หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 542-547
บทที่ 542 ปัญหาอาวุธเวท!
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ตอนอยู่ในดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น เขาง่วนอยู่กับการหาวิชาสืบทอดมาให้ได้มากที่สุด ทำให้ไม่ได้ศึกษากระบวนเวทเกราะจักรพรรดิเลย พอได้อ่านรายละเอียดก็ต้องตื่นตะลึงไปเมื่อได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของกระบวนเวทนี้
ข้ายังมีวิชาสืบทอดอีกมากกว่าร้อยวิชาในหัว ต้องหาเวลามาเรียนรู้ทั้งหมดแล้ว ฝึกทุกวิชาเสร็จข้าอาจจะไร้เทียมทานไปเลยก็ได้! หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย รู้ดีว่าที่คิดนั้นเกินจริงไปหน่อย เขาคิดว่าจะหาวิธีบันทึกวิชาสืบทอดเก็บไว้ ซึ่งน่าจะเป็นการรอบคอบที่สุด
ถ้าต้วนมู่น้อยไม่ยอมสละตำแหน่งให้ตอนข้ากลับไป ข้าจะเอาวิชาสืบทอดไปตอกหน้าให้ดู! หวังเป่าเล่อยืดอกภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้น
ผ่านไปสักพักชายหนุ่มถึงสงบใจลงได้ เขาสูดหายใจลึกตั้งใจฝึกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิต่อ หากไม่คิดฝึกวิชานี้คงไม่ต้องเผชิญความลำบาก เพราะหลังจากลองฝึกดูก็ต้องแปลกใจ…เมื่อพบว่าวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิช่างยากเสียจริง
ขั้นตอนแรกของการฝึกคือการสร้างเส้นปราณนอกร่างกาย วิชาสืบทอดมีบอกรายละเอียดวิธีฝึกไว้ แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะลองทำตามอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่จึงฝึกได้ไม่สำเร็จ
มีอะไรแปลกๆ… หวังเป่าเล่อเกาหัว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ไล่เรียงขั้นตอนต่างๆ ในหัวอย่างตั้งใจ เวลาผ่านไปครึ่งเดือน…ทว่าการฝึกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อกลับไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย
ข้าทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้วนะ! ชายหนุ่มหงุดหงิด สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเข้าใจวิชาสืบทอดมากขึ้น หวังเป่าเล่อมั่นใจมากว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดไปจากขั้นตอนที่บอกไว้ แต่…ความพยายามของเขาที่ผ่านมาเป็นดังหินที่ร่วงลงมหาสมุทร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามมา
เหมือนว่าจะขาดตัวเร่ง… เขาขมวดคิ้ว ผุดนึกถึงตัวตนกล้าแกร่งที่ถ่ายทอดวิชาสืบทอดนี้มาให้ พลันคิดขึ้นว่าตัวตนกล้าแกร่งนั้นอาจจะตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ตั้งใจไม่ให้ตัวเร่งที่จำเป็นในการฝึกวิชาสืบทอดมา ทำให้วิชากระบวนเวทเกราะจักรพรรดินั้นฝึกได้ยาก และเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้เลย
หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ความคิด สถานการณ์ตอนนี้เหมือนมีภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติมากมายมาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ตนไม่มีวิธีใดที่จะเก็บสมบัติกลับมาได้ เขาปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้จึงหลับตาลงพร้อมกัดฟันแน่น พยายามนึกเนื้อหากระบวนเวทเกราะจักรพรรดิและค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวเร่งที่จะช่วยให้ทราบว่ามันคืออะไรกันแน่
ชายหนุ่มฝึกวิชาต่อไปเรื่อยๆ เจ้าลาที่ไม่มีคนคอยกำกับดูแลเชื่องได้ไม่กี่วันก็คึกคะนองขึ้นมา มันลองลงไปในทะเลเพลิงแล้วรีบกลับขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว พอรู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่ามันจะไปไหน เจ้าลาก็ตาเป็นประกาย กระโดดลงไปแหวกว่ายในทะเลเพลิงต่อ
มันกลับขึ้นมากลางดึก บนเกาะไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่สนุกเหมือนดำอยู่ในทะเลเพลิง ใต้ทะเลเพลิงมีอะไรให้กินเยอะแยะ พอกระหายก็ดื่มลาวาได้
เจ้าลาค่อยๆ ตระหนักได้ว่าหวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวมาเฝ้าจับตาดู มันจึงเริ่มปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่ มันดำอยู่ในทะเลนานสองสามวัน ก่อนจะกลับขึ้นมาด้วยใบหน้าอิ่มเอม
แต่มันก็ยังเด็กและขาดประสบการณ์อยู่มาก ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าหวังเป่าเล่อคอยสังเกตจำนวนวันที่มันหายไปและสีหน้าท่าทางตอนที่มันกลับมาอยู่ ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะไม่รู้ เพราะใบหน้าอิ่มเอมของเจ้าลานั้นเห็นเด่นชัดเกินไป นอกจากนี้…นี่ยังไม่ใช่ครั้งแรกที่มันแอบทำอะไรลับหลังเขา
เจ้าไสหัวไปเจอเนื้อคู่เข้าที่นี่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อเริ่มสงสัยขึ้นมาขณะฝึกวิชา เจ้าลาได้บทเรียนมาหลายครั้งจึงเริ่มฉลาดขึ้น มันจะรอให้หวังเป่าเล่อหมกมุ่นกับการฝึกวิชาก่อนแล้วแอบลงทะเลเพลิงไป
ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์จะแอบตามไปดูว่าเจ้าลากำลังทำอะไรเพราะการฝึกวิชาของตนไม่คืบหน้าไปไหน เขาหงุดหงิดจนไม่มีเวลาไปมัวสนใจเจ้าลา ถึงจะรู้ว่ามันแอบทำอะไรบางอย่างอยู่ก็ตาม
ประสบการณ์การฝึกวิชามานานหลายปีบอกชายหนุ่มว่า ถ้าหาทางแก้ไม่ได้ก็ให้มองมุมกลับ โดยเฉพาะกับการหาตัวเร่งเพื่อฝึกวิชาสืบทอด เขาไม่ควรยึดติดกับปัญหา หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจลดเวลาฝึกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิและหันไปทุ่มฝึกวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงแทน
กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงนั้นง่ายกว่าวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิมาก อัสนีอวตารของหวังเป่าเล่อเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เรื่องอาวุธเวทเองชายหนุ่มก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน เขาได้เสริมพลังฝักกระบี่ขึ้นไปเป็นสมบัติเวทระดับหกก่อนที่จะมายังสำนักวังเต๋าไพศาล อีกแค่ขั้นเดียวก็กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดแล้ว!
แต่ก็เป็นขั้นตอนใหญ่ทีเดียว ทั้งยากและต้องใช้วัตถุดิบมากมายรวมถึงทรายอาวุธด้วย ขอแค่มีแต้มการรบเพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องวัตถุดิบ ส่วนเรื่องความยากในการเสริมพลังฝักกระบี่นั้น…อาจจะท้าทายอยู่มากเมื่อเทียบกับความเชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทของชายหนุ่มในปัจจุบัน
หรือต้องรอจนข้าหลอมอาวุธเวทระดับแปดได้ ข้าถึงสามารถเสริมพลังฝักกระบี่ไปเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้กัน หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จากนั้นก็คำนวณแต้มการรบที่ต้องใช้ในการจัดหาวัตถุดิบทั้งหมดที่ต้องการ ซึ่งเขาต้องใช้ประมาณห้าหมื่นแต้ม อาจจะดูเป็นจำนวนที่มากโขสำหรับคนอื่น แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วถือว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร
ไม่เป็นไร ข้าจะลองพยายามหลอมอาวุธเวทระดับแปดดูก่อน จะได้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทมากขึ้น! เขาตัดสินใจแบ่งเวลามาหลอมอาวุธเวทระดับแปดขณะที่ฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิและกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงไปด้วย
ก่อนจะมายังสำนักวังเต๋าไพศาล เขาจับดวงจิตเทพมาได้จำนวนมาก ขอแค่มีวัตถุดิบเพียงพอก็สามารถหลอมอาวุธเวทขึ้นได้ ชายหนุ่มใช้แต้มการรบหนึ่งหมื่นแต้มซื้อวัตถุดิบมามากมาย จากนั้นก็เริ่มหลอมอาวุธเวท
การถือสันโดษของหวังเป่าเล่อกินระยะเวลานานกว่าสองเดือน ส่วนผลจากการถือสันโดษนั้น…ระหว่างที่ฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิอย่างยากลำบาก เขาก็เริ่มเชี่ยวชาญวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงจนสามารถสร้างร่างอวตารแยกออกมาจากร่างจริงได้!
ร่างอวตารสร้างขึ้นจากสายฟ้า ดูแตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกของหวังเป่าเล่อพอสมควร แต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงหนึ่งในสามของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อนั้นเก่งกาจกว่าคนที่อยู่ในระดับการฝึกตนขั้นเดียวกัน ดังนั้นร่างอวตารของเขาจึงสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นได้ และอาจชนะได้หลายคนเลยด้วยซ้ำ
จากที่ศึกษากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงมา ขอแค่เขาฝึกวิชาต่อไปและคอยหล่อเลี้ยงร่างอวตารไว้ มันก็จะพัฒนาขึ้นจนมีรูปร่างและพลังเหมือนตนเองไม่มีผิดเพี้ยน คนอื่นจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างร่างอวตารและตัวจริงออกได้ อีกทั้งร่างอวตารของชายหนุ่มยังแกร่งกล้าสามารถสุดๆ ด้วย!
หวังเป่าเล่อรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อฝึกกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงคืบหน้าไปได้บ้าง แต่ก็ยังคงทุกข์ใจเพราะการฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิไม่คืบหน้าไปไหนเลย การหลอมอาวุธเวทระดับแปดก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่สามารถหลอมได้สำเร็จเลยสักชิ้น ล้มเหลวไปในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นขั้นที่สำคัญมาก ทำให้อาวุธเวทที่เขาหลอมได้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
โชคดีที่ชายหนุ่มค้นพบต้นตอความผิดพลาดหลังจากลองอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถแก้ไขได้ในเวลาสั้นๆ ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวและพักการฝึกหลอมอาวุธเวทระดับแปดไปก่อน
ข้าคุมความคิดตัวเองไม่ได้ตอนถึงขั้นสุดท้ายของการหลอม เป็นเพราะจิตสัมผัสวิญญาณของข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ทำให้การหลอมดวงจิตเทพไม่ค่อยมั่นคง นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ข้าหลอมได้ไม่สำเร็จ จึงหลอมได้เพียงอาวุธเวทที่สามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว
สงสัยจังว่าเหล่าผู้อาวุโสในสหพันธรัฐที่หลอมอาวุธเวทระดับแปดได้นั้นจัดการกับปัญหานี้อย่างไร หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก เชื่อว่าต้องมีทางแก้ปัญหาแน่ แต่ก็ยากที่จะแก้ได้ที่นี่ เขาออกจากเกาะเพลิงเขียวและมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาล เพื่อหาดูว่าที่สำนักวังเต๋าไพศาลมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับปัญหาที่เขาพบและวิธีแก้ ทว่าแต่ละวิธีนั้นเกี่ยวข้องกับการฝึกหลอมสมบัติเวทและวิชาฝึกจิตสัมผัสวิญญาณ ซึ่งแต่ละวิชานั้นแพงมาก วิชาที่ถูกที่สุดมีราคามากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม
หวังเป่าเล่อพูดอะไรไม่ออก เขาไม่อยากจะเสียแต้มการรบมากมายขนาดนั้น
ข้าไม่เชื่อว่าจะหาทางแก้ด้วยตนเองไม่ได้! ข้าพึ่งพาความสามารถและสติปัญญาของตนเองมาโดยตลอด ข้าต้องหาทางได้แน่! ชายหนุ่มกลับมายังเกาะเพลิงเขียว ยืนมองฟากฟ้ากว้างไกลอยู่หน้าถ้ำที่พัก ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขาสูดหายใจลึก พูดขึ้นในหัวด้วยน้ำเสียงสุดจริงใจ
“แม่นางน้อยคนสวยและมากความสามารถอยู่หรือไม่”
หวังเป่าเล่อรอสักพักแต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากแม่นางน้อย เขากะพริบตาและลองอีกครั้ง
“แม่นางน้อยคนสวย มากล้นด้วยความสามารถ เก่งกาจไม่มีใครเกินอยู่หรือไม่”
ก็ยังคงไม่มีการตอบกลับมา…
“แม่นางน้อยผู้งดงามที่สุดในจักรพิภพ งามล้นพ้นจักรวาล เก่งกาจเกินต้านทานไม่มีใครข่ม คู่ควรแก่การมีนามขนานในบทเพลงตราบนานเท่านาน แสนสง่างามและฉลาดล้ำหาผู้ใดเปรียบอยู่หรือ”
“อยู่” แม่นางน้อยกระแอมกระไอและตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข
บทที่ 543 กงเต๋ามาเยี่ยมเยือน!
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อยกยอแม่นางน้อยอีกยกใหญ่หลังจากได้ยินเสียงตอบกลับ ก่อนจะเอ่ยถามถึงวิธีฝึกจิตสัมผัสวิญญาณ พอได้ยินคำถามจากชายหนุ่ม นางก็หยุดคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นก็บอกว่ามีวิธีอยู่แต่จะทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปหมด
นางไม่แนะนำให้ใช้วิธีการเหล่านี้ แต่ก็เสนอวิธีอื่นให้แทน
“เจ้าเคยไปที่ดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น หนึ่งในดินแดนแห่งสัมผัสทั้งห้าในสำนักวังเต๋าไพศาลมาแล้ว ครั้งหน้าที่เจ้าจะเข้าไปในตัวกระบี่ ข้าจะลองช่วยเจ้าหาดินแดนแห่งการได้ยินดู ข้าจำได้ว่าโสตแห่งเต๋าที่นั่นจะช่วยเสริมจิตสัมผัสวิญญาณของผู้ที่ได้ยินเป็นครั้งแรกได้”
“ดินแดนแห่งการได้ยินหรือ” หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย แต่ตัวกระบี่ก็เป็นสถานที่แสนจะอันตราย แม้จะมีแม่นางน้อยคอยช่วย ก็ยังต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางอยู่ดี
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจฝึกวิชาต่อไปก่อน พอจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่ได้มารอบก่อนหมดแล้วจึงจะออกเดินทางไปยังตัวกระบี่อีกครั้ง เขาพักเรื่องการฝึกจิตสัมผัสวิญญาณและหันมาทุ่มฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ
ส่วนเรื่องการหลอมอาวุธเวทระดับแปดนั้น แม้จะไม่รุดหน้าไปไหน แต่หวังเป่าเล่อก็ได้หอกอาวุธเวทระดับเก้าที่เสียหายมาจากการผจญภัยรอบก่อน หลังจากศึกษาก็พบว่าสามารถซ่อมแซมได้แค่บางส่วน ไม่สามารถซ่อมได้สมบูรณ์เนื่องจากระดับจิตสัมผัสวิญญาณยังไม่สูงพอ แต่ก็น่าจะสามารถซ่อมจนใช้งานได้เหมือนเป็นอาวุธเวทระดับแปด
ยังมีสูตรหลอมอาวุธเทพอยู่อีก…แต่อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นดีกว่า ไว้หลอมอาวุธเวทระดับแปดได้สำเร็จค่อยกลับมาศึกษาเรื่องนี้ ชายหนุ่มสูดหายใจลึกทำสมองให้โล่งและเริ่มฝึกวิชาต่อพร้อมกับซ่อมหอกอาวุธเวทไปด้วย
ครึ่งเดือนผ่านไป หวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ใช้ชีวิตในสำนักวังเต๋าไพศาลมาเกือบปีแล้ว
ตามข้อตกลงระหว่างสหพันธรัฐกับเฟิ่งชิวหรัน พอผ่านไปหนึ่งปี ผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองจากสหพันธรัฐก็จะขึ้นมาฝึกวิชาบนสำนักวังเต๋าไพศาล
หนึ่งปีที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้ากลุ่มแรกพัฒนาระดับการฝึกตนไปได้เยอะมาก เจ้าเยี่ยเหมิงได้บรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นใน ส่วนจั่วอี้ฟานได้บรรลุไปขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ คนอื่นๆ ได้เรียนรู้อะไรมากมายและได้บรรลุขั้นการฝึกตนด้วยเช่นกัน ส่วนกงเต๋านั้น…
ตอนที่หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และจั่วอี้ฟานเดินทางไปยังตัวกระบี่ กงเต๋านั้นติดทำภารกิจกับกลุ่มอื่นอยู่ ทำให้ไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับพวกเขาได้ จึงพลาดโอกาสได้รับวิชาสืบทอดในดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น แต่ก็เหมือนว่าเขาจะได้รับโอกาสทองอื่นมาเช่นกัน แม้จะไม่ได้ดีเท่าสิ่งที่เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานได้มาในดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น แต่ชายหนุ่มก็บรรลุไปขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ อีกขั้นเดียวก็จะบรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นใน!
ขั้นที่ว่านี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าประตู เตรียมจะก้าวข้ามไป เหลือเพียงหาทางเตะประตูให้เปิดออกเท่านั้น กงเต๋ารู้ว่าเรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนไปก็ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ได้มาเยี่ยมเยือนหวังเป่าเล่อ
เขาไม่ได้มาด้วยเรื่องการบรรลุขั้นการฝึกตน แต่มาเพราะเรื่องอื่นที่ต้องการให้อีกฝ่ายช่วย
หวังเป่าเล่อให้การต้อนรับกงเต๋าอย่างอบอุ่น เขาเลิกถือสันโดษและออกมานั่งจ้องกงเต๋าบนที่นั่งในถ้ำที่พัก อีกฝ่ายดูแตกต่างไปจากตอนที่อยู่ในสหพันธรัฐ ดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกวาว
ชายหนุ่มคิดมาตั้งแต่ต้น ว่าถ้าให้เลือกใครสักคนในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐกลุ่มนี้ที่จะเจริญรุ่งเรืองในสำนักวังเต๋าไพศาล กงเต๋าจะเป็นตัวเลือกแรก นั่นเพราะ…กงเต๋าเกิดในท้องทะเลแห่งอสูร ถือได้ว่าเป็นครึ่งอสูร
เขาเอาตัวรอดบนดาวอังคารด้วยลำแข้งของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กและอ่อนแอ ประสบการณ์ที่เคยประสบพบเจอได้ลับคมสัญชาตญาณการเอาตัวรอดและการพึ่งพาตนเองของกงเต๋าขึ้นมา ชายหนุ่มพยายามเก็บซ่อนรังสีสังหารที่แผ่ออกมาตอนอยู่ในสหพันธรัฐ แต่เมื่ออยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล เขาก็ไม่คิดเก็บซ่อนมันอีกต่อไป กงเต๋าในชุดคลุมเต๋าเป็นดังกระบี่แหลมคมที่ถูกดึงออกมาจากฝัก!
ผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเขาเพราะสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารรอบตัว พวกเขารู้ได้ว่ามือของชายผู้นี้เปื้อนเลือดมาแล้วนักต่อนัก
เพราะเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเริ่มดึงดูดคนนิสัยคล้ายกันเข้ามา กลุ่มปฏิบัติภารกิจรอบก่อนก็คือกลุ่มคนเหล่านี้ กงเต๋าเก็บตัวเงียบมาโดยตลอดเกือบปีที่ผ่านมา แต่ก็แอบสร้างกลุ่มพันธมิตรและเส้นสายขึ้นมาภายในสำนักวังเต๋าไพศาล
กงเต๋ารู้ดีว่าทุกคนในกลุ่มไม่สามารถนับว่าเป็นเพื่อนแท้ได้ หากตนยังแข็งแกร่งก็คงไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่อ่อนแอขึ้นมาก็คงไม่พ้นถูกกลืนกินทั้งเป็น
นั่นเพราะ…ชายหนุ่มเองก็ทำเช่นเดียวกันนี้ในสำนักวังเต๋าไพศาล!
ตอนนี้กงเต๋านั่งอยู่หน้าหวังเป่าเล่อ แม้ภายนอกจะดูเย็นชาและห่างเหิน แต่เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายอยู่มาก ดวงตาของชายหนุ่มไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนยามปกติ หลังจากหยุดคิดสักพัก เขาก็เอ่ยขึ้น
“เป่าเล่อ ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย!”
หวังเป่าเล่อมีท่าทีจริงจังขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมแต่ก็พยักหน้าให้การยืนยันที่จะช่วย
กงเต๋าผุดยิ้มขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายยินยอมให้การช่วยเหลือโดยไม่หยุดคิดหรือเอ่ยถามอะไรแม้แต่น้อย เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ข้าใช้เรือวิญญาณที่เจ้าให้ยืมมาไปปฏิบัติภารกิจสองสามภารกิจที่ผ่านมา และบังเอิญไปเจอถ้ำใต้ทะเลเพลิง…ถ้ำนี้มีคำสาปคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีใครเลยนอกจากข้าที่ค้นพบมันเพราะมันอยู่ในที่ลับตา
“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา…ข้ามีโอกาสได้แอบสำรวจถ้ำแห่งนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นตลอดสองสามเดือน ข้าจึงมั่นใจว่าไม่มีใครเคยค้นพบถ้ำนี้อย่างแน่นอน
“ข้าพยายามถอนคำสาปแต่ก็ยากเกินกว่าจะทำได้คนเดียว เป่าเล่อ ถ้าเราร่วมมือกันก็น่าจะสำเร็จได้ ระดับการฝึกตนเจ้าก็สูงกว่าข้า เพราะอย่างนั้นทุกอย่างที่เจอในถ้ำ เจ้าจะได้…”
“เราจะแบ่งกันคนละครึ่ง!” หวังเป่าเล่อโบกมือปัด เขารู้ว่ากงเต๋าจะพูดอะไร อีกฝ่ายคงคิดอยากจะให้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่กับเขา หากเป็นคนอื่น ชายหนุ่มคงจะตกลงตามนั้น แต่กงเต๋านั้นเป็นพี่น้อง แม้จริงๆ แล้วตนควรจะได้ส่วนแบ่งมากกว่า แต่เขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
กงเต๋าจ้องหวังเป่าเล่อก่อนจะส่ายหัวพร้อมหัวเราะขึ้น รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาบอกทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับถ้ำให้อีกฝ่ายฟังอย่างหมดเปลือก หลังจากคุยกันสักพัก ทั้งสองก็ลงความเห็นว่าจะล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้ จึงออกจากถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อและทะยานขึ้นฟ้ายามราตรีในทันที
พวกเขาขับเรือวิญญาณดำลงทะเลอย่างรวดเร็วโดยมีกงเต๋าคอยนำทาง สองชั่วโมงผ่านไป ทั้งคู่ก็มาถึงซากปรักหักพังแห่งหนึ่งใต้ทะเลเพลิง
ทั่วพื้นที่ถูกทำลายย่อยยับ มีรอยแตกมากมายอยู่ตามพื้นดินก้นทะเล เห็นได้ชัดว่าก่อนทะเลเพลิงท่วมใส่ ที่แห่งนี้เคยเป็นสนามรบระหว่างผู้ฝึกตนที่เก่งกาจ อาจเรียกได้ว่าเป็นสนามรบโบราณ มีโครงกระดูกมากมายกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ส่วนใหญ่ถูกค้นหาสิ่งของไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ของไร้ค่า
“ที่นี่แหละ เป่าเล่อ ตามข้ามา” หลังจากส่งข้อความเสียงจากในเรือวิญญาณเสร็จ กงเต๋าก็ขับเรือพุ่งไปข้างหน้าและขับวนรอบสนามรบอยู่สักพัก จากนั้นก็ขับเข้าไปในรอยแตกแห่งหนึ่งที่อยู่รอบๆ รอยแตกน้อยใหญ่มากมาย หวังเป่าเล่อขับตามหลังเข้าไปสักพัก ไม่นานกงเต๋าก็ลงจากเรือและรีบว่ายแหวกความร้อนเผาไหม้เข้าไปกดฝ่ามือลงบนผนังที่อยู่ข้างตัว
ผนังพลันบิดเบี้ยวก่อนจะปรากฏรอยแตกขึ้น กงเต๋ารีบกลับขึ้นเรือวิญญาณ จากนั้นก็ขับผ่านรอยแตกเข้าไป
หวังเป่าเล่อมองกงเต๋าเปิดรอยแตกบนผนังหลายแห่งด้วยความตื่นตกใจ รอยแตกที่เปิดออกค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมหลังจากที่ทั้งสองผ่านเข้าไป
เขาหาที่นี่เจอได้อย่างไร หวังเป่าเล่อขับตามหลังไปด้วยสีหน้าฉงนใจ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงส่วนลึกสุดของซากสนามรบและพบถ้ำแห่งหนึ่ง!
ภายในถ้ำปราศจากลาวา รอบกายมีแต่ความมืดมิด เบื้องหน้ามีประตูหินขนาดใหญ่อยู่หนึ่งบาน!
ด้านนอกประตูมีรูปปั้นลักษณะคล้ายค้างคาวอยู่สองตัว ตัวหนึ่งไม่มีหัว ตรงอกมีรอยลึกขนาดใหญ่ อีกตัวยังมีสภาพสมบูรณ์ รูปปั้นทั้งสองยืนนิ่งอยู่ข้างประตู
“ที่นี่แหละ ข้าเจอเข้าตอนไล่ตามหนูเพลิงนรกมา ก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นรังของหนูเพลิงนรก” เหมือนกงเต๋าจะสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่ จึงอธิบายขึ้นว่าเจอสถานที่นี้ได้อย่างไร เขาชี้ไปที่ประตูหินบานใหญ่
“ประตูนี้มีคำสาปอยู่ จากที่ลองดูก่อนหน้านี้ ต้องใช้พลังมากในการเปิด ทันทีที่พยายามเปิดประตู เรามีเวลาประมาณสิบชั่วลมหายใจก่อนที่รูปปั้นจะมีชีวิตขึ้นและลงมือจู่โจมผู้บุกรุก!”
“ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้รูปปั้นพวกนี้แข็งแกร่งเพียงใด แต่ตอนนี้พวกมันมีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย ข้าเผลอฟื้นชีพมันรอบที่แล้วแต่ก็หนีมาได้ด้วยสมบัติเวทช่วยชีวิตที่ได้มาจากพ่อบุญธรรม” กงเต๋าสูดหายใจลึกจากนั้นจึงหันมองหวังเป่าเล่อ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
“บอกทีว่าข้าควรทำเช่นไร”
บทที่ 544 ประมือกับอสูรหิน!
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อหรี่ตาจ้องไปทางประตู จากนั้นก็หันมองรูปปั้นหิน หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้น “กงเต๋า เจ้าใช้เวลาเท่าไหร่ในการเปิดประตูหิน”
“ข้าเปิดไม่ได้ภายในชั่วสิบลมหายใจ จากรอบที่แล้ว…ถ้าถ่วงเวลาให้ได้สิบห้านาที ข้าก็น่าจะเปิดได้!” กงเต๋าครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
หวังเป่าเล่อทำหน้าพินิจพิเคราะห์ขณะคิดคำนวณในหัว แม้จะนับรวมตัวเองเข้าไปด้วย ก็ยังยากอยู่ดีที่จะเปิดประตูให้ได้ภายในสิบชั่วลมหายใจ เพราะเมื่อรูปปั้นฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา มันจะถือเป็นอันตรายสำหรับทั้งคู่
พลังของข้าในตอนนี้จะพอสู้กับ…ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายได้หรือไม่นะ! ชายหนุ่มตาเป็นประกายเมื่อคิดเช่นนั้น เขาอยากจะรู้ว่าตนมีพลังเพียงใดในการต่อสู้
แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะใช้ทางลัดอยู่ดี เขายกมือขวาขึ้นเรียกกระบี่บินอาวุธเวทระดับเจ็ดขึ้นมาในมือ ชายหนุ่มตวัดกระบี่ลงหนึ่งครั้ง พลันพลังที่สามารถตัดผ่านทุกสิ่งก็มาสะสมรวมอยู่ในกระบี่บิน กระบี่ส่องแสงจ้าขณะพุ่งไปปะทะรูปปั้นหิน
มีเสียงปะทะดังสนั่นขึ้น รูปปั้นขยับไปเล็กน้อยแต่กลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ พลันคลื่นพลังที่บ่งบอกว่ารูปปั้นกำลังจะลืมตาตื่นขึ้นก็พวยพุ่งออกมา
“เหมือนว่าจะฟันทิ้งก่อนมันตื่นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำกับตนเอง พลังปราณในกายปะทุขึ้น เขาเปิดใช้งานแก่นในอัสนีส่งสายฟ้ามากมายกระจายเต็มพื้นที่ เปลวไฟสีดำเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นพร้อมปราณโลหิตที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง สายฟ้า เปลวไฟสีดำ และปราณโลหิตผสานรวมกันเป็นพลังน่าสะพรึงกลัวอยู่รอบตัวชายหนุ่ม!
กงเต๋าตื่นตะลึงไป นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ หวังเป่าเล่อแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาลมาก
“กงเต๋า เปิดประตู ข้าจะจัดการกับรูปปั้นหินตอนมันตื่นขึ้นเอง” หวังเป่าเล่อพูดพร้อมดวงตาที่พลันสว่างวาบขึ้น กงเต๋าจ้องมองอีกฝ่ายขณะครุ่นคิด ไม่ได้นึกสงสัยในตัวหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เขาพยักหน้าและสูดหายใจลึก จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นพร้อมร้องคำรามเสียงดังปลดปล่อยพลังปราณและพละกำลังทั้งหมดเพื่อผลักประตูให้เปิดออก
รูปปั้นค้างคาวหินสั่นไหวอีกครั้งเมื่อกงเต๋าเริ่มผลักประตู คลื่นพลังวิญญาณพวยพุ่งออกมาจากรูปปั้น เหมือนว่ามันจะเชื่อมกับประตูหิน เมื่อประตูโดนผลักให้เปิดออก มันก็จะตื่นขึ้นจากการหลับใหลในทันที
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขาก้าวไปยืนด้านหลังกงเต๋า หันหน้าเผชิญกับรูปปั้นหิน
ถ้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ใช่หวังเป่าเล่อ กงเต๋าคงไม่สามารถปลดปล่อยพลังเต็มขั้นออกไปได้ เพราะต้องคอยระวังหลังอยู่ตลอดเผื่อว่ามีอะไรผิดพลาดจะได้รีบหนีไปได้ทันท่วงที แต่ตอนนี้ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องเพียงประตูเบื้องหน้า ไม่สนใจรูปปั้นด้านหลังแม้แต่น้อย
ด้วยความเชื่อใจในตัวหวังเป่าเล่อ กงเต๋าจึงปล่อยพลังปราณเต็มขั้นและผลักประตูเปิดออกด้วยพลังทั้งหมดที่ไม่เคยเผยให้ใครเห็นมาก่อน ขณะกำลังเปิดประตู ชั่วสิบลมหายใจก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่หายใจออกครั้งที่สิบ รูปปั้นค้างคาวหินเบื้องหลังก็ส่งเสียงดังแสบแก้วหู คลื่นพลังวิญญาณพวยพุ่งออกมาจากรูปปั้นที่ลืมตาตื่น รูปปั้นหินระเบิดพลังวิญญาณกล้าแกร่งออกมาพร้อมพุ่งตรงไปหากงเต๋า!
กงเต๋าไม่ได้แข็งแกร่งเท่าค้างคาว หากไม่มีสมบัติเวทช่วยชีวิต ร่างกายและวิญญาณของเขาคงถูกทำลายย่อยยับไปตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว ขณะที่ค้างคาวกำลังพุ่งตรงไปหากงเต๋า หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยพลังปราณเต็มขั้นพร้อมกำหมัดพุ่งทะยานเข้าไปต่อย!
เขาปล่อยระเบิดกำเนิดดวงดาราออกไปพร้อมหมัด สายฟ้าฟาดกระจายไปทั่วก่อนที่หมัดจะพุ่งเข้าปะทะ กระแสสายฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นพายุสายฟ้าพุ่งเข้าชนกับค้างคาวที่ทะยานเข้ามา
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น คลื่นจากแรงกระแทกส่งค้างคาวกระเด็นถอยหลังพร้อมฝุ่นลอยคละคลุ้งในอากาศ หวังเป่าเล่อหัวเราะขึ้นก่อนจะทะยานฝ่าฝุ่นคลุ้งตามค้างคาวไป
ดวงตาของค้างคาวส่องแสงสีแดงขึ้น รอยแผลตรงหน้าอกก็เรืองแสงสีเดียวกัน ทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไป ค้างคาวก็ส่งเสียงแหลมราวกับสามารถตัดเพชรทลายหินลงได้ออกมา มวลอากาศระหว่างชายหนุ่มกับค้างคาวสั่นสะเทือน ไปด้วยคลื่นพลังวิญญาณ ก่อนที่คลื่นเหล่านั้นจะพุ่งตรงไปทางหวังเป่าเล่อ
คลื่นพลังวิญญาณแกร่งกล้าพุ่งเข้าปะทะชายหนุ่มอย่างจัง ร่างของเขากระตุกรุนแรง อวัยวะภายในสั่นไหว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างคลื่นเสียงโจมตีของค้างคาวและโทรโข่งของตนเอง การโจมตีของค้างคาวนอกจากจะส่งคลื่นเสียงกระแทกแล้ว พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาก็เหมือนจะสามารถดูดพลังชีวิตรวมถึงผนึกพลังปราณได้ด้วยเช่นกัน มันสามารถผนึกพลังปราณของชายหนุ่มและดูดพลังชีวิตจนเขาถึงแก่ความตายได้
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางหรือแม้กระทั่งชั้นปลายอาจจะตื่นกลัวเมื่อเผชิญกับการโจมตีนี้ นั่นเพราะคลื่นเสียงนี้เป็นหนึ่งในการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของค้างคาว
ค้างคาวแปลงกลายเป็นเหมือนสายรุ้งแห่งความพินาศพุ่งทะยานตามมาพร้อมจะทะลวงทรวงอกของชายหนุ่ม แต่เมื่อมันเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อที่โดนคลื่นเสียงกระแทกเข้าอย่างจังเมื่อครู่กลับผุดยิ้มขึ้น ร่างอวตารปรากฏซ้อนทับร่างจริงของเขา มือมายาที่สร้างจากสายฟ้าพุ่งเข้าไปจับเข้าที่คอค้างคาว!
มือที่ปรากฏขึ้นคืออัสนีอวตารของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนกระทั่งร่างอวตารเอื้อมมือออกมาใช้เวลาไปไม่ถึงเสี้ยววินาที มืออัสนีอวตารปล่อยพลังแกร่งกล้าพร้อมสายฟ้าฟาดไปในอากาศ จนจำแนกได้ยากว่านั่นคือร่างอวตาร มันดูเหมือนวิญญาณที่หลุดลอยออกมาจากกายหยาบมากกว่า
ค้างคาวไม่ทันไหวตัวว่าจะเจอการโจมตีสวนกลับจึงไม่สามารถหลบหนีได้ทัน ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้น
“ระเบิด!”
มือขวาที่คว้าคอค้างคาวอยู่พลันระเบิดทันใด พลังสายฟ้าจากมืออวตารและเปลวไฟจากแก่นในแห่งความมืดปะทุขึ้นพร้อมกัน เปลวไฟสีดำพุ่งเข้าล้อมรอบค้างคาว อสนีบาตฟาดฝ่าลงมาใส่มันราวกับเป็นพายุรุนแรง
ค้างคาวส่งเสียงโอดครวญท่ามกลางเสียงอสนีบาต มันรีบถอยกลับก่อนจะปล่อยแสงสีแดงออกมาสู้กับสายฟ้าและเปลวไฟของหวังเป่าเล่อ จากนั้นมันก็คุมแสงสีแดงให้รวมกันคล้ายเป็นเขี้ยวอสูร ก่อนจะส่งคมเขี้ยวที่สร้างขึ้นทะยานแหวกอากาศตรงไปยังหวังเป่าเล่อ
คมเขี้ยวปล่อยพลังวิญญาณที่แฝงด้วยโลหิต เลือดในกายหวังเป่าเล่อแข็งตัวขึ้นทันใด ส่งผลให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ก่อนจะโดนคมเขี้ยวโจมตีเข้าอย่างจัง
หวังเป่าเล่อเซถอยหลัง กระอักเลือดสดๆ ออกทางปาก โล่เบื้องหน้าเริ่มปริแตก โล่ที่ใช้กำบังเมื่อครู่คือหนึ่งในอาวุธเวทระดับแปดชนิดใช้ได้ครั้งเดียวที่เขามีในครอบครองมากมาย มันสั่นสะเทือนก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นผงไป
เหมือนว่าจะรับมือได้ยากถ้าไม่ใช้อาวุธเวท หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมเรียกโทรโข่งขึ้นในมือ จากนั้นก็ตะโกนส่งคลื่นเสียงรุนแรงออกมา ตอนนั้นเอง กระบี่บินสามสี่ก็พลันปรากฏขึ้นฟันแหวกอากาศตรงไปยังศัตรูที่กำลังถอยหนี ค้างคาวเก็บปีกพยายามป้องกันภัยอันตรายตรงหน้า
ทันใดนั้นร่างอวตารของชายหนุ่มก็โผล่ขึ้นด้านหลังค้างคาวอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะพุ่งหมัดตรงไปข้างหน้า ก่อเกิดเป็นพายุสายฟ้าเข้าโอบล้อมค้างคาวไว้ ไม่เปิดโอกาสให้มันหลบหนีจากกระบี่บินสามสีได้
ค้างคาวสยายปีกออกส่งเสียงดังสนั่น พลังกล้าแกร่งจากปีกทั้งสองข้างผลักร่างอวตารให้ถอยหลังออกห่าง กระบี่บินสองเล่มกระเด็นไปไกล แต่ร่างอวตารก็ยื้อค้างคาวไว้ได้สำเร็จ ทำให้มันต้องปล่อยการโจมตีสวนกลับ เปิดโอกาสให้กระบี่บินอีกเล่มพุ่งปักเข้าที่ปีกข้างขวา!
เสียงร้องโหยหวนดังก้องในอากาศ ค้างคาวรีบถอยกลับไปพร้อมจ้องหวังเป่าเล่อเขม็งด้วยความหวาดกลัว
น่าเสียดาย ถ้าสำเร็จวิชาขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ข้าจะสามารถสลับที่กับร่างอวตารและสังหารอสูรตนนี้ได้! ชายหนุ่มหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย ขณะยืนจ้องศัตรูที่แกร่งกล้าสุดที่เคยพบตั้งแต่มาเยือนสำนักวังเต๋าไพศาล
ทั้งสองประสานสายตากันครู่หนึ่ง แววตาของหวังเป่าเล่อพลันฉายแสงเย็นยะเยือกพร้อมเข้าไปโจมตีอีกครั้ง ทันใดนั้นเสียงตื่นเต้นของกงเต๋าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เปิดสิ!”
ด้วยความพยายามของกงเต๋า ในที่สุดประตูหินก็แง้มเปิดออกพร้อมเสียงดังสนั่น ปราณวิญญาณหนาแน่นที่ถูกกักขังไว้ภายในพวยพุ่งผ่านช่องว่างออกมาในทันใด!
บทที่ 545 ปกป้องและเสริมพลัง!
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่ประตูหินเปิดออก ปราณวิญญาณก็พวยพุ่งออกมา ผืนดินรอบกายสั่นสะเทือน ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในส่วนลึกสุดของสนามรบโบราณ สนามรบแห่งนี้เชื่อมกับประตูหิน เมื่อประตูเปิดออก สนามรบโบราณก็เริ่มสั่นไหวจนดูเหมือนจะทลายลง ทะเลเพลิงรอบๆ ปั่นป่วนและกระจายออกเป็นวงกว้าง
แม้พวกเขาจะไม่สามารถสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงด้านนอก แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป ดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอาจจะดึงความสนใจจากศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลคนอื่นๆ ที่อยู่ในทะเลเพลิงได้
ที่นี่เป็นบริเวณไกลผู้คน แถมยังดึกแล้วด้วย…ขอให้ไม่มีใครอยู่แถวนี้ทีเถอะ! ขณะที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก แสงสีแดงในตาค้างคาวพลันกะพริบ จากนั้นก็ค่อยๆ จางสีลง มันกลับกลายเป็นรูปปั้นหินอีกครั้งก่อนจะหล่นลงพื้นเสียงดัง
เหมือนกับว่าค้างคาวได้ล้มเลิกการป้องกันประตูไปแล้ว ประตูหินที่เปิดออกเป็นสัญญาณกันไม่ให้มันเข้ามายุ่ง
หวังเป่าเล่อยังไม่วางใจ เขาโบกมือเรียกร่างอวตารออกมาปรากฏที่ข้างรูปปั้นหิน จากนั้นก็หันไปมองประตูหินด้านหลัง ปราณวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาหนาแน่นเกินจะวัดประเมินได้
ปราณวิญญาณแผ่กระจายไปรอบๆ เขาดูดซับเข้าร่างไปบ้างโดยไม่รู้ตัวส่งผลให้พลังปราณในกายหมุนวนรุนแรงยิ่งขึ้น ชายหนุ่มตื่นตะลึงไป ปราณวิญญาณในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นหนาแน่นและเข้มข้นกว่าในสหพันธรัฐหลายเท่า หากจะบอกว่ามันหนาแน่นกว่าปราณวิญญาณในสหพันธรัฐหลายสิบหลายร้อยเท่าก็ไม่ได้เกินจริงไปแม้แต่น้อย
ทว่าปราณวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาจากประตูหินนั้นเข้มข้นกว่าปราณวิญญาณในสำนักวังเต๋าไพศาลประมาณสิบเท่า
นั่นหมายความว่ามันเข้มข้นกว่าปราณวิญญาณบนโลกถึงหนึ่งพันเท่า ซึ่งถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
“เป่าเล่อ ช่วยคุ้มกันข้าที เหมือนว่าข้ากำลังจะบรรลุขั้นการฝึกตน!” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังยืนตะลึงอยู่ กงเต๋าก็รีบพูดขึ้นขณะหายใจถี่รัว เขายืนอยู่ข้างทางเข้า ปราณวิญญาณเข้มข้นพุ่งเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ต้องดูดซับเข้าไปเอง ชายหนุ่มใกล้จะบรรลุขั้นการฝึกตนอยู่แล้ว ปราณวิญญาณที่ไหลเข้าสู่ร่างในตอนนี้จึงเป็นเหมือนการกินโอสถวิญญาณเข้าไป สัญญาณการบรรลุขั้นเริ่มเผยให้เห็นเด่นชัด
“ไม่ต้องห่วง!” หวังเป่าเล่อรู้ว่าจะให้อะไรมารบกวนกงเต๋าตอนนี้ไม่ได้ เขาตอบกลับในทันที จากนั้นก็โบกมือเรียกหุ่นเชิดสิบสองตัวออกมาช่วยคุ้มกันพื้นที่โดยรอบ
กงเต๋าสูดหายใจลึกขณะที่หวังเป่าเล่อเรียกหุ่นเชิดออกมา เขานั่งขัดสมาธิลง ปลุกพลังปราณเต็มขั้น ความมุ่งมั่นฉายชัดในดวงตา ชายหนุ่มเชื่อใจหวังเป่าเล่อ รู้ดีว่านี่เป็นโอกาสหายาก หากเขาเริ่มกระบวนการดูดซับช้าเกินไป ปราณวิญญาณก็จะกระจายออกไป ทำให้พลาดโอกาสนี้ไปได้
เขารู้ว่าการบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นไปขั้นกำเนิดแก่นในจะต้องทำในสถานที่ที่ปลอดภัย เนื่องจากจะให้มีอะไรมารบกวนไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจจะได้รับผลกระทบทำให้ไม่สามารถบรรลุขั้นการฝึกตนได้สำเร็จ และอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อพลังปราณในปัจจุบันของตนเองด้วย
กงเต๋าเป็นคนแน่วแน่ ชายหนุ่มไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย เขาเริ่มดูดซับพลังปราณเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนในทันใด!
หวังเป่าเล่อดูตื่นตัว เขายืนดูดซับพลังปราณอยู่ข้างกงเต๋าพร้อมคอยตรวจสอบความคืบหน้าของอีกฝ่าย ด้วยระดับการฝึกตนของกงเต๋าในปัจจุบันทำให้เขาไม่สามารถดูดซับพลังปราณในที่แห่งนี้ได้ทั้งหมด ถึงแม้จะพยายามบรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นในก็ตาม ชายหนุ่มต้องการปราณวิญญาณเพียงส่วนหนึ่งในการขับดันเพื่อให้บรรลุขั้นการฝึกตนเท่านั้น
หากหวังเป่าเล่อไม่อยู่ด้วย ปราณวิญญาณในพื้นที่ก็จะกระจายออกไปรอบๆ ทำให้ระดับความหนาแน่นของปราณวิญญาณบนสนามรบโบราณด้านบนเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรเสียปราณวิญญาณที่อยู่ด้านในประตูหินก็มีจำกัด
ทว่าในเมื่อหวังเป่าเล่ออยู่ด้วย ชายหนุ่มจึงไม่มีทางยอมให้ปราณวิญญาณกระจายออกไปโดยง่าย ดวงตาของเขาฉายแสงวาบ เมล็ดดูดกลืนในกายตื่นขึ้น ปลดปล่อยพลังดูดซับปราณวิญญาณออกมา หวังเป่าเล่อพยายามเหลือปราณวิญญาณไว้ให้เพียงพอต่อการบรรลุขั้นการฝึกตนของกงเต๋ารวมถึงการเสริมขั้นกำเนิดแก่นในให้มั่นคงด้วย
ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นไหวจากปราณวิญญาณที่ไหลเวียนเข้ามา แก่นในอัคนีที่อยู่ภายในเต้นตึกตักราวกับเป็นหัวใจ แก่นในแห่งความมืดตื่นพลังขึ้นพร้อมกัน ดอกบัวเขียวในกายสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณมากมายจึงเริ่มดูดซับเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
ร่างกายของชายหนุ่มแข็งแกร่งขึ้นจากการเสริมพลังจากปราณวิญญาณ
ปราณวิญญาณที่ทั้งสองเจอในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสหายาก ขณะที่พวกเขากำลังดูดซับพลังปราณอยู่นั้น ประตูหินก็ค่อยๆ เปิดออก!
ปราณวิญญาณเริ่มไหลหลากออกมาจากประตูที่เปิดออก ยิ่งปราณวิญญาณไหลออกมามากเท่าไหร่ ประตูก็เปิดอ้าออกเร็วเท่านั้น ผืนดินรอบๆ สั่นไหวรุนแรงขึ้น สนามรบโบราณด้านบนก็สั่นสะเทือนรุนแรงไม่ต่างกัน แรงสั่นสะเทือนและผืนดินที่เริ่มปริแตกก่อให้เกิดคลื่นในทะเลเพลิง
ไกลออกไปประมาณยี่สิบกิโลเมตร เรือวิญญาณเก้าลำกำลังดำลึกอยู่ในทะเลเพลิง เรือทั้งเก้าลำตั้งใจจะผ่านจุดนี้เพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่จุดอื่น แต่ทะเลเพลิงปั่นป่วนกลับทำให้พวกเขาหยุดชะงักไป ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในประมาณเก้าคนรีบออกมาจากเรือของตน คลื่นพลังปราณกล้าแกร่งแผ่ออกมาจากร่างกาย รังสีสังหารรอบตัวก็รุนแรงไม่แพ้กัน
สำนักวังเต๋าไพศาลหลอมเรือวิญญาณออกมามากมายหลังจากได้สูตรเรือวิญญาณจากหวังเป่าเล่อ ตอนนี้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเกือบทุกคนมีเรือติดตัวคนละลำ ผู้นำกลุ่มเรือทั้งเก้าลำเป็นชายวัยกลางคนหน้าอ้วน มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย ดวงตาของเขาส่องประกายขณะจับจ้องไปยังสนามรบโบราณ
“ข้าจำได้ว่าตรงนี้มีสนามรบโบราณ เหตุใดถึงมีพลังวิญญาณขนาดนี้แผ่ออกมาจากที่นี่กัน”
“หรือว่าจะมีสมบัติ” พวกเขาหันมองหน้ากันด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น แม้จะรวมกลุ่มกันเพื่อไปปฏิบัติภารกิจ แต่ก็ไม่ได้เป็นภารกิจเร่งด่วน หากเจออะไรเข้าระหว่างทางก็ยินดีจะเข้าไปตรวจสอบ
กลุ่มผู้ฝึกตนถกกันสักพัก จากนั้นชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าก็ยักไหล่
“ลองไปตรวจดูกัน!” พูดจบ ทุกคนก็กลับขึ้นเรือวิญญาณและมุ่งหน้าไปทางสนามรบโบราณด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ขณะที่กลุ่มผู้ฝึกตนกำลังมุ่งหน้ามายังสนามรบ ประตูหินด้านล่างเพิ่งจะเปิดได้ครึ่งทาง ปราณวิญญาณจากภายในแพร่กระจายไปทั่ว หวังเป่าเล่อจำกัดปราณวิญญาณให้อยู่ภายในพื้นที่ด้วยแรงสูบจากเมล็ดดูดกลืน ระหว่างที่กำลังดูดซับปราณวิญญาณ เขาก็พยายามตรวจดูไปด้วยว่าปราณวิญญาณเพียงพอสำหรับกงเต๋าหรือไม่ การกระทำดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายไปมาได้ตามใจชอบ ในใจกลัวว่าปราณวิญญาณหนาแน่นในพื้นที่จะดึงดูดภัยอันตรายเข้ามาหาตัวได้ จึงคอยควบคุมร่างอวตารให้ไปตรวจดูว่ารูปปั้นหินหลับไหลไปแล้ว จากนั้นเขาก็ถอนร่างอวตารกลับมาและเข้าไปในประตูหินอย่างรวดเร็ว!
ด้านหลังประตูหินเป็นถ้ำที่พักแห่งหนึ่ง ไม่ได้มีขนาดใหญ่ ข้าวของรอบๆ ก็มีน้อยนิด หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาตรวจสอบอย่างละเอียด เขาควบคุมร่างอวตารให้เก็บทุกอย่างที่เห็นรอบห้องอย่างรวดเร็ว
ไม่มีตราประจำตัว กระเป๋าคลังเวท หรือศพเลย แต่ของที่เก็บมาได้น่าจะมีมูลค่าสูงพอควร ลึกสุดในถ้ำมีหม้อหลอมโอสถใบใหญ่อยู่ด้วย
ที่หวังเป่าเล่อสนใจคือห้องหินที่แยกตัวจากถ้ำที่พักและกล่องหยกที่เจอในนั้น กล่องหยกลอยอยู่กลางอากาศ ส่องแสงหลากสี ดูไม่น่าใช่ของธรรมดาทั่วไป
หวังเป่าเล่อส่งร่างอวตารเข้าไปเก็บกล่องหยกโดยไม่ลังเล เขาเก็บทุกอย่างที่ได้มาลงกระเป๋าคลังเวท ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหลังจากได้ผลตอบแทนจากการเดินทางในครั้งนี้มาแล้ว เหลือแค่รอให้กงเต๋าบรรลุขั้นการฝึกตนจะได้กลับออกไปกัน
กงเต๋ามาถึงจุดสำคัญในการบรรลุขั้นการฝึกตน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงหยุดดูดซับพลังปราณ แต่เมล็ดดูดกลืนยังคงใช้แรงสูบดึงพลังปราณไว้ให้อยู่รอบตัวกงเต๋า
เขากำลังจะบรรลุขั้นการฝึกตนแล้ว หวังเป่าเล่อเลื่อนสายตาผ่านกงเต๋า สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสร้างแก่นในทองคำอยู่ พลังขั้นกำเนิดแก่นในเริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ กงเต๋า
ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้นจากการดูดซับพลังปราณเมื่อครู่ ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางของเขามั่นคงดีแล้ว และรุดหน้าเข้าใกล้ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายไปได้มากเลยทีเดียว
ถ้าข้าหาสถานที่เช่นนี้ได้อีกสักสองสามแห่งก็อาจจะมีโอกาสบรรลุไปถึงขั้นจุติวิญญาณได้! ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก รู้สึกพึงพอใจมากกับสิ่งที่ได้มาในการเดินทางครั้งนี้ เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไป ตั้งใจจะหาของมีค่าเพิ่ม ทันใดนั้นบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในดวงตา หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองขึ้นไปในทันที!
บทที่ 546 เจ้านี่โชคดีไม่ใช่เล่น!
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นและประตูหินเปิดออก ดินด้านบนก็สั่นไหวก่อนจะแยกออกเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ ทะเลเพลิงไหลบ่าลงมาจากเบื้องบนราวกับเป็นน้ำตกเปลวเพลิง!
ถ้ำใต้ดินนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร อาจต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าทะเลเพลิงจะไหลเข้ามาท่วมจนเต็ม แต่หากสนามรบโบราณยังคงถล่มอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ไม่นานทั้งถ้ำก็อาจจะเต็มไปด้วยลาวา
แน่นอนว่า…หวังเป่าเล่อคงจะไม่เดือดร้อนหากมีเพียงลาวาที่ทะลักเข้ามา สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมในทันที เมื่อเห็นเรือวิญญาณเก้าลำมุ่งหน้าตามกระแสทะเลเพลิงผ่านรอยแยกเข้ามา เรือวิญญาณเหล่านั้นส่องแสงแรงกล้า ก่อนที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเก้าคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะปรากฏตัวขึ้น
พวกเขามีสีหน้าตื่นตะลึงเมื่อมองเห็นสถานการณ์ภายในถ้ำ ทั้งรูปปั้นหิวหัวขาด ทั้งกงเต๋าผู้กำลังจะบรรลุขั้นการฝึกปราณ ทั้งหวังเป่าเล่อและร่างอวตารที่คอยคุ้มกัน ทั้งยังมี…
ประตูที่เปิดกว้างเข้าสู่ถ้ำที่พักและพื้นที่ว่างเปล่าภายใน เป็นสัญญาณว่าสถานที่แห่งนั้นถูกรื้อค้นไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนทั้งเก้ายังสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันเข้มข้นในบริเวณนั้น ภาพกงเต๋าซึ่งกำลังนั่งสมาธิทำให้พวกเขานึกถึงความเป็นจริงอันน่าตื่นตะลึงบางอย่างได้ ความร้อนรนฉายออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นการเปิดถ้ำที่พักครั้งแรก!”
“เมื่อใดที่ถ้ำที่พักซึ่งถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกเป็นเวลานานถูกเปิด ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลจะหลั่งไหลออกมา!”
“ฮะฮ่า! พวกเราพบโชคก้อนใหญ่เสียแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะบังเอิญมาพบขุมทรัพย์ขนาดมหึมาเสียได้!” ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนต่างพากันตื่นเต้นดีใจ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจหวังเป่าเล่อหรือกงเต๋าแม้แต่น้อย แน่นอนคนเหล่านี้รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร แต่ก็ยังคงเมินเขาอยู่ดี ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางคนหนึ่งพุ่งตัวผ่านหวังเป่าเล่อและกงเต๋ามุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พักอย่างตื่นเต้น เพื่อหวังจะได้เห็นว่าสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ด้านใน
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมในบัดดล เมล็ดดูดกลืนภายในกายยังคงหมุนวนอยู่ ชายหนุ่มยังยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ทันทีที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางเดินเข้ามาใกล้ ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็สืบเท้าออกไปยืนขวางหน้าเอาไว้ ก่อนจะส่งลูกเตะออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลูกเตะนั้นทั้งรวดเร็วและรุนแรง มันสร้างเสียงของสายลมและสายฟ้าดังสนั่น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางยิ้มเยาะ
“ร่างอวตารอัสนีจากกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงอย่างนั้นหรือ” เขากล่าวก่อนจะยกมือขึ้น พยายามจะปัดร่างอวตารของหวังเป่าเล่อออกไปให้พ้นทาง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะดูถูกพลังของร่างอวตารเกินไป เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นทันทีที่ร่างของทั้งคู่สัมผัสกัน ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อพุ่งตัวตรงมาข้างหน้าอย่างไม่อนาทรร้อนใจกับคาถาของอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว สายฟ้าพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างอวตาร ก่อนจะก่อตัวเป็นแรงกดดันมหาศาล สีหน้าของผู้ตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางเปลี่ยนไปทันที เขาพยายามจะถอยหนีแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว สายฟ้าส่งเสียงคำรามดังสนั่น ก่อนที่โลหิตสดๆ จะกระเซ็นออกมาจากริมฝีปากของชายผู้นั้น ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างพยายามก้าวเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาหันไปมองหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว สายตาแสดงความวิตกกังวลและระแวดระวัง
แสงสว่างจากร่างอวตารของหวังเป่าเล่อจางลงเล็กน้อย มันไม่ได้ตามผู้ฝึกตนคนนั้นไป แต่กลับเดินถอยมายืนข้างกายหวังเป่าเล่อ ทั้งคู่ส่งสายตาเยียบเย็นไปทางกลุ่มผู้บุกรุก
บรรดาผู้ฝึกตนที่มาใหม่พากันหรี่ตาก่อนจะจ้องตอบหวังเป่าเล่อ พวกเขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของหวังเป่าเล่อและรู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นใคร แต่กลับไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่า แถมยังมีผู้นำกลุ่มเป็นศิษย์พี่ผู้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายด้วย ในขณะเดียวกัน…พวกเขาก็ขึ้นตรงกับฝ่ายต่อต้านหัวรุนแรงที่เกลียดผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐยิ่งกว่าใคร พวกเขาล้วนคิดเหมือนเหลียงหลง ผู้ซึ่งปรามาสบรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐว่าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม…หลังการโจมตีอย่างฉับพลันของร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ก็ดูเหมือนว่าแม้จุดยืนของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่การที่ร่างอวตารสามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางล่าถอยได้ ก็ทำให้พวกเขาเห็นถึงพลังที่แกร่งกล้าของหวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี
“น่าสนใจดี เจ้าคือหวังเป่าเล่อใช่หรือไม่ ส่งของที่เจ้าขโมยไปมาให้เราเสีย พวกเราจะรับไปร้อยละเก้าสิบและจะปล่อยพวกเจ้าไปแต่โดยดี” ผู้พูดคือชายวัยกลางคนในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่ม สีหน้าของเขาเยือกเย็น เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้มีบารมีอยู่พอสมควร น้ำเสียงไม่ได้เปิดช่องให้เจรจา ราวกับว่าสัดส่วนร้อยละสิบที่เหลือไว้ให้หวังเป่าเล่อนั้นเป็นความใจดีเสียเต็มประดา
ดูเหมือนว่าไม่ว่าอย่างไรในโลกแห่งการฝึกตนนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมมีอำนาจสูงสุด พลังเป็นตัวตัดสินทุกสิ่ง เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คิดว่าตนแข็งแกร่งที่สุด ณ สถานที่นี้!
และผู้อ่อนแอย่อมไม่มีสิทธิ์พูด!
หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็คงต้องลำบากเก็บกวาดเรื่องราวหลังจากนี้ ทว่าเพื่อจะได้ครอบครองถ้ำที่พักซึ่งเปิดเป็นครั้งแรก การสังหารสิ่งชีวิตชั้นต่ำก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยนัก เป็นเหตุให้เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าให้เวลาเจ้าตัดสินใจสิบวินาที เลือกเสียว่าอยากจะอยู่หรือตาย!”
หวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้นก็หรี่ตาลง ก่อนจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง คู่ต่อสู้มีจำนวนมากกว่า แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าตนสามารถสังหารพวกนั้นได้เกือบทั้งหมด หรืออาจจะทุกคนเลยก็เป็นได้ แต่เขาก็ต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา และยังต้องคิดถึงผลกระทบที่อาจมีต่อการบรรลุขั้นของกงเต๋าหากเขาเลือกที่จะต่อสู้
แต่ชายหนุ่มก็ยังมองไม่เห็นทางที่จะจบเรื่องนี้ฉันท์มิตร หวังเป่าเล่อคิดถึงขั้นจะโกหกว่าเขามาที่นี่ตามคำสั่งของเฟิ่งชิวหรัน และกระทั่งจะติดสินบนอีกฝ่ายด้วยแต้มการรบจำนวนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ก็ค่อยๆ ปัดทางเลือกเหล่านี้ตกไปทีละข้อ
รัศมีความกระหายเลือดแผ่ออกมาจากกายพวกเขา ไหนจะความรุนแรงในแววตา ทุกสิ่งบอกหวังเป่าเล่อว่าปัญหานั้นอยู่ที่ใคร หลบเลี่ยงไปก็ไร้ประโยชน์ คนเหล่านี้ไม่มีใครโง่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถ่วงเวลาให้กับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วละก็…จิตสังหารก่อตัวขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่แสดงความตั้งใจใดๆ ออกมาทางสีหน้า เขาเพียงแค่ยิ้ม และขณะที่กำลังจะส่งร่างอวตารไปคุ้มกันกงเต๋าพลางเปิดฉากการโจมตี พลันตัวตนที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าปราณขั้นกำเนิดแก่นในก็ปรากฏขึ้นจากรอยแยกเหนือศีรษะ!
พลังของตัวตนนั้นแผ่เข้ามาเต็มบริเวณถ้ำใต้ดิน ก่อนที่น้ำเสียงติดรำคาญจะดังสะท้อนก้องไปทั่ว
“พอได้แล้ว หวังเป่าเล่อค้นพบถ้ำนี้ก่อน ตามกฎที่สำนักบอกไว้ ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของถ้ำแล้ว หลี่ปิน เจ้าออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้!” ขณะที่เสียงนั้นดังกังวานไปไกล ใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาจากรอยแยกนั้น ร่างนั้นเป็นชายชราผมสีแดงเพลิง หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ชื่อหลิน!
ความวุ่นวายในกระแสทะเลเพลิงที่ปะทุขึ้นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากสนามรบโบราณนำเขามาที่นี่เช่นกัน ชายชรามองเห็นการเผชิญหน้าระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่ปิน แม้ว่าเขาจะไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นสมาชิกฝ่ายเฟิ่งชิวหรันจึงจำเป็นต้องก้าวเข้ามา แม้ว่าจะเริ่มไม่มั่นใจในแนวคิดและวิสัยทัศน์ของเฟิ่งชิวหรันแล้วก็ตาม
การแสดงชั้นเชิงของหวังเป่าเล่อในโถงใหญ่เมื่อหนึ่งปีก่อนก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชายชราตัดสินใจเข้ามาช่วย ทว่าเขาก็ยังมีความรู้สึกไม่พอใจผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอยู่ดี ทันทีที่ชายชราเปิดปากพูด เขาก็ส่งสายตาเยียบเย็นไปทางหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังถ้ำที่พัก จากประสบการณ์ ชายชราบอกได้ว่าถ้ำที่พักนั้นเป็นเพียงถ้ำธรรมดาๆ ชื่อหลินไม่ได้กล่าวว่าอย่างไรต่อไป ทำเพียงหันหลังเดินจากไปเท่านั้น
แม้ว่าชายชราจะจากไปแล้ว แต่คำสั่งของเขาก็ยังคงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าหลี่ปินจะไม่เต็มใจสักเท่าใดก็ไม่อาจขัดคำสั่งของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ เขากัดกรามกรอด ความอาฆาตฉายชัดอยู่ในแววตาที่จ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ
“ไอ้หนู เจ้านี่โชคดีใช่เล่นนะ ขอให้โชคไม่หมดเสียก่อนก็แล้วกัน…” เขาทิ้งถ้อยคำสุดท้ายเอาไว้ ก่อนจะยิ้มเยาะแล้วหันหลังเดินออกไป ผู้ติดตามทุกคนเดินจากไปด้วยแววตาคล้ายคลึงกัน
หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนโชคดีแม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้ว พวกผู้บุกรุกต่างหากที่โชคดี หากชื่อหลินไม่ได้เข้ามาห้าม หวังเป่าเล่อคงพุ่งเข้าโจมตีไปแล้ว และหลังจากต่อสู้กับรูปปั้นค้างคาวหิน ชายหนุ่มก็มั่นใจมากว่าเขาสามารถสังหารคนพวกนั้นได้ทั้งหมดแน่ แต่จะแสร้งทำเป็นว่าตนเองก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ดังนั้นต่อให้สำนักรู้เรื่องเข้า หวังเป่าเล่อก็จะได้มีหนทางปกป้องตนเอง
คราวหน้าจะได้เห็นกันว่าเจ้าจะโชคดีเช่นนี้อีกหรือไม่! หวังเป่าเล่อละสายตา ก่อนจะหันมาทางกงเต๋าและนั่งรออย่างอดทน
สามสิบนาทีผ่านไป รอยแยกบนเพดานเริ่มปรากฎถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทะเลเพลิงทะลักเข้ามาไม่หยุดหย่อน ขณะนั้นเอง กงเต๋าก็ตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่รัศมีขั้นกำเนิดแก่นในจะปะทุออกมาจากกายเขา เนตรลวงตาปรากฏขึ้นบนแผ่นหลัง!
ดวงเนตรนั้นปิดสนิท และค่อยๆ จางหายไปเองในเวลาราวสิบห้าวินาที เห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวข้องกับวิชาฝึกปราณที่กงเต๋าฝึกอยู่ หลังจากที่ดวงเนตรหายไป กงเต๋าก็ลืมตาขึ้น แสงเจิดจ้าสุกสว่างอยู่ภายใน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนจะยกมือคารวะหวังเป่าเล่อ!
บทที่ 547 ผลไม้แห้งเหี่ยวปริศนา
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อได้เห็นการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในของทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง และยังได้เห็นแก่นของเคล็ดวิชาฝึกปราณของทั้งคู่ด้วย
นี่เป็นสาเหตุว่าเหตุใดตามปกติ ผู้ฝึกตนที่กำลังจะบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในจะต้องไปหาที่เงียบๆ เพื่อถือสันโดษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ต้องการให้ใครมารบกวน อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาเคล็ดวิชาฝึกปราณของตนเอาไว้เป็นความลับนั่นเอง
แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็เชื่อใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบคนทั้งคู่ และยิ่งเขาคิดเปรียบเทียบมากเพียงใด ก็ยิ่งอดชื่นชมในความยอดเยี่ยมของกงเต๋าไม่ได้
เขาไม่ได้รวมประสบการณ์ที่ดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นกับพวกเราด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นก็ยังมีดวงเนตรมายาปรากฏขึ้นตอนที่บรรลุขั้น แถมพลังที่เขาปล่อยออกมายังไล่เลี่ยกับเจ้าเยี่ยเหมิง…กงเต๋าผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ! หวังเป่าเล่อตบบ่ากงเต๋า
“ไม่เลว จงรักษามาตรฐานต่อไป พวกเรามีแม่ทัพอีกคนมาร่วมสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพแล้วสินะ!” หวังเป่าเล่อระเบิดหัวเราะ ส่วนกงเต๋าเองก็ดูตื่นเต้นยินดีเช่นกัน ขั้นกำเนิดแก่นในกับขั้นรากฐานตั้งมั่นนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ในฐานะคนรุ่นเดียวกันกับหวังเป่าเล่อ กงเต๋าอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนัก เพราะความก้าวหน้าในการฝึกตนของหวังเป่าเล่อรวดเร็วเกิดไป กงเต๋าที่เพิ่งบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในก็จะได้พักบ้างในที่สุด
ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณหวังเป่าเล่อ ทะเลเพลิงกำลังจะเข้าท่วมทั้งถ้ำในไม่ช้า ดังนั้นพวกเขาจึงรีบออกไป ต่างพากันก้าวขึ้นเรือวิญญาณและจากไปอย่างเร่งรีบ หลังจากที่ออกมาแล้วทะเลเพลิงก็ไหลเข้าท่วมถ้ำจนมิด และเมื่อพวกเขาออกมาด้านนอกได้ ก็เห็นว่าสนามรบโบราณจมลงไปในทะเลเพลิงแล้วกว่าครึ่ง
การเดินทางขากลับนั้นแสนง่ายดาย ทั้งคู่ไม่พบเจออุปสรรคใดเลยระหว่างทาง ไม่นานนักก็ผ่านอาณาเขตทะเลเพลิงกลับเข้าสู่เกาะเพลิงเขียวของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พักแล้ว หวังเป่าเล่อก็เฝ้ามองกงเต๋าที่กำลังพยายามข่มใจจากความตื่นเต้นยินดีก่อนหน้า ก่อนจะหยิบสิ่งของที่ได้จากการเดินทางออกมาดู
พวกเขาได้ของมามากพอสมควร มีของชิ้นเล็กๆ จำนวนมากที่มีราคาอยู่ไม่น้อย แต่มีสามสิ่งที่ดูสะดุดตายิ่งกว่าชิ้นอื่นๆ ชิ้นแรกคือหม้อหลอมโอสถขนาดเขื่อง ชิ้นที่สองคือกล่องหยก ส่วนชิ้นที่สามคือรูปปั้นค้างคาวหินนั่นเอง!
ถ้ำที่พักนั้นถูกเปิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ทุกๆ สิ่งจึงอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ทั้งสองยังพบโอสถเม็ดหนึ่งอยู่ภายในหม้อหลอมโอสถอีกด้วย
แต่พวกเขาไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นโอสถชนิดใดจึงไม่กล้าเปิดหม้อหลอมออกดู หวังเป่าเล่อนั้นแม้จะไม่ชำนาญด้านการหลอมโอสถแต่ก็ยังมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง ชายหนุ่มรู้ขั้นตอนสุดท้ายในการหลอมโอสถและความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นหากหม้อหลอมถูกเปิดด้วยวิธีที่แตกต่างกัน หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ทั้งสองก็ตัดสินใจว่าให้กงเต๋าเป็นคนรับหม้อหลอมโอสถไป เพื่อจะได้ไปหาใครสักคนที่รู้วิธีเปิดหม้อหลอมนี้อย่างถูกต้อง
จากนั้นก็เป็นกล่องหยก กล่องนั้นถูกผนึกเอาไว้แต่ไม่แน่นหนาเท่าใดนัก จุดประสงค์สำคัญของผนึกดูเหมือนจะใช้กักเก็บพลังวิญญาณเอาไว้ภายใน หวังเป่าเล่อและกงเต๋าเปิดกล่องได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ภายในนั้นคือ…ผลไม้แห้งเหี่ยวลูกหนึ่ง!
ผิวนอกของมันเหี่ยวย่นและมีขนาดเท่าไข่ไก่ ดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าทันทีที่เปิดกล่องหยก คลื่นของกลิ่นประหลาดก็แผ่ออกมาเป็นระลอก เป็นกลิ่นที่รุนแรงไม่น้อย หวังเป่าเล่อเพียงสูดดมไปนิดเดียวก็มีสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะรู้สึกมีกำลังวังชา แถมจิตสัมผัสวิญญาณของเขายังชัดเจนขึ้นมาในบัดดล
ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้คือการเพิ่มความเฉียบคมให้จิตสัมผัสวิญญาณของตน และดูเหมือนว่าผลไม้ลูกนี้จะมีคุณสมบัติที่ว่า หวังเป่าเล่อรีบพูดขึ้นมา “กงเต๋า ข้าว่าผลไม้นี้มีประโยชน์กับข้าแน่นอน!”
กงเต๋ารู้ดีว่าผลไม้นี้เลอค่าเพียงใด ทันทีที่ได้ยินหวังเป่าเล่อพูดดังนั้น ชายหนุ่มก็รีบผลักกล่องไปให้อย่างไม่รีรอ ก่อนจะเลิกสนใจทั้งกล่องและรูปปั้นค้างคาวหินไปเสียเฉยๆ พลางพูดว่า “เจ้าช่วยรับรูปปั้นค้างคาวไปด้วยเถอะ ถ้ามันกลับมามีชีวิตอีกครั้งข้าคงรับมือด้วยไม่ไหว”
หวังเป่าเล่อไม่ได้พยายามจะปฏิเสธ ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะให้สิ่งของอื่นๆ ที่เหลืออยู่ราวร้อยละเจ็ดสิบกับกงเต๋า กงเต๋ายิ้มให้กับความใจดีนี้ก่อนจะรับของไปด้วยใจเบิกบาน ทั้งคู่ต่างก็สุขสมหวังกับสมบัติที่หามาได้รวมทั้งพลังปราณที่เพิ่มพูนขึ้น กงเต๋าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว ขณะที่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้น หลังจากเสร็จธุระเรื่องแบ่งของ ทั้งคู่จึงพูดคุยเรื่องผู้ฝึกตนชั่วช้าจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ได้พบเจอมาอย่างออกรส
“ข้ากำลังจะบรรลุขั้นอยู่แล้ว แต่สัมผัสได้ถึงอันตรายจึงแอบลืมตามองแล้วก็เห็นหลี่ปิน…” กงเต๋ามีสีหน้าเคร่งเครียดขณะพูดด้วยเสียงต่ำ
“เป่าเล่อ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก เจ้าหลี่ปินคนนี้…จากที่ข้าเคยได้ยินเรื่องของเขามา เป็นบุคคลที่ร้ายกาจยิ่ง เขามีบารมีอยู่พอสมควรในหมู่ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล แถมยังไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายเขาอีกด้วย ข้าเคยได้ยินกระทั่งเรื่องฉาวโฉ่ว่ามีศิษย์ด้วยกันที่ตายเพราะน้ำมือเขา…แต่อาจารย์ของเขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ แถมตัวเขาเองก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายจึงแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถทำตามอำเภอใจและทำตนอยู่เหนือกฎหมายได้”
“หลังจากเหตุการณ์นี้ เขาคงจะเพ่งเล็งพวกเราเป็นแน่ ตามนิสัยของเขาที่เป็นคนขี้อิจฉาและเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาต้องหาโอกาสมาทำให้ชีวิตของเราลำบากขึ้นแน่นอน!” ขณะที่พูด ประกายเย็นเยียบก็สะท้อนอยู่ในแววตาของกงเต๋า แม้ว่าชายหนุ่มจะเพิ่งบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในมาหมาดๆ แต่ความหลงใหลในความรุนแรงของเขาก็เข้มข้นอยู่เสมอ ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนจะพูดต่อไป!
“ข้าขอเสนอว่าเราควรรวบรวมพรรคพวกไปกำจัดเจ้าหลี่ปิ่นเสียให้พ้นทาง!”
หวังเป่าเล่อยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของกงเต๋า เขาเองก็ตั้งใจเช่นนั้นไม่ต่างกัน แต่พวกเขาก็ยังต้องการเวลาในการวางแผนให้รัดกุม การสังหารใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือการเก็บกวาดในภายหลังต่างหาก
“เป็นไปได้สูงว่าจะมีคนมารู้เข้าหากเราเลือกลงมือบริเวณด้ามจับ เรื่องนี้ควรเก็บไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย จับตาดูเขาไว้ก็แล้วกัน ดูว่าหลี่ปินจะไปที่ตัวกระบี่อีกครั้งเมื่อใด เมื่อเขาไปแล้ว เราก็จะไม่ให้เขาได้กลับออกมาอีก!” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็พรั่งพรูความคิดในใจให้กงเต๋าฟัง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองขณะที่กงเต๋าเดินจากไป ก่อนจะกลับไปยังถ้ำที่พักของตน หยิบกล่องหยกขึ้นเปิดอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบผลไม้แห้งเหี่ยวด้านในออกมาและสูดดมมัน ความรู้สึกที่ว่าจิตสัมผัสวิญญาณของเขาเฉียมคมขึ้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องมองผลไม้อย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะลงความเห็นว่าหากเขาดูดซับพลังวิญญาณของผลไม้นี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จิตสัมผัสวิญญาณของเขาย่อมแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน
ผลไม้สวรรค์ที่ช่วยยกระดับจิตสัมผัสวิญญาณ…หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก ใจหนึ่งก็อยากจะกลืนกินผลไม้นี้ลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ชายหนุ่มก็เกิดไม่แน่ใจเมื่อได้เห็นร่องรอยเหี่ยวย่นบนผิวของมัน
ข้าจะกินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ถ้าท้องเสียขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจะไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้งเพื่อค้นคว้าเรื่องผลไม้นี้เพิ่มเติม ชายหนุ่มยังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับมันอีกมาก หวังเป่าเล่อลองเรียกแม่นางน้อยดูด้วย แต่นางก็ยังคงไม่ตอบเขา เขารู้จักนิสัยของนางดี นางจะแสร้งทำเป็นหลับเมื่อเขาต้องการถามสิ่งที่นางไม่มีความรู้!
หวังเป่าเล่อได้แต่ทอดถอนใจให้กับความคิดนั้น ก่อนจะนั่งลงทำสมาธิเพื่อจัดระเบียบพัฒนาการของปราณในร่างหลังจากที่ได้รับปราณวิญญาณจำนวนมากมาก่อนหน้านี้ เช้าวันถัดมา ชายหนุ่มเดินออกมาจากถ้ำที่พักและมุ่งหน้าตรงไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อค้นคว้าเรื่องผลไม้
หนึ่งเดือนผ่านไป บรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐได้ใช้เวลาที่สำนักวังเต๋าไพศาลมาครบหนึ่งปีเต็ม
ตามข้อตกลงระหว่างพันธุ์กล้าสหพันธรัฐและเฟิ่งชิวหรัน พันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองน่าจะมาถึงในเร็ววัน แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็สังเกตว่าสำนักวังเต๋าไพศาลดูเหมือนไม่มีการเตรียมการใดๆ เพื่อต้อนรับการมาถึงของรุ่นที่สองแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มสงสัย
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาใช้แต้มการรบจำนวนหนึ่งเพื่ออ่านบันทึกมากมาย เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้ลูกนั้น หวังเป่าเล่อพบผลไม้หกชนิดที่เข้าข่ายว่าจะเป็นผลไม้ของเขา แต่ละชนิดต่างก็มีสรรพคุณวิเศษมากมาย แถมยังมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง เป็นการยากต่อหวังเป่าเล่อที่จะแจกแจงว่าชนิดใดเป็นชนิดใดแน่
แต่ปัญหาเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มหยุดฝึกปราณกับผลไม้แห้งเหี่ยว ในช่วงการฝึกตนแต่ละครั้ง หวังเป่าเล่อจะวางผลไม้ไว้ตรงหน้า พลันจิตสัมผัสวิญญาณของเขาก็จะลุกโชติช่วงขึ้นมา มันพัฒนาขึ้นมากในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
ผลลัพธ์นั้นเห็นได้ชัดเจนจากความสำเร็จในการหลอมอาวุธเวท แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดจริงๆ ไม่สำเร็จ แต่แปดจากสิบครั้ง เขาก็ยังสามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่สามารถใช้ได้ถึงสองครั้งก่อนจะพังออกมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าเขากำลังก้าวหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง ตราบใดที่จิตสัมผัสวิญญาณของเขายังรุดหน้าต่อไป อาจจะมีสักวันที่เขาสามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดจริงๆ ได้สำเร็จก็เป็นได้!
เมื่อใดก็ตามที่ข้าหลอมอาวุธเวทระดับแปดได้ ถ้าคิดจากความชำนาญของข้าในการหลอมอาวุธเวทบวกกับแต้มการรบที่ข้าสามารถแลกได้ ข้าต้องเสริมพลังฝักกระบี่ให้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้แน่นอน!
หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้น ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความตื่นเต้น การเสริมพลังฝักกระบี่เป็นความท้าทายสำหรับเขามาโดยตลอด ไหนจะเรื่องการหาวัตถุดิบ ไหนจะเรื่องขั้นตอนการเสริมพลังฝักกระบี่ที่แตกต่างจากวัตถุเวททั่วๆ ไป หวังเป่าเล่อมีความรู้สึกว่าหากเขาล้มเหลวในขั้นตอนการเสริมพลัง จะต้องเป็นความเสียหายอย่างหนักแน่นอน
เขายังพอรับมือได้เมื่อครั้งที่ฝักกระบี่ยังเป็นสมบัติเวทระดับหกอยู่ แต่การจะเสริมพลังสมบัติเวทระดับหกให้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดนั้นท้าทางอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ยังมีหอกอยู่อีก เมื่อใดที่ข้าหลอมอาวุธเวทระดับแปดขึ้นมาได้จริงๆ ข้าก็จะซ่อมแซมมันได้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับคืนสภาพเดิมเต็มร้อย แต่พลังของหอกก็น่าจะแข็งแกร่งใช่น้อย นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชน นอกจากนั้นแล้วชายหนุ่มยังฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิอยู่ไม่ขาด ความรุดหน้าในการฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด ร่างอวตารที่เรียกออกมาได้นั้นก็มีรูปร่างชัดเจนขึ้น
แต่วิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิยังน่าเป็นห่วง หวังเป่าเล่อเริ่มสงสัยว่าเขาอาจขาดตัวเร่งปฏิกิริยาบางประการไป ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขายังขาดบางสิ่งที่สำคัญมากๆ อยู่
บางที สิ่งที่ข้าไม่มีก็คือความรู้แจ้ง…ไม่ใช่สิ ข้าขาดสิ่งใดอยู่กันแน่นะ…หรือว่าจะเป็นต้นแบบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น