ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 541-542

ตอนที่ 541 เจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็จะจับเจ...

 

ซ่งชิงอีก็ไม่คิดจะอดกลั้นเช่นนี้ต่อไป จึงระเบิดอารมณ์ออกไปแล้ว


 


 


นางได้รับความชื่นชมและเคารพนบนอบจากผู้คนในดินแดนจิ่วโจวมาโดยตลอด แต่อยู่ๆก็มีคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำโผล่ขึ้นมาดูถูกนางเช่นนี้ ซ่งชิงอีย่อมอยากจะสับคนผู้นั้นเป็นพันดาบ


 


 


“ที่เบื้องหน้าของเจ้านี้ คือสำนักเซียนอันดับหนึ่งในดินแดนจิ่วโจว ชาติหน้าหากยังอยากทำกำแหงอวดดี ก็จำไว้ว่าต้องไปหาลูกพลับนิ่ม!”


 


 


ซ่งชิงอีพูดพลาง ยกมุมปากโค้งขึ้น เผยสีหน้าตื่นเต้นแปลกใจออกมา “อ๋อ ข้าเกือบจะลืมไปแล้ว เดรัจฉานอย่างเจ้าย่อมไม่มีชาติหน้าอยู่แล้ว เพราะคืนนี้…..เจ้าจะต้องถูกเชือนเนื้อเลาะกระดูก วิญญาณแตกสลายอยู่ที่นี่!”


 


 


ใช่แล้ว แค่สังหารร่างเนื้อของเจ้าเดรัจฉานนั่นมันจะไปเพียงพอได้อย่างไร จะต้องทำลายแม้กระทั่งดวงวิญญาณของมันให้จบสิ้นไปด้วย ให้มันตายอย่างไม่เหลืออะไรอีก!


 


 


ซ่งชิงอีพูดพล่ามอยู่ครึ่งวัน ตู๋กูซิงหลันกลับส่งเสียงตอบเพียงสองคำ “หนวกหู”


 


 


ตะโกนโหวกเหวกอยู่ตั้งนาน กลับไม่มีสาระสักอย่าง ทั้งยังรบกวนช่วงเวลาสำคัญของนาง


 


 


ทันทีที่นางพูดจบ ยันต์โลหิตสิบกว่าใบในมือก็ถูกเขวี้ยงออกไป


 


 


ยันต์โลหิตพุ่งออกมาแปลงเป็นร่างแบ่งภาคทั้งสิบของนาง ในอากาศพลันปรากฏตัวนางเพิ่มขึ้นอีกสิบคน


 


 


‘หนุ่มน้อย’ในชุดดำแต่ละคนหล่อเหลาสะโอดสะอง จากนั้นก็หายแวบไปปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน


 


 


 


 


“คาถาแบ่งภาคหรือ? เฮอะ….ก็แค่เงาจอมปลอมเท่านั้นแหละ” ศิษย์ของวังตันติ่งกงแทบจะไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตา


 


 


เพราะในดินแดนจิ่วโจว คาถาแบ่งภาคเช่นนี้ถือเป็นเพียงวิชาพื้นฐานเท่านั้น ทุกคนต่างเคยเห็นกันมาจนชินแล้ว


 


 


หากพูดให้ชัดเจนก็เป็นเพียงภาพมายา ที่ใช้หลอกตาผู้คนเท่านั้น ขอเพียงรวมสมาธิในใจขึ้นมา ก็จะไม่ถูกภาพมายาเหล่านี้หลอกลวงได้


 


 


ร่างแบ่งเหล่านั้นก็จะไม่สามารถทำร้ายตนเองได้เลย


 


 


ซ่งชิงอีหัวเราะเสียงเย็นชา เดิมทีนางยังคิดไปว่า เจ้าเดรัจฉานที่สามารถบุกรุกเข้ามาในวังตันติ่งกงอย่างไร้ซุ่มเสียง   ทั้งยังเหาะไปเหาะมาอยู่ตรงหน้านางอย่างลำพองจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง…..


 


 


มันโอ้อวดอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน แต่แล้วกลับทำได้แค่แบ่งร่างมายาออกมา?


 


 


ซ่งชิงอีรู้สึกว่าตนเองจะประเมินอีกฝ่ายสูงส่งเกินไปแล้ว


 


 


นางคือปรมาจารย์หลอมยาตันที่เก่งกาจที่สุดในจิ่วโจว แต่ว่าพลังจากการฝึกฝนของนางมิได้สูงส่งมากนัก


 


 


ก็เหมือนกับปลาและอุ้งตีนหมีที่ไม่อาจครอบครองได้ทั้งสองอย่าง…..วันที่สำเร็จเป็นปรมาจารย์ปรุงยา ก็เท่ากับได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าหนทางบำเพ็ญเพียรของนางไม่อาจก้าวหน้าได้ไกลสักเท่าไร….


 


 


ดังนั้นในด้านการใช้พลังด้วยอาคม นางจึงไม่สันทัดมากนัก


 


 


แต่ว่าเพียงแค่ฝืมือในการหลอมยาตันของนาง ก็เพียงพอที่จะทำให้นางมีที่ยืนหยัดอยู่ในดินแดนจิ่วโจวแล้ว


 


 


ฝูลั่วยืนอยู่ข้างๆอย่างกังวลใจ พอนางคิดถึงภาพเมื่อครู่ที่คนผู้นั้นทำลายลูกศรของท่านเจ้าจนกลายเป็นผุยผง ทั้งยังใช้เพียงกำลังข้อมือเขวี้ยงลูกศรกลับมา ก็รู้สึกได้เลยว่าคนผู้นี้…..จะต้องมิใช่ธรรมดา


 


 


“ท่านเจ้า…..พวกเราสมควรระมัดระวังให้มากจะดีกว่า” ฝูลั่วพยายามจะตักเตือนนาง


 


 


“ผู้อื่นมารังแกพวกเราถึงหน้าบ้านแล้ว ข้ายังจะต้องมานั่งหวาดกลัวอีกหรือ?” ซ่งชิงอีย่อมมิได้เห็นคำพูดของนางอยู่ในสายตา นางเคยชินกับการเป็นผู้สูงส่งมาโดยตลอด แต่ช่วงนี้กลับถูกเหยียดหยามอยู่เสมอไหนเลยจะกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปได้อีก?


 


 


นางแทบจะอยากจับตู๋กูซิงหลันมาถลกหนัง เลาะกระดูก เพื่อระบายความแค้นในหัวใจด้วยซ้ำ


 


 


แต่ทันทีที่นางพูดจบ ก็เห็นว่าศิษย์ที่โผเข้าไปกลุ่มแรก กลับลอยกระเด็นออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆมาก่อน


 


 


แน่นอน…….ร่างแบ่งภาคของตู๋กูซิงหลัน……ไม่ได้พกพาอาวุธใดๆทั้งสิ้น


 


 


มีเพียงแค่หมัดเปล่าๆเท่านั้น….มองไม่เห็นว่านางลงมืออย่างไร   แต่ศิษย์ของวังตันติ่งกงกลับถูกกวาดออกมาราวใบไม้ร่วงในฤดูสารท


 


 


แต่ละคนร่วงหล่นลงมา กระแทกพื้นหนักๆ


 


 


พื้นผิวของวังตันติ่งกง ปูด้วยหินอ่อนสีขาว ยามนี้หินเหล่านั้นถูกกระแทกจนแตกร้าว ดอกไม้และต้นไม้ในสวนถูกศิษย์ที่ลอยคว้างออกมากระแทกใส่จนหักโค่นไม่เหลือดี


 


 


           นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!


 


 


ทุกคนต่างพากันตกตะลึงไปหมด!


 


 


พวกเขาต่างก็ตั้งสมาธิสงบจิตใจกันเอาไว้แล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนประสานเป็นหนึ่งด้วยความเชื่อมั่นว่าร่างแบ่งภาคเหล่านั้นเป็นแค่เพียงภาพมายา แต่ก็ยังถูกต่อยจนกระเด็นออกมา?


 


 


           ยามที่ร่างแบ่งภาคเหล่านั้นต่อยตีผู้คน ทุกหมัดล้วนเข้าเป้า แม้แต่อาวุธวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถสกัดกั้นหมัดของร่างแบ่งภาคเหล่านั้นได้!


 


 


           เมื่อโดนหมันลุ่นๆเข้าไป ทั้งเนื้อและกระดูกก็แหลกเละ!


 


 


 


 


 


           นี่มันตัวประหลาดจากที่ใดกันแน่?


 


 


           หรือจะเป็น…..เหมือนกับเจ้าสำนักหยินหยาง ที่อยู่ดีๆก็มียอดฝีมือโผล่ออกมา?


 


 


ช่วงนี้ดินแดนจิ่วโจวกลายเป็นอะไรไปแล้ว….ผู้แข็งแกร่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาแต่ละคนถึงกับล้ำหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ?


 


 


           ฝูงชนทั้งหมดพากันตกตะลึงจนโง่งมไปแล้ว


 


 


           แถมร่างหลักของตู๋กูซิงหลันยังคงยืนอยู่ข้างกายคนผู้นั้นดังเดิม มือที่กุมชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้ก็มิได้คลายออก


 


 


“เห็นไหม ข้าบอกแล้ว….ว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้วนะ” นางทำปากยื่น ราวกับเด็กหญิงตัวน้อย “เจ้าก็ยอมรับมาเถอะได้ไหม?”


 


 


ยิ่งได้เข้าใกล้ตัวเขา ก็ยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นอายจากร่างกายของเขา….เหมือนกับท่านอาจารย์และก็คล้ายกับจีเฉวียน


 


 


           ไม่ว่าจะเป็นใคร กลับมาได้คนหนึ่งก็นับว่าดีแล้ว!


 


 


           อีกฝ่ายไม่พูดไม่จา ตู๋กูซิงหลันจึงเอาแต่ดึงแขนเสื้อของเขาไปมา “ข้าสามารถปกป้องพวกเจ้าได้แล้วจริงๆนะ!”


 


 


           ว่าตามจริง ท่าทางเช่นนั้นไม่ว่าใครได้เห็นก็ล้วนอยากจะต่อยนางด้วยกันทั้งนั้น


 


 


           นี่มันชัดเจนเลยว่านางกำลังดูถูกซ่งชิงอีอย่างที่สุดมิใช่หรือ?


 


 


           ที่นี่คือที่ใด?


 


 


           สำนักเซียนอันดับหนึ่งของแดนจิ่วโจว!


 


 


           ที่ที่ทุกขุมอำนาจต่างก็ต้องให้ความเคารพนบนอบ!


 


 


           แต่ว่านางกำลังทำอะไร? ร่างแบ่งภาคของตนเองวิ่งออกไปต่อยตี ส่วยนางก็มาอี๋อ๋อกับบุรุษ!


 


 


ซ่งชิงอีเห็นแล้วก็อยากจะฆ่าคนนัก!


 


 


แต่ว่าบุรุษผู้นั้นก็เหมือนกับสีหน้าของเขา ใจแข็งเป็นหินผา สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีทีท่าจะตอบรับใดๆทั้งสิ้น


 


 


เขาคล้ายว่ากำลังมองดูนาง แต่ก็เหมือนมองดูเหล่าคนที่ถูกกระแทกจนลอยออกไป


 


 


เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเขา ตู๋กูซิงหลันก็กระตุกแขนเสื้อของเขาอีก “เสี่ยวเฉวียนเฉวียน?”


 


 


อีกฝ่าย เงียบงัน …..


 


 


           ตู๋กูซิงหลันก็หน้ามึนต่อไป “อาจารย์”


 


 


อีกฝ่ายก็ยัง เงียบงัน เงียบอยู่อย่างนั้น…..


 


 


ตู๋กูซิงหลันชักจะร้อนใจขึ้นมาแล้ว นางไม่ได้สนอกสนใจร่างแบ่งภาคของตนเองเลยด้วยซ้ำ นางยื่นมือไปที่เสื้อของเขา กระชากเสื้อของเขาออกมาท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหลาย


 


 


ฝูงชนทั้งหมด “…..”


 


 


ในใจของพวกเต็มไปด้วยตัวอักษร ‘ชชชช’!  มันจะต้องดูถูกพวกเขาอะไรถึงขั้นนี้เชียว?


 


 


ในที่สุด บุรุษที่เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งผู้นั้นก็มีปฏิกริยาขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


เขาคว้าข้อมือของนางเอาไว้ เอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันเก็บกริยาแง่งอนของสาวน้อยกลับไป “เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ? ถอดเสื้อผ้าไง…”


 


 


การกระทำของนางยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ? เขาถึงได้ยังต้องมาถามอีกรอบ


 


 


เขาแม้ตายก็ไม่ยอมรับ ทั้งยังไม่ยอมให้นางถอดหน้ากาก เช่นนั้นนางก็ได้แต่จับเขาถอดเสื้อผ้าแล้ว ดูสิว่าตรงบั้นเอวของเขาจะมีสัญลักษณ์ดอกบัวดำลายทองดอกนั้นอยู่หรือไม่


 


 


ขอเพียงเจอสัญลักษณ์ดอกบัวนั่น เขาก็หนีนางไม่พ้นแล้ว


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั้นเป็นคนที่ฉกฉวยทุกโอกาสโดยไม่สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว อืม นางก็เป็นคนแบบนี้!


 


 


อีกฝ่าย “…….”


 


 


เขาเอาแต่เงียบงันอยู่อย่างนั้น มือที่คว้าข้อมือของนางเอาไว้ก็จับแน่นขึ้นอีกหลายส่วน


 


 


แต่ปลายนิ้วที่เรียวยาวดุจต้นหอมและขาวผ่องราวหิมะของนางก็ยังล้วงลงไปในคอเสื้อของเขา ปลายนิ้วที่อบอุ่นนั้นลูบคลำไปตามไหปลาร้าของเขาไม่ยอมหยุด


 


 


ดวงตาดอกท้อเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง


 


 


ท่ามกลางสายตาอันตกตะลึงของทุกคน นางทำเหมือนกำลังลวนลามสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังสร้างคลื่นความชิงชังได้เป็นผลสำเร็จ


 


 


เจ้าเดรัจฉานนั่น มันช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 542 กุ่ยหลัวซา

 

ที่ดูถูกพวกเขานั้นก็ถือว่าแล้วไปเถอะ แต่ว่านี้ถึงขนาดลวนลามโจรอีกผู้หนึ่งต่อหน้าพวกเขา!


 


 


แถมพวกเขายังได้แต่ต้องทนลืมตาดูมันกระทำเช่นนี้!


 


 


ไม่รู้ว่าวิชาแยกร่างของเจ้าโจรผู้นี้ไปร่ำเรียนมาจากที่ใด ถึงได้แตกต่างกับที่พวกเขาฝึกฝนกันมาอย่างสิ้นเชิง ร่างแบ่งภาคของมันแต่ละคนล้วนเป็นร่างจริง ขนาดไม่ได้ใช้อาวุธ อาศัยเพียงกำปั้นก็แทบจะต่อยพวกเขาถึงตายกันหมดแล้ว!


 


 


พละกำลังของร่างแบ่งภาคยังแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ คิดไม่ออกเลยว่าร่างหลักนั้นที่จริงแล้วจะแข็งแกร่งถึงขั้นใด


 


 


ในดินแดนจิ่วโจวนั้น ถึงตอนนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ คนที่สามมารถอาศัยเพียงพลังฝีมือก็บุกเข้ามาในวังตันติ่งกงได้ ทั้งยังใช้แค่หมัดเปล่าก็สร้างความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้….


 


 


นอกจากเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นั้นแล้ว…..พวกเขาก็ยังมองไม่เห็นว่าจะมีใครอื่นที่ทำได้อีก


 


 


แต่ว่ารูปร่างของหนุ่มน้อยผู้นั้น….ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายคลึงกับเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยาง


 


 


ดังนั้น ตอนนี้ในใจของทุกคนต่างก็มีข้อสงสัยแบบเดียวกัน ไอ้เด็กเวรที่หาญกล้าบ้าบิ่นผู้นี่มันเป็นใครกันแน่?


 


 


           แม้แต่ซ่งชิงอีก็กำลังขบคิดปัญหานี้อยู่เช่นกัน


 


 


           จะเป็นคนของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนหรือไม่?


 


 


           ไม่….ไม่น่าเป็นไปได้


 


 


           ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังต้องอาศัยยาตันจากวังตันติ่งกงของนาง เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนแม้ว่าจะลึกลับซับซ้อนยากที่จะคบค้า แต่ว่าตลอดหลายปีมานี้วังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เป็นเสมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่ทั้งสองฝ่ายยังพอจะมีการติดต่อกันอยู่บ้าง ดังนั้นตำหนักซิวหลัวเตี้ยนย่อมไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อย่างแน่นอน


 


 


           นางโคลงศีรษะเบาๆ เลือดจากบาดแผลบนใบหน้าหยุดไหลไปแล้ว นางกำธนูด้ามหยกเอาไว้แน่น


 


 


           เมื่อต้องทนมองดูพวกศิษย์แต่ละกลุ่มถูกต่อยจนร่วงลงมาจากท้องฟ้า ซ่งชิงอีก็นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว


 


 


           นางล้วงเอาขลุ่ยสั้นเลาหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ


 


 


ฝูลั่วที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที


 


 


           “ท่านเจ้า นี่ท่าน….”


 


 


           “ฝูลั่ว ข้าไม่เคยถูกผู้ใดรังแกจนย่างกรายมาถึงบนศีรษะเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้าเองก็รู้ดี”


 


 


           ซ่งชิงอีชิงพูดออกมาก่อน สกัดคำพูดที่เหลือของฝูลั่วเอาไว้


 


 


           สีหน้าของฝูลั่วยังไม่น่าดู ….นางมองดูซ่งชิงอีวางขลุ่ยสั้นเล่านั้นบนริมฝีปาก ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เป่าออกมา หัวใจของฝูลั่วก็ร่วงลงไปก่อนแล้ว


 


 


……………………


 


 


           อีกด้านหนึ่ง ครึ่งมือของตู๋กูซิงหลันกำลังล้วงลงไปในตัวเสื้อของคนผู้นั้นแล้ว


 


 


           มือของนางอยู่ตรงทรวงอกของเขา ลูบคลำตามอำเภอใจจากไหปลาร้าลงไปเรื่อยๆ


 


 


           กล้ามเนื้อของเขาแข็งมากๆ ท่ามกลางอากาศเช่นนี้ เขาเองก็สวมใส่เสื้อผ้าเอาไว้ไม่น้อย แต่ว่าผิวทั่วร่างก็เป็นเหมือนกับมือของเขา เย็นเฉียบราวกับหยก


 


 


           มือข้างหนึ่งของตู๋กูซิงหลันล้วงลงไป มืออีกข้างก็พยายามดิ้นให้หลุดจากการหนีบของเขา ทั้งยังดึงทึ้งเสื้อผ้าของเขาลงมาอีกด้วย เรียกว่าปอกหัวไหล่ของเขาจนโผล่ออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว


 


 


           เรี่ยวแรงของนางมีไม่น้อย การเคลื่อนไหวก็รวดเร็วคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียวก็ถกออกมาจนเห็นท่อนแขนเกือบจะทั้งหมดแล้ว


 


 


           อีกก้าวเดียว ขาดอีกก้าวเดียวเท่านั้น ก็จะดึงเสื้อตัวนี้ลงจนถึงบั้นเอวของเขาได้แล้ว


 


 


นางจะได้มองดูว่าตรงบั้นเอวของเขามีสัญลักษณ์ดอกบัวดำลายทองนั้นหรือไม่….


 


 


           ในใจของนางวาดหวัง ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวไปด้วย กลัวว่าจะเป็นเพียงความยินดีที่ว่างเปล่า


 


 


           ขณะที่มัวแต่เกิดความลังเลไปชั่วครู่ จึงไม่ทันได้ลงมือต่อ ข้อมือก็ถูกเข้าคว้าเอาไว้แน่น


 


 


           ครั้งนี้ เขาถึงกันดึงนางเข้าไปในอ้อมกอดทั้งตัว ปลายคางเลื่อนต่ำลงมา ริมฝีปากกลีบบัวที่แดงราวผุดจากขุมนรกคู่นั้นพลันขยับ น้ำเสียงต่ำพร่ากระซิบที่ริมหูของนาง


 


 


           “เมื่อกระทำเรื่องที่ไม่สมควรกระทำกับข้า ย่อมต้องรับผิดชอบ เจ้าอย่าได้เสียใจในภายหลัง”


 


 


           ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปชั่วครู่ รับผิดชอบหรือ?


 


 


           หากว่าเป็นเสี่ยวเฉวียนเฉวียนละก็ นางย่อมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว


 


 


           แต่ถ้าหากเป็นอาจารย์….ความรับผิดชอบของนางคงต้องเปลี่ยนไปเป็นอีกรสชาติหนึ่ง


 


 


           นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะตอบเขาไป ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยที่แสบแก้วหูดังขึ้นมา


 


 


           แม้แต่เหล่าศิษย์ที่เหาะอยู่ในอากาศต่างก็พากันอุดหูเอาไว้ แต่ละคนรีบเหาะลงมาและล่าถอยออกไป


 


 


           เพียงแค่ครู่เดียวทั่วทั้งท้องฟ้าก็เหลือแต่เพียงตู๋กูซิงหลันและคนผู้นั้น อ้อยังมีร่างแบ่งภาคของนางด้วย


 


 


           เสียงขลุ่ยนั้นยังคงไม่ยอมหยุด เสียงของมันเหมือนกับใช้ปลายเล็บขูดลงไปบนกระจกอย่างไรอย่างนั้น เป็นเสียงที่ทรมานผู้ฟังอย่างมาก


 


 


           ตู๋กูซิงหลันมองตามเสียงนั้นไปที่บนตึกสูง


 


 


           ก็เห็นซ่งชิงอีจับจ้องมาที่นางอย่างเย็นชา บนริมฝีปากของนางมีขลุ่ยสีขาวที่ทำจากกระดูกเลาหนึ่ง เสียงนั้นดังมาจากขลุ่ยกระดูกเลานั้นนั่นเอง


 


 


           พอเป่าออกมา ท้องฟ้ายามค่ำก็เหมือนเกิดลมหนาวพัดโหมขึ้นมา


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งๆดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


 


 


ในอากาศพลันมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น…..


 


 


หมอกสีแดงเลือดกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางสายลม จากนั้นหมอกสีแดงเลือดก็เปลี่ยนเป็นเงาร่างของผู้คน


 


 


เงาร่างสีแดงเลือด ใบหน้าที่ซีดขาว บนใบหน้าของพวกเขายังมีลวดลายอักขระอยู่เต็มไปหมด ทั้งมือและเท้าถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กหนาขนาดเท่าข้อมือ ดูแล้วทั้งลึกลับและน่าหวาดกลัว


 


 


บนตึกสูง ซ่งชิงอีที่เห็นว่าตนเองสามารถเรียก ‘ผีกุ่ยหลัวซา[1]’ออกมาได้ทีละตัวๆ จนสำเร็จ แววตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความพอใจ


 


 


วังตันติ่งกงมีฝีมือด้านการหลอมยาตันอย่างชำนิชำนาญก็จริง แต่ว่าในด้านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรนั้นยังถือว่าอ่อนด้อยไปมากอยู่เหมือนกัน


 


 


เพื่อวังตันติ่งกง และเพื่อตนเองแล้ว นางย่อมต้องมีไม้ตายอยู่บ้าง


 


 


 ‘ผีกุ่ยหลัวซา’เหล่านี้ก็คือไม้ตายอย่างหนึ่งของนาง


 


 


ใช้วิญญาณแค้นที่มีไอแค้นรุนแรงที่สุดสร้างขึ้นมา ‘ผีกุ่ยหลัวซา’แต่ละตัวมีพลังรุนแรงกว่าวิญญาณแค้นทั่วไปนับพันเท่า


 


 


‘ผีกุ่ยหลัวซา’แต่ละตัวสามารถต่อสู้กับเหล่ายอดนักพรตได้นับสิบคน


 


 


และครั้งนี้ นางถึงกับเรียก ‘ผีกุ่ยหลัวซา’ออกมาถึงร้อยตัวในคราวเดียว


 


 


นางไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นจะมีหนทางรับมือ‘ผีกุ่ยหลัวซา’ที่นางสร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจได้


 


 


‘ผีกุ่ยหลัวซา’เหล่านี้ นางใช้เวลาสร้างขึ้นมานานถึงหลายร้อยปีแล้ว


 


 


เหล่าคนหนุ่มสาวที่ถูกจับมาปรุงเป็นยาบุปผาสะคราญในช่วงนี้ หลังจากที่ตายแล้ว วิญญาณของพวกเขาถูกนางกักขังเอาไว้ ตระเตรียมจะสร้างเป็น ‘ผีกุ่ยหลัวซา’ชุดต่อไป


 


 


ใช้ทุกสิ่งให้เป็นประโยชน์จนถึงหยดสุดท้าย เป็นอุปนิสัยประจำตัวของซ่งชิงอีอยู่แล้ว


 


 


นางเป่าขลุ่ยกระดูกในมือบงการผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้น


 


 


คอยดูเถอะ อีกไม่ถึงครู่เดียว เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นจะต้องถูกผีกุ่ยหลัวซาของนางฉีกเป็นชิ้นๆ


 


 


แม้มองดูจากไกลๆ ก็รู้ว่าเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นมีรูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย นางจะต้องสับเขาจนกลายเป็นเนื้อบดนำไปปรุงและหลอมเป็นยาบุปผาสะคราญให้จงได้!


 


 


ซ่งชิงอียกปลายคางเชิดขึ้นจนสูง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเอง


 


 


ส่วนฝูลั่วก็พอจะถอนหายใจออกมาได้เปาะหนึ่ง


 


 


ในดินแดนจิ่วโจวนี้ นอกจากนางแล้ว ก็ไม่มีบุคคลที่สองที่รู้ว่าท่านเจ้าวังสร้าง‘ผีกุ่ยหลัวซา’ขึ้นมา


 


 


ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่านเจ้าก็ไม่เคยเรียกผีกุ่ยหลัวซาพวกนี้ออกมาก่อนเลย วันนี้เป็นเพราะว่ามีคนบุกมาจนถึงประตู นางจึงจำต้องเรียกพวกมันออกมา


 


 


ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้ล้วนถูกท่านเจ้าควบคุมเอาไว้ได้หมดแล้ว เช่นนี้ก็ดี


 


 


เพราะการปรากฏตัวของผีกุ่ยหลัวซา อุณหภูมิที่อบอุ่นรอบด้านจึงลดลงไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ทั้งๆที่ตอนนี้ยังไม่ทันจะเข้าสู่ฤดูหนาว แต่เมื่อผีกุ่ยหลัวซาเหล่านี้ปรากฏตัวออกมา ก็ทำให้บรรยากาศเหมือนตกอยู่กลางฤดูเหมันต์ที่รุนแรงที่สุด


 


 


ในอากาศมีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มีไอแค้น ไอหยินที่หนาวเย็น และกลิ่นเน่าของศพที่ผุดออกมาจากในสุสาน


 


 


บรรยากาศเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกไม่สบายจนย่ำแย่


 


 


บางคนถึงกับอาเจียนออกมาแล้ว


 


 


เหล่าศิษย์ของวังตันติ่งกงถึงกับตะลึงไปแล้ว แต่ละคนแยกย้ายกันถอยออกไป


 


 


พวกเขาพากันอุดจมูกเอาไว้ พลางจับลำคอของตนเองเอาไว้ เพื่อที่จะได้ผลักไสความหนาวเย็นเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย


 


 


ศิษย์เหล่านี้ มาที่วังตันติ่งกงก็เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนการปรุงยา การบำเพ็ญจึงมิได้สูงส่งเท่าใด


 


 


เมื่ออยู่ๆต้องมาเจอกับภูติผีเหล่านี้ก็ต้องย่ำแย่แล้ว


 


 


……………………


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] 鬼罗刹(Gui Luo Sha): Raksasi,รากษส ยักษ์หรืออสูรชั้นต่ำประเภทหนึ่ง ดุร้าย กินเนื้อมนุษย์ เป็นบริวารของพยายม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)