หมอดูยอดอัจฉริยะ 546-547
ตอนที่ 546 มีงานเข้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทำไม หรือว่ามีหลักการอะไรอยู่อีก”
ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนระดับไหน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนทำหน้าแบบนี้ ในใจพลันเข้าใจขึ้นมาอยู่หลายส่วน คำพูดของตัวเองเมื่อซักครู่ บางทีอาจจะไปกระทบกับข้อห้ามของเยี่ยเทียน
“พอเถอะ ถ้าไม่อยากให้ผมอายุสั้นลงก็อย่าถามมาก!”
เยี่ยเทียนมองไปที่ซ่งเฮ่าเทียนทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “ดวงชะตาบ้านเมือง เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะมาทำนายได้เหรอ แพร่งพรายความลับสวรรค์ คนแบบผมจะสามารถต่อสู้กับความสมดุลได้ คุณก็อยู่มานานขนาดนี้แล้ว แต่ผมยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย…”
อาจารย์ทำนายฮวงจุ้ยในสมัยก่อนนั้น ส่วนใหญ่แล้วหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะยอมออกมาช่วยฮ่องเต้
เพียงแต่ว่าอาจารย์ที่ออกแรงมาช่วยฮ่องเต้นั้น ที่บอกว่าทำนายชะตาขับเคลื่อนประเทศทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงว่ากันตามจริงแล้ว หลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังทำนายออกมาได้ภาพดันหลัง แต่รูปภาพนั้นสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจ
ต่อมาเมื่อหลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังพบว่าพวกเขานั้นทำผิดข้อห้าม จึงได้แยกรูปภาพแยกกันเก็บ และตั้งใจทำให้ตระกูลหลี่และหยวนนั้นเป็นศัตรูกัน ทำให้ภาพดันหลังไม่สามารถกลับมารวมกันได้
แต่เมื่อถึงในช่วงปลายราชวงศ์หมิงและต้นราชวงศ์ชิง จินเซิ้งทั่นผู้สือบทอดได้นำภาพดันหลังมาทำเป็นลำดับและใส่ความคิดเห็นเอาไว้ นำเอาภาพที่เป็นตำนานแยกกันมากว่าร้อยปีมาประกบเข้าด้วยกัน
แต่ว่าหลังจากที่เขาทำเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็ได้รับความลำบากและอันตราย ถูกใส่ร้ายป้ายสีประหารชีวิต ภรรยาและลูกชายสูญสิ้นทรัพย์สมบัติ ทั้งตระกูลนั้นสาบสูญแตกกระจายกันไป
ปละจินเซิ้งทั่นที่ได้รับเคราะห์ร้ายแบบนี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขานั้นไขปริศนาในภาพดันหลังอย่างแน่นอน เนื่องด้วยการทำนายโชคชะตาเมืองนั้น ก็ได้กลายมาเป็นข้อห้ามในวงการของฮวงจุ้ยไปโดยปริยาย
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย”
หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนอธิบายแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็พลันเข้าใจ เมื่อตอนที่เขารับตำแหน่งแน่นอนว่าไม่สามารถสอบถามพระหรือนักพรตเต๋าในเรื่องนี้ได้ จึงไม่ทราบความจริงที่ซ่อนอยู่ของเรื่องนี้
“พ่อ เรื่องอื่นมีให้ถาม ถามเรื่องนี้ทำไมกัน ดูสิทำให้ลูกโกรธขนาดนี้”
ซ่งเวยหลันมองไปทางบิดาอย่างโมโห ลูกชายตัวเองอายุเพิ่งได้ยี่สิบต้น ๆ เป็นเพราะชะตาเมือง จะต้องทำให้อายุขัยของลูกชายสั้นลง ในสายตาของแม่คนหนึ่งนั้น ต่อให้สงครามโลกปะทุเกิดขึ้น ก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของลูกชาย
“ฉันถามแล้ว เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่ตอบเหรอ”
การที่ลูกสาวเข้าข้างหลานชายขนาดนี้ ซ่งเฮ่าเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแอบหวง โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “เอาเถอะ พวกเธอสองแม่ลูกกลับไปได้แล้ว เห็นไอ้หลานคนนี้แล้วฉันก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมา!”
“ได้ อยู่นี่มีแต่คนรังเกียจ พวกเราไปเถอะ!”
เยี่ยเทียนออกแรงดึงแม่ เดินมาถึงขอบประตูจงใจบ่นออกมาประโยคหนึ่ง “อายุอานามก็แปดสิบกว่าแล้ว ยังคิดถึงเรื่องที่จะกลับมาเป็นหนุ่มอีก หากว่าทั้งตัวมีพละกำลังนั่นก็ไม่เท่ากับว่าเป็นหนุ่มอายุยี่สิบกว่าเหรอ”
เสียงของเยี่ยเทียนไม่ดัง แต่ก็พอดีที่ซ่งเฮ่าเทียนจะได้ยิน พลันก็โกรธจนกระทุ้งไม้เท้าอยู่หลายที แต่ว่าเมื่อกลับไปรับคำนี้ของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนกก็หัวเราะขึ้นมา
โบราณว่าไว้ว่าพละกำลังนั้นเอาชนะฟ้ากำหนดไม่ได้ เกิดแก่เจ็บตายเป็นวัฏจักรธรรมชาติของมนุษย์ ตัวเองว่างมาบ่นที่กำลังกายไม่แข็งเรงเท่าเมื่อก่อน จิตใจก็ถือว่ามีปัญหาอยู่นิดหน่อยแล้ว
“เยี่ยเทียน อย่ายั่วโมโหคุณตาเธอให้มาก คุณตาอายุแปดสิบกว่าแล้ว ถือว่าแม่ขอนะ ได้มั๊ย” นั่งอยู่ในรถที่เยี่ยเทียนเป็นคนขับ ซ่งเวยหลันส่งสีหน้าเป็นเชิงขอร้องไปที่ลูกชาย
ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจกับการจัดการในตอนนั้นของซ่งเฮ่าเทียน แต่ว่าเห็นพ่อที่ผมขาวโพลนเงาร่างโดดเดี่ยว ซ่งเวยหลันในใจก็รู้สึกสงสารเหลือประมาณ หากว่าลูกชายไม่บอกว่าเธอไม่เหมาะที่จะอยู่เป็นเพื่อน ซ่งเวยหลันวันนี้ก็คิดอยากจะย้ายมาอยู่ที่นี่ซักพักหนึ่งเหมือนกัน
“คุณวางใจเถอะ คุณตาร่างกายยังแข็งแรงไม่เลว สองสามปีนี้ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
เยี่ยเทียนมองไปที่มารดาหนึ่งที กล่าวว่า “เขาลงมาจากตำแหน่งสูง สภาพจิตใจรู้สึกไม่สบายอัดอั้น ให้ได้โมโหระบายออกมาบ้างก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี”
เช่นซ่งเฮ่าเทียนที่มีฐานะทางสังคมแบบนี้ ปกติเรื่องที่ทำให้เขาโมโหคิดมาก นั้นเรียกได้ว่าน้อยจนถึงน้อยมาก
และซ่งเฮ่าเทียนนั้นตลอดชีวิตอยู่ในตำแหน่งสูงมาตลอด การสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานทำให้ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป แน่นอนว่าก็คงจะไม่โมโหมใส่คนทำงานในเวลาปกติ
ยิ่งนานวันเข้า ความไม่สบอารมณ์ที่เก็บอยู่เป็นพลังด้านลบไม่ได้รับการปลดปล่อย ทำให้ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของเขา เยี่ยเทียนที่ทำทีแสดงจำอวดนี้ กลับทำให้ในใจของซ่งเฮ่าเทียนนั้นรู้สึกเบาสบายขึ้นเป็นอย่างมาก
“อย่างนั้นก็ดี…”
ซ่งเวยหลันเดิมทีอยากให้ลูกชายนั้นช่วยบิดาปรับสภาพร่างกาย แต่เมื่อคิดว่าตระกูลซ่งนั้นติดค้างกับลูกชายอยู่เยอะมาก ถึงกระทั่งทำให้เยี่ยเทียนไม่เอ่ยปากเรียกแม่ จึงได้แต่ถอนหายใจและไม่ได้พูดออกไป
วันที่สิบห้าเทศกาลโคมไฟผ่านพ้นไป การงานของหยูชิงหย่าก็พลันเปลี่ยนเป็นยุ่งขึ้นมา เยี่ยเทียนฉับพลันก็กลายเป็นคนว่างไม่มีอะไรทำ
เยี่ยเทียนต้นเดือนสามเตรียมตัวไปฮ่องกง เห็นว่าไม่กี่วันแล้ว ก็เลยไม่ได้ออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหน อยู่ที่บ้านฝึกปรือวิชาการทำนายของตระกูลโจว ในตอนที่จิตใจเหนื่อนล้า ก็พูดคุยกับมารดา ชีวิตก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมา
“เยี่ยเทียนแม่เตรียมเอาบริษัทส่งต่อให้กองทุนบริหารงานแทน แต่ว่าอยากจะเอาหุ้นที่มีหน้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้เป็นชื่อของเธอ อีกหน่อยแม่ก็จะไม่ต้องเหนื่อยแล้ว”
วันนี้ทั้งวันนั่งอยู่ในสวนดอกไม้กลางลานของเรื่อนสี่ประสาน ซ่งเวยหลันก็พูดเรื่องเดิมขึ้นมาอีก พูดชักจูงลูกชายอย่างยากลำบาก
“แล้วบริษัทของคุณส่งต่อให้กองทุนดูแลนั่นทำเรื่องเสร็จแล้วหรือยัง”
เยี่ยเทียนมองไปทางแม่แล้วหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “หุ้นพวกนั้นอยู่ในมือคุณ ย่อมดีกว่าอยู่ในมือผม ทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้น ยากที่จะรับปากกว่าไม่มีคนสนใจ ผมไม่อยากถูกคนตามฆ่าทุกวัน”
หลังจากซ่งเวยหลันกลับบ้าน เยี่ยเทียนวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา รอยยิ้มบนสีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขายังมีศัตรูอีกคนอยู่ในตระกูลซ่งที่ยังไม่ได้สะสาง
“เสี่ยวเทียน เป็นเด็กคนนั้นทำจริงๆ เหรอ” ซ่งเวยหลันถอนหายใจ เธอได้ยินความคับข้องใจที่ออกมาจากคำพูดของลูกชาย
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าบริษัทงานจัดการเงินกว่าหลายพันล้าน ซ่งเวยหลันทำไมถึงจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการกระทำของเด็กรุ่นหลังในตระกูล
เพียงแค่ตอนแรกนั้นเธอไม่เชื่อว่าเด็กรุ่นหลังนั้นจะลงมือกับลูกชายอย่างโหดเหี้ยม รอจนเรื่องที่ไต้หวันเกิดขึ้นแล้ว ซ่งเวยหลันถึงได้พบว่า ทรัพย์สินเงินทองนั้นสามารถทำให้คนดีกลายเป็นปีศาจได้
แต่ว่าซ่งเวยหลันก็ไม่อาจจะฟันธงลงไปได้ว่าเรื่องนี้ซ่งเสี่ยวหลงเป็นคนทำทั้งหมด และบวกกับที่เลี้ยงดูเขามาสิบกว่าปี สุดท้ายก็ไม่สามารถลงโทษสถานหนักได้ ได้แต่ย้ายเขาไปยังแอฟริกา อยู่ให้ห่างจากระดับบริหารสำคัญของบริษัทใหญ่
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องสนใจหรอก ผมจะจัดการเอง”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขาไม่อยากพูดคุยกับมารดาเรื่องนี้ เพราะว่าในใจของคนในฉีเหมินนั้น ถือคติว่ามีแค้นต้องสะสาง ไม่เคยมีว่าปล่อยศัตรูลอยนวลไป
และเยี่ยเทียนก็เชื่อว่า ถึงแม้ซ่งเสี่ยวหลงจะอยู่ห่างจากมารดา แต่ความโกรธแค้นในใจของเขานั้นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย หากว่าไม่กำจัดอันตรายนี้ ไม่แน่ว่าอีกหน่อยมารดาก็อาจจะต้องมาเดือดร้อนไปด้วย
แน่นอนว่า คำพูดพวกนี้เยี่ยเทียนคงไม่ไปป่าวประกาศกับซ่งเวยหลัน ในตอนที่กำลังคิดหาเปลี่ยนเรื่องขัดเรื่องนี้อยู่นั้น เสียงของเยี่ยตงผิงก็ดังขึ้นมา
“เยี่ยเทียน โทรศัพท์ ศิษย์พี่รองของนายโทรมา”
สำหรับเรื่องจริงที่ว่าลูกชายของตัวเองนั้นแย่งความรักจากภรรยาไป เยี่ยตงผิงโมโหไม่หาย รอจนลูกชายออกไปแล้ว ตัวเองก็หย่อนก้นลงนั่งด้านหน้าของภรรยา
“พอแล้ว มีเรื่องให้ทำแล้ว”
ถึงแม้ว่ายังไม่ได้รับโทรศัพท์ ในใจของเยี่ยเทียนก็มีลางสังหรณ์ล่วงหน้า เกาะฮ่องกงทางนั้นจะต้องเดินเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่นอน มิเช่นนั้น เวลาที่ตัวเขานัดกับศิษย์พี่รองที่จะกลับฮ่องกงเอาไว้ ตัวเขานั้นคงไม่โทรมาหาโดยไม่มีเหตุผลแน่
หลังจากหยิบโทรศัพท์ขึ้น เยี่ยเทียนก็ถามไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “ศิษย์พี่รอง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่มั๊ย”
“ฮ่า ๆ ศิษย์น้อง ความสามารถในการทำนายของนายนี่เพิ่มขึ้นอีกแล้วนะ”
เสียงของโย่วเจียจวินสดใสลอดออกมาตามสาย จิตใจของเยี่ยเทียนก็พลันสบายใจคิดว่าเรื่องไม่น่าจะใหญ่โต มิเช่นนั้นอารมณ์ของศิษย์พี่รองไม่น่าจะดีขนาดนี้
ไม่รอให้เยี่ยเทียนถามต่อ จั่วเจียจวินก็กล่าวต่อมา “เป็นอย่างนี้ ถนนที่พวกเราซ่อมฮวงจุ้ยเส้นนั้นเกิดปัญหานิดหน่อย ความหมายของฉันกับศิษย์พี่ใหญ่ก็คืออยากให้นายรีบกลับมาดูหน่อย!”
“เกิดปัญหานิดหน่อย”
เยี่ยเทียนตะลึง “ถนนเส้นนั้นสะดวกราบรื่นมาตั้งนาน ไม่น่ามีเกิดเรื่อง ศิษย์พี่รอง พี่กับศิษย์พี่ใหญ่แก้ไขไม่ได้เหรอ”
เยี่ยเทียนทราบดีว่า จั่วเจียจวินนั้นถนัดการทำนายทายทัก โก่วซินเจียนั้นในเรื่องของการวางค่ายกลนั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา ทั้งสองคนรวมกัน ไม่ได้ด้อยกว่าตัวเองเท่าไหร่ ปกติปัญหาเกี่ยวกับฮวงจุ้ย น่าจะไม่คณามือของพวกเขา
“แคกๆ…”
จั่วเจียจวินไอแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่ว่าฉันกับพี่ใหญ่ล้วนไม่ใช่ด้านที่ถนัดทั้งคู่ นายมาดูก็จะรู้เองแหละ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “งั้นก็ได้ ฉันจองตั๋วพรุ่งนี้แล้วจะบินไป พวกเราเจอกันแล้วค่อยว่ากันแล้วกัน”
“ฉันจะต้องเลื่อนไฟล์ทไปฮ่องกงล่วงหน้าหลายวันแล้วล่ะ”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างรู้สึกผิด กล่าวว่า “ทางนั้นมีเรื่องจัดการไม่ได้ ฉันจะต้องไปด้วยตนเอง แล้วก็ไปดูการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ก็จะอยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ได้แล้ว!”
“ดีสิ ผู้ชายยังหนุ่มยังแน่นก็ต้องถือเรื่องธุระมาเป็นสำคัญ มาขลุกอยู่บ้านทั้งวันได้ยังไง”
ซ่งเว่ยหลันไม่ได้พูดอะไร เยี่ยตงผิงก็ตบมือร้องว่าดีขึ้นมา ลูกชายอยู่บ้านทุกวัน เขารู้สึกว่าฐานะของตัวเองนั้นลดลงมาก ถึงแม้ว่าจะพูดคุยกับภรรยาในตอนกลางคืน ในสิบประโยคก็มีแปดประโยคแล้วที่พูดถึงลูกชาย
“แล้วคุณล่ะทำไมไม่เห็นเรื่องงานมาก่อน”
ซ่งเวยหลันมองไปที่สามีอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงแม้ว่าจะทำความรู้จักกับลูกชายมาได้หลายเดือนแล้ว แต่นี่ก็ไม่พอที่จะชดเชยความรู้สึกยี่สิบกว่าปีของซ่งเวยหลันได้
“ฉัน…ฉันไม่ได้เพราะอายุมากแล้วเหรอ…” เยี่ยตงผิงหัวเราะอย่างเขินอาย รู้ว่าภรรยามองความคิดของตัวเองออก
“งานก่อสร้างเร็วสุดก็ประมาณสามเดือน จะว่าไปฮ่องกงก็ไม่ไกล หากว่าไม่ติดอะไรทั้งสองคนก็ไปพักผ่อนได้ อากาศทางตอนใต้นั้นสบายกว่าที่นี่มาก”
ได้เห็นพ่อแม่ต่อล้อต่อเถียงกัน เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา สำหรับเยี่ยตงผิงนั้น ไม่มีโอกาสได้ย้อนเลยซักครั้งเดียว ทั้งแม่ทั้งลูกไม่ได้เห็นหัวเขากันเลย
เดินไปที่เรือนด้านหน้าตะโกนเรียกโจวเส้าเทียน เยี่ยเทียนให้พวกเขาไปจองตั๋วเครื่องบินสองใบ
โจวเส้าเทียนในช่วงนี้บำเพ็ญฝึกวิชานั้นก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่ว่าเขายังขาดประสบการณ์ในยุทธภพ เยี่ยเทียนเดินทางแน่นอนว่าต้องพาเขาไปด้วย
ตอนที่ 547 ยุคต่อไปคือยุค 8
โดย
Ink Stone_Fantasy
นั่งอยู่บนเครื่องบินได้เห็นวิวทั้งเมืองของฮ่องกง เยี่ยเทียนค่อยๆ หรี่ตาลง ทุกครั้งที่มาที่เกาะฮ่องกง เขาจะต้องพยาการณ์สังเกตดูสถานที่ที่มีฮวงจุ้นดีอย่างด้านหลังหันหาแผ่นดินใหญ่สามด้านติดน้ำ
แม่น้ำจูเจียงไหลจากตะวันตกไปยังทิศทางค่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกภูเขาต้าหยู่ดันให้ไหลเข้ามาในอ่าววิกตอเรีย จากนั้นแม่น้ำก็ผ่านประตูจระเข้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ออกไป ทั้งภูมิทัศน์ของทางน้ำนั้นเหมือนกับแตร…ขามาปากทางเข้าใหญ่และขาออกไปปากทางออกเล็ก
บริเวณปากทางน้ำออกนั้นยังมีรูปปั้นสัตว์ใหญ่ตั้งอยู่…เกาะตงหลง ลักษณะทางน้ำแบบนี้นั้นหาดูได้ยากมาก เป็นลักษณะชัยภูมิที่ดีมาก
แม่น้ำจูเจียงสายใหญ่ถูกเกาะต้าหยู่ผ่าออก ทำให้ปากทางแม่น้ำจูเจียงที่มีน้ำออกมาสองในห้านั้นไหลเข้าสู่ฮ่องกง ในการเรียนฮวงจุ้ยบอกว่า “หากมีภูเขานั้นจะสูงล้ำ หากมีน้ำจะร่ำรวย” ฮ่องกงนั้นรับน้ำไว้ปริมาณมาก จึงได้ตั้งว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ร่ำรวย
นี่ก็คือฮ่องกงที่มีพื้นที่น้อยนิดแต่กลับถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของเมืองที่มีครอบครัวร่ำรวยที่สุดในโลกและเช่นหลี่เชาเหวินและถังเหวินหย่วนพวกนั้น ยิ่งอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ของรายชื่อมหาเศรษฐีของโลก
แต่ทว่าในโลกนี้นั้นมีของที่แพ้ทางกันอยู่ นั่นก็คือ “มีสุขมากก็ทุกข์มาก” กฎเกณฑ์นี้นั้นเหมาะกับการนำไปใช้ในสรรพสิ่งบนโลกนี้ทั้งหมด บนโลกนี้ไม่มีนักรบที่แพ้ตลอดไปและไม่มีแม่ทัพที่รบชนะตลอดกาล
เยี่ยเทียนในครั้งนี้สังเกตเกาะจากบนฟ้า กลับพบว่าเมื่อโลกเข้าสู่ยุคใหม่ยุค 8 แล้ว เกาะฮ่องกงก็ไม่อาจฝืนชะตาเข้าสู่ภาวะถดถอย
หากว่าอยากจะรู้ว่าอะไรคือนยุคแห่งฟ้ายุคต่อไปยุค 8 อย่างนั้นก็จะต้องอธิบายเสียก่อนว่าอะไรคือ “ยุคดินซำง้วงเกาอุ่ง”
ยุคดินซำง้วงเกาอุ่งอยู่ในวัฒนธรรมโบราณของประเทศ “วิชาพยากรณ์ดาวเหิน” เป็นหนึ่งในชื่อเรียกเฉพาะ จากการเฝ้าสังเกตุระยะเวลาของพระอาทิตย์เป็นเวลานาน ตามการโคจรของดาวนพเคราะห์รอบดวงอาทิตย์และการเฝ้าสังเกตุหยินหยางและธาตุทั้ง 5 ผสมกัน จึงได้ออกมาเป็นยุคดินซำง้วงเกาอุ่ง
ยุคแห่งฟ้ายุคต่อไปยุค 8 ก็คือ การจัดระยะเวลาในยุคดินซำง้วงเกาอุ่ง ยุค 8 อยู่ในกึ๊งข่วย กึ๊งข่วยอยู่ในทิศทางที่ตรงกันกับตะวันออกเฉียงเหนือ ในตำราวิชาฮวงจุ้ยนั้นคือมังกรทุกลาภตัวหนึ่งหยั่งรากลึกอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮ่องกงถือว่า ไม่ดี
แต่คนไม่ดีนั้นคือภูเขา ในตำราวิชาฮวงจุ้ยผู้มีลาภ ชนชั้นสูง หัวกระทิ พลังช่วยเหลือ สุขภาพและเรื่องอื่นๆ ดังนั้นยุค 8 ชะตาของฮ่องกงที่เด่นชัดที่สุดก็คือ ขาดคนมีความรู้ความสามารถ ผู้นำไร้ความสามารถ ยุทธศาสตร์ผิดพลาด ชนชั้นสูงไม่มา
และตามที่จากเยี่ยเทียนสำรวจพยากรณ์ ในวันหน้าฮ่องกง มาเก๊าและพื้นที่อื่นๆ ในลำดับต่อไปจะมีอหิวาตกโรคเกิดระบาดขึ้น
ดีที่ว่าคนไม่ดีในยุค 8 ของฮ่องกงนั้นคือ “ภูเขา” ไม่ใช่ “น้ำ” น้ำเป็นทรัพย์หลัก ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงสามารถพยาการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจของฮ่องกงนั้นในด้านหนึ่งจะซบเซา แต่จะไม่ถึงขั้นล่มสลาย
“อาจารย์ ลงพื้นแล้ว ลงจากเครื่องกันเถอะ”
เสียงตะโกนของโจวเส้าเทียน ทำให้เยี่ยเทียนตื่นจากภวังค์ ถึงได้พบว่าตัวเองตกอยู่ในเกมที่ถูกวางไว้ การกระทำที่ไม่ตั้งใจนี้ ทำให้เยี่ยเทียนแอบรู้สึกว่าตบะของเขานั้นก้าวหน้าไปอีกขั้น
“ศิษย์พี่รอง พี่มาได้ยังไง”
เพิ่งเดินออกจากทางเดินของสนามบิน เยี่ยเทียนก็เห็นจั่วเจียจวินที่สวมใส่ชุดราชวงศ์ยืนอารมณ์ดีอยู่ โดยส่งยิ้มมาที่ตัวเอง
“ฉันไม่มาก็ไม่ได้ซะด้วยสิ!”
จั่วเจียจวินหัวเราะแค่นๆ และเอาตัวหลีก ให้หลิ่วติ้งติ้งปรากฏตัวออกมา กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ยังไงกดื้อจะมารับให้ได้ แต่ก็ไม่อยากมาคนเดียว ฉันนี้ก็เท่ากับถูกลักพาตัวมาแล้วไง…”
“คุณตา ห้ามพูดเหลวไหล”
หลิ่วติ้งติ้งสีหน้าปรากฏสีแดงก่ำขึ้นมา นับตั้งแต่ตกลงความสัมพันธ์นั้นกับโจวเส้าเทียนแล้ว หน้าของเจ้าเด็กนี่ก็ดูบางลงเป็นอย่างมาก บางเวลาก็เริ่มมีความรู้สึกเป็นสาวเป็นนางขึ้นมาบ้างแล้ว
“ได้สิ ติ้งติ้งของเราก็รู้จักเขินอายเป็นแล้ว”
จิ่วเจียจวินหัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างดัง หันไปกวักมือเรียกเยี่ยเทียน หมุนกายเดินออกไปทางนอกสนามบิน หลิ่วติ้งติ้งและโจวเส้าเทียนก็เดินรั้งท้ายอยู่สองคนโดยอัตโนมัติ พูดคุยกระหนุงกระหนิงหัวร่อต่อกระซิกกัน
เห็นอารมณ์ของจั่วเจียจวิน เยี่ยเทียนก็รู้ว่าปัญหาไม่ได้ใหญ่โตอะไร หัวเราะพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เรื่องคงไม่ได้ใหญ่โตใช่มั๊ย เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนยุค 8 หรือเปล่า ในภาพรวมเกิดปัญหานิดหน่อย”
“นายก็ดูออกเหรอ”
จั่วเจียจวินหัวเราะแค่นๆออกมา กล่าวว่า “เศรษฐกิจของฮ่องกงคงต้องหยุดชะงักไปหลายปีแล้ว แต่ว่าเรื่องนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ไป พวกเรากลับบ้านแล้วค่อยคุย”
เรียกเยี่ยเทียนและคนอื่นขึ้นรถ จั่วเจียจวินขับรถด้วยตนเองพาพวกเขาไปยังคฤหาสน์ของตนเอง
ก่อนหน้าที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของเยี่ยเทียนจะสร้างเสร็จ โก่วซินเจียก็มาพักอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่น้องทั้งสามรวมตัวกัน แน่นอนว่าจะต้องเป็นสถานการณ์ที่ครึกครื้นยกใหญ่
ในตอนกลางวันกินอะไรรองท้องง่ายๆ ไป ทั้งหมดหลังจากนั่งลงที่ห้องรับแขกแล้ว คนที่ยกน้ำชาและรินแน่นอนว่าก็ต้องเป็นหลิ่วติ้งติ้งและโจวเส้าเทียน หลังจากชงและรินชาให้เยี่ยเทียนกับคนอื่นแล้ว ทั้งสองคนก็รามือไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
กฎในฉีเหมิน ย่อมต้องใหญ่โตกว่าพวกกฎในสำนักยุทธภพพวกนั้น ตามปกติเยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ใจมาก แต่ในตอนนี้เท่ากับว่าอยู่ในเหตุการณ์ทีเป็นทางการ ก็ไม่มีโจวเส้าเทียนกับอีกคนเป็นสองที่นั่งแล้ว
ถึงแม้แต่ตำแหน่งที่นั่งของเยี่ยเทียนและคนอื่นนั้นก็มีกฎเกณฑ์ เยี่ยเทียนถึงแม้อายุจะน้อย แต่มีฐานะเป็นประมุขลัทธิ ก็นั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกลางที่นั่งแรก โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินก็ได้แต่ต้องนั่งอยู่บริเวณซ้ายขวาของเขาแล้ว
“ศิษย์น้อง ไม่เจอกันเดือนหนึ่ง มารยาทของนายนี่ก้าวหน้าไปมากนะ”
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย โก่วซินเจียก็มองไปที่เยี่ยเทียนและหัวเราะขึ้นมา เดิมทีเขาคิดว่าศิษย์น้องนั้นจะอดใจไม่ไหวถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทันที ไม่คิดว่าตั้งแต่ต้นจนจบเยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไรซึกคำเดียว
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่สองคนไม่ได้รีบร้อน ผมจะร้อนรนไปทำไมกันเล่า”
เยี่ยเทียนก็ยิ้มในสีหน้า “ยังไงซะคฤหาสน์หลังนี้สร้างเสร็จแล้ว ยังคงเป็นพี่กับศิษย์พี่รองอยู่อาศัย ผมก็แค่รีบเดินทางข้ามวันข้ามคืนมาจากปักกิ่งเท่านั้น”
“ได้ เจ้าเด็กน้อยนี่ฝึกปรืออีกไม่กี่ปี ก็จะกลายเป็นปราชญ์แล้ว”
โก่วซินเจียสรหน้าเป็นทางการ กล่าวว่า “เยี่ยเทียน นายรู้มั๊ยว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดทะเลนั้นทำไมถึงมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะเศรษฐกิจซบเซามั๊ย”
เยี่ยเทียนนึกย้อนกลับไปที่สถานที่นั้น กล่าวขึ้นว่า “สถานที่นั้นอยู่เรียบทะเลเป็นบริเวณอ่าว ด้านหลังก็ถูกภูเขากั้นเอาไว้ ชี่พิฆาตไม่มีทางระบาย เป็นเพราะแบบนี้จึงมีการเก็บกักสะสมมานานทำให้ความสมดุลของพลังหยินและหยางเสียไป จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมจากผู้คน”
มนุษย์เราเมื่อต้องการพรรณนาถึงลักษณะที่เป็นด้านบวก มักจะชอบใช้คำว่าสดใสเหมือนพระอาทิตย์และคำศัพท์อื่น และด้านที่ตรงข้ามก็จะใช้คำว่าหม่นหมองประเภทนี้ สถานที่หนึ่งหากว่าพลังหยินมีเยอะมากก็จะทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง
เป็นดั่งเช่นที่เยี่ยเทียนกล่าวสถานที่ท่องเที่ยวที่หยินและหยางไม่สมดุล จะทำให้ออร่าของคนนั้นรู้สึกว่าไม่เข้ากันอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าตอนแรกนั้นธุรกิจจะดีใหญ่โต แต่ในไม่ช้าก็จะค่อยๆ ถดถอยลงไป
เยี่ยเทียนคิดอีกซักครู่แล้วก็กล่าวต่อว่า “จริงๆ แล้วสถานที่นั้นน่าจะสร้างสุสานถึงจะเหมาะสม ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นตอคิดทำที่นั่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปได้”
หลังจากฟังที่เยี่ยเทียนกล่าวแล้ว จั่วเจียจวินก็พลันหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ศิษย์น้อง โดยสัตย์จริงเมื่อปีกลายฉันก็เสนอความคิดให้สร้างสถานที่นั้นไป แต่ว่า…ประชาชนที่นั่นท่าทางแข็งกร้าวและไม่เห็นด้วย…”
ถึงแม้ว่าในด้านของศาตร์วิชาจะเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่เช่นสถานที่รวมพลังหยินเอาไว้ จั่วเจียจวินแน่นอนว่าก็สามารถแยกแยะออกได้ ในตอนยี่สิบกว่าปีก่อน เขาเคยเสนอรัฐบาลของฮ่องกงให้เปลี่ยนเป็นสุสาน
เพียงแต่ว่าหมู่บ้านชาวประมงที่ฝากชีวิตไว้กับทะเลไม่กี่หมู่บ้านนั้นไม่เห็นด้วยที่จะให้พื้นที่โดยรอบบ้านตัวเองกลายเป็นสุสานล้อมรอบ คนพวกนี้การศึกษาไม่สูง มีหลายครั้งที่ขับไล่คนที่จะมาตรวจวัดชัยภูมิสถานที่ออกไป
เมื่อทำอะไรไม่ได้ รัฐบาลก็ให้ตำรวจเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่นั่นทำให้ผึ้งแตกรัง พวกคนหนุ่มในหมู่บ้านประมงที่เลือดร้อนและพวกตำรวจก็เกิดเหตุปะทะกันขึ้น ทำให้มีคนตายสามคนและบาดเจ็บสิบคน
ในสมัยที่รักสงบนั้นการสูญเสียนี้ถือว่าร้ายแรงมาก รัฐบาลของเกาะฮ่ององจึงรีบหยุดการก่อสร้างสุสาน
เพื่อเป็นการปลอบใจและทำให้ประชาชนในหมู่บ้านชาวประมงสงบลง ถึงได้ทำโครงการท่องเที่ยวออกมา และก็ทำให้หมู่บ้านชาวประมงมีรายได้เข้ามาในช่วงเวลาอันสั้น
เพียงแต่ว่าเป็นสาเหตุมาจากฮวงจุ้ยไม่ดี โครงการท่องเที่ยวเลยไม่ได้พัฒนาต่อ บวกกับรัฐบาลจำกัดธุรกิจประมงรอบเกาะฮ่องกง ชีวิตของประชาชนในหมู่บ้านชาวประมงพวกนี้ก็กลายเป็นเกิดความขัดสนกันขึ้นมา
ดังนั้นเมื่ออาจารย์จั่วที่มีชื่อของเกาะฮ่องกงไปยังสถานที่นั้นตรวจสอบชัยภูมินั้นกลายเป็นว่าได้รับการต้อนรับจากพวกผู้คนที่อยู่อาศัยที่นั่นอย่างล้นหลามต่อให้จะทำสุสาน พวกเขาก็เตรียมที่จะให้ความร่วมมือ
แต่ว่าได้ฟังมาว่าเพียงแต่ขยายถนนและก่อสร้างหินกลิ้งเสริมฮวงจุ้ยก็จะสามารถแก้ไขฮวงจุ้ยได้ ประชาชนที่อยู่ที่นั้นจึงได้ลงประชามติผ่านอย่างรวดเร็ว ตกลงให้ทำการก่อกสร้าง
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในโครงการก่อสร้างที่ง่ายๆ พวกประชาชนนั้นก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย เหมือนกับว่ามีสิ่งก่อสร้างโบราณห้าสิบปีอยู่บริเวณทางแยกถนน ก็เป็นพวกเขาที่รื้อถอนออกไป
แต่เรื่องนี้ก็มาเกิดตรงที่สิ่งปลูกสร้างโบราณนี้ ในตอนที่พวกเขาล้มอาคารเพื่อขุดฐานรากนั้น ตรงพื้นที่ด้านใต้ของอาคารนั้นขุดเจอซากศพกว่าสามสิบศพออกมา
ศพเหล่านี้ล้วนไม่ได้บรรจุในโลงไม้ แต่ฝังลงในดินโดยตรง ในตอนที่ขุดขึ้นมาล้วนแต่เป็นกระดูกขาวโพลน แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกดินโคลนทับถมย่อยสลายไปแล้ว
พวกชาวบ้านเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน ในตอนนั้นก็ตกใจจนทิ้งจอบเสียม แต่ละคนก็วิ่งแจ้นกลับบ้านกันหมด
เพียงแต่ในตอนกลางคืน ก็มีคนหนุ่มรุ่นกระทงเจ็ดแปดคนเกิดเรื่องขึ้น ใบหน้าแดงก่ำไข้ขึ้นสูง และพร่ำเพ้อไม่หยุด แต่เมื่อส่งไปโรงพยาบาลตรวจสอบ อุณหภูมิร่างกายกับปกติ
เรื่องน่าพิลึกพิลั่นแบบนี้ปรากฏออกมา พลันทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน เรื่องที่สถานที่นั้นมีหลุมศพคนเรือนหมื่นก็ถูกลือไปปากต่อปากทั่วเกาะฮ่องกง
ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ก็ออกมาประกาศว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ที่คนญี่ปุ่นใช้ประหาร เคยเป็นสถานที่สังหารประชาชนที่ไม่มี “บัตรคนดี” ในคืนเดียวกว่าหนึ่งร้อยคน
ต่อมาทหารญี่ปุ่นยอมแพ้ จากการแนะนำของผู้มีวิชา ให้สร้างอาคารหลังหนึ่งขึ้นไว้ด้านบน ประโยชน์ก็คือใช้สะกดวิญญาณของผู้ตายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สิ่งปลูกสร้างถูกรื้อถอนไปต่อตา แน่นอนว่าต้องเป็นวิญญาณพวกนั้นถูกปล่อยออกมาแน่
เมื่อเรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไป ทำให้ประชาขนที่อยู่บริเวณข้างเคียงหวาดกลัวไม่เป็นอันทำอะไร การก่อสร้างก็อย่าหวังว่าจะได้ทำต่อ เรื่องราวพวกนี้ก็แพร่สะพัดมาเข้าหูของจั่วเจียจวินและโก่วซินเจียอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ต่อให้สถานที่นั้นเคยมีคนตาย พี่กับศิษย์พี่รองก็น่าจะปัดเป่าออกไปได้ไม่ใช่เหรอ”
เมื่อได้ฟังจั่วเจียจวินกล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็หันไปมองโก่วซินเจีย ศิษย์พี่ใหญ่ถึงแม้ในด้านของศาสตร์วิขานั้นกล้าแกร่งไม่เท่าตัวเอง แต่บำเพ็ญตบะนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเองเลย
โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า “ในตอนนั้นที่เกิดเรื่องฉันกับโก่วซินเจียก็รุดไปแล้ว พวกชาวบ้านนั้นเป็นที่แน่นอนว่าถูกชี่พิฆาต พวกเราสามารถสลายได้ แต่สถานที่แห่งนั้น มีอะไรบางอย่างที่แปลก ฉันก็มองไม่ชัดเจน”
……………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น