ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 54-61

 ตอนที่ 54 วิชาสื่อสารจิตวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ แคว้นต้าเสวียนของเราคงไม่สงบสุขแล้วล่ะ ด้วยพลังของมังกรระดับผลึกจิตวิญญาณตัวนี้ อาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราคงไม่โชคดีที่จะมีโอกาสรอด” สีหน้านักพรตจงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“ศิษย์น้องวางใจเถอะ ถึงแม้ศิษย์พี่เองจะได้ยินมาไม่ผิด แต่ก็อย่าลืมยังมีผู้อาวุโสระดับผลึกจิตวิญญาณของนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตทั้งสองคน ถึงแม้มังกรแดงตัวนั้นจะสามารถหลบหนีการสังหารจากอาจารย์อากับผู้อาวุโสหลิงอวี้ได้ แต่พอมันกระตุ้นให้ผู้อาวุโสนิกายจันทราสวรรค์และหอสายสารโลหิตทั้งสองต้องลงมือ ต่อให้มันจะมีพลังมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลบหนีความตายไปได้ โดยเฉพาะวิชากระบี่บินของนิกายจันทราสวรรค์ ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ที่เจ้ามังกรแดงตัวนี้ไม่มีกระบี่สยบมังกร ถึงแม้จะโหดร้ายแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานได้” จูชื่อกลับกล่าวแย้งไม่เห็นด้วย


“วิชากระบี่บินของนิกายจันทราสวรรค์พอฝึกสำเร็จจริงๆ แน่นอนว่าย่อมเป็นเครื่องมือสังหารที่ร้ายกาจมาก แต่ว่าวิชาดาบโลหิตของหอสายธารโลหิตก็โหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน พอมันถูกดาบที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบต่อให้แค่สร้างรอยขีดข่วนบนผิวหนังแค่เล็กน้อยมันก็จะต้องตายสถานเดียว แต่พูดไปพูดไปมามิใช่จะมีแค่สองนิกายนี้ นิกายแต่ละนิกายมีนิกายไหนบ้างที่ไม่มีของล้ำค่าที่ไม่ค่อยได้นำมาไช้ แม้แต่นิกายปีศาจของเราเองถ้าหากสามารถเรียกจอมราชาปีศาจที่สมัยก่อนปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเคยเรียกออกมาจนสั่นสะเทือนสยบไปหลายแคว้น มันก็มีพลังเพียงพอที่จะกวาดล้างนิกายทั้งหลายได้ แต่ตอนนี้พูดเรื่องนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ตั้งแต่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายล่วงลับไปมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีใครสามารถเรียกออกมาได้อีก” นักพรตจงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมา


กุยหรูฉวนมองหน้ากันกับจูชื่ออยู่ครู่หนึ่งก็ฝืนยิ้มขมขื่นออกมาอย่างห้ามไม่ได้


สมัยนั้นนิกายปีศาจก็เคยได้ชื่อว่าเป็นนิกายแกนนำของนิกายทั้งหลาย แต่ภายหลังกลับค่อยๆ เสื่อมถอยไปทีละรุ่น ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ยังมีอาจารย์อาที่เป็นบรรลุระดับผลึกจิตวิญญาณคอยประคับประคองไว้ เกรงว่าตำแหน่งนิกายอันดับห้าในแคว้นก็คงไม่มั่นคงแล้ว


สิ่งนี้ทำให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเขารู้สึกละอายไม่น้อย


“เอาล่ะ เจ้ามังกรร้ายนั่นถึงแม้จะสร้างความยุ่งยากเป็นอย่างมาก แต่ยังมีอาจารย์อาและคนอื่นๆ อยู่ ก็คงไม่สามารถสร้างหายนะได้มากนัก ตอนนี้พวกเรามาถกปัญหาในสาขาเราเถอะ” กุยหรูฉวนกระแอมไอเบาๆ กล่าวออกมา


จูชื่อและนักพรตจงได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่คัดค้าน รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที


สิบวันต่อมา หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่ในห้อง เขากำลังดูขวดหยกสีขาวอย่างไม่มีตำหนิในมือของเขา


และขวดแบบเดียวกันอีกสองขวด วางอยู่ข้างกาย


นี่คือน้ำจิตวิญญาณล้างไขกระดูกสามขวดที่วันนี้เขาเพิ่งไปรับมาจากกุยหรูฉวน


ตามที่กุยหรูฉวนบอก ตอนที่ใช้น้ำจิตวิญญาณเหล่านี้ทางที่ดีควรจะออกกำลังกระตุ้นร่างกายซะก่อน จากนั้นใช้ให้มันให้หมดภายในสองสามวันนี้มันถึงจะให้ผลลัพธ์การชำระล้างไขกระดูกได้ดีที่สุด


แน่นอนว่าในระหว่างขั้นตอนการใช้ผู้ย่อมไม่สามารถใช้ได้อย่างสบาย


หลิ่วหมิงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็วางขวดบนมือลงพื้นแล้วก้าวยาวๆ ออกไปยังลานเล็กๆ หน้าที่พัก


เสียงดัง “ฟรึ่บ!”


เขาถอดเสื้อส่วนบนออกเผยให้เห็นร่างกายที่นับว่าแข็งแรงมาก และสูดลมหายใจเบาๆ เริ่มปล่อยพลังหมัดที่ดูแปลกประหลาดออกมา


ครั้งแล้วครั้งเล่า!


เสียงหมัดดังขึ้นติดต่อกัน มันคือวิชาหมัดฝึกร่างที่เขาเรียนตอนที่ไปทำนาจิตวิญญาณในครั้งนั้น


เวลาค่อยๆ ผ่านไป กล้ามเนื้อและผิวหนังของหลิ่วหมิงค่อยๆ แดงขึ้นมา หลังจากที่เม็ดเหงื่อใสๆ โผล่ขึ้นตรงแผ่นหลัง ก็เริ่มมีไอร้อนระอุแผ่ออกมา ทั้งยังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนหมัดพายุดุเดือด ไม่สามารถขับกระจายให้ออกไปได้หมด


หลิ่วหมิงหยุดการกระทำแล้วก้าวยาวๆ ไปยังห้องพัก ด้วยลมหายใจที่หอบเล็กน้อย


เขาถอดกางเกงออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบขวดจากพื้นขึ้นมาหนึ่งขวด เปิดฝามันแล้วเทน้ำจิตวิญญาณสีขาวออกมาจากในนั้นแล้วเริ่มถูมันไปทั่วร่าง


พอน้ำจิตวิญญาณหยดลงมือก็มีความรู้สึกเย็นไปถึงกระดูก พอถูไปยังบนผิวหนังกลับกลายเป็นความเจ็บปวดราวกับโดนมีดเฉือน


หลิ่วหมิงแสยะปาก แต่มือก็ถูไปยังทุกส่วนของร่างกายไม่หยุด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไปด้วยร่างที่เปลือยเปล่าโล่งโจ้ง และเริ่มโคจรพลังอย่างเงียบๆ


เขาโคจรพลังเวทย์แต่ละครั้งความเย็นเฉียบบนผิวหนังก็เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม หลังจากโคจรไปหนึ่งรอบก็รู้สึกราวกับโลหิตเกาะตัวจนเป็นน้ำแข็ง


แต่จากคำแนะนำของนักปราชญ์กุยก่อนหน้านี้ หลิ่วหมิงจึงรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันโคจรพลังภายในอยู่ไม่หยุด และเมื่อเขาหลับตาทั้งสองลงท่ามกลางร่างที่ด้านชา เขาจึงค่อยๆ ลืมเวลาและทุกสิ่งอย่าง


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดความเย็นยะเยือกบนผิวหนังของเขาก็จางหายไป ในขณะเดียวกันรูขุมขนก็เริ่มขับสิ่งของสีดำที่ดูคล้ายกับไขมันออกมา และส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาด้วย


แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามในตอนนี้คือ ใบหน้าของหลิ่วหมิงแดงเปล่งปลั่งกว่าปกติทั้งยังเปล่งประกายแพรวพราวอยู่ตลอด


หลังจากมีเสียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ในที่สุดเขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้น แต่หลังจากมองลงบนร่างของตัวเองแล้วคิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที เขาร่ายคาถาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอามือแตะลงไปบนศีรษะ


เสียงดัง “ซ่า!” “ซ่า!” น้ำใสสะอาดปรากฏขึ้นกลางอากาศ และร่วงลงไปชำระคราบสกปรกสีดำบนร่างเขาจนสะอาดหมดจด


หลิ่วหมิงรวบเส้นผมไปยังด้านหลัง ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลงส่งพลังจิตเข้าไปในร่างอีกครั้ง และตรวจสอบดูอย่างรวดเร็ว


โครงกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นชีพจร ทะเลจิตวิญญาณต่างๆ ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่บอกไม่ถูก พลังเวทย์ก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็พอๆ กับผลการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาครึ่งเดือน


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเข้าหากัน ยกแขนขึ้น ใช้แรงเล็กน้อยในการกุมนิ้วทั้งห้า ดูเหมือนว่าพลังจะมีมากกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เมื่อก้มหน้าสำรวจดูทั่วทั้งร่างอีกครั้ง รูปร่างก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นมาหน่อยหนึ่ง


แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขาฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ ถึงแม้ไม่ได้ใช้พลังเวทย์เข้าช่วยพลังก็ยังดูเหมือนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แม้ในแต่ละครั้งจะเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่สะสมแบบนี้มาได้หนึ่งปีมันก็ไม่ใช่เรื่องน้อยๆ มันมากกว่าก่อนที่เขาเข้านิกายปีศาจสองเท่า


ตอนแรกหลิ่วหมิงคิดว่ามันเป็นผลจากการฝึกฝนวิชาหมัดฝึกร่างบ่อยๆ แต่ต่อมาได้แอบสอบถามบรรดาศิษย์หลายคนที่เข้านิกายมาก่อน ถึงทราบว่าวิชาหมัดฝึกร่างนั้นถึงแม้จะมีผลในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกายแต่ก็ไม่ได้มากถึงเพียงนี้


ด้วยเหตุนี้พลังที่เพิ่มขึ้นอย่างแปลกประหลาดมาโดยตลอด แปดถึงเก้าส่วนเป็นไปได้ว่ามาจากเคล็ดวิชากระดูกดำ


พูดตามจริง เคล็ดวิชากระดูกดำนี้ถึงแม้จะดูคล้ายวิชาจิตวิญญาณปีศาจของนิกายปีศาจ แต่พูดถึงผลการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรมนั้นมีน้อยมาก แม้กระทั่งเดิมทีควรมีเคล็ดวิชาพิเศษเสริมตรงท้ายแต่ในนี้กลับไม่มี อย่างน้อยมันไม่ได้แปลและเขียนไว้ในคัมภีร์ที่ผู้อาวุโสร่างท้วมผู้นั้นให้


นี่ก็กล่าวได้ว่า นอกจากเขาจะหาเคล็ดวิชาที่มีลักษณะเหมือนกันที่สามารถฝึกฝนได้แล้ว ก็อย่าคิดฝันที่จะสามารถใช้วิธีการพิเศษใดๆ ในการต่อสู้จริงจากเคล็ดวิชากระดูกดำเลย


ตอนที่หลิ่วหมิงค้นพบเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกกลัดกลุ้มเป็นยิ่งนัก


ด้วยเหตุนี้ ถ้าเขาไม่ฝึกฝนวิชาหลายๆ วิชาให้สำเร็จ นับวันเขายิ่งจะดูเหมือนเป็นแค่ร่างฝึกคนหนึ่งเท่านั้น


หลิ่วหมิงคิดแบบนี้แล้วก็ส่ายศีรษะ นั่งขัดสมาธิลงไป เริ่มหยิบขวดใบเล็กขึ้นมาเพื่อใช้ถูบนร่างอีกครั้ง


ความเย็นยะเยือก ความเจ็บปวด ยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิมจนทำให้เด็กหนุ่มแบะปากออกมา


สามวันต่อมา ตอนที่หลิ่วหมิงเดินออกมาจากห้องพัก เห็นได้ชัดว่าช่วงไหล่หนาแน่นกว่าสามวันก่อนเล็กน้อย รูปร่างก็สูงกว่าเดิมครึ่งศีรษะกว่าๆ


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ใบหน้าเขายังคงมีลักษณะอ่อนวัยอยู่ เกรงว่าใครๆ ต่างก็คงคิดว่าเขาเป็นหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้ว


และหลายวันนี้ แม้การถูน้ำจิตวิญญาณละครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมาก แต่ผลหลังจากการถูเสร็จทั้งหมดกลับน่าตกตะลึงเป็นยิ่งนัก


หลิ่วหมิงยืดเส้นยืดสาย และรำหมัดฝึกร่างไปหนึ่งรอบ


ผลจากพายุหมัดที่พุ่งไปรอบด้าน ทำให้หน้าดินบนพื้นดินแข็งๆ หลุดออกมา


ผลลัพธ์อันน่าตกใจนี้ ถ้าเป็นสามวันก่อนเขาไม่มีทางทำได้


หลิ่วหมิงเองก็รู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ของน้ำล้างไขกระดูกทั้งสามขวดมาก


เขาหยุดการกระทำ กลับเข้าไปเก็บกวาดยังห้องฝึกฝนครู่หนึ่ง และสงบจิตเริ่มทำความเข้าใจกับวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ


เคล็ดวิชานี้นับวาเป็นวิชาที่ฝึกกันมากในบรรดาศิษย์นิกายปีศาจ ถ้ามันสามารถใช้ควบคุมปีศาจได้สักตนล่ะก็ เท่ากับว่ามีผู้ช่วยข้างกายเพิ่มขึ้นมาอีกคน และเมื่อผจญกับภยันตรายยังสามารถช่วยสืบเสาะหาอันตรายที่ตนเองไม่ทราบล่วงหน้าได้


ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ศิษย์บางส่วนที่ฝึกวิชาไม่เหมาะกับวิชาสื่อสารจิตวิญญาณแต่ก็ยังคงสามารถฝืนฝึกได้เล็กน้อย สำหรับพวกเขาแล้วต่อให้สามารถเรียกใช้ได้แค่ปีศาจระดับต่ำสุดก็ยังดีกว่าไม่มีเลย


และในก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงทำความเข้าใจมาได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน


ตามที่เขียนไว้บนคัมภีร์วิชาสื่อสารจิตวิญญาณ ศิษย์ที่คิดจะใช้วิชานี้ควบคุมปีศาจที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากนั้น โดยทั่วไปจะมีอยู่สองวิธี


วิธีแรกก็เหมือนกับศิษย์พี่ผู้ที่ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณในการประลองเล็กผู้นั้น โดยใช้เคล็ดวิชาอื่นในการสร้างหุ่นปีศาจที่คล้ายกับปีศาจกระดูกขาว จากนั้นก็ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณในการควบคุมวิญญาณปีศาจเร่ร่อน ฝึกมันจนกลายเป็นวิญญาณนักรบที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้ และหลอมรวมมันเข้ากับหุ่นปีศาจ


วิธีการนี้สร้างวิญญาณนักรบระดับต่ำได้ง่ายมาก ด้วยเหตุนี้แค่สร้างหุ่นปีศาจได้ปีศาจก็มีพลังอย่างรวดเร็ว


แต่พลังของปีศาจในรูปแบบนี้จะเพิ่มขึ้นช้ามาก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกวิญญาณนักรบหรือฝึกฝนหุ่นปีศาจล้วนแต่เป็นเรื่องที่เสียแรงเสียเวลาเป็นอย่างมาก


ไม่รู้ว่าศิษย์นิกายปีศาจสักกี่คนที่เลือกวิธีการนี้จนต้องเสียเวลาในการฝึกฝนตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงได้ไม่คุ้มกับที่เสียไป


วิธีการที่สองนี้ง่ายยิ่งกว่า นั่นก็คืออาศัยค่ายกลเทพลี้ลับที่นักพรตลิ่วยินสร้างขึ้นมาในสมัยก่อน เพื่อเข้าไปยังแดนว่างเปล่าลึกลับที่เรียกว่า “แดนปีศาจปรโลก” แล้วหาวิญญาณจอมปีศาจที่ดุร้ายและทำให้มันศิโรราบ


ปีศาจที่ถูกทำให้ศิโรราบโดยวิธีการนี้ โดยทั่วไปจะมีสติปัญญาดีเป็นอย่างมาก แค่นำพวกมันไปวางไว้สถานที่ที่มีปราณหยินเต็มที่ มันก็สามารถฝึกฝนจนค่อยๆ เพิ่มพลังได้เอง


แต่แดนปีศาจปรโลกนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปและศิษย์อื่นๆ ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปในสถานที่ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ปีศาจที่จับได้ล้วนเป็นปีศาจระดับต่ำสุดอย่างปีศาจระดับพลทหาร ถ้าคิดที่จะฝึกให้มันค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นในบั้นปลาย ล้วนเป็นเรื่องที่เสียเวลาเป็นอย่างมาก


……………………………………….


ตอนที่ 55 หน้าไม้อาญาสิทธิ์กับลูกดอกยิงสุริยัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทั้งสองวิธีการนี้ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ส่วนจะเลือกใช้วิธีการใดนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องเลือกด้วยตนเอง


แต่โดยทั่วไปแล้ว วิชาสื่อสารจิตวิญญาณไม่สามารถฝึกได้ถึงระดับที่สูงได้ ศิษย์ในนิกายที่ไม่ขาดแคลนหินจิตวิญญาณต่างก็ย่อมเลือกวิธีแรก


นอกจากต้องจ่ายราคาจำนวนมากเพื่อสร้างหุ่นปีศาจแล้ว การฝึกควบคุมวิญญาณนักรบระดับต่ำตนหนึ่งสำหรับพวกเขาแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก


และศิษย์ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาสื่อสารจิตวิญญาณทั้งหลาย แต่มีหินจิตวิญญาณไม่มากก็จะเลือกวิธีการที่สองในการหาปีศาจ


วิธีการนี้นอกจากจะต้องจ่ายแต้มคุณูปการเพื่อเข้าไปในแดนปีศาจปรโลกแล้วก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นใดอีก และถ้าหากว่าบังเอิญหาปีศาจที่มีพลังสูงเล็กน้อยได้ตนหนึ่ง ไม่แน่อาจจะพัฒนาเป็นปีศาจระดับขุนพลหรือแม่ทัพได้


ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ พลังของศิษย์เหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งในนิกายก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ


ตัวอย่างแบบนี้มีให้เห็นในนิกายอยู่ไม่น้อย


ดังนั้นตอนนี้ผู้ที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในวิชาสื่อสารจิตวิญญาณของตนเอง เจ็ดถึงแปดในสิบคนต่างก็เลือกเข้าสู่แดนปรโลกเพื่อหาปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณที่เหมาะสม


เวลาก่อนหน้านี้ หลิ่วหมิงนอกจากทำภารกิจของนิกายจนได้รับหินจิตวิญญาณตอบแทนหลายร้อยก้อนแล้ว สิ่งที่มีอยู่ในมือก็นับว่ายังมีไม่มากพอ แน่นอนว่าย่อมตัดสินใจเลือกวิธีการที่สอง


แต่พอเขาคิดถึงจุดที่ว่าการจะใช้ค่ายกลเพื่อเข้าไปแดนปีศาจปรโลกหนึ่งครั้งนั้น จะต้องใช้แต้มคุณูปการหนึ่งร้อยแต้ม ในใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา


แต้มคุณูปการหนึ่งร้อยแต้มนี้ โดยทั่วไปต้องทำภารกิจแต้มคุณูปการสามสิบกว่าครั้ง และต้องสำเร็จทุกครั้งถึงจะสะสมมาได้ มันดูเหมือนกับมากกว่าแต้มคุณูปการที่เขามีอยู่ในมือกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว


หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ได้แต่ตำหนิเรื่องนี้อยู่ในใจสองสามประโยค แล้วถึงจะเรียกสติกลับมายังเคล็ดวิชาสื่อสารจิตวิญญาณที่กำลังทำความเข้าใจอยู่ได้


การฝึกฝนวิชาสื่อสารจิตวิญญาณทั้งหมดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีการแบ่งเป็นขั้นๆ ก็เหมือนกับฝึกฝนวิชาอื่นๆ แค่เพิ่มการฝึกฝนให้มากขึ้นแล้ว ก็สามารถยกระดับความสามารถในการควบคุมและการสื่อสารระหว่างเขากับปีศาจได้


หลังเจ็ดแปดวันผ่านไป เขาทำความเข้าใจในเคล็ดวิชาได้ทั้งหมด และท่องจำเคล็ดวิชาในนั้นได้หมดทุกตัว


เวลาที่เหลือในอีกหลายเดือน หลิ่วหมิงฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอย่างหนัก และฝึกฝนวิชาสื่อสารจิตวิญญาณไปด้วย


พอเขารู้ตัวว่าสามารถยึดกุมวิชานี้ในขั้นเบื้องต้นได้แล้ว ในที่สุดก็ขี่เมฆเหาะไปจากที่พัก มุ่งตรงไปยังยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ


ก่อนที่เขาจะเลือกเข้าไปยังแดนปีศาจปรโลก จะต้องไปทดสอบวิชาสื่อสารจิตวิญญาณเสียก่อนว่าได้ผลอย่างไรบ้าง มิเช่นนั้นถ้าหากว่าทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ผิดแล้วมันใช้ไม่ได้ผลล่ะก็ เท่ากับว่าต้องเสียแต้มคุณูปการไปเปล่าๆ หนึ่งร้อยแต้ม


และในนิกายปีศาจก็มีสถานที่แบบนี้อยู่ที่หนึ่งที่คุมขังวิญญาณชั้นต่ำและอสูรที่จับมา ซึ่งนิกายอนุญาตให้ศิษย์มาทดสอบวิชาและฝึกต่อสู้ได้


ครึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงเหาะออกมาจากหอใหญ่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพอใจ


เขาใช้แต้มคุณูปการไปสามแต้มทดสอบปีศาจที่แตกต่างกันสามชนิด ทั้งหมดนี้เขาต่างก็สามารถสยบมันและควบคุมมันได้อย่างราบรื่น เห็นชัดว่าวิชาสื่อสารจิตวิญญาณที่เขาฝึกนั้นไม่มีปัญหาใดๆ


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่คิดที่จะตรงเข้าไปยังแดนปีศาจปรโลกเลยทีเดียว


สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ดีงามแต่อย่างใด ถึงแม้จะมีศิษย์มากมายเข้าไปยังค่ายกลนี้ ทั้งยังไม่กล้าเข้าไปลึกมากนัก แต่ก็มักจะพบเจอปีศาจที่ดุร้าย และถูกปีศาจกลืนกินอยู่บ่อยๆ


แน่นอนว่าหลิ่วหมิวย่อมไม่อยากจะตกเป็นขนมหวานในท้องของปีศาจ


ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเหาะไปยังหุบเขาเล็กๆ ของสาขากลลับสวรรค์


เวลาผ่านไปชั่วครู่ เขาก็มาปรากฏตัวขึ้นกลางหุบเขาที่อยู่ตรงด้านล่างของหน้าผาที่เรียบเกลี้ยงเกลา และด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปเป็นบานประตูใหญ่สีแดงที่มีห่วงทองเหลืองขนาดใหญ่ติดอยู่ ราวกับว่าเป็นมันเลี่ยมฝังอยู่บนผนังหิน


ถึงแม้ประตูบานใหญ่จะปิดสนิท แต่กลับมีเสียงเคาะตีดังออกมาจากข้างในอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย ก้าวยาวๆ เดินเข้าไป


ยกมือจับห่วงวงหนึ่งเคาะลงไปบนประตูสองครั้ง


หลังจากเสียง “เต๊ง!” “เต๊ง!” ดังขึ้น เสียงเคาะตีที่ดังจากข้างในก็หยุดลงทันที


“มีธุระอันใด?”


ผ่านไปสักครู่ ประตูใหญ่ก็เปิดออก ชายร่างยักษ์รูปร่างสูงผิดปกติเดินออกมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


ชายร่างยักษ์ผู้นี้มีผมสั้นสีน้ำตาลแข็งกระด้าง ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกกดดันราวกับเผชิญหน้ากับอสูรร้าย และระเบียงทางเดินด้านหลังของเขาเต็มไปด้วยไอร้อนผะผ่าว เห็นห้องโถงใหญ่ที่มีอาวุธหลายชนิดแขวนอยู่เต็มผนังอยู่รำไร ในนั้นมีแสงสีแดงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


“ข้าเป็นคนที่ศิษย์พี่หลี่จงแนะนำให้มา ข้าอยากได้หน้าไม้อาญาสิทธิ์ยอดเยี่ยมขนาดเล็กคันหนึ่ง นอกจากนี้ยังอยากได้ลูกดอกอาญาสิทธิ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมปีศาจโดยเฉพาะจำนวนหนึ่ง” หลิ่วหมิงละสายตากลับมากล่าวแบบไม่รีบร้อน


“หน้าไม้อาญาสิทธิ์ขนาดเล็ก ลูกดอกยิงสุริยันสิบสามดอก ทั้งหมดใช้หินจิตวิญญาณหนึ่งร้อยแปดสิบก้อน!” ชายร่างยักษ์ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็คลายลง เขาพินิจดูหลิ่วหมิวครู่หนึ่งแล้วค่อยกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงพอจะคาดเดาราคานี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาดึงกระเป๋าหนังตุงๆ ที่เอวแล้วโยนไปให้ชายร่างยักษ์โดยไม่กล่าวอะไร


ชายร่างยักษ์รับถุงหนังมาเปิดออก กวาดสายตาดูในนั้นครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าหมุนตัวกลับไปพร้อมกับปิดประตูลง


หลิ่วหมิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เขารออยู่หน้าประตูอย่างสงบ


หลังจากรออยู่ชั่วครู่ ประตูใหญ่เปิดออกอีกครั้ง ชายร่างยักษ์ถือห่อที่ทำจากหนังสัตว์ออกมา


“สิ่งของทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว เจ้าตรวจดูก่อน!” ชายร่างยักษ์วางห่อของลงบนมือของหลิ่วหมิง เสร็จแล้วก็กอดอกรอดูอยู่ที่เดิม


หลิ่วหมิงเปิดห่อหนังสัตว์ออก ในนั้นมีหน้าไม้อาญาสิทธิ์สีเขียวขนาดยาวครึ่งฉื่อหนึ่งคัน และลูกดอกสีแดงขนาดยาวสั้นแตกต่างกันสิบกว่าดอกวางอยู่ข้างๆ


“ตอนที่สร้างหน้าไม้อาญาสิทธิ์นี้ ได้ผสมทองแดงวายุเข้าไปด้วย ถ้าเจ้าสามารถฝังผลึกหินวายุไว้ด้านบนสักก้อนล่ะก็ จะทำให้ยิงได้รวดเร็วและไกลยิ่งขึ้น ส่วนลูกดอกยิงสุริยันทั้งสิบสามดอกนี้ข้าก็รับรองได้แค่ว่าครึ่งหนึ่งในนี้ล้วนใช้ได้ผลอย่างเต็มที่ สิ่งของเหล่านี้สร้างมาจากความสนใจล้วนๆ ข้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการหลอมอาวุธโดยเฉพาะ มิเช่นนั้นคงไม่ขายให้คนในนิกายด้วยราคาที่ถูกขนาดนี้” ชายร่างยักษ์เอานิ้วชี้แตะลงยังร่องเว้าที่ดูไม่เข้าตาบนหน้าไม้ และกล่าวอย่างราบเรียบ


“ครึ่งหนึ่งในนี้ใช้ได้ผลก็เพียงพอแล้ว แต่ว่าผลึกหินธาตุวายุนี้หายากนัก ศิษย์พี่พอจะมีเหลือบ้างไหมข้าอยากได้สักก้อน และยินดีจ่ายให้อย่างงาม” หลิ่วหมิงหยิบหน้าไม้มาลองดูครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ากล่าวกับชายร่างยักษ์


“ผลึกหินวายุนี้ ที่ข้าก็มีเหลือแค่ก้อนเดียว ทั้งยังใช้พลังจากมันไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถ้าหากศิษย์น้องอยากได้จริงๆ ล่ะก็ จ่ายหินจิตวิญญาณมาสามก้อนเถอะ” ชายร่างยักษ์ลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา


หินจิตวิญญาณที่ผู้ฝึกฝนอย่างหลิ่วหมิงทั้งหลายใช้ในการแลกเปลี่ยนนี้ โดยทั่วไปต่างก็ไม่ได้เกาะผลึกมาจากพลังบริสุทธิ์บนโลกที่สังกัดธาตุใดๆ แต่ก็มีหินจิตวิญญาณบางอย่างที่ผ่านขั้นตอนการเกาะผลึก และบังเอิญซึมซับเอาพลังธาตุบางอย่างเข้าไป ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นผลึกหินธาตุที่ไม่เหมือนกับหินจิตวิญญาณทั่วไป


และผลึกหินธาตุเหล่านี้สามารถใช้ในสถานที่พิเศษ เทียบกับหินจิตวิญญาณโดยทั่วไปแล้วมีน้อยกว่ามาก โดยเฉพาะผลึกหินที่ไม่อยู่ในธาตุทั้งห้า[1] ราคาสูงกว่ากันหลายเท่านัก


และผลึกหินธาตุเหล่านี้กับหินจิตวิญญาณต่างก็มีการแบ่งแยกระดับเหมือนกัน


แต่สำหรับศิษย์จิตวิญญาณอย่างหลิ่วหมิงและชายร่างยักษ์แล้ว ผลึกหินที่พวกเขากล่าวถึงย่อมเป็นผลึกหินระดับต่ำสุด


หลิ่วหมิงย่อมเข้าใจทั้งหมดนี้ดี หลังจากได้ยินแล้วก็ควักถุงหนังอีกใบออกจากตัวโดยไม่ลังเล และหยิบหินจิตวิญญาณจากในนั้นส่งให้ฝ่ายยตรงข้ามสามก้อน


ชายร่างยักษ์ก็หยิบถุงสกปรกเล็กๆ จากแขนเสื้อโยนไปให้


หลิ่วหมิงหยิบผลึกหินเปล่งแสงสีเขียวขนาดเท่าหัวนิ้วมือออกมาจากในนั้น เขาแสดงสีหน้าพอใจออกมา เขากล่าวลากับชายร่างยักษ์และจากไป


เวลาต่อมา เขาไปตลาดสีเทาอีกครั้งเพื่อรวบรวมยันต์เก่าๆ จากศิษย์ที่กำลังเรียนวิชาประดิษฐ์ยันต์อยู่ ว่ากันว่ามันสามารถควบคุมปีศาจได้


ถึงแม้ศิษย์ผู้นี้จะยกอกยืนกรานว่ายันต์นี้ใช้ได้ผลอย่างแน่นอน แต่ดูจากราคาที่ขายถูกๆ แล้วเขาก็ไม่คาดหวังอะไรกับมันมากนัก ได้แต่คิดที่จะลองซื้อไปใช้ก่อน


นอกจากนี้แล้ว หลิ่วหมิงยังซื้อผงหมาดำ โลหิตทานตะวัน และสิ่งของอื่นๆ ที่ใช้หลบหลีกปีศาจได้จากศิษย์ผู้หนึ่ง และซื้อโอสถทิพย์สิบกว่าขวด แล้วจึงกลับไปยังที่พักเริ่มทำการบำรุงร่างกายและสะสมพลัง


เช้าวันที่สาม หลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นในหอใหญ่ที่อยู่อย่างลึกลับแห่งหนึ่งของนิกาย และยืนเก็บมืออย่างสงบอยู่กลางโถงใหญ่โล่งๆ เหมือนจะกำลังรอใครบางคนอยู่


รอไปได้ชั่วครู่ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกประตูหอ ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามา


หลิ่วหมิงเงยหน้ามองออกไปแล้วก็ตกตะลึงเล็กน้อย


ชายหญิงทั้งสองมีอายุพอๆ กับหลิ่วหมิง แต่เด็กหนุ่มใบหน้าสง่าผู้นั้นก็คือ ‘เหลยเจิ้น’ ผู้ที่เข้านิกายพร้อมกับเขาและมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธานั่นเอง


ส่วนดรุณีน้อยนางนั้นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดูแล้วค่อนข้างคุ้นตา ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ที่เข้ามอบตัวเป็นศิษย์กับสาขากลลับสวรรค์พร้อมกันกับเหลยเจิ้นในตอนนั้น


พอเหลยเจิ้นเห็นว่าในหอมีคนอยู่ก่อนแล้วก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน แต่เมื่อกวาดสายตามองดูหน้าหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วก็แสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ เหมือนกับว่าจำหลิ่วหมิงไม่ได้


มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา


ครั้งก่อนที่หลิ่วหมิงกับเขาเจอกันนั้นก็ผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้ว กอปรกับช่วงนี้ที่เขาใช้น้ำยาล้างไขกระดูกทำให้รูปร่างของเขาสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ฝ่ายตรงข้ามจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา


เหลยเจิ้นมีสีหน้าหยิ่งยโสไม่คิดที่จะทักทายหลิ่วหมิงเลย เขากระซิบคุยเบาๆ กับดรุณีน้อยด้านข้างสองประโยคแล้วก็ยืนรออยู่แถวนั้นเช่นกัน


เวลาค่อยๆ ผ่านไป เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกของประตู มีคนสองคนเดินเข้ามาเช่นกัน


ด้านหน้าคือหญิงงามใบหน้าดุ ถึงแม้จะมีผมขาวเต็มหัวแต่ใบหน้างดงามราวกับดรุณีน้อย


ด้านหลังของหญิงงาม มีดรุณีน้อยเสื้อเขียวที่ดูสงบเป็นอย่างมากเดินตามเข้ามา


……………………………………….


[1] ธาตุทั้งห้า คือ ธาตุโลหะ ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และ ธาตุดิน


ตอนที่ 56 เฒ่าปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจียหลาน”


พอเหลยเจิ้นเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนก็แสดงสีหน้าดีใจจนหลุดปากพูดออกมา


“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องเหลย?” พอดรุณีน้อยเสื้อเขียวเห็นเหลยเจิ้นกลับกล่าวออกมาแค่ประโยคเดียวอย่างราบเรียบ แต่ตอนที่สายตาตกอยู่บนตัวหลิ่วหมิงกลับฉายแววประหลาดใจออกมา


“ศิษย์น้องเหลย? เจ้าคือหลานของศิษย์พี่เหลยผู้นั้น?” หญิงงามด้านหน้าได้ยินประโยคนี้ สายตาราวกับคมมีดกวาดมองไปยังเด็กหนุ่ม แล้วถามขึ้นอย่างเยือกเย็น


“ศิษย์คารวะอาจารย์อาปิง” พอเหลยเจิ้นได้ยินคำพูดนี้ ก็มองดรุณีน้อยเสื้อเขียวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบทำความเคารพอย่างรีบร้อนทันที


ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรด้านข้างก็โค้งตัวคารวะเช่นกัน


“ยืนขึ้นมา ข้ากับศิษย์พี่เหลยนับว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน พวกเจ้าก็ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หญิงงามค่อยๆ คลายสีหน้าลง ยกมือบอกให้ทั้งสองยืนขึ้นมา และส่งสายตามองไปยังหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง


“ศิษย์ไป๋ชงเทียนจากเขาเก้าทารก คารวะอาจารย์อาปิง!” ถึงแม้หลิ่วหมิงไม่ชัดเจนว่าหญิงงามผู้นี้คือใคร แต่ก็รวบรวมความกล้าโค้งตัวคารวะออกไป


“เขาเก้าทารก!” หญิงงามพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็พาเจียหลานเดินไปยังมุมหนึ่งของหอ และยืนรออย่างสงบเช่นกัน


เพราะว่ามีหญิงงามอยู่ในที่นั้นด้วย เหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรผู้นั้นย่อมไม่กล้าพูดคุยอะไรกันอีก


เวลานั้นบรรยากาศในโถงใหญ่เงียบกริบเป็นอย่างมาก


เวลาผ่านไปสักครู่ บานประตูด้านข้างบานหนึ่งก็เปิดออก ชายชุดดำอายุสี่สิบกว่าปีผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น เขามีจมูกที่ค่อนข้างใหญ่ราวกับจงอยปากนกอินทรีย์ สีหน้าดูเคร่งขรึม


“ศิษย์น้องปิง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” พอชายเสื้อดำเห็นหน้าหญิงงามก็รู้สึกตกตะลึงในทันที


“ศิษย์พี่หลี่ ทำไมน้องจะไม่ได้ ครั้งนี้ข้าจะพาเจียหลานไปแดนปีศาจปรโลก มีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ” หญิงงามกล่าวอย่างราบเรียบ ดูเหมือนจะค่อนข้างสนิทกับชายชุดดำ


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ว่าศิษย์น้องคงจะทราบว่าการส่งศิษย์จิตวิญญาณกับอาจารย์จิตวิญญาณไปยังแดนปีศาจปรโลกนั้นใช้พลังต่างกันโดยสิ้นเชิง แต้มคุณูปการที่ใช้ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน” ชายชุดดำได้ยินดังนี้ก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา


“ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี ดีที่ก่อนหน้านี้ข้าเองก็สะสมแต้มคุณูปการได้มากพอ คงพอที่จะให้ข้าเข้าไปหนึ่งครั้ง” หญิงงามตอบกลับอย่างไม่สนใจ


“ศิษย์น้องยอมสนับสนุนแต้มคุณูปการมากเช่นนี้ย่อมไม่มีปัญหา” ชายชุดดำได้ยินแล้วสีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้นมา


หญิงงามยิ้มจางๆ แล้วก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก


ตอนนี้ สายตาของชายชุดดำกวาดมองไปยังหลิ่วหมิงทั้งสามแล้วกล่าวออกมา


“ในเมื่อทางนี้ยังมีอีกสามคน พอดีกับการส่งไปในครั้งนี้ พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามาเถอะ”


เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด เขาก็ไม่สนใจศิษย์จิตวิญญาณทั้งสามอีก สะบัดแขนเสื้อหยิบป้ายเหล็กหัวปีศาจสีดำออกมาถือไว้ แล้วเดินไปยังด้านหน้าผนังใหญ่ในห้องโถง


หญิงงามพาเจียหลานเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน


เหลยเจิ้น หลิ่วหมิงและดรุณีน้อยเห็นเช่นนั้น ก็เดินตามไป


ชายเสื้อดำขยับแขน ส่ายป้ายเหล็กไปยังผนังด้านหน้าสองสามครั้ง แสงสีดำพุ่งออกมาทันที และจมหายเข้าไปผนัง


ครู่ต่อมา หลังจากที่ผนังดูลางเลือนแล้ว ก็ปรากฏประตูแสงสีขาวสลัวบานหนึ่งออกมา


ชายชุดดำก้าวเท้าเข้าไปอย่างไม่ลังเล


คนอื่นๆ ก็เดินตามเข้าไปในประตูแสงนั้น


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีแสงสีขาวอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเขาก็เข้าไปอยู่ในห้องลับขนาดไม่ใหญ่มาก


ในห้องลับนี้นอกจากบานประตูที่เดินเข้ามาแล้ว รอบด้านล้วนเป็นผนังหนาๆ ที่ส่องสะท้อนแสงสีทองแวววาว และบนนั้นมีอักขระจิตวิญญาณงามเพริดพริ้งดูลี้ลับมหัศจรรย์ประทับอยู่ ทำให้ห้องทั้งห้องดูลึกลับอย่างบอกไม่ถูก


ตรงกลางห้องลับ เป็นค่ายกลสีเงินขนาดไม่เกินจั้งกว่าๆ ขอบรอบๆ มีร่องเว้าสำหรับวางผลึกหินโดยเฉพาะ


ชายชุดดำเก็บป้ายเหล็กในมือ แล้วประตูแสงด้านหลังก็จางหายไป แล้วหยิบกระบองสั้นสีทองอ่อนๆ อันหนึ่งออกมาแทน


คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็ค่อยๆ ส่งป้ายชื่อของตนเองออกไป เพื่อชำระแต้มคุณูปการของแต่ละคน


ชายชุดดำเก็บแต้มคุณูปการเสร็จแล้วก็เก็บกระบองสีทองทันที และหยิบผลึกหินขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแต่ละก้อนออกมาจากตัวแล้วกดลงตรงร่องเว้าตรงขอบค่ายกล


ผลึกหินเหล่านี้กับแตกต่างจากที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง มันเปล่งแสงสีดำออกมาราวกับเป็นดาวสีดำ


ดรุณีน้อยเสื้อเขียวเห็นผลึกหินเหล่านี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


“พวกนี้คือผลึกหินฟ้าไม่นับรวมอยู่ในหินธาตุทั้งห้า เป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก มิเช่นนั้นการส่งพวกเจ้าไปแดนปีศาจปรโลกคงไม่เก็บแต้มคุณูปการมากขนาดนี้หรอก ปกติส่งแค่พวกเจ้าใช้เพียงสี่ก้อนก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้มีข้าไปด้วยเกรงว่าจะต้องใช้มากกว่าสิบเท่าขึ้นไป” หญิงงามดูเหมือนจะเห็นศิษย์ของตนเองมีสีหน้าประหลาดใจ จึงอธิบายออกมาอย่างราบเรียบ


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่เพียงแต่ดรุณีน้อยเสื้อเขียวที่พยักหน้า หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็เข้าใจในทันที


ถึงแม้พวกเขาจะเคยได้ยินชื่อของผลึกหินฟ้ามาก่อนแล้ว แต่เพิ่งได้เห็นของจริงเป็นครั้งแรก


หลิ่วหมิงสังเกตดูผลึกหินเหล่านี้อย่างละเอียดครู่หนึ่ง ราวกับว่าจะจดจำรูปร่างทุกส่วนของมันให้ประทับไว้ในสมอง


ชายชุดดำได้ทำตามอย่างที่หญิงงามได้กล่าวไว้ อึดใจเดียวก็มีผลึกหินฟ้าสามสิบกว่าก้อนวางอยู่รอบด้านค่ายกล แล้วเขาถึงจะหยุดมือหันตัวกลับมากล่าวกับทุกคนอย่างเคร่งขรึม


“เอาล่ะ เข้าค่ายกลได้แล้ว ถึงแม้พวกเจ้าคงจะรู้แล้วว่าแดนปีศาจปรโลกเป็นสถานที่อันตรายเป็นอย่างมาก แต่ข้าก็ยังจะตักเตือนตามหน้าที่อีกครั้ง ที่นั่นเป็นสถานที่ของปีศาจปราณหยินที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ฝึกฝนสูงต่ำแค่ไหนก็สามารถอยู่ที่นั่นได้แค่หนึ่งเดือน พอเลยเวลาดังกล่าวไปแล้วร่างและวิญญาณก็จะถูกปราณหยินกลืนกลาย มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นปีศาจ ดังนั้นภายในหนึ่งเดือนพวกเจ้าต้องผ่านค่ายกลทางนั้นกลับมาที่นี่ ถ้าช้าไปล่ะก็ต้องยอมรับกับผลลัพธ์ที่ตามมา”


พอชายชุดดำกล่าวเสร็จ ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ไปยังที่ว่างเปล่าตรงค่ายกล


เสียงดังกระหึ่ม เริ่มมีแสงหลากสีสว่างไสวโผล่ออกมาจากค่ายกล


หญิงงาม หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็ไม่กล้าลังเล ค่อยๆ เข้าไปยืนกลางค่ายกลสีทอง


ช่วงเวลาที่ค่ายกลสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างของพวกเขาก็กระพริบหายไป


ชายชุดดำถอนหายใจเบาๆ นั่งขัดสมาธิลงไปยังบริเวรนั้น แล้วค่อยๆ ปิดตาทั้งสองลง เริ่มเข้าสู่การทำสมาธิ


……


หลังจากที่หลิ่วหมิงวิงเวียนศีรษะจากการสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้ว ในที่สุดก็ลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง


เพียงแต่ตอนนี้เขากับหญิงงาม และคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในห้องลับอีกห้องหนึ่ง


พื้นด้านล่างก็ต่างกัน พอดูแล้วมันคล้ายกับค่ายกลสีทองมาก


และผนังรอบด้านกลับใช้อิฐหินสีดำที่ไม่ทราบชื่อก่อขึ้น ทั้งยังมีประตูหินที่ปิดอยู่บานหนึ่ง และในห้องนี้นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีผู้คนอื่นอีกเลย


“ไปเถอะ!” หญิงงามกล่าวอย่างราบเรียบ และพาดรุณีน้อยเสื้อเขียวเดินออกจากค่ายกลไปผลักประตูหินแล้วก็จากไป


เหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรต่างก็สบตากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินออกไปเช่นกัน


พริบตาเดียว สถานที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงคนเดียวเท่านั้น


หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเบาๆ เขารู้สึกว่าพลังในพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนี้มีน้อยกว่าในนิกายปีศาจอย่างเห็นได้ชัด และมีพลังงานหนาวเย็นบางอย่างที่บอกไม่ถูกผสมปนเปอยู่ หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปอีกสองสามครั้งแล้ว ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย


เขาส่ายศีรษะ แล้วก็เดินออกจากประตูหินไปอย่างไม่สะทกสะท้าน


นอกประตูหิน เป็นลานขนาดใหญ่กว้างสิบกว่าหมู่


พื้นลานทั้งหมดปูด้วยอิฐหินสีดำ บริเวณขอบลานมีเสาทองสัมฤทธิ์กลมๆ ขนาดสูงใหญ่ตั้งอยู่หลายเสา ด้านนอกถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีขาวนวลชั้นหนึ่งที่หนาเป็นพิเศษ


และตรงกลางลาน ยังมีห้องหินสีดำแต่ละห้องเรียงอยู่ประมาณสามสิบถึงสี่สิบห้อง


ในห้องหินมีศิษย์นิกายปีศาจสิบกว่าคนยืนจับกลุ่มกันกลุ่มละสองถึงสามคน พวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่


“เจ้าหนุ่มน้อย มาแดนปีศาจปรโลกเป็นครั้งแรกหรือ?!”


ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังมองดูอยู่นั้น ฉับพลันก็ได้เสียงแหลมๆ ดังมาจากด้านหลัง


หลิ่วหมิงสะดุ้งตกใจ รีบหันตัวกลับไป ถึงค้นพบว่าบริเวณประตูหินมีผู้อาวุโสผมเขียวสวมชุดหนังสีเหลืองนั่งขัดสมาธิอยู่


ในมือของผู้อาวุโสมีแผ่นกลมๆ สีเงินอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านบนมีสิ่งของสีแดงสดที่ดูคล้ายเข็มทิศวางอยู่หลายอัน และระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขากลับมองไม่เห็นผู้อาวุโสท่านนี้เลย


“เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าหนูปิงก็มาที่นี่ จุ๊ๆ! นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหนูน้อยเข้ามาที่นี่ ตั้งแต่บรรลุเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณมา เรื่องนี้ไม่ค่อยจะเกิดบ่อยนัก” ผู้อาวุโสกล่าว


“ผู้อาวุโสคือ……”


ผู้อาวุโสก้มหน้าอยู่ ทำให้หลิ่วหมิงมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ฟังจากจากน้ำเสียงอันทรงพลังนี้เขาก็ไม่กล้ารีรอรีบทำความเคารพแล้วถามออกไป


“เจ้าเรียกข้าว่า ‘เฒ่าปีศาจ’ ข้าเป็นคนที่ดูแลค่ายกลของที่นี่โดยเฉพาะ เป็นผู้ที่ส่งพวกเจ้ากลับนิกาย” ผู้อาวุโสกล่าวช้าๆ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา


พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสชัดเจน ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก แต่ในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา


ส่วนอื่นๆ ของผู้อาวุโสท่านนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับผู้อาวุโสทั่วไป เพียงแต่เบ้าตาที่ควรมีลูกตานั้นกลับว่างเปล่า มีแค่เปลวไฟสีเขียวเล็กๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่ว เปล่งประกายอยู่ในเบ้าตาแต่ละข้าง


“ผู้น้อยคารวะเฒ่าปีศาจ!” ความคิดหลิ่วหมิงวกกลับมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็ระงับความกลัวรวบรวมความกล้า กล่าวคารวะออกไปอีกครั้ง


“ไม่เลว ในบรรดาเด็กน้อยที่เห็นข้าครั้งแรก เจ้านับว่าเป็นผู้ที่มีความกล้าเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายให้เจ้า แค่ทำให้มันให้สำเร็จข้าย่อมมีรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” เฒ่าปีศาจกล่าวด้วยเปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาที่เปล่งประกาย


“มิทราบว่าเป็นเรื่องอันใด พลังเวทย์ข้าน้อยค่อยข้าต่ำเกรงว่าจะช่วยการใหญ่ไม่ได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ลังเลเล็กน้อย


“เฮ่อๆ! แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไม่ต้องใช้พลังเวทย์มาก ข้ามีเข็มทิศหยินที่สามารถหาตำแหน่งของปีศาจภายในระยะร้อยจั้งได้อย่างแม่นยำ แค่เจ้าช่วยหามัจฉาหน้าปีศาจจากแม่น้ำมืดแถวนี้ให้ข้าจำนวนหนึ่งได้ ข้าจะมอบเข็มทิศนี้ให้เจ้า ดีไหม?” เฒ่าปีศาจหัวเราะแล้วกล่าวออกมา และนำแผ่นสีเงินในมือมาแกว่งตรงหน้าหลิ่วหมิง


“สามารถระบุตำแหน่งของปีศาจได้? ท่านพูดจริงใช่ไหม!” หลิ่วหมิงใจเต้นรัวเมื่อได้ยิน


“ดูจากสถานะของข้า คิดว่าจะหลอกให้เจ้าดีใจเล่นงั้นหรือ! เจ้ารีบไปทิศทางนั้น ไกลออกไปสามลี้จะมีแม่น้ำมืดสายหนึ่ง เจ้ารีบไปรีบกลับเถอะ” เฒ่าปีศาจรู้สึกทนความรำคาญไม่ได้


“ในเมื่อไปไกลออกไปแค่สามลี้ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะลองดู” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่พอได้ยินระยะทางอันใกล้นี้ และมองไปยังเข็มทิศหยินบนมือของเฒ่าปีศาจแล้วก็พยักหน้าตอบตกลง


……………………………………….


ตอนที่ 57 แดนปีศาจปรโลก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวแสดงวิชาทะยานเวหาเหาะไปยังทิศทางที่ผู้เฒ่าปีศาจบอก


ตอนที่เขาเหาะออกไปนอกม่านแสงสีขาวนวลนั้น สิ่งที่ตาของเขามองเห็นคือสถานที่มืดครึ้มเปล่าเปลี่ยวมาก แผ่นฟ้าทั้งผืนถูกแผ่คลุมด้วยเมฆดำอย่างแน่นหนามองไม่เห็นแสงอาทิตย์แม้แต่น้อย ทำให้รู้สึกอึดอัดใจเป็นพิเศษ


หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำเล็กน้อย ความรู้สึกหนาวเย็นหลั่งพรั่งพรูภายในร่าง ถึงแม้จะทำให้ร่างกายเขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก แต่กลับรู้สึกว่าพลังเวทตรงทะเลจิตวิญญาณกลับดูคล้ายจะวิ่งเต้นภายในพริบตา


หลิ่วหมิงแอบถอนหายใจ


แดนปีศาจปรโลกนี้เป็นอย่างที่ผู้คนกล่าวไว้จริงๆ มันมีผลดีต่อการฝึกฝนวิชาจิตวิญญาณปีศาจและวิชาที่ใช้พลังหยินไม่น้อย แต่ร่างกายกลับทนต่อพลังปราณหยินที่ต้านกลับมาไม่ได้


เขาได้แต่ละความคิดที่จะอาศัยปราณหยินในการฝึกฝนพลังเวท


พอเหาะไปไกลกว่าสามลี้ หลิ่วหมิวก็ยังไม่พบปีศาจใดๆ และสุดท้ายก็มาถึงแม่น้ำมืดที่ผู้เฒ่าปีศาจได้บอกไว้


แต่พอเขาเหาะเข้าไปใกล้หน่อยหนึ่งก็หัวเราะขมขื่นอย่างอดไม่ได้


แม่น้ำมืดที่ปรากฏตรงหน้า ถ้าจะบอกว่าเป็นแม่น้ำไม่สู้บอกว่าเป็นลำธารเล็กๆ น่าจะเหมาะสมกว่า


แม่น้ำมืดกว้างไม่เกินจั้งกว่าๆ น้ำในแม่น้ำก็ไม่ได้ใสสะอาด แต่กลับเป็นสีเหลืองอ่อนที่ขุ่นเป็นพิเศษ และเหนือผิวน้ำยังมีหมอกสีขาวปกคลุมวนเวียนอยู่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับผู้พบเห็น


หลิ่วหมิงบังคับเมฆให้ลอยลงบนหินสีดำก้อนหนึ่งตรงริมแม่น้ำ เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะหามัจฉาหน้าปีศาจได้อย่างไร ก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้น สิ่งมีชีวิตสีขาวดำชนิดหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากน้ำที่อยู่ด้านหน้า และกระโจนเข้าหาเขา


หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง รีบสะบัดแขนเสื้อ โซ่สีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากตวัดกวัดแกว่งอย่างเลือนลางแล้วก็หวดเข้าใส่เจ้าสิ่งที่พุ่งเข้าอย่างรุนแรง


และเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวดำนี้ส่งเสียงร้องประหลาดออกมา และได้แต่นอนเต้นตุบๆ อยู่บนพื้นไม่หยุด


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้มีเวลามองไปยังเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวดำนั้น


มันเป็นสิ่งที่คล้ายปลาและอสูรดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ยาวประมาณครึ่งฉื่อ ส่วนท้ายของมันเหมือนกับปลาชนิดหนึ่ง แต่ส่วนหน้าเป็นหัวปลาปีศาจขนาดเล็กกว่าตัวหลายเท่า และมีขนปุกปุย ตรงท้องมันยังมีกรงเล็บสีดำเล็กๆ สองข้าง


ตอนนี้เจ้าปลาแปลกประหลาดอ้าปากพะงาบๆ อยู่ไม่หยุด ทำให้มองเห็นฟันเล็กละเอียดแหลมคมสองแถว แสดงให้เห็นว่ามันดุร้ายเป็นอย่างมาก


“ดูเหมือนเจ้าสิ่งนี้ก็คือมัจฉาหน้าปีศาจ” หลังจากหลิ่วหมิงตื่นตะลึงครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา


โซ่ตรวนวิญญาณหวดเข้าใส่ตรงหัวปีศาจของเจ้าปลาประหลาดอย่างรุนแรงอีกครั้งด้วยความแม่นยำ


มัจฉาหน้าปีศาจสส่งเสียงร้องประหลาดแล้วก็สลบไป


หลิ่วหมิงหยิบข้องปลาออกมาจากอก ใช้โซ่ตรวนจิตวิญญาณม้วนพันมัจฉาหน้าปีศาจมาใส่ลงไปในข้อง


ต่อมาเขาถึงเดินลงจากก้อนหินไปยังด้านหน้าของแม่น้ำมืดอย่างระมัดระวัง


ครั้งนี้ไม่มีอะไรโดดขึ้นมาจากน้ำแล้ว


หางคิ้วของหลิ่วหมิงยกขึ้น แล้วตวัดโซ่ตรวนวิญญาณออกไปอีกครั้ง แตะปลายโซ่ลงบนผิวน้ำด้านหน้าแล้วชักกลับอย่างรวดเร็ว


ปลายโซ่ตรวนวิญญาณถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งสีขาว


หลิ่วหมิงสูดลมหายใจด้วยความตกตะลึง


แม่น้ำมืดนี้เย็นประหลาดอย่างหาที่เปรียบมิได้


ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าเข้าใกล้แม่น้ำมืดไปกว่านี้แล้ว เขาเว้นระยะห่างจากแม่น้ำเท่าเดิมแล้วค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่สวนกระแสน้ำไหล


ผลคือผ่านไปสักระยะก็จะมีมัจฉาหน้าปีศาจกระโดดออกมาจากแม่น้ำ ตัวใหญ่สุดยาวหนึ่งฉื่อตัวเล็กสุดยาวไม่กี่ชุ่น


หลิ่วหมิงใช้โซ่ตรวนวิญญาณหวดใส่มันจนสลบโดยไม่ละเว้นแม้แต่ตัวเดียวแล้วใส่ลงไปในข้องปลา ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จับมัจฉาหน้าปีศาจได้สิบเจ็ดถึงสิบแปดตัวแล้ว และมันก็ถูกใส่ลงไปในข้องปลาจนเต็ม


เขาขี่เมฆเหาะกลับไปอย่างไม่ลังเล


……


“ไม่เลว สิ่งเหล่านี้คือมัจฉาหน้าปีศาจที่ข้าต้องการ เข็มทิศหยินนี้เป็นของเจ้าแล้ว” พอเฒ่าปีศาจเห็นหลิ่วหมิงเหาะลงมาพร้อมกับมัจฉาหน้าปีศาจเต็มข้องปลาก็กล่าวด้วยความดีใจ และโยนเข็มทิศหยินในมือออกไปให้หลิ่วหมิง


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอรับเข็มทิศหยินมาแล้วก็โยนข้องปลาในมือให้กับฝ่ายตรงข้าม


เสียงดัง “ตุ๊บ!”


ผู้เฒ่าปีศาจลุกขึ้นมา ขาทั้งสองไม่ใช่ขาของมนุษย์แต่เป็นขานกอินทรีย์สีดำเงาขนาดยักษ์ เขายกขาเหยียบข้องปลาไว้ ใช้มือดึงมัจฉาหน้าปีศาจตัวที่ใหญ่ที่สุดออกมาตัวหนึ่งแล้วยัดเข้าไปในปาก และกลืนมันลงไปทั้งยังดิบๆ ด้วยเสียงดังกรุบๆ


“ไม่เลว รสชาติของมัจฉาหน้าปีศาจนี้สดอร่อยมาก ยิ่งกินยิ่งอร่อยสุดยอด” ผู้เฒ่าปีศาจเคี้ยวไปด้วยพูดพึมพัมกับตนเองไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม


ถึงแม้ในมือของหลิ่วหมิงจะถือเข็มทิศอยู่ แต่ก็มองตะลึงตาค้างอย่างห้ามไม่ได้


“ฮ่าๆ ศิษย์น้องไป๋ ดูเหมือนเจ้าก็หลงกลไปจับมัจฉาหน้าปีศาจนั่นเหมือนกัน” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องหินหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป พอเขาเห็นสถานการณ์ตรงหน้าหลิ่วหมิงก็หัวเราะแล้วเดินเข้ามา


“เอ๋! ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ตู้ เมื่อกี้ศิษย์บอกว่าหลงกลนี่หมายความว่าอย่างไร!” หลิ่วหมิงหันหน้ากลับไปมองด้วยความแปลกใจ


ชายหนุ่มผู้นี้ใส่ชุดสีน้ำเงิน สะพายคาบโค้งยาวเล็กๆ ใบหน้าเย็นชา เขาผู้นั้นคือตู้ไห่จากเขาหยินทนทรมาณนั้นเอง


หลังจากครั้งนั้นที่หลิ่วหมิงและพวกเขาผิดใจกันกับศิษย์ที่ชื่อโอวหยางซินผู้นั้นแล้ว พวกเขาก็นับว่าสนิทสนมกันดี ต่อมาก็ยังร่วมมือกันไปทำภารกิจแต้มคุณูปการด้วยกันหลายครั้ง การร่วมมือแต่ละครั้งล้วนประสบความสำเร็จไปด้วยดี


ด้วยเหตุนี้ เขากับตู้ไห่และคนอื่นๆ ก็สนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม


“ผู้เฒ่าปีศาจตนนี้ แท้จริงแล้วเป็นปีศาจระดับต่ำที่ปรมาจารย์ลิ่วยินได้ปราบไว้ นอกจากชำนาญวิชามายาแปลงร่างส่วนบนให้เหมือนกับมนุษย์อย่างพวกเราแล้วก็ไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ อีก ด้วยเหตุนี้ในปีนั้นนักพรตลิ่วยินถึงได้จับมันขังไว้บริเวณค่ายกล ให้มันรับผิดชอบปกป้องค่ายกลโดยเฉพาะกับส่งศิษย์นิกายของเรากลับไป และเรื่องง่ายๆ อย่างอื่น เพราะอย่างไรที่นี่ก็มีปราณหยินเข้มข้นมีแต่ปีศาจเท่านั้นที่สามารถพำนักอยู่ได้ ส่วนเข็มทิศในมือเป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ที่สามารถสร้างได้ง่ายๆ ศิษย์ที่เข้ามาที่นี่ครั้งแรกต่างก็ได้รับแจกอยู่แล้ว แต่ผู้เฒ่าปีศาจนี้กลับชอบกินมัจฉาหน้าปีศาจในแม่น้ำมืด ดังนั้นจึงนำเข็มทิศหยินนี้มาเป็นข้ออ้างแลกเปลี่ยนให้ศิษย์ใหม่บางคนช่วยจับปลามาให้มัน แท้ที่จริงแล้วต่อให้เจ้าไม่ไปจับมัจฉาหน้าปีศาจให้มัน มันก็ต้องให้เจ้าอยู่แล้ว” ตู้ไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที กวาดสายตามองไปยังผู้เฒ่าปีศาจครู่หนึ่ง เขาค้นพบว่าขานกอินทรีย์ข้างหนึ่งถูกโซ่สีเงินเส้นเล็กๆ พันไว้กับผนังตรงห้องหิน


ตอนนี้ผู้เฒ่าปีศาจไม่สนใจการสนทนาระหว่างหลิ่วหมิงกับตู้ไห่ เอาแต่ดึงมัจฉาหน้าปีศาจแต่ละตัวใส่ปากแล้วกลืนลงไปไม่หยุด


ทำให้หลิ่วหมิงเห็นแล้วรู้สึกใจเต้นขึ้นมา


“ใช่สิศิษย์น้องไป๋ เรื่องแบบนี้เจ้าก็ยังไม่รู้คงไม่ได้มาที่นี่คนเดียวหรอกนะ” ตู้ไห่หยุดยิ้มแล้วขมวดคิ้วถามออกไป


“ครั้งนี้ศิษย์น้องกะจะมาคนเดียวจริงๆ ศิษย์พี่ตู้ก็อยู่ที่นี่ด้วย หรือว่าก็คิดที่จะจับปีศาจเหมือนกัน?” หลิ่วหมิงถามออกไปตรงๆ


“ข้าไม่ได้ฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณเลยจะมาจับปีศาจได้อย่างไร แต่ข้ากับอวิ๋นเซียนมาหาหญ้าจิตวิญญาณหลายชนิดที่ขึ้นเฉพาะในนี้เพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์” ตู้ไห่ส่ายศีรษะกล่าว


“ศิษย์พี่มู่ก็มาด้วยหรือ ไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ใด!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กวาดสายตามองรอบด้านแล้วก็ยังไม่เห็นร่างที่คุ้นเคยของนาง


“อวิ๋นเซียนกำลังเช่าพักผ่อนอยู่ในห้องจิตวิญญาณข้าจะพาเจ้าไปพบนาง ศิษย์น้องเองก็อย่าเพิ่งรีบไปจากที่นี่ แดนปีศาจปรโลกนี้ค่อยข้างอันตรายเป็นอย่างมาก ทางที่ดีศิษย์น้องฟังพวกข้าทั้งสองบรรยายเรื่องต่างๆ ให้ฟังเล็กน้อยก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย” ตู้ไห่กล่าวด้วยความกระตือรือร้น


“ศิษย์พี่พูดขนาดนี้แล้ว ศิษย์น้องย่อมไม่กล้าขัดอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองครู่หนึ่งก็พยักหน้าตอบรับกลับไป


ตู้ไห่เห็นเช่นนี้ ก็พาหลิ่วหมิงเดินไปยังห้องหินห้องหนึ่งด้วยความดีใจ


ครู่ต่อมา หลังจากที่ตู้ไห่เคาะประตูหินแล้ว มู่อวิ๋นเซียนหญิงผู้มีใบหน้างดงามก็เดินออกมาจากด้านใน


พอนางเห็นหลิ่วหมิงก็อึ้งเล็กน้อย สำรวจดูทั่วร่างของหลิ่วหมิงครู่หนึ่งก็ถามด้วยความแปลกใจ


“ศิษย์น้องไป๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าเจ้าบรรลุระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ทั้งยังฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณแล้วด้วย รูปร่างของเจ้าตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเปลี่ยนไปไม่น้อย”


ตามระดับความเร็วในการฝึกฝนของศิษย์ทั่วไป ตอนนี้หลิ่วหมิวสามารถบรรลุระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เทียบกับการเปลี่ยนแปลงหลังล้างไขกระดูกแล้วกลับทำให้คนยอมรับได้อย่างรวดเร็ว


เพราะยังไงนิกายปีศาจก็มีวิชาไม่น้อยที่ฝึกฝนแล้ว ทำให้รูปร่างภายนอกเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง


“ก่อนหน้านี้ไม่นานศิษย์น้องบังเอิญโชคดีทะลวงเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้ มิเช่นนั้นคงไม่รีบร้อนมาหาปีศาจที่เหมาะสมถึงที่นี่เพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเอง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน


“จุ๊ๆ! ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแต่มันมีน้อยมาก ทั้งยังใช้เวลาสั้นๆ ขนาดนี้ ดูๆ แล้วข้ากับศิษย์พี่ตู้ทึ่งในความสามารถของศิษย์น้องมาก” มู่อวิ๋นเซียนมองดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นแล้ว! ดูเหมือนศิษย์พี่มู่กับศิษย์พี่ตู้จะไม่ได้เข้ามายังแดนปีศาจปรโลกเป็นครั้งแรก คงจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี พอจะแนะนำศิษย์น้องสักเล็กน้อยได้ไหม” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ในเมื่อศิษย์น้องรีบร้อนขนาดนี้ พวกเราก็จะบอกเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ให้เจ้าสักหน่อย ข้าว่าก่อนที่ศิษย์น้องจะมาที่นี่คงจะได้ยินเรื่องราวมาบ้างเล็กน้อย แต่ข้ารับรองได้ว่าแดนปีศาจปรโลกอันตรายกว่าที่เจ้ารู้มาหลายเท่านัก แค่ศิษย์ที่เสียชีวิตต่อหน้าต่อตาข้าก็มีเจ็ดแปดกว่าคนแล้ว และมันต่างจากคำร่ำลือภายนอกที่บอกว่ามีศิษย์ตายที่นี่แค่บางครั้ง” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา


“ไม่ผิด ถึงแม้ศิษย์ในนิกายของเราที่อยู่ในแดนปีศาจปรโลก ต่างก็พยายามรวมกลุ่มอยู่กันสิบถึงยี่สิบคนอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่มีคนใหม่เข้ามาก็มีไม่น้อยที่ไม่ได้กลับออกไป และครึ่งหนึ่งในนั้นก็ถูกปีศาจดุร้ายกลืนกินเข้าไป อีกครึ่งหนึ่งกลับถูกทำลายโดยสองมหันตภัยร้าย”


“สองมหันตภัยร้าย?” หลิ่วหมิงได้ยินประโยคข้างจนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอได้ยินประโยคท้ายยิ่งแปลกใจมากกว่า


……………………………………….


ตอนที่ 58 ค้นหา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไม่ผิด มันก็คือเมฆวิญญาณกับปีศาจผึ้ง พอพบเจอกับเจ้ามหันตภัยร้ายสองชนิดนี้ในแดนปีศาจปรโลก ต่อให้จะเป็นศิษย์เก่าอย่างพวกเราถ้าไม่ระวังก็อาจทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นได้ โดยเฉพาะมหันตภัยจากเมฆวิญญาณ เวลาที่มันประทุออกมาจะไม่มีลางบอกเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้คิดที่จะหลบหนีก็ไม่รู้จะหลบอย่างไรแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนอธิบาย


“อยากขอให้ศิษย์พี่เล่าให้ฟังโดยละเอียดอีกเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเห็นทั้งสองกล่าวจริงจังเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกอย่างอดไม่ได้


“สิ่งที่เรียกว่าเมฆวิญญาณนั้น แท้จริงแล้วก่อเกิดจากปีศาจระดับต่ำในแดนปีศาจที่เรียกว่า ‘ศพวิญญาณ’ ปีศาจชนิดนี้เกิดมาจากปราณหยินเหมือนกัน แต่มันไม่มีพลังในตัวเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวกับศพ สิ่งเดียวที่สามารถทำให้คนไม่อยากยุ่งกับมันก็คือ พอปีศาจชนิดนี้ตายแล้วจะกลายเป็นเมฆปกคลุมภายในรัศมีหลายจั้ง ทั้งยังมีพิษที่อันตรายเป็นอย่างมาก และอายุขัยของศพวิญญาณนี้สั้นมาก ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นปีศาจระดับที่สูงได้ โดยทั่วไปจะมีอายุขัยไม่กี่ปี และชอบเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มๆ ดังนั้นพอกลุ่มศพวิญญาณรวมตัวกันถึงพันตนขึ้นไป และอายุขัยหมดแล้ว ก็จะกลายเป็นเมฆพิษอันน่าสะพรึงกลัว เมื่อมันถูกลมหยินพัดก็สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ได้สัมผัสมัน และมันยังจะยังเป็นอันตรายเช่นนั้นจนกว่าเมฆพิษจะสลายหายไป ดังนั้นเรียกชื่อมันได้อีกแบบว่า ‘เมฆแห่งความตาย’ ส่วนมหันตภัยแห่งผึ้งปีศาจก่อตัวจากพิษของผึ้งปีศาจชนิดหนึ่ง ฝูงผึ้งปีศาจชนิดนี้ชอบอพยพจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งตามช่วงเวลา มันจะเคลื่อนไหวทีละกว่าหมื่นตัว ถ้าเผชิญกับมันย่อมไม่สามารถต่อกรกับมันได้ ดีที่ฝูงผึ้งปีศาจชนิดนี้มีเส้นทางการอพยพที่แน่นอน แค่ต้องระวังสักหน่อยก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เผชิญหน้ากับมันได้ และนอกเหนือจากเมฆวิญญาณ ผึ้งปีศาจแล้ว ในแดนปีศาจปรโลกนี้ยังมีอันตรายรูปแบบอื่นอีก ศิษย์น้องต้องระวังให้ดี ยกตัวอย่างเช่นถ้าศิษย์น้องพบเจอกับสถานที่ที่ดูคล้ายบึง ต้องระวังปีศาจระดับกลางที่เรียกว่า ‘ปีศาจเน่า’ พวกมัน…” มู่อวิ๋นเซียนค่อยๆ เล่าออกมา


หลิ่วหมิงตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก


มู่อวิ๋นเซียนใช้เวลาเล่าไปทั้งหมดหนึ่งถ้วยชา


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่บอกให้ทราบ ศิษย์น้องไม่ทราบจริงๆ ว่าแดนปีศาจปรโลกจะอันตรายมากถึงเพียงนี้ ดูเหมือนต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว” หลิ่วหมิงฟังเสร็จแล้วกุมมือกล่าวขอบคุณอยู่ไม่หยุด


“ศิษย์น้องไป๋ก็ไม่ตัองกังวลจนเกินไป ถึงแม้แดนปีศาจปรโลกนี้จะอันตรายเป็นอย่างมากแต่ถ้าไม่ไปเกินร้อยลี้จากฐานที่มั่นที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งได้สร้างไว้มันยังคงปลอดภัยอยู่ ปีศาจที่แข็งแกร่งก็โดนผู้อาวุโสนิกายเราเก็บกวาดไปหมดแล้ว ในเมื่อศิษย์น้องเพิ่งจะฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณก็คงไม่อาจทำให้ปีศาจที่แข็งแกร่งศิโรราบได้ ภายในระยะร้อยลี้คงจะยังมีหวังที่จะหาปีศาจเหมาะสมเจอ! ถึงแม้ครั้งแรกจะหาไม่เจอศิษย์น้องก็ยังสามารถมาได้อีกหลายครั้ง จะต้องได้ปีศาจตามที่ต้องการอย่างแน่นอน” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยประกายตาหยาดเยิ้ม


“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ใช่สิ! ในเมื่อศิษย์พี่มู่กับศิษย์พี่ตู้ไม่ได้มาหาปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณ มีอะไรที่ต้องการให้ศิษย์น้องช่วยไหม” หลิ่วหมิงฝืนยิ้มแล้วถามกลับไป


“ขอบคุณในน้ำใจของศิษย์น้อง พวกข้าสองคนอยู่ในนี้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว สิ่งของที่ต้องการหาก็พอจะได้มาบ้างแล้ว ไม่ต้องรบกวนศิษย์น้องแล้วล่ะ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็ขอให้ศิษย์พี่ทั้งสองทำได้สำเร็จโดยเร็ว ศิษย์น้องเองก็ไม่อยากถ่วงเวลาแล้วจะไปสำรวจเส้นทางแถวนี้ก่อน” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วก็กะจะเดินจากไป


“ใช่สิ! ศิษย์น้องไป๋ ถ้าหากยังมีหินจิตวิญญาณล่ะก็ สามารถไปซื้อแผนที่บริเวณแถบนี้กับคัมภีร์โบราณอธิบายเกี่ยวกับปีศาจในแดนปีศาจปรโลกโดยเฉพาะจากผู้เฒ่าปีศาจตนนั้น ถ้ามีสองสิ่งนี้แล้วเชื่อว่าศิษย์น้องจะเดินหาได้ง่ายขึ้น” ตู้ไห่กล่าวเตือนขึ้นมา


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็รู้สึกดีใจ เขากล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วก็กล่าวลาศิษย์พี่ทั้งสอง และเดินจากห้องหินไป


“บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้กับศิษย์น้องไป๋แล้ว เท่ากับว่าเราได้ตอบแทนน้ำใจของศิษย์น้องในตอนแรกแล้ว” ตู้ไห่รอจนหลิ่วหมิงเดินออกจากห้องแล้วก็หันหน้ากลับมากล่าวกับหญิงสาว


“ไม่ผิด น้ำใจที่เราตอบกลับนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สะสมมาจากการเผชิญความเป็นความตายหลายครั้งของพวกเรา ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะก็จะยอมบอกกับผู้อื่นง่ายๆ ได้อย่างไร ที่น่าเสียดายก็คือมันหักล้างกันได้พอดิบพอดี ถ้าหากว่าทำให้เขาติดค้างน้ำใจเราได้ล่ะก็คงจะดีกว่านี้” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมาย


“โอ้! อวิ๋นเซียน หรือว่าเจ้าเห็นอะไรดีในตัวของศิษย์น้องไป๋” ตู้ไห่ได้ยิน ก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา


“ไม่เพียงแต่จะเห็นอะไรดีเท่านั้น ถ้าหากข้าเขียนจดหมายไปบอกพี่ข้าให้มู่หมิงจูหมั้นกับศิษย์น้องไป๋ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวออกมา


“อะไรนะ จะให้มู่หมิงจูหมั้นกับศิษย์น้องไป๋ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก ตามที่ข้าทราบมามู่หมิงจูมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเด็กหนุ่มผู้มีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาผู้นั้น พี่ชายเจ้าจะตอบรับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร” ตู้ไห่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


“ฮึ! พี่ชายข้าถูกเจ้าเด็กชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชงนั่นมอมเมา ทั้งยังอยากจะได้เขามาเป็นลูกเขย แต่ก็ไม่ลองคิดดูบ้างว่าคุณสมบัติสูงอย่างเกาชงนั้น ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีศิษย์จิตวิญญาณหญิงมากมายเท่าไหร่อยากจะเป็นคู่รักฝึกฝนกับเขา เขาจะแต่งกับศิษย์นิกายสายนอกที่ไม่มีชีพจิตวิญญาณแม้แต่ชีพจรเดียวมาเป็นภรรยาได้อย่างไร พูดแบบไม่น่าฟังก็คือ แม้แต่ความหวังที่มู่หมิงจูจะเป็นภรรยาน้อยยังมีน้อยมาก เหตุที่ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นยังพัวพันกับมู่หมิงจูอยู่ ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าอายุยังน้อยค่อนข้างไร้เดียงสา อีกด้านหนึ่งคืออาจารย์ลุงประมุขนิกายควบคุมเข้มงวดมากย่อมไม่ให้เขาได้เข้าใกล้ชิดกับศิษย์หญิงคนอื่นๆ ส่วนที่มู่หมิงจูได้ติดต่อกับเจ้าเด็กหนุ่มนี้เป็นครั้งคราว เกรงว่าอาจารย์ท่านประมุขอาจวางแผนไว้แล้ว เจ้าอย่าลืมสิว่าตอนนี้เด็กหนุ่มนั่นกำลังฝึกวิชาอะไรอยู่!” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง


“อะไรกัน หรือว่าอาจารย์ลุงคิดจะให้มู่หมิงจูเป็น…” สีหน้าของตู้ไห่เปลี่ยนไปอย่างมาก จนเผลอหลุดปากกล่าวออกมา


“ไม่ผิด เกรงว่าท่านประมุขคิดที่ให้มู่หมิงจูเป็นเตาหลอมพลังให้กับเจ้าเด็กนั่น“ ครั้งนี้มู่อวิ๋นเซียนตัดคำว่า ‘อาจารย์ลุง’ ทิ้งไปแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น


“ฟังจากที่เจ้าพูด มันค่อนข้างมีโอกาสเป็นไปได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ให้มู่หมิงจูหมั้นกับศิษย์น้องไป๋ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ถึงแม้ศิษย์น้องไป๋จะเป็นศิษย์จิตวิญญาณเหมือนกัน แต่ก็มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณความหวังที่ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็มีน้อย และด้วยอิทธิพลของตระกูลมู่เชื่อว่าทางด้านตระกูลไป๋คงจะพอใจกับเรื่องนี้ และตระกูลไป๋มีศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางอย่างศิษย์น้องไป๋แล้วต่อไปอิทธิพลก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย พอที่จะเป็นกำลังสนับให้ตระกูลมู่แข็งแกร่งอีกแรง แต่ทางด้านมู่หมิงจูนั้นคงจะพูดเกลี้ยกล่อมได้ยาก” ตู้ไห่ถอนหายใจแล้วเปลี่ยนมาเห็นด้วยกับมู่อวิ๋นเซียน


“ตอนนี้มู่หมิงจูยังเด็ก ย่อมไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ข้าจะหาโอกาสพูดเกลี้ยกล่อมให้มากขึ้น แต่เรื่องแต่งงานที่ต้องแจ้งกับตระกูลไป๋นี้จะชักช้าไม่ได้ต้องให้พี่ชายรีบดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว เมื่อมู่หมิงจูไม่ได้เป็นศิษย์จิตวิญญาณเรื่องการแต่งงานนั้นทางตระกูลต้องเป็นคนจัดการ” มู่อวิ๋นเซียนค่อยๆ กล่าวออกมา


“ก็คงต้องทำแบบนี้แล้วล่ะ แต่มู่หมิงจูอาจจะเกลียดเจ้าไปชั่วชีวิต” ตู้ไห่ถอนหายใจกล่าวออกมา


“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังยืนกรานที่จะทำแบบนี้ ข้าจะไม่ยอมให้นางตกเป็นเตาหลอมพลังที่จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้” มู่อวิ๋นเซียนกัดฟันพูด


ครั้งนี้ตู้ไห่ก้าวไปข้างหน้าเบาๆ กุมมือเรียวเล็กของมู่อวิ๋นเซียนไว้ และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา


มู่เซียนอวิ๋นถอนหายใจออกมาเบาๆ เอาศีรษะพิงไหล่ของตู้ไห่ และไม่กล่าวอะไรออกมาเช่นกัน


ทั้งสองอยู่เงียบๆ อย่างนั้น แต่มีความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก


……


มือของหลิ่วหมิงถือแผนที่หยาบๆ ที่ทำมาจากหนังสัตว์ เขากำลังค่อยๆ เหาะอยู่กลางอากาศสูงจากพื้นสามสิบถึงสี่สิบจั้ง


ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากลานกว้างสิบกว่าลี้แล้วและสำรวจดูด้านล่างอย่างระมัดระวังอยู่ตลอด


ถึงแม้มู่อวิ๋นเซียนจะบอกว่าภายในระยะร้อยลี้มีอันตรายไม่ค่อยมาก แต่ด้วยนิสัยของเขายังคงไม่เชื่อทั้งหมด


ระหว่างทางนอกจากปีศาจเลื้อยคลานระดับต่ำอย่างจิ้งเหลนไม่กี่ตัวแล้ว ยังไม่เห็นปีศาจอื่นๆ เลย


หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสถานการณ์เช่นนี้


ผ่านมาหลานพันปี ไม่รู้ว่าศิษย์ของนิกายมากวาดเอาปีศาจแถวนี้ไปแล้วตั้งกี่รอบต่อกี่รอบ ถ้าหากเจอปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณที่เหมาะสมได้ง่ายๆ สักตัวกลับเป็นเรื่องที่แปลกเสียยิ่งกว่าอีก


อึดใจเดียวหลิ่วหมิงก็เหาะออกมาไกลสามสิบถึงสี่สิบลี้แล้วถึงหยุดอยู่หน้าผืนป่าที่มีต้นไม้เตี้ยสีแดง


ป่าเมเปิ้ลหยินนี้ถึงแม้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่เป็นอาหารที่ปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณระดับต่ำอย่าง ‘วัวกระดูกคู่’ ชอบกิน ถึงแม้ที่นี่จะมีคนมาดูแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแต่ก็ยังมีคนโชคดีได้มันกลับไปบ้าง


หลิ่วหมิงบังคับเมฆเหาะวนด้านบนของป่าสีแดงผืนนี้อยู่หลายรอบ แล้วก็พกสีหน้าผิดหวังจากไป


เป้าหมายต่อไปของเขาคือบ่อมืดที่อยู่ไกลออกไปสิบลี้กว่า ที่นั่นคือสถานที่อีกแห่งที่ปีศาจระดับต่ำอย่างศพตะเข้ออกมาปรากฏตัวอยู่บ่อยๆ


แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาก็ไปจากบ่อน้ำสีดำที่มีไอสีเทาปกคลุมด้วยความแค้นเคืองใจ และบังคับเมฆไปยังสถานที่อื่น


ภายในเวลาสามสี่วันหลิ่วหมิงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ระบุว่ามีปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณปรากฏตามแผนที่ภายในระยะร้อยลี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย


วันนี้เมื่อเขายืนอยู่เหนือเนินดิน มองไปยังพื้นที่แถวนี้ที่เป็นหลุมว่างเปล่าขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนรังนก คิ้วเขาก็ขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


เขาคิดไม่ถึงว่าการหาปีศาจที่เหมาะสมสักตัวจะยากเย็นถึงเพียงนี้ จะให้หาปีศาจเลื้อยคลานที่แข็งแกร่งน้อยกว่าสัตว์ธรรมดามาเป็นปีศาจสื่อจิตวิญญาณของตนก็คงจะไม่ได้


แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่สุดท้ายภายในระยะรัศมีร้อยลี้ ที่ในแผนที่ระบุว่าอาจจะมีปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณปรากฏออกมา ถ้ายังคิดที่จะหาตามแผนที่ต่อไปล่ะก็ต้องไปยังสถานที่ไกลออกไปอีกสักเล็กน้อย


หลิ่วหมิงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ และกางแผนที่ออกมาอีกครั้ง เขากวาดสายตามองบนนั้นใหม่อีกรอบ


แผนที่หนังสัตว์ผืนนี้ จะมีข้อมูลที่ระบุบนนั้นยิ่งละเอียดถ้าสถานที่นั้นใกล้กับฐานที่มั่นตรงลานกว้าง แต่ถ้ายิ่งไกลออกไปก็ยิ่งน้อยลง และพ้นออกไปไกลจากรัศมีพันลี้แผนที่นั้นก็จะว่างเปล่า


“ดูท่าจะต้องเสี่ยงกันหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นก็จะเสียร้อยแต้มคุณูปการในครั้งนี้โดนไม่ได้อะไรกลับไปเลย” หลิ่วหมิงเก็บแผนที่แล้วกล่าวพึมพำ


นี่เป็นความสูญเสียที่เขารับไม่ได้!


ต่อให้กลับไปสะสมแต้มคุณูปการแล้วค่อยมาใหม่อีกรอบ ก็ใช่จะรับรองได้ว่าจะได้อะไรกลับไป


……………………………………….


ตอนที่ 59 ผึ้งปีศาจกับทะเลทรายดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจแล้วก็เก็บแผนที่ทันที แล้วบังคับเมฆเหาะไปยังทิศทางที่ไกลออกไป


เจ็ดวันผ่านไป ในผืนป่าประหลาดสีดำแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงยืนอยู่นิ่งๆ ใต้ต้นไม้ยักษ์สูงสิบกว่าจั้งต้นหนึ่ง สายตาหรี่มองไปยังปีศาจขนเขียวสามตนที่ดูคล้ายกับลิง


ปีศาจทั้งสามตน มีขนาดใหญ่ตนหนึ่ง ขนาดเล็กสองตน ตนที่มีขนาดเล็กทั้งสองนั้นสูงฉื่อกว่าๆขนเขียวบนร่างกายเป็นสีเขียวอ่อน และตนที่ใหญ่สุดนั้นสูงสี่ฉื่อ มีขนสีเขียวดำปกคลุมไปทั่วทั้งตัว แม้แต่บนหัวก็ยังมีเขาสีเขียวสั้นๆ ติดอยู่หนึ่งอัน มันแยกเขี้ยวขู่หลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด


มันคือปีศาจระดับต่ำชนิดหนึ่งในแดนปีศาจปรโลกที่เรียกว่า ‘วานรเขาเน่า’


วานรเขาเน่าที่โตเต็มที่จะเคลื่อนไหวรวดเร็วฉับไว มีพลังเยอะมาก ทั้งยังพ่นลมเน่าเหม็นได้ เพียงแค่เพิ่มการบ่มเพาะเล็กน้อยก็จะยิ่งมีพลังปีศาจระดับสมุยรับใช้ นับว่าเป็นตนเลือกที่ไม่เลวสำหรับใช้เป็นปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณ


หลิ่วหมิงกระตุกแขนเสื้อ โซ่ตรวนวิญญาณตวัดออกไปยังวานรเขาเน่าราวกับอสรพิษ


หลังเสียงร้องแปลกประหลาด วานรเขาเน่าตัวเล็กสองตนก็กระโดดหนีไปยังต้นไม้ต้นอื่นทันที เหลือแค่ตัวใหญ่สุดตนนั้นมันฉายแววความดุร้ายออกมา และหลังจากที่หลบหลีกโซ่ตรวนวิญญาณได้แล้ว ก็กางแขนออกกลายเป็นเงาร่างสีเขียวพุ่งลงจากต้นไม้แล้วกระโจนเข้าใส่เขา


เล็บสีดำแหลมคมทั้งสิบของมัน กระโจนเข้ามายังไม่ถึงด้านหน้าของหลิ่วหมิง ลมเน่าเหม็นจากปากของมันก็พุ่งออกมาก่อน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่หลบหลีกแต่อย่างใดแต่กลับร่ายคาถาขึ้นทันที แล้วยกแขนขึ้น ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งยิงออกไป


ด้วยความร้อนจากลูกเปลวไฟ พริบตาเดียวก็กวาดล้างลมเหม็นเน่าออกไปจนหมดสิ้น สร้างความหวาดกลัวให้กับวานรเขาเน่าที่กำลังกระโจนเข้ามาเป็นอย่างมาก หลังเสียงร้องแปลกประหลาด หางยาวหลายฉื่อของมันก็ส่ายไปมาโดยฉับพลันเพื่อหลบหลีกลูกเปลวไฟ


แต่ตอนนี้โซ่ดำกลับม้วนตนกลับมาอย่างไร้ซุ่มเสียง และมัดมันไว้อย่างแน่นหนาโดยที่ไม่ทันได้ป้องกันตนเลย


เสียงดัง “ตุ๊บ!”


วานรเขาเน่าตนนี้กระแทกตกลงมาด้านหน้าหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง และไม่สามารถขยับตัวได้ โซ่ตรวนวิญญาณที่บีบแน่นค่อยๆ กัดเซาะจนทำให้หนังของมันมีควันสีเขียวออกมา มันส่งเสียงร้องแปลกประหลาดแสดงความเจ็บปวดจนยากที่จะทนได้


หลิ่วหมิงไม่พูดอะไรยกเท้าขึ้นไปแตะบนหัวของมัน


เสียงดัง “ตุบ!”


วานรเขาเน่าถูกพลังมหาศาลกดไว้ทำให้หัวของมันจมลงในดินครึ่งหนึ่ง และตาเหลือกสลบไปทันที


หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ ก้มลงไปจับวานรเขาเน่าขึ้นมาพาดไว้บนบ่าแล้วเริ่มทำท่าแสดงวิชา


ครู่เดียวเมฆเทาก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นใต้เท้าเขา หลังจากกระตุ้นมันแล้วก็เหาะออกไปจากป่าไปยังทิศทางที่ไกลออกไป


หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงมาปรากฏตรงโพรงดินที่อยู่ห่างจากป่าสีดำค่อนข้างไกล เขาโยนวานรเขาเน่าบนบ่าลงไปที่พื้น


ทางเข้าโพรงดินนี้ถูกสร้างไว้ใต้หินยักษ์ก้อนหนึ่ง นับว่าปกปิดได้เป็นอย่างดี และข้างในก็มีขนาดไม่กี่จั้ง


ตอนที่หลิ่วหมิงค้นพบนั้นข้างในล้วนว่างเปล่า ไม่รู้ว่าปีศาจชนิดใดมาสร้างไว้แล้วทำไมถึงไม่ใช้มันแล้ว


ตั้งแต่วันแรกที่เจอวานรเขาเน่า เขาก็หาสถานที่อำพรางเช่นนี้ก่อนแล้ววันนี้ถึงได้ลงมือกับมัน


หลิ่วหมิงดูวานรเขาเน่าบนพื้น แล้วมั่นใจว่ามันยังสลบอยู่ ก็หยิบน้ำเต้าสีดำขลับออกมาจากแขนเสื้อ ดึงจุกออกแล้วเทลงบนพื้น ผงสีเหลืองอ่อนไหลออกมา


เขาแค่ถือน้ำเต้าเดินวนรอบวานรเขาเน่าหนึ่งรอบ พื้นที่บริเวณนั้นก็เกิดเป็นวงกลมสีเหลืองขึ้นมา เขาก้าวยาวเข้าไปในวงกลม นั่งขัดสมาธิหลับตาทั้งสองข้างลงแล้วกำหนดลมหายใจอย่างเงียบๆ


ผ่านไปชั่วครู่ หลิ่วหมิงลืมตาท้ังสองขึ้นอีกครั้ง มือทั้งคู่เริ่มทำท่ามือร่ายคาถา


ไอสีดำม้วนตัวออกมาจากตนของเขา และดูเหมือนจะยิ่งออกมามากขึ้นเรื่อยๆ


ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีอักขระจิตวิญญาณสีเทาอ่อนปรากฏขึ้นมาบนแก้มกับเนื้อตนที่ไม่มีอะไรปกปิดอย่างต้นคอ แขน เป็นต้น และแผ่ขยายไปทั่วทุกซอกมุมของร่างกาย


เสียงดัง “ฟู่!”


หลิ่วหมิงขยับแขน มือข้างหนึ่งยกวานรเขาเน่ามาไว้ด้านหน้าใกล้ๆ อีกข้างหนึ่งกลับใช้นิ้วทั้งห้ากดลงบนกระโหลกศีรษะของมัน


เขาร่ายคาถาขึ้นมา ไอดำบนร่างโหมกระพือเป็นเส้นๆ ราวกับงวงสัมผัสของสัตว์ อักขระจิตวิญญาณสีเทาบนตนของเขายิ่งเปล่งแสงพรั่งพรูออกมาจากกายเขาแล้วจมหายเข้าไปในหัวของวานรเขาเน่า


วานรเขาเน่าที่เดิมทีนอนนิ่งสงบอยู่ ฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ และเริ่มดิ้นสลัดตัวด้วยแววตาทั้งสองที่แดงฉาน


แต่มือทั้งสองของหลิ่วหมิงจับแน่นราวกับเหล็กไม่ยอมปล่อย และอักขระบนร่างเขาก็พรั่งพรูไปยังหัวของวานรเขาเน่าเร็วขึ้นเรื่อยๆ


หลังจากนั้นชั่วครู่ วานรเขาเน่าก็เริ่มพ่นน้ำลายสีเขียวออกมา และดิ้นอ่อนแรงลงกว่าเดิม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าดีใจราถาที่ร่ายก็ยิ่งดังกระชั้นชิดขึ้น


แต่ครู่ต่อมา หัวทั้งสองด้านของมันก็มีเส้นเลือดสีดำปูดออกมาเป็นจำนวนมาก หลังจากที่มันพองตัวก็ระเบิดออกมาด้วยเสียงอันดัง


ของเหลวสีเขียวกระจายไปทั่วทิศในทันที


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ไอดำบนร่างกระพือฮือโหมขึ้นอย่างฉับพลัน ไอดำบังสิ่งของที่พุ่งเข้ามาหาเขาได้ทันท่วงที


แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงมีไอดำส่วนหนึ่งขับออกมาจากร่างไร้หัวของวานรเขาเน่า และมันหมุนติ้วๆ แล้วก็ลอยหนีออกไปยังปากโพรง


แต่พอไอดำนั้นสัมผัสกับผงสีเหลืองอ่อน ก็ดีดตนกลับมาราวกับชนถูกสิ่งกำบังที่มองไม่เห็น จากนั้นก็พุ่งชนไปทั่วทุกด้านราวกับแมลงวัน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถออกจากวงกลมได้แม้แต่ก้าวเดียว


เสียงดัง “ฟู่!”


ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งเข้ามา พริบตาเดียวไอดำก็จมอยู่ในเปลวเพลิง แล้วก็มลายหายไป


หลิ่วหมิงโยนศพวานรเขาเน่าในมือทิ้งไปอีกครั้งด้วยสีหน้าผิดหวัง


“นี่ก็พลาดเป็นครั้งที่สามแล้ว คิดไม่ถึงว่าการทำให้ปีศาจระดับต่ำยอมศิโรราบมันจะยากถึงเพียงนี้! ดูท่าปีศาจที่ทดสอบในนิกายคงถูกคนทดสอบมาแล้วหลายครั้งถึงไม่มีความดุร้ายแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้พอใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณก็ทำให้มันยอมศิโรราบได้ง่ายๆ แล้ว และปีศาจในแดนปีศาจปรโลกนี้กลับดุร้ายเป็นอย่างยิ่งถึงได้ปราบมันได้ยากถึงเพียงนี่” หลิ่วหมิงบ่นพึมพำด้วยความผิดหวัง


นี่ก็แปลกเสียจริง!


เขาเสี่ยงอันตรายมาห่างจากฐานที่มั่นห้าร้อยถึงหกร้อยลี้ แต่ปีศาจระดับต่ำที่เขาพบทั้งหมดรวมกับตัวที่อยู่ด้านหน้าเขาแล้วมีแค่สามตนเท่านั้น และตอนที่ทำให้มันยอมศิโรราบก็ล้มเหลวไปหมดทุกตน


ดูเหมือนจะต้องมุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น ดีที่ถึงแม้เขาจะห่างจากฐานที่มั่นค่อนข้างไกล แต่บนแผนที่หนังสัตว์ก็ยังระบุสถานที่หลายที่ที่มีปีศาจระดับต่ำปรากฏอยู่ แสดงว่าโอกาสของเขายังมีอยู่


หลิ่วหมิงทำได้เพียงแต่คิดเช่นนี้


ดังนั้นเขาจึงเก็บกวาดโพรงดินเล็กน้อยแล้วขี่เมฆเหาะจากไปอีกครั้ง


สามวันต่อมา หลิ่วหมิงมาปรากฏตนบนพื้นที่ราบสูงเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เขากำลังค่อยๆ เหาะอยู่ในระดับต่ำ


ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากท้องฟ้าทางด้านหลัง แรกเริ่มแค่ดังค่อยๆ แล้วก็เปลี่ยนมาดังก้องจนหูดับขึ้นมาในทันที


ในใจหลิ่วหมิงเย็นยะเยือก รีบหันกลับไปดู สิ่งที่เห็นทำให้หน้าเขาซีดเผือดเป็นอย่างมาก


ท้องฟ้าสีเทาครึ้มที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งยังค่อยๆ ขยายมาทางที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว


“ให้ตายเถอะ เผชิญกับฝูงผึ้งปีศาจอพยพจังๆ เข้าแล้ว! ไม่สิ! เส้นทางนี้ไม่น่าจะอยู่ในเส้นทางการอพยพของฝูงผึ้งปีศาจนี่”


หลิ่วหมิงหลุดปากพูดออกมา แต่ก็ละทิ้งความคิดอื่นๆ ไว้ในสมอง และกระตุ้นเมฆเทาให้เหาะไปยังทิศทางด้านข้างทันที


เขาจำได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้ฝูงผึ้งปีศาจนี้จะน่ากลัว แต่แค่หลบไปให้ไกลจากเส้นทางการอพยพของพวกมันก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้


แต่เมื่อเขาเหาะไปได้ไกลหลายลี้ ก็ค้นพบว่ายิ่งเข้าใกล้ท้องฟ้าสีแดงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีเค้าว่าจะหลุดจากวงล้อมของมันได้ เขาก็แอบร้องทุกอยู่ในใจไม่หยุด


เหตุที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ กล่าวได้ว่าเขาได้พบเจอกับฝูงผึ้งปีศาจขนาดใหญ่เข้าแล้ว มิเช่นนั้นฝูงผึ้งปีศาจขนาดเล็กที่มีแค่หมื่นกว่าตนคงไม่เกิดสถานการณ์เช่นนี้


เมื่อไม่มีวิธีการรับมือใด หลิ่วหมิงทำได้แค่กัดฟันกระตุ้นใช้วิชาตนเบาแล้วลงมาจากเมฆเทา จากนั้นก็กระโดดโลดเผ่นหนีให้ห่างจากท้องฟ้าสีแดงอย่างบ้าคลั่ง


ถึงแม้วิชาทะยานฟ้าจะสะดวกสบายในการใช้ แต่ใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นก็ยังไม่สามารถเหาะได้รวดเร็วมากนัก ไม่สู้ใช้เท้าทางดีกว่าซึ่งสามารถลดการใช้พลังเวทย์ได้ด้วย


หลิ่วหมิงวิ่งบ้าคลั่งอย่างสุดพลัง ระดับความเร็วสูงกว่าการเหาะด้วยเมฆเทาสามเท่า พริบตาเดียวก็กลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ


ตอนนี้ ท้องฟ้าสีแดงด้านหลังเพิ่งจะมาถึงบริเวณนั้นพอดี


เจ้าตัวสีแดงบนท้องฟ้านั้นเป็นผึ้งประหลาดสีแดง แต่ละตนมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ลำตัวลีบแบน แต่ตรงท้ายกลับมีเหล็กในสีขาวขนาดใหญ่ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นระริก


……


สามวันต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่กลางเนินทรายสีดำที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดแห่งหนึ่ง เขามองดูเม็ดทรายสีดำรอบด้านแล้วก็ยิ้มข่มขืนอยู่ไม่หยุด


สองวันก่อนเขาจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อหนีจากฝูงผึ้งปีศาจ ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากการล่าสังหารของมันได้ แต่ด้วยความรีบร้อนไม่ได้ดูเส้นทางทำให้เขามาอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแปลกประหลาดนี้


เห็นได้ชัดว่าทะเลทรายแห่งนี้ อยู่ห่างจากฐานที่มั่นพันกว่าลี้ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกระบุไว้ในแผนที่ แต่เขารู้สึกถึงความหนาวเย็นจากอากาศกับความรู้สึกอึดอัด เพราะสถานที่แห่งนี้มีปราณหยินหนาแน่นมากมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีปีศาจอยู่ แน่นอนว่าอาจมีอันตรายที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยเช่นกัน


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่ายังไม่ต้องรีบกลับไปยังทิศทางเดิม ลองหาปีศาจที่เหมาะสมจากทะเลทรายแห่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


แต่ก่อนอื่น เขากลับต้องฟื้นฟูพลังเวทย์ที่ใช้จนเกือบจะหมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงหาพื้นที่บริเวณใต้เนินทรายที่มีขนาดใหญ่หน่อยเพื่อหลบพายุ จากนั้นจึงหยิบน้ำเต้าสีดำใบนั้นออกมา เทผงสีเหลืองออกมาเป็นวงกลมหนึ่งวงแล้วตนเองก็นั่งขัดสมาธิลงไปในนั้น


หนึ่งวันผ่านไป เมื่อเขาลืมดวงตาอันใสประกายทั้งสองขึ้น พลังเวทย์ภายในของเขาก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว


หลิ่วหมิงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาใช้วิชาทะยานเวหาเรียกเมฆเทาออกมาแล้วถือเข็มทิศหยินไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็หาทิศทางตามใจชอบ และค่อยๆ เหาะไปยังทิศทางนั้น


สถานที่ไกลออกไปร้อยลี้ ปีศาจร่างมนุษย์ตนหนึ่งที่ทั้งกายล้วนเป็นกระดูกสีขาว มีเพียงเนื้อเน่าไม่กี่ชิ้นติดอยู่บนตัวมันกำลังเดินบนทะเลทรายอย่างช้าๆ


ทันใดนั้นเม็ดทรายใต้เท้าของมันก็แยกออกจากกัน ก้ามยักษ์ดำมืดสองข้างยื่นออกไปหนีบขาเล็กๆ ทั้งสองของมันอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และฉุดลงไปทันที พริบตาเดียวปีศาจร่างมนุษย์ก็ถูกลากลงไปยังหลุมหลุมหนึ่ง


เม็ดทรายรอบๆ ค่อยฝังปีศาจร่างมนุษย์ลงไป จนร่างของมันจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย


……………………………………….


ตอนที่ 60 แมงป่องกระดูกขาว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเหาะอยู่สูงจากทรายดำสิบกว่าจั้งอย่างระมัดระวัง และมองดูแผ่นสีเงินในมืออยู่บ่อยครั้ง


ทันใดนั้นเขาหยุดเมฆเทาไปพักหนึ่ง จากนั้นก้มหน้ามองแผ่นเงินในมืออย่างละเอียดแล้วเริ่มร่ายคาถาในทันที มือข้างหนึ่งยกขึ้นแล้วยื่นลงด้านล่าง


ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งยิงลงไป


“ตู้ม!” หลังจากมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เปลวไฟกลิ้งไปยังด้านล่าง ปรากฏหลุมทรายลึกฉื่อกว่าๆ ออกมา ในขณะเดียวกันเศษซากปีศาจชิ้นหนึ่งลอยออกมาจากในนั้น


หลิ่วหมิงก้มหน้าเขม้นตามองสักพักถึงดูออกว่ามันคืออะไร


“ที่แท้ก็คือซากปีศาจปูที่เป็นปีศาจระดับต่ำ ด้วยพลังที่โตเต็มวัยของซากปีศาจก็พอที่จะจัดเป็นปีศาจระดับพลทหารได้แล้ว แต่มันกลับถูกสังหารตายเช่นนี้หรือว่าสถานที่แห่งนี้ยังมีปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า”


หลิ่มหมิงพูดพึมพำไม่กี่ประโยคแล้วก็แสดงสีหน้าตกใจระคนดีใจ


ดีใจ เพราะว่าสถานที่แห่งนี้มีปีศาจระดับต่ำแน่นอน ตกใจ เพราะว่าบริเวณนี้ยังมีปีศาจที่มีพลังแข็งแกร่งอันน่ากลัวอยู่ตนหนึ่ง ถ้าเขาไม่ระวังก็อาจจะเป็นดังซากปีศาจปูตนนี้


เขาขี่เมฆเหาะวนแถวนี้ไปหนึ่งรอบ และยังคงเหาะไปยังทิศทางเดิมต่อแต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม


ครึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงเหาะออกไปได้ไกลหลายสิบลี้ แต่ที่น่าแปลกใจคือนอกจากซากปีศาจปูที่ไม่ครบส่วนตนนั้นแล้วก็ไม่มีปีศาจตนอื่นปรากฏอีกเลย


หลิ่วหมิงรู้สึกมืดบอดกับสถานการณ์เช่นนี้


เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ แสดงปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดไว้มาก มิเช่นนั้นคงไม่ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้


ทันใดนั้น เข็มสีแดงสดในแผ่นสีเงินที่อยู่บนมือก็สั่น และหมุนวนไปหลายรอบอย่างบ้าคลั่ง มันชี้ไปยังทิศทางหนึ่งโดยฉับพลัน และเริ่มกระพริบอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนทันที เมฆเทาใต้ร่างก็หยุดนิ่งไม่เหาะต่อแล้ว


มือข้างหนึ่งของเขาตบลงไปที่หน้าอกฉับพลัน แสงสีดำสามจุดปรากฏขึ้นบริเวณนั้นแล้วปรากฏเป็นโล่แสงสีดำบังอยู่หน้าตัวเขา


และเกือบจะในขณะเดียวกัน เม็ดทรายด้านล่างก็ส่งเสียงดัง “ซู่!” เส้นสีดำเส้นหนึ่งยิงพุ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว แม้แต่สายตาหลิ่วหมิงก็พอจะมองเห็นเป็นแค่เงาลางเลือนเท่านั้น เขาตกใจเป็นอย่างมากคิดที่จะหลบหลีกยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


เสียงดัง “เพล้ง!”


เส้นสีดำโจมตีลงบนโล่แสงที่อยู่ด้านหน้า เกิดประกายไฟกระพริบไม่หยุดจนมันเกือบจะแตกร้าว


และปลายเส้นสีดำนี้เป็นตะขอแหลมยาวเพียงไม่กี่ชุ่น ทั้งยังส่งกลิ่นคาวที่ทำให้คนที่ได้กลิ่นอยากจะอาเจียนออกมา


ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงจึงถูกแรงมหาศาลโจมตีจนไม่สามารถยืนได้มั่นคง และไม่สามารถประคองวิชาทะยานฟ้าไว้ได้ จนตกลงไปบนพื้นทะเลทราย


ยังดีที่หลิ่วหมิงฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำกับใช้น้ำยาล้างไขกระดูกไป ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งกว่าศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นถ้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นเดียวกัน เกรงว่าคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดออกมาแล้ว


เสียงดัง “ซู่!”


อยู่ๆ ก็มีกองทรายใหญ่นูนขึ้นจากใต้พื้นทราย และเคลื่อนมายังที่หลิ่วหมิงตกลงมาราวกับมีชีวิต


ถึงแม้หลิ่วหมิงยังสะลึมสะลืออยู่ และถูกแรงมหาศาลเมื่อสักครู่สั่นกระเทือนจนหน้ามืดตาลาย แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็รีบกระตุกแขนเสื้อโดยไม่ต้องคิดอะไรในทันที โซ่ดำเส้นหนึ่งถูกดึงออกมาราวกับสายฟ้าแลบ


บังเกิดเสียงดังขึ้นมา


หลิ่วหมิงอาศัยแรงดีดกลับของโซ่ดำเหวี่ยงตัวพุ่งขึ้นไปบนอากาศ


และในตอนนั้นนั่นเองกองทรายที่เข้ามาใกล้นั้นก็ระเบิดออกมาทันที ไอสีเขียวกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากในนั้นแฉลบผ่านไปยังด้านล่างของหลิ่วหมิง และตกลงบนพื้นทรายอีกฝั่ง


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเมื่อสักครู่ หลิ่วหมิงฉุกคิดวิธีการเหวี่ยงตัวขึ้นไปได้ทันท่วงที เกรงว่าคงจะถูกไอเขียวกลุ่มนั้นกระโจนเข้าใส่พอดี


และหลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว หมอกเทาเกาะตัวกันอย่างรวดเร็วใต้ร่างของเขา เขาใช้วิชาทะยานเวหาพุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้าจนพุ่งไปได้สูงสามสิบกว่าจั้งแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และเขม้นตาจ้องมองลงไปด้านล่าง


ปีศาจที่อยู่ในไอสีเขียวนั้นช่างร้ายกาจยิ่งนักแต่ดูเหมือนมันจะเหาะไม่ได้ ทำให้เขาคลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง และก็เกิดความหวังลมๆ ขึ้นมา


มิเช่นนั้นด้วยระดับความร้ายกาจที่มันแสดง เขาคงวิ่งหนีตายไปตั้งนานแล้วไหนเลยจะยังกล้าอยู่ที่นี่


ในที่สุดเขาก็มองเห็นลักษณะของปีศาจที่อยู่ท่ามกลางไอสีเขียวได้อย่างชัดเจน มันเป็นสัตว์ประหลาดแบนราบเรียบยาวสามถึงสี่ฉื่อ ลำตัวทั้งหมดเกิดจากกระดูกสีขาวเทาแต่ละชิ้นต่อเข้าด้วยกัน ส่วนหน้ามีก้ามยักษ์ส่องแสงสีดำมืดสองข้าง ส่วนหลังมีหางที่เป็นตะขอสีดำยกขึ้นสูงอยู่ มีเปลวไฟสีเขียวสองกลุ่มเปล่งประกายอยู่ตรงทั้งสองด้านของกระดูกหัวสีขาวรูปสามเหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหนาวยะเยือกเป็นพิเศษ


แต่ลำตัวด้านหนึ่งของปีศาจกระดูกตนนี้มีรูสีดำสนิทขนาดเท่ากำปั้นอยู่หนึ่งรู และยังมีไอสีดำพันอยู่ดูเหมือนกับว่ามันจะมีบาดแผลบนตัว


“เป็นไปไม่ได้ นี่เหมือนจะเป็นแมงป่องกระดูกที่เป็นปีศาจระดับขุนพล! ไม่สิ! ดูเหมือนจะแตกต่างกับแมงป่องกระดูกขาวสักหน่อยหนึ่ง” หลิ่วหมิงหลุดปากพูดออกมา แต่พอดูอย่างละเอียดแล้วก็แสดงสีหน้าไม่แน่ใจ


แต่ต่อมาเขาก็หยิบคัมภีร์โบราณหนาๆ เล่มหนึ่งออกมาจากอก และพลิกเปิดดูอย่างรวดเร็ว เปิดไปได้สองสามหน้าถึงได้หยุดมือลง


บนหน้าคัมภีร์หน้าหนึ่ง มีรูปแบบปีศาจแมงป่องประทับอยู่ราวกับมีชีวิต และตัวของมันเกิดจากกระดูกแต่ชิ้นต่อกัน แต่สีของมันกลับเป็นสีขาว แม้แต่ก้ามด้านหน้ากับหางตะขอด้านหลังก็เป็นสีเดียวกัน แม้แต่หัวก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม หางก็ดูสั้นไปหน่อย ข้างรูปภาพมีข้ความระบุไว้ว่า ‘ปีศาจระดับขุนพล แมงป่องกระดูกขาว’ แต่ด้านล่างยังมีตัวอักษรเล็กๆ หลายแถว อธิบายเกี่ยวกับนิสัยและวิธีการโจมตี เป็นต้น


“หรือว่านี่เป็นแมงป่องกระดูกขาวที่มีการกลายพันธุ์เล็กน้อย หรือว่าจะเป็นแมงป่องที่ยังไม่โตเต็มวัย!” หลิ่วหมิงดูรูปภาพในมือแล้วพินิจดูปีศาจล้านล่างครู่หนึ่ง แล้วก็ได้ข้อสรุปที่ดูเหมือนใช่แต่ก็ไม่ใช่


ตามที่บันทึกในคัมภีร์โบราณ โดยสภาพการณ์ปกติแล้วถึงแม้แมงป่องนี้จะไม่สามารถเหาะได้นาน แต่ก็สามารถทะยานขึ้นบนอากาศได้สักช่วงระยะหนึ่ง ดูท่าตอนนี้จะบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถเหาะได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ นับเป็นโอกาสอันดีที่สวรรค์ประทานให้กับเขา


แมงป่องตัวนี้ถึงแม้จะไม่ค่อยฉลาดมาก แต่บาดเจ็บถึงเพียงนี้ก็ยังโจมตีเขาได้อย่างน่ากลัว ถ้าได้ใช้พลังเต็มที่จะไม่ยิ่งน่ากลัวมากกว่าเดิมหรอกหรือ เกรงว่ามันอาจจะจัดอยู่ในระดับต้นๆ ของปีศาจระดับขุนพล ถ้าหากเขาสามารถปราบมันให้กลายเป็นเป็นปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณได้ล่ะก็จะแข็งแกร่งกว่าปีศาจระดับพลทหารไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่พอคิดถึงจุดนี้ก็ใจเต้นโครมๆ อย่างอดไม่ได้


และในตอนนั้นเอง แมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ท่ามกลางไอเขียวด้านล่างก็ขยับตัว และมุดตัวลงใต้ผืนทราย


หลิ่วหมิงตกใจรีบร่ายคาถาโดยไม่ต้องคิด มือข้างหนึ่งยกขึ้น แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา คมวายุเส้นหนึ่งพุ่งลงไป


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


แมงป่องกระดูกขาวด้านล่างหลบคมวายุได้ภายในพริบตา แต่ด้วยความตกใจมันไม่มุดลงไปยังพื้นทรายบริเวณนี้แล้ว มันขยับตัววิ่งหนีไปยังทิศทางอื่นอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย กระตุ้นเมฆเทาตามไปในทันที


อึดใจเดียว แมงป่องกระดูกขาวก็วิ่งไปได้ไกลหลายลี้ แล้วขยับหางมุดลงไปใต้ทรายดำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มุดลงไปได้กว่าครึ่งตัว


แต่ในขณะนี้เอง ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งได้ตกลงมาจากด้านบน


เสียงดัง “ตู้ม!”


เปลวไฟพุ่งกระจัดกระจาย ด้านล่างปรากฏหลุมทรายขนาดใหญ่ขึ้น แมงป่องกระดูกขาวก็ได้รับการกระทบกระเทือนจนล้มลง แต่หลังจากที่มันพลิกตัวได้ก็วิ่งหนีต่ออย่างบ้าคลั่ง


เวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงขี่เมฆไล่ตามปีศาจด้านล่างไม่ยอมปล่อย พอมันคิดที่จะมุดลงใต้พื้นทรายก็จะถูกลูกเปลวเพลิง หรือคมวายุทำให้มันวิ่งหนีจนเตลิด


แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ถึงแม้จะมีพลังมาก แต่เห็นได้ขัดว่าไม่ค่อยฉลาดมากนัก มันถูกหลิ่วหมิงไล่ตามไปไกลถึงร้อยลี้ด้วยความตกใจ ทั้งยังถูกโจมตีจนร่างกายมีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ไอสีเขียวที่ล้อมรอบก็ลดลงไปเล็กน้อย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เสียดายที่พลังเวทย์ของเขาก็หมดไปไม่ใช่น้อย นอกจากว่าเจ้าปีศาจตนนี้คิดที่จะมุดลงดินเท่านั้นเขาจะถึงใช้พลังกับมัน มิเช่นนั้นก็ยังคงไม่กล้าใช้วิชาอื่นๆ โจมตีไปมากกว่านี้


เวลานี้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียใจที่โซ่ตรวนวิญญาณของตนมีคุณสมบัติต่ำไปหน่อย


ถ้าใช้วิญญาณระดับสูงกว่าหน่อยในหลอมสร้างโซ่ตรวนจิตวิญญาณล่ะก็ คงจะโจมตีได้ไกลกว่านี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ต้องเกรงกลัวการโจมตีจากหางตะขอของมัน แค่เหาะให้ต่ำกว่าหน่อยแล้วใช้โซ่ดำโจมตีโดยตรงก็ได้แล้ว


ไม่รู้ว่าแมงป่องกระดูกขาวตนนี้น่ากลัว หรือว่าทะเลทรายผืนนี้มีปีศาจไม่ค่อยมากกันแน่


เขาไล่ตามแมงป่องกระดูกขาวมาไกลขนาดนี้ ยังไม่พบเจอกับปีศาจตนอื่นเลย


……


หลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน ในที่สุดแมงป่องกระดูกขาวก็ถูกลูกเปลวไฟที่พุ่งจากด้านบนโจมตีเข้าใส่ จนไอสีเขียวที่ปกคลุมรอบตัวหายไปจนหมดสิ้น แต่เท้าของมันยังไม่ยอมหยุดขยับเลยแม้แต่น้อยยังคงปีนป่ายไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แสยะปากอย่างห้ามไม่ได้


ตอนนี้เขาเหลือพลังเวทย์ไม่มากแล้ว นอกจากจะประคองวิชาทะยานที่จำเป็นต้องใช้แล้วก็ไม่กล้าใช้วิชาอื่นในการโจมตีหลายครั้ง


“หรือว่าจะต้องละทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้!”


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมา แล้วก็กัดฟันบังคับเมฆเทาให้ลงไปใกล้อีกนิด แล้วเหาะตามไปติดๆ ในระยะสูงจากพื้นสิบกว่าจั้ง


แต่ตอนที่แมงป่องกระดูกขาวคิดที่จะมุดลงไปอีกครั้ง หลิ่วหมิงก็เข้าพุ่งเข้าไปพร้อมโซ่ตรวนวิญญาณ


เสียงดัง “เพล้ง!”


แมงป่องกระดูกขาวกลิ้งตัวหลบหลีกแล้วรีบก้มหน้าวิ่งหนีต่อ ราวกับว่าไม่คิดที่จะใช้หางตะขอของมันโจมตีกลับเลยแม้แต่น้อย


ฝ่ามือของหลิ่วหมิงที่กดอยู่ตรงหน้าอกชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นจึงได้สติขึ้นมาในทันที


เห็นได้ชัดว่าแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ถูกตามไล่มานาน และหนีจนชินเลยลืมเรื่องที่จะต้องโจมตีกลับ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


เวลาต่อมาเขาก็ไม่ใช้วิชาโจมตีอีกแล้ว แต่ใช้โซ่ตรวนวิญญาณตวัดไปยังปีศาจที่อยู่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันไม่สามารถมุดลงไปใต้พื้นทรายได้


……………………………………….


ตอนที่ 61 การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งสองลง เขาไม่ได้เหาะลงไปในทันทีแต่กลับวนเวียนอยู่รอบปีศาจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกระตุกแขน โซ่ตรวนวิญญาณตวัดออกไปจากมือ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ทำท่ามือไปด้วย


แสงสีดำกะพริบออกมาจากโซ่ตรวนวิญญาณ จากนั้นมันพันตัวแมงป่องกระดูกขาวอย่างแน่นหนา ราวๆ เจ็ดถึงแปดรอบ


หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์สีเหลืองอ่อนสี่ผืนปรากฏออกมา เขาส่งพลังเวทเข้าไปในนั้นแล้วกระตุกข้อมืออีกครั้ง


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


ยันต์ทั้งสี่ผืนมีแค่ผืนเดียวที่กลายเป็นอักขระพุ่งลงด้านล่าง พอมันแวบผ่านไปแล้วก็ปรากฏแจ่มชัดอยู่บนหัวของแมงป่องกระดูกขาวราวกับว่ามันถูกสลักอยู่ที่นั่น


ร่างของแมงป่องกระดูกขาวค่อยๆ สั่นไหว แล้วก็สงบแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวอีก


“เจ้าคนขายปลิ้นปล้อน!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับตำหนิในใจไปหนึ่งประโยค


ตอนแรกศิษย์ผู้ที่ขายยันต์นี้ยืนกรานว่ายันต์ทุกผืนนั้นใช้การได้หมด แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาในตอนนี้คืออะไร


โชคดีที่เขาซื้อมาหลายผืนมิเช่นนั้นคงแย่แน่นอน


แต่เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็เหมือนจะวางใจได้ในที่สุด เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวบังคับเมฆให้ลอยลงห่างจากแมงป่องกระดูขาวจั้งกว่าๆ และเดินเข้าไปหามัน


ทันใดนั้น เข็มทิศหยินบนมือเขาก็ส่งเสียงดัง “หวึ่งๆ”


หลิ่วหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ครู่เดียวมือข้างที่สอดอยู่ใต้แขนเสื้อก็ยื่นออกมา มือเขาจับหน้าไม้สีเขียวขนาดเล็กยาวครึ่งฉื่อไว้มั่น บนนั้นยังมีลูกดอกสีแดงที่ติดตั้งไว้ก่อนแล้วสามดอก จากนั้นพุ่งยิงไปยังแมงป่องกระดูกขาวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”


พอลูกดอกทั้งสามปะทะโดนตัวแมงป่องกระดูกขาว ดอกหนึ่งดีดตัวออก อีกสองดอกกลับระเบิดออกมากลายเป็นเปลวไฟอันคุโชน


เปลวไฟเหล่านี้เป็นสีขาว ไม่เหมือนกับวิชากระสุนไฟที่หลิ่วหมิงใช้


เสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้น!


แมงป่องกระดูกขาวที่เดิมทีดูนิ่งสงบไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากเปลวไฟ ในขณะเดียวกันหางตะขอของมันเพียงแค่สั่นเล็กน้อยแล้วก็กลายเป็นเส้นสีดำพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง


แต่ตอนนี้หลิ่วหมิง ได้ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์อย่างโล่สามดาวกันไว้ก่อนแล้ว เส้นสีดำที่กะพริบลงบนโล่แสงแค่ทำให้หลิ่วหมิงถอยหลังไปสองก้าว แล้วมันก็เก็บคืนกลับไป โดยที่หลิ่วหมิงไม่เป็นอะไรเลย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ตกใจอย่างใด แต่กลับดีใจเสียมากกว่า


เขาใช้พลังเวทไม่ค่อยมากในการประคองโล่แสงที่ยังอยู่ด้านหน้า และเก็บเข็มทิศหยินเข้าไป จากนั้นหยิบลูกดอกสีแดงออกจากตัวสามดอกวางไว้บนหน้าไม้อย่างรวดเร็ว และยิงพุ่งออกไปอีกครั้ง


ครั้งนี้กลับมีแค่ดอกเดียวที่ระเบิดอกมา


หลิ่วหมิงตำหนิขึ้นในใจอีกครั้ง แต่มือก็ยังหยิบลูกดอกออกมายิงเข้าใส่แมงป่องกระดูกขาวอย่างต่อเนื่อง


จนเขาใช้ลูกดอกยิงสุริยันบนมือหมดไปทั้งสิบสามดอก อักขระบนหัวของแมงป่องกระดูกขาวก็กะพริบอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีก แม้กระทั่งเปลวไฟสีเขียวตรงเบ้าตาทั้งสองของมันก็กลายเป็นสีดำมืด


แต่โซ่ตรวนวิญญาณที่มัดอยู่แต่เดิมนั้น เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าเสียหายไปไม่น้อย


สีหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็ยังหลงเหลือพลังอันน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้


แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อแมงป่องกระดูกขาวใช้พลังสุดท้ายจนหมด ความหวังที่เขาจะทำให้ปีศาจตนนี้ยอมศิโรราบก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองในสิบส่วน


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และเก็บโล่แสงเข้าไป มือข้างหนึ่งคว้าผ่านอากาศไปยังแมงป่องกระดูกขาว


ปลายด้านหนึ่งของโซ่ตรวนวิญญาณก็ยกตัวขึ้นมา แล้วกลับมาอยู่บนมือเขาอย่างแม่นยำ


หลิ่วหมิงยกมันขึ้นมา จากนั้นร่ายคาถาแล้วแสดงวิชาทะยานเวหาเหาะขึ้นฟ้าไป


ครั้งนี้เขาเหาะไปไกลแค่ไม่กี่ลี้แล้วหาที่ตรงกลางภูเขาเล็กๆ สองลูก ที่ค่อนข้างอำพรางตัวได้ดี และเหาะลงไปบนนั้น


ด้วยพลังเวทของเขาตอนนี้ ไม่สามารถเหาะไปได้ไกลมากนัก และเมื่อพลังเวทในตัวแห้งเหือด วิธีการต่างๆ ก็ใช้จนหมดสิ้น ถ้าต้องพบเจอปีศาจตนอื่นอีกเกรงว่าจะทำได้แค่ประจันบาญเท่านั้น


หลิ่วหมิงหยิบน้ำเต้าสีดำออกมาอย่างรีบร้อน หลังวาดวงกลมล้อมรอบตัวเองและแมงป่องกระดูกขาวแล้ว เขาก็รีบนั่งขัดสมาธิลงไปทันที


ครั้งนี้เขาสูญเสียพลังเวทไปมากกว่าครั้งที่เผชิญกับฝูงผึ้งปีศาจมาก ด้วยเหตุนี้พอเขานั่งขัดสมาธิลงพลังปราณที่อยู่รอบๆ กับปราณหยินก็ซึมเข้าไปในร่างเขาอย่างรวดเร็ว


ชั่วครู่เดียวจิตของหลิ่วหมิงก็เข้าดำดิ่งสู่สมาธิ


เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ลืมตาทั้งสองขี้นอีกครั้ง พลังเวทภายในร่างก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่แล้ว


หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืน ขยับแขนขาครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังแมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ในวงกลมอีกวง


ปีศาจตนนี้ยังคงถูกผูกมัดอย่างแน่นหนา ดูเหมือนว่าระหว่างที่เขาทำสมาธิฟื้นฟูพลังเวท มันก็ไม่ได้ดิ้นรนอะไรเลย


แน่นอนว่าปีศาจตนนี้ไม่มีพลังที่จะต่อต้านแล้วจริงๆ เปลวไฟสีเขียวในดวงตาก็ติดๆ ดับๆ อยู่อย่างนั้น


หลิ่วหมิงไม่กล้าถ่วงเวลาอีกต่อไป หยิบขวดเคลือบสีขาวใบหนึ่งออกมาจากอก และใช้โลหิตสีดำกลิ่นแสบจมูกที่บรรจุอยู่ในขวดนั้น วาดวงกลมขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมวงหนึ่ง แล้วทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งชี้ผ่านอากาศไปยังปีศาจตนนั้น


โซ่ดำค่อยๆ กะพริบ ปลายด้านหนึ่งยืดขนาดยาวขึ้นและเล็กลงกว่าเดิม แล้วพันรอบตัวปีศาจสิบกว่ารอบ จากนั้นก็พับหางตะขอสีดำของมันลงมามัดติดกับลำตัวไว้


ทำเช่นนี้แล้ว เขาถึงเดินไปนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามันอย่างวางใจ


เสียงร่ายคาถาดังขึ้น!


ไอดำม้วนตัวออกมาจากร่างของหลิ่วหมิง ขณะเดียวกันอักขระสีเทาก็ปรากฏบนร่างของเขา และขยับไปมาไม่หยุด


เขายกแขนขึ้น ฝ่ามือทั้งสองวางอยู่บนหัวของแมงป่องกระดูกขาว


อักขระสีเทาพรั่งพรูออกจากตัวเขาราวกับเจออาหารรสชาติถูกปาก แล้วค่อยๆ จมหายเข้าในหัวของแมงป่องกระดูกขาว


ร่างของแมงป่องกระดูกขาวค่อยๆ สั่นไหว ในที่สุดมันก็ดิ้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ด้วยสภาพของมันในตอนนี้ย่อมไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย เขาจึงไม่ค่อยใส่ใจมากนัก


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ผ่านไปชั่วครู่สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา


แมงป่องกระดูกขาวตนนี้สมกับเป็นปีศาจระดับขุนพล ถึงแม้จะอ่อนแรงถึงเพียงนี้ จิตของมันก็ยังคงต่อต้านอานุภาพสั่นสะเทือนสยบจิตของวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ และไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนจะยิ่งต่อต้านรุนแรงมากขึ้น


หลิ่วหมิงแอบตกใจ แต่ก็ยังมุ่งมั่นกระตุ้นวิชาสื่อสารจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด


ในเมื่อแมงป่องกระดูกขาวแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าหัวมันจะโดนบีบจนระเบิดออกมาเหมือนปีศาจระดับต่ำสามตนก่อนหน้านั้น เขาจึงสามารถลงไม้ลงมือได้มากกว่านี้


พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา


อักขระก็ยังคงพรั่งพรูออกมาจากร่างของหลิ่วหมิงไม่หยุด และพลังจิตที่ต่อต้านของแมงป่องกระดูกขาวก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่มีเค้าว่าจะอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย


ทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน


ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับไม่กังวลแต่อย่างใด ด้วยพลังเวทที่มีอย่างเต็มเปี่ยมต่อให้ต้องกระตุ้นวิชาสื่อสารวิญญาณครึ่งค่อนวันก็ไม่มีปัญหา เขาสามารถค่อยๆ ทำให้จิตของปีศาจตนนี้อ่อนลงได้


ในตอนที่เขากำลังมีแผนอยู่ในใจนั้น ทันใดนั้นร่างเขาก็สั่นระริก แสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดออกมา


เกือบจะในเวลาเดียวกัน พลังเวทในร่างเขาก็เดือดพล่านขึ้นมา ทะเลจิตวิญญาณหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง พลันปรากฏฟองอากาศวาววับขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร


พอฟองอากาศนี้ปรากฏออกมา ก็ค่อยๆ สั่นไหวกลืนกินพลังเวทของเขาราวกับว่ามันเป็นหลุมดำในอวกาศ


พริบตาเดียว พลังเวทจองหลิวหมิงก็ลดฮวบลงไปเป็นอย่างมาก


ความรู้สึกแปลกประหลาดอันคุ้นเคยนี้ ทำให้หลิ่วหมิงตกใจจนวิญญาณเกือบจะหลุดลอย เขารีบขยับแขน คิดที่ดึงมือทั้งสองที่อยู่บนหัวแมงป่องกระดูกขาวกลับมา เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้


แต่ออกแรงไปสองครั้ง ก็ค้นพบว่าพลังดึงดูดบางอย่างได้ดูดมือของเขาไว้ ทำให้นิ้วทั้งสิบไม่สามารถดึงออกมาจากหัวของแมงป่องกระดูกขาวได้


นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกหวาดผวามากขึ้นกว่าเดิม


แต่สติปัญญาเขาสูงกว่าคนทั่วไป หลังลองดึงมือออกอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จก็เลยตัดสินใจไม่สนใจมือทั้งสองแล้ว แต่นำพาพลังจิตเข้าไปในร่าง พยายามทำให้พลังเวทที่เดือดพล่านอยู่สงบลง เจ้าฟองอากาศแปลกประหลาดนี้จะได้กลืนกินพลังเวทของเขาได้ช้าลงหน่อย


เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปในพริบตา!


ไอดำบนร่างเขาเหลืออยู่บางเบาแล้ว พลังเวทในร่างก็เหลือแค่ประมาณหนึ่งในสิบส่วน แต่ฟองอากาศตรงทะเลจิตวิญญาณก็ยังคงไม่ลดการกลืนกินแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันกลืนกินไวกว่าครั้งนั้นหลายเท่านัก


ตอนนี้เขารู้สึกลนลานเป็นอย่างมาก


เพราะรู้ว่าตอนนี้พลังเวทของเขาถูกกลืนกินไปมากกว่าครั้งก่อนแล้ว


ที่น่าเสียดายก็คือ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่ดี แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้มันกลืนกินพลังเวทของเขาได้ เขาได้มองดูพลังเวทที่ค่อยๆ ถูกมันกลืนกินจนหมด


ต่อมาหลิ่วหมิงหดตัวลงในทันที เขารู้สึกแค่ว่ามีสิ่งของบางอย่างหลุดออกจากภายในร่างเขา และกลายเป็นความร้อนไหลซ่านไปทั่งสรรพางค์กาย และถูกฟองอากาศกลืนกินเข้าไป


และเกือบจะในเวลาเดียวกัน นิ้วทั้งสิบของเขาก็ค่อยๆ สั่นสะท้าน ความร้อนที่ไม่รู้จักได้ไหลมาจากแมงป่องกระดูกขาวด้วยเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้ความร้อนภายในร่างหลิ่วหมิงที่ถูกกลืนกินอยู่ก็ลดช้าลงกว่าครึ่งหนึ่ง


แต่ในขณะนี้ แมงป่องกระดูกขาวที่เดิมทีนิ่งสงบอยู่ ได้ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดราวกับเป็นเสียงเฮือกสุดท้าย เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาที่ติดๆ ดับๆ ก็คุโชนขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันตรงหลังของมันก็พ่นหมอกสีเขียวดำออกมา หลังจากที่หมอกเหล่านี้หมุนรวมตัวกันแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงเป็นหัวปีศาจสีเขียวดำดูเลือนลางอย่างน่าอัศจรรย์


พอหัวปีศาจปรากฏ มันก็อ้าปากโดยไร้สุ้มเสียง ปราณหยินบริเวณนี้พัดกระพือฮือโหมขึ้นมาแล้วพยายามเข้าไปภายในร่างของแมงป่องกระดูกขาวอย่างสุดชีวิต


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ครู่เดียวก็รับรู้ได้ถึงพลังหนาวเย็นรูปแบบหนึ่งที่ถูกส่งมาจากแมงป่องกระดูกขาว และจมเข้าไปในฟองอากาศอย่างรวดเร็ว


พอพลังรูปแบบที่สามปรากฏออกมา ความร้อนที่หลุดจากร่างของหลิ่วหมิงกับแมงป่องกระดูกขาวก็ยิ่งลดช้า จนกระทั่งถ้าไม่ใช้พลังจิตตอบสนองก็ยากที่จะรับรู้ได้


หลิ่วหมิงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์นี้จะสิ้นสุดโดยเร็ว


แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือฟองอากาศยังคงกลืนกินอย่างไม่ลดละเลยแม้แต่น้อย


แมงป่องกระดูกขาวก็ยิ่งดูดเอาปราณหยินรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และปราณหยินที่มาจากทั่วทิศก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนบริเวณแถบนี้กลายเป็นก้อนหมอกกลมๆ ขนาดใญ่ที่มีสีดำทะมึน


หลิ่วหมิงสัมผัสได้แม้กระทั่งความหนาวเย็นจนแสบกระดูกที่มาจากหมอกดำ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้


มันยังคงเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดฟองอากาศในร่างเขาก็หยุดการกลืนกิน


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)