หมอดูยอดอัจฉริยะ 544-545
ตอนที่ 544 ปีใหม่ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ขอบ…ขอบคุณคุณ…”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนนั้นกลั้นจนเป็นสีแดงกล่ำ แต่ไม่ได้เรียกคำว่า “คุณแม่” สองคำนี้ออกมา แต่ว่าดวงตาของเยี่ยเทียนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว ตั้งแต่เด็กไม่เคยได้รับเงินอั่งเปา มือขวาจับซองอั่งเปาแน่น
หยูชิงหย่าที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของเยี่ยเทียนแสดงออกมา ก็รู้สึกเสียใจ ค่อยๆจับมือซ้ายของเยี่ยเทียน เป็นเพื่อนเขาโค้งคำนับซ่งเวยหลันอย่างลึกซึ้ง
“ดี…เด็กดี เป็น…เป็นแม่เองที่ไม่ดีกับพวกเธอ!”
เมื่อได้ยินว่าลูกชายไม่ได้ร้องเรียงคำที่เฝ้าคอยมานานคำนั้น สีหน้าของซ่งเวยหลันก็แสดงอาการผิดหวัง แต่ว่าก็ยิ้มออกมาได้ กล่าวว่า “อีกหน่อยทุกปีแม่จะให้เงินอั่งเปาเธอ และก็หวังว่าพวกเธอสองคนจะมีความสุขและโชคดี!”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ!”
เยี่ยเทียนรู้สึกหงุดหงิดตอนที่พาหยูชิงหย่าถอยออกมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเรียกไม่ออกคำว่า “คุณแม่” สองคำนี้ ต้องรู้ก่อนว่าวันนี้เขาเตรียมตัวมาทั้งวันเลยนะ
“เยี่ยเทียน ไม่เป็นไร อีกหน่อยเธอก็เรียกออกมาได้เอง!”
เห็นเยี่ยเทียนสีหน้าเศร้าเสียใจ หยูชิงหย่าก็ไม่สายกล่าวแนะนำออกไป ถึงแม้หลายปีมานี้เธอและเยี่ยเทียนจะเจอกันน้อยแต่ห่างกันเยอะ แต่ในที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเข้าใจอารมณ์ของเยี่ยเทียนในตอนนี้ไปได้ดีกว่าเธอ
ตั้งแต่ตอนที่เรียนประถม เยี่ยเทียนก็กลัวงานปีใหม่ มีปีหนึ่งบิดาของหยูชิงหย่าเชิญเยี่ยเทียนและพ่อไปร่วมงานปีใหม่ของที่บ้าน ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันได้กินข้าวข้ามปีร่วมกัน เยี่ยเทียนก็วิ่งหนีไปก่อน จนถึงวันที่สามของปีใหม่ถึงพึ่งกลับมา
ถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่าเยี่ยเทียนขึ้นเขาไปอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ แต่ว่าหยูชิงหย่ารู้ว่า เยี่ยเทียนไม่อยากเห็นครอบครัวอยู่พร้อมหน้าอย่างมีความสุข ทำให้คิดถึงแม่ขึ้นมา
“ขอบคุณเธอ ชิงหย่า…”
เยี่ยเทียนสูดหายใจเข้าลึก กล่าวว่า “ในปีนี้ฉันยุ่งมาก ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับเธอมากนัก รอให้หลังปีใหม่ฉันจะตกแต่งห้องที่ฮ่องกงให้เรียบร้อย ให้ที่นั่นเป็นบ้านใหม่ของเราดีหรือเปล่า”
“ใครบอกว่าจะแต่งงานกับนาย”
อวี๋ชิงหย่ามีความฮฉุนเฉียวเล็กและตีไปบนไหล่ของเยี่ยเทียนคำรบหนึ่ง ถึงแม้ว่าทั้งสองจะหมั้นหมายกันแล้ว แต่ว่าปีนี้ไม่ได้กลับไปฉลองปีใหม่ เธอถูกแม่บ่นจนหูชาไปหลายนาที
“ไม่แต่งไม่ได้นะ ผู้หญิงที่ฉันจุ๊บไปแล้ว ไม่มีคนเอาหรอกนะ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะโอบเอวของหยูชิงหย่าจากนั้นจูบลงบนริมฝีปากของเธออย่างแรง ทำให้หยูชิงหย่าตกใจจนร้องออกมา รอหลังจากได้เห็นสายตาของผู้ชมแล้ว อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปแอบที่เรือนด้านหลัง
เยี่ยเทียนที่หัวเราะอย่างมีเลศนัยยืดอกเดินไปที่บ้านซื่อเหอย่วนอย่างมั่นใจ ตามหลังไปติดๆ กลางลานพลันมีเสียงหัวเราะดังลอดออกมาพักหนึ่ง
ในตอนสองทุ่มตรง ทุกคนในครอบครัวก็มาล้อมวงกันหน้าโทรทัศน์ดูชุนหวั่นรายการตรุษจีน
ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกมานานหลายปี ซ่งเวยหลันเพิ่งเคยดูรายการโทรทัศน์แบบนี้เป็นครั้งแรก ในตอนเที่ยงคืนตรงมีเสียงระฆังดังและเพลงค่ำคืนอันยากลืมเลือนดังขึ้นนั้น ซ่งเวยหลันน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อเห็นฉากนี้ คนอื่นที่อยู่ในห้องก็พร้อมใจกันออกไปอย่างไม่ได้นัดหมาย เหลือที่ว่างไว้ให้กับสามีภรรยาที่จากกันกว่ายี่สิบปีได้อยู่ด้วยกัน
…
“เจ้าเด็กขี้เกียจ ลุกขึ้นได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนที่เพิ่งลุกขึ้นไปฝึกกำลังในตอนเข้า เข้ามาเห็นขนตาของหยูชิงหย่าขยับ ก็รู้ว่าเธอตื่นแล้ว ตั้งใจเดินเข้าไปจุ๊บเสียหนึ่งที ทำให้หยูชิงหย่าที่ตกใจรีบลืมตาลุกขึ้น
“ไม่เอา เย็น มือนายเย็นมาก!”
เห็นเยี่ยเทียนยื่นมือใหญ่เข้ามาในผ้าห่ม หยูชิงหย่าก็รีบดึงเสื้อผ้าเอาไว้แน่น เพียงแต่ว่ากำลังของเธอนั้นไม่ได้มีมากเหมือนเยี่ยเทียน สุดท้ายก็ถูกสองมือนั้นจู่โจมเข้าไปอยู่ดี
แต่ทว่ามือของเยี่ยเทียนนั้นอบอุ่นมาก เลื้อยไปมาอยู่บนตัวของหยูชิงหย่า ทำให้ภายในตัวของเธอก็ร้อนขึ้นมา ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นกระชั้นขึ้นมา
“ไม่เอา เยี่ยเทียน ไม่ได้!”
เสียงของอวี๋หย่านั้นถึงแม้จะไม่ดัง แต่ก็หนักแน่น เยี่ยเทียนหัวเราะอย่างแกนๆ พร้อมกับดึงมือออกมา กล่าวว่า “เมียจ๋า เมื่อไหร่เธอพร้อมจะให้ฉันล่ะ”
ถึงแม้จะบอกว่าคนที่บำเพ็ญพรตนั้นต้องรักษาใจให้สะอาดละจากกามอารมณ์ แต่นักพรตไม่ได้เป็นพระ เยี่ยเทียนก็ยังคงมีความต้องการอยู่ จะว่าไปทุกครั้งที่ได้ยินสูเจิ้นหนานโม้ว่าตัวเขากับเว่ยหรงหรงทำอย่างนั้นอย่างนี้อย่างนู้นกัน เยี่ยเทียนล้วนแล้วแต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“นาย…นายยังไม่ได้ขอฉันแต่งงานเลย” หยูชิงหย่าเฉไฉจนหัวเราะออกมา
เยี่ยเทียนตบหัวตัวเอง กล่าวอย่างโมโหว่า “แค่…แต่เพราะอย่างนี้เหรอ ไม่งั้น ตอนนี้ฉันขอเธอแต่งงานเป็นยังไง”
“ตอนนี้แน่นอนว่าไม่ได้ นายมันหัวขี้เลื่อย ไม่รู้จักความโรแมนติก”
อวี๋ชิงหย่าจ้องถมึงทึงไปที่เยี่ยเทียนอย่างไม่สบอารมณ์ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบคนนี้ลงไปได้อย่างไร เอาใจสาวก็ไม่เป็น แล้วยังชอบทำให้เธอเองหัวร้อนได้ตลอดวัน
“โอเค ฉันจะให้พิธีขอแต่งงานที่โรแมนติกที่สุดกับเธอ!”
