ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 543-544
ตอนที่ 543 ควรเป็นข้าที่ปกป้องเจ้า
แค่พวกมันโผล่ออกมาไม่กี่ตัว ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาหล่นวูบ ราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างลากลงไปในนรกขุมที่สิบแปดแล้ว
พวกเขาเห็นเลยว่าผีพวกนั้นยิ่งทียิ่งทวีจำนวนมากขึ้น พอกวาดตามองไปก็เห็นว่ามีร้อยกว่าตัวเข้าไปแล้ว
หัวใจของแต่ละคนต่างก็เต้นด้วยความระทึกขึ้นมา
พวกเขายังคงไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร
แต่ละคนจึงพากันหันไปมองหาเจ้าวังของตนเอง
หลังสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเข้าใจว่า ผีเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าวังของตน จึงค่อยผ่อนลมหายใจลงได้บ้าง
แค่ไม่ใช่อีกฝ่ายส่งมาก็พอแล้ว…..มิเช่นนั้นเกรงว่าคืนนี้วังตันติ่งกงคงจะต้องถูกเลือดล้างอย่างแน่นอน
เจ้าวังของพวกเขาช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่เพียงแต่เป็นยอดปรมาจารย์ปรุงยาตันแห่งจิ่วโจว ทั้งยังสามารถควบคุมพวก……ผีประหลาดน่ากลัวจำนวนมากมายได้ด้วย
ทันใดนั้น เหล่าศิษย์ในวังตันติ่งกงก็ยิ่งเพิ่มพูนความเคารพเทิดทูนซ่งชิงอียิ่งขึ้นไปอีก
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ดูท่าฐานะของวังตันติ่งกงในแดนจิ่วโจวคงจะได้เลื่อนระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งอย่างแน่น
หัวใจของเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็พองโต ที่ผ่านมาพวกเขาล้วนภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนของวังตันติ่งกง พอวันนี้ได้รู้ถึงความสามารถของเจ้าวัง ก็ยิ่งยินดีกว่าเดิม
บางทีในสุดยอดการประลองสามฝ่ายครั้งหน้า ท่านเจ้าอาจจะกลายเป็นผู้ชนะก็เป็นได้
เดิมทีวังตันติ่งกงของพวกเขาก็สมควรที่จะได้เป็นที่เคารพบูชาสูงสุดในดินแดนจิ่วโจวอยู่แล้ว!
…………………………….
หัวใจของคนวังตันติ่งกงมีแต่ความยินดี เฝ้ารอดูให้พวกตู๋กูซิงหลันสองคนตายอย่างอนาถ
แต่ว่าตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันยังคงถูกคนผู้นั้นกอดเอาไว้ในอ้อมแขน
ปลายคางและริมฝีปากที่ปรากฏออกมาให้เห็น ไม่ได้เปิดเผยอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
สายตาของเขาจับจ้องไปยังหมอกสีแดงที่มีผีกุ่ยหลัวซาทยอยผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนี
ตู๋กูซิงหลันมองดูผีเหล่านั้น อักขระที่อยู่บนร่างของพวกมัน นางเคยเห็นมาจากบนร่างของวิญญาณแค้นที่อยู่ในกระถางใบยักษ์มาแล้ว
ที่แท้ ซ่งชิงอีก็จับวิญญาณแค้นเหล่านั้นเอาไว้สร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซานั่นเอง
นางคลุกคลีอยู่ในวงการคุณไสยมานานหลายปี จะมากจะน้อยก็พอจะรู้จักผีกุ่ยหลัวซาอยู่บ้าง
สิ่งนี้สร้างจากเหล่าวิญญาณที่คับข้องโกรธแค้น จากวิญญาณแค้นนับพันนับหมื่นตนสุดท้ายแล้วจะสร้างเป็นผีกุ่ยหลัวซาเพียงตนเดียว
พูดให้ชัดๆก็คือ เมื่อใช้วิญญาณกินวิญญาณ ใช้ผีกินผี ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียวตัวเดียวนั้น ก็จะกลายเป็นผีกุ่ยหลัวซา
นี้เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างมาก ปราศจากชีวิตจิตใจ ไอสังหารท่วมท้น เมื่อปรากฏตัวขึ้นมา หากไม่สามารถควบคุมให้ดีก็อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
หลายปีก่อนที่โลกปัจจุบันก็มีคนที่สร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมาเหมือนกัน สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นถูกท่านอาจารย์เล่นงานจนตาย
แม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจไปผุดไปเกิด ต้องวนเวียนรับทรมานอยู่ในนรกอเวจีไปตลอดกาล
หากดูจากรูปโฉมของซ่งชิงอี นางเข้าลักษณะของหญิงงามอสรพิษ แต่ตู๋กูซิงหลันก็คิดไม่ถึงว่า นางจะถึงกับสร้างผีกุ่ยหลัวซาขึ้นมา
ผีกุ่ยหลัวซา แม้ว่าจะมีพลังเป็นรองราชามาร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณแค้นทั่วไปจะสามารถต่อกรได้
หากว่าเป็นตัวนางก่อนหน้านี้ได้พบเข้า ก็ยังต้องสิ้นเปลืองพลังมหาศาลจึงจะกำหราบลงได้
ครั้งนี้กลับปรากฏตัวขึ้นมาถึงร้อยตน บรรยากาศในตอนนี้จึงเปรียบได้กับยามที่นางเคยเผชิญกับเหล่ามังกรยักษ์ของเผ่ามังกรทมิฬในตอนนั้นทีเดียว
ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาดอกท้อทั้งคู่ลง แววตาทอประกายเย็นยะเยือกออกมา
ขณะที่พวกผีกุ่ยหลัวซาเข้ามาใกล้ ในมือของนางก็หยิบยันต์โลหิตขึ้นมาหลายใบ
กับเจ้าพวกนี้ ยันต์สีเหลืองถือว่าไร้ประโยชน์
จำเป็นต้องใช้ยันต์โลหิตและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น
พลังของนางในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาแล้ว แต่ละครั้งต่อให้ใช้ยันต์โลหิตสิบกว่าใบก็ยังไม่ถือว่ากินแรงเท่าไร
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ คนที่อยู่ด้านหลังนางไม่คิดจะชมดูนางออกแรงแต่เพียงผู้เดียวแล้ว
เขาออกแรงเบาๆก็ดึงตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมอกแน่นกว่าเดิม
“เจ้ากลัวหรือ?” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นถามออกไป “หากไม่กลัวจะกอดข้าเสียแน่นทำไม?”
หากว่าไม่กลัวล่ะก็ เมื่อครู่ตอนที่อยู่บนยอดตึกสูง เขาก็น่าจะเปิดฉากต่อสู้กับซ่งชิงอีไปแล้ว ไม่ต้องพานางไปหลบในห้องเล็กๆมืดๆนั่น
ตอนนี้หน้าต่างกระดาษขาดเป็นรูไปแล้ว ย่อมนำลมหอบใหญ่ซัดเข้ามา
แต่ถ้าหากเขาหวาดกลัวละก็ ….เขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นอาจารย์ และไม่มีทางเป็นจีเฉวียนเช่นกัน
สองคนนั้น เป็นคนที่ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังไม่คิดจะถอย
“ไม่ต้องขวัญเสียไป นายน้อยอย่างข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง” ตู๋กูซิงหลันยกริมฝีปากแดง ปลายนิ้วของอีกมือสัมผัสลงไปบนปลายคางของเขาเบาๆ เห็นชัดเลยว่ากำลังลวนลามผู้คน
“ต่อให้พญายมมาเอง ข้าก็คุ้มครองเจ้าได้ไม่มีปัญหา”
นางพูดพลางก็เตรียมจะซักยันต์โลหิตในมือออกไป
ยันต์ของนางมีอยู่หลากหลายแบบ อย่างเช่น ครั้งนี้ที่นางจะใช้ออกไปก็คือยันต์ผู้พิทักษ์
ยันต์ผู้พิทักษ์สีแดงนี้ ตอนนั้นแม้แต่กับเสินฟางก็ยังสามารถรับมือได้อยู่พักหนึ่ง
ผีกุ่ยหลัวซาแม้จะแข็งแกร่งอย่างไร ก็คงจะไม่แข็งแกร่งกว่าเสินฟางไปได้กระมัง?
เพียงแต่ว่าร้อยกว่าตัว จำนวนออกจะมากไปเสียหน่อย
แต่ว่ายันต์โลหิตในมือของนางยังไม่ทันได้เขวี้ยงออกไป คนผู้นั้นก็เอ่ยปากออกมาก่อน “สมควรเป็นข้าคุ้มครองเจ้ามากกว่า”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ดันนางไปทางด้านหลัง เหลือแต่เพียงแผ่นหลงให้นางได้มองเท่านั้น
ทันใดนั้น ก็เห็นว่าทั่วทั้งร่างของเขามีหมอกสีดำจำนวนมากกระจายออกมา เพียงพริบตาเดียวเขตอาคมสีแดงที่อยู่เหนือศีรษะก็ถูกหมอกสีดำทะลวงออกไป
หมู่เมฆที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าจางลงไปอีกหลายส่วน ดวงดาวทอแสงสุกสกาวกว่าเดิม ร่างกับว่าทั้งหมดพร้อมใจกันเปล่งแสงสว่างลงมาบนร่างของเขา
แถบผ้ามัดผมสีม่วงพลิ้วไปตามแรงลม เส้นผมสีดำของเขาก็เริงระบำไปกับสายลมพร้อมๆกัน
แถมผ้ามัดผมปลิวมาถึงใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน นางยื่นมือออกไปหันเข้ากับปลายนิ้ว
ผ้ามัดผมสีม่วงเข้ม สีนี้ เป็นสีที่อาจารย์โปรดปรานที่สุด
“ติ้ง……”
ไม่รอให้นางได้มีปฏิกริยา เสียงพิณสายหนึ่งก็ดังขึ้น
เพียงพริบตา สำเนียงที่แข็งแกร่งก็พลิ้วออกมา ทำลายผีกุ่ยหลังซานับสิบตัวที่บุกเข้ามาจนกลายเป็นผุยผง!
หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็พลันกระตุกอย่างรุนแรงเช่นกัน
นางยืนอยู่ด้านหลังของเขา ร่างของทั้งสองเหาะอยู่ในอากาศใต้แสงกระพริบของดวงดาว
เสื้อผ้าบนร่างของเขาพลิ้วขึ้นมา จึงทำให้ได้เห็นว่าใต้แขนเสื้อที่ปลิวตามแรงลมนั้นมีโต๊ะที่จัดวางพิณโบราณอยู่ตัวหนึ่ง
ตัวพิณสีน้ำตาลเข้ม ด้านบนสลักอักขระที่สลับซับซ้อนเอาไว้
ชั่วขณะนั้น ไอหมอกที่เดิมล้อมอยู่ในดวงตาของตู๋กูซิงหลันก็รวมตัวกันเป็นหยดน้ำตาอย่างรวดเร็ว เอ่อล้นขึ้นมาคลออยู่ในดวงตาของนาง จนต้องฝืนเอาไว้ไม่ให้หยดลงมา
เสื้อผ้าของเขาถูกนางดึงทึ้งจนหลวมคลาย บ่าข้างหนึ่งยังเผยออกมา ภายใต้แสงดาวกระพริบ จึงมองเห็นว่าบ่าของเขามีแผลเป็นอยู่ไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันจำได้แม่นยำ…. จีเฉวียนมักจะรับบาดเจ็บที่ตรงนี้อยู่เสมอ
บ่าของเขาก็มีแผลเป็นเช่นกัน
ตกลงแล้วเขา….คือใครกันแน่?
อาจารย์หรือว่าเสี่ยวเฉวียนเฉวียน?
ตู๋กูซิงหลันไม่กล้ายืนยันออกไป …..พอนางฟังเสียงพิณ คนก็ตกตะลึงไปทั้งร่าง
ได้แต่กำชายผ้าพันผมเอาไว้แน่น กระทั่งเล็บก็จิกเข้าไปในผิวเนื้อ
ทันทีที่เสียงพิณของเขาสะท้อนออกไป ก็ทำลายผีกุ่ยหลัวซาไปนับสิบตน
ถึงตรงนี้ ซ่งชิงอีก็ก็เข่าอ่อนไปทั้งร่างแล้ว
“เขา….เขาคือ?”
นางลดขลุ่ยกระดูกลง โผออกไปนอกหน้าต่างกว่าครึ่งตัว
แทบจะทุ่มพลังวิญญาณทั้งร่างออกไปตรวจสอบดู
บุรุษที่สวมหน้ากากครึ่งใบดีดพิณโบราณอยู่ในอากาศใต้แสงดาว…..
ทันใดนั้นนางก็คิดถึงบุรุษโดดเด่นที่สุดในสุดยอดการประลองสามฝ่ายขึ้นมาในทันที
ตอนที่ 544 ปากไม่ยอมรับ แต่ร่างกายกลั...
ยามนี้ต่อให้ได้เห็นแค่เพียงริมฝีปากนั่น นางก็แทบจะสามารถยืนยันฐานะของเขาได้แล้ว
บุรุษในใต้หล้า นอกจากเขาแล้ว ยังจะมีใครที่มีริมฝีปากดุจกลีบบัวที่ผลิบานในนรกอีก
สีเข้มถึงเพียงนั้น แต่กลับให้ความรู้สึกเหน็บหนาวออกมา
ตอนนั้นที่ได้เห็นเพียงแค่แวบเดียวในสุดยอดการประลองสามฝ่าย ก็ทำให้ไม่อาจลืมไปจนชั่วชีวิต
แต่ว่าตอนนี้ จะอย่างไรซ่งชิงอีก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ
“แต่ว่า…. จะเป็น…..จะเป็นเขาไปได้อย่างไร!”
นางพึมพำกับตนเอง ด้วยความใจลอย แม้แต่ฝูลั่วที่อยู่ข้างๆก็ยังลังเลไปเช่นกัน
อย่าว่าแต่ท่านเจ้าวัง แม้แต่นางเองเมื่อได้เห็นผู้ที่ดีดพิณอยู่กลางท้องฟ้าผู้นั้น ก็ต้องคิดถึงเจ้าสำนักหยินหยางขึ้นมาในทันที
ตอนนั้น นางก็ได้ติดตามท่านเจ้าวังไปในการประลองเช่นกัน ย่อมต้องได้เห็นบุคลิกภาพอันเจิดจรัสของเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ด้วยตาของตนเอง
ตอนนั้นเขานั่งอยู่กลางลานประลองอย่างสง่างาม ปลายนิ้วที่เรียวยาวดีดพิณอย่างแผ่วเบา เสียงพิณอันล้ำลึกที่สะท้อนออกมาในชั่วสั้นๆถึงกับทำให้คนทั้งหมดของวังตันติ่งกง และตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างล้มลง
แม้แต่ท่านเจ้าวังของตนเองและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ลึกลับผู้นั้น….ก็ยังต้องพ่ายแพ้ในมือของเขา
แล้วฝูลั่วจะจำไม่ได้ได้อย่างไร
ใต้แสงดาวพร่างพราว คนที่ดีดพิณผู้นั้นเหมือนกับเขาอย่างกับแกะ
หน้ากากทองแดงครึ่งใบนั่น ยามนี้ไร้ประโยชน์ใดๆอีกต่อไป
รูปโฉมอันล่ำเลิศของคนผู้นั้น มิว่าผู้ใดในใต้หล้าได้เห็นเข้า ก็เป็นต้องไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต
ขลุ่ยกระดูกของซ่งชิงอีหยุดลง ผีกุ่ยหลัวซาที่อาศัยเสียงขลุ่ยชักนำก็พลันหยุดยั้งไปชั่วครู่ พวกมันเหมือนกับตื่นขึ้นจากความฝัน นัยตาแต่ละคู่ที่เดิมมีแต่เพียงสีแดงเลือดนั้น ยามนี้คล้ายจะมีสติขึ้นมาเล็กน้อย
ตู๋กูซิงหลันที่กำลังเผชิญหน้ากับพวกมันย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
ยามนี้ในแววตาของผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้น มีแต่ความ ‘ตื่นกลัว’
ใช่แล้ว ตื่นกลัว ทันทีที่พวกมันได้สติขึ้นมาเล็กน้อย และพบว่ากำลังเผชิญหน้ากับบุรุษที่ดีดพิณผู้นั้น แววตาของพวกมันก็ปรากฏความตื่นกลัวขึ้นมา
ใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถทำให้กระทั่งผีกุ่ยหลัวซายังหวาดกลัว ย่อมมีเพียงผู้เดียว อาจารย์ของนาง ซื่อมั่ว
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่มีหนทางจะสรุปได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางผู้นี้ก็คืออาจารย์ หรือว่าจีเฉวียน
แม้ว่าความแตกต่างระหว่างทั้งสองจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ยามนี้ก็คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างได้ผูกโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน
“ติ้ง…..” เสียงพิณดังสะท้อนออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงมิได้ดังอย่างแผ่วๆ
แต่ว่าเป็นเสียงดังสดใส ล้ำลึกคล้ายดั่งหยดน้ำที่ไหลลงไปในสระน้ำขนาดใหญ่ แค่เสียงติ้งครั้งเดียว ก็สามารถจะชำระความสับสนวุ่นวายในใจของผู้คนลงได้แล้ว
ซ่งชิงอีได้ยินเสียงพิณนั่น ก็พลันมีปฏิกิริยาขึ้นมาเช่นกัน นางคว้าขลุ่ยกระดูกในมือขึ้นมาใหม่ เป่าลงไปอีกครั้ง
เสียงขลุ่ยสกัดเสียงพิณเอาไว้ ผีกุ่ยหลัวซาที่เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา ขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดำดิ่งลงไปในการควบคุมของซ่งชิงอีอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนผู้นั้น….ซ่งชิงอีก็ไม่ขอยอมแพ้โดยง่ายอย่างเด็ดขาด
ในเมื่อเขามาแล้ว งั้นคืนนี้นางก็จะให้เขาได้ชมฝีมือของนาง
นางคือซ่งชิงอี ที่ไม่เพียงแต่รู้จักปรุงยา แต่ว่ายังหลอมสร้างผีเป็นอีกด้วย!
เหล่าวิญญาณแค้นในใต้หล้า นางล้วนสามารถนำมาฝึกฝน บ่มเพาะให้กลายเป็นอาวุธสังหารชั้นยอด
คนผู้นั้นพึ่งจะได้กลายเป็นประมุขคนใหม่ของดินแดนจิ่วโจว ในสถานที่ที่มีความมืดมิดปกครองเช่นนี้ ย่อมต้องมีผู้ที่ไม่คิดจะยอมแพ้ต่อเขา เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงการประลองสามสุดยอดครั้งต่อไป คนเหล่านั้นก็คิดที่จะถีบเขาออกไปแล้ว
นางเองก็ได้รับสารลับมาว่า ในงานหมื่นบุปผชาติมีคนคิดจะลงมือกับเขา
ตอนนี้ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิ่วโจวก็คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่ว่าในเมื่อตอนนี้ตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดถูกช่วงชิงไปแล้ว เช่นนั้นซิวหลัวเตี้ยนยังจะทนยืนมองอยู่อีกหรือ?
นางจะให้เขาได้เห็นชัดว่า หากเขาต้องการจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง ย่อมจำเป็นจะต้องมีนาง ซ่งชิงอี
ขณะที่นางคิดเช่นนี้ ขลุ่ยกระดูกบนริมฝีปากก็ยิ่งทวีเสียงดังกว่าเดิม
เสียงที่ยากจะทนทานของขลุ่ยกระดูกทำเอาผู้คนต้องปวดแก้วหู
ซ่งชิงอีทางหนึ่งเป่า อีกทางหนึ่งก็รวบรวมพลังวิญญาณภายในร่าง จับจ้องไปที่เขา คิดจะมองทะลุผ่านหมอกสีดำที่หนาแน่นอยู่ทั่วร่างของเขา มองไปให้ถึงตู๋กูซิงหลันที่เขาคุ้มครองเอาไว้ที่ด้านหลัง
ชั่วขณะนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆหัวใจของนางก็พลันจุดเพลิงริษยาขึ้นมา
เดิมทีนางคิดว่าบุรุษผู้นี้ชืดชาต่อเสน่หาอาวรณ์ ไร้อารมณ์ใดๆ แต่ว่าเขาถึงกับไม่เสียดายที่จะเปิดเผยฐานะออกมา เพื่อปกป้องเดรัจฉานน้อยนั่น?
แถมดูแล้ว พวกเขายังสนิทสนมใกล้ชิดกันมากอีกด้วย
ดินแดนจิ่วโจวเป็นดินแดนที่เปิดกว้าง ไม่เพียงแต่มีสามีภรรยาร่วมกันฝึกฝนวิชาเซียน แต่ยังมีคู่รักเพศเดียวกันร่วมฝึกฝนด้วย
หากว่ามีสองนักพรตหนุ่มหรือสองนักพรตสาวที่มองตากันแล้วถูกใจถูกอัธยาศัยกันขึ้นมา ก็สามารถที่จะครองคู่และร่วมกันฝึกฝนได้เช่นกัน
ดังนั้นตอนนี้ พอซ่งชิงอีเห็นคนผู้นั้นออกตัวปกป้องตู๋กูซิงหลัน ในใจจึงเกิดเพลิงลุกโชนขึ้นมาบ้าง
“เดรัจฉานน้อยที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” นางกุมขลุ่ยกระดูกเอาไว้ ให้พลังจิตออกคำสั่งต่อผีกุ่ยหลัวซาทั้งหลาย
คนอย่างนาง ซ่งชิงอี ไม่เคยมีสิ่งใด หรือ ใคร ที่ไม่อาจได้รับมาครอบครองมาก่อน!
หากว่ามีผู้ใดบังอาจมาขวางทาง เช่นนั้นก็ต้องตกตายอย่างอนาถ!
ตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เข้มข้นและรุนแรงจากนางอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เมื่อครู่ตนกำลังทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่คนตรงหน้า จึงถือว่าซ่งชิงอีเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่าไปก่อน
ถึงตอนนี้จึงค่อยเห็นว่าเหล่าผีกุ่ยหลัวซาคิดจะบุกเข้ามาสังหารพวกนางไม่ให้เหลือรอด
ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าก็เพียงวางนิ้วเอาไว้บนพิณ โดยไม่ได้ดีดเสียงใดๆออกมาอีกแม้แต่เสียงเดียว
มีแต่เพียงหางเสียงจากสายพิณสายนั้นที่ยังคงสั่นสะท้อนมิได้หยุดนิ่งอยู่เท่านั้น
แต่แล้วหางเสียงสะท้อนนั่น ก็ถูกเสียงเป่าขลุ่ยของซ่งชิงอีกดให้จมลงไป
ไม่เพราะเอาเสียเลย
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว ใจกลางฝ่ามือผุดพลังวิญญาณสีดำขึ้นมาอีกครั้ง
เดิมทีพลังวิญญาณของนางก็ไม่ได้เป็นสีดำ แต่เมื่อหลอมรวมเข้ากับไอหยินจึงได้เปลี่ยนเป็นสีดำขึ้นมา
นางไม่ได้กระตุ้นเอาพลังของหยกสรรพชีวิตออกมาด้วย เพราะว่าผู้คนในดินแดนจิ่วโจวเองก็กำลังเสาะหาสิ่งนี้อยู่เช่นกัน ขณะที่ขนใหม่ยังไม่ทันขึ้นมาจนครบ ย่อมไม่สมควรเปิดเผยออกไปโดยง่าย
นางไม่ขบคิดให้มากความ ก็ทำท่าจะก้าวล้ำหน้าคนผู้นั้นออกไป คิดจะลุยให้แหลกไปเลย
แต่ว่ายังไม่ทันที่นางจะได้ลงมือ เขาก็คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้ ลากนางกลับเข้ามาในครั้งเดียว
“นั่งลงให้เรียบร้อย”
เขาเอ่ยออกมา
ตู๋กูซิงหลันมองออกไปรอบตัว ก็กระดกคิ้วน้อยๆ
“อาจารย์…..เสี่ยวเฉวียนเฉวียน พวกเราอยู่บนอากาศ ไม่มีที่นั่ง”
นางค่อนข้างปักใจแล้วว่าเขาจะต้องเป็นอาจารย์หรือไม่ก็จีเฉวียน
คนผู้นั้นมิได้ตอบ เขายังคงมิได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธเหมือนเดิม ครู่ต่อมา มือคู่นั้นก็ยกนางขึ้นมาจากนั้นก็วางลงบนบ่าของตนเบาๆ
พลางเอ่ยสำทับอีกครั้งว่า “นั่งให้ดีๆ”
เขาดูไม่ใช่คนที่ร่างกายกำยำสักเท่าไหร่ แต่เมื่อตู๋กูซิงหลันนั่งลงไป ถึงได้พบว่ายังมั่นคงยิ่งกว่าที่ตนเองคาดคิดเอาไว้เสียอีก
หากเปรียบเทียบกับบ่าของพี่ใหญ่แล้ว ก็แคบกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะว่า…….เขาดูผอมกว่าพี่ใหญ่มากทีเดียว
นางทำหน้าหนาประดุจเปลือกไม้พันปี นั่งลงอย่างสบายอกสบายใจ
สองขาแกว่งไปมาอย่างสนุกสนาน มือข้างหนึ่งก็จับคางเอาไว้ ก้มหน้าลงไปพูดกับเขา
“คนบางคนปากแข็งไม่ยอมรับ แต่ว่าร่างกายกลับซื่อตรงอย่างยิ่ง…….”
นางหรี่ตาลงหัวเราะ โดยไม่สนใจพวกผีกุ่ยหลัวซาอีก
ตอนนี้นางอารมณ์ดีมาก รู้สึกเหมือนกับพวกเขาล้วนกลับคืนมาแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น