ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 543-544

ตอนที่ 543 ควรเป็นข้าที่ปกป้องเจ้า

 

แค่พวกมันโผล่ออกมาไม่กี่ตัว ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาหล่นวูบ ราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างลากลงไปในนรกขุมที่สิบแปดแล้ว


 


 


พวกเขาเห็นเลยว่าผีพวกนั้นยิ่งทียิ่งทวีจำนวนมากขึ้น พอกวาดตามองไปก็เห็นว่ามีร้อยกว่าตัวเข้าไปแล้ว


 


 


หัวใจของแต่ละคนต่างก็เต้นด้วยความระทึกขึ้นมา


 


 


พวกเขายังคงไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร


 


 


แต่ละคนจึงพากันหันไปมองหาเจ้าวังของตนเอง


 


 


หลังสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเข้าใจว่า ผีเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าวังของตน จึงค่อยผ่อนลมหายใจลงได้บ้าง


 


 


แค่ไม่ใช่อีกฝ่ายส่งมาก็พอแล้ว…..มิเช่นนั้นเกรงว่าคืนนี้วังตันติ่งกงคงจะต้องถูกเลือดล้างอย่างแน่นอน


 


 


เจ้าวังของพวกเขาช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่เพียงแต่เป็นยอดปรมาจารย์ปรุงยาตันแห่งจิ่วโจว ทั้งยังสามารถควบคุมพวก……ผีประหลาดน่ากลัวจำนวนมากมายได้ด้วย


 


 


ทันใดนั้น เหล่าศิษย์ในวังตันติ่งกงก็ยิ่งเพิ่มพูนความเคารพเทิดทูนซ่งชิงอียิ่งขึ้นไปอีก


 


 


นับจากวันนี้เป็นต้นไป ดูท่าฐานะของวังตันติ่งกงในแดนจิ่วโจวคงจะได้เลื่อนระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งอย่างแน่น


 


 


หัวใจของเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็พองโต ที่ผ่านมาพวกเขาล้วนภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนของวังตันติ่งกง พอวันนี้ได้รู้ถึงความสามารถของเจ้าวัง ก็ยิ่งยินดีกว่าเดิม


 


 


บางทีในสุดยอดการประลองสามฝ่ายครั้งหน้า ท่านเจ้าอาจจะกลายเป็นผู้ชนะก็เป็นได้


 


 


เดิมทีวังตันติ่งกงของพวกเขาก็สมควรที่จะได้เป็นที่เคารพบูชาสูงสุดในดินแดนจิ่วโจวอยู่แล้ว!


 


 


…………………………….


 


 


หัวใจของคนวังตันติ่งกงมีแต่ความยินดี เฝ้ารอดูให้พวกตู๋กูซิงหลันสองคนตายอย่างอนาถ


 


 


แต่ว่าตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันยังคงถูกคนผู้นั้นกอดเอาไว้ในอ้อมแขน


 


 


ปลายคางและริมฝีปากที่ปรากฏออกมาให้เห็น ไม่ได้เปิดเผยอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น


 


 


สายตาของเขาจับจ้องไปยังหมอกสีแดงที่มีผีกุ่ยหลัวซาทยอยผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนี


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูผีเหล่านั้น อักขระที่อยู่บนร่างของพวกมัน นางเคยเห็นมาจากบนร่างของวิญญาณแค้นที่อยู่ในกระถางใบยักษ์มาแล้ว


 


 


ที่แท้ ซ่งชิงอีก็จับวิญญาณแค้นเหล่านั้นเอาไว้สร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซานั่นเอง


 


 


นางคลุกคลีอยู่ในวงการคุณไสยมานานหลายปี จะมากจะน้อยก็พอจะรู้จักผีกุ่ยหลัวซาอยู่บ้าง


 


 


สิ่งนี้สร้างจากเหล่าวิญญาณที่คับข้องโกรธแค้น  จากวิญญาณแค้นนับพันนับหมื่นตนสุดท้ายแล้วจะสร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซาเพียงตนเดียว


 


 


พูดให้ชัดๆก็คือ เมื่อใช้วิญญาณกินวิญญาณ ใช้ผีกินผี ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียวตัวเดียวนั้น ก็จะกลายเป็นผีกุ่ยหลัวซา


 


 


นี้เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างมาก ปราศจากชีวิตจิตใจ ไอสังหารท่วมท้น เมื่อปรากฏตัวขึ้นมา หากไม่สามารถควบคุมให้ดีก็อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า


 


 


หลายปีก่อนที่โลกปัจจุบันก็มีคนที่สร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมาเหมือนกัน สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นถูกท่านอาจารย์เล่นงานจนตาย


 


 


แม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจไปผุดไปเกิด ต้องวนเวียนรับทรมานอยู่ในนรกอเวจีไปตลอดกาล


 


 


หากดูจากรูปโฉมของซ่งชิงอี นางเข้าลักษณะของหญิงงามอสรพิษ แต่ตู๋กูซิงหลันก็คิดไม่ถึงว่า นางจะถึงกับสร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมา


 


 


ผีกุ่ยหลัวซา แม้ว่าจะมีพลังเป็นรองราชามาร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณแค้นทั่วไปจะสามารถต่อกรได้


 


 


หากว่าเป็นตัวนางก่อนหน้านี้ได้พบเข้า ก็ยังต้องสิ้นเปลืองพลังมหาศาลจึงจะกำหราบลงได้


 


 


ครั้งนี้กลับปรากฏตัวขึ้นมาถึงร้อยตน บรรยากาศในตอนนี้จึงเปรียบได้กับยามที่นางเคยเผชิญกับเหล่ามังกรยักษ์ของเผ่ามังกรทมิฬในตอนนั้นทีเดียว


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาดอกท้อทั้งคู่ลง แววตาทอประกายเย็นยะเยือกออกมา


 


 


ขณะที่พวกผีกุ่ยหลัวซาเข้ามาใกล้ ในมือของนางก็หยิบยันต์โลหิตขึ้นมาหลายใบ


 


 


กับเจ้าพวกนี้ ยันต์สีเหลืองถือว่าไร้ประโยชน์


 


 


จำเป็นต้องใช้ยันต์โลหิตและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น


 


 


พลังของนางในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาแล้ว แต่ละครั้งต่อให้ใช้ยันต์โลหิตสิบกว่าใบก็ยังไม่ถือว่ากินแรงเท่าไร


 


 


เพียงแต่ว่าครั้งนี้ คนที่อยู่ด้านหลังนางไม่คิดจะชมดูนางออกแรงแต่เพียงผู้เดียวแล้ว


 


 


เขาออกแรงเบาๆก็ดึงตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมอกแน่นกว่าเดิม


 


 


“เจ้ากลัวหรือ?” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นถามออกไป “หากไม่กลัวจะกอดข้าเสียแน่นทำไม?”


 


 


หากว่าไม่กลัวล่ะก็ เมื่อครู่ตอนที่อยู่บนยอดตึกสูง เขาก็น่าจะเปิดฉากต่อสู้กับซ่งชิงอีไปแล้ว ไม่ต้องพานางไปหลบในห้องเล็กๆมืดๆนั่น


 


 


ตอนนี้หน้าต่างกระดาษขาดเป็นรูไปแล้ว ย่อมนำลมหอบใหญ่ซัดเข้ามา


 


 


แต่ถ้าหากเขาหวาดกลัวละก็ ….เขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นอาจารย์ และไม่มีทางเป็นจีเฉวียนเช่นกัน


 


 


สองคนนั้น เป็นคนที่ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังไม่คิดจะถอย


 


 


“ไม่ต้องขวัญเสียไป นายน้อยอย่างข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง” ตู๋กูซิงหลันยกริมฝีปากแดง ปลายนิ้วของอีกมือสัมผัสลงไปบนปลายคางของเขาเบาๆ เห็นชัดเลยว่ากำลังลวนลามผู้คน


 


 


“ต่อให้พญายมมาเอง ข้าก็คุ้มครองเจ้าได้ไม่มีปัญหา”


 


 


นางพูดพลางก็เตรียมจะซักยันต์โลหิตในมือออกไป


 


 


ยันต์ของนางมีอยู่หลากหลายแบบ อย่างเช่น  ครั้งนี้ที่นางจะใช้ออกไปก็คือยันต์ผู้พิทักษ์


 


 


ยันต์ผู้พิทักษ์สีแดงนี้ ตอนนั้นแม้แต่กับเสินฟางก็ยังสามารถรับมือได้อยู่พักหนึ่ง


 


 


ผีกุ่ยหลัวซาแม้จะแข็งแกร่งอย่างไร ก็คงจะไม่แข็งแกร่งกว่าเสินฟางไปได้กระมัง?


 


 


เพียงแต่ว่าร้อยกว่าตัว จำนวนออกจะมากไปเสียหน่อย


 


 


แต่ว่ายันต์โลหิตในมือของนางยังไม่ทันได้เขวี้ยงออกไป คนผู้นั้นก็เอ่ยปากออกมาก่อน “สมควรเป็นข้าคุ้มครองเจ้ามากกว่า”


 


 


ทันทีที่เขาพูดจบก็ดันนางไปทางด้านหลัง เหลือแต่เพียงแผ่นหลงให้นางได้มองเท่านั้น


 


 


ทันใดนั้น ก็เห็นว่าทั่วทั้งร่างของเขามีหมอกสีดำจำนวนมากกระจายออกมา เพียงพริบตาเดียวเขตอาคมสีแดงที่อยู่เหนือศีรษะก็ถูกหมอกสีดำทะลวงออกไป


 


 


หมู่เมฆที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าจางลงไปอีกหลายส่วน ดวงดาวทอแสงสุกสกาวกว่าเดิม ร่างกับว่าทั้งหมดพร้อมใจกันเปล่งแสงสว่างลงมาบนร่างของเขา


 


 


แถบผ้ามัดผมสีม่วงพลิ้วไปตามแรงลม เส้นผมสีดำของเขาก็เริงระบำไปกับสายลมพร้อมๆกัน


 


 


แถมผ้ามัดผมปลิวมาถึงใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน นางยื่นมือออกไปหันเข้ากับปลายนิ้ว


 


 


ผ้ามัดผมสีม่วงเข้ม สีนี้ เป็นสีที่อาจารย์โปรดปรานที่สุด


 


 


“ติ้ง……”


 


 


ไม่รอให้นางได้มีปฏิกริยา เสียงพิณสายหนึ่งก็ดังขึ้น


 


 


เพียงพริบตา สำเนียงที่แข็งแกร่งก็พลิ้วออกมา ทำลายผีกุ่ยหลังซานับสิบตัวที่บุกเข้ามาจนกลายเป็นผุยผง!


 


 


หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็พลันกระตุกอย่างรุนแรงเช่นกัน


 


 


นางยืนอยู่ด้านหลังของเขา ร่างของทั้งสองเหาะอยู่ในอากาศใต้แสงกระพริบของดวงดาว


 


 


เสื้อผ้าบนร่างของเขาพลิ้วขึ้นมา จึงทำให้ได้เห็นว่าใต้แขนเสื้อที่ปลิวตามแรงลมนั้นมีโต๊ะที่จัดวางพิณโบราณอยู่ตัวหนึ่ง


 


 


ตัวพิณสีน้ำตาลเข้ม ด้านบนสลักอักขระที่สลับซับซ้อนเอาไว้


 


 


ชั่วขณะนั้น ไอหมอกที่เดิมล้อมอยู่ในดวงตาของตู๋กูซิงหลันก็รวมตัวกันเป็นหยดน้ำตาอย่างรวดเร็ว เอ่อล้นขึ้นมาคลออยู่ในดวงตาของนาง จนต้องฝืนเอาไว้ไม่ให้หยดลงมา


 


 


เสื้อผ้าของเขาถูกนางดึงทึ้งจนหลวมคลาย บ่าข้างหนึ่งยังเผยออกมา ภายใต้แสงดาวกระพริบ จึงมองเห็นว่าบ่าของเขามีแผลเป็นอยู่ไม่น้อย


 


 


ตู๋กูซิงหลันจำได้แม่นยำ…. จีเฉวียนมักจะรับบาดเจ็บที่ตรงนี้อยู่เสมอ


 


 


บ่าของเขาก็มีแผลเป็นเช่นกัน


 


 


ตกลงแล้วเขา….คือใครกันแน่?


 


 


อาจารย์หรือว่าเสี่ยวเฉวียนเฉวียน?


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่กล้ายืนยันออกไป …..พอนางฟังเสียงพิณ คนก็ตกตะลึงไปทั้งร่าง


 


 


ได้แต่กำชายผ้าพันผมเอาไว้แน่น กระทั่งเล็บก็จิกเข้าไปในผิวเนื้อ


 


 


ทันทีที่เสียงพิณของเขาสะท้อนออกไป ก็ทำลายผีกุ่ยหลัวซาไปนับสิบตน


 


 


ถึงตรงนี้ ซ่งชิงอีก็ก็เข่าอ่อนไปทั้งร่างแล้ว


 


 


“เขา….เขาคือ?”


 


 


นางลดขลุ่ยกระดูกลง โผออกไปนอกหน้าต่างกว่าครึ่งตัว


 


 


แทบจะทุ่มพลังวิญญาณทั้งร่างออกไปตรวจสอบดู


 


 


บุรุษที่สวมหน้ากากครึ่งใบดีดพิณโบราณอยู่ในอากาศใต้แสงดาว…..


 


 


ทันใดนั้นนางก็คิดถึงบุรุษโดดเด่นที่สุดในสุดยอดการประลองสามฝ่ายขึ้นมาในทันที

 

 

 


ตอนที่ 544 ปากไม่ยอมรับ แต่ร่างกายกลั...

 

ยามนี้ต่อให้ได้เห็นแค่เพียงริมฝีปากนั่น นางก็แทบจะสามารถยืนยันฐานะของเขาได้แล้ว 


 


 


บุรุษในใต้หล้า นอกจากเขาแล้ว ยังจะมีใครที่มีริมฝีปากดุจกลีบบัวที่ผลิบานในนรกอีก 


 


 


สีเข้มถึงเพียงนั้น แต่กลับให้ความรู้สึกเหน็บหนาวออกมา 


 


 


ตอนนั้นที่ได้เห็นเพียงแค่แวบเดียวในสุดยอดการประลองสามฝ่าย ก็ทำให้ไม่อาจลืมไปจนชั่วชีวิต 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ จะอย่างไรซ่งชิงอีก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


“แต่ว่า…. จะเป็น…..จะเป็นเขาไปได้อย่างไร!” 


 


 


นางพึมพำกับตนเอง ด้วยความใจลอย แม้แต่ฝูลั่วที่อยู่ข้างๆก็ยังลังเลไปเช่นกัน 


 


 


อย่าว่าแต่ท่านเจ้าวัง แม้แต่นางเองเมื่อได้เห็นผู้ที่ดีดพิณอยู่กลางท้องฟ้าผู้นั้น ก็ต้องคิดถึงเจ้าสำนักหยินหยางขึ้นมาในทันที 


 


 


ตอนนั้น นางก็ได้ติดตามท่านเจ้าวังไปในการประลองเช่นกัน ย่อมต้องได้เห็นบุคลิกภาพอันเจิดจรัสของเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ด้วยตาของตนเอง 


 


 


ตอนนั้นเขานั่งอยู่กลางลานประลองอย่างสง่างาม ปลายนิ้วที่เรียวยาวดีดพิณอย่างแผ่วเบา เสียงพิณอันล้ำลึกที่สะท้อนออกมาในชั่วสั้นๆถึงกับทำให้คนทั้งหมดของวังตันติ่งกง และตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างล้มลง 


 


 


แม้แต่ท่านเจ้าวังของตนเองและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ลึกลับผู้นั้น….ก็ยังต้องพ่ายแพ้ในมือของเขา 


 


 


แล้วฝูลั่วจะจำไม่ได้ได้อย่างไร 


 


 


ใต้แสงดาวพร่างพราว คนที่ดีดพิณผู้นั้นเหมือนกับเขาอย่างกับแกะ 


 


 


หน้ากากทองแดงครึ่งใบนั่น ยามนี้ไร้ประโยชน์ใดๆอีกต่อไป 


 


 


รูปโฉมอันล่ำเลิศของคนผู้นั้น มิว่าผู้ใดในใต้หล้าได้เห็นเข้า ก็เป็นต้องไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต 


 


 


ขลุ่ยกระดูกของซ่งชิงอีหยุดลง ผีกุ่ยหลัวซาที่อาศัยเสียงขลุ่ยชักนำก็พลันหยุดยั้งไปชั่วครู่ พวกมันเหมือนกับตื่นขึ้นจากความฝัน นัยตาแต่ละคู่ที่เดิมมีแต่เพียงสีแดงเลือดนั้น ยามนี้คล้ายจะมีสติขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่กำลังเผชิญหน้ากับพวกมันย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด 


 


 


ยามนี้ในแววตาของผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้น มีแต่ความ ‘ตื่นกลัว’ 


 


 


ใช่แล้ว ตื่นกลัว ทันทีที่พวกมันได้สติขึ้นมาเล็กน้อย และพบว่ากำลังเผชิญหน้ากับบุรุษที่ดีดพิณผู้นั้น แววตาของพวกมันก็ปรากฏความตื่นกลัวขึ้นมา 


 


 


ใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถทำให้กระทั่งผีกุ่ยหลัวซายังหวาดกลัว ย่อมมีเพียงผู้เดียว อาจารย์ของนาง ซื่อมั่ว 


 


 


ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่มีหนทางจะสรุปได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางผู้นี้ก็คืออาจารย์ หรือว่าจีเฉวียน 


 


 


แม้ว่าความแตกต่างระหว่างทั้งสองจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ยามนี้ก็คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างได้ผูกโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน 


 


 


“ติ้ง…..” เสียงพิณดังสะท้อนออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงมิได้ดังอย่างแผ่วๆ 


 


 


แต่ว่าเป็นเสียงดังสดใส ล้ำลึกคล้ายดั่งหยดน้ำที่ไหลลงไปในสระน้ำขนาดใหญ่ แค่เสียงติ้งครั้งเดียว ก็สามารถจะชำระความสับสนวุ่นวายในใจของผู้คนลงได้แล้ว 


 


 


ซ่งชิงอีได้ยินเสียงพิณนั่น ก็พลันมีปฏิกิริยาขึ้นมาเช่นกัน นางคว้าขลุ่ยกระดูกในมือขึ้นมาใหม่ เป่าลงไปอีกครั้ง 


 


 


เสียงขลุ่ยสกัดเสียงพิณเอาไว้ ผีกุ่ยหลัวซาที่เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา ขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดำดิ่งลงไปในการควบคุมของซ่งชิงอีอีกครั้ง 


 


 


ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนผู้นั้น….ซ่งชิงอีก็ไม่ขอยอมแพ้โดยง่ายอย่างเด็ดขาด 


 


 


ในเมื่อเขามาแล้ว งั้นคืนนี้นางก็จะให้เขาได้ชมฝีมือของนาง 


 


 


นางคือซ่งชิงอี ที่ไม่เพียงแต่รู้จักปรุงยา แต่ว่ายังหลอมสร้างผีเป็นอีกด้วย! 


 


 


เหล่าวิญญาณแค้นในใต้หล้า นางล้วนสามารถนำมาฝึกฝน บ่มเพาะให้กลายเป็นอาวุธสังหารชั้นยอด 


 


 


คนผู้นั้นพึ่งจะได้กลายเป็นประมุขคนใหม่ของดินแดนจิ่วโจว ในสถานที่ที่มีความมืดมิดปกครองเช่นนี้ ย่อมต้องมีผู้ที่ไม่คิดจะยอมแพ้ต่อเขา เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงการประลองสามสุดยอดครั้งต่อไป คนเหล่านั้นก็คิดที่จะถีบเขาออกไปแล้ว  


 


 


นางเองก็ได้รับสารลับมาว่า ในงานหมื่นบุปผชาติมีคนคิดจะลงมือกับเขา  


 


 


ตอนนี้ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิ่วโจวก็คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่ว่าในเมื่อตอนนี้ตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดถูกช่วงชิงไปแล้ว เช่นนั้นซิวหลัวเตี้ยนยังจะทนยืนมองอยู่อีกหรือ? 


 


 


นางจะให้เขาได้เห็นชัดว่า หากเขาต้องการจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง ย่อมจำเป็นจะต้องมีนาง ซ่งชิงอี 


 


 


ขณะที่นางคิดเช่นนี้ ขลุ่ยกระดูกบนริมฝีปากก็ยิ่งทวีเสียงดังกว่าเดิม 


 


 


เสียงที่ยากจะทนทานของขลุ่ยกระดูกทำเอาผู้คนต้องปวดแก้วหู 


 


 


ซ่งชิงอีทางหนึ่งเป่า อีกทางหนึ่งก็รวบรวมพลังวิญญาณภายในร่าง จับจ้องไปที่เขา คิดจะมองทะลุผ่านหมอกสีดำที่หนาแน่นอยู่ทั่วร่างของเขา มองไปให้ถึงตู๋กูซิงหลันที่เขาคุ้มครองเอาไว้ที่ด้านหลัง 


 


 


ชั่วขณะนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆหัวใจของนางก็พลันจุดเพลิงริษยาขึ้นมา 


 


 


เดิมทีนางคิดว่าบุรุษผู้นี้ชืดชาต่อเสน่หาอาวรณ์ ไร้อารมณ์ใดๆ แต่ว่าเขาถึงกับไม่เสียดายที่จะเปิดเผยฐานะออกมา เพื่อปกป้องเดรัจฉานน้อยนั่น? 


 


 


แถมดูแล้ว พวกเขายังสนิทสนมใกล้ชิดกันมากอีกด้วย 


 


 


ดินแดนจิ่วโจวเป็นดินแดนที่เปิดกว้าง ไม่เพียงแต่มีสามีภรรยาร่วมกันฝึกฝนวิชาเซียน แต่ยังมีคู่รักเพศเดียวกันร่วมฝึกฝนด้วย 


 


 


หากว่ามีสองนักพรตหนุ่มหรือสองนักพรตสาวที่มองตากันแล้วถูกใจถูกอัธยาศัยกันขึ้นมา ก็สามารถที่จะครองคู่และร่วมกันฝึกฝนได้เช่นกัน 


 


 


ดังนั้นตอนนี้ พอซ่งชิงอีเห็นคนผู้นั้นออกตัวปกป้องตู๋กูซิงหลัน ในใจจึงเกิดเพลิงลุกโชนขึ้นมาบ้าง 


 


 


“เดรัจฉานน้อยที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” นางกุมขลุ่ยกระดูกเอาไว้ ให้พลังจิตออกคำสั่งต่อผีกุ่ยหลัวซาทั้งหลาย 


 


 


คนอย่างนาง ซ่งชิงอี ไม่เคยมีสิ่งใด หรือ ใคร ที่ไม่อาจได้รับมาครอบครองมาก่อน! 


 


 


หากว่ามีผู้ใดบังอาจมาขวางทาง เช่นนั้นก็ต้องตกตายอย่างอนาถ! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เข้มข้นและรุนแรงจากนางอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เมื่อครู่ตนกำลังทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่คนตรงหน้า จึงถือว่าซ่งชิงอีเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่าไปก่อน 


 


 


ถึงตอนนี้จึงค่อยเห็นว่าเหล่าผีกุ่ยหลัวซาคิดจะบุกเข้ามาสังหารพวกนางไม่ให้เหลือรอด 


 


 


ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าก็เพียงวางนิ้วเอาไว้บนพิณ โดยไม่ได้ดีดเสียงใดๆออกมาอีกแม้แต่เสียงเดียว 


 


 


มีแต่เพียงหางเสียงจากสายพิณสายนั้นที่ยังคงสั่นสะท้อนมิได้หยุดนิ่งอยู่เท่านั้น 


 


 


แต่แล้วหางเสียงสะท้อนนั่น ก็ถูกเสียงเป่าขลุ่ยของซ่งชิงอีกดให้จมลงไป 


 


 


ไม่เพราะเอาเสียเลย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว ใจกลางฝ่ามือผุดพลังวิญญาณสีดำขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


เดิมทีพลังวิญญาณของนางก็ไม่ได้เป็นสีดำ แต่เมื่อหลอมรวมเข้ากับไอหยินจึงได้เปลี่ยนเป็นสีดำขึ้นมา 


 


 


นางไม่ได้กระตุ้นเอาพลังของหยกสรรพชีวิตออกมาด้วย เพราะว่าผู้คนในดินแดนจิ่วโจวเองก็กำลังเสาะหาสิ่งนี้อยู่เช่นกัน ขณะที่ขนใหม่ยังไม่ทันขึ้นมาจนครบ ย่อมไม่สมควรเปิดเผยออกไปโดยง่าย 


 


 


นางไม่ขบคิดให้มากความ ก็ทำท่าจะก้าวล้ำหน้าคนผู้นั้นออกไป คิดจะลุยให้แหลกไปเลย 


 


 


แต่ว่ายังไม่ทันที่นางจะได้ลงมือ เขาก็คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้ ลากนางกลับเข้ามาในครั้งเดียว 


 


 


“นั่งลงให้เรียบร้อย” 


 


 


เขาเอ่ยออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองออกไปรอบตัว ก็กระดกคิ้วน้อยๆ 


 


 


“อาจารย์…..เสี่ยวเฉวียนเฉวียน พวกเราอยู่บนอากาศ ไม่มีที่นั่ง” 


 


 


นางค่อนข้างปักใจแล้วว่าเขาจะต้องเป็นอาจารย์หรือไม่ก็จีเฉวียน 


 


 


คนผู้นั้นมิได้ตอบ เขายังคงมิได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธเหมือนเดิม ครู่ต่อมา มือคู่นั้นก็ยกนางขึ้นมาจากนั้นก็วางลงบนบ่าของตนเบาๆ 


 


 


พลางเอ่ยสำทับอีกครั้งว่า “นั่งให้ดีๆ” 


 


 


เขาดูไม่ใช่คนที่ร่างกายกำยำสักเท่าไหร่ แต่เมื่อตู๋กูซิงหลันนั่งลงไป  ถึงได้พบว่ายังมั่นคงยิ่งกว่าที่ตนเองคาดคิดเอาไว้เสียอีก 


 


 


หากเปรียบเทียบกับบ่าของพี่ใหญ่แล้ว ก็แคบกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 


 


 


เพราะว่า…….เขาดูผอมกว่าพี่ใหญ่มากทีเดียว 


 


 


นางทำหน้าหนาประดุจเปลือกไม้พันปี นั่งลงอย่างสบายอกสบายใจ 


 


 


สองขาแกว่งไปมาอย่างสนุกสนาน มือข้างหนึ่งก็จับคางเอาไว้ ก้มหน้าลงไปพูดกับเขา 


 


 


“คนบางคนปากแข็งไม่ยอมรับ แต่ว่าร่างกายกลับซื่อตรงอย่างยิ่ง…….” 


 


 


นางหรี่ตาลงหัวเราะ โดยไม่สนใจพวกผีกุ่ยหลัวซาอีก 


 


 


ตอนนี้นางอารมณ์ดีมาก รู้สึกเหมือนกับพวกเขาล้วนกลับคืนมาแล้ว 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)