เยี่ยเทียนขบคิดในใจ กลับไปเจอสูเจิ้นหนาน จะต้องไปขอเรียนวิชากับเขามาซักเล็กน้อย จะว่าไปเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรที่เรียกว่าโรแมนติก
ใช้ชีวิตอยู่ที่ปักกิ่งมาหลายปีดีดัก เยี่ยเทียนกลับมีหนี้บุญคุณที่ต้องใช้งาน วันแรกถึงวันที่สามไม่กี่วันนี้ แบ่งไปที่เว่ยหงจวินและประธานซาไหว้สวัสดีวันตรุษจีน ผ่านไปอย่างยุ่งๆ
พอถึงวันที่สี่ พี่เฟิงก็พาภรรยาและลูกๆ มาที่ปักกิ่ง นี่ทำให้เยี่ยเทียนดีใจไม่น้อย
ต้องทราบก่อนว่าหลังจากที่เยี่ยเทียนอายุสิบปีในปีที่แปด มักจะไปหาข้าวกินที่บ้านของพี่เฟิงอยู่เสมอ ทั้งสองบ้านความสัมพันธ์แนบแน่นไม่ได้น้อยไปกว่าความสัมพันธ์ฉันญาติเลย
อีกไม่กี่วันให้หลัง เยี่ยเทียนก็พาบ้านของเฟิงควั่งเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวรอบปักกิ่ง จนถึงวันที่สิบห้าก็ส่งพวกเขากลับไป ปีใหม่นี้ก็ถือว่าได้ผ่านไปแล้ว
หลังจากผ่านวันทีสิบห้าไปได้หนึ่งวันเยี่ยเทียนก็มาเป็นเพื่อนแม่มาที่ถนนร้อยปี
ถึงแม้ซ่งเฮ่าเทียนจะวางมือไปแล้ว แต่อำนาจที่มีนั้นไม่ได้ใช้เวลาแค่ชั่วครู่ชั่วยามจะหายไปได้ ดังนั้นเช่นเทศกาลตรุษจีนแบบนี้ ใช้คำว่าประตูบ้านเหมือนร้านค้าในตลาดนั้นไม่ได้พูดเกินไป
นอกจากคนในครอบครัวรุ่นหลังแล้ว และยังมีพวกข้าราชการที่ซ่งเฮ้าเทียนเคยเลี้ยงดู ถือได้ว่าอยู่ในชั้นที่สูงพอควร แน่นอนว่าต้องอยากมาเยี่ยมเยียนหัวหน้าเก่า ในแต่ละวันมีคนเข้าออกนับไม่ถ้วน
ซ่งเวยหลันนิสัยรักสงบ ไม่ค่อยสนใจความสัมพันธ์ของคนรุ่นก่อนของตระกูลซ่งภายในประเทศ จึงได้แอบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านซื่อเหอย่วนของเยียเทียนมาโดยตลอด หลังจากผ่านพ้นปีใหม่ไปแล้ว จึงได้พาลูกชายมาหาพ่อ
“สถานที่นี้ดูเหมือนไม่ได้แตกต่างจากกรงขังเท่าไหร่!”
หลังจากผ่านด่านตำรวจรักษาการณ์เป็นชั้น ๆ มาแล้วก็มาถึงบ้านซื่อเหอย่วนที่กว้างขวาง เยี่ยเทียนส่ายหัว กล่าวว่า “สถานที่นี้แม้ว่าฮวงจุ้ยจะดี แต่เขาอายุมากแล้ว พักอยู่ที่นี่ไม่เหมาะสม”
“ไม่เหมาะสมยังไง แต่ละวันฉันปลูกดอกไม้ดายหญ้า เขียนพู่กันคัดลายมือ วันวันไม่รู้ว่าสบายขนาดไหน”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว ซ่งเฮ้าเทียนที่เพิ่งเดือนออกมาจากห้องก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าทำไม คนชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่รู้เท่าไหร่ เหมือนว่าโดยชะตาแล้วจะมีดวงที่ขัดกับเยี่ยเทียน
“คุณ….”
เยี่ยเทียนเพิ่งรอตอกกลับ แต่ว่าเห็นซ่งเฮ้าเทียนที่ยืนอยู่ด้านหน้าหากเทียบกับเมื่อเดือนก่อนเหมือนกับว่าแก่ลงไปเยอะมาก ถ้อยคำออกมารอที่ปากแล้วแต่ก็กลืนกลับลงไป
“เยี่ยเทียน สถานที่พักของคุณตาเธอมีอะไรตรงไหนไม่ดีเหรอ เธอรีบบอกมาสิ”
หลังจากได้พูดคุยกับลูกชายมาช่วงนี้ ซ่งเวยหลันก็รู้ว่าลูกชายคนนี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ดังนั้นหลังจากได้ยินเยี่ยเทียนบอกว่าที่พักของบิดาที่นี่ไม่ดี ในใจก็พลันตระหนกขึ้นมา
“เวยหลัน อย่าไปฟังเจ้าเด็กนี่พูดจาเหลวไหล สถานที่ที่บรรพบุรุษทั้งหลายอยู่มา จะมีไม่ดีด้วยเหรอ”
สีหน้าของซ่งเฮ้าเทียนปรากฏแววไม่เชื่อออกมา เหลือบมองไปทางเยี่ยเทียน แต่ในใจของเขานั้นก็พองโตอยู่บ้าง ด้วยที่ว่าฝีมือของเยี่ยเทียนนั้นหากเทียบกับปรมาจารย์ฉีเหมินแล้วนับว่าไม่ธรรมดา
“เหอะๆ อย่ามาใช้วิธีประชด ฉันไม่หลงกลหรอก”
เห็นว่าความคิดตัวเองถูกเยี่ยเทียนมองทะลุปรุโปร่ง ซ่งเฮ้าเทียนก็อดไม่ได้ที่จะ “ฮึ” ออกมา หันศรีษะกลับไปและก็ไม่มองเจ้าตัวเล็กนี่อีก ภาษิตโบราณมักจะพูดถึงคนแก่ที่นิสัยเป็นเด็ก และก็เป็นอารมณ์ของซ่งเฮ้าเทียนในตอนนี้พอดี
“ได้ ฉันแนะนำนายหน่อยแล้วกัน”
ต่อปากต่อคำกับซ่งเฮ้าเทียนสองสามประโยค เยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “สถานที่นี้ฮวงจุ้ยไม่เลว แต่ว่าคุณอายุเยอะแล้ว ตัวคนเดียวอยู่ที่ห้องเป็นแถว และยังมีลานที่กว้างขนาดนี้ ยากที่จะหลีกเลี่ยงเลือดลมเดินไม่สะดวก…”
แต่ละคนนั้น จะมีออร่าของตัวเองแตกต่างเฉพาะกันไป ร่างกายแข็งแรงออร่าก็แข็งแกร่ง ร่างกายอ่อนแอออร่าก็อ่อนแรงถดถอย ดังนั้นออร่าเป็นไปตามอายุของคนเรา มักจะเริ่มจากออร่าแข็งแรงไปสู่อ่อนแรงถดถอย
การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่อาจจะเปลียนแปลงได้ ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนก็ไม่อาจจะหลุดพ้น แต่ว่าสถานที่ที่เป็นฮวงจุ้ยพลังหยาง แต่กลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญเสียออร่าของคนหนึ่งอย่างยิ่งยวด
หลายคนทราบว่า พื้นที่ของนอนนั้นไม่ควรใหญ่มากจนเกินไป เช่นห้องบรรทมของฮ่องเต้สมัยโบราณ มักจะไม่เกินยี่สิบตารางเมตร นั่นก็เพราะในขณะที่คนนอนหลับ ออร่านั้นก็จะถูกปล่อยออกมาเองโดยไม่รู้ตัว
หากว่าพื้นที่ห้องนอนกว้าง เลือดลมที่ถูกปล่อยออกไป ก็จะยากแก่การดึงเอากลับมา เมื่อเวลานานเข้า คนคนนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นไร้เรี่ยวแรง หน้าเหลืองร่างกายผ่ายผอม
แต่ห้องที่ซ่งเฮ้าเทียนอาศัยอยู่นั้น พื้นที่รวมกันสามห้องได้ถึงสี่สิบห้าสิบตารางเมตร และอีกสองห้องก็ไม่มีคนอยู่ ถึงแม้ว่าแต่ละห้องจะมีประตูและกำแพงกั้น แต่ก็จะดูดเลือดลมที่ซ่งเฮ้าเทียนปล่อยออกมาไม่มากก็น้อยและทำให้เกิดชี่พิฆาต
หากว่าเปลี่ยนเป็นคนหนุ่มอายุน้อยที่เลือดลมกำลังสูบฉีด แน่นอนว่าไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร แค่สำหรับคนสูงอายุที่แปดสิบกว่าแล้ว กลับทำให้ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
หลังจากได้ฟังที่เยี่ยเทียนอธิบายแล้ว ซ่งเฮ้าเทียนก็ไม่ได้กล่าวคำใดต่อ จริง ๆแล้วอยู่คนเดียวที่นี่ เขาก็รู้สึกว่าเงียบเหงา เพียงแต่ว่าตัวคนชราเองนั้นดื้อดึง ไม่ยอมให้ลูกหลานมาอยู่เป็นเพื่อน
“พ่อ ไม่งั้นหนูย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนซักช่วงหนึ่งเถอะ”
ซ่งเวยหลันรู้สึกเป็นห่วงจึงเดินไปพยุงบิดา ไม่ว่าพ่อลูกเมื่อก่อนจะมีเรื่องราวขัดแย้งอะไร นั่นก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ซ่งเฮ้าเทียนในตอนนี้ เป็นเพียงพ่อที่แก่ชราเท่านั้น
“เฮ้อ ลูกไปมาไม่ได้หรอก ต้องหาเด็กหน่อยถึงจะดี โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายเลือดลมพุ่งพล่าน คุณอยู่ที่นี่…มีแต่จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่!”
ล้อเล่นหรือไง หากว่าพ่อรู้ว่าความคิดนี้ตัวเองเป็นคนคิดออกมา แน่นอนว่าจะต้องเรียกทวนวงเดือนออกมาฆ่าตัวเองแน่ เยี่ยเทียนรีบกล่าวคำออกมาขัดความคิดของมารดา
แต่ว่าคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนก็มีเหตุผล คนชราที่มีลูกหลานคอยรับใช้นั้นมักจะมีอายุยืน นอกจากจิตใจจะดีแล้ว ก็ยังมีเด็กที่มีพลังหยางแข็งแรงมาเสริมทำให้ชี่พิฆาตในห้องสลายหายไปอีกหนึ่งปัจจัย
“หลอกลวงเล่นพิเรนทร์ ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก!”
ซ่งเฮ่าเทียนปากนั้นแข็ง แต่ในใจก็คิดไปว่าหลานคนไหนที่จะมาอยู่กับตัวเองซักระยะหนึ่ง
ตอนที่ 545 ดวงเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ ยังไงซะถือว่าผมได้บอกไปแล้ว”
เยี่ยเทียนเปะปาก หากไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของแม่ เขาก็ขี้เกียจจะไปเตือนซ่งเฮ่าเทียน เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ซ่งเฮ่าเทียนอยู่มาได้ขนาดนี่ก็ถือว่าอายุยืนแล้ว
ซ่งเฮ่าเทียนทำท่าไม่ได้ใส่ใจอะไร ซ่งเวยหลันกลับใส่ใจ หลังจากคิดซักครู่แล้ว กล่าวว่า “พ่อ ที่เสี่ยวเทียนพูดก็มีเหตุผล ไม่งั้นรับหลานของพี่ชายคนโตกลับมาอยู่ด้วยเถอะ เด็กนั่นเพิ่งห้าขวบ กำลังดีจะได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อ”
“นี่มัน…”
คำพูดของซ่งเฮ่าเทียนนั้นเป็นอารมณ์ แต่ว่าเมื่อมองไปยังเยี่ยเทียนที่ยืนหัวเราะอยู่ด้านข้าง พลันก็รู้สึกโมโหขึ้นมา โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันเถอะ มาพูดเรื่องของเยี่ยเทียนกันเถอะ เจ้าตัวดีของเธอก่อนหน้านี้มีไปก่อเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ก่อเรื่อง ไม่มีนะ ปีนี้ทั้งปีก็อยู่ที่บ้านตลอดนะ”
เยี่ยเทียนตะลึงไปชั่วครู่ สีหน้าบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องและกล่าวว่า “ ผมก็เป็นแค่ประชาชนตาดำๆ คนหนึ่ง ปกติก็ใช้ชีวิตตามปกติเคารพกฎหมาย มีเรื่องไม่ดีอะไรก็อย่ามาปรักปรำกันนะ!”
“นายน่ะเหรอ ปฏิบัติตามกฎหมาย”
ซ่งเฮ่าเทียนถูกคำพูดของหลานชายทำให้รู้สึกจะหัวเราะก็ไม่ออกจะร้องไห้ก็ไม่ออก “คนญี่ปุ่นทางนั้นยังตรวจสอบเรื่องที่พม่าอยู่เลย นายกล้าบอกว่านายไม่เกี่ยวข้องเหรอ”
“เกี่ยวไม่เกี่ยวนั่นก็เป็นเรื่องนอกประเทศ ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายของประเทศจีนซะหน่อย”
เยี่ยเทียนกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ตระกูลคิตะมิยะล่มสลายก็มากแล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องออกหน้าให้หรอกมั๊ง”
ตระกูลคิตะมิยะในประเทศญี่ปุ่นนั้นถือว่าเป็นตระกูลที่ไม่กล้าแตะต้อง ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงสงครามโลกครั้งที่สองจบลง สำหรับคำสั่งของจักรวรรดินั้นก็ทำเป็นเชื่อฟังแต่ก็ไม่ปฏิบัติตาม กองทหารโอซาก้านั่นเป็นตัวอย่างที่ดี
เพียงแต่ว่าตระกูลคะติมิยะนั้นตั้งรกรากอยู่ในญี่ปุ่นมานานมีรากฐานที่มั่นคง จักรพรรดิก็ไม่รู้จะทำยังไงกับตระกูลใหญ่นี้ เพียงแต่ว่าตระกูลคิตะมิยะครั้งนี้นั้นขาดทุนย่อยยับ แน่นอนว่าเป็นโอกาสที่ดีในการตัดตอนให้จบ
