ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 536-540

ตอนที่ 536 บุปผาสะคราญ

 

บุรุษที่พูดออกมา ก็คือหัวหน้าของคนกลุ่มนั้น


 


 


เขาพึ่งจะพูดออกมา ก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดุว่า “หุบปาก”


 


 


“เดิมทีท่านเจ้าก็เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในจิ่วโจวอยู่แล้ว ถึงจะเป็นยาบุปผาสะคราญ ก็แค่แต่งเติมดอกไม้บนแพรพรรณเท่านั้น ไหนเลยจะเกินจริงถึงขั้นเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง?”


 


 


น้ำเสียงของสตรีผู้นั้นเย็นเฉียบ เข้มงวดและยังเจอความไม่พอใจอยู่หลายส่วน


 


 


“ใช่แล้วขอรับกูกู[1] ผู้น้อยผิดไปแล้ว ต่อไปไม่กล้าวิจารณ์เรื่องของท่านเจ้าอีกแล้ว” บุรุษที่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านยังทำกริยาสูงส่ง ยามนี้กลับทำตัวต่ำต้อยจนไร้ค่า


 


 


“อีกแค่ครึ่งเดือน ก็จะเป็นงานหมื่นบุปผชาติของจิ่วโจวแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมีผู้คนมากันคึกคักเหมือนดังยามมีงานสุดยอดการประลอง ยาบุปผาสะคราญนี้ จะต้องปรุงออกมาให้เสร็จก่อนงานหมื่นบุปผชาติให้จงได้ เมื่อรวมกับหนึ่งคนในวันนี้ ก็ยังขาดหนุ่มสาวที่งดงามอีกเก้าสิบเก้าคน พวกเจ้าจะต้องไปนำตัวคนมาอีก เข้าใจหรือไม่?”


 


 


“ขอรับ น้อมรับคำสั่งกูกู”


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ในกระถางยักษ์ ด้วยความสามารถของนางในตอนนี้ ย่อมได้ยินคำสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจน


 


 


นางจับประเด็นสำคัญได้ในทันที


 


 


           ‘ท่านเจ้าผู้นั้นต้องการหลอมยาบุปผาสะคราญขึ้นมา เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจในงานหมื่นบุปผชาติ’


 


 


           ใต้หล้านี้ คนที่รักความงามล้วนเป็นเหล่าอิสตรี….เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยาง ที่จริงก็ตกเป็นที่อิจฉาริษยาตั้งแต่การแย่งชิงในสุดยอดการประลองนั่นแล้ว ครั้งนี้ยังจะต้องการเฉิดฉายในงานหมื่นบุปผชาติอีกหรือ?


 


 


           ตู๋กูซิงหลันใคร่ครวญอยู่ในใจ นางไม่ได้คิดจะรีบร้อนออกไป


 


 


           วิญญาณแค้นเหล่านี้ล้วนถูกตัดลิ้นไปหมดแล้ว จึงไม่อาจไต่ถามข่าวคราวที่มีประโยชน์จากพวกมันได้เท่าไร


 


 


           นางสงบจิตใจลง รับฟังเสียงภายนอกต่อไป


 


 


           ครู่ต่อมา ก็รู้สึกได้ว่าผู้คนที่อยู่นอกกระถางยักษ์เดินวนไปมาอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นสตรีผู้นั้นก็กล่าวอีกว่า “ทำเหมือนกับครั้งก่อน ให้หมักบ่มทิ้งเอาไว้ในกระถางศพนี้สามวัน สามวันจากนี้จึงค่อยนำกระถางไปจับตัวคนมาอีก”


 


 


“อีกครึ่งชั่วยาม ค่อยโยนสมุนไพรต่างๆลงไป จากนั้นก็บ่มให้ดี”


 


 


เรื่องการบ่มเพาะและหลอมยาตัน ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยจะรู้จักสักเท่าไหร่


 


 


วิธีการที่แปลกประหลาดนี้ก็ออกจะนอกเหนือความคาดหมายของนาง


 


 


เอาคนเป็นๆมาปรุงยา นี่มันวิธีการของปีศาจ


 


 


ไม่ใช่มนุษย์แล้ว


 


 


“ขอรับ กูกู” บุรุษที่เป็นหัวหน้ากลุ่มตอบรับคำสั่งของสตรีผู้นั้นอย่างนอบน้อม


 


 


“ตอนนี้ไม่มีเรื่องให้เจ้าทำแล้ว ถอยออกไปก่อน”


 


 


……………….


 


 


หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม ก็มีเครื่องยาสมุนไพรมากมาย ‘หล่นลงมาจากเบื้องบน’ เติมลงมาจนเกือบครึ่งกระถาง


 


 


ในกระถางยามนี้ยังมีน้ำอยู่ ตู๋กูซิงหลันกับสมนุนไพรที่มีกลิ่นประหลาดเหล่านั้นถูกแช่เอาไว้ด้วยกัน


 


 


นี่ทำให้นางคิดไปถึง ตอนที่ยังเป็นเด็กเคยเห็นคนจับงูเป็นๆเข้าไปดองในยาดองเหล้า


 


 


รอบกายนางมีแสงสีเงินจางๆ กีดกันเครื่องยาและน้ำเหล่านั้นให้ห่างออกไปจากตัว


 


 


จนกระทั่งยามดึกสงัดแล้วนางถึงได้ออกมาจากกระถางยักษ์


 


 


ทั่วร่างมีแต่กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเครื่องยาสมนุไพร เหม็นคาวจนสุดทนทาน


 


 


ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูสถานที่ตรงหน้า มีแต่ความมืดมิด ด้านข้างยังมีชิ้นเนื้อวางกองอยู่ ดูไปแล้วคล้ายดั่งเป็นโรงฆ่าสัตว์


 


 


กระถางยักษ์ที่บรรจุนางมาตั้งอยู่บนกองเนื้อเป็นชั้นๆ


 


 


ข้างๆกองเนื้อคือเสาไม้ที่สูงสองเมตรกว่าๆ บนเสาไม้มีตะขอเหล็กหนาขนาดครึ่งข้อมือยื่นออกมา ตะขอถูกเลือดชโลมจนเป็นสีแดง บนนั้นยังมีชิ้นเนื้อติดอยู่


 


 


เช่นนี้ไม่ต้องใช้ตามองดู ในสมองก็สามารถคิดออกว่าเจ้าของเศษเนื้อเหล่านี้ ก่อนตายจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมานที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน


 


 


แม้แต่คนที่เห็นเลือดมามากมายอย่างนาง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าในกระเพาะปั่นป่วนจนแทบพลิกคว่ำ อยากจะอาเจียนเต็มที่


 


 


แม้ว่าเนื้อเหล่านี้จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆไปแล้ว ….แต่ก็ยังสามารถดูออกว่าเป็น…ของมนุษย์


 


 


ที่นี่เป็นห้องใต้ดินที่มิดชิดแห่งหนึ่ง กลิ่นเหม็นคละคลุ้ง


 


 


ยามที่ตู๋กูซิงหลันมุดออกมาจากห้องใต้ดินได้นั้นถึงได้เห็นว่าด้านนอกของสถานที่ที่เป็นโรงชำแหละนี้….คือสวนดอกไม้ที่สวยสดงดงามอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง


 


 


ส่วนสิ่งก่อสร้างที่อยู่เหนือห้องใต้ดินหลังนั้น ก็คืออาคารไม้สามชั้นที่สร้างอย่างปราณีตและงดงามหลังหนึ่ง


 


 


เบื้องหน้าของสวนพฤกษาผกาพันธุ์ที่รายล้อมอยู่ ก็คือท้องฟ้ายามราตรีที่พร่างพราวไปด้วยดวงดารา ใครก็คงจะคิดไม่ถึงกระมังว่า เมื่อครู่นางพึ่งจะผุดขึ้นมาจากคุกนรกแห่งหนึ่ง


 


 


นางยืนอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ก็ยังไม่เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา


 


 


ครู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังมาจากบนอาคารสูงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล


 


 


นางติดตามเสียงนั้นไป  อาคารสูงนั้นมีแปดชั้น ตั้งอยู่บนใจกลางของสวนดอกไม้


 


 


ดวงดาวบนท้องฟ้าทอแสงลงมาบนตึกสูง ที่ชั้นบนสุดยังมีหมอกจางๆห้อมล้อมคล้ายดั่งเป็นสถานเซียนวิเศษ


 


 


เสียงขลุ่ยนั้นดังมาจากตึกสูงที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามหลังนั้น


 


 


หากว่านางไม่ได้เห็นมาด้วยตาของตนเอง ว่าใต้อาคารที่อยู่ด้านหลังคือโรงชำแหละศพแห่งหนึ่ง เกรงว่านางเองก็คงจะไม่เชื่อว่า….ใต้สถานที่ที่งดงามเช่นนี้จะซุกซ่อนเรื่องที่โหดเ**้ยมและชั่วร้ายถึงเพียงนี้เอาไว้


 


 


คนผู้นั้น….ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่?


 


 


เสียงขลุ่ยยังไม่หยุด แต่ติดๆขัดๆไม่ลื่นไหล สามารถฟังออกว่าผู้เป่ามิได้ชำนิชำนาญเท่าไร


 


 


แม้แต่เสียงขลุ่ยที่เป่าออกมาก็ยากจะทนฟัง


 


 


ตู๋กูซิงหลันขยับตัววูบหนึ่ง ร่างก็เหาะขึ้นไปราวนางแอ่นบิน พอเคลื่อนไหวอีกสองครั้งก็มาถึงตึกสูงที่งดงามแล้ว


 


 


นางเหาะข้ามเข้าไปจากด้านนอก หลบหลีกสายตาของเวรยามทั้งหมดได้อย่างสวยงาม


 


 


กระทั่งขึ้นไปถึงด้านนอกของชั้นที่แปด คนก็แขวนเกาะอยู่ที่นอกหน้าต่าง ดวงตาดอกท้อกวาดตาเข้าไปด้านในอย่างเย็นชา


 


 


สิ่งที่เห็นนั้นเป็นเงาหลังของสตรีผู้หนึ่ง


 


 


สูงโปร่ง ผอมบาง ภายใต้แสงเทียน นางสวมใส่ชุดสีขาวตลอดร่าง เห็นเรือนร่างด้านหลังที่ดูงดงามอย่างยิ่ง


 


 


กระโปรงตัวยาวถูกสายลมโชย รอบเอวเล็กบางจนสองมือแทบกำได้รอบ เส้นผมงามนั้นพลิ้วสลวย บนร่างมีกลิ่นอายที่เข้มข้นของ….ไอเซียน


 


 


ไอเซียนนั้นเป็นแสงขาวจางๆที่ส่องสว่างดูบริสุทธิ์ งดงามแช่มช้อย


 


 


“ฝูลั่ว เจ้าว่าการเป่าขลุ่ยของข้า เป็นอย่างไรบ้าง?” ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงสตรีผู้นั้นเอ่ยปาก


 


 


รูปลักษณ์ด้านหลังดูดั่งนางเซียน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็เหมือนดั่งเซียนเช่นกัน


 


 


เสียงเบาๆนั้น ทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน น่าฟังราวกับทิพยดนตรี


 


 


“ขลุ่ยของท่านเจ้าย่อมน่าฟังอย่างยิ่ง” สตรีที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้า ‘นางเซียน’ กล่าวตอบ


 


 


เสียงนั้น ตู๋กูซิงหลันฟังออกได้ในทันที่ว่านางก็คือผู้ที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า ‘กูกู’


 


 


เรื่องที่น่าฝืนใจเช่นนี้ก็ยังพูดออกมาได้ ช่างรู้จักรักษาชีวิตให้รอดนัก


 


 


‘นางเซียน’ ได้ยินแล้ว ก็มิได้ยินดีสักเท่าไร นางยังคงหันหลังให้ตู๋กูซิงหลัน ลดขลุ่ยในมือลง พลางส่ายศีรษะ


 


 


“เปรียบเทียบกับเสียงพิณของเขาแล้ว ยังห่างชั้นอีกมากมายนัก”


 


 


“ตั้งแต่เล็กท่านเจ้าก็ไม่ถนัดเรื่องดนตรีสักเท่าไร สามารถเป่าได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว” ฝูลั่วพูดต่อไป “คนผู้นั้นสายตาช่างมืดบอด ทั้งๆที่ได้รับการเหลือบแลจากท่านเจ้า แต่กลับไม่รู้คุณค่า”


 


 


“ตลอดมาในชีวิตของข้า ไม่เคยมีบุรุษที่ไม่ยอมอยู่ใต้การสยบเช่นคนผู้นี้มาก่อน แน่นอน …. สุดท้ายแล้วเขาจะต้องถูกข้าสยบลงจนได้”


 


 


‘นางเซียน’ กล่าวอย่างมั่นใจในตนเอง นางโยนขลุ่ยลงบนโต๊ะ เอียงศีรษะเล็กน้อย เผยโครงหน้าที่แสนจะงดงามออกมา


 


 


แววตาของนางแฝงความโหดเ**้ยมที่นางไม่อาจปิดบังได้อย่างมิดชิด “อีกแค่ครึ่งเดือน ก็จะถึงงานหมื่นบุปผชาติแล้ว ข้าจะต้องทำให้เขายอมสยบลงตรงเบื้องหน้าอย่างยินยอมพร้อมใจให้จงได้”


 


 


ดังนั้นนางจึงสั่งให้หลอมยาบุปผาสะคราญขึ้นมาอย่างไม่เสียดายว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด


 


 


เพียงเพื่อจะได้มีความงามที่คู่ควรกับเขา


 


 


ถึงแม้ว่าตนเองในตอนนี้ก็จะงดงามอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนผู้นั้นแล้ว ก็ยังห่างชั้นกันอยู่อีกมาก


 


 


แม้ว่ารูปโฉมนั้นจะเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดมา นางก็สามารถใช้ฝีมือที่ไม่ธรรมดาเปลี่ยนแปลงได้


 


 


การหลอมยาบุปผาสะคราญ สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจของนางