ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 545-547

ตอนที่ 545 โฉมงามน้ำแข็งที่ทรงเสน่ห์ด...

 

คนผู้นั้นมิได้สนใจนาง เขาปล่อยให้นางนั่งแกว่งขาอยู่บนบ่าของตนเอง


 


 


ขาของนางแกว่งไกวไปมาอยู่บนบ่าของเขา น้ำหนักก็ไม่มาก ให้ความรู้สึกเหมือนเดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย เหมือนกับมีบางอย่างเคาะเบาะที่หัวใจของเขา


 


 


ทำให้เขาอยากจะคว้าขาทั้งคู่ที่อยู่ไม่สุขนัั่นลงมา สับแล้วโยนให้สุนัขกิน!


 


 


ทั้งๆที่ในหัวใจเต้นตึกๆตักๆ แต่เขายังคงทำสีหน้าสูงส่งเย็นชา


 


 


คนของวังตันติ่งกงตาค้างไปแล้ว …….พวกเขาคิดขึ้นมาในทันทีว่า สองคนมามาเพื่อโอ้อวดความรักใคร่สนิทสนม!


 


 


พวกเขาบุกมาวังตันติ่งกงอย่างเปิดเผยก็เพื่อแสดงฉากรักหวานเลี่ยน!


 


 


คู่บุรุษหน้าเหม็นที่ไร้ยางอาย! สมควรจับไปเผาทิ้งหรือไม่?


 


 


…………………………..


 


 


ซ่งชิงอีเห็นตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนบ่าของเขา ก็ต้องโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา


 


 


นางคิดถึงตอนก่อนหน้านี้ นางไปคารวะถึงสำนักหยินหยางด้วยตนเอง แต่ว่าเขากลับไม่ให้เกียรติพบหน้าเลยสักนิด ขับไล่นางออกมาต่อหน้าผู้คนทั้งหมด


 


 


แต่ว่าตอนนี้…..เขากลับยอมให้เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นนั่งอยู่บนบ่า?


 


 


ซ่งชิงอีรู้สึกว่า หากไม่ใช่ว่านางตาบอด เขาก็ต้องเสียสติไปแล้ว


 


 


เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น มีดีที่ตรงไหน?


 


 


นางใช้พลังทั้งหมดเป่าขลุ่ยกระดูกออกไป….


 


 


ดวงตาของนางเรืองวาบด้วยความชิงชัง และมุ่งหวังให้ผีกุ่ยหลัวซาของต้นพุ่งเข้าไปฉีกทึ้งเด็กหนุ่มผู้นั้น


 


 


และเพราะนางใช้พลังอย่างมากเกินควร ใบหน้าจึงแดงก่ำราวตับหมู บาดแผลบนใบหน้าก็ยิ่งปริแตก หยดเลือดไหลออกมาอีกครั้ง


 


 


ฝูลั่วรีบหาผ้าสะอาดมาช่วยซับหน้าให้กับนาง


 


 


แต่ว่าซ่งชิงอีกลับไม่สนใจ ดวงตาของนางเรืองโรจน์อย่างคลุ้มคลั่ง


 


 


นางกำลังนับถอยหลังอยู่ในใจ นับถอยหลังที่จะได้เห็นพวกผีกุ่ยหลัวซาฉีกทึ้งเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นเป็นชิ้นๆ


 


 


สาม……


 


 


สอง…..


 


 


หนึ่ง…..


 


 


หึ หึ หึ มันกำลังจะจบสิ้นแล้ว


 


 


ต่อให้มีเจ้าสำนักหยินหยางคอยปกป้องอยู่แล้วจะอย่างไร? หากว่าเสียงพิณของเขาจะสามารถกำจัดผีกุ่ยหลัวซาได้หมด อย่างนั้นก็คงจะทำไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องมารอนาน จนไม่กล้าขยับเช่นตอนนี้


 


 


มุมปากของซ่งชิงอีถึงกับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ


 


 


แต่รอยยิ้มของนางยังไม่ทันได้คลี่ออกมา ก็ต้องแข็งค้างไปเสียแล้ว


 


 


ภายใต้แสงดาวเกลื่อนฟ้า ขณะที่ผีกุ่ยหลัวซานับเจ็ดแปดสิบตัวกำลังรายล้อมเข้าไปนั้น อยู่ๆพวกมันทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงที่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลันกับคนผู้นั้น


 


 


คุกเข่ากลางอากาศ!


 


 


ใครมันจะไปเชื่อกัน!


 


 


ทุกคนต่างตกตะลึง ล้วนอ้าปากค้างราวกับจะใส่ไข่เป็ดได้ทั้งใบ


 


 


ซ่งชิงอีลืมตาโต นางเองก็นึกไม่ถึง


 


 


นางรีบยกขลุ่ยกระดูกขึ้นมาเป่าอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งเป่า ทางหนึ่งก็คิดไปว่า วิธีการเป่าของนางก็ไม่มีสิ่งใดที่ผิดพลาดนี่นา!


 


 


เป็นไปได้อย่างไร?


 


 


ตลอดร้อยปีมานี้ นางฝึกฝนและสร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แล้วทำไมมันถึงได้ไปคุกเข่าให้กับผู้อื่นเสียง่ายๆ?


 


 


เขาอาจจะแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นที่ผีกุ่ยหลัวซาจะต้องไปศิโรราบต่อเขานี่?


 


 


ซ่งชิงอีเป่าอยู่เป็นนาน ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้นก็ยังคงคุกเข่าอย่างนอบน้อมอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้น โดยไม่สนใจจะฟังคำบัญชาของนางเลยสักนิด


 


 


เป็นไปไม่ได้…..นี่มันเป็นไปไม่ได้!


 


 


ผีกุ่ยหลัวซาไม่มีทาง มีความรู้สึกใดๆ พวกมันเชื่อฟังแต่ผู้ที่บ่มเพาะมันขึ้นมาเท่านั้น…..


 


 


ตกลงแล้วนี่มันผิดพลาดที่ใดกันแน่?


 


 


ซ่งชิงอีเป่าขลุ่ยกระดูกจนจะร้าวอยู่แล้ว!


 


 


ฝูลั่วที่ตื่นตะลึงอยู่ข้างๆ ก็เตือนออกมาด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านเจ้า….บางทีคนผู้นี้อาจจะ….อาจจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ภูติผีก็ยังฟังคำบัญชาจากเขา…..”


 


 


“ท่านลองดูกลิ่นอายที่กำจายออกมาจากเขาสิ ราวกับว่าป่ายปีนขึ้นมาจากขุมนรกอย่างไรอย่าง


 


 


นั้น….”


 


 


ใช่แล้ว คนผู้นั้นดูเยือกเย็นและลึกลับเกินไปแล้ว เยือกเย็นเสียจนทำให้หัวใจผู้คนเหน็บหนาว


 


 


บางที่เขาอาจจะเป็นผู้ที่มาจากนรกตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้กระมัง?


 


 


ซ่งชิงอีชะงักค้าง แม้แต่ขลุ่ยกระดูกในมือก็ยังตกลงไปบนพื้น


 


 


………………………..


 


 


ใต้แสงดาว ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนบ่าของเขา มองดูเหล่าผีกุ่ยหลัวซาที่คุกเข่าลงไป พลังวิญญาณที่รวมอยู่บนฝ่ามือก็ค่อยๆคืนกลับดังเดิม


 


 


บ่าของเขาให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยและมั่งคง


 


 


นางสมควรจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่ถึงรอบให้นางได้ลงมือเสียด้วยซ้ำ


 


 


“เก่งสุดยอด!” ทันทีที่พลังวิญญาณบนฝ่ามือจางหายไป นางก็ปรบมือขึ้นมา ด้วยดวงตาเป็นประกาย


 


 


“เช่นนี้ก็ให้เจ้าเป็นฝ่ายคุ้มครองข้าดีกว่า…..ถึงแม้ว่าข้าจะเก่งมาก แต่ถ้าจะให้พวกมันทั้งหมดยอมก้มหัวคุกเข่าให้ข้า ก็ออกจะยากไปสักหน่อย”


 


 


อีกฝ่าย “…..”


 


 


ยังคงเย็นชา เงียบขรึม และคร้านจะสนใจนาง


 


 


ทั้งยังเบื่อหน่ายที่นางพูดมาก เขาทำท่าเหมือนอยากจะให้นางปิดปากเอาไว้


 


 


“ถ้าหากว่าเจ้าไม่เต็มใจ เช่นนี้พวกเราก็มาร่วมมือกันก็ได้ เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไร ก็จะยืนหยัดร่วมกัน”


 


 


หาได้ยากนักที่ตู๋กูซิงหลันจะอารมณ์ดีถึงเพียงนี้


 


 


นางยังคงใช้มือข้างหนึ่งจับคางเอาไว้ ขณะนั่งอยู่บนบ่าของเขา ก็โน้มตัวลงไปดูเขาสักเล็กน้อย


 


 


 ใต้แสงดาว มืออีกข้างของนางยื่นออกไป


 


 


ปลายนิ้วที่บอบบางนั้นสัมผัสกับหน้ากากครึ่งใบของเขาอย่างแผ่วเบาๆ ทำท่าจะปลดออกมาอย่างแม่นยำ


 


 


แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ให้โอกาสนางเลยสักนิด


 


 


อืม….ก่อนที่นางจะชิงลงมือ คนผู้นั้นก็ปลดหน้ากากลงมาด้วยตนเอง


 


 


ทั่วร่างของเขากำจายหมอกสีดำราวน้ำหมึกเข้มข้นออกมา เหนือศีรษะมีแสงดาวทอประกายระยิบระยับ เบื้องหน้าคือเหล่าผีกุ่ยหลัวซาที่คุกเข่ารวมกันอย่างหนาแน่น


 


 


และบนพื้นดินคือดวงหน้าที่ตื่นตะลึงของศิษย์วังตันติ่งกง ไกลออกไปบนตึกสูงนั้น ก็คือซ่งชิงอีที่โกรธเคืองจนแทบลุกเป็นไฟแล้ว


 


 


ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับปลดหน้ากากของตนเองลงมา


 


 


พิณโบราณที่เคยอยู่ตรงหน้าลอยกลับไปอยู่ที่บั้นเอวด้านหลัง


 


 


ใบหน้าหลังหน้ากากนั้น ยกขึ้นน้อยๆ เหลือบมองลงมาที่นางอย่างจับตาดูอยู่


 


 


นั่นเป็นดวงหน้าที่แสนจะงดงามจนไม่มีสิ่งใดจะเปรียบเทียบได้


 


 


ปราณีต สูงส่ง ราวกับว่าต่อให้รวบรวมความงดงามทั้งหมดในใต้หล้าเข้าไว้ด้วยกัน ก็ยังไม่อาจจะเอาชนะเขาได้แม้แต่น้อย


 


 


ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไป ก็ได้เห็นว่าดวงตาหงส์ที่งดงามคู่นั้น


 


 


คล้ายคลึงกับจีเฉวียน แต่ก็มีส่วนที่ไม่คล้ายอยู่ ดูจะเหมือนของท่านอาจารย์มากกว่า


 


 


ดวงตาของเขาดำลึกดุจน้ำหมึก ราวกับว่าเป็นที่สุดแห่งความมืดมิดในใต้หล้า เพียงมองดูแค่แวบเดียวก็ทำให้คนต้องตราตรึงไปตลอดกาล


 


 


ขอบตาเป็นสีแดง และแม้แต่หัวคิ้วที่โก่งงามนั้นก็ดูจะมีสีอมแดงอยู่ด้วย


 


 


ดวงหน้าหล่อเหลาอย่างยิ่ง แต่ก็เย็นชาอย่างที่สุดเหมือนดั่งมารน้ำแข็ง


 


 


หากก็น่าดูอย่างที่สุดด้วย


 


 


โฉมงามน้ำแข็งที่ทรงเสน่ห์ดุจภูติร้าย


 


 


นั่นคือขอสรุปแรกที่ตู๋กูซิงหลันมีให้


 


 


นี่มิใช่ใบหน้าของจีเฉวียน และไม่ใช่ใบหน้าของอาจารย์


 


 


แต่ก็คล้ายกับทั้งสองคนมากๆ


 


 


ตู๋กูซิงหลันบอกไม่ถูกว่าเหมือนกันที่ตรงไหน แต่ว่าช่างเหมือน


 


 


ชั่วขณะนั้น นางเกิดความรู้สึกว่า …..นี่คือการหลอมรวมกันของคนทั้งสอง


 


 


นางมองดูเขาอย่างลึกซึ้ง เนิ่นนาน


 


 


ส่วนเขาเองก็มองดูนางเช่นกัน ครู่หนึ่งริมฝีปากดุจกลีบบัวนั่นค่อยขยับน้อยๆ เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “เจ้าจำคนผิดแล้ว”


 


 


จำคนผิด….แล้วจะอย่างไร


 


 


ดวงตาหงส์ของเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆเลยแม้แต่น้อย


 


 


จนตู๋กูซิงหลันเกือบจะเชื่อแล้วว่า พวกเขาเป็นแค่เพียงคนผ่านทางที่ได้มาพบกันอย่างบังเอิญเท่านั้น


 


 


หัวใจของนางเต้นระทึก ดังตึกตักจนแทบจะกระดอนออกมา นางดึงมือของตนเองกลับมา กดลงไปบนหัวใจของตนเอง


 


 


“ข้าจำผิดไปจริงๆน่ะหรือ?”


 


 


นางถามออกไป


 


 


“คนอย่างข้าจะไม่พูดซ้ำเป็นหนที่สอง”


 


 


เขาเก็บสายตากลับไป ไม่มองดูนางอีกแม้แต่น้อย


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็สวนกลับไปว่า “แต่เมื่อครู่นี้เจ้าพึ่งบอกให้ข้านั่งลงให้ดีตั้งสองครั้ง”


 


 


อีกฝ่าย “……”


 


 


เขาไม่คิดจะพูดกับนาง เอาแต่หันท้ายทอยให้อย่างเย็นชาขั้นสุด

 

 

 


ตอนที่ 546 ไม่มีพิรุธ ไม่ได้ปกปิด หรื...

 

“โอ้ว ต้องเย่อหยิ่งและเย็นชาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” ตู๋กูซิงหลันจับหัวใจตนเองเอาไว้ 


 


 


“ช่างบังเอิญจริงๆ ทั้งอาจารย์ของข้า และเสี่ยวเฉวียนเฉวียนของข้า ก็เย่อหยิ่งและเย็นชาเหมือนกับเจ้าเลย!” นางยังคงพูดต่อไป ขณะที่ในใจก็คิดไปด้วย อืม เสี่ยวเฉวียนเฉวียน ตอนแรกๆก็เป็นฮ่องเต้สุนัขที่เย่อหยิ่งและเย็นชา 


 


 


แต่ว่าพอเวลาผ่านไปนานเข้า ก็ไม่ได้เย็นชากับนางอีกแล้ว แถมบางครั้งยังทำตัวโง่งมกับนางเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน 


 


 


“เจ้าบอกว่าข้าจำคนผิด…. แล้วกล้าให้ข้าเปิดบั้นเอวของเจ้าดูหรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันยังคงดื้อดึงดุจลาตัวหนึ่ง ซักไซ้ไม่ยอมลดละ 


 


 


ทั้งยังไม่สนใจว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์เช่นไร ยังจะมีใครหน้าด้านได้กว่านี้อีกไหม? 


 


 


ต้องขออภัยด้วยจริงๆ …. นางไม่เคยสนใจเรื่องรักษาหน้าตาหรือศักดิ์ศรีอยู่แล้ว! 


 


 


เพียงแต่ว่าเมื่อพักก่อนต้องสูญเสียทั้งอาจารย์และเสี่ยวเฉวียนเฉวียนไป จิตใจพังทลายจนอุปนิสัยเปลี่ยนไปอยู่บ้าง ก็เท่านั้น 


 


 


แก่นแท้ของนางก็เป็นคนที่ไม่ปกติอยู่แล้ว 


 


 


“ไม่ต้องดู” นิ้วมือของอีกฝ่ายวางลงไปบนตัวพิณอีกครั้ง สายตาที่เย็นชาของเขากวาดผ่านเหล่าผีกุ่ยหลัวซาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า 


 


 


ดวงตาหงส์ดูนั้นเหมือนดังสายน้ำที่สงบนิ่ง ไม่ว่าเมื่อใดก็ไร้รอยกระเพื่อมอยู่เสมอ 


 


 


ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นได้ชัด และยิ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ 


 


 


เพียงแต่ชั่วขณะที่เขาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เหล่าคนที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ต่างก็เกือบจะเป็นลมสิ้นสติล้มลงกันไปแล้ว 


 


 


ในบรรดาพวกเขา ย่อมมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้พบเห็นคนผู้นี้ในสุดยอดการประลอง 


 


 


โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโส แม้มีวาสนาได้เห็นเพียงครั้งเดียวแต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถลืมเลือนบุรุษที่ดูงามจนชั่วร้ายผู้นี้ได้ 


 


 


ถึงจะบอกว่าเขาชั่วร้าย แต่เขายิ่งดูเย็นชามากกว่า คำพูดคำจาก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ราวกับว่าหนึ่งคำพันตำลึงทอง 


 


 


รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูเหมือนบุรุษหนุ่มยี่สิบต้นๆ แต่กลับดูสุขุมลุ่มลึกอย่างยิ่ง 


 


 


ไม่ว่าจะยกมือหรือวางเท้าก็ดูสูงส่งสง่างามเกินใครเทียบ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน ได้แต่คิดจะคุกเข่าลงกราบกรานเรียกหาเขาเป็นบรรพชน 


 


 


ใครบ้างจะไม่รู้ว่า ท่านเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่นั้น คือบุรุษโฉมงามที่สุดในใต้หล้า…. 


 


 


อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่บุรุษด้วยกันเมื่อได้เห็นเขาแล้วต่างก็ต้องเคลิบเคลิ้มอย่างอดใจไม่ไหว 


 


 


ในดินแดนจิ่วโจวนี้ ไม่ได้มีแต่ซ่งชิงอีเพียงผู้เดียวที่เฝ้าฝันถึงเขา 


 


 


อย่าว่าแต่จะกล้าไปสัมผัสปลายนิ้วของเขาเลย 


 


 


แม้แต่จะเปิดเผยออกมาก็ยังไม่มีผู้ใดกล้า 


 


 


แต่ว่าดูตอนนี้สิ เจ้าเดรัจฉานน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้น ถึงกับนั่งอยู่บนบ่าของเขาอย่างมิได้ละอายใจเลยสักนิด 


 


 


  


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่คิดจะลงไปเช่นกัน 


 


 


นางโคลงศีรษะ สายตามิได้ละไปจากเขาแม้เพียงชั่วขณะเดียว ทำตัวเป็นอันธพาลน้อยคนหนึ่ง “เจ้าไม่กล้าให้ข้าดู แสดงว่าในใจมีพิรุธ” 


 


 


“ในใจมีพิรุธจึงต้องปกปิด ปกปิดก็เพราะว่าในใจมีพิรุธ หากว่าเจ้ามีความจำเป็นอะไรทำให้ไม่อาจยอมรับ….” 


 


 


นางพูดไปยังไม่ทันจบ ก็เห็นเขาคว้าขาของนางเอาไว้ลากลงมาจากบนบ่าทั้งอย่างนั้น 


 


 


แต่ก็ไม่ได้โยนนางทิ้งลงพื้น 


 


 


ดวงตาหงส์ของเขาไม่ได้มองมาที่นางแม้แต่น้อย แต่ว่ามือเย็นๆของเขา ไม่รู้ว่าไปเอาหมั่นโถครึ่งใบมาจากที่ใด ยัดเข้าไปในปากนางทันที 


 


 


จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ไม่มีพิรุธ ไม่ได้ปกปิด หรือมีข้อติดขัดใดๆ เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” 


 


 


พูดมากนัก หนวกหูจนเขาปวดสมองไปหมด ดังนั้นจึงต้องเอาหมั่นโถครึ่งลูกยัดใส่ปากนาง 


 


 


เขาใช้มือข้างหนึ่งหิ้วตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งดีดพิณ กลายเป็นสำเนียงหนึ่งดังออกมา เสียงพิณในครั้งนี้ไม่ได้มีกลิ่นอายสังหาร 


 


 


ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน เสียงพิณที่สะท้อนออกไป กลายเป็นแสงทองที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง 


 


 


และแสงทองเหล่านั้นอาบลงไปบนร่างของผีกุ่ยหลัวซา 


 


 


ในแสงทองยังมีอักขระอยู่ด้วย 


 


 


อักษรสีทองเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้จักดี  นี่คืออักษรสันสกฤต 


 


 


ที่ใช้เพื่อชำระวิญญาณแค้นทั้งหลายโดยเฉพาะ 


 


 


อักษรสันสกฤต เป็นอักษรโบราณของโลกปัจจุบัน….โลกโบราณใบนี้ไม่มีทางมี 


 


 


หรืออย่างน้อยๆ ในดินแดนโบราณก็ไม่มีอย่างแน่นอน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วน้อยๆ โดยไม่ได้ไปรบกวนอะไรเขา 


 


 


ดูจากการกระทำของเขาแล้ว คงคิดจะปลดปล่อยผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้….. 


 


 


ถึงแม้จะบอกว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จะอย่างไรก็ยังคงน่าสงสาร ….. ต้องทนทุกข์ทรมานก่อนตาย ตายแล้วก็ยังถูกบีบบังคับให้เป็นผีกินผี ก็เหมือนกับการฝึกฝนมือสังหาร พวกมันถูกกักขังเอาไว้ด้วยกัน บังคับให้ฆ่าฟันกันเอง จนถึงตัวสุดท้ายจึงจะมีโอกาสคงอยู่ต่อไป….. 


 


 


 เสียงพิณของเขาสะท้อนออกไป ขณะที่ริมฝีปากก็เอ่ยคาถาภาษาสันสกฤตกำกับไปด้วย  


 


 


ตู๋กูซิงหลันฟังก็รู้ว่านั้นเป็นบทสวดส่งวิญญาณสู่สันติภพ 


 


 


ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้ จมอยู่ในความคิดฆ่าฟันที่รุนแรง หากมิใช้ผู้สูงส่งที่มีความพิเศษ ย่อมไม่มีทางปลดปล่อยพวกมันได้สำเร็จ 


 


 


แต่กับเขาแล้วย่อมไม่เหมือนกัน…. 


 


 


ท่าทางยามสวดมนต์ของเขา เหมือนกับท่านอาจารย์อย่างยิ่ง 


 


 


คนอื่นๆต่างก็มองดูจนตาค้าง ทุกคนได้แต่ลืมตาจ้องมองโดยไม่มีใครกล้าส่งเสียงรบกวน 


 


 


เดิมทีพวกเขาคิดว่า เจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่จะสังหารพวกผีกุ่ยหลัวซาให้หมดสิ้นเสียอีก…. 


 


 


เพราะว่าตอนแรกนั้น แค่เขาสาดเสียงพิณออกมาเพียงครั้งเดียว ผีกุ่ยหลัวซานับสิบตัวก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว 


 


 


พวกเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่า คนผู้นี้จะมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ทำพิธีชำระวิญญาณให้ 


 


 


เสียงสวดมนต์ส่งวิญญาณของเขาดังสะท้อนออกไปทุกมุมในวังตันติ่งกง แม้แต่ห้องใต้ดินก็ไม่มีเว้น 


 


 


บทสวดส่งวิญญาณส่งผ่านไปยังกระถางยักษ์ ทำให้แม้แต่เหล่าวิญญาณแค้นที่อยู่ในกระถางยักษ์ก็ยังได้ยิน 


 


 


ร่างวิญญาณของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยอักขระสันสกฤตสีทอง 


 


 


อักขระสันสกฤตเหล่านั้นนำพวกเขาออกมาจากกระถางยักษ์ 


 


 


และกระทั่งเหล่าดวงวิญญาณที่ตกตายอย่างอนาถในวังตันติ่งกง ก็ยังได้รับการปลดปล่อยออกมา ทั้งหมดลอยไปหาเขา 


 


 


ในยามนี้ จนกลายเป็นว่าผีกุ่ยหลัวซาทั้งหลายต่างรวมกันอยู่ตรงกลาง และทั่วทั้งท้องฟ้าก็แออัดไปด้วยเหล่าวิญญาณแค้น 


 


 


สายลมพัดหวีดหวิว ราวกับเป็นเสียงคร่ำครวญของวิญญาณแค้นเหล่านั้น 


 


 


ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ภายนอกของซ่งชิงอีคือโฉมงามผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา แม้แต่ในหมู่ศิษย์ต่างก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง 


 


 


แต่ว่าในยามนี้วังตันติ่งกงกลับปรากฏภูติผีขึ้นมามากมาย…… 


 


 


ขณะที่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานั้น ต่างก็ทยอยกันหันไปมองดูซ่งชิงอีที่อยู่บนตึกสูง’’ 


 


 


ซ่งชิงอีจับจ้องไปที่เหล่าวิญญาณแค้นที่รวมกันจนหนาแน่นทั่วท้องฟ้า สีหน้าของนางซีดขาว 


 


 


ร่างเดิมที่ยื่นออกมานอกหน้าต่างครึ่งหนึ่งต้องค่อยๆหดกลับไป ไม่รู้เพราะเหตุใดนางเกิดความรู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าปราศจากเรี่ยวแรง จนตอนนี้แทบจะยืนไม่อยู่อีกต่อไป 


 


 


และเหล่าวิญญาณแค้นที่มารวมกันอยู่ตรงเบื้องหน้าคนผู้นั้น ก็พากันหันศีรษะกลับมา มองขึ้นไปบนยอดตึกสูง 


 


 


สายตาที่ทั้งหวาดกลัว เคียดแค้น จนแทบจะมองจนซ่งชิงอีทะลุเป็นตะแกรง 


 


 


ตลอดหลายปีมานี้ ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของนางมีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ทุกคนที่ตายไปล้วนถูกนางกักขังเอาไว้ในวังตันติ่งกง เพื่อใช้ฝึกฝนและสร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซา ต่อให้ฝันนางก็คิดไม่ถึงว่า สักวันหนึ่ง ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้จะถูกคนอื่นปลดปล่อยออกมา! 


 


 


ทั้งยังถูกคนที่นางชื่นชมปลดปล่อยออกมาอีกด้วย 


 


 


ความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนกับว่าเอาความชั่วร้ายและสกปรกโสมมทั้งหมดของนาง ออกมาตีแผ่ลงตรงหน้าเขา …..ทำให้นางได้แต่ละอายใจอย่างที่สุด 


 


 


“เจ้าสำนักหยินหยาง ตกลงแล้วคืนนี้ท่านร้องงิ้วเรื่องอะไร ฉากไหนกันแน่?” 


 


 


ซ่งชิงอีจะอย่างไรก็เป็นถึงเจ้าวังตันติ่งกง นางสามารถสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว จับจ้องคนผู้นั้นด้วยสายตาเป็นประกาย พลางถามออกไป 


 


 


“เจ้าหุบปากเสียเถอะ!” ผู้ที่ตอบนางกลับเป็นตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ในปากของนางเดิมยังมีหมั่นโถอยู่ครึ่งใบ  ตอนนี้พึ่งจะถูกนางกลืนลงไป แม้แต่มุมปากก็ยังมีเศษหมั่นโถสีขาวติดอยู่เลย 


 


 


นางชักจะไม่อยากอดทนอีกต่อไปแล้ว “ทุกสิ่งล้วนมีที่มา บุญบาปมีผลตอบแทน เรื่องใดที่ตนเองกระทำลงไป ในใจย่อมรู้ดี อย่าได้ออกมาพูดพล่ามอยู่เลย” 


 


 


“นายน้อยอย่างข้ายังมีเรื่องต้องพูดคุยกับคนคุ้นเคย ไม่มีเวลาจะมาสิ้นเปลืองไปกับเจ้าแล้ว 


 


 


“เจ้า…. ผายลมอันใด!” 

 

 

 


ตอนที่ 547 คนหนึ่งชั่วร้ายเย็นชา คนหน...

 

ตอนนี้นางแทบจะอยากจับเขากลับไปยัดใส่ห้อง แล้วทำการตรวจสอบดูโดยละเอียด ไหนเลยจะมีเวลามาสิ้นเปลืองไปพร้อมๆกับนาง 


 


 


ขณะที่นางพูดออกไป เศษหมั่นโถที่มุมปากก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ แถมยังมีเศษเล็กๆหล่นลงไปบนบ่าของเขาอีกด้วย 


 


 


เขาเหลือบตามองดูเล็กน้อย ปลายนิ้วเรียวยาวกวาดผ่านเบาๆ ปัดเศษหมั่นโถที่ร่วงลงมาจากปากของนางออกไป 


 


 


คิ้วที่โก่งยาวได้รูปของเขาขมวดขึ้นมา แววตาจากดวงตาหงส์เผยความเอือมระอาจางๆ 


 


 


ที่เขาเอาหมั่นโถออกมา ก็เพื่ออุดปากนาง ไม่ใช่ให้นางกินจนหมด 


 


 


เขาไม่เข้าใจเลยว่าสมองของสาวน้อยผู้นี้คิดอะไรอยู่ 


 


 


แต่พอมองเห็นว่ามุมปากของนางเปรอะเปื้อน ก็ต้องอดใจไม่ไหว จำต้องยื่นมือได้รูปเหมือนชิ้นหยกที่เย็นฉ่ำไปที่มุมปากของนาง เช็ดเศษหมั่นโถเหล่านั้นออกไป 


 


 


           เช็ดจนสะอาดเกลี้ยงเกลา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่จ้องมองดูเขา รูปโฉมของเขางามน่ามองมากจริงๆ เป็นความงามจากภายในสะท้อนสู่ภายนอก และจากภายนอกเข้าไปถึงภายใน 


 


 


นางคิดถึงปัญหาขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง ทั้งอาจารย์และจีเฉวียนต่างก็เป็นโรคบ้าความสะอาด 


 


 


           ดูท่าเขา….ก็คงจะบ้าความสะอาดด้วยเช่นกัน 


 


 


           มิเช่นนั้นจะมาเช็ดปากให้นางต่อหน้าผู้คนเช่นนี้หรือ? 


 


 


           เนื่องเพราะดวงตาหงส์คู่นั้น ตู๋กูซิงหลันจึงรู้สึกว่าเขาดูคล้ายกับเสี่ยวเฉวียนเฉวียนมากกว่า นางยอมรับก็ได้ว่า เมื่อครู่นี้ นางถึงกับติดเบ็ดเข้าแล้ว 


 


 


           ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่กับเสี่ยวเฉวียนเฉวียน ยังไม่ทันได้มีเวลาไปกระทำเรื่องมากมายที่ชายหนุ่มหญิงสาวมักทำให้แก่กัน…. 


 


 


ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาประดุจหยก ดูเหมือนจะมีสีแดงอ่อนๆซับขึ้นมาอยู่จางๆ 


 


 


นางยังคงไม่กล้าละสายตา มือข้างหนึ่งยื่นออกไปกระตุกเสื้อผ้าของเขา “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร ข้าจะตามเจ้ากลับบ้านไป พวกเราไปพูดคุยกัน” 


 


 


พอพูดออกไป ก็รู้สึกว่าตนเองช่างโง่งมนัก…. 


 


 


เมื่อครู่ซ่งชิงอีพึ่งจะเรียกเขาออกมาแล้วนิ—เจ้าสำนักหยินหยาง 


 


 


มุมปากของนางคลี่ยิ้มหวานออกมาอีกครั้ง “ข้าจะตามเจ้ากลับไปสำนักหยินหยาง” 


 


 


สายลมพัดจนเส้นผมที่เกล้าสูงเป็นทรงหางม้าของนางปลิวกระจาย ภายใต้แสงดาวกระพริบ ดวงหน้าที่แดงระเรื่องของสาวน้อยคล้ายจะมีแสงสว่างเรืองรองอาบไล้บางๆชั้นหนึ่ง ช่างน่าชมอย่างยิ่ง 


 


 


ดั่งเสน่ห์ของสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้ผู้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม 


 


 


รอบกายของเขายังคงมีแต่เหล่าผีกุ่ยหลัวซาและวิญญาณแค้นทั่ววังตันติ่งกงอยู่เลย สายลมเย็นยะเยือกก็พัดโดยไม่หยุดนิ่ง แต่ว่าบนใบหน้าของนางกลับมีแก้มพองๆสีแดง 


 


 


ซ่งชิงอีโกรธจนกระอักเลือด นางแอบหลงรักคนผู้นั้นอยู่ แต่ว่าตอนนี้อยู่ๆก็ถูกเจ้าเดรัจฉานน้อยที่มาจากไหนก็ไม่รู้บุกมาหยามถึงวังตันติ่งกงของนาง เช่นนี้นางจะทนได้อย่างไร? 


 


 


คราวนี้แม้แต่ฝูลั่วก็ไม่อาจรั้งนางได้อีกต่อไป  ใต้แสงจันทร์จางๆ เห็นนางทะยานออกไปจากตึกสูง เหาะไปยังทิศทางที่คนผู้นั้นอยู่ด้วยท่วงท่าราวเซียนจากสรวงสวรรค์ 


 


 


ในมือของนางยังคงถือขลุ่ยกระดูกเลานั้นเอาไว้ ไม่รอให้นางเข้าใกล้คนผู้นั้น เหล่าวิญญาณแค้นก็พากันพุ่งเข้ามาสกัดนางเอาไว้ ถึงแม้ว่าบนร่างของวิญญาณแค้นเหล่านั้นจะมีอักขระสีทองส่งวิญญาณของเขาห่อหุ้มอยู่ แต่เพราะความเกลียดชังซ่งชิงอีอย่างท่วมท้น จึงอดกลั้นไม่อยู่จนต้องพุ่งเข้าไป 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่านางมีขลุ่ยกระดูกเลานั้นอยู่ในมือ ทำให้เหล่าวิญญาณแค้นกริ่งเกรง น่ากลัวว่าป่านนี้ก็คงจะกลุ้มรุมกันเข้าไปฉีกทึ้งนางออกเป็นแปดชิ้นไปนานแล้ว 


 


 


นางเองก็ไม่หวาดกลัว จรดขลุ่ยกระดูกบนริมผีปาก เป่าเสียงที่ยากจะรับฟังเหล่านั้นออกมาอีก 


 


 


แม้ว่าตอนนี้เสียงขลุ่ยกระดูกของนางจะไม่อาจควบคุมพวกมันได้อีก แต่ก็สามารถทำให้พวกมันกริ่งเกรงจนไม่อาจทำอะไรกับนางได้ 


 


 


ดังนั้นนางจึงยังสามารถเหาะไปถึงข้างกายคนผู้นั้นได้อยู่ดี 


 


 


นี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้มองดูเขาใกล้ๆเช่นนี้ บุรุษผู้นี้เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า ทำให้คนอยากจะจับเขากลับไปเก็บซ่อนเอาไว้ ชื่นชมแต่เพียงผู้เดียวไปชั่วชีวิต 


 


 


ในใจซ่งชิงอีบังเกิดความยินดี แต่ภายนอกกลับทำเป็นสงวนท่าทีเอาไว้ 


 


 


นางเก็บงำประกายในดวงตา คำนับเขากลางอากาศครั้งหนึ่ง “เจ้าสำนักหยินหยาง ไม่พบกันนาน” 


 


 


นางทำเหมือนตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า 


 


 


เขาไม่ได้สนใจนาง ขณะที่ปลายนิ้วกำลังจะขยับ ก็ได้ยินซ่งชิงอีเอ่ยออกมาอย่างรีบร้อนว่า “ระหว่างพวกเราใช่มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่? ในดินแดนจิ่วโจว มีสหายมากขึ้นคนหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอีกคนหนึ่ง หรือไม่จริง?” 


 


 


นางออกจะเกริ่งเกรงการดีดพิณของเขาอยู่บ้าง เพราะครั้งก่อนที่นางไปเยี่ยมคาราวะที่สำนักหยินหยาง ยังไม่ทันได้พบหน้าคนก็ถูกเสียงพิณของเขากวาดออกนอกประตูไปแล้ว 


 


 


วันนี้นางอยู่ในถิ่นของตนเอง  ต่อหน้าลูกศิษย์และผู้อาวุโสจำนวนมาก ย่อมไม่อาจถูกเขา….. 


 


 


หากว่าเล่าลือกันออกไปย่อมกลายเป็นที่ขบขันไปทั่วทั้งแผ่นดิน 


 


 


นางไม่มีทางยอมเสียหน้าถึงเพียงนั้นอย่างเด็ดขาด 


 


 


ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบนาง นางก็เอ่ยต่อไปอีกว่า “ที่จริงแล้วข้าคิดจะหาโอกาสอันเหมาะสมเพื่อสนทนากับท่านมาโดยตลอด ท่านเองก็ทราบดีว่า วังตันติ่งกงของข้า ไม่มีสิ่งใด มีเพียงยาตันจำนวนมาก…..” 


 


 


“ตอนนี้จิ่วโจวมีแต่ความวุ่นวาย มีสายตามากน้อยเพียงใดจับจ้องไปที่ท่านเพ่งเล็งไปที่สำนักหยินหยาง หากว่าท่านได้รับการสนับสนุนจากวังตันติ่งกงของข้า ดูแล้วแม้แต่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็คงจะไม่กล้าทำสิ่งใดกับท่านเป็นแน่” 


 


 


ซ่งชิงอีกล่าวออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ เรื่องการหลอมปรุงยาตันของตนเอง นางมีความเชื่อมั่นถึงสิบส่วน 


 


 


ในดินแดนจิ่วโจวคนที่คิดจะดึงนางไปเป็นพวกมีอยู่มากมาย แต่นางไม่สนใจแม้แต่น้อย ตอนนี้นางเป็นฝ่ายเสนอตัวให้เขา เขาย่อมไม่มีความจำเป็นใดจะต้องปฏิเสธ 


 


 


เพราะว่า…..นางเองก็ไม่เคยกระทำเรื่องใดผิดใจกับเขามาก่อน ที่เขาเข้าชิงชัยในสุดยอดการประลอง ก็เพื่อจะได้มาซึ่งตำแหน่งและอำนาจไม่ใช่หรือ? 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ย่อมต้องไม่มีเหตุผลใดมาปฏิเสธตนเองอย่างแน่นอน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชมดูอยู่ด้านข้าง ซ่งชิงอีอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ นางย่อมสามารถมองดูได้อย่างละเอียด 


 


 


ก่อนหน้านี้ได้เห็นแค่เพียงขอบหน้าด้านข้างแต่ไกล ย่อมไม่ชัดเจนเหมือนตอนนี้ที่ได้เห็นใกล้ๆ 


 


 


หากจะบอกว่าซ่งชิงอีกับซ่งเจียงเสวียไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด ตนต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน 


 


 


คนทั้งสองคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน เพียงแต่ซ่งชิงอีดูสง่างามกว่าเล็กน้อย กลิ่นอายบนร่างก็แตกต่างจากซ่งเจียงเสวีย 


 


 


นางหรี่ตามองดู ในดวงตาทอประกายอย่างเงียบๆ 


 


 


“ข้าบอกแล้ว…..ว่าเจ้าอย่าได้พูดพล่าม ไม่เข้าใจหรือ?” ตู๋กูซิงหลันไม่คิดจะฟังนางกล่าวพร่ำเพรื่ออีกต่อไป 


 


 


นางคว้าแขนเสื้อของคนผู้นั้นขึ้นมากำเอาไว้ ด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างชัดเจน 


 


 


“ข้าผู้เป็นเจ้าวังกำลังพูด เดรัจฉานน้อยอย่างเจ้าสอดปากได้อย่างไร?” ซ่งชิงอีก็อยากจะต่อยนางสักชุดเช่นกัน 


 


 


ว่าตามจริงแล้ว เจ้าสำนักหยินหยางนั้นงดงาม ส่วนเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นก็มิได้ย่ำแย่ 


 


 


พอสองคนนี้อยู่เคียงข้างกัน กลายเป็นความลงตัวอย่างอธิบายไม่ถูก 


 


 


คนหนึ่งชั่วร้ายเย็นชา คนหนึ่งยโสโอหัง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังไม่ได้ลงมือ แขนเสื้อของซ่งชิงอีก็ขยับก่อน เข็มพิษที่เบาบางจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกไป 


 


 


ในดินแดนจิ่วโจวนี้นางคือสุดยอดปรามาจารย์หลอมปรุงยาตัน ในเมื่อแตกฉานจนสามารถปรุงยาต่างๆได้ดังใจ ย่อมต้องสามารถปรุงยาพิษได้ด้วย 


 


 


ใช้พิษเล่นงานคน เป็นเรื่องที่นางถนัดอยู่แล้ว 


 


 


เข็มพิษนี้ ขอเพียงสัมผัสกับผิวหนังนิดเดียวพิษก็จะกระจายไปทั่วร่าง จนทำให้คนเลือดออกเจ็ดทวารตกตายอย่างอนาถ 


 


 


การตายเช่นนี้ต้องถือว่าให้ความสบายกับเจ้าเดรัจฉานน้อยมากแล้ว 


 


 


เข็มพิษของนางพึ่งจะบินออกไป ตู๋กูซิงหลันก็ยิ้มเย็นชาออกมา ทั่วร่างของนางปรากฏพลังวิญญาณสีดำขุมหนึ่ง 


 


 


พลังวิญญาณของนางกับคนผู้นั้นหลอมรวมกลายเป็นเกราะที่ไร้สภาพ สกัดกั้นเข็มพิษเหล่านั้นเอาไว้ด้านนอก 


 


 


ทันทีที่ฝ่ามือเคลื่อนไหว พลังวิญญาณสีดำก็พวยพุ่งออกมา ผลักเข็มพิษเหล่านั้นกลับไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)