ซ่งเฮ่าเทียนมองถลึงตาไปที่เยี่ยเทียนหนึ่งที กล่าวว่า “อูฐผ่ายผอมตายยังใหญ่กว่าม้า ยังไงก็แล้วแต่นายช่วงนี้ก็อยู่แบบสงบๆ หน่อย…”
จริงๆ แล้วเยี่ยเทียนพูดก็ไม่ผิด สำหรับการรับมือกับสมาชิกตระกูลคิตะมิยะที่ได้รับอันตรายที่พม่านั้น ทางฝั่งญี่ปุ่นเองเสียงก็แตกเป็นสองฝั่ง เสียงหนึ่งคือต้องหาผู้ร้ายให้ได้ เพื่อคืนความยุติธรรมของคนตาย
อีกทางหนึ่งก็คือให้ทางฝั่งพม่านั้นออกเงินชดเชย สำหรับเรื่องนี้ ผู้ร้ายจะหาตัวออกมาได้หรือไม่ คนพวกนี้ไม่สนใจ และคนที่มีแนวคิดแบบนี้ ล้วนแต่เป็นพวกตระกูลที่ไม่ถูกกับตระกูลคิตะมิยะ
“เฮ้อ ทำไมฉันถูกนายดึงเข้าไปในหลุมนี้ด้วยนะ”
ซ่งเฮ่าเทียนพลันจุดประกายขึ้นมา “เพิ่งพูดเรื่องที่นายทำเอาไว้เมื่อก่อนหน้านั้น ทำไมถึงไหลไปเรื่องคนญี่ปุ่นได้”
“คุณตา ไม่มีหลักฐานอะไรก็อย่ามาใส่ร้ายกันเลย ผมน่ะเป็นคนขี้ขลาด” ในใจของเยี่ยเทียนกระตุก หรือว่าเรื่องที่ทำที่เจียงซีนั้น ยังจัดการไม่แล้วเสร็จกัน
“เดือนหน้านายไปหนานชางใช่มั๊ย” คำพูดของคุณตาซ่งทำให้เยี่ยเทียนมั่นใจในความคิดของตัวเอง
“ถูกต้อง ไปมา ทำไม” เยี่ยเทียนพยักหน้า สีหน้าไม่แสดงอาการตกใจ
“คดีนั้นนายเป็นคนทำเหรอ ตายสามบาดเจ็บสอง นายกล้ามากนะ!”
เสียงของซ่งเฮ่าเทียนนั้นดุดันจนเสียงสูงขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองเยี่ยเทียนเขม็ง ลมหายใจที่กระชั้นขึ้นนั้นปรากฏให้เห็นเด่นชัด ราวกลับหวนกลับไปตอนที่เข่นฆ่าแย่งชิงตำแหน่ง
โบราณว่าไว้เมื่อเสนาบดีโกรธา เลือดนองพันลี้ เมื่อกษัตริย์โกรธา เลือดไหลดั่งสายน้ำ
ซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่หากเทียบฐานะแล้วก็สูงกว่าเสนาบดีอยู่มาก เมื่อมาถลึงตาจ้อง คนที่ขี้ขลาดหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะถูกทำให้ตกใจจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ฮ่า ๆ ตาแก่ คุณก็อายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ต้องพูดกันด้วยเหตุผลสิ”
แต่ว่าท่าทางนี้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ได้กระทบกระเทือนแม้แต่น้อย หากว่าจะเทียบท่าทางการข่มขู่ เยี่ยเทียนนั้นทิ้งห่างซ่งเฮ่าเทียนสองช่วงถนน
“ตายสามเจ็บสองอะไร ผมไม่รู้เรื่องซักนิดเดียว หากว่าคุณมีหลักฐานก็ให้คนมาจับผมสิ”
เยี่ยเทียนมองไปที่ซ่งเฮ่าเทียนคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ในใจพลันเบาขึ้นมา หากว่าคนหนึ่งแสดงท่าทางข่มเหงนั่นแสดงว่าเขาแกล้งทำวางท่าข่มเหงไปงั้น
หากว่าซ่งเฮ่าเทียนมีหลักฐานหรือว่ายอมผดุงคุณธรรมทำร้ายคนในครอบครัว พยายามให้คนมาจับตัวเอง แต่ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการทำให้ตกใจเท่านั้น
“แก…แกมันไอ้เด็กนอกคอก!”
หลังจากเห็นปฏิกิริยาของเยี่ยเทียนแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี เมื่อมาเห็นคนหน้าหนาไม่เกรงกลัวแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
คดีที่เกิดขึ้นที่หนานชางนี้ ถึงแม้จะเป็นเพราะขาดหลักฐานหน่วยงานในพื้นที่จึงไม่ได้ติดตามสืบสวนเชิงลึกต่อไป แต่หน่วยงานของเมืองรายงานคดีเข้ามาที่มณฑล
เครื่องมือของประเทศเปิดการใช้งานตามความสามารถทั้งหมดที่มี ห่างไกลจากความคิดของเยี่ยเที่ยนเป็นอย่างมาก ชื่อของเขานั้นก็จะถูกดึงออกมาจากดาวเทียมอย่างรวดเร็ว ฝายที่เกี่ยวข้องเมื่อทำการตรวจสอบตัวตนของเยี่ยเทียน พลันก็นำเยี่ยเทียนใส่ไว้ในลิสต์ผู้ต้องสงสัย
ต้องทราบก่อนว่า ตำแหน่งของเยี่ยเทียนในแก็งชิงหงเหมินนั้น ประกอบด้วยประวัติที่มาของเขา จริง ๆ แล้วก็มีฝ่ายบางส่วนที่รับทราบข้อนี้ บวกกับก่อนหน้านั้นเยี่ยตงผิงมีคดีถูกหลอก และได้มีข่าวแพร่กระจายออกไปในวงแคบๆ
ดังนั้น เยี่ยเทียนก็ไปเตะตาฝ่ายทีเกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าไม่มีหลักฐาน และภูมิหลังของเยี่ยเทียนค่อนข้างจะพิเศษ เรื่องพวกนี้จึงได้วนอ้อมโลกมาเข้าหูของซ่งเฮ่าเทียน
นอกจากเยี่ยเทียนที่มาจากฉีเหมินกล้าเกินใครแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็คิดไม่ออกว่าจะมีใครที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้
หลังจากได้ฟังมาแต่ไม่มีหลักฐานระบุว่าเป็นเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนสั่งการให้ตรวจสอบเชิงลึกอย่างเข้มงวดในทันที แต่การทำคดีจะต้องมีหลักฐาน การส่งสัญญาณสองอย่างนี้นั้นฉับพลันก็ทำให้คนที่ลือกันนั้นเข้าใจในทันที
ในแวดวงผู้มีความรู้ สิ่งทีสำคัญทีสุดคือสายตา และจะต้องเข้าใจนัยยะและประเด็นของหัวหน้า ดังนั้นเมื่อซ่งเฮ่าเทียนส่งสัญญาณออกไป เอกสารที่เกี่ยวกับเยี่ยเทียนก็ถูกปิดผนึกลงในทันที
ถึงแม้จะช่วยหลานปิดคดีอันตรายนี้ไป แต่ซ่งเฮ่าเทียนกลับอยากจะหาโอกาสสั่งสอนเขา เพียงแต่ว่าในช่วงปีใหม่นั้นเขาค่อนข้างยุ่งมาก จนกระทั่งวันนี้ที่เยี่ยเทียนและแม่มาเยี่ยม ตาแก่จึงสบโอกาสพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
แต่ทว่าซ่งเฮ่าเทียนประเมินตัวเองที่รับราชการมาเป็นเวลาสิบปีมีประสบการณ์ในการข่มขู่มากไป เยี่ยเทียนนั้นไม่ได้ยี่หระแม้แต่น้อย กลายเป็นตัวเขาเองที่มาเล่นหูเล่นตากับคนตาบอด
“เสี่ยว…เสี่ยวเทียน เธอ…เธอก่อนหน้านั้นออกไปข้างนอก.ไม่…ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่มั๊ย”
จนกระทั่งถึง ณ ขณะนี้ซ่งเวยหลันที่ประคองบิดาอยู่ถึงได้มีสติกลับมา แต่สิ่งแรกที่นึกถึงไม่ใช่ว่าลูกชายฆ่าคนไปกี่คน แต่เป็นว่ามองค้นหาไปบนตัวของเยี่ยเทียน
“แหะ ผมไม่เป็นไร ผมแค่ไปทวงหนี้เท่านั้น ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนที่เขาพูดหรอก เรื่องนั้นไม่ใช่ผมทำ…”
เยี่ยเทียนกันมือของมารดาไว้และยิ้มแกนๆ เหลือบมองไปทางซ่งเฮ่าเทียนหนึ่งที ตาแก่นี่ไม่ไว้หน้ากันเลย มาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแม่ทำไมกัน
“ลูกคนนี้นี่ อีกหน่อยไม่อณุญาตให้ใจร้อน หากว่า…ไม่พูดแล้ว อีกหน่อยถ้ามีเรื่องอะไรแบบนี้บอกแม่ ทหารรับจ้างต่างประเทศมีเยอะแยะ ทำไมถึงต้องลงมือเองด้วย”
ซ่งเวยหลันก็เป็นคนที่รักลูกมากว่าความยุติธรรมขนาดหนัก ทำทีเป็นบ่นต่อหน้าบิดา ซ่งเฮ่าเทียนที่ยืนฟังอยู่นั้นกระโดดโลดเต้นเป็นเจ้าเข้าด้วยความโมโห นี่มันลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ
ประเทศจีนเป็นดินแดนอะไรกัน ถึงจะได้อนุญาตให้ทหารจากต่างประเทศมาก่อคดี หากว่าเกิดเรื่องแบบนั้นจริงๆ ต่อให้เป็นซ่งเฮ่าเทียนก็ปิดไว้ไม่อยู่ เกรงว่าทั้งแม่ทั้งลูกจะต้องตายอยู่ต่างประเทศนั่นแหละ
“พอแล้ว เธอก็โตป่านนี้แล้ว ยังจะพูดจาเหลวไหลอีก”
ตาแก่ดุลูกสาวไปคำรบหนึ่ง และก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ยังไงซะคนพวกนั้นน่าจะมีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับโลกมืด เยี่ยเทียนก็ถือว่าไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ดี
หลังจากบ่นไปซักพัก ซ่งเฮ่าเทียนก็หันไปมองเยี่ยเทียน. “เยี่ยเทียน มีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเธอ นายสามารถดูชัยภูมิทำนายโชคดีโชคร้ายของคนได้ ไม่รู้ว่านายสามารถทำนายความเป็นไปของประเทศได้มั๊ย”
ในหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ประเทศเกิดเรื่องใหญ่โตมากมาย โดยเฉพาะสมรภูมิรบในต่างประเทศ ประเทศจีนประชาชนผู้บริสุทธิ์กับเจอกับภัยพิบัติ เจ้าหน้าที่สถานทูตนั้นเสียชีวิตไปหลายคน สถานากรภายในและภายนอกประเทศนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าจะใช้การเจรจาต่างประเทศแล้ว เรื่องราวนี้สุดท้ายก็สงบเงียบลงไป แต่ก็ทำให้ตาแก่รู้สึกกังวลกับอนาคตของประเทศในภายหน้า จึงได้ถามเยี่ยเทียนในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่
“หืม ตาแก่ คำพูดนี้ไม่น่าถาม!” หลังจากที่ได้ฟังซ่งเฮ่าเทียนพูดแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ทิศทางของประเทศนั้นเป็นขนาดมหัพภาค เกี่ยวอะไรกับฮวงจุ้ย”
หากว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ตาของเขาและไม่ได้มีอายุเจ็ดสิบแปดสิบ เยี่ยเทียนจะเตะกระเด็นไปแล้ว มีใครถามคำถามแบบนี้กันบ้าง นี่ไม่ได้อยากได้ชีวิตของเขาเหรอ
ต้องทราบก่อนว่า อาจารย์ซินแสนั้น ล้วนแต่เข้าใจในหลักหนึ่ง นั่นก็คือใช้การดูฮวงจุ้ยทำนายชิวิตขึ้นลงของคนได้ แต่จะไม่ทำนายอนาคตของประเทศเป็นเด็ดขาด!
เช่นหลิวปังหูยาวมีชะตาชีวิตดีผาสุก สองแขนยาวเกินเข่าลักษณะแบบนี้เป็นลักษณะของกษัตริย์ มีคนมองออก แต่จูหยวนจางนั้นฝ่าเท้ามีปานเจ็ดอัน แสดงว่าเท้าเหยียบดาวเจ็ดดวง สามารถดูแลความผาสุกของบ้านเมืองได้ ก็มีคนสามารถทำนายออกมาได้
แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคนเป็นที่ไหนทำนายนั่นก็คือดวงเมือง การแพร่งพรายชะตาฟ้าดินแบบนั้นจะถูกย้อนกลับ แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะรับไหว อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนเลย ต่อให้หลี่ซ่านหยวนตายแล้วฟื้นขึ้นมามัดรวมกันก็ไม่พอ
ในประวัติศาสตร์คนที่ตัดชะตาดวงเมืองได้นั้น ก็มีแต่เจียงจื่อหยาสุสานลอยฟ้าที่มีชื่อนั่นแหละ
เจียงจื่อหยาหลังจากที่ช่วยฮ่องเต้โจวอู่หวังสร้างยุคราชวงศ์โจวแล้ว ก่อนตายกล่าวกลับฮ่องเต้โจวเฉาว่า”หลังจากตายแล้วให้นำโลงศพของเขาไปไว้ยังผาสูงชันของราชวงศ์โจว ด่านล่างบริเวณไหนที่มีภัยพิบัติ ให้เอาหัวของโลงศพหันไปทางนั้น จะสามารถทำให้ทิศทางนั้นสงบลงได้”
ต่อมาก็เป็นตามนั้นจริงๆ ทำให้โจวเฉาปกครองประเทศมาได้ต่อเป็นเวลากว่าร้อยปี
ต่อมาในสมัยของโจวหน่าน เจ้าคนนี้ขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่ได้นั่งว่าราชการที่วังทองคำแต่กลายเป็นว่านอนที่วังทองคำ เมื่อเขาหลับก็จะฝันเห็นโลงของเจียงจื่อหยาที่อยู่ด้านบน ก็รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้คนเอาโลงของเขาลงมา
ต่อมาราชวงศ์โจวก็พบปัญหา มีการทำสงครามกับประเทศพื้นบ้านหลายแห่งและมีแต่พ่ายแพ้ จนประเทศถึงกาลอวสาน เรื่องนี้คนทั่วไปไม่ทราบแต่ในบรรดาสินแสดูฮวงจุ้ยนั้นกลับเป็นที่ทราบกันดี
ซ่งเฮ่าเทียนถามดวงเมืองกับตัวเขา ไม่ใช่ว่าคิดว่าตัวเองอายุเยอะไม่มีอะไรทำเหรอไง ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงได้หักหน้าต่อหน้าในตรงนั้น หากว่าเป็นคนอื่นจะต้องซ้อมซักหมัดหนึ่งให้ได้
…………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น