หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 536-541
บทที่ 536 เดินทางด้วยควัน!
Ink Stone_Fantasy
กระถางเผาเครื่องหอมบนแท่นคงกระพันดูเรียบง่ายและเก่าแก่ มีอักขราจารึกขนาดใหญ่เก้าตัวปรากฏอยู่บนกระถาง พวกเขาไม่รู้ว่าอักขราจารึกเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไร แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่แผ่พุ่งออกมา
ทันใดที่หวังเป่าเล่อยกมือขวาวางลงบนกระถางเผาเครื่องหอม แรงสูบแกร่งกล้าก็พวยพุ่งออกมาดูดร่างกายของชายหนุ่ม ช่วงชิงพลังปราณของเขาไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะดึงเข้าไปในแท่นคงกระพัน!
หวังเป่าเล่อไม่สามารถทำอะไรได้ พลังปราณของเขาเริ่มหลุดลอยออกไปเหมือนม้าที่หลุดออกจากบังเหียน พลังปราณพวยพุ่งไปทางแท่นคงกระพัน ทันใดนั้นอักขระตัวหนึ่งก็ส่องแสงจางๆ ขึ้น
อารมณ์มากมายฉายชัดบนใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟาน ทั้งสองรีบพุ่งเข้าไปยกฝ่ามือแตะแท่นคงกระพัน คลื่นพลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างพวกเขา ก่อนจะโดนดูดเข้าไปในกระถางเผาเครื่องหอม ตัวอักขระที่เรืองแสงอยู่ส่องสว่างเจิดจ้ามากขึ้น
แม้ทั้งสามจะร่วมมือกัน สองคนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ส่วนอีกหนึ่งคนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ก็ไม่สามารถตอบความกระหายของอักขราจารึกตัวแรกได้ หวังเป่าเล่อเตรียมตัวไว้พร้อมอยู่แล้ว พอสัมผัสได้ว่าจั่วอี้ฟานเริ่มอ่อนแรงลง เขาก็หยิบศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดสามก้อนโยนไปให้เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานคนละก้อน ชายหนุ่มถือศิลาวิญญาณก้อนที่เหลือไว้ในมือซ้าย จากนั้นก็ปล่อยให้ปราณวิญญาณภายในศิลาไหลเวียนเข้าสู่ร่าง
เวลาล่วงผ่านไป แม้จะหน้าซีดตัวสั่น ทั้งสามก็หาสมดุลให้กับตนเองได้ด้วยความช่วยเหลือจากศิลาวิญญาณขั้นสูงสุด หลังจากหมดศิลาไปหลายร้อยก้อน ในที่สุดอักขราจารึกตัวแรกบนกระถางเผาเครื่องหอมก็ส่องแสงเต็มขั้น
ทันทีที่ตัวอักขระส่องแสงเต็มขั้น พลังมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากแท่นคงกระพันสกัดกั้นแรงสูบไว้ ทั้งสามเซถอยหลังไปพร้อมกับร่างที่สั่นเทา
ทันใดนั้น แสงจ้าจากอักขระตัวแรกก็ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ กระถางเผาเครื่องหอมเริ่มสั่นสะเทือน ในที่สุดมันก็ตื่นขึ้นหลังจากหลับใหลมาหลายสิบปี!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นจนหูแทบดับ ควันบางสีเขียวค่อยๆ ลอยออกมาจากกระถางเผาเครื่องหอมขึ้นสู่ท้องฟ้า
ภาพเบื้องหน้าช่างน่าฉงนใจ หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นทันใด “ท่องบทสวดที่ข้าสอนแล้วเดินเข้าไปในควันสีเขียว!”
แม่นางน้อยสอนบทสวดให้ชายหนุ่มระหว่างการเดินทางสิบวัน เป็นบทสวดง่ายๆ คล้ายรหัสสั้นๆ เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานจำได้อย่างง่ายดายหลังจากที่อีกฝ่ายสอน พอหวังเป่าเล่อพูดจบ พวกเขาก็รีบตั้งผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างพร้อมเพรียง ร่างของทั้งสามเรืองแสงสีเขียวขณะที่ท่องบทสวดอยู่ในหัว แสงจากกายสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังร่างกายมิด ก่อนจะพลันกลายร่างเป็นดวงไฟสีเขียว
ดวงไฟส่องสว่างขณะค่อยๆ ลอยขึ้นสู่อากาศ มุ่งหน้าไปทางกระถางเผาเครื่องหอมขนาดยักษ์ ทั้งสามเคลื่อนตัวไปยังควันสีเขียวที่ลอยอยู่เหนือกระถางเผาเครื่องหอม ก่อนจะผสานเป็นส่วนหนึ่งของควัน เห็นเป็นร่างเงารางๆ ของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และจั่วอี้ฟานอยู่ในควันสีเขียว
ก่อนพวกเขาจะทันได้หายตื่นตกใจ ควันสีเขียวก็ลอยขึ้นสู่นภากว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งทะลุผ่านยอดเขาและทะเลเพลิงที่กั้นขวาง รวดเร็วเกินกว่าที่ทั้งสามเคยได้สัมผัส การเดินทางด้วยควันช่างเหนือเกินกว่าจินตนาการ พวกเขาไม่สามารถข่มความรู้สึกที่มีในใจไว้ได้
“สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงเป็นเช่นนี้เอง…” จั่วอี้ฟานพูดพึมพำกับตัวเอง เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะตื่นตะลึงอยู่ แต่ในหัวก็คิดหาหลักการทำงานของแท่นคงกระพันไปด้วยตามนิสัย
หวังเป่าเล่อเป็นเพียงคนเดียวที่ทำตาเป็นประกาย หากใช้แท่นคงกระพันดีๆ เขาก็อาจจะ…สามารถเข้าไปหาสมบัติในพื้นที่ต้องสาปได้ทุกที่
แต่ละคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด แต่ก็ยังคงตื่นตะลึงกับการเดินทางด้วยควันครั้งนี้ไม่หาย เป็นการเดินทางที่รวดเร็วยิ่ง หวังเป่าเล่อประเมินคร่าวๆ ว่าควันนี้น่าจะเร็วกว่าตนเองเป็นร้อยเท่า ทั้งสามจ้องมองไปยังผืนดินเบื้องล่างขณะเดินทาง ไม่สามารถสงบใจจากอาการตื่นตะลึงได้เลย
ขณะเดินทางพวกเขาได้เห็นอาณาเขตกว้างขวางในตัวกระบี่ซึ่งถือเป็นโอกาสหายาก ทั้งสามมองดูทะเลเพลิงที่กินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่ง ส่วนครึ่งที่เหลือเต็มไปด้วยภูมิประเทศหลากหลายรูปแบบ
ปล่องภูเขาไฟลึกหลายร้อยแห่งปรากฏให้เห็นในสายตา หลายๆ แห่งไม่มีลาวาอยู่ภายใน ถึงจะมีก็ไม่ได้เยอะจนจะล้นออกมา พลังน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากส่วนลึกของปล่องภูเขาไฟแต่ละแห่ง
พวกเขาพบพลังเฉพาะของคาถาหลากหลายรูปแบบในบางพื้นที่ ทั้งสามสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายอันน่าพรั่นพรึงจากพื้นที่เหล่านั้นแม้จะมีควันปกป้องอยู่
แต่สิ่งที่ได้เห็นมานั้นไม่อาจเทียบเคียงกับสิ่งที่กำลังจะได้เห็น ขณะที่กำลังทะยานอยู่บนอากาศก็มีหัตถ์ยักษ์โผล่ออกมาจากทะเลเพลิงเบื้องล่าง มันต่างจากหัตถ์ยักษ์ที่พบก่อนหน้านี้เพราะมีเพียงสี่นิ้ว มันพุ่งขึ้นมาคว้าควันที่พวกเขาซ่อนกายอยู่ ทั้งสามตื่นตกใจ แต่หัตถ์ยักษ์ก็คว้าพลาด ควันสีเขียวไม่ได้ต่างจากควันธรรมดา มันสลายไปในอากาศ ก่อนจะรวมตัวใหม่อีกครั้งและทะยานผ่านฟากฟ้าต่อไป
ภัยไร้อันตรายทำให้พวกเขาใจเต้นถี่รัวก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทั้งสามมองไปรอบๆ ระหว่างเดินทาง ไม่นานพื้นที่โล่งกว้างก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นในสายตา บนที่โล่งแห่งนั้น…มีโครงกระดูกมากมายนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่!
“นี่…นี่มัน…” หวังเป่าเล่อตาถลนแทบหลุดออกจากเบ้า เขาหายใจถี่รัวขณะจ้องมองแผ่นดินเบื้องล่างที่เป็นที่โล่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีโครงกระดูกมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหวกองอยู่เต็มพื้นที่
โครงกระดูกเหล่านั้นคือผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและคนจากตระกูลไม่รู้สิ้น เห็นได้ชัดว่าเกิดการรบครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่ายบนพื้นที่แห่งนี้ กลิ่นอายความตายลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ สัมผัสได้ถึงควายหายนะที่ปกคลุมทั่วพื้นที่ หากผู้มีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้นย่างกรายผ่านมาคงจะเสียสติไปในทันที
แต่ถ้าผู้ใดสามารถผ่านเข้ามาได้อย่างปลอดภัย คนผู้นั้นก็จะได้รางวัลมากมายมหาศาลถึงขั้นกลายเป็นเศรษฐี แต้มการรบที่จะได้จากตราประจำตัวที่พบในที่แห่งนี้มากเกินกว่าจะจินตนาการได้ ยังไม่รวมสมบัติอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าคลังเวทนับไม่ถ้วนบนสนามรบ…
“สวรรค์!” หวังเป่าเล่อคิดว่าตนได้สมบัติมามากมาย แต่ก็ได้ตระหนักแล้วว่าที่หามาได้เป็นแค่เม็ดทรายในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ช่างน่าสลดใจเสียจริง
ภาพเบื้องหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนคงไม่มีทางกลับไปได้หากไม่ได้มาเจอแท่นคงกระพัน!
ควันสีเขียวท่องนภาไปเป็นเวลาสามวัน ข้ามผ่านแผ่นดินมากมายไม่คุ้นตา ก่อนจะพบเข้ากับทะเลสุดแปลกประหลาด!
ทะเลแห่งนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยเพลิงแต่เป็นโลหิต ทะเลโลหิตถูกห้อมล้อมด้วยทะเลเพลิง เห็นได้ชัดเจนว่าขอบทะเลอยู่ตรงส่วนใดเนื่องจากเปลวเพลิงไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้แม้แต่นิด ควันสีเขียวเริ่มบิดเบี้ยวและค่อยๆ จางลงขณะลอยผ่าน เหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากทะเลโลหิต ทั้งสามเริ่มเป็นกังวลเมื่อเห็นว่าควันกำลังจะสลายไป ขณะมองลงไปเบื้องล่าง เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้น “มีศพอยู่ในทะเลโลหิต!”
ศพศพหนึ่งลอยอยู่บนทะเลโลหิต ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมาก แต่ก็สูงกว่าคนปกติทั่วไป ศพศพนั้นสูงประมาณหกเมตร แต่งกายด้วยชุดหรูหรา กะโหลกหลงเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งซีก
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาสายตาดีคงไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เพราะมีหมอกปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น
แม้ศพจะมีกะโหลกอยู่แค่ครึ่งซีก และเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ แต่พลังกล้าแกร่งที่พวยพุ่งออกมาก็ยังทำให้ควันปั่นป่วนไม่หยุด ชัดเจนว่าชายผู้นี้เป็นต้นกำเนิดของทะเลโลหิต เขาได้สร้างปรากฏการณ์น่าพรั่นพรึงไว้หลังจากสิ้นชีพ ภาพเบื้องหน้าถือเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดตลอดการเดินทางด้วยควันสีเขียวของทั้งสาม!
ระดับการฝึกตนของเขาเมื่อครั้งยังมีชีวิตน่าจะอยู่ในระดับดารานิรันดร์เป็นอย่างน้อย! อาจจะแข็งแกร่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ! หวังเป่าเล่อเดาเอาคร่าวๆ จากประสบการณ์ในนิมิตมืด พลังของศพและตราสัญลักษณ์บนแขนทำให้เขาตื่นตกใจ คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าตราสัญลักษณ์นั่นหมายถึงอะไร แต่ชายหนุ่มเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตอนอยู่ในนิมิตมืด เขาอ่านเจอมาว่าผู้ฝึกตนที่แกร่งกล้ามากๆ จะสามารถสร้างตราผนึกคลังเวทและสร้างพื้นที่สำรองไว้ในร่างกายเพื่อใช้เก็บทรัพย์สินของตนเองให้ปลอดภัย
ชายผู้นี้น่าจะเป็นผู้อาวุโส! สองแสนแต้มนอนอยู่ตรงนั้น!
บทที่ 537 ต้วนมู่น้อย ของกำลังไปส่ง
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อใจเต้นรัว เขาครุ่นคิดหาเหตุผลว่าเหตุใดสำนักวังเต๋าไพศาลถึงกำลังรวบรวมตราประจำตัวเหล่านี้อยู่ จะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ เขาตั้งใจไว้ว่าจะถามแม่นางน้อยตอนนางตื่น ตอนนี้พอคิดขึ้นมาได้อีกครั้งก็รีบถามขึ้น
“ตราประจำตัวเป็นของใช้แสดงสิทธิ์ในการเข้าถึงสถานที่ต่างๆ สถานที่หลายๆ แห่งมีเพียงศิษย์ที่ได้รับสิทธิ์เท่านั้นถึงจะเข้าได้ ข้าจะช่วยสอดส่องดูว่าเราจะสามารถหาจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงได้ไหม พอเอาชื่อเจ้าใส่เข้าไปก็จะได้รู้วิธีใช้สิทธิ์เข้าพื้นที่ จะใช้ตราประจำตัวของคนอื่นเพื่อยืมสิทธิ์ก็ได้ ศิษย์สำนักในสามคนนั้นคงจะเล็งโอกาสนี้เหมือนกัน แต่เจ้าต้องเอาชื่อไปใส่ในจารึกก่อนถึงจะใช้สิทธิ์ได้” แม่นางน้อยพูดเสียงเรียบเหมือนกับว่าเขามารบกวนนางเพื่อถามเพียงเรื่องทั่วไปที่รู้กันดี
หวังเป่าเล่อข่มแรงยั่วยุภายในใจไว้ไม่ได้ แม้แม่นางน้อยจะไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก เขาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ชายหนุ่มจ้องมองศพในทะเลโลหิตด้วยความเสียดาย ควันสีเขียวก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งหลังจากพาพวกหวังเป่าเล่อลอยพ้นเขตทะเลโลหิต แต่ในหัวของเขายังคิดถึงศพที่มีมูลค่าถึงสองแสนแต้มอยู่
วันคืนผ่านไป ควันสีเขียวเริ่มจางลง ก่อนจะหายวับไปหลังจากมาถึงเส้นแบ่งเขตตัวกระบี่กับด้ามจับ พวกเขาลงจอดตรงยอดเขาที่ปราศจากคำสาป หวังเป่าเล่อมองกลับหลังไปด้วยความโหยหาและความรู้สึกมากมายที่แสดงออกผ่านแววตา
“กลับ…มาถึงแล้ว…” จั่วอี้ฟานถอนหายใจ ทั้งสามได้ผ่านการผจญภัยสุดตราตรึง มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ใครใจไม่แข็งพอคงจะกลัวจนตัวสั่นไม่ก็ตายไปตั้งแต่ครึ่งทาง
เจ้าเยี่ยเหมิงสูดหายใจลึก ความตื่นเต้นฉายชัดในแววตา นางได้อะไรมามากมายจากการเดินทางครั้งนี้ เหตุการณ์ที่แท่นคงกระพันทำให้นางต้องเก็บมาครุ่นคิด แม้จะไม่สามารถรู้ได้กระจ่างชัด แต่นางก็พอจะได้แรงบันดาลใจกลับมา
หวังเป่าเล่อเป็นคนเดียวที่ยังคงจ้องไปทางด้านหลัง ความมุ่งมั่นเริ่มฉายชัดขึ้นในดวงตา
“ข้าตัดสินใจแล้ว พอระดับการฝึกตนข้าสูงขึ้น ข้าจะกลับไปเก็บตราผู้อาวุโสคนนั้นมา!” ชายหนุ่มกัดฟันแน่น พอพูดจบ ดวงตาของจั่วอี้ฟานก็ส่องแววเคารพชื่นชม ก่อนจะยกมือขึ้นตบบ่าหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ เจ้าได้เลือกหนทางที่อันตรายถึงตาย ไม่มีทางให้ถอยเลยนะ”
แม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงยังส่ายหน้าหลังจากจ้องมองอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อถอนหายใจเมื่อได้เห็นท่าทีของสหายทั้งสอง ถึงรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปเก็บตราประจำตัวผู้อาวุโสมา แต่ในใจก็ยังคงยึดติด เขาเหม่อลอยตลอดการเดินทางกลับ
โชคดีที่พวกเขามาลงจอดใกล้ๆ ชายขอบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชั้นป้องกันมหึมาอยู่ถัดไปไม่ไกล แถวนี้ไม่ค่อยอันตรายเท่าใด ทั้งสามทะยานไปด้านหน้า ไม่นานก็ข้ามชั้นป้องกันออกจากตัวกระบี่เข้าไปยังเขตด้ามจับ!
สิ่งที่คล้ายคลึงกับสายลมเย็นพัดปะทะใบหน้า หวังเป่าเล่อสะบัดเนื้อตัวให้สมองโล่ง เขาพยายามข่มความโหยหาอยากได้กระเป๋าคลังเวทของศพผู้อาวุโส ทั้งสามเดินทางผ่านจุดเคลื่อนย้ายห้าครั้งก็มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล
ทั้งสามรู้จากเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐว่าเวลาผ่านไปแล้วหกเดือน ไม่ได้ถือว่านานมากนักสำหรับผู้ฝึกตน เวลาเท่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติหากเข้าไปปฏิบัติภารกิจในตัวกระบี่ บางคนอาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นด้วยซ้ำ ทว่าทั้งสามก็ผ่านอะไรมามากมายตลอดหกเดือนที่ผ่านมา
คงไม่มีใครเชื่อหากพวกเขาเล่าให้ฟังว่าได้เจออะไรมาบ้าง แต่ทั้งสามก็ไม่โง่ขนาดจะเผยแพร่ข้อมูลง่ายๆ เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานเดินทางกลับทันทีหลังจากมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาได้รับอะไรมามากมายจึงต้องรีบกลับไปถือสันโดษเพื่อจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่ได้มา
ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ดับความกระหายอยากได้แต้มการรบจากศพผู้อาวุโสได้ เขามุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อแลกตราประจำตัวกับแต้มการรบ
ชายหนุ่มได้สมบัติมามากมาย ไม่มีทางเลยที่จะซ่อนไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตนมีตราประจำตัวศิษย์ขั้นกำเนิดแก่นในอยู่ในครอบครอง เขาจึงเลือกที่จะระวังตัวเป็นพิเศษขณะมุ่งหน้าไปยังแผ่นหินรับภารกิจ
ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่เคยร้างไร้ผู้คน ผู้ฝึกตนมากมายยืนรายล้อมแผ่นหิน การมาของหวังเป่าเล่อไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก เขาเดินไปยังแผ่นหิน กำลังจะแลกของที่ได้มากับแต้มการรบ ทันใดนั้น เสียงเซ็งแซ่รอบๆ ก็เริ่มจางหายก่อนจะเงียบกริบไป
หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ เขาหันกลับไปมอง ผู้คนรอบข้างหยุดหายใจขณะจ้องมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามา
คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มสูงชะลูด ร่างกำยำ ไว้ผมยาวดำขลับ สวมเสื้อคลุมสีแดงที่บ่งบอกว่าตนเป็นศิษย์เอกของใครสักคนในสำนักวังเต๋าไพศาล คลื่นเย็นยะเยือกไหลออกมาจากร่าง ดวงตาว่างเปล่า ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเย็นชาราวภูเขาน้ำแข็ง!
เขาไม่ได้ดูหยิ่งยโสหรือนอบน้อมถ่อมตน และสัมผัสไม่ได้ถึงพลังวิญญาณแม้แต่นิด กลุ่มคนที่ยืนขวางทางอยู่แหวกทางให้ชายหนุ่มที่เพิ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้า พวกเขาก้มหัวทำความเคารพ ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาด้วย
“ศิษย์พี่ตู้กูหลิน!”
“เขาเป็นศิษย์เอกคนแรกของเมี่ยเลี่ยจื่อ…”
“ได้ยินมาว่าเขาเอาแต่ตระเวนไปมาอยู่คนเดียวในเขตตัวกระบี่…”
ผู้คนรอบๆ เริ่มกระซิบคุยกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง คนอื่นๆ อาจจะสัมผัสได้เพียงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมา แต่ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความดุร้ายที่ลอยอยู่รอบตัวตู้กูหลินผู้เป็นศิษย์เอกคนแรกของเมี่ยเลี่ยจื่อ ความดุร้ายเหล่านั้นไม่ได้มาจากตัวตู้กูหลิน แต่มาจากการเข่นฆ่านับครั้งไม่ถ้วนและก่อรวมกันเป็นบรรยากาศห้อมล้อมกายไว้!
รังสีสังหารรุนแรงมาก! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าราบเรียบ เขาอาศัยอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลมาเกือบปีแล้ว เคยได้ยินเรื่องห้าอัจฉริยะมาจากอวิ๋นเพียวจื่อและจากทางเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่
อัจฉริยะทั้งห้าคนล้วนเป็นศิษย์เอกของสามผู้อาวุโส และตู้กูหลินก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นศิษย์เอกของเมี่ยเลี่ยจื่อ อัจฉริยะอีกสองคนคือศิษย์เอกของเฟิ่งชิวหรัน ส่วนสองคนที่เหลือเป็นศิษย์เอกของโยวหรัน
ทั้งห้าคนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ มีพรสวรรค์และความสามารถเหนือชั้นกว่าผู้อื่น คนทั้งห้าไม่ค่อยปรากฏตัวในสำนักวังเต๋าไพศาล ทุกคนจึงให้ความสนใจมากเมื่อได้พบพวกเขา
ตู้กูหลินเดินหน้านิ่งไปยังแผ่นหินรับภารกิจท่ามกลางสายตากลัวเกรงของฝูงชน เขาโบกมือขวา หยิบตราประจำตัวจำนวนมากออกมาแลกแต้มการรบ แผ่นหินยักษ์ส่องแสงจ้า ชายหนุ่มนำตราประจำตัวมาแลกมากเกินไปจึงต้องใช้เวลาคำนวณอยู่ยกใหญ่
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อตู้กูหลินหยิบตราประจำตัวออกมา หวังเป่าเล่อแอบมองด้วยความตื่นตกใจ แม้ในกองจะไม่มีตราประจำตัวของศิษย์ระดับกำเนิดแก่นใน แต่ก็มีตราประจำตัวของศิษย์สำนักในถึงสิบสามชิ้นและตราประจำตัวของศิษย์สำนักนอกอีกว่าร้อยชิ้น จำนวนที่ชายผู้นี้รวบรวมมาได้ช่างมากจนน่าตื่นตะลึง
แม้ที่นำมาแลกจะสู้ที่หวังเป่าเล่อมีไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็ทราบดีถึงความอันตรายภายในตัวกระบี่ การจะรวบรวมตราประจำตัวมาได้มากมายเพียงนี้หมายความว่าต้องมีการเข้าไปในเขตหวงห้าม หวังเป่าเล่อเริ่มระแวงชายผู้นี้ขึ้นมา เขาตัดสินใจจะไม่แลกตราประจำตัวตอนนี้เนื่องจากไม่มีเหตุอะไรต้องไปแข่งกับคนที่ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ถือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์สิ้นดีถ้าจะทำเช่นนั้น
เขาเห็นว่าแผ่นหินจะส่องแสงถ้าตราประจำตัวที่นำมาแลกมีจำนวนมากเกินกว่าปกติ หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจะแบ่งตราประจำตัวไปแลกทีละชุด แม้การกระทำเช่นนี้อาจจะดึงความสนใจที่ไม่ต้องการเข้าเอาได้
หวังเป่าเล่อเตร็ดเตร่อยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่สักพักหลังจากที่ตู้กูหลินกลับออกไป จากนั้นจึงกลับไปที่แผ่นหินรับภารกิจและแลกตราประจำตัวทีละชุด เขาเก็บตราประจำตัวศิษย์ขั้นกำเนิดแก่นในไว้แลกเป็นชิ้นสุดท้าย ฝูงชนเริ่มส่งเสียงตื่นตกใจเมื่อเห็นแผ่นหินส่องแสงขึ้น
“เมื่อครู่มีคนแลกแต้มการรบจำนวนมาก…ดูจากความสว่างแล้ว น่าจะสูงถึงหนึ่งหมื่นแต้มเป็นอย่างน้อย!”
“ใครกันที่ทำเช่นนั้นได้”
ด้วยความรอบคอบของหวังเป่าเล่อทำให้ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นคือเขาเอง ชายหนุ่มยืนมองฝูงชนสนทนากันอย่างดุเดือด ทั้งยังแกล้งตกใจไปด้วย ผ่านไปสักพัก เขาก็ส่ายหน้าและกลับออกไป
ชายหนุ่มตื่นเต้นเกินบรรยายขณะมองแต้มการรบที่ได้มาจากการแลกด้วยความพึงพอใจอย่างมาก
เขาได้แต้มการรบมากว่าสี่หมื่นแต้ม!
แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ยังถือเป็นแต้มจำนวนมากทีเดียว แต้มการรบนั้นเป็นสิ่งมีค่าในสำนักวังเต๋าไพศาล นอกจากภารกิจรวบรวมตราประจำตัวแล้ว แต้มการรบที่ได้จากภารกิจอื่นๆ นั้นน้อยเสียจนน่าใจหาย นอกจากนี้ การฝึกตนก็จำเป็นต้องใช้แต้มการรบอยู่ตลอด
หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาลพร้อมแต้มการรบที่มี หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็แลกกระบวนเวทมาสิบห้าวิชา แต่ละวิชาราคาพันแต้ม ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาได้รับวิชาสืบทอดมามากมายที่ดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น แต่ทั้งหมดก็อยู่ในหัว ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นแผ่นหยกได้เพราะยังมีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้น ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถส่งวิชาเหล่านั้นให้ทางสหพันธรัฐได้
ส่วนวิชาที่เจอในถ้ำที่พัก เจ้าเยี่ยเหมิงกับจั่วอี้ฟานก็เอาไปฝึกอยู่ ในฐานะสหาย เขาไม่มีทางเผยแพร่วิชาพวกนี้ไปโดยง่าย ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มจึงเลือกใช้แต้มการรบแลกกระบวนเวทใหม่มา
ข้ารวยแล้ว หมื่นแต้มก็เป็นแค่เศษเงิน ไหนจะมีเรือวิญญาณอยู่อีก ซึ่งน่าจะได้แต้มมามากโขเหมือนกัน อวิ๋นเพียวจื่อบอกว่าการเจรจาค้าขายใกล้สำเร็จแล้วตั้งแต่หกเดือนก่อน ข้าต้องไปถามความคืบหน้าจากเขาเสียหน่อย น่าจะได้แต้มมาเยอะทีเดียว พอคิดว่าตนเองร่ำรวยเพียงใดก็สุขใจจนล้นอยู่ในอก เขาแลกกระบวนเวทมาสิบห้าวิชาโดยไม่มัวมาคิดเล็กคิดน้อย หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในทันที
ต้วนมู่น้อย ของกำลังไปส่ง! หวังเป่าเล่อรู้สึกฮึกเหิม สัมผัสได้ว่าหนทางขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
บทที่ 538 สหพันธรัฐตกตะลึง
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อภูมิใจในตนเองมาก ถึงกับพูดว่า ‘ต้วนมู่น้อย’ ออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสื่อในความหมายใด เขาคิดว่าตนจะต้องได้เลื่อนขั้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐอย่างแน่นอน จึงคิดว่าคงไม่ผิดอะไรที่จะเรียกผู้นำสหพันธรัฐว่าต้วนมู่น้อย
ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก เหล่าศิษย์ที่คุ้มกันวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอยู่อ้าปากค้าง ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจ่ายแต้มการรบหนึ่งหมื่นห้าพันแต้มเพื่อส่งกระบวนเวทสิบห้าวิชากลับสหพันธรัฐ!
แต้มการรบหนึ่งหมื่นห้าพันแต้มถือว่าเป็นจำนวนที่มากโขสำหรับเหล่าศิษย์ที่คอยคุ้มกันวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย พวกเขาหายใจถี่รัว ดวงตาเริ่มแดงก่ำ แต่ละคนหาแต้มได้เพียงไม่กี่ร้อยแต้มแลกกับการทำงานหนักตลอดเดือน หักค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนไปก็เหลือแค่นิดเดียวเท่านั้น
ความร่ำรวยของหวังเป่าเล่อทำให้พวกเขาตื่นตกใจ รู้สึกถึงรสชาติความขมขื่นจากความอิจฉาอยู่เต็มปาก
“ก็แค่รวย!”
“ใช่ แค่มีเงินมากหน่อย ไม่ได้สำคัญอะไร ข้าได้ยินมาว่าพวกพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับแต้มการรับ ข้าได้ยินเรื่องคนที่ชื่อหลี่อี้มา นางชั่วช้ามาก เห็นว่าไปล่อลวงเจ้าเกาะที่อาศัยอยู่!”
“ข่าวเจ้าเก่าแล้ว ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ไม่ได้จบแค่คนเดียวนะ เห็นว่าล่อไปอย่างน้อยเจ็ดแปดคนเลย!”
เหล่าศิษย์ส่งข้อความเสียงคุยกันเพื่อระบายความอิจฉา พวกเขามองดูวงแหวนปราณส่องแสงจ้าส่งแผ่นหยกสิบห้าแผ่นหายไปในพริบตา
ไกลจากสำนักวังเต๋าไพศาลออกไป ภายในระบบสุริยะที่มีกระบี่สำริดเขียวโบราณอยู่ หลี่ซิงเหวินนั่งขัดสมาธิคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ วงแหวนปราณดาวพุธ เขาลืมตาขึ้นพร้อมภาพมายาของต้วนมู่ฉีที่พลันปรากฏขึ้นข้างๆ
พวกเขาเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาพวกเขาได้รับกระบวนเวทจากเหล่าพันธุ์กล้าเรื่อยๆ จนเริ่มคุ้นชิน ทั้งสองตื่นเต้นเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณจากในวงแหวนปราณ
“รอบนี้จะส่งมากี่วิชากันนะ”
“จะว่าไปหลี่อี้ก็ทำได้ดีนะ นางส่งเคล็ดวิชากลับมาห้าวิชาแล้ว ถือเป็นคนที่มีผลงานดีที่สุดในกลุ่มพันธุ์กล้ารุ่นนี้เลย!” ต้วนมู่ฉีหัวเราะเสียงดังขณะมองไปทางหลี่ซิงเหวิน
หลี่ซิงเหวินแค่นเสียงทางจมูก ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ครึ่งปีมานี้ หวังเป่าเล่อยังไม่ได้ส่งเคล็ดวิชากลับมาเลย ส่วนหลี่อี้นั้นคอยส่งกลับมาเป็นประจำทุกเดือน ความแตกต่างนั้นเทียบกันแทบจะไม่ติด แม้จะอยากหนุนหลังหวังเป่าเล่อสักเท่าใดก็ทำอะไรไม่ได้
เจ้าเด็กนั่นมัวทำอะไรอยู่นะ! หลี่ซิงเหวินขมวดคิ้ว แม้หลี่อี้จะเป็นคนของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและถือว่าช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าในสหพันธรัฐได้ไม่น้อย แต่นางก็เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว ไม่ใช่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทำให้หลี่ซิงเหวินที่คอยสนับสนุนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หลังลงจากตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าใด
แต่ถึงจะไม่พอใจ เขาก็ยังยอมรับผลงานของหลี่อี้อยู่ดี กระบวนเวทที่นางส่งกลับมานั้นส่งผลต่ออารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐมากทีเดียว
“ดูจากเวลาแล้ว น่าจะมาจากหลี่อี้” ต้วนมู่ฉียิ้มบาง รู้สึกสนุกสนานที่ได้เห็นสีหน้าหม่นหมองของหลี่ซิงเหวิน แม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แต่ก็เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว จึงให้การยอมรับผลงานอันยอดเยี่ยมของศิษย์จากสำนักศึกษาเดียวกันเป็นพิเศษ
หลังจากพูดจบ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ส่องแสงขึ้นอีกครั้ง แผ่นหยกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในวงแหวนปราณ นัยน์ตาต้วนมู่ฉีฉายแววภาคภูมิใจ กำลังจะเอ่ยพูด แต่แล้วแผ่นหยกแผ่นที่สองก็ปรากฏขึ้น
“หืม รอบนี้หลี่อี้ทำได้ดี ส่งมาตั้งสอง…” ต้วนมู่ฉีแสนสุขใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยค แผ่นหยกแผ่นที่สาม สี่ ห้า ก็ปรากฏขึ้น!
ภาพเบื้องหน้าทำให้ต้วนมู่ฉีที่เคร่งขรึมอยู่เสมอผงะไป ก่อนจะหัวเราะขึ้นเสียงดัง
“เหมือนว่าพวกนั้นจะส่งเคล็ดวิชารวมกันมาทีเดียว พวกเขายังเด็กอยู่มากจริงๆ ไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้จะเรียกความสนใจจากคนอื่นได้มากมายเพียงใด” ต้วนมู่ฉีส่ายหัว ดวงตาของหลี่ซิงเหวินส่องประกาย เขาเห็นต่างออกไปเพราะสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณยังไม่จางหายไปแต่กลับแกร่งกล้าขึ้นกว่าเดิม จึงเอ่ยปากพูด
“ยังไม่หมด!”
ทันทีที่เขาพูดจบ แผ่นหยกแผ่นที่หก เจ็ด แปดก็ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง…พอนับครบสิบห้าแผ่น แสงจากวงแหวนปราณก็ส่องสว่างเต็มขั้น ก่อนที่ภาพแผ่นหยกทั้งสิบห้าแผ่นจะแปรเปลี่ยนเป็นของจริง!
รวมทั้งหมดแล้วมีแผ่นหยกสิบห้าแผ่น ทั้งสิบห้าแผ่นลอยอยู่เหนือวงแหวนปราณ แต่ละแผ่นมีพลังเฉพาะตัวแผ่ออกมา ภาพเบื้องหน้าทำให้ต้วนมู่ฉีหายใจถี่รัว หลี่ซิงเหวินเองก็ถึงกับส่งเสียงตื่นตะลึง
ความจริงแล้ว…หากทั้งคู่นับแผ่นหยกทั้งหมดที่ได้รับจากพันธุ์กล้าตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ก็จะได้ทั้งหมดสิบห้าแผ่น แต่บัดนี้พวกเขากลับได้รับแผ่นหยกสิบห้าแผ่นในครั้งเดียว ทำให้คนทั้งคู่ทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่แค่ทั้งสองคนที่ตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนที่คุ้มกันพื้นที่รอบๆ ต่างแตกตื่นไม่แพ้กัน
ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินตรงไปเก็บแผ่นหยกมาตรวจดูพร้อมๆ กัน ทั้งสองหายใจถี่รัว หันมองหน้ากันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ทั้งหมดที่ข้ามีมาจากหวังเป่าเล่อ…” ต้วนมู่ฉีพูดเสียงแผ่วพร้อมหันไปจ้องแผ่นหยกในมือหลี่ซิงเหวิน
“ของข้า…ก็มาจากหวังเป่าเล่อทั้งหมดเหมือนกัน…” หลี่ซิงเหวินกระแอมกระไอ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
ต้วนมู่ฉีเคยคิดว่าอาจเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ก็ยังตกใจอยู่ดีเมื่อได้ยินที่หลี่ซิงเหวินพูด เขาทราบสถานการณ์บนสำนักวังเต๋าไพศาลมาจากโมเกาจื่อ จึงรู้ว่าการส่งเคล็ดวิชากลับมาทีเดียวสิบห้าวิชาต้องแลกมากับอะไรบ้าง ทว่าหลังจากตื่นตกใจไปสักพัก ความสุขใจก็เอ่อล้นขึ้นมาในใจ
“ด้วยเคล็ดวิชาสิบห้าวิชานี้ อารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น!” ต้วนมู่ฉีถือแผ่นหยกไว้ในมือพร้อมหัวเราะขึ้นเสียงดัง แววตาของหลี่ซิงเหวินเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน คิดขึ้นว่าที่ดูแลหวังเป่าเล่อไปไม่เสียเปล่าเลย เด็กหนุ่มทำให้เขาภูมิใจได้จริงๆ พอคิดเช่นนั้น หลี่ซิงเหวินก็หันไปจ้องต้วนมู่ฉีพร้อมหัวเราะขึ้น
“ต้วนมู่ เจ้าอาจจะต้องสละตำแหน่งตอนที่หวังเป่าเล่อกลับมาแล้ว”
พูทันทีที่ได้ยิน ต้วนมู่ฉีก็หยุดหัวเราะไป เขาไม่ได้เสียใจที่จะต้องสละตำแหน่ง แต่พอคิดว่าเจ้าเด็กอ้วนหวังเป่าเล่อจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าใด หลังจากคำนวณดูสักพัก ก็คิดว่าเจ้าอ้วนคงจะต้องส่งเคล็ดวิชากลับมาอย่างน้อยสามสิบวิชาถึงจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐได้ ถึงกระนั้นเขาก็มีข้ออ้างเตรียมไว้แล้ว นั่นคือหวังเป่าเล่อนั้นเด็กเกินกว่าจะขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐได้
พอคิดเช่นนั้น ต้วนมู่ฉีก็รู้สึกโล่งอก ก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างหยิ่งผยอง
“หวังเป่าเล่อต้องขยันมากกว่านี้ถ้าเขาอยากขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แต่ข้าจะเฝ้ารอคอยวันที่เขาทำได้จริง!” สิ้นประโยค ต้วนมู่ฉีก็ออกคำสั่งให้ประกาศเรื่องนี้ให้ทั้งสหพันธรัฐได้รับทราบ ชื่อหลี่อี้บนอันดับพันธุ์กล้าที่ประกาศให้ประชากรทั่วสหพันธรัฐได้เห็นร่วงลงไปอยู่อันดับสองทันใด โดนหวังเป่าเล่อแซงขึ้นมาแทนที่อีกครั้ง!
ยังไม่จบแค่นั้น ตัวเลขด้านหลังชื่อหวังเป่าเล่อเปลี่ยนจากสามไปเป็นสิบแปด ผู้คนทั่วสหพันธรัฐตกใจเกินจะบรรยาย เสียงตื่นตะลึงและเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วสหพันธรัฐ
มีการเปิดให้ผู้คนได้ฝึกเคล็ดวิชาที่พันธุ์กล้าส่งกลับมาในทันที การทำเช่นนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาอารยธรรมการฝึกตนในสหพันธรัฐได้เป็นอย่างดี
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องจากผู้คนมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความตั้งมั่นในการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐของเขาได้ หลังจากพิจารณาลักษณะนิสัยของต้วนมู่น้อย เขาก็คิดว่าแค่นี้คงยังไม่เพียงพอจะทำให้อีกฝ่ายยอมสละตำแหน่งได้…
สามสิบวิชายังไม่แน่ว่าเขาจะยอม ข้าต้องตั้งเป้าให้สูงเข้าไว้ จะส่งไปสักห้าสิบวิชาให้ตกใจกันหมด มารอดูกันว่าต้วนมู่จะยอมสละตำแหน่งไหม ไม่สิ เขาต้องยอมออกจากตำแหน่งให้คนที่ดีกว่าแน่นอน คิดดังนั้นหวังเป่าเล่อก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะกลับออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ผู้ฝึกตนในชุดสีดำเจ็ดถึงแปดคนก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมรังสีสังหารรุนแรง ดูแล้วไม่น่าจะใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป พวกเขารีบพุ่งออกจากตำหนักหลักบนยอดเขามาล้อมชายหนุ่มไว้ในทันที กลุ่มผู้ฝึกตนปลดปล่อยพลังปราณเตรียมพร้อมต่อสู้
ผู้นำของกลุ่มผู้ฝึกตนนี้คือชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ เขาหันมองหวังเป่าเล่อพร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“หวังเป่าเล่อ เจ้าเดือดร้อนแล้ว ตามพวกข้ามา!”
บทที่ 539 เหลียงหลงไปไหน
Ink Stone_Fantasy
รังสีสังหารที่แผ่ออกมาจากชายชุดดำทำให้เหล่าศิษย์ที่คุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอยู่ตื่นกลัว พวกเขาจำได้ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มาจากตำหนักวินัย ขึ้นตรงต่อสามผู้อาวุโส จะมาปรากฏกายเฉพาะตอนที่มีการลงโทษร้ายแรง
หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน ในหัวเริ่มนึกว่าตนไปทำอะไรผิดกฎสำนักเข้า แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ชายหนุ่มหรี่ตาลงขณะคิดหาวิธีจัดการกับปัญหาตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา เตรียมติดต่อหาผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน
ชายชุดดำคนหนึ่งขมวดคิ้วเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกออกมา เขากำลังจะเอ่ยปากว่ากล่าว แต่ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกลุ่มยกมือขึ้นห้ามไว้ ก่อนจะหันไปจ้องชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชาพร้อมพูดขึ้น
“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าจะตามมาดีๆ หรือจะให้พวกข้าบังคับ”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วสูง กำลังจะกล่าวตอบโต้ก่อนที่จะได้ยินข้อความเสียงซึ่งดังขึ้นในหู
“สหายเต๋าหวัง อย่าได้ขัดขืน นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อแค่อยากจะถามอะไรเจ้าสักเล็กน้อย เจ้ารีบติดต่อผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันให้เร็วที่สุด…เอ่อ ใช่ ข้ากับอวิ๋นเพียวจื่ออยู่ตระกูลเดียวน่ะ”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกลุ่ม เขาแอบส่งข้อความหาหวังเป่าเล่อแม้จะทำสายตาเย็นชา หวังเป่าเล่อเห็นความใจดีที่ซ่อนอยู่ในแววตาอีกฝ่าย แต่ชั่วครู่ก็หายวับไป แทนที่ด้วยความเย็นชาดังเดิม
ชายหนุ่มไม่ลังเลใจ รีบส่งข้อความเสียงไปหาอวิ๋นเพียวจื่อและเฟิ่งชิวหรัน จากนั้นก็ตามกลุ่มชายชุดดำไปเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
พวกเขาไม่ได้อยู่ห่างจากตำหนักหลักบนยอดเขามากนัก หากทะยานไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดคงจะใช้เวลาไม่นาน แต่ผู้นำกลุ่มวัยกลางคนเลือกที่จะไม่รีบร้อน แม้จะล่าช้าไม่มากแต่เขาก็ทำให้หวังเป่าเล่อมีเวลาเพิ่มประมาณสิบห้านาที
การกระทำของชายวัยกลางคนช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตนเอง เหล่าลูกน้องของชายวัยกลางคนสัมผัสได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำได้แค่มองหน้ากันเงียบๆ ทว่าความเย็นชาที่มีต่อหวังเป่าเล่อเริ่มลดลงเล็กน้อย พวกเขาแสร้งไม่รู้ไม่เห็นว่าชายหนุ่มกำลังส่งข้อความติดต่อกับคนอื่นระหว่างทางไปตำหนักหลัก
อวิ๋นเพียวจื่อส่งข้อความเสียงตอบกลับมา หลังจากรู้ว่าชายวัยกลางคนเป็นใคร หวังเป่าเล่อก็ได้รับข้อความเสียงจากเฟิ่งชิวหรัน นางตอบเพียงแค่ว่า
“เชื่อฟังตามนั้น ข้าจะตามไปในไม่ช้า!”
หวังเป่าเล่อยังรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ได้ทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว เขายังคงครุ่นคิดว่าตนได้ทำอะไรผิดมาขณะตามหลังกลุ่มชายชุดดำไปยังตำหนักหลัก ไม่นานพวกเขามาถึงที่หมาย กลุ่มชายชุดดำไม่ได้ตามเข้าไปด้วย ชายวัยกลางคนหันมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหยุดเดินเช่นกัน
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกพร้อมกับหรี่ตาลง เขาไม่ได้เดินเข้าไปในทันที แต่ยกมือขึ้นทำความเคารพและก้มหัวลง
“หวังเป่าเล่อขอเข้าพบท่านผู้อาวุโส!”
ประตูเปิดออกทันทีที่พูดจบ แรงสูบพวยพุ่งออกมาจากภายใน ทะลุผ่านพลังปราณและการป้องกันที่ชายหนุ่มมี จากนั้นก็ดึงหวังเป่าเล่อเข้าไปด้านในตำหนักราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นมาคว้าตัวเขาไว้
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงอื้ออึงดังอยู่ในหัว เจ็บระบบไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือนกระดูกและเนื้อหนังถูกบดขยี้ ชายหนุ่มตัวสั่นเทาราวกับว่าถูกฉุดเข้าไปในพายุ ขณะที่กำลังตื่นตกใจ เขาก็ได้ยินเสียงเฟิ่งชิวหรันดังก้องมาจากไกลๆ ทันใดนั้นพลังแกร่งกล้าก็พุ่งเข้ามาต้านมือล่องหนที่กำลังจับชายหนุ่มไว้
หวังเป่าเล่อสั่นกลัวเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องต่อเนื่องกัน มือล่องหนไม่ได้หายไป มันลากชายหนุ่มต่อจนถึงด้านในของตำหนัก เขาเซถอยและทรุดเข่ากระแทกพื้น เลือดไหลเวียนปั่นป่วนไปทั่วร่าง ชายหนุ่มกระอักเลือดสดออกมา ใบหน้าซีดเผือดลง เขาเงยหน้าขึ้นเห็นเมี่ยเลี่ยจื่อนั่งหน้านิ่งอยู่บนที่นั่งหน้าตำหนัก!
เฟิ่งชิวหรันเดินผ่านประตูเข้ามาทางด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เมี่ยเลี่ยจื่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เมี่ยเลี่ยจื่อไม่ได้หันมองหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งชิวหรันก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว
“เฟิ่งชิวหรัน เจ้าควรจะถามตัวแทนกลุ่มพันธมิตรอันเป็นที่รักของเจ้ามากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้านี่กระทำเกินกว่าเหตุไปมาก”
เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้วพร้อมกับหันมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสงสัย ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะจัดการกับเลือดลมที่ปั่นป่วนในร่างกายได้ รอบกายของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันมีพลังกดดันที่รุนแรงเกินกว่าหวังเป่าเล่อจะทำอะไรได้ ชายหนุ่มขุ่นเคืองใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยกมือขึ้นทำความเคารพเฟิ่งชิวหรันด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ท่านผู้อาวุโสเฟิ่ง ข้า…ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อหัวเราะขึ้น เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“หวังเป่าเล่อ ข้าขอถามอะไรหน่อย เหลียงหลง ศิษย์ของข้าหายไปไหนกัน”
“เหลียงหลงหรือ” หวังเป่าเล่อนิ่งไป เขาคิดเรื่องต่างๆ มากมายตลอดการเดินทางกลับ แต่ไม่ได้คิดถึงเหลียงหลงเลยแม้แต่น้อย แทบจะลืมอีกฝ่ายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
พอเมี่ยเลี่ยจื่อเอ่ยเตือนความจำขึ้น หวังเป่าเล่อก็นึกขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่าโดนเหลียงหลงดักซุ่มโจมตีตอนที่เดินทางไปตัวกระบี่ครั้งแรกเลยจับมัดทิ้งไว้บนเกาะร้าง เชือกที่ใช้รัดสามารถผนึกพลังปราณได้ พื้นที่ในเขตด้ามกระบี่นั้นกว้างใหญ่มาก การออกตามหาเหลียงหลงก็ไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร
แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือ…หลังจากเข้าไปในตัวกระบี่ เขาก็พบเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่ก็ได้ของตอบแทนกลับมาดีมากจึงลืมไปว่าเคยปะทะกับเหลียงหลง พวกเขาเจอกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อครึ่งปีก่อน
ใจหนึ่งก็อยากจะบอกปฏิเสธไปว่าไม่รู้อะไรเลย แต่การที่อาจารย์ของเหลียงหลงถึงกับเรียกตนมาถามโดยตรงแปลว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย คนที่หายไปคือผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง หนึ่งในศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อ หวังเป่าเล่อพยายามทำหน้างุนงงราวกับว่ากำลังนึกเรื่องในอดีตอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“เหลียงหลงหรือ…จำได้แล้ว ข้าได้ประมือกับเขาครั้งหนึ่งตอนที่เพิ่งไปถึงเกาะเพลิงเขียว ข้าไม่อยากทำอะไรขัดต่อกฎของสำนัก แต่ก็คว่ำเขาลงไม่ได้จึงขังเขาเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ถึงกระนั้นเขาก็ยังท้าข้าสู้ไม่หยุดหย่อน แอบซุ่มโจมตีตอนที่ข้าไปปฏิบัติภารกิจ ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องสู้กับเขา เขาทำข้าบาดเจ็บหนัก เกือบจะตายเอา ข้าจึงต้องใช้วัตถุเวทที่มีขังเขาเอาไว้โดยไม่ให้บาดเจ็บอะไร จึงสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้…” สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูแค้นเคืองเหมือนกับว่าไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“เพราะเหตุนั้น เจ้าเลยปลิดชีพศิษย์ของข้าอย่างเลือดเย็นหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อเอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยสีหน้าไม่ต่างจากเดิม
“ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก! ตอนนั้นข้ายังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ส่วนเหลียงหลงอยู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง ข้าต้องจากบ้าน จากครอบครัว จากเพื่อนฝูงในสหพันธรัฐและเดินทางมายังดินแดนที่ไม่รู้จัก แต่เหลียงหลงนั้นเป็นคนของสำนักแห่งนี้ มีเส้นสายมากมาย ตัวข้าไม่มีอาจารย์คอยดูแลที่นี่ แต่เหลียงหลงมีท่านผู้อาวุโสผู้สูงส่งเช่นท่านเป็นอาจารย์!
“ด้วยสถานะที่ต่างกันและระดับการฝึกตนที่ห่างชั้น ข้าจะกล้าลงมือฆ่าเขาหรือ ข้าไม่รู้ว่าเหลียงหลงแกล้งตายหรือเปล่าถึงได้หายตัวไป ข้าไม่อยากคาดเดาเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ รู้เพียงแค่ว่าตอนนั้นข้าเกือบตาย ร่างกายและวิญญาณเกือบจะแตกสลายไป” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อฟังดูเจ็บแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเขาสั่นเทา สุดท้ายชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกุมก่อนจะโค้งคำนับเฟิ่งชิวหรัน
“ข้าใคร่ขอให้ท่านผู้อาวุโสเฟิ่งปลดข้าออกจากตำแหน่งเจ้าเกาะ ข้า…ไม่กล้าจะดำรงตำแหน่งนี้อีกต่อไป ข้าพยายามที่สุดแล้วที่จะไม่สร้างความขัดแย้งกับผู้ใด ตอนที่สำนักต้องการธุรกิจของข้า ข้าก็ส่งต่อให้โดยไม่ปริปากพูดอะไร ไม่แม้แต่จะบ่นสักคำที่ได้ค่าชดเชยอันแสนจะไม่ยุติธรรม!
“พวกท่านอยากให้ข้าทำอะไรอีก ข้าควรจะทำเช่นไร ข้าขอความเมตตาจากท่านผู้อาวุโสเฟิ่งโปรดอนุญาตให้ข้าเดินทางกลับสหพันธรัฐ ที่แห่งนี้…อาจจะไม่เหมาะกับข้า” หวังเป่าเล่อจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะอันขมขื่น เขาก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรต่ออีก ก่อนจะแอบขยายสัมผัสของตนเพื่อควบคุมเชือกจากระยะไกล แต่ระยะทางนั้นห่างกันเกินไปทำให้ไม่สามารถจับสัมผัสได้ชัดเจน
สมองของชายหนุ่มแล่นไม่หยุด ทุกสิ่งที่พูดไปก่อนหน้าสื่อว่าตนเองเป็นเพียงเหยื่อแผนชั่วของเหลียงหลง เขาคิดอย่างหนักว่าจะทำให้สิ่งที่พูดไปฟังดูเหมือนเรื่องจริงได้อย่างไร
ชายหนุ่มพยายามคิดอย่างหนักขณะที่สีหน้ายังคงความสิ้นหวังไว้ เฟิ่งชิวหรันนิ่งเงียบไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ตอนแรกหญิงสาวก็นึกสงสัย แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำของชายหนุ่มนางก็อดทอดถอนใจอยู่ภายในไม่ได้
เมี่ยเลี่ยจื่อขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่เชื่อใจเหลียงหลงเท่าไหร่ ทั้งที่ถือไพ่เหนือกว่าแต่กลับต้องแพ้ให้อีกฝ่าย เมี่ยเลี่ยจื่อรู้ดีว่าศิษย์ของตนยังไม่ตาย แต่หายไปและหาไม่พบ
หรือว่าเหลียงหลงจะตั้งใจให้เรื่องเป็นเช่นนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อคิดขณะหรี่ตาลง
บทที่ 540 โบ้ยกันไปมา!
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อเป็นนักแสดงที่ใช้ได้เลยทีเดียว แต่เขาเองอายุยังน้อยและด้อยประสบการณ์ ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อนึกลังเลใจ ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็จับสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลขณะพินิจพิจารณาหวังเป่าเล่อ
ไม่จำเป็นต้องเค้นหาความจริงจากชายหนุ่ม เมี่ยเลี่ยจื่อแค่ยกเรื่องนี้มาใช้สู้กับเฟิ่งชิวหรันเท่านั้น แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะกว้างใหญ่มาก แต่ด้วยระดับการฝึกตนของเขา มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรในการตามหาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในสักคน ขอแค่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่และออกแรงตามหาอีกนิดเท่านั้น
เมี่ยเลี่ยจื่อเลือกไม่สนใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “นำทางไป!”
ศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เฟิ่งชิวหรันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหันไปจ้องหวังเป่าเล่อ นางเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มพูด พันธุ์กล้าสหพันธรัฐนั้นได้รับการดูแลไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งเกิดจากความเคลือบแคลงใจที่ก่อตัวขึ้นในฝ่ายของตนเอง นางแอบถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
“หวังเป่าเล่อ นำพวกข้าไปที่ที่เจ้ากับเหลียงหลงปะทะกัน ถ้าเจ้าเป็นเหยื่อแผนร้ายของเหลียงหลงจริง ข้าจะให้ความยุติธรรมกับเจ้า!”
หวังเป่าเล่อพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับแอบส่ายหัวอยู่ในใจ เขาตระหนักได้ว่าที่ฝ่ายเฟิ่งชิวหรันเสียเปรียบเช่นนี้เป็นเพราะลักษณะนิสัยของนางเอง
จากข้อมูลที่หวังเป่าเล่อเรียนรู้มาตั้งแต่มาอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล เขาคิดว่าแม้เฟิ่งชิวหรันจะมีระดับการฝึกตนสูง แต่นางก็ยอมคนเกินไป อีกทั้งยังไม่ค่อยมีวิธีจัดการและควบคุมคน ส่วนเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นหนักแน่นเด็ดเดี่ยว พอเวลาผ่านไป เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มควบคุมผู้ฝึกตนในฝ่ายของตนเองไม่ได้
ถ้าต้วนมู่น้อยอยู่ที่นี่ละก็…ไม่สิ ไม่ต้องถึงมือเขาก็ได้ แค่ขุนนางระดับสองสักคนในสหพันธรัฐที่มีระดับการฝึกตนสูงพอ ก็ไม่น่าจะต้องใช้เวลาและวิธีการอะไรมากมายในการทำให้คนอื่นๆ อยู่ภายใต้การควบคุม หวังเป่าเล่อถอนหายใจอยู่ภายในขณะแสร้งทำหน้าอมทุกข์ เขาโค้งคำนับเฟิ่งชิวหรัน จากนั้นก็เดินออกจากโถงใหญ่และทะยานไปยังเกาะที่ได้สู้กับเหลียงหลง
ความเร็วของหวังเป่าเล่อไม่ได้ช้าเลย แต่ก็ไม่อาจเทียบสองผู้อาวุโสได้ พอเขาทะยานขึ้นฟ้า เฟิ่งชิวหรันก็ยกมือขึ้นโบก แสงนุ่มนวลปรากฏขึ้นรอบกายชายหนุ่ม ก่อนเสียงของนางจะดังขึ้นในหู
“บอกทางข้า แค่ชี้บอกก็พอ!”
ชายหนุ่มกะพริบตาแสร้งทำเป็นคิด จากนั้นก็ชี้บอกทาง ทันทีที่พูดบอกทางเสร็จ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะหายวับไป เฟิ่งชิวหรันสะบัดชายชุดคลุมและนำทางหวังเป่าเล่อหายวับไปภายในก้าวเดียวเช่นกัน
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงกัมปนาทดังขึ้นในหู วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพร่ามัวราวกับว่ากำลังดำอยู่ในน้ำ พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าตนได้ออกจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาปรากฏ…ณ จุดที่เขาบอกเมื่อสักครู่แล้ว
ยังเหลือระยะห่างจากเกาะที่เหลียงหลงอยู่พอสมควร แต่เขาก็เชื่อว่าพอบอกทางไปอีกครั้งก็คงจะไปถึงได้ในทันที
นี่หรือขั้นเชื่อมวิญญาณ… หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เมี่ยเลี่ยจื่อแค่นเสียงทางจมูกด้วยความหงุดหงิด
“เร็วๆ!”
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก พยายามแสร้งทำเป็นนึกคิดด้วยใบหน้าอันซีดเผือด ถึงกับปล่อยพลังปราณออกมาช่วยหาตำแหน่งให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันนั้น เขาก็แอบเชื่อมจิตกับเชือก โชคดีที่ตรงนี้สามารถจับสัมผัสเชือกได้ ก่อนจะรีบสั่งการมันในทันที ชายหนุ่มพยายามถ่วงเวลาไว้ แต่ก็รู้ว่าคงทำไม่ได้นาน จึงรีบชี้บอกทางไป
เฟิ่งชิวหรันยกมือขึ้นโบก ทั้งสามหายตัวมาโผล่ ณ จุดที่หวังเป่าเล่อบอก ชายหนุ่มรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่เมี่ยเลี่ยจื่อจะทันได้พูดอะไรได้ “โปรดอย่าเร่งร้อนไป ท่านผู้อาวุโส เรื่องมันผ่านมานานแล้ว โปรดให้เวลาข้าสักหน่อย”
“ไม่ต้อง!” เมี่ยเลี่ยจื่อปรายตามองหวังเป่าเล่อ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เขาก้าวเท้าไปด้านหน้าก่อนจะหายวับไป เฟิ่งชิวหรันเองก็เหมือนจะสัมผัสบางสิ่งได้จึงหันมามองชายหนุ่ม
“เราจับสัมผัสของเหลียงหลงได้แล้ว” พูดจบ นางก็คว้าหวังเป่าเล่อและรีบตามไปในทันทีโดยไม่รอดูปฏิกิริยาของชายหนุ่ม ทั้งคู่หายตัวไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งที่เกาะร้างแห่งหนึ่ง
มันเป็นเกาะที่หวังเป่าเล่อและเหลียงหลงสู้กันก่อนหน้านี้ เมี่ยเลี่ยจื่อที่มาถึงก่อนหน้าเล็กน้อยกำลังลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตาจ้องเขม็งไปยังใครคนหนึ่งที่กำลังนอนราบอยู่บนเกาะ!
ใครคนนั้นนอนไร้สติ หายใจอ่อนแรง ร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คนผู้นั้นคือเหลียงหลงนั่นเอง!
เมื่อทั้งสามมาถึงบนเกาะ หวังเป่าเล่อก็รีบมองไปทางเหลียงหลงและพบว่าเชือกบนตัวหายไปแล้ว เขาแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่เชือกฉลาดพอจะหนีไปได้ทันเวลา มิเช่นนั้นชายหนุ่มคงต้องแก้ตัวเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มยังนึกได้อีกว่า เมื่อเชือกหายไป เหลียงหลงก็หลุดจากการถูกผนึกทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อสามารถจับสัมผัสเขาได้
พลังผนึกของเชือกแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเลยหรือ หวังเป่าเล่อใจเต้นระส่ำเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาสงสัยว่าเมี่ยเลี่ยจื่ออาจจะไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ในการตามหาเหลียงหลง
แม้จะไม่มั่นใจในรายละเอียดนัก แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจความสามารถแสนประหลาดของเชือกมากขึ้น ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยกมือขวาขึ้นชี้เหลียงหลงที่นอนหมดสติอยู่
ร่างของเหลียงหลงสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ดูสับสนไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัวสั่นเทิ้มและเรียกสติคืนได้เมื่อได้ยินเมี่ยเลี่ยจื่อแค่นเสียงทางจมูก เขาจ้องไปทางอาจารย์ที่ลอยอยู่บนฟ้า รีบลุกขึ้นนั่งและโค้งคำนับด้วยร่างอันสั่นเทา น้ำตาไหลอาบแก้มขณะร้องสะอื้นเสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้
“ท่านอาจารย์ ในที่สุดท่านก็มาช่วยข้า!” เหลียงหลงร้องไห้คร่ำครวญ เป็นเสียงร้องที่บ่งบอกว่าเพิ่งจะประสบเหตุเสี่ยงตายมา ฟังแล้วดูน่าเวทนา แม้แต่หวังเป่าเล่อยังรู้สึกสงสารเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่าย
เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้วขณะมองดูเหลียงหลงร้องสะอึกสะอื้น เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ดูไม่ค่อยพอใจเช่นกัน เขาพูดขึ้นเสียงเบา “บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านอาจารย์ เป็นเพราะเจ้าหวังเป่าเล่อคนบาป! มันเป็นคนทำ! ข้ากำลังเดินทางผ่านเกาะแห่งนี้เพื่อไปปฏิบัติภารกิจ แต่กลับถูกซุ่มโจมตีและได้รับบาดเจ็บหนัก มันใช้กลวิธีต่างๆ มาทำให้ข้าต้องอับอาย จากนั้นก็จับข้ามัดไว้แล้วปล่อยให้ข้าตายลงบนเกาะนี้ เจ้านั่นใช้เชือกต้องสาปมีอิทธิฤทธิ์ผนึกพลังปราณและจิตสัมผัสของข้า ข้าต้องพบเจอชะตากรรมที่แย่ยิ่งกว่าความตาย! โปรดให้ความยุติธรรมแก่ข้า! โปรดให้ความยุติธรรมเพื่อสำนักวังเต๋าไพศาล!” เหลียงหลงกัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำ ชายหนุ่มเห็นหวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างเฟิ่งชิวหรัน แม้ตอนนี้สมองของเขาอาจไม่ได้ปลอดโปร่งเหมือนเวลาปกติ แต่ก็รู้จักนิสัยของอาจารย์ตนเองดี ที่อาจารย์ตนต้องการก็แค่เหตุผลให้ลงมือ
ชายหนุ่มไม่คิดอะไรมาก รีบโกหกออกไปในทันใด
หวังเป่าเล่อคิดมาตลอดทางว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งที่พูดไปดูน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เขาคิดออกหลายวิธีแต่ก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ทว่าพอเหลียงหลงเริ่มโบ้ย ชายหนุ่มก็แสนสุขใจเมื่อเห็นโอกาสอยู่ตรงหน้า เขารีบตีหน้าเศร้าพร้อมกุมมือโค้งให้เฟิ่งชิวหรันทันที
“ท่านผู้อาวุโสเฟิ่ง ข้าบอกท่านแล้วก่อนหน้านี้ว่าข้าหลบหนีออกมาได้เพราะใช้วัตถุเวทช่วย ที่ศิษย์พี่เหลียงหลงพูดมาเป็นเรื่องโกหก ถ้าข้าถือไพ่เหนือกว่าจริงๆ ถ้าข้าสามารถข่มขู่และผนึกพลังเขาไว้ได้จริง เหตุใดข้าถึงไม่ฆ่าเขาทิ้งให้จบๆ ไปเสีย เหตุใดข้าถึงไม่ชิงกระเป๋าคลังเวทของเขามา ดูจากตำแหน่งของศิษย์พี่เหลียงหลงแล้ว ของในกระเป๋าน่าจะมีค่าไม่น้อย!” เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ เหลียงหลงก็หน้าตื่นทันใด ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้สติกลับมาครบสมบูรณ์ เขานึกออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พยายามขโมยกระเป๋าคลังเวทของตนแม้แต่น้อย
เขามองข้ามเรื่องนี้ไปเพราะเมื่อครู่ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่ ชายหนุ่มหายใจถี่รัว รีบแย้งขึ้นอย่างร้อนรน
“หวังเป่าเล่อ เจ้ามันคนชอบโกหก! ที่เจ้าไม่ฆ่าและขโมยกระเป๋าไปก็เป็นเพราะว่าเจ้าไม่กล้าพอ! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอาจารย์ข้าสามารถย้อนเวลาได้ ท่านสามารถตรวจสอบได้ว่าใครกันแน่ที่ทำให้ข้าตาย!”
หวังเป่าเล่อแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาถึงกับแอบยกนิ้วให้เหลียงหลงอยู่ในใจ ด้วยความช่วยเหลืออย่างไม่ตั้งใจของเหลียงหลง ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถจัดการปัญหายุ่งยากมากมายให้กลายเป็นปัญหาเดียวได้
ทุกอย่างมาบรรจบที่คำถามเดียว นั่นก็คือ ใครกันแน่ที่เป็นคนซุ่มโจมตี
คำตอบของคำถามข้อนี้จะช่วยสร้างเหตุผลให้ตนเองได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็กัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นเสียงดังด้วยน้ำเสียงระคนความเจ็บแค้น “ถ้าเช่นนั้น ท่านเมี่ยเลี่ยจื่อ ช่วยใช้คาถาย้อนเวลา โปรดดูให้เห็นด้วยตาของท่าน…ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนซุ่มโจมตี!”
บทที่ 541 สัญญาณอันตราย!
Ink Stone_Fantasy
เหลียงหลงหน้าถอดสีเมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด ในที่สุดสมองก็ตื่นเต็มที่ เขาหยุดหายใจไปชั่วครู่เมื่อรู้ว่าตนทำพลาดไป ชายหนุ่มอยากแก้ไขข้อผิดพลาด แต่ก็โดนหวังเป่าเล่อเล่นงานเอาเสียแล้ว ไม่มีทางใดเลยที่จะสามารถแก้สถานการณ์ให้กลับคืนมาได้ ขณะที่กำลังลนลาน เมี่ยเลี่ยจื่อที่คอยอยู่เงียบๆ ก็ส่ายหัว
“เหลียงหลง เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองพลาดตรงไหน”
“ศิษย์ผู้ต่ำต้อย…” เหลียงหลงนิ่งไป หวังเป่าเล่อหรี่ตามองก่อนจะเดินไปทางเฟิ่งชิวหรัน สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม มีเพียงดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยขณะหันไปมองเมี่ยเลี่ยจื่อ
“เจ้าผิดที่ยึดติดกับเหตุผล คิดแต่ว่าตนจะต้องถูก” แววตาของเมี่ยเลี่ยจื่อแฝงไว้ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เขาหันหน้ามาอีกทางและยกมือขึ้นคว้าหวังเป่าเล่อในทันที
ฟ้าพลันเปลี่ยนสี ลมกรรโชกพัดปั่นป่วนเมฆา ทะเลเพลิงปะทุเดือด พลังมหาศาลแปรเปลี่ยนกลายเป็นพายุ ส่งเสียงขู่คำรามพร้อมฉีกทุกอย่างที่ขวางหน้าเป็นชิ้นๆ พายุเคลื่อนตัวไปทางหวังเป่าเล่อ หมายจะกลืนกินเขาทั้งเป็น
ภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา แต่ชายหนุ่มกลับไม่อาจขยับตัวได้ราวกับว่าพลังปราณถูกข่มเอาไว้ ภาพตรงหน้าเป็นเหมือนช่องว่างที่แบ่งแยกเขากับเมี่ยเลี่ยจื่อ และในโลกแห่งนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อนั้นเป็นดั่งเทพ!
โชคดีที่เมี่ยเลี่ยจื่อไม่ใช่เทพเพียงองค์เดียวของที่นี่ แต่ยังมีเฟิ่งชิวหรันด้วยเช่นกัน!
เฟิ่งชิวหรันยกมือขวาขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มโจมตี หญิงสาวชี้นิ้วไปทางเมี่ยเลี่ยจื่อ ระลอกน้ำพลันปรากฏขึ้นใต้เท้านางทันใด ระลอกน้ำกระจายวงกว้างออกไปก่อนจะกลายเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ในชั่วพริบตา คลื่นยักษ์ก่อตัวขึ้นรอบทิศทางก่อนจะพุ่งเข้าปะทะคนตรงหน้าส่งเสียงกึกก้องดังไปทั่วบริเวณ
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดๆ ออกจากปาก เหลียงหลงเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขาสัมผัสได้ว่ามีเลือดไหลออกจากทุกช่องทางบนใบหน้าและพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ มีเพียงเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันที่ยังคงยืนหยัดอยู่ ชุดคลุมของทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย แต่เกาะร้างใต้เท้านั้น…กลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปจากกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทะเลเพลิงปะทุขึ้นมาแทนที่ ราวกับว่าไม่เคยมีเกาะแห่งนี้อยู่ตั้งแต่ต้น
“หวังเป่าเล่อ เจ้าหาทางเอาตัวรอดได้แล้วอย่างไร” เมี่ยเลี่ยจื่อยืนไพล่มือไว้ด้านหลังอยู่กลางอากาศ ก้มมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา
“จำเอาไว้ว่าถ้าเจ้ากล้าเล่นแง่อะไรกับศิษย์ข้าอีก เจ้าได้มีชะตากรรมไม่ต่างจากเกาะแห่งนี้แน่!” เมี่ยเลี่ยจื่อผงกหัวให้เฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะพาเหลียงหลงที่บาดเจ็บหนักจนหมดสติหายวับออกไป
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เฟิ่งชิวหรันหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ลืมตา นางเหมือนตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน นางถอนหายใจ หันหลังและจากไป
เหลือทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มที่ยังคงลอยค้างกลางอากาศอยู่เนิ่นนาน เขามองทอดสายตาไปทางที่เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันกลับออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็หรี่ตาลง
พึ่งพาตนเองคงจะดีกว่าไปพึ่งพาคนอื่น ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่ค่อยสู้คน นางอาจเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของสหพันธรัฐ แต่ไม่คนที่ข้าจะพึ่งพาได้…
ท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ต้องพึ่งพากำลังของตนเอง…ขั้นเชื่อมวิญญาณหรือ ถ้าเขาตั้งใจจะฆ่าข้าจริงๆ ข้าจะลองสู้ดูสักตั้งและเรียกแม่นางน้อยออกมา จากนั้นก็หนีไปยังเขตตัวกระบี่! หวังเป่าเล่อส่ายหัว จากนั้นก็สูดหายใจลึก เขาก้าวไปด้านหน้า ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไแต่ไปที่เกาะเพลิงเขียวแทน
เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาถึงเกาะของตนเอง เขาก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ภาพการโจมตีครั้งสุดท้ายของเมี่ยเลี่ยจื่อปรากฏขึ้นในหัว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาล เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เขาอยากบรรลุขั้นการฝึกตนมากขึ้นไปอีก
ข้าต้องบรรลุขั้นจุติวิญญาณให้เร็วที่สุด! เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็น่าจะควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืดได้มากขึ้น! หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกที่บันทึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงไว้ออกมาและตั้งใจอ่านวิชาขั้นที่สอง
วิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงทำให้เขาสร้างอัสนีอวตารที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรบขึ้นมาได้ เขาต้องคอยหล่อเลี้ยงอัสนีอวตารไว้ภายในกาย และอัสนีอวตารจะปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังดั้งเดิมของเขาออกมา
แต่ถ้าอัสนีอวตารถูกทำลาย เขาก็จะได้รับผลกระทบรุนแรง อัสนีอวตารนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แก่นในของหวังเป่าเล่อนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ ชายหนุ่มคิดว่าหากแก่นในอัสนีเสียหาย ผลกระทบที่ได้รับน่าจะหนักไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตราย และเขาน่าจะสามารถเอาชีวิตรอดได้
หลังจากได้ข้อสรุป หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเลใจ รีบหลับตาเข้าสู่ห้วงสมาธิเพื่อฝึกวิชาขั้นที่สองของอัสนีนิรันดร์จำแลง เขากินโอสถที่ได้มาก่อนหน้านี้ไปเรื่อยๆ เมื่อระดับพลังปราณเริ่มเพิ่มพูน ระดับการฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางก็เริ่มคงที่ขึ้น จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆ พัฒนาไปยังขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหลียงหลงไม่ได้กลับมาที่เกาะตลอดทั้งเดือน แม้เมี่ยเลี่ยจื่อจะกล่าวเตือนหวังเป่าเล่อเอาไว้ แต่เหลียงหลงก็กลัววิธีการของหวังเป่าเล่อขึ้นสมองจึงเลือกหลีกเลี่ยงไม่เจอหน้าตามสัญชาตญาณ
เชือกพิลึกกลับมาหาหวังเป่าเล่อในคืนหนึ่ง…
ยังมีเรื่องของเจ้าลาอีก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าครั้งนี้ตนจะฝึกวิชานานเท่าใด จึงปล่อยเจ้าลาให้ออกไปหาอาหารกินเอง อย่างไรเสียเจ้าลาก็สามารถแปลงกายเป็นงูเหลือมขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ได้ ดูแล้วมันน่าจะดูแลตนเองได้อย่างไม่มีปัญหา ขอแค่ไม่ไปยั่วบาทาพวกคนใหญ่คนโตเข้าก็พอ
เจ้าลาแสนตื่นเต้นเมื่อเจ้านายปล่อยออกมา ตอนแรกคิดว่าจะต้องหิวจนตายเอาเสียแล้ว มันรีบพุ่งออกไปทันทีที่ถูกปล่อย เข้าไปกัดกินหินภูเขาคำโตก่อนจะหันไปแทะต้นไม้ใบหญ้า มันหิวเสียจนซดลาวาไปอึกใหญ่
ชายหนุ่มไม่สนใจเจ้าลา หันกลับไปเก็บตัวฝึกวิชาต่อ ขณะที่ระดับการฝึกตนค่อยๆ พัฒนาขึ้น ก็มีเส้นสายฟ้ามากมายปรากฏขึ้นรอบกาย เส้นสายฟ้าค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นก่อนที่ภาพมายาของตนจะเริ่มปรากฏขึ้นทับซ้อนกายาจริง
ราวกับว่าเขากำลังสร้างร่างอวตารของตนอยู่กระนั้น
เห็นได้ชัดว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยในการฝึกวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงจนเชี่ยวชาญ เขาพึ่งจะสามารถสร้างร่างต้นแบบแรกเริ่มของร่างอวตารได้ ขณะที่กำลังฝึกวิชาอยู่ อวิ๋นเพียวจื่อก็แจ้งข่าวดีเข้ามา
ชายอ้วนหาลูกค้าใจดีที่จะมาซื้อเรือวิญญาณของหวังเป่าเล่อได้สำเร็จ ลูกค้ารายนี้ตั้งใจจะซื้อเรือทั้งหมด ราคาที่ได้เกือบจะเท่าราคาทุนที่ใช้สร้างเรือ นั่นก็คือลำละสามร้อยแต้ม!
หวังเป่าเล่อรีบติดต่อไปเจรจากับอวิ๋นเพียวจื่อด้วยความสุขใจ เขาเก็บเรือจำนวนหนึ่งไว้กับตัวแล้วขายที่เหลือไปหมด ได้แต้มการรบมากกว่าหมื่นหกพันแต้ม
ชายหนุ่มได้อ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาอย่างละเอียด เขาไม่มีทางเก็บรายได้ทั้งหมดไว้คนเดียว ถึงแม้จะอยากทำ ก็คงไม่ลงมือกับเรื่องที่มีคนรู้มากมายเช่นนี้ หวังเป่าเล่อส่งแต้มไปให้อวิ๋นเพียวจื่อสามพันแต้มเพื่อแสดงความขอบคุณ ก่อนจะส่งไปเพิ่มอีกสองพันแต้ม และบอกให้อวิ๋นเพียวจื่อช่วยส่งต่อให้พี่ชายร่วมตระกูล เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยบอกเตือนในวันนั้น
อวิ๋นเพียวจื่อดีใจมากเมื่อได้รับแต้มการรบ มั่นใจมากว่าต้องรักษามิตรภาพกับหวังเป่าเล่อเอาไว้ พี่ชายของชายอ้วนเองก็ยิ้มเมื่อได้รับแต้มเช่นกัน เขายังไม่ค่อยชอบผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐนัก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกต่อหวังเป่าเล่อแตกต่างออกไป
เขามีทั้งพลังและปฏิภาณไหวพริบ…หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา!
หวังเป่าเล่อมองแต้มการรบสามหมื่นกว่าแต้มที่มีด้วยความพึงพอใจ เขาฝึกวิชาต่ออย่างเป็นสุข นอกจากจะฝึกวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงแล้ว ยังแบ่งเวลามาศึกษากระบวนเวทเกราะจักรพรรดิที่ได้รับสืบทอดมาอีกด้วย!
หลังจากศึกษาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจวิชาสืบทอด อธิบายง่ายๆ ก็คือการสร้างกายเนื้อขึ้นมานอกร่างของตนเอง มีความคล้ายคลึงกับกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงและวิชาอัสนีอวตาร แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
วิชาอัสนีอวตารเป็นภาพมายา ส่วนกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิเป็นของจริง!
วิชาอัสนีอวตารใช้ปล่อยออกจากร่าง ส่วนกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิใช้ห่อหุ้มร่าง ไม่อาจแยกออกจากร่างได้
คำว่ากายเนื้อของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิเป็นแค่คำเปรียบเปรย จริงๆ แล้วเป็นการสร้างเกราะขึ้นมาจากเลือดเนื้อเพื่อห่อหุ้มกายจริงเอาไว้!
สิ่งนี้คือเกราะจักรพรรดิ
ขั้นตอนแรกในการฝึกวิชาสืบทอดคือการสร้างเส้นปราณสีโลหิตบนผิวหนัง เส้นปราณจะแผ่กระจายไปทั่วร่างเหมือนเถาวัลย์ ก่อเกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานขึ้น!
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจะถือว่าสำเร็จขั้นแรกของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ หวังเป่าเล่อจินตนาการภาพในหัว ร่างกายเขาคงจะดูแปลกและน่ากลัวไม่น้อยเมื่อฝึกขั้นนี้ได้สำเร็จ!
ขั้นต่อไปคือการสร้างโครงสร้างกระดูกนอกร่างกาย โดยจะต้องสร้างกระดูกที่สามารถหลอมรวมกับเส้นปราณได้ เป็นเหมือนการปลูกกระดูกขึ้นบนร่าง ส่งผลให้พลังต้านทานของเขาเพิ่มสูงถึงขีดสุด!
สุดท้าย เมื่อชุดเกราะเลือดเนื้อปรากฏขึ้นบนร่างแล้ว จะถือว่าสำเร็จขั้นสุดท้ายของวิชาสืบทอด!
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นประสิทธิผลที่จะได้มา!
ทั้งสามขั้นไม่ยึดกับระดับการฝึกตน โดยพลังจะเพิ่มขึ้น สาม หก และเก้าเท่าในแต่ละขั้น!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น