หมอดูยอดอัจฉริยะ 536-541
ตอนที่ 536 จี๋เหล่าต้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่จี๋คะ พี่ไปหลงพวกสาวเวียดนามมาใช่ไหมล่ะ? คราวนี้ไปเสียนานเลยนะ ฉันคิดถึงพี่แทบแย่แน่ะ…”
ผู้หญิงที่ถูกจี๋เหล่าต้าเย้าแหย่อยู่นี้ หลังจากใช้มือคลำน้องชายที่อ่อนปวกเปียกนั้นเป็นนานสองนานก็ยังไม่เกิดปฏิกิริยา จึงอดก่นด่าในใจไม่ได้ ‘ไอ้ตัวไร้ประโยชน์นี่ อยู่บนเตียงได้แค่ไม่ถึงห้านาที เดี๋ยวแม่ก็ต้องกลับไปจัดการเองอีกแล้วสิเนี่ย’
“นังร่าน มีแต่ฉันถึงจะทำให้แกสมใจได้ใช่ไหมล่ะหา?”
จี๋เหล่าต้ามีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก แต่ถ้าเขารู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายกำลังเรียกเขาในใจว่า ‘พี่เหี่ยว’ ละก็ ไม่รู้จะบีบคอหล่อนตายไปเลยไหม?
“ก็แน่สิคะ พี่จี๋น่ะเก่งที่สุดเลย” ร่างอันนุ่มนิ่มของฝ่ายหญิงเกาะเกี่ยวจี๋เหล่าต้าอย่างกับเป็นงูตัวหนึ่ง “พี่จี๋ ทำไมพี่ไม่พาสาวกลับมาจากเวียดนามด้วยสักสามสี่คนล่ะคะ?”
หญิงคนนั้นรู้ว่า อาศัยความสามารถของจี๋เหล่าต้า วันนี้อย่าหวังว่าจะมีรอบสองเลย ถึงปากจะกำลังพูดถึงหญิงคนอื่น แต่ดวงตากลับกวาดไปที่กระเป๋าถือของจี๋เหล่าต้าที่วางอยู่บนหัวเตียงเป็นระยะๆ
“ฮ่าๆ พี่จี๋ชอบแกก็ที่ตรงนี้แหละ เวลาอยากได้อะไรก็จะพูดอ้อมๆ ไม่เหมือนพวกต่ำๆ พวกนั้น แค่ถอดกางเกงก็แบมือจะเอาเงินแล้ว!”
จี๋เหล่าต้าเป็นคนประเภทไหนกัน? ตั้งแต่สมัยอายุเจ็ดแปดขวบก็หัดล้วงกระเป๋าตามสถานีรถไฟแล้ว ความสามารถในการอ่านภาษากายของเขาไม่ใช่ระดับที่คนทั่วๆ ไปจะทำได้เลย ยามนั้นจึงยื่นมือไปหยิบหยกสีเขียวเข้มชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือบนหัวเตียง “เอาไปซะสิ เจ้านี่น่ะมีค่าหลายหมื่นเลยละ”
“ขอบคุณค่ะพี่จี๋” ฝ่ายหญิงหอมแก้มจี๋เหล่าต้าหนึ่งฟอด หลังจากรับหยกชิ้นนั้นไปแล้ว ดวงตาก็กลับยังแลไปที่ธนบัตรปึกหนาในกระเป๋าถือใบนั้นอีก
“ปัดโธ่ ตาแกเห็นอยู่แค่เงินเนี่ยนะ?” จี๋เหล่าต้าตบก้นของฝ่ายหญิงอย่างแรงหนึ่งที แล้วหยิบเงินปึกนั้นออกมา แบ่งมาครึ่งหนึ่งแล้วโยนให้ฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิงดีใจมาก ส่งสายตาหว่านเสน่ห์ให้จี๋เหล่าต้า แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ “พี่จี๋คะ หรือไม่…คืนนี้ไม่ต้องไปแล้วดีไหมคะ?”
เพราะเห็นแก่เงินเหล่านี้ ฝ่ายหญิงจึงพร้อมใจที่จะทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้จี๋เหล่าต้าได้เสร็จสมอีกสักครั้งหนึ่ง แน่นอนว่า เป้าหมายหลักของเธอก็คือเงินอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋านั่นเอง
“ถ้ายังไม่ไปอีกเดี๋ยวก็โดนแกสูบจนหมดตัวกันพอดีน่ะสิ ทำความสะอาดเดี๋ยวนี้เลย”
จี๋เหล่าต้าส่ายหน้า ขยุ้มผมของฝ่ายหญิงไว้ กดหน้าของหล่อนลงไปที่กายส่วนล่าง หลังจากคราบเปรอะเปื้อนที่กายส่วนล่างถูกเลียไปจนเกลี้ยงแล้ว ก็ผลักฝ่ายหญิงออกไป แล้วเริ่มหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่
จี๋เหล่าต้าเป็นคนหื่นกามมาก เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในถิ่นเจียงซี
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ตั้งแต่จี๋เหล่าต้านอนกับผู้หญิงครั้งแรกตอนอายุสิบสาม จนถึงตอนนี้ก็สี่สิบกว่าปีมาแล้ว เขายังไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนไหนข้ามคืนเลยสักคน
สาเหตุนั้นมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อของจี๋เหล่าต้าในอดีต
พ่อของจี๋เหล่าต้า ก็คือทายาทอีกสายหนึ่งของตระกูลโจวที่เจียงซีนั่นเอง หลังจากแอบขโมยวิชายุทธที่ถ่ายทอดในตระกูลสายตรงมาได้ พวกนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ของวงการศาสตร์ลี้ลับในมณฑลเจียงซีทันที
แต่พ่อของจี๋เหล่าต้าไปจนถึงรุ่นปู่นั้น ต่างก็เป็นพวกใจคดกันทั้งนั้น ในสมัยที่กองทัพญี่ปุ่นบุกรุกจีน เพียงไม่นานตระกูลสายนี้ก็ถูกแก๊งมังกรดำของญี่ปุ่นทุ่มเงินฟาดหัวไป กลายเป็นตัวการผู้ขายชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในมณฑลเจียงซีสมัยนั้น
เวลาที่คนในวงการศาสตร์ลี้ลับก่อเรื่องเลวทรามขึ้นมา ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ระดับที่คนธรรมดาจะเทียบได้เลย ตระกูลโจวไม่เพียงพาพวกคนญี่ปุ่นมาล้อมโจมตีกลุ่มศาสตร์ลี้ลับในประเทศเท่านั้น แต่ยังนำศาสตร์ลับไปใช้ในการขโมยข้อมูล ส่งผลให้กองทัพฝ่ายจีนในสนามรบแนวหน้าพ่ายแพ้ติดต่อกัน เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
พวกกากเดนในวงการศาสตร์ลี้ลับเหล่านี้ ย่อมไม่มีที่อยู่ในยุทธภพอยู่แล้ว โก่วซินเจียจึงยกค่ายสำนักต่างๆ ในประเทศไปบุกกวาดล้างในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษของตระกูลโจว
ครั้งนั้นเรียกได้ว่าเป็นการสัประยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการศาสตร์ลี้ลับในประเทศ มียอดฝีมือมาชุมนุมกันหลายร้อยคน ศาสตร์แต่ละแขนงถูกใช้ออกมาพร้อมกัน จนฟ้าสะท้านดินสะเทือน ทำให้เมืองเล็กๆ อันเป็นที่ตั้งของตระกูลโจวนั้นพังไปครึ่งหนึ่ง
แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังสามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดในวันเดือนปีนั้นได้อยู่ แต่แน่นอนว่า ความจริงได้สูญหายไปกับสายธารแห่งประวัติศาสตร์เสียนานแล้ว
ในการบุกโจมตีครั้งนี้ ตระกูลโจวสายข้างแทบจะถูกขุดรากถอนโคน แต่มีอยู่หนึ่งคนที่รอดพ้นมาได้เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น และเขาก็เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในตระกูลโจวเช่นกัน
คนผู้นี้ก็คือโจวต้าหมาจื่อ พ่อของจี๋เหล่าต้านั่นเอง เขาเป็นคนมักมากในกามตัณหาอย่างร้ายแรง ตอนนั้นแม้จะกลับบ้านไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่พิธียังไม่ทันเสร็จสิ้น เขาก็แอบหนีไปหาผู้หญิงที่หอนางโลมในเมืองเสียก่อน
เสียงระเบิดดังสนั่นในยามดึกปลุกโจวต้าหมาจื่อให้ตื่นขึ้นมาจากอ้อมอกของผู้หญิง เมื่อเขาเห็นว่าทิศทางที่เกิดการระเบิดขึ้นนั้นตรงกับตำแหน่งบ้านตระกูลของตัวเองพอดี ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใส่เสื้อผ้ามุดออกไปทันที
ตระกูลอันยิ่งใหญ่ถูกกวาดล้างไปจนหมดแล้ว และโจวต้าหมาจื่อก็ไม่กล้าไปหาเจ้านายชาวญี่ปุ่น จึงไปอาศัยตามลำพังที่ชนบท ระหว่างนั้นก็แต่งงานกับหญิงสาวชาวบ้าน และให้กำเนิดจี๋เหล่าต้ามา
ผ่านไปไม่ถึงสองปีญี่ปุ่นก็ยอมแพ้สงคราม ส่วนตระกูลโจวก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว และเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน ประเทศจีนในสมัยนั้นยังเกิดศึกภายในขึ้นอีก สถานการณ์จึงกลับวุ่นวายยิ่งขึ้น
โจวต้าหมาจื่อใช้ชีวิตอย่างหรูหราจนเคยชินมาตั้งแต่เด็ก และตอนนั้นเพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ ก็ต้องไม่อยากอุดอู้อยู่ในชนบทแบบนั้นไปทั้งชาติเป็นธรรมดา
ดังนั้นโจวต้าหมาจื่อจึงพาลูกชายที่เพิ่งเกิดมาไปยังเมืองอีกเมืองหนึ่งในมณฑลเจียงซี และเปลี่ยนจากแซ่โจวเป็นแซ่จี๋ พึ่งพาอดีตลูกน้องสมัยที่ทำการขายชาติคนหนึ่ง จนกลายสถานะเป็นรองผู้บัญชาการกองรักษาการณ์ประจำเมือง
หลังจากอุดอู้อยู่ในชนบทมานานหลายปี พอโจวต้าหมาจื่อได้ไปอยู่ในเมืองก็เริ่มออกลายทันที วันๆ ไปเที่ยวอยู่แต่ในหอนางโลมตามตรอกซอย ภรรยาที่บ้านตักเตือนไปไม่กี่คำ ก็ถึงกับถูกเขาบีบคอตายไปเลย
จะว่าไปแล้วโจวต้าหมาจื่อนี่ก็พิลึกคนแท้ๆ พอลูกชายไม่มีแม่ดูแลแล้ว เขาก็ดันพาลูกที่เพิ่งจะอายุไม่กี่ขวบไปเที่ยวหอนางโลมด้วย ชีวิตผ่านไปแบบนี้ประมาณสองสามปี ตอนนั้นจี๋เหล่าต้าก็อายุได้ห้าหกขวบแล้ว
แม้ว่าโจวต้าหมาจื่อจะพรางตัวได้ดีมากแล้ว แต่เพราะเหตุบังเอิญครั้งหนึ่ง เขาจึงถูกคนในวงการศาสตร์ลี้ลับคนหนึ่งพบตัวเข้าจนได้ ในคืนหนึ่งที่โจวต้าหมาจื่อไปพักอยู่ที่หอนางโลม ก็ถูกคนฟันศีรษะขาดลงมา
ฉากนี้จี๋เหล่าต้าในตอนนั้นได้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจลืมภาพที่เลือดของพ่อสาดเปื้อนไปบนผิวหนังขาวผ่องของหญิงคนนั้นได้เลย รวมถึงดวงตาที่ตายตาไม่หลับของพ่อด้วย
เมื่อไม่มีพ่อแล้ว จี๋เหล่าต้าจึงกลายเป็นเด็กจรจัด เคราะห์ดีที่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการสถาปนาประเทศ และเขาก็ถูกรัฐบาลส่งไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง
แต่หลังจากเรียนหนังสืออยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปได้ไม่กี่ปี จี๋เหล่าต้าก็ทนการถูกควบคุมแบบนั้นไม่ได้ จึงแอบหนีออกมา วันๆ ก็ไปลักเล็กขโมยน้อยตามสถานที่ที่มีคนมากๆ อย่างสถานีรถ จนเกิดเป็นความชำนาญขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
เมื่อถึงตอนที่อายุสิบสามสิบสี่ปี จี๋เหล่าต้าก็กลายเป็นหัวโจกของพวกขโมยในถิ่นนั้นแล้ว ร่างกายก็เติบโตขึ้นจนเริ่มใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ในใจจึงเริ่มเกิดความใคร่ต่อสตรี
ตอนที่จี๋เหล่าต้ากดผู้หญิงลงไปกับพื้นเป็นครั้งแรกนั้น ในสมองเขาก็ฉายภาพของพ่อที่เขาเห็นสมัยเด็กขึ้นมาเอง เจ้าน้องน้อยที่อยู่ส่วนล่างนั้นอยู่ไปได้แค่สองนาทีก็เหี่ยวแล้ว ไม่ได้สมกับกิตติศัพท์ของพ่อเลยสักนิด
แต่จี๋เหล่าต้ายังนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง เขาจำได้ว่า พ่อเคยพาตัวเองไปที่ถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วฝังเงินทองจำนวนหนึ่งและกล่องอีกหนึ่งใบไว้ในนั้น
จี๋เหล่าต้าอาศัยความทรงจำในวัยเด็ก และใช้เวลาไปหนึ่งปี เที่ยวลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขาหลายแห่ง ในที่สุดก็หาพบถ้ำแห่งนั้น และนำสิ่งของที่พ่อฝังไว้ออกมาได้
ของที่นำออกมานี้ประกอบด้วยทองคำแท่งละหนึ่งตำลึงสิบแท่ง นอกจากนี้ก็มีกล่องใส่หนังสือที่จี๋เหล่าต้าอ่านไม่รู้เรื่องเลยอีกหลายเล่ม
ตอนนั้นจี๋เหล่าต้าก็ไม่ค่อยสนใจหนังสือเหล่านี้เท่าไรนัก แต่เพราะเป็นมรดกตอทอดจากพ่อ เขาจึงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ส่วนทองคำเหล่านั้นก็ถูกเขานำไปใช้พัฒนาแก๊ง
เนื่องจากสมัยเด็กอยู่กับพ่อและได้เห็นการหลอกโกงสารพัด จี๋เหล่าต้าจึงไม่เพียงแค่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ยังระแวงผู้อื่นอย่างยิ่งอีกด้วย เมื่อถึงตอนที่เขาอายุยี่สิบกว่าปี ก็ได้กลายเป็นหัวโจกของหมู่นักต้มตุ๋นทั้งหมดในหลายเมืองละแวกนั้นอย่างรวดเร็ว
แต่โชคของจี๋เหล่าต้าก็ไม่ได้ดีนัก ขณะที่เขากำลังกระเหี้ยนกระหือรือเตรียมจะทำการใหญ่ การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ครั้งนั้นก็เริ่มขึ้นเสียก่อน จี๋เหล่าต้ารู้ว่าพ่อของเขาไม่ใช่คนดีอะไร ตัวเขาคงไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบแน่ๆ จึงได้แต่ยุติแผนการและเร้นกายอยู่ตามลำพัง
ในช่วงหลายปีนี้ จี๋เหล่าต้าว่างจนสุดจะเบื่อ ก็เลยนำหนังสือที่พ่อทิ้งไว้ให้มาศึกษาอย่างละเอียด ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ประวัติของตระกูลโจวในช่วงหลายสิบปีมานี้ และสาเหตุที่แท้จริงที่ตระกูลถูกกวาดล้างไป
เรื่องนี้ทำให้จี๋เหล่าต้ายิ่งขี้ระแวงมากกว่าเดิม หลังจากการเคลื่อนไหวครั้งนั้นยุติไปหลายปีแล้ว เขาถึงจะเริ่มแอบสร้างอิทธิพลขึ้นมา แต่ตัวเองกลับหลบอยู่หลังฉาก
จะว่าไปแล้วจี๋เหล่าต้าก็นับว่ามีพรสวรรค์อยู่ อาศัยเพียงหนังสือศาสตร์ลับตระกูลโจวไม่กี่เล่มนั้น เขาก็ศึกษาแก่นสำคัญของวิชาเสี่ยงทายได้แล้ว อย่างสมัยที่มีมาตรการโหดเมื่อปี 1983 นั้น เขาก็หลบรอดไปได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย
ภาษิตว่า ยิ่งอยู่ในยุทธภพนานยิ่งขลาดเขลาขี้ระแวง ประโยคที่จี๋เหล่าต้าเชื่อถือมากที่สุด ก็คือคำพูดของตู้เยวี่ยเซิงในสมัยนั้นที่ว่า ‘คนขี้ขลาดมักจะสามารถทำการใหญ่ได้!’
จี๋เหล่าต้ายึดถือคำพูดนี้เป็นคติพจน์มาตลอด สิบกว่าปีที่ผ่านมาเวลาจะทำการใดก็จะระมัดระวังเป็นที่สุด ถ้ามีสัญญาณอะไรไม่ดีแม้แต่น้อย ก็จะหนีไปต่างประเทศทันที จนกระทั่งหายระแวงได้แล้วถึงจะกลับมา
เหตุการณ์ที่พ่อตายคาอกผู้หญิงสมัยเขาเป็นเด็กนั้น ทำให้จี๋เหล่าต้าทั้งรักทั้งชังผู้หญิง และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ชีวิตนี้เขายังไม่เคยนอนข้ามคืนกับผู้หญิงเลย
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว จี๋เหล่าต้าก็หยิกที่ทรวงอกอันชูชันของฝ่ายหญิงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเปิดประตูเดินออกไปจากห้องนอน
“พี่จี๋ จะไปไหนครับ?”
ในห้องรับแขกมีชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีนั่งอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าออกมาจากห้องก็รีบลุกขึ้นมา แต่สายตากลับแอบเหลือบไปมองข้างในห้องแวบหนึ่ง
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงจากข้างนอกห้อง หญิงที่อยู่บนเตียงนั้นก็จงใจยืดหน้าอกให้ชูขึ้น เสียงหัวเราะ “คิกๆ” ดังออกมาจากปาก จนชายหนุ่มที่อยู่ข้างนอกได้ยินแล้วรู้สึกปากแห้งผากไปทันที
“ไปบ้านริมน้ำน่ะสิไอ้ห่า ไปถามหลิวเอ้อร์มันอีกที ดูซิว่าไอ้แซ่เปามันยังเหลือที่ซ่อนที่อื่นอยู่อีกหรือเปล่า?”
จี๋เหล่าต้าถึงจะดูเหมือนเป็นคนหยาบ แต่ที่จริงอากัปกิริยาของลูกน้องอยู่ในสายตาของเขาหมดแล้ว เพียงแต่จี๋เหล่าต้ามีความคิดว่า ผู้หญิงก็เหมือนกับเสื้อผ้า ถ้าไม่ใส่แล้วจะโยนทิ้งไปเสียก็ได้ ให้ลูกน้องได้แอ้มเสียหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ตอนที่ 537 โหดเหี้ยมอำมหิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับเมืองที่ไม่มีทิวทัศน์ท้องทะเลแล้ว บ้านที่มีทิวทัศน์แม่น้ำหรืออยู่ใกล้กับภูเขาโดยปกติจึงเป็นถิ่นของคนรวย
รถของจี๋เหล่าต้าขับเข้าสู่หมู่บ้านริมแม่น้ำในเมืองอย่างช้าๆ ที่นี่สร้างขึ้นเลียนแบบหมู่บ้านจัดสรรตามมาตรฐานอย่างที่ฮ่องกงและไต้หวัน เวลารถยนต์จะเข้าออกหมู่บ้านก็ต้องรูดบัตรก่อน และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างรัดกุมมาก
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เมื่อสองวันก่อนหน้านี้เอง หลิวเหล่าเอ้อร์ถูกมัดอย่างกับลูกบะจ่าง และถูกปิดปากยัดไว้ในกระโปรงหลังรถพาเข้าหมู่บ้านมา
ในหมู่บ้านแห่งนี้ จี๋เหล่าต้ามีสถานะเป็นเถ้าแก่ของบริษัทลงทุนการค้าระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางเข้าออกด้วยรถเบนซ์เสมอ บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนต่างก็เห็นเขาเป็นแบบอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครคาดเดาถึงตัวตนที่แท้จริงของจี๋เหล่าต้าได้เลย
ดังนั้นจึงไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยมากไปกว่าที่นี่อีกแล้ว สโลแกนรักษาความเป็นส่วนตัวที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยึดถืออยู่นี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ดำเนินธุรกิจดำมืดต่างๆ ของจี๋เหล่าต้า
“ลูกพี่ มาแล้วหรือครับ?”
เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ข้างนอก ประตูใหญ่ของบ้านก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างบึกบึนสองคนเดินออกมาจากในบ้าน แล้วช่วยเปิดประตูรถให้จี๋เหล่าต้า
“นี่พวกแกน่ะอย่าเอาแต่แต่งตัวอย่างกับพวกองค์กรใต้ดินสิ พวกแกเป็นพนักงานบริษัทนะ เวรเอ๊ย มีแต่พวกหน้าไม่ให้ แต่งตัวไม่ขึ้นทั้งนั้นเลย”
เมื่อเห็นลูกน้องใส่เสื้อกล้ามรัดรูปทั้งๆ ที่เป็นฤดูหนาว เผยให้เห็นรอยสักบนแขน จี๋เหล่าต้าก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แล้วถามขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดี “เป็นไงบ้าง? ไอ้หมอนั่นมันพูดความจริงหรือเปล่า?”
ระหว่างที่เปิดทางให้จี๋เหล่าต้าเข้าไปในบ้าน ชายร่างบึกคนหนึ่งก็ตอบอย่างระมัดระวังว่า “ลูกพี่ครับ ผมว่าหลิวเอ้อร์ไม่น่าจะพูดโกหก ตอนที่พวกเราไปที่โรงแรมนั่น ไอ้แซ่เปาน่าจะเพิ่งหนีไปได้ไม่นาน น้ำชาในห้องก็ยังร้อนๆ อยู่เลยครับ”
“พวกแกนี่มันทำอะไรไม่ได้เลยรึไงวะ? หนานชางก็ใหญ่อยู่แค่นั้น จะสามวันแล้วยังหาตัวไม่เจออีก แกยังจะมีหน้ามาพูดอีกเรอะ?”
จี๋เหล่าต้าตบด้านหลังศีรษะของชายร่างบึกที่อยู่ข้างหน้าไปหนึ่งฉาด แล้วพูดว่า “ฉันจะไปถามหลิวเหล่าเอ้อร์ดูอีก ไอ้คนที่ปักกิ่งนั่นมันต้องไม่ใช่พวกธรรมดาๆ แน่ ถ้าข่าวที่ฉันกลับมาเกิดแพร่ออกไปละก็เป็นเรื่องยุ่งกันใหญ่ละทีนี้!”
เวลาอยู่ข้างนอกถึงจี๋เหล่าต้าจะทำตัวหยาบช้าสุดๆ แต่บ้านหลังนี้กลับจัดแต่งอย่างเรียบง่ายงดงาม บ้านทั้งหลังไม่มีของประดับที่หรูหราแพรวพราวเลยสักชิ้น บนผนังก็แขวนภาพเขียนอักษรของศิลปินที่มีชื่อเสียงไว้หลายภาพ
ที่มุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่ของบ้านยังปลูกต้นไผ่ไว้กอหนึ่งด้วย คนที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของจี๋เหล่าต้ามาก่อน ก็คงจะนึกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนที่หลงใหลในวัฒนธรรมไปเสียอีก
แต่ถ้าเยี่ยเทียนมาอยู่ที่นี่ละก็ เขาก็คงจะดูออกว่า การตกแต่งภายในบ้านหลังนี้แฝงหลักการฮวงจุ้ยอยู่ น้ำเต้า ฮวงจุ้ยที่แขวนอยู่ตรงประตูใบนั้น ก็มีไว้สำหรับขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัยนั่นเอง
หลังจากเข้าไปในห้องรับแขก จี๋เหล่าต้าก็เดินตรงไปที่ผนังกั้นปลายบันไดซึ่งแขวนภาพเขียนอักษรไว้ ชายร่างบึกที่อยู่ข้างหน้าเขาก้าวออกไปก่อน เมื่อปลดภาพเขียนอักษรลงมา ก็ปรากฏปุ่มหน้าตาคล้ายสวิตช์ไฟปุ่มหนึ่งบนผนัง
เมื่อยื่นมือไปกดปุ่มสวิตช์นั้น บันไดที่ทอดลงสู่เบื้องล่างก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบบนพื้นด้านหน้าผนัง ดวงไฟบนผนังในโถงบันไดนั้นเปิดด้วยเสียง ขณะเดียวกับประตูลับนั้นเปิดออก แสงไฟก็สว่างขึ้นมาด้วย
“ลูกพี่ เชิญครับ…” ชายร่างบึกขยับร่างเปิดทางให้
“ไอ้เวร เรียกท่านประธานสิวะ บอกตั้งกี่หนแล้วเนี่ย?” จี๋เหล่าต้าขึงตาใส่ลูกน้อง แล้วถึงจะเข้าไปในห้องใต้ดิน
ห้องใต้ดินนั้นมีความลึกเกินกว่าที่จะใช้เป็นห้องเก็บของธรรมดาทั่วไป โดยต้องเดินลงไปลึกถึงเจ็ดแปดเมตร หลังจากเปิดประตูลับออกแล้ว ห้องนั่งเล่นที่มีพื้นที่กว้างถึงสิบเจ็ดสิบแปดตารางเมตรห้องหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา
บนผนังสี่ด้านของห้องนั่งเล่นนี้ มีแส้หนังและเครื่องทรมานต่างๆ นานาแขวนอยู่เต็มไปหมด จี๋เหล่าต้าซึมซับสิ่งไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก จึงลอกเลียนแบบสิ่งของที่พ่อซึ่งตายไปแล้วเคยใช้มาก่อน
ตรงกลางห้องนั่งเล่นมีเสาไม้สูงประมาณสองเมตรอยู่ต้นหนึ่ง ตั้งแต่ยอดลงไปจนถึงโคน ล้วนเต็มไปด้วยคราบโลหิตสีแดงคล้ำแห้งเกรอะ ไม่รู้ว่ามีคนถูกทรมานกับเสาต้นนี้ไปกี่คนแล้ว
และผู้ที่ถูกมัดติดกับเสาอยู่ในขณะนี้ ก็คือหลิวเหล่าเอ้อร์ที่เยี่ยเทียนปล่อยตัวไปนั่นเอง
อาจเพราะปกติก็มีรูปร่างค่อนข้างท้วมอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะประสบกับความทุกข์เข็ญเช่นเดียวกับเปาเฟิงหลิง แต่หลิวเหล่าเอ้อร์ก็ไม่ได้ผอมลงขนาดเปาเฟิงหลิง นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่เขาสะกดรอยตามจี๋เหล่าต้าไปแล้วถูกจับได้
“เหล่าเอ้อร์ แกก็ตามฉันมาตั้งหลายปีแล้ว แกคงจะรู้จักฉันดีอยู่นะ”
จี๋เหล่าต้าเดินอย่างเชื่องช้าไปจนถึงตรงหน้าเสาไม้ต้นนั้น กระแอมหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ลูกพี่ทำอะไรมีเมตตามาตลอด ตอนแรกก็นึกว่าจะพาบรรดาพี่น้องขึ้นเหนือไปช่วยพวกแก แต่พอไปถึงเมืองหลวงก็ถึงจะรู้ว่า พวกแกโดนเจ้านั่นปล่อยตัวไปแล้ว
แต่ว่านะเหล่าเอ้อร์ ตรงนี้แหละที่แกกับเสี่ยวเปาทำไม่ถูก ลูกพี่เคยทำเรื่องอะไรไม่เหมาะไม่ควรกับพวกแกรึไง? พวกแกถึงได้ไม่ไปหาฉัน ขนาดมาหนานชางแล้วก็ยังหลบลูกพี่อีก?”
จี๋เหล่าต้าแสดงสีหน้าเศร้าเสียใจ ใช้มือเชยคางของหลิวเหล่าเอ้อร์ขึ้นมา “จิ๊ๆ เหล่าเอ้อร์ ถ้าแกยอมหาตัวเสี่ยวเปาออกมา ก็คงไม่ต้องกลายเป็นสภาพนี้หรอกใช่ไหมล่ะ?”
ใบหน้าของหลิวเหล่าเอ้อร์นั้น ตอนนี้บวมฉุจนเหมือนกับแป้งหมั่นโถวที่หมักไว้จนฟูขึ้นมา ดวงตาที่ปกติโตมากก็กลายเป็นตี่เล็ก ถ้าจะหาคำบรรยายที่ทำให้เห็นภาพได้มากที่สุด ก็คงต้องเรียกว่าเหมือนหัวหมูนั่นเอง
“ฉัน…ฉันก็บอกไปหมดแล้ว เหล่า…เหล่าต้า ฆ่าฉันให้หมดเรื่องหมดราวไปเถอะนะ!” เสียงอันอ่อนระโหยของหลิวเหล่าเอ้อร์พูดขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่เพราะหลายเดือนมานี้ต้องผ่านการทรมานเคี่ยวเข็ญจากเยี่ยเทียนมาก่อน ตอนนี้หลิวเหล่าเอ้อร์ก็คงหมดความอดทนไปนานแล้ว ยามนี้ตลอดร่างของเขาไม่มีเนื้อส่วนไหนเลยที่ยังดีอยู่ แม้กระทั่งเล็บมือทั้งสิบนิ้วก็ยังถูกถอนออกไปหมด
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจี๋เหล่าต้าเอง ตั้งแต่เพิ่งจะรู้ความเขาก็ชอบฟังเสียงคนกรีดร้องเอามากๆ การที่สร้างห้องทรมานไว้ใต้ดินเช่นนี้ โดยหลักๆ แล้วก็เพื่อตอบสนองความต้องการอันวิปริตของจี๋เหล่าต้านั่นเอง
“อยากจะตายเร็วๆ รึ? ได้สิ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจี๋เหล่าต้ากลายเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้นมา หยิบคีมอันหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะข้างๆ เสา แล้วยกมือขวาของหลิวเหล่าเอ้อร์ขึ้นมา หนีบคีมลงไปที่นิ้วก้อยอย่างแรง
“อ๊าก…”
เมื่อเสียงกระดูกถูกบดแตกดังขึ้น เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับไม่ใช่มนุษย์ก็ดังออกมาจากปากของหลิวเหล่าเอ้อร์ทันที แล้วกระอักโลหิตออกมาจากปาก สาดไปที่หน้าของจี๋เหล่าต้าเต็มๆ
“รสชาตินี้มันช่างดีจริงๆ เลยนะ!”
จี๋เหล่าต้าใช้มือซ้ายปาดเช็ดใบหน้า แล้วยื่นใส่ปากเลียด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม จนชายร่างบึกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นแล้วขนลุกชัน “นี่มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่าวะ?”
เมื่อเห็นหลิวเหล่าเอ้อร์คอตกลงไปอีก จี๋เหล่าต้าก็ลงมือเอง ไปหิ้วถังน้ำเย็นๆ ที่วางอยู่มุมห้องมา แล้วสาดรดลงไปบนศีรษะของหลิวเหล่าเอ้อร์ น้ำอันเย็นเฉียบทำให้หลิวเหล่าเอ้อร์ฟื้นสติขึ้นมาอย่างสั่นเทา
“เหล่าเอ้อร์ ให้โอกาสแกอีกครั้ง จะพูดไม่พูด?”
ที่จริงจี๋เหล่าต้าก็รู้อยู่ว่า หลิวเหล่าเอ้อร์พูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาหมดแล้ว แต่เขาเพลิดเพลินกับการทรมานคนแบบนี้มาก เขายังนึกอยากให้หลิวเหล่าเอ้อร์กัดฟันยืนกรานว่า ‘ถึงฆ่าให้ตายก็ไม่บอก!’ เสียอีก
หลิวเหล่าเอ้อร์กัดลิ้นตัวเองจนขาดครึ่งไปแล้ว เสียงพูดอันแหบแห้งนั้นแทบจะฟังไม่ออกว่าพูดอะไรอยู่ “ลูก…ลูกพี่ ฉัน…ฉันก็บอกที่รู้ไปหมดแล้ว ให้…ให้ฉันตายซะทีเถอะนะ?”
หลังจากติดตามจี๋เหล่าต้ามาสิบกว่าปี หลิวเหล่าเอ้อร์จึงรู้สันดานของลูกพี่คนนี้ดี เขาเป็นผลลัพธ์จากความรู้สึกอันขัดแย้งสองอย่าง คือความรู้สึกต่ำต้อยและหลงตัวเอง เป็นทั้งคนขี้ขลาดตาขาวและโหดเหี้ยมอำมหิตในเวลาเดียวกัน
หลิวเหล่าเอ้อร์เคยเห็นจี๋เหล่าต้าทรมานคนติดต่อกันยี่สิบวันมากับตาแล้ว เพื่อที่จะทดลองแปดวิธีทรมานสมัยราชวงศ์ชิง จี๋เหล่าต้าถึงขั้นไปซื้อแหจับปลามาผืนหนึ่ง และในวันที่สิบแปดก็ใช้วิธีเชือดเฉือนทรมานคนผู้นั้นอย่างช้าๆ
แต่ระดับของจี๋เหล่าต้ายังไม่ถึงขั้น ขณะที่กำลังเล่นสนุกอยู่ ก็เผลอไปฟันเส้นเลือดของคนผู้นั้นขาด จากนั้นทรมานเล่นเพียงสองวันก็ตายแล้ว
“ถ้าอยากตาย ก็รอพี่ใหญ่เล่นจนหนำใจก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ!”
จี๋เหล่าต้าหัวเราะฮี่ๆ เดินวนรอบหลิวเหล่าเอ้อร์ สายตาราวกับกำลังมองดูผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน จนชายสองคนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นเห็นแล้วขนลุกชันไปทั้งร่าง
“ไป ขึ้นไปข้างบน!”
จี๋เหล่าต้าตบมือ แล้วพูดกับชายคนหนึ่ง “ฉีดเฮโรอีนให้มันหน่อย อย่าให้มันตายไปซะล่ะไอ้เวร ถ้าตายไปเดี๋ยวก็หมดสนุกกันพอดี”
เมื่อได้ยินคำสั่งของจี๋เหล่าต้า ชายร่างบึกคนนั้นก็สั่นระริกไปทั้งร่าง รีบตอบว่า “ค…ครับ ลูกพี่ ผม…ผมรับรองว่ามันไม่ตายแน่!”
พอเห็นสีหน้าอันหวาดผวาของลูกน้อง จี๋เหล่าต้าก็พยักหน้าอย่างพอใจ การที่เขาจงใจทำเรื่องโหดเหี้ยมแบบนี้กับลูกน้องนั้น จะเรียกว่าเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูก็ว่าได้
จี๋เหล่าต้าปีนป่ายขึ้นมาจากชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคมแบบนี้ เขาจึงรู้ดีว่า ไม่ว่าจะพูดเรื่องศีลธรรมจรรยากับลูกน้องพวกนี้อย่างไรก็มีแต่จะไร้ประโยชน์ มีแต่ต้องทำให้พวกมันกลัวเขาจากก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้น พวกมันถึงจะไม่กล้าทำเรื่องทรยศหักหลัง
หลังจากกลับมาถึงห้องรับแขกในบ้าน ชายหนุ่มที่เป็นคนขับรถให้จี๋เหล่าต้าก็พูดขึ้นว่า “ลูกพี่ครับ เรายังหาตัวเปาเฟิงหลิงกลับมาไม่ได้ ถ้ามันทำข่าวที่พี่กลับประเทศแพร่ออกไป แล้วคนทางเมืองหลวงนั่นมาตามหาจะทำยังไงครับ?”
ชายคนนี้แซ่หลิน ชื่อว่าหลินเซวียนโย่ว เป็นเด็กกำพร้าที่จี๋เหล่าต้ารับมาเลี้ยง แม้จะอายุไม่มาก แต่กลับมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างเหลือร้าย จึงมีตำแหน่งเป็นฝ่ายกุนซือในกลุ่มแก๊งของจี๋เหล่าต้า
“อืม เซวียนโย่ว เรื่องที่แกพูดมานี่น่ะจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน ฉันจะทำนายดูสักตาแล้วกัน!”
จี๋เหล่าต้าในขณะนี้ ไม่ได้คลุ้มคลั่งอย่างตอนที่อยู่ในห้องใต้ดินแล้ว แต่กลับมีท่าทางระแวงรอบคอบ หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง ก็หยิบกระดองเต่าขนาดเท่าฝ่ามือทารกแผ่นหนึ่งและเหรียญทองแดงสามเหรียญออกมาจากกระเป๋าถือบนโซฟา
ศาสตร์ตระกูลโจวนั้นสืบทอดมาจากโจวตุนอี๋สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ศาสตร์สายนี้เน้นการรู้รอบในหลักแห่งหยินหยางและธาตุทั้งห้า เป็นผู้รู้แจ้งในฟ้าและเข้าใจในธรรมชาติของคน เชี่ยวชาญศาสตร์การพยากรณ์โดยใช้กว้าเสี่ยงทายเป็นที่สุด
ตอนที่จี๋เหล่าต้าได้ตำราลับศาสตร์พยากรณ์มานั้นโครงสร้างกระดูกก่อขึ้นไปแล้ว แม้จะไม่สามารถฝึกวิชายุทธที่สนับสนุนกับวิชาพยากรณ์นี้ได้ แต่เฉพาะด้านวิชาเสี่ยงทายนี้ เขาก็ฝึกฝนจนได้ทักษะมาบ้าง
จี๋เหล่าต้าวางกระดองเต่าคว่ำไว้บนโต๊ะน้ำชา ปากสวดท่องพึมพำออกมาชุดหนึ่ง แล้วโปรยเหรียญทองแดงสามเหรียญนั้นลงไป
“เก้าสอง ต้นหก หกสาม เก้าห้า ข่าน…ข่านกว้า?”
เมื่อเห็นลักษณะกว้า จี๋เหล่าต้าก็เปลี่ยนสีหน้าไปเลย ข่านเป็นน้ำ น้ำเป็นหยิน กว้านี้หมายความว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานะอันตราย ถือเป็นลักษณะกว้าที่ย่ำแย่แบบหนึ่ง
“ตึง!” ขณะที่ผลกว้าแสดงปรากฏออกมา น้ำเต้าฮวงจุ้ยที่แขวนอยู่ที่ประตูใบนั้นก็ตกลงไปบนพื้นอย่างกะทันหัน
ตอนที่ 538 กว้าวิบัติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ข่านนั้น คืออันตราย คือกับดัก ศึกษาข่านแล้ว ย่อมรู้รอบในภยันตราย
เก้าสองคือความผิดพลาด แรกหกนั้นคืออันตรายร้ายแรง หยินอ่อนคือความผิดพลาด ซึ่งไม่อาจจัดการได้ เป็นภัยในระดับที่ตกต่ำย่ำแย่ที่สุด และมิอาจหลบเลี่ยงได้ ถือเป็นลางร้ายแห่งมหาวิบัติ
จี๋เหล่าต้าศึกษาศาสตร์การพยากรณ์ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษเป็นเวลานานกว่าสามสิบปีแล้ว และเคยเสี่ยงทายได้กว้าร้ายประเภทนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือช่วง 1983 ที่รัฐมีมาตรการโหดนั่นเอง
จี๋เหล่าต้าในตอนนั้น ได้ครอบครองเขตสถานีรถไฟหนานชางซึ่งเป็นศูนย์กลางการจราจรไว้ทั้งหมดแล้ว ในแต่ละวันเฉพาะเงินที่ได้มาจากการล้วงกระเป๋าก็มีมากกว่าพันหยวนแล้ว
ควรทราบว่า ตอนนั้นเป็นปี 1983 ซึ่งกำลังอยู่ในสมัยที่ข้าวยากหมากแพง เงินเดือนเฉลี่ยต่อคนในสมัยนั้นยังแค่ไม่กี่สิบหยวนด้วยซ้ำ เงินหนึ่งพันหยวนจึงยังมีมูลค่าสูงกว่าเงินหนึ่งหมื่นในปัจจุบันเสียอีก ตอนนั้นจึงเป็นช่วงที่จี๋เหล่าต้ากำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง
หลังจากขบคิดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายนิสัยรอบคอบขี้ระแวงก็ช่วยจี๋เหล่าต้าไว้ได้ เขาเรียกแปดคิงคองซึ่งเป็นลูกสมุนในสมัยนั้นมารวมตัวกันครบทุกคน แล้วซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันมาเป็นจำนวนมาก พาคนเหล่านั้นขึ้นรถหนึ่งคันไปจนถึงหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกลแห่งหนึ่ง
หลังจากที่จี๋เหล่าต้าออกเดินทางไปได้หนึ่งอาทิตย์ มาตรการโหดซึ่งสะท้านสะเทือนไปทั่วประเทศก็เริ่มต้นขึ้น เพียงไม่นานตามสถานกักกันต่างๆ ก็เต็มแน่นไปด้วยผู้คน บรรดาโจรเล็กขโมยน้อยต่างก็ถูกจับกุมไปตามๆ กัน
ภาษิตว่า สังคมวุ่นวายกฎหมายต้องหนัก ในสมัยที่ความมั่นคงปลอดภัยของสังคมกำลังย่ำแย่สุดขีดนั้น บทลงโทษตามกฎหมายจึงหนักหนาขึ้นมาก บรรดาเจ้าพ่อใต้ดินที่เดิมทีมีสถานะไล่เลี่ยกับจี๋เหล่าต้าต่างก็ถูกส่งไปหามาร์กซ์ที่โลกหน้าด้วยกระสุนนัดเดียว
หลังจากทราบข่าวนี้ จี๋เหล่าต้าก็ลิงโลดยินดี เพื่อรับประกันความปลอดภัย เขาจึงอยู่ที่หมู่บ้านบนภูเขาห่างไกลแห่งนั้นจนถึงปี 1985 จากนั้นถึงจะพาลูกสมุนตัวสำคัญเหล่านั้นกลับไปอยู่ในเมือง
สถานการณ์ครั้งนั้นได้ผ่านไปแล้ว อีกทั้งพวกเจ้าพ่อส่วนใหญ่ก็ถูกจับไปหมด วงการใต้ดินที่มณฑลเจียงซีจึงแทบจะว่างเปล่า แม้แต่ที่สถานีรถไฟซึ่งเป็นสถานที่หากินของมิจฉาชีพ ก็ไม่มีกลุ่มอิทธิพลไหนเข้าไปครอบครองเลย
กล่าวได้ว่ามาตรการโหดเมื่อสองปีก่อนนั้นทำให้จี๋เหล่าต้าได้มีตำแหน่งขึ้นมาในวงการใต้ดินที่มณฑลเจียงซี เมื่อเขากลับถึงเมืองก็เข้าไปครอบครองเขตสำคัญต่างๆ ไว้ทันที และเพิ่มจำนวนลูกน้องขึ้นมา เพียงไม่นานก็กลายเป็นเจ้าพ่อใหญ่แห่งมณฑลเจียงซีในที่สุด
แต่จี๋เหล่าต้าเป็นคนฉลาด เขารู้หลักการที่ว่าไม้สูงย่อมถูกลมโกรก หลังจากพวกเจ้าพ่อที่ถูกจับกุมไปเหล่านั้นทยอยกันออกมาจากคุก จี๋เหล่าต้าจึงปล่อยบริเวณที่เป็นอาณาเขตของตนไปหลายแห่ง และก่อตั้ง ‘สำนักต้มตุ๋น’ ขึ้น
ในความคิดของจี๋เหล่าต้า การต้มตุ๋นนั้นไม่เหมือนกับการขโมยฉกชิง เพราะมันถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องใช้ทักษะอย่างพิถีพิถัน
ก่อนอื่น ถ้าหลักฐานมีไม่พอ ก็ยากที่จะตัดสินโทษได้ และต่อให้ถูกตัดสินโทษไป บทลงโทษของการฉ้อโกงก็ไม่ได้หนักหนาอะไร สำหรับพวกนักต้มตุ๋นแต่ละสำนัก วิชาการต้มตุ๋นจึงเป็นวิธีเลี้ยงชีพที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด และมีผลตอบแทนมากที่สุดแล้ว
อาศัยพวกลิ่วล้อที่เคยติดตามในสมัยก่อน หลายปีมานี้จี๋เหล่าต้าถึงจะไม่เรียกว่าประสบความรุ่งโรจน์ แต่ก็เป็นหนึ่งในเจ้าพ่อที่ลึกลับที่สุดและตอแยด้วยยากที่สุดคนหนึ่งในวงการใต้ดินที่มณฑลเจียงซีแล้ว
ช่วงหนึ่งจี๋เหล่าต้าพัฒนาธุรกิจไปตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แม้จะเคยประสบปัญหามาบ้าง แต่จี๋เหล่าต้าก็คลี่คลายไปได้ทุกครั้ง ถ้าคลี่คลายไม่ได้จริงๆ เขาก็จะตัดปัญหาแบบเดียวกับคราวก่อน โดยหนีไปหลบที่ต่างประเทศสักระยะหนึ่ง
วิธีที่ขี้ขลาดเหมือนเต่าหดหัวแบบนี้ถึงจะดูน่าเกลียดอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้จี๋เหล่าต้ารอดพ้นเคราะห์ภัยมาได้หลายครั้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกังขาในผลการพยากรณ์เสี่ยงทายที่ปรากฏออกมาเลยสักครั้ง
และน้ำเต้าฮวงจุ้ยที่แขวนไว้ตรงประตูใบนั้น จี๋เหล่าต้าก็ทุ่มเงินขอซื้อมาจากวัดหนานหวาที่กวางตุ้ง ว่ากันว่ามันเคยอยู่ในครอบครองของพระภิกษุผู้มีสมณศักดิ์สูงมาสองสมัย สามารถคุ้มครองและปัดเป่าความชั่วร้ายได้ นับว่าเป็นของขลังหายากชิ้นหนึ่ง
แต่ตอนนี้นอกจากจะได้ลักษณะกว้ามหาวิบัติแล้ว แม้แต่น้ำเต้าฮวงจุ้ยก็ยังตกลงมาจากประตูอย่างไร้สาเหตุ ทำให้สีหน้าของจี๋เหล่าต้าเปลี่ยนไปจนดูย่ำแย่อย่างยิ่ง
“ลูกพี่ เป็นอะไรไปครับ?” เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าเปลี่ยนสีหน้าไปมาก หลินเซวียนโย่วที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยถามขึ้นมา
“กว้ามหาวิบัติ ไม่ได้การละ เซวียนโย่ว ไป กลับเวียดนามกันคืนนี้เลย!” จี๋เหล่าต้าเชื่อมั่นในผลการเสี่ยงทายอย่างสุดใจ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงถูกรัฐลากไปยิงเป้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้หรือ?
กว้าร้ายนี้และการที่น้ำเต้าฮวงจุ้ยตกลงมา ส่งผลให้จี๋เหล่าต้าตัดสินใจทันที
“ไปเวียดนามตอนนี้น่ะนะ?”
หลินเซวียนโย่วได้ยินก็อึ้งไป จากนั้นก็พูดอย่างละม่อม “ลูกพี่ครับ สนามบินของเมืองที่พวกเราอยู่นี่น่ะไม่มีเที่ยวบินตรงไปเวียดนามนะครับ แล้วถึงจะไปเซี่ยงไฮ้แทน ก็ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้เย็น ถ้าจะไปกันตอนนี้ มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ?”
นี่ก็ใกล้จะถึงวันตรุษแล้ว หลินเซวียนโย่วแม้จะเป็นลูกกำพร้า แต่ก็เลี้ยงผู้หญิงไว้ในมณฑลเจียงซีหลายคน ตั้งแต่กลับมาคราวนี้เขาก็ยังไม่ได้เจอสักคนเลย
นึกถึงชู้สาวผู้ร้อนรักเหมือนไฟของจี๋เหล่าต้าที่มีสัมพันธ์กับเขามาสองปีคนนั้นแล้ว ถ้าจะให้กลับไปหาผู้หญิงเวียดนามที่แข็งทื่ออย่างกับตอไม้พวกนั้นอีกละก็ หลินเซวียนโย่วก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
หลินเซวียนโย่วรู้ว่าจี๋เหล่าต้ากังวลเรื่องอะไรอยู่ ยามนั้นจึงพูดขึ้นอีกว่า “ลูกพี่ ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วนะครับ พี่ๆ น้องๆ เราก็มีอาวุธกันทุกคน ต่อให้คนจากเมืองหลวงนั่นตามหามาถึงนี่ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปกลัวมันหรอก”
เมื่อห้าปีก่อน จี๋เหล่าต้ารู้จักกับผู้ค้ายารายหนึ่งที่นอกชายแดน อาศัยคนคนนั้นส่งของให้ จี๋เหล่าต้าจึงกลายเป็นผู้ควบคุมแหล่งยาเสพติดในเมืองทางอ้อม
เรื่องนี้เปรียบกับธุรกิจในสำนักต้มตุ๋นแล้ว ก็เป็นอาชีพที่ต้องใช้สมองอยู่เบื้องหลัง ถึงจี๋เหล่าต้าจะซุ่มตัวอยู่เบื้องหลัง และเชื่อมั่นว่าทางตำรวจคงสืบสาวมาไม่ถึงตัวเขาแน่นอน แต่เขาก็ยังให้ลูกน้องหลายคนพกอาวุธปืนไว้
“เรื่องนี้…”
จี๋เหล่าต้าฟังแล้วก็ชักจะลังเล เดิมทีอายุเขาก็ใกล้จะถึงหกสิบอยู่แล้ว เมื่อคืนยังไปโรมรันกับผู้หญิงคนนั้นอีกยกหนึ่ง เสียพลังกายไปไม่ใช่น้อยๆ เลย
เมื่อครู่นี้เพิ่งจะทรมานหลิวเหล่าเอ้อร์ไปอย่างโหดเหี้ยม ความรู้สึกตื่นเต้นกำลังหมดไปพอดี ตอนนี้จี๋เหล่าต้าจึงรู้สึกเหนื่อยล้าง่วงงุนอยากจะหลับอยู่เหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าจี๋เหล่าต้าเริ่มจะคล้อยตาม หลินเซวียนโย่วก็รีบอาศัยจังหวะนี้พูดขึ้นว่า “ลูกพี่ครับ ตอนที่พวกเราซื้อบ้านหลังนี้มา หลิวเหล่าเอ้อร์กับเปาเฟิงหลิงก็ไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว มันสองคนไม่มีทางรู้จักที่นี่หรอกครับ ถ้าพวกเราหลบอยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นเทพเป็นเซียนก็หาไม่เจอหรอกครับ!”
จี๋เหล่าต้าร้องอืมเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ได้ อย่างนั้นเราก็อยู่ที่นี่กันก่อน แล้วพรุ่งนี้สั่งคนออกไปสืบดูหน่อย ว่ามีคนเดินทางมาจากทางเหนือบ้างรึเปล่า?”
ไม่ใช่เฉพาะหลินเซวียนโย่วคนเดียวที่ไม่อยากไปเวียดนาม แม้แต่จี๋เหล่าต้าเองก็ไม่อยากไปที่นั่นเหมือนกัน และที่หลินเซวียนโย่วพูดมาก็มีเหตุผลจริงๆ เขาซ่อนปืนไว้ในบ้านหลังนี้ตั้งสิบกว่ากระบอก ถ้าไม่ใช่ทั้งกองทัพบุกมาล้อมโจมตี จี๋เหล่าต้าก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น
แต่กว้ามหาวิบัตินี้ก็ยังคงทำให้จี๋เหล่าต้ารู้สึกไม่ค่อยวางใจ หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ก็กลับไปที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง แล้วหยิบปืนพกสี่กระบอกและซองกระสุนมาอีกแปดซอง แจกจ่ายให้พวกหลินเซวียนโย่ว
“เซวียนโย่ว แกพาพวกนี้ไปเฝ้าดูให้ดีๆ นะ วันนี้เบิ่งตาดูให้กว้างๆ หน่อยล่ะ”
หลังจากกำชับหลินเซวียนโย่วเสร็จ จี๋เหล่าต้าถึงจะหมุนตัวเดินขึ้นไปนอนบนชั้นสอง แต่เงาทะมึนที่อยู่ในใจนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปัดเป่าให้หายไปได้ ผ่านไปนานสองชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะผล็อยหลับไปได้
“ต้าหู่ เอ้อร์หนิว พวกแกสองคนไปเฝ้าประตูรั้วด้านหลังนะ แล้วอย่าหลับกันล่ะ”
ถึงหลินเซวียนโย่วจะไม่พอใจคำสั่งการของจี๋เหล่าต้า แต่ก็ไม่กล้าชักช้า ในห้องใต้ดินก็มีตัวอย่างเป็นๆ อยู่ให้เห็นแล้ว หลินเซวียนโย่วไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ถูกมัดติดเสานั่นหรอก
หลังจากจัดการให้คนไปเฝ้ายามกลางคืนแล้ว หลินเซวียนโย่วก็ไปโทรศัพท์ที่ห้องชั้นหนึ่ง ถ้าพรุ่งนี้เกลี้ยกล่อมให้จี๋เหล่าต้าอยู่ต่อได้อีกวันหนึ่งละก็ ตอนกลางวันเขาก็จะสามารถหาเวลาไปพบกับบรรดาชู้รักได้แล้ว
…………
ขณะที่จี๋เหล่าต้าไปยังบ้านหลังนั้น เยี่ยเทียนก็สรุปผลเสี่ยงทายได้แล้ว และไปที่ห้องของโจวเซี่ยวเทียน
“อาจารย์ เป็นไงบ้างครับ? หาไอ้สารเลวนั่นเจอรึยัง?”
ตามข้อสันนิษฐานของโก่วซินเจีย มีความเป็นไปได้สูงถึงแปดเก้าส่วนว่า จี๋เหล่าต้าก็คือลูกหลานของตระกูลโจวสายข้างในสมัยนั้นนั่นเอง เมื่อนึกถึงความอัปยศที่บรรพบุรุษได้รับ โจวเซี่ยวเทียนจึงแค้นจี๋เหล่าต้าอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก
“ทำนายทิศทางได้คร่าวๆ แล้ว แต่ลักษณะกว้าออกจะกระจัดกระจายอยู่ ฉันกลัวว่ามันจะหนีไปคืนนี้เลย วันนี้ไหนๆ ก็ลำบากมาแล้ว ไปจัดการให้เรื่องมันจบๆ ไปเลยดีกว่านะ”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏอาการของความเหนื่อยล้าเช่นกัน เขาไม่มีข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับจี๋เหล่าต้า แต่ทำนายโดยอาศัยเพียงคำบอกเล่าของเปาเฟิงหลิง จึงทำให้ต้องเสียพลังจิตไปมาก
“ท่าน…ท่านเยี่ย แค่…แค่พวกคุณสองคนนี่น่ะรึ?” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น เปาเฟิงหลิงซึ่งนอนขดอยู่บนเตียงในห้องก็ตกตะลึง รีบเลิกผ้าห่มลุกขึ้นมานั่งทันที
ตอนนี้เปาเฟิงหลิงลงเรือลำเดียวกับเยี่ยเทียนแล้ว ถ้าเยี่ยเทียนตกอยู่ในเงื้อมือของจี๋เหล่าต้า อย่างนั้นเขาก็คงรักษาชีวิตของตัวเองไว้ไม่ได้เหมือนกัน
“ท่านเยี่ยครับ ผม…ผมว่าในโรงฝึกของคุณที่เมืองหลวงก็มีพวกฝีมือดีอยู่ไม่น้อย หรือเราจะรออีกสักสองวัน เรียกรวมพวกฝีมือดีมาก่อน แล้วเราค่อยไปหาจี๋เหล่าต้ากันดีไหมครับ?”
ด้วยนิสัยโหดเหี้ยมของจี๋เหล่าต้านั้น เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ซึ่งติดตามเขามาหลายปีแล้วย่อมรู้ซึ้งดี และก็รู้ว่าพวกลูกสมุนของจี๋เหล่าต้าแต่ละคนจะต้องเตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมแล้วแน่นอน
หากพูดถึงวิธีการของเยี่ยเทียน เปาเฟิงหลิงก็เพียงแต่หวาดหวั่นเท่านั้น แต่เมื่อนึกถึงความวิปริตของจี๋เหล่าต้าแล้ว เขาก็รู้สึกหนาวเยือกออกมาจากไขกระดูกเลยทีเดียว
“กับพวกกากเดนในวงการศาสตร์ลับนี่น่ะ ยังจะต้องเรียกรวมพลอีกรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มขึ้นมา “ถ้าแกกลัว ก็หลับอยู่ที่นี่แล้วกันนะ พรุ่งนี้เช้าพวกฉันก็จะกลับมาแล้วละ!”
“ผม…ผม…” เปาเฟิงหลิงทำปากขมุบขมิบเป็นนานสองนาน สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกมาว่าจะไปกับเยี่ยเทียนด้วย
“ไม่ต้องผมแล้วละ แกก็อยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ” เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า มองดูชุดฝึกสีขาวบนร่างของโจวเซี่ยวเทียนแล้วบอกว่า “เซี่ยวเทียน ไปเปลี่ยนเป็นชุดสีดำ”
ในคืนเดือนมืดที่ลมพัดแรงนี้ เหมาะเป็นเวลาฆ่าคนพอดี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เป็นมืออาชีพหน่อยสิ ชุดขาวทั้งตัวแบบนี้อาจจะดูเตะตาเกินไปสักหน่อย
รอจนโจวเซี่ยวเทียนเปลี่ยนชุดเสร็จ และสองอาจารย์ศิษย์เดินออกไปจากโรงแรม ก็เป็นเวลาสามทุ่มเศษพอดี ทั้งสองเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังหนานชาง
แต่หลังจากพวกเยี่ยเทียนออกไปได้สิบนาที เปาเฟิงหลิงก็แอบออกมาจากโรงแรมอย่างลับๆ ล่อๆ เกิดสองคนนี้พลาดท่าขึ้นมา เขาอยู่ที่โรงแรมต่อไปไม่เท่ากับรอให้คนมาจับหรอกรึ?
เฟิงเฉิงอยู่ห่างจากหนานชางเป็นระยะทางถึงหกสิบเจ็ดสิบกิโลเมตร และหิมะก็เพิ่งจะตกเมื่อหลายวันก่อน รถจึงขับได้ไม่เร็ว เมื่อถึงตอนห้าทุ่ม พวกเขาจึงเพิ่งจะมาถึงเขตเมือง
หลังจากรถขับลงมาจากสะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำแล้ว เยี่ยเทียนก็เรียกให้จอดรถลง
“น่าจะเป็นตำแหน่งนั้นแหละ เดี๋ยวเราเดินเลียบริมน้ำไป”
เยี่ยเทียนจ่ายค่ารถ แล้วพาโจวเซี่ยวเทียนเดินไปที่ริมแม่น้ำ ตอนกลางดึกในเดือนมกราคมนั้น มีคนเดินถนนอยู่น้อยมาก ถ้าพวกเขาไปเดินอย่างผึ่งผายอยู่บนถนนใหญ่ ก็อาจจะดูสะดุดตาเกินไป
ตอนที่ 539 ลอบเข้าอย่างง่ายดาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมแม่น้ำนั้น กิ่งก้านโล้นเกลี้ยงไปหมดแล้ว
ลมหนาวพัดโชยมาจากผิวน้ำ ราวกับจะพัดผ่านเสื้อผ้าเข้าไปถึงไขกระดูกก็ไม่ปาน แม้ว่าบนกำแพงกั้นน้ำจะยังมีดวงไฟสว่างอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นเงาคนเลยแม้แต่คนเดียว
“อาจารย์ครับ จี๋เหล่าต้ามันจะซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?”
วรยุทธของโจวเซี่ยวเทียนยังไม่ถึงระดับที่ไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนความหนาว ลมหนาวอันเย็นเฉียบพัดผ่านลำคอไป ทำให้เขาอดหนาวจนสมองหดไม่ได้ และซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ถ้าฉันทำนายไว้ไม่ผิดละก็ น่าจะอยู่ทางทิศนั้นนั่นแหละ”
เยี่ยเทียนยกมือชี้ไปข้างหน้า บริเวณนั้นเป็นตำแหน่งที่แม่น้ำเลี้ยวโค้งพอดี ราวกับว่าแม่น้ำสายนั้นเว้าแคบเข้าไป ส่วนแผ่นดินที่ยื่นออกมานั้น ก็เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ไม่ทราบเป็นเพราะคนรวยมีชีวิตกลางคืนที่รุ่มรวยกว่าหรืออย่างไร ในขณะที่อาคารหลังอื่นๆ มืดกันไปหมดแล้ว แต่บ้านหลายหลังในหมู่บ้านนั้นกลับยังมีแสงไฟสว่างอยู่
ลมหนาวพัดมาหอบหนึ่ง เกล็ดหิมะเล็กละเอียดปลิวอยู่บนท้องฟ้า แสงไฟสีเหลืองมัวๆ ยิ่งดูสลัวลงกว่าเดิม เงาร่างของเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนหายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความมืดอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปเจ็ดแปดนาที ทั้งสองก็มาถึงที่ทางเข้าหมู่บ้าน
อาจเป็นเพราะต้องการให้หมู่บ้านนี้ดูโดดเด่นกว่าที่อื่นๆ บริเวณห่างจากทางเข้าประมาณห้าหกเมตรจึงปลูกต้นสนขนาดสูงใหญ่ไว้สองต้น เป็นที่กำบังร่างของทั้งสองได้พอดี
“อาจารย์ จะเข้าไปยังไงครับ?”
ในฐานะที่เป็นหมู่บ้านชั้นสูงอันดับหนึ่งในหนานชาง ระบบต่างๆ ของที่นี่ต่างก็เทียบได้กับตามเขตเมืองชายฝั่งที่พัฒนาแล้ว แม้แต่ในคืนที่หิมะตกเช่นนี้ ที่ประตูทางเข้าก็ยังคงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเฝ้ายามอยู่
เยี่ยเทียนมองดูกำแพงอันสูงลิ่วที่ล้อมรอบหมู่บ้านนั้น แล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ถ้าจะม้วนตัวข้ามกำแพงนั้นไปก็ถือว่าง่ายอยู่ แต่ถ้าอยากจะหลบกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่บนกำแพงหลายตัวนั้นด้วยละก็ คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว
ส่วนที่ประตูใหญ่นั้นถึงจะมีคนเฝ้ายามอยู่ แต่ก็มีกล้องวงจรปิดอยู่เพียงตัวเดียว เทียบกันแล้วเข้าไปจากทางนั้นน่าจะง่ายกว่าหน่อย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยเทียนก็เก็บใบไม้แห้งใบหนึ่งขึ้นมาจากพื้น แล้วเงยหน้ามองไปที่กล้องวงจรปิดซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร
เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึกๆ สะบัดข้อมือข้างขวาอย่างรวดเร็ว ใบไม้แห้งใบนั้นก็พุ่งผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างรวดเร็วราวกับใบมีด ตรงไปติดอยู่บนเลนส์กล้องวงจรปิดตัวนั้น
ที่ลือกันว่า ดอกไม้บินใบไม้ร่วงล้วนทำร้ายคนได้นั้น ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องที่นักเขียนนิยายแต่งขึ้นมาเท่านั้น เมื่อวรยุทธพัฒนาจนถึงขั้นพลังแฝง และสามารถแผ่พลังแท้ออกสู่ภายนอกได้แล้ว การที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
อย่างนักฆ่าอันดับหนึ่งในยุคสาธารณรัฐจีน หวังย่าเฉียว ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าอาวุธที่เขาใช้คือขวานและทวน เขาพกขวานไปช่วยต่อสู้ที่เมืองเซี่ยงไฮ้จนโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญขึ้นมา
สมัยนั้นแม้แต่พวกหวงจินหรงหรือตู้เยวี่ยเซิง ถ้าเจอกับหวังย่าเฉียวก็ยังต้องหลีกทางให้เหมือนกัน ซินแสเจี่ยงท่านนั้นยิ่งถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ พอเอ่ยถึงคนผู้นี้ก็ถึงกับปวดฟันปลอมขึ้นมาเลยทีเดียว
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า หวังย่าเฉียวเดิมทีเป็นยอดฝีมือวิชาพลังภายใน มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เขากำลังดื่มชาอยู่ที่โรงน้ำชา ก็เคยถูกศัตรูล้อมกักไว้ในนั้น
ตอนนั้นหวังย่าเฉียวม้วนหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ในมือเป็นรูปกรวย และใช้แทงคนไปได้ถึงสามคนติดๆ กัน บนหนังสือพิมพ์แม้จะมีโลหิตแปดเปื้อน แต่กลับแข็งเหมือนมีดสั้น ศึกครั้งนี้ยิ่งทำให้หวังย่าเฉียวมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น
ฝีมือของหวังย่าเฉียวครั้งนั้น ก็มีความวิเศษทำนองเดียวกับฝีมือใช้อาวุธลับของเยี่ยเทียน เพียงแต่ในด้านการควบคุมพลังแท้นั้น เยี่ยเทียนยังเหนือกว่าไปอีกขั้นหนึ่ง
หมู่บ้านแห่งนี้ถูกเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อใบไม้แห้งใบนั้นไปติดอยู่บนเลนส์กล้องวงจรปิด วิทยุสื่อสารของยามรักษาความปลอดภัยที่ประตูก็ดังขึ้นมาทันที
ขณะที่ยามรักษาความปลอดภัยคนนั้นเดินไปตรวจดูกล้องวงจรปิด เยี่ยเทียนก็ลากโจวเซี่ยวเทียน เท้าขวาถีบลงไปบนพื้นอย่างแรง ถึงจะดูเหมือนเขาถีบลงไปแรงมาก แต่เมื่อเท้ากระทบถึงพื้นแล้วกลับไม่เกิดเสียงขึ้นเลย
แต่เมื่อฝ่าเท้าของเยี่ยเทียนสัมผัสกับพื้น สายลมแรงก็พัดขึ้นมาจากพื้น
หิมะที่ทับถมอยู่บนพื้นปลิวกระจายขึ้นมา ปะปนกับเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาจากฟ้า ทัศนวิสัยบริเวณทางเข้าหมู่บ้านต่ำลงมากไปชั่วขณะ โดยเฉพาะเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนอยู่กลางลมแรงนั้น พอกระทบถูกใบหน้าก็ถึงกับรู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆ
“อ้าวเฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย?”
เกล็ดหิมะท่ามกลางสายลมแรงพุ่งเข้าใส่ปากและจมูกไม่หยุด ทำให้ยามรักษาความปลอดภัยคนนั้นต้องหลับตาลง ในใจก็นึกสงสัยว่า ทำไมอยู่ดีๆ ลมบ้านี่ถึงหอบมาได้นะ?
ขณะเดียวกับที่ยามรักษาความปลอดภัยหลับตาลง เยี่ยเทียนและลูกศิษย์ก็แอบเดินผ่านข้างตัวเขาไป แล้วเลี้ยวหายไปข้างหลังบ้านหลังหนึ่ง
“อาจารย์ นี่…นี่ไปเรียนวิชานี้มาจากไหนครับเนี่ย?”
หลังจากเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็อดมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ได้ อาศัยทักษะนี้ของเยี่ยเทียนแล้ว คงแอบเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ได้เป็นว่าเล่นอย่างแน่นอนเลยทีเดียว
“ไม่ต้องพูดมาก แกคอยเฝ้านะ ฉันจะทำนายดูอีกหนึ่งตา!”
เยี่ยเทียนคงจะบอกลูกศิษย์ไม่ได้อยู่แล้วว่า เขาเคยเล่นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยไปเรียนที่ปักกิ่งแล้ว และในช่วงที่ติดตามพรตเฒ่าอยู่หลายปีนั้น ความรู้ในวิชาการต้มตุ๋นเยี่ยเทียนก็รู้มาหมดแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสให้ใช้เท่านั้นเอง
“อยู่ทางนั้น…”
หลังจากผ่านไปสองสามนาที เยี่ยเทียนก็ยืดตัวตรง ดวงตามองไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ริมแม่น้ำ แล้วเงาร่างทั้งสองเงาก็หายเข้าไปท่ามกลางความมืดอีก
……
“เวรเอ๊ย วิปริตจริงๆ เลย เอามีดแทงให้ตายทีเดียวแล้วทิ้งลงแม่น้ำซะก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมจะต้องมาทรมานมันอยู่ได้ทุกวัน!”
ต้าหู่ที่เฝ้าประตูหน้าอยู่ก็เหมือนกับหลินเซวียนโย่ว คือเป็นเด็กกำพร้าที่จี๋เหล่าต้ารับเลี้ยงไว้เหมือนๆ กัน แต่กับจี๋เหล่าต้าที่พวกเขาเรียกว่าลูกพี่ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพ่อบุญธรรมนั้น ในใจพวกเขาไม่ได้รู้สึกเคารพเลย กลับมีเพียงแต่ความหวาดกลัวเท่านั้น
ตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดแปดขวบ ต้าหู่ก็ถูกจี๋เหล่าต้าไล่ไปเป็นคนล้วงกระเป๋าที่สถานีรถไฟแล้ว แต่ละวันถ้าขโมยเงินมาไม่ถึงจำนวนที่กำหนดละก็ ไม่ได้ข้าวกินยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะปกติมักจะถูกตบตีจนน่วมไปทั้งร่าง
หลังจากจี๋เหล่าต้าเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักต้มตุ๋น พวกที่แขนขาเติบโตแต่สมองไม่ซับซ้อนอย่างต้าหู่และเอ้อร์หนิว ก็ถูกจัดให้เป็นขุนพลลมและขุนพลไฟในบรรดาแปดขุนพลสำนักต้มตุ๋น ซึ่งก็คือเป็นอันธพาลรับจ้างดีๆ นี่เอง
อย่างเรื่องในวันนี้ ต้าหู่ก็ใช่ว่าเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เพียงแต่เหยื่อในครั้งก่อนๆ ต่างก็เป็นคู่แข่งทางธุรกิจของจี๋เหล่าต้าทั้งนั้น แต่นี่หลิวเหล่าเอ้อร์เป็นพวกเดียวกันเอง ถึงต้าหู่จะไม่ได้สมองดีอะไรมาก ในใจก็ยังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่เหมือนัน
ต้าหู่บี้ดับก้นบุหรี่ในมือ แล้วยื่นมือไปหยิบขวดเหล้าขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ กรอกลงท้องไปรวดเดียวดัง “อึกๆๆ” หยิบถั่วลิสงมากำหนึ่งยัดเข้าปากเคี้ยวอย่างมูมมาม แล้วลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ
ถึงในบ้านจะมีห้องน้ำอยู่ แต่สำหรับต้าหู่แล้ว การปัสสาวะรดลงไปบนพื้นหิมะนั้นยังจะสนุกเสียกว่า ต้าหู่จึงเปิดประตูบ้านเดินออกไปในสวน แล้วเริ่มวาดลวดลายอย่างกับแผนที่บนพื้นหิมะ
“อึ๊ก…”
ต้าหู่สะอึกอย่างมึนเมา ทั้งร่างก็กระเพื่อมตามไปด้วย ขณะที่กำลังจะดึงกางเกงขึ้นมา ก็พลันเห็นว่าบนพื้นหิมะตรงหน้านั้น มีเงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นอย่างน่าตกใจ
‘ผี…ผีโว้ย!’
ความคิดนี้เกิดขึ้นในสมองของต้าหู่เป็นอันดับแรก แต่เขายังไม่ทันจะร้องออกมา ก็รู้สึกชาที่ต้นคอด้านหลัง แล้วก็ทั้งร่างก็หมดความรู้สึกไปเลย
เยี่ยเทียนส่ายหน้า คว้าคอเสื้อของต้าหู่ลากเข้าไปในบ้านที่ประตูเปิดอยู่ ต้าหู่ซึ่งมีน้ำหนักสองร้อยกว่าชั่งเมื่อมาอยู่ในมือเขาแล้วกลับดูเหมือนไร้น้ำหนัก
“หือ? น้ำเต้านี่ไม่เลวเลยนี่นา!” เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เยี่ยเทียนก็เพ่งสายตามองไปยังน้ำเต้าฮวงจุ้ยที่แขวนไว้ในโถงทางเข้าหลังประตูใบนั้น
เยี่ยเทียนโยนต้าหู่ไปไว้หลังประตู แล้วเริ่มตั้งจิต มือขวาจับนิ้วร่ายอาคม กระแสปราณพิฆาตในสวนถูกเขาชักนำให้แผ่เข้ามาในบ้านทันที
ขณะที่ปราณพิฆาตกำลังเข้ามาในบ้าน น้ำเต้าฮวงจุ้ยที่สลักรูปผังแปดทิศไว้นั้นก็หมุนติ้วขึ้นมาในฉับพลัน และกลับดูดรับกระแสปราณพิฆาตนั้นเข้าไปจนหมด
“ไม่เลว ของดีนะเนี่ย ในบ้านที่ฮ่องกงก็ยังขาดน้ำเต้าแบบนี้อยู่”
เยี่ยเทียนก้าวผ่านประตูเข้ามา พร้อมกับปิดประตูลง แล้วหยิบน้ำเต้าใบนั้นมาพิจารณาดูอย่างละเอียดโดยปราศจากความเกรงใจ
นี่เป็นน้ำเต้าธรรมชาติใบหนึ่ง ก้นใหญ่ปากเล็ก รูปร่างสมดุลอย่างยิ่ง ลักษณะก็ได้มาตรฐาน
ผิวน้ำเต้าหนาหนัก สลักรูปผังแปดทิศไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และยังมีกลิ่นธูปหอมติดอยู่จางๆ คาดว่าเมื่อก่อนคงถูกตั้งไว้ให้ผู้คนสักการะบูชาเป็นแน่ แม้จะยังไม่ถึงมาตรฐานของขลังในความคิดของเยี่ยเทียน แต่ก็ถือว่าเป็นวัตถุหายากชิ้นหนึ่ง
“ต้าหู่ เอ็งสูบบุหรี่ให้มันน้อยๆ หน่อยสิวะ บ้านจะไฟไหม้อยู่แล้วเนี่ย”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพิจารณาน้ำเต้าที่ถือในมือ ประตูห้องนอนห้องหนึ่งที่อยู่ข้างหลังโซฟาก็พลันเปิดออก ชายหนุ่มใส่แว่นคนหนึ่งก่นด่าพลางเดินออกมา
“แก…แกเป็นใคร?”
หลินเซวียนโย่วเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับเหล่าชู้รักเสร็จ ไฟราคะยากจะดับลงได้ จึงแก้ปัญหาทางกายภาพไปจนเสร็จสิ้นด้วยน้ำมือของตัวเอง และตอนนี้ก็กำลังอ้าปากหวอมองไปยังเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้า
เนื่องจากติดตามจี๋เหล่าต้ามาหลายปี หลินเซวียนโย่วจึงพอจะต่อสู้เป็นอยู่นิดหน่อย หลังจากถามออกไปแล้ว มือขวาก็คลำไปที่เอวทันที หลังจากนิ้วมือสัมผัสโดนด้ามปืนอันเย็นเฉียบแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
แต่หลินเซวียนโย่วยังไม่ทันล้วงปืนออกมา คนชุดดำที่ตอนแรกอยู่ห่างจากเขาไปสิบกว่าเมตรนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเขาในฉับพลันราวกับภูตผี
“กรอบแกรบ…กรอบแกรบ!” เกิดเสียงดังขึ้นหลายครั้ง แขนขาของหลินเซวียนโย่วถูกเยี่ยเทียนหักไปหมดแล้ว เขายังไม่ทันร้องออกมา เยี่ยเทียนก็ถอนขากรรไกรของเขาออกมาก่อน
ตอนแรกเยี่ยเทียนนึกว่าจะทำให้ชายคนนี้สลบไปเลย แต่พอเข้าไปถึงหน้าตัวมันแล้วถึงจะพบว่า บนร่างของชายคนนี้ก็มีปราณพิฆาตเยอะเหมือนกัน คาดว่าปกติคงจะทำเรื่องชั่วอยู่ไม่น้อย ดังนั้นถึงได้ให้มันรับความทรมานไปเสียบ้าง
“ลูกพี่! อ๊าก…”
พอเยี่ยเทียนทิ้งหลินเซวียนโย่วไว้บนโซฟา ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางหลังบ้าน แม้จะตะโกนเสียงสั้นกระชั้น แต่ก็เสียงดังไม่ใช่น้อยเลย
“เสี่ยวเทียนยังประสบการณ์ไม่พอจริงๆ แฮะ…”
เยี่ยเทียนนิ่งอึ้ง มองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่ได้เดินไปที่บันไดข้างๆ เขาใช้เท้าถีบลงไปบนโซฟาหนึ่งที ร่างทะยานขึ้นไปกลางอากาศ มือขวาฟาดลงไปบนราวเฉลียงชั้นสอง ทั้งตัวตีลังกาขึ้นไป
เยี่ยเทียนขยับร่างวูบไปถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง แล้วถีบไปที่กลอนประตูอย่างปราศจากความลังเล
จี๋เหล่าต้าที่อยู่ในห้องเพิ่งจะเปิดไฟสว่าง มีดสั้นอันคมปลาบเล่มหนึ่งปาดผ่านข้างแก้มเขาไป แล้วปักจมลงไปบนหัวเตียงเสียงดัง “ตึง”
ประกายเย็นวาบที่แผ่ออกมาจากมีดสั้นนั้น ทิ่มแทงไปกระทบผิวหนังที่ลำคอของจี๋เหล่าต้าจนรู้สึกเจ็บนิดๆ แม้ว่าใต้หมอนของเขาจะมีปืนพก 54 ซ่อนอยู่กระบอกหนึ่ง แต่จี๋เหล่าต้ากลับไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วมือนิ้วเดียว
………………………………………
ตอนที่ 540 ยอมสยบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แก…แกเป็นใคร? ทำไม…ทำไมบุกรุกเข้ามาในบ้านฉันแบบนี้?”
จี๋เหล่าต้ามองดูผู้มาเยือน สมองก็กำลังแล่นอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับไม่กล้าไปหยิบปืนพกที่ใต้หมอน เพราะเขารู้ดีว่า เวลาเผชิญหน้ากับคนบางคน อาวุธปืนไม่แน่ว่าจะสามารถเล่นงานอีกฝ่ายได้เสมอไป
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่ฝีมือที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นเมื่อครู่ จี๋เหล่าต้าก็รู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามได้ออมมือให้แล้ว ไม่อย่างนั้นมีดสั้นเล่มนั้นก็คงจะปักลงไปที่กลางหน้าผากของเขาไปแล้ว
นอกจากนี้จี๋เหล่าต้ายังจำได้ว่า เมื่อครั้งอดีตตอนที่พ่อถูกคนพังประตูห้องบุกเข้าไปหานั้น แม้จะกำลังควบขี่อยู่บนร่างของผู้หญิง แต่เขาก็คว้าปืนที่อยู่บนหัวเตียงมาได้ตั้งแต่ชั่วอึดใจแรกแล้ว
แต่ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง คนที่บุกเข้าไปในห้องจึงไม่ปล่อยให้พ่อมีโอกาสเลย หลังจากซัดลูกดอกใส่ด้านลำคอของโจวต้าหมาจื่อ จากนั้นก็ฟันศีรษะของเขาขาดไปในดาบเดียวทันที
ดังนั้นจี๋เหล่าต้าจึงชูมือทั้งสองขึ้นสูงอย่างให้ความร่วมมือ ไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างมีพิรุธแม้แต่น้อย เขาพอจะคาดเดาจุดประสงค์การมาของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง ในใจจึงไม่ได้รู้สึกแตกตื่นอะไรมาก
“จี๋เหล่าต้าสินะ ฉันชื่อเยี่ยเทียน…”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเยี่ยเทียน แต่ในฝ่ามือของเขากลับซุกเหรียญทองแดงไว้เหรียญหนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงพลังสังหารที่แผ่มาจากใต้หมอนของจี๋เหล่าต้า ตรงนั้นจะต้องซ่อนปืนไว้กระบอกหนึ่งอย่างแน่นอน
“ผมได้เชิญผู้อาวุโสในเขตปักกิ่งและเทียนจินไปหลายท่าน รอก็แต่ให้คุณมาเยือนเท่านั้น แต่คุณจี๋เหล่าต้ากลับไม่ไว้หน้าผมเลย ในเมื่อหมดหนทาง ผมก็เลยได้แต่มาหาถึงที่บ้านนี่แหละ!”
เมื่อได้พบกับจี๋เหล่าต้า เยี่ยเทียนก็ออกจะผิดหวังอยู่ เพราะเยี่ยเทียนสัมผัสพลังชี่บนร่างของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนิด พูดอีกอย่างก็คือ เขาเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทายาทชั่วในตระกูลสายข้างคนที่ได้รับถ่ายทอดวิชาตระถูลโจวไป
“เป็นอย่างที่เขาว่าวีรบุรุษมักปรากฏในคนรุ่นเยาว์จริงๆ คุณเยี่ยอายุน้อยขนาดนี้ แต่มีฝีมือเยี่ยมจริงๆ เลย!”
จี๋เหล่าต้าหัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างช้าๆ “คุณเยี่ยครับ กระผมแซ่จี๋ยอมแพ้แล้ว คุณบอกเงื่อนไขมาได้เลย แล้วกระผมจะทำตามที่คุณสั่ง!”
คนที่อาศัยอยู่ในยุทธภพนั้น ไม่มีใครที่ไม่ยอมสยบใต้คมดาบ จี๋เหล่าต้าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกคนรุมซ้อมกลางซอยจนหน้าตาชอกช้ำมาก่อน เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว การคิดหาทางแก้ไขต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
และในเมื่อเยี่ยเทียนอ้างถึงธรรมเนียมในยุทธภพขึ้นมา จี๋เหล่าต้าก็ต้องว่าไปตามน้ำไปก่อน ก่อนหน้านี้เขามีความผิดอยู่จริง แต่เรื่องเหล่านี้สามารถเจรจากันได้ อย่างมากเขาก็แค่จ่ายค่าชดเชยให้เท่านั้นเอง
“ได้ ลุกขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวเราไปคุยกันในห้องชั้นล่าง!” เยี่ยเทียนพยักหน้า มองจี๋เหล่าต้าแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “เคลื่อนไหวช้าๆ หน่อยล่ะ ของที่อยู่ใต้หมอนนั่นไม่ต้องพกลงไปด้วยหรอกนะ!”
จี๋เหล่าต้าใจหายวาบ มือข้างที่ตอนแรกกำลังจะคลำหาปืนพร้อมๆ กับหยิบเสื้อผ้านั้นหยุดนิ่งไปทันที คนที่ชื่อเยี่ยเทียนตรงหน้านี้ถึงจะอายุไม่มาก แต่กลับมีประสบการณ์ในยุทธภพเหมือนนักพรตอาวุโสเลยทีเดียว
เมื่อสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย จี๋เหล่าต้าก็ไม่อยากไปยั่วโทสะเยี่ยเทียนเพราะเรื่องนี้ แล้วจึงค่อยๆ ใส่เสื้อคลุม หลังจากเยี่ยเทียนเก็บมีดสั้นอู๋เหินกลับไปแล้ว ทั้งสองก็มาที่ห้องรับแขกชั้นหนึ่ง
“อึก…อึก…”
เมื่อเห็นลูกพี่ลงมาจากชั้นบน หลินเซวียนโย่วก็พยายามจะลุกขึ้นมาอย่างสุดชีวิต แต่แขนขาของเขาถูกเยี่ยเทียนดึงหลุดจากข้อไปแล้ว ขากรรไกรก็ถูกถอนหลุด จึงได้แต่เปล่งเสียงที่ไม่มีความหมายใดๆ ออกมาอย่างไร้ประโยชน์
‘เวรเอ๊ย มีแต่พวกสวะทั้งนั้น!’
หลังจากเห็นหลินเซวียนโย่วที่นอนอยู่บนโซฟา ความหวังในใจของจี๋เหล่าต้าที่ยังมีอยู่น้อยนิดก็หายไปหมด ฝ่ายตรงข้ามต้องตระเตรียมกันมาแน่นอน เขาคงจัดกำลังคนไว้ในบ้านหลังนี้น้อยเกินไป
“อาจารย์ ผมประมาทไปหน่อย ไอ้นี่มันเลยตะโกนขึ้นมาได้น่ะครับ!”
พวกเยี่ยเทียนเพิ่งจะมาถึงในห้องรับแขก โจวเซี่ยวเทียนก็หิ้วคนเดินเข้ามาอีกคนหนึ่งด้วยสีหน้าละอาย อาศัยความสามารถของเขาแล้ว กับคนธรรมดาๆ คนหนึ่งกลับยังปล่อยให้ร้องตะโกนออกมาได้
“พวก…พวกคุณมีกันสองคนเนี่ยนะ?”
จี๋เหล่าต้ามองไปรอบๆ บ้าน แล้วก็ต้องตกตะลึง พวกลูกน้องของเขาพกอาวุธปืนกันครบทุกคน ไม่นึกเลยว่ากลับไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยเหมือนเขาไม่มีผิด
“อาจารย์ มันน่ะหรือครับคือจี๋เหล่าต้า?”
โจวเซี่ยวเทียนพิจารณาดูจี๋เหล่าต้าที่นั่งอยู่บนโซฟา ในใจก็รู้สึกผิดหวังไปบ้าง ร่างกายของชายคนนี้ไม่มีลักษณะของคนฝึกวรยุทธเลยสักนิด คงไม่ใช่ทายาทสายข้างของตระกูลโจวแล้วละ
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดมาก”
เยี่ยเทียนโบกมือ “จี๋เหล่าต้า แกส่งเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อร์ไปทำการต้มตุ๋นที่ปักกิ่ง แล้วก็หลอกมาถึงพวกฉันได้ แต่นี่เป็นอาชีพทำมาหากินของแก ฉันก็เลยไม่ถือสา แต่แกปล่อยข่าวว่าจะมาเจรจา สุดท้ายก็หลบหลีกหนีหาย แบบนี้เรียกว่าแกทำผิดธรรมเนียมรึเปล่าล่ะ?”
ที่จริงแล้วในยุทธภพก็มีการหากินที่ล้ำเส้นกฎหมายเช่นนี้อยู่ไม่น้อย ตอนแรกเยี่ยเทียนคิดว่าแค่ตามเงินก้อนนั้นกลับมาก็พอแล้ว แต่พฤติการณ์ของจี๋เหล่าต้ากลับทำให้เยี่ยเทียนเปลี่ยนใจ เขาไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่
จี๋เหล่าต้าพยักหน้า “ใช่ น้องเยี่ย เหล่าจี๋ทำผิดธรรมเนียมเองนั่นแหละ จะทุบตีหรือจะลงโทษ คุณก็ตั้งกฎมาได้เลย เหล่าจี๋ไม่ขัดขืนแน่นอน”
ภาษิตว่า ชายชาตรีพึงปรับตัวตามสถานการณ์ จี๋เหล่าต้าเป็นคนฉลาด เงินนั้นถึงไม่มีก็หามาใหม่ได้ แต่ถ้าหัวสมองไม่มีแล้วละก็ ไม่มีทางงอกออกมาใหม่ได้หรอก
“ให้ฉันตั้งกฎงั้นรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วเหลือบมองจี๋เหล่าต้าแวบหนึ่ง นิ้วชี้มือขวาเคาะลงไปบนที่เท้าแขนของโซฟาซึ่งทำจากไม้จันทน์เป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว เขาคาดไม่ถึงว่า จี๋เหล่าต้าจะลื่นไหลปานนี้ แบบนี้กลับทำให้เยี่ยเทียนยุ่งยากขึ้นมาบ้างแล้ว
ถ้าจี๋เหล่าต้าแข็งกร้าวสักหน่อย อย่างนั้นเยี่ยเทียนก็ยังพอจะมีวิธีจัดการมันอยู่ ซึ่งก็คือเอาชีวิตมันเลย และจี๋เหล่าต้าก็จะเป็นฝ่ายทำผิดธรรมเนียมก่อน แต่เมื่อมันแสดงท่าทีออกมาแบบนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่อยากจะลงโทษมันหนักเกินไป
หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “การตระบัดสัตย์นั้น ตามธรรมเนียมในยุทธภพจะต้องถูกฟันสามดาบ ฉันจะลดให้หนึ่งดาบ เอามือกับเท้าแกอย่างละข้าง แกว่าเป็นยังไงล่ะ?”
ถ้าทำเรื่องผิดแค่ยอมรับก็ไม่ต้องถูกลงโทษแล้วอย่างนั้นหรือ? โลกนี้ไม่มีเรื่องสะดวกสบายแบบนั้นหรอก ด้วยนิสัยของเยี่ยเทียน ตอนแรกยังคิดว่าจะตัดลิ้นมันอีกอย่างด้วยซ้ำ นี่เพราะเห็นจี๋เหล่าต้ายอมสยบ ก็เลยยอมปล่อยไปข้อหนึ่ง
“ท่าน…ท่านเยี่ย นี่…นี่มันหนักเกินเหตุไปรึเปล่าครับ ท่าน…ท่านจะเอามือกับเท้าผมอย่างละข้าง แล้วต่อไปกระผมจะยังหากินในยุทธภพต่อไปได้ยังไงล่ะ?”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าตัวเองเมตตามากแล้ว แต่ทางฝ่ายจี๋เหล่าต้าเมื่อได้ยินดังนั้น กลับรู้สึกไปคนละอย่างโดยสิ้นเชิง สมัยเด็กเขาเคยเห็นคนพิการมือด้วนขาขาดขอทานอยู่ตามริมถนนมามาก เขาจึงไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นสภาพนั้นเลย
“แกยังคิดจะหลอกลวงคนอื่นต่อไปอีกรึ?”
เยี่ยเทียนฟังแล้วยิ้มขึ้นมา เพราะเขาแสดงตัวเป็นคนใจอ่อนมากเกินไปรึเปล่านะ? จี๋เหล่าต้าคนนี้ถึงกับกล้าต่อรองกับเขาแบบนี้เลย?
“ท่านเยี่ยครับ สมบัติพัสถานของผมท่านเอาไปได้หมดเลย นอกจากนั้นผม…ผมจะล้างมือจากวงการนี้ไปก็ได้ ท่าน…ท่านปล่อยเบี้ยตัวน้อยอย่างผมไปได้ไหมครับ ให้ผมได้มีแขนขาครบๆ ต่อไปเถอะนะ!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของเยี่ยเทียน จี๋เหล่าต้าก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดล้อเล่นกับตัวเองเลย จึงคุกเข่าลงไปตรงหน้าเยี่ยเทียนดัง “โครม” แล้วโขกหน้าผากลงไปบนพรมหนาที่ปูอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายเสียงดัง “ตุบๆ”
จี๋เหล่าต้าเติบโตมาในสถานที่อย่างสถานีรถไฟมาตั้งแต่เด็ก จึงเข้าใจจิตใจของคนอย่างทะลุปรุโปร่ง อย่างครั้งแรกที่เขาถูกจับเพราะลักขโมยนั้น แค่เขาคุกเข่าลงไปวิงวอน ก็จะได้รับการให้อภัยจากผู้คนแล้ว
ส่วนเรื่องศักดิ์ศรีนั้น ในใจจี๋เหล่าต้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เขาก็เหมือนกับบรรพบุรุษที่ไปเข้ากับพวกคนญี่ปุ่นทำเรื่องขายชาตินั่นเอง ‘ศักดิ์ศรี…มันใช้กินแทนข้าวได้ไหมล่ะ?’
“เวรเอ๊ย นี่มันพวกชั้นต่ำจริงๆ”
เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าถึงขั้นแสดงกิริยาแบบนั้น เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกอายแทนพ่อตัวเองไม่ได้ แค่ลูกน้องของไอ้คนพรรค์นี้ ก็ถึงกับหลอกเงินพ่อไปได้สามสิบล้าน ไม่รู้ว่าถ้าไปเล่าให้ฟังแล้ว พ่อจะทำหน้าแบบไหนกัน?
“ไม่ต้องโขกแล้ว ฉันเยี่ยเทียนถ่มน้ำลายออกไปแล้วไม่มีวันกลืนกลับลงไปหรอก หนึ่งมือหนึ่งเท้า หรือไม่ก็หนึ่งชีวิต แกเลือกเอาเองเถอะ!”
หลังจากได้ติดตามพรตเฒ่าออกท่องยุทธภพไปหลายปี เยี่ยเทียนจึงเข้าใจว่า การชอบฟังแต่คำพูดไพเราะนั้นไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไรนัก ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยไม่รับฟังการโน้มน้าวใดๆ มาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็ง
“แก…แกจะเอาเรื่องกันให้ได้เลยใช่ไหม?”
จี๋เหล่าต้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน สีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมาเล็กน้อย เขาย่อมรู้ธรรมเนียมในยุทธภพดีอยู่แล้ว และก็รู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้พูดผิดไปเลย
แต่ธรรมเนียมเหล่านี้ที่ผ่านมามีแต่จี๋เหล่าต้าใช้กับคนอื่น ตอนนี้เมื่อถูกใช้กับตัวเองบ้างแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้
“ฉันให้ทางรอดกับแกแล้วนะ ยังไม่รู้จักพออีกรึ?” เยี่ยเทียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
จี๋เหล่าต้าเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว หน้าตาดูน่าเวทนาขึ้นมาเล็กน้อย “ได้…ได้ครับ กระผมแซ่จี๋ยอมแล้ว!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วถามว่า “เงินล่ะ? อย่าบอกนะว่าแกเอาไปใช้หมดแล้ว”
จี๋เหล่าต้าทำท่าทางเหมือนยอมศิโรราบแล้ว “อยู่ที่ห้องใต้ดินน่ะ ผมจะไปเอามาให้นะ!”
“ห้องใต้ดินรึ? ได้ ไปสิ”
เยี่ยเทียนดูออกว่า ในดวงตาของจี๋เหล่าต้ามีความชิงชังแฝงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ปกติก็ไม่มีใครทำหน้ายิ้มให้คนที่จะฟันมือเท้าของตัวเองอยู่ได้หรอก
เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าเดินไปถึงตรงผนังกั้นที่ปลายบันไดและเปิดประตูลับออก เยี่ยเทียนก็ชี้ไปที่หลินเซวียนโย่วซึ่งนอนนิ่งไม่กระดุกระดิกอยู่บนโซฟา แล้วพูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่า “เซี่ยวเทียน เก็บขากรรไกรมันกลับขึ้นไปซิ…”
แค่ดูก็รู้แล้วว่า หนุ่มแว่นคนนี้เป็นคนใกล้ชิดของจี๋เหล่าต้า เยี่ยเทียนจึงอยากให้ลูกศิษย์ซักถามชายคนนี้ดู เขารู้สึกว่าการแสดงออกต่างๆ ของจี๋เหล่าต้านั้นดูเสแสร้งไปหมด เจ้าหมอนี่น่าจะยังปิดบังเรื่องอะไรไว้อยู่แน่ๆ
“ฉันจะลงไปก่อน!” พอเห็นจี๋เหล่าต้ากำลังจะเข้าไปในประตูลับ เยี่ยเทียนก็ขวางหน้าเขาไว้ก่อน
ในสมัยก่อนสถาปนาประเทศ คนในยุทธภพต่างก็มีศัตรูคู่แค้นกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย การสร้างห้องลับไว้ในบ้านจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก และโดยทั่วไปก็จะไม่จัดอะไรไว้ในห้องลับนั้น
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ในห้องลับที่อยู่ต่ำลงไปจากประตูลับนี้จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เขาจึงไม่กล้าให้จี๋เหล่าต้าเดินอยู่ข้างหน้า
“ได้ครับ เชิญก่อนเลย”
จี๋เหล่าต้าแอบโอดครวญในใจ เจ้าหนุ่มคนนี้นี่ก็เรื่องมากเหลือเกิน ถ้ารู้แต่แรกเขาคงไม่โลภอยากได้เงินสามสิบล้านนั่นหรอก ถ้าทำเรื่องให้จบเรียบร้อยไปตามธรรมเนียมเสียตั้งแต่ตอนนั้นก็ดีน่ะสิ
“นี่…นี่ใครน่ะ?”
หลังจากลงไปถึงด้านล่างสุดแล้ว เยี่ยเทียนก็ผลักบานประตูออก ภาพที่ปะทะแก่สายตานั้นทำให้เขาตะลึงอึ้งไปทันที ชายที่ถูกมัดไว้กับเสาคนนี้ สภาพออกจะดูอเนจอนาถเกินไปจริงๆ
แต่เยี่ยเทียนดูไม่ออกเลยว่า นี่ก็คือหลิวเหล่าเอ้อร์นั่นเอง เพราะใบหน้าของเขาถูกทุบตีจนเปลี่ยนรูปไปนานแล้ว อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนเลย ต่อให้เป็นแม่แท้ๆ ของหลิวเหล่าเอ้อร์มาเองก็คงจะจำไม่ได้เหมือนกัน
…………………………………….
ตอนที่ 541 กรรมสนอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อะแฮ่ม” จี๋เหล่าต้ากระแอมหนึ่งที แล้วตอบว่า “ท่านเยี่ย เจ้านี่มันเป็นลูกน้องผมคนหนึ่งที่ทำความผิดไป ก็เลยลงโทษมันเสียหน่อยเท่านั้นเองครับ”
“แกนี่ชอบเข้มงวดกับคนอื่น แต่ใจกว้างกับตัวเองอย่างนั้นสินะ?” เยี่ยเทียนพูดเสียดสีจี๋เหล่าต้า แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจชายคนที่อยู่ตรงหน้าอีก
ควรทราบว่า ไม่ว่าจะสมัยไหน ยุทธภพก็เป็นแวดวงหนึ่งที่แยกตัวออกจากสังคมปกติ คุณจึงไม่สามารถใช้มาตรฐานทางกฎหมายมาตัดสินการกระทำของคนเหล่านี้ได้
อย่าว่าแต่การลงโทษกันเองอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เลย ต่อให้มีคนตายไปสักสามสี่คนก็ยังถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มาตรการโหดของรัฐหลายครั้งก็มีเป้าหมายที่จะจัดการกับกลุ่มสังคมประเภทนี้นี่เอง
“ห้องทำพิธีของแกนี่ติดตั้งอุปกรณ์ไว้พร้อมเชียวนะ”
เยี่ยเทียนเหลือบมองไปบนผนังห้องใต้ดินทั้งสี่ด้าน แล้วก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดูท่าจี๋เหล่าต้านี่คงจะเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมสุดๆ ถึงได้รวบรวมเครื่องมือลงทัณฑ์สมัยโบราณไว้ได้มากมายปานนี้
“ท่านเยี่ย พวกลูกน้องในพรรคชอบทำผิดอยู่บ่อยๆ ผมก็เลยจำเป็นต้องทำแบบนี้แหละครับ”
จี๋เหล่าต้ามองหลิวเหล่าเอ้อร์ที่อยู่บนเสาไม้แวบหนึ่งอย่างกังวลใจ กลัวว่ามันจะฟื้นขึ้นมา หลังจากอธิบายแล้วเขาจึงพูดต่อไปว่า “ท่านเยี่ยรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปนำเงินมาให้…”
จี๋เหล่าต้าพูดพลางเดินไปคลำหาบนชั้นไม้ที่วางเครื่องมือลงโทษไว้ เขาไปขยับกลไกอะไรก็ไม่ทราบ ที่ผนังทางด้านขวาของเสาไม้จึงเผยตู้นิรภัยตู้หนึ่งออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
“ท่านเยี่ยครับ เงินพวกนั้นผมฝากไว้ในธนาคารทั้งหมดเลย เป็นบัตรแบบไม่ลงนาม รหัสคือ 219892”
จี๋เหล่าต้าสองมือเปิดตู้นิรภัยซึ่งมีความสูงพอๆ กับคนหนึ่งคน ปากก็พูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ในหลายปีที่ผ่านมากระผมก็ยังมีสังหาริมทรัพย์อยู่อีกนิดหน่อย ยินดีมอบให้ท่านเยี่ยทั้งหมดเลย ต้องขอให้ท่านเยี่ยโปรดละเว้นกระผมด้วย โทษตัดมือเท้านี่ละเว้นไปเถอะนะครับ?”
จี๋เหล่าต้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง แต่บนใบหน้าซึ่งกำลังหันหลังให้เยี่ยเทียนอยู่นั้น กลับปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมดุร้าย ทรัพย์สมบัติที่เขาสะสมมาตั้งหลายสิบปีและมือเท้าของเขานั้น จะยกให้คนอื่นไปง่ายๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน?
เรื่องที่จี๋เหล่าต้าขี้ขลาดนั้นเป็นข้อเท็จจริง แต่กระต่ายเวลาคลั่งขึ้นมามันก็กัดคนได้เหมือนกัน เงื่อนไขที่เยี่ยเทียนเสนอมานั้น เกินกว่าขีดจำกัดในใจของเขาไปแล้ว การที่จี๋เหล่าต้าชักนำเยี่ยเทียนมาที่ห้องใต้ดินนี้ ก็เพื่อที่จะต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย
เยี่ยเทียนมองไปที่หลังของจี๋เหล่าต้าอย่างตรึกตรอง “เออ ปล่อยแกไปสักครั้งมันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้นะ อยู่ที่ว่าแกจะจริงใจสักแค่ไหนนั่นแหละ!”
ร่างกายของแต่ละคนนั้น ต่างก็มีสนามพลังปราณของตัวเองอยู่ และระหว่างสนามพลังกับสนามพลังด้วยกัน ก็มักจะสามารถรับรู้สัมผัสถึงกันและกันได้
เราทุกคนก็อาจจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้กันมาแล้ว อย่างเช่นสมมติเวลาที่คุณจับจ้องไปที่ใครสักคนหนึ่งในบรรดาผู้คน ถ้าคนผู้นั้นมีการตอบสนองที่ปกติ ไม่นานก็จะรู้สึกถึงสายตาของคุณได้และมองตอบมาทางคุณ นี่ก็คือความสามารถในการตอบสนองต่อสนามพลังอย่างหนึ่งนั่นเอง
จิตสังหารก็เป็นสนามพลังอย่างหนึ่งเช่นกัน เหมือนอย่างเวลาที่คนอื่นจ้องมาที่คุณ คุณก็จะสามารถดูจากแววตาของเขาได้อย่างง่ายดายว่ามีจุดประสงค์ดีหรือร้าย
นักฆ่าอับดับต้นๆ ที่แท้จริงนั้น ต่อให้ไปยืนอยู่ตรงหน้าคนที่เป็นเป้าหมาย ก็จะไม่มีจิตสังหารแผ่ออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนั่นจะทำให้โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในการสังหารลดลงอย่างมากทีเดียว
อดีตเมื่อครั้งที่จิงเคอสังหารฉินอ๋องนั้น หากเขาแผ่จิตสังหารออกมาแม้แต่น้อย ก็จะไม่มีทางดำเนินตามแผนการไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายได้เลย และคงจะถูกพวกองครักษ์จับกุมตัวไปเสียก่อน
ส่วนจี๋เหล่าต้าถึงจะรู้ศาสตร์การเสี่ยงทายอยู่บ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจในประเด็นนี้ เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่า ความคิดในใจของเขาได้ปรากฏแก่สายตาของเยี่ยเทียนอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋มาตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากใส่รหัสอันมากมายซับซ้อนเข้าไป เสียง “กริ๊ก” ก็ดังขึ้นเบาๆ ประตูตู้นิรภัยเคลื่อนไหวเล็กน้อย ขณะที่จี๋เหล่าต้าเปิดตู้นิรภัยออกมา บนฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเหงื่อแล้ว
เนื่องจากร่างของเขาบดบังตู้นิรภัยไปทั้งหมด จี๋เหล่าต้าจึงไม่ห่วงเลยว่าเยี่ยเทียนที่อยู่ข้างหลังจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของเขา หลังจากเปิดตู้นิรภัยแล้ว มือขวาก็คลำหาปืนพกกระบอกหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นที่สาม
ภาษิตว่า กระต่ายเจ้าเล่ห์มักมีหลายโพรง แต่ต่อให้เป็นกระต่ายที่เจ้าเล่ห์สักขนาดไหน ก็ต้องมีวันที่จะถูกต้อนจนมุมอยู่ในรังเหมือนกัน ปืนพกที่อยู่ในตู้นิรภัยนี้ ก็คือทางหนีสุดท้ายของจี๋เหล่าต้านั่นเอง
ทุกครั้งที่จี๋เหล่าต้าจะอยู่อาศัยที่ไหนเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะต้องเช็ดทำความสะอาดอาวุธปืนที่ซ่อนไว้ที่นั่นเป็นประจำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกกระสุนในกระบอกสามารถที่จะยิงออกไปได้ทุกเมื่อ
“ท่านเยี่ยครับ นอกจากเงินสามสิบล้านนั่น นี่ผมยังมีทองคำแท่งเล็กอยู่อีกห้าสิบแท่ง เป็นของท่านหมดเลยครับ หรือไม่ ท่านจะตรวจดูก่อนไหมล่ะครับ?”
มือขวากุมด้ามปืน .45 อันเย็นเยียบไว้ บนใบหน้าของจี๋เหล่าต้าปรากฏรอยยิ้มร้าย ยอดฝีมือแห่งยุทธภพแล้วยังไงล่ะ? เป็นคนในวงการศาสตร์ลับแล้วจะทำจะไรได้ล่ะ? แม้แต่มือดาบใหญ่หวังอู่ก็ยังต้องตายเพราะปืน เขาไม่เชื่อหรอกว่า ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเขาคนนี้จะคงกระพันฟันแทงไม่เข้า
จี๋เหล่าต้าแนบปืนพกไว้กับหน้าอก แล้วค่อยๆ ขยับกายเคลื่อนไปข้างๆ เขาจะรอให้เยี่ยเทียนเข้ามาตรวจดูตู้นิรภัย จากนั้นก็จะปลิดชีวิตเขาด้วยปืนนัดเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้จี๋เหล่าต้ารู้สึกประหลาดใจคือ เยี่ยเทียนกลับไม่เดินเข้ามา ในใจเริ่มตึงเครียด จี๋เหล่าต้าหันขวับไปโดยพลัน แล้วยกมือขึ้นมายิงปืนไปทางเยี่ยเทียนหนึ่งนัด
ขณะเดียวกันกับที่จี๋เหล่าต้าหันกายมา ประกายสีดำดุดันสายหนึ่งก็พุ่งออกไปจากฝ่ามือของเยี่ยเทียน ตรงเข้าไปปักที่ข้อมือข้างขวาของจี๋เหล่าต้าแทบจะเป็นเวลาเดียวกับตอนที่เขาลั่นไกปืน
“ปัง!”
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ยิ่งเมื่ออยู่ในห้องใต้ดินที่ปิดอย่างมิดชิดแบบนี้แล้ว เสียงก็ยิ่งดังสะเทือนกึกก้องจนทำให้ปวดแก้วหูไปวูบหนึ่ง
ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น หลิวเหล่าเอ้อร์ที่ถูกมัดติดกับเสาก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างสั่นสะท้าน เพราะตอนที่จี๋เหล่าต้ายิงปืนไปเมื่อครู่นั้น กลับกลายเป็นยิงไปที่ต้นขาของเขาแทน
เมื่อเห็นว่าตัวเองยิงพลาดเป้าไป จี๋เหล่าต้าก็ฝืนทนความเจ็บปวดที่มือขวา แล้วก้มลงไปหมายจะใช้มือซ้ายเก็บปืนพกที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา
แต่ขณะที่มือซ้ายของจี๋เหล่าต้าจับด้ามปืนไว้แล้วนั้น เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบลงไปบนหลังมือของเขา เกิดเสียงดัง “กร๊อบ” เอ็นและกระดูกมือซ้ายของจี๋เหล่าต้าแตกหักไปทั้งมือ
“อ๊าก…อ๊าก!”
ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทำให้จี๋เหล่าต้าร้องโหยหวนออกมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น แต่ห้องลับของเขานี้มีคุณสมบัติในการเก็บเสียงอย่างดีเยี่ยม ถึงเขาจะตะโกนจนคอแตก ก็อย่านึกเลยว่าเสียงจะดังเล็ดรอดออกไปได้
“คิดจะเล่นสกปรกกับข้า เอ็งน่ะยังมีความสามารถไม่พอหรอก!”
ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนอายุสิบขวบต้นๆ ก็ได้ท่องไปตามที่ต่างๆ ในยุทธภพแล้ว เคยเห็นพวกที่เรียกตัวเองเป็นเจ้าพ่อที่ชอบซ่อนมีดไว้ใต้มือมานักต่อนักแล้ว แล้วลูกไม้นี้ของจี๋เหล่าต้าจะรอดสายตาเขาไปได้อย่างไรกัน?
ในใจนึกชังความชั่วร้ายของจี๋เหล่าต้า หลังจากเหยียบมือของเขาหักไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลย ขณะที่จี๋เหล่าต้ากำลังกลิ้งไปกับพื้น เท้าซ้ายและเท้าขวาก็ก้าวออกไปพร้อมกัน กระทืบลงไปที่ตำแหน่งโคนขาทั้งสองข้างของจี๋เหล่าต้า
เมื่อเท้าสองข้างกระทืบลงไป จี๋เหล่าต้าที่ตอนแรกยังร้องโหยหวนอยู่ก็เหมือนกับไก่โต้งที่ถูกบีบคอ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดหยุดชะงักไปทันที แล้วเขาก็สลบเหมือดไปเลย
“รนหาที่ตายนัก!”
กับคนประเภทอย่างจี๋เหล่าต้านี้ เยี่ยเทียนไม่มีความรู้สึกสงสารให้เลยแม้แต่น้อย เขาใช้ส้นเท้าเตะร่างอีกฝ่ายกระเด็นไปอยู่ข้างเสา เปิดทางให้เยี่ยเทียนเดินเข้าไปตรวจดูตู้นิรภัย
“ก็ไม่ได้พูดโกหกนี่หว่า?”
เยี่ยเทียนมองแวบแรกก็เห็นทองคำที่กองเรียงอยู่ในตู้นิรภัยแล้ว แต่ละแท่งหนักประมาาณสามร้อยกรัม เป็นทองคำแท่งเล็กชนิดที่นิยมกันในสมัยก่อนสถาปนาประเทศนั่นเอง
ทองคำแท่งเล็กห้าสิบแท่งนั้น จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อยเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีมูลค่าถึงหนึ่งล้านกว่าๆ
นอกจากทองคำแท่งเล็กเหล่านี้ ที่ชั้นบนของตู้นิรภัยยังมีเครื่องประดับจำพวกสร้อยคอทองคำวางอยู่อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินหยวนอีกเป็นปึกๆ เยี่ยเทียนกะดูด้วยสายตาแล้วน่าจะมีอยู่หลายแสน
หลังจากตรวจดูชั้นบนๆ ของตู้นิรภัยเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็ยื่นมือลงไปเปิดลิ้นชักที่อยู่ข้างล่าง ในตู้นิรภัยขนาดใหญ่แบบนี้ ปกติมักจะซ่อนของที่มีมูลค่ามากที่สุดไว้ข้างล่าง
“ช่วย…ช่วยด้วย!”
ขณะที่กำลังจะเปิดลิ้นชักเหล็กนั้นออกมา เสียงอ่อนระโหยเสียงหนึ่งก็ดังมาเข้าหูเยี่ยเทียน พอหันหน้าไปดูก็เห็นว่า ชายคนที่ตอนแรกสลบอยู่กับเสานั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว
“แกเป็นใคร?” การที่เยี่ยเทียนลงโทษจี๋เหล่าต้าไปนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีอารมณ์อยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน คนที่อยู่บนเสานี่จะเป็นจะตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ?
“ท่านครับ ผม…หลิว…หลิว เหล่าเอ้อร์ไง!”
หลิวเหล่าเอ้อร์ตอนแรกก็คิดจะเรียกเขาว่าท่านเยี่ย แต่ลำคออันแห้งผากนั้นทำให้เสียงที่เปล่งออกมาเพี้ยนไป หลังจากพยายามอย่างสุดกำลัง สุดท้ายหลิวเหล่าเอ้อร์ก็พูดชื่อของตัวเองออกมาได้
“แก…แกคือหลิวเหล่าเอ้อร์งั้นรึ?”
เยี่ยเทียนอึ้งไปทันทีที่ได้ยิน เขานึกไม่ถึงเลยว่า ตาคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนี้ จะกลายเป็นหลิวเหล่าเอ้อร์ที่เป็นคนจัดฉากร่วมกับเปาเฟิงหลิงไปได้
เยี่ยเทียนไม่สนใจคราบโลหิตที่มีอยู่ทั่วร่างของหลิวเหล่าเอ้อร์ ทาบมือขวาไปที่ท้องน้อยของเขา พลังปราณแผ่ออกมา เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงพลังพิฆาตที่ตนปล่อยไว้ในร่างของอีกฝ่ายได้ทันที
“เวรกรรม มันไม่ใช่คนแล้วนะเนี่ย กับพวกเดียวกันยังโหดขนาดนี้เลยรึ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ควบคุมจิตดูดพลังพิฆาตในร่างกายของหลิวเหล่าเอ้อร์ออกมา มือซ้ายปาดไปข้างตัวหนึ่งที แล้วเชือกป่านที่ชุ่มน้ำนั้นก็ขาดสะบั้น
แต่ขาทั้งสองข้างของหลิวเหล่าเอ้อร์ไม่สามารถรับน้ำหนักของเขาไว้ได้แล้ว เมื่อเชือกคลายออก ทั้งร่างก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นทันที โดยฟุบลงไปบนร่างของจี๋เหล่าต้าที่สลบไปแล้วพอดี
“ฮื่อ…ฮื่อๆ” ผ่านดวงตาอันหรี่เล็กเพราะถูกทุบตีนั้น หลิวเหล่าเอ้อร์มองเห็นคนที่อยู่ข้างใต้อย่างชัดเจน แล้วลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมาทันที
เมื่อนึกถึงการทรมานที่ตนได้รับในหลายวันที่ผ่านมานี้ หลิวเหล่าเอ้อร์ก็ได้แรงมาจากไหนไม่ทราบ ปากเปล่งเสียงคำรามออกมาราวกับสัตว์ป่า แล้วกัดไปที่คอของจี๋เหล่าต้า
“ปล่อย…ปล่อยฉัน!”
จี๋เหล่าต้าซึ่งกำลังสลบอยู่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นมาจากลำคอ หลังจากฟื้นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า กลับพบว่ามีเจ้าตัวที่คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงกำลังหมอบอยู่บนร่าง จึงแตกตื่นขวัญกระเจิงไปทันที และคิดจะยกมือขึ้นมาผลักเจ้าคนนี้ออกไป
แต่เมื่อจี๋เหล่าต้ายกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วถึงจะพบว่า มือทั้งสองข้างที่อ่อนปวกเปียกนั้นไม่ขยับตามคำสั่งของเขาเลย และเจ้าคนนั้นก็กัดอย่างดุเดือดมากขึ้น ขณะเดียวกันยังดูดเลือดเขาไปอึกใหญ่อีกด้วย
จี๋เหล่าต้ารู้สึกร้อนที่ลำคอ เบื้องหน้าสายตากลายเป็นสีแดงไปหมด เรี่ยวแรงทั้งร่างก็เหือดหายไปเหมือนกับเวลาน้ำลง เพราะเส้นเลือดใหญ่ที่คอถูกฝ่ายตรงข้ามกัดทะลุไปแล้วนั่นเอง
ยามนั้นจี๋เหล่าต้าจำได้แล้วว่าเจ้าคนนี้เป็นใคร บนใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขมขื่น ปากกระอักฟองเลือดออกมา แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “กรรมสนอง โดน…กรรมสนองแท้ๆ เลย!”
หลิวเหล่าเอ้อร์ที่หมอบอยู่บนร่างของจี๋เหล่าต้านั้นขาดสติไปนานแล้ว กลืนโลหิตของคนที่ตนแค้นลงไปอึกใหญ่ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอย่างพึงพอใจแบบหนึ่ง สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้ว ทำให้บรรยากาศดูพิสดารอย่างบอกไม่ถูก
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น