลายจิตวิญญาณสีฟ้าเล็กๆ หนึ่งเส้น ค่อยๆ เลื้อยขยุกขยิกอยู่ด้านข้างลวดลายจิตวิญญาณเจ็ดเส้น  และก่อตัวเป็นเส้นค่ายกลเล็กๆ


ไม่นาน ลายค่ายกลเส้นที่แปดก็ปรากฏบนแท่งเหล็กอย่างแจ่มชัด


จากนั้นก็มีเสียงดังกังวานตามมา แสงจิตวิญญาณบนแท่งเหล็กสว่างไสว


นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง แท่งเหล็กหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็ค่อยๆ ร่วงลงบนมือของเขา


เขากวาดสายตามองดูแท่งเหล็กแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็วางมันไว้ด้านข้าง และนำธงเล็กสีเขียวออกมาเตรียมทำการปรับแต่ง


ตั้งแต่ได้สามล้านหินจิตวิญญาณจากปีศาจหยินหยางมาโดยไม่คาดคิด หลิ่วหมิงก็ซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำจากร้านค้าใหญ่เล็กในตลาดมาจำนวนมาก และทำการฝึกฝนหลอมอาวุธอยู่ทุกคืนวัน


แม้เขาจะไม่มีพรสวรรค์ แต่กลับเป็นคนที่มีความสุขุมหนักแน่นมาก บวกกับการซื้ออาวุธจิตวิญญาณมาทดลองทำซ้ำๆ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือนก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย


ตอนนี้หลิ่วหมิงประทับชั้นจำกัดค่ายกลจนมีฝีมือเข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั่วไปแล้ว เพราะคนทั่วไปไม่มีหินจิตวิญญาณมาถลุงใช้อย่างเขา ทั้งยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธสองท่านคอยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วย


แม้ว่าจะยังห่างไกลจากการประทับชั้นจำกัดอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดมาก แต่หลิ่วหมิงเชื่อว่าอีกไม่นานคงเป็นเรื่องที่สบายบรื๋อแล้ว


ขณะที่เขากำลังนำธงเล็กสีเขียวไว้เหนือค่ายกลนั้น พลันมีเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ดังมาจากแหวนย่อส่วน


เขาลูบแหวนย่อส่วนเบาๆ ในทันที เศษกระจกโบราณแวววาวชิ้นนั้นพุ่งออกมา และเปล่งประกายอยู่กลางอากาศอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งยังเปล่งแสงแวววาวเจิดด้วย


ดวงตาหลิ่วหมิงเผยแววประหลาดใจออกมา เขารีบคว้ามันมาไว้ในมือ และขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็จมดิ่งเข้าสู่ความเงียบ


ขณะเดียวกัน ฉากเช่นเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับผู้ฝึกฝนหลายสิบคนที่อยู่ในระยะหลายหมื่นลี้ และคนเหล่านี้ต่างก็มีเศษกระจกโบราณคนละหนึ่งชิ้นเช่นกัน


พอพวกเขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็มีสีหน้าประหลาดใจ บ้างก็จมดิ่งเข้าสู่ความเงียบเหมือนกับหลิ่วหมิง


……


ท่ามกลางหุบเขาเขียวชอุ่มเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปไม่ไกล ชายฉกรรจ์ที่สูงจั้งกว่าๆ กำลังต่อสู้กับอสูรจิ้งจอกเงินตัวหนึ่งด้วยมือเปล่า


อสูรจิ้งจอกเงินตัวนี้มีเส้นขนเป็นสีขาวราวหิมะ ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงอาทิตย์แลดูงดงามยิ่งนัก มันเป็นวัสดุระดับสูงในการทำเสื้อขนสัตว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนหญิงแย่งกันซื้อ


อสูรตัวนี้มีพลังแค่ระดับของเหลวขั้นต้น แต่ร่างของมันกลับปราดเปรียวมาก พริบตาเดียว ก็สามารถหลบกำปั้นของชายฉกรรจ์ได้


ขณะนั้นเองมีแสงแวววาวพุ่งออกจากเศษกระจกโบราณบนเอวของชายฉกรรจ์


ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจระคนดีใจออกมา มีดบินสีม่วงชุดหนึ่งพุ่งยิงออกไป หลังจากค่อยๆ หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีม่วงหกลำพุ่งยิงใส่จิ้งจอกเงิน


ขณะเดียวกัน ดวงตาสีม่วงคู่หนึ่งก็เปล่งประกายขึ้นมา จิ้งจอกเงินที่อยู่ไกลออกไปหลายจั้งถูกมันปกคลุมไว้ จนทำให้ความเร็วลดช้าลง


ครู่ต่อมา พอมีเสียง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ดังเข้ามาติดต่อกัน ร่างของจิ้งจอกเงินก็ถูกลำแสงสีม่วงทั้งหกแทงทะลุ หลังจากส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา มันก็ไร้ซึ่งชีวิตแล้ว


ชายฉกรรจ์ดวงตาสีม่วงก็คือจั้งเสวียนนั่นเอง เขาขยับตัวไม่กี่ที ก็มาถึงตรงหน้าจิ้งจอกเงิน หลังจากเก็บมันเข้าไปแล้ว ก็พุ่งกลับไปทางนิกายยอดบริสุทธิ์โดยไม่หันมามองเลย


……


ขณะเดียวกัน ภายในป่าดงดิบเขียวขจีที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปพันลี้ ชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งกำลังถูกม่านแสงสีเหลืองห่อหุ้มอยู่ เขากำลังเดินทางด้วยความตื่นตระหนกตกใจ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปไกลยี่สิบถึงสามสิบจั้ง


และห่างจากด้านหลังของเขาไปไม่ไกล ชายหนุ่มชุดผ้าแพรกำลังถือกระบี่จิตวิญญาณสีเขียวอยู่เล่มหนึ่ง และกำลังรีบเดินทางมาด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น แสงสีเขียวรอบตัวทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน ชั่วเวลาเทียบเท่ากับการย่างเท้าหนึ่งก้าว เขาก็พุ่งออกไปไกลยี่สิบถึงสามสิบจั้งแล้ว


ทันใดนั้น ชายหนุ่มชุดผ้าแพรก็หยุดชะงัก และแสงสีเขียวบนตัวก็ดับลง เผยให้เห็นใบหน้าแคบยาว ซึ่งก็คือซาทงเทียนนั่นเอง!


ไม่รู้ว่ามีแสงสีเขียวแวววาวปรากฏอยู่บนตัวตั้งแต่เมื่อใด กระจกโบราณเปล่งประกายไม่หยุด ทันใดนั้นเขาก็แหงนหน้าหัวเราะเป็นการใหญ่ เสียงดังก้องไปทั่วฟ้า จนทำให้ใบไม้ในป่ารอบๆ ด้านร่วงหล่นลงมา


ครู่ต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลง พอเขาเปลี่ยนเคล็ดกระบี่ กระบี่จิตวิญญาณในมือก็หลุดออกจากมือไป พริบตาเดียวก็ตามชายหนุ่มร่างผอมแห้งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้งทัน


“ฟัน!”


ซาทงเทียนตะคอกออกมา และชี้ไปทางชายร่างผอมแห้ง จากนั้นเงากระบี่ก็กระพริบผ่านลำคอของชายหนุ่มร่างผอมแห้งไป


ศีรษะที่โชกไปด้วยโลหิตกระเด็นออกมาทันที ด้วยความเร็วของแสงกระบี่ ร่างไร้ศีรษะยังคงวิ่งไปข้างหน้าเจ็ดแปดจั้ง จากนั้นถึงล้มลงพื้น


ท่ามกลางเสียงฮึดฮัด ร่างของซาทงเทียนก็เข้ามาถึง หลังจากเก็บกระบี่บินและหยิบศีรษะขึ้นมาแล้ว ถึงเหยียบเมฆทะยานขึ้นฟ้า และมุ่งหน้าไปทางตลาดฉางหยาง


……


ห้องลับแห่งหนึ่งในห้องหนังสือเฮ่าหรานที่มีหมอกขาวลอยวน บัณฑิตชุดขาววัยกลางคนกำลังนั่งหลับตาอยู่


ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องด้วยความดีใจดังมาจากด้านนอก


บัณฑิตวัยกลางคนลืมตาขึ้นมาทันที เขาเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวหน้าห้องลับที่อยู่ด้านข้าง และสะบัดแขนเสื้อเปิดประตูหินทันที


จะเห็นว่าบัณฑิตหนุ่มกำลังยืนอยู่ใจกลางห้องลับด้วยรอยยิ้ม หลังจากเห็นบัณฑิตวัยกลางคนเดินเข้ามา เขาก็แบมือทันที เผยให้เห็นเศษกระจกโบราณที่เปล่งแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง และมันก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ทั้งยังเปล่งแสงแวววาวแปลกประหลาดออกมาด้วย


“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเศษกระจกนภาหยกมีการตอบสนองแล้ว เช่นนี้ก็หมายความว่าวังมายานภาหยกกำลังจะถูกเปิดอีกครั้ง ความโชคดีของศิษย์หลานมาถึงแล้ว” บัณฑิตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ


“ใช่แล้ว อาจารย์อา! ไม่เสียแรงที่ข้าเฝ้ารออยู่ที่ตลาดฉางหยางมาหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง” บัณฑิตหนุ่มหัวเราะ และเดินออกจากห้องลับตามสีหน้าบ่งบอกของบัณฑิตวัยกลางคน จากนั้นก็เดินออกห้องหนังสือไป


……


คำพูดเช่นเดียวกันก็ออกจากปากผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ด้านข้างหญิงสาวชุดม่วง


“ไม่เสียแรงที่คุณหนูมาถึงตลาดฉางหยาง ที่แท้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ท่านทวดเจ็ดกล่าวถึง ก็หมายถึงวังมายานภาหยกนี่เอง” ผู้อาวุโสกล่าวกับหญิงสาวชุดม่วงด้วยรอยยิ้ม


“เดิมทีข้าก็อยากได้เสื้อแสงนภาหยกมานานแล้ว มิเช่นนั้นจะมารออยู่ในตลาดเล็กๆ อย่างตลาดฉางหยางนานถึงสองปีได้อย่างไร จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่พบเจอได้ยากมาก” หญิงสาวชุดม่วงจ้องมองเศษกระจกที่เปล่งประกายแวววาวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


จากนั้นนางก็เก็บเศษกระจกโบราณเข้าไป และเดินออกจากห้องลับไปพร้อมกับเฉียวจื้ออี


……


ครึ่งวันต่อมา ทางด้านตะวันออกที่อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางไปสามร้อยลี้


บนทุ่งเปล่าเปลี่ยวที่ไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น


พลันมีเคลื่อนสะเทือนกลางอากาศ ทันใดนั้นจุดแสงสีแดงจำนวนมากก็ปรากฏเต็มฟ้า และมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ร้อนแรงดวงหนึ่ง


ผ่านไปซักพัก ดวงอาทิตย์ดวงนี้ก็เริ่มพร่า และระเบิดเสียงดัง “ตู้ม!” อากาศบริเวณนั้นบิดเบี้ยวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นวังสีเขียวสลัวๆ ก็ปรากฏออกมา


วังแห่งนี้สูงร้อยกว่าจั้ง ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากหยกงดงามสีเขียวทั้งหมด ดูประณีตละเอียดอ่อน และแผ่แสงสีเขียวจางๆ ออกมา


ภายใต้การลอยวนของหมอกขาว วังแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตา มันปรากฏขาดๆ หายๆ แลดูลึกลับยิ่งนัก


พริบตาที่วังสลัวๆ ปรากฏออกมานั้น หลิ่วหมิงกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับบนชั้นสามของหอร้อยหลอม เศษกระจกโบราณที่อยู่ข้างมือกลับเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้าออกมา


เขายังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ แสงสีเขียวก็ประทับอยู่บนแขนของเขา และกลายเป็นอักขระไม่ทราบชื่อที่มีลักษณะเหมือนกับใบไม้สีเขียว


ขณะเดียวกัน ห่างจากเงาวังภายในระยะหมื่นลี้ ผู้ที่มีเศษกระจกโบราณต่างก็ประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกัน เศษกระจกค่อยๆ กลายเป็นอักขระที่มีรูปร่างเหมือนใบไม้ และประทับอยู่บนแขนของผู้ที่ครอบครองเศษกระจกโบราณ


…………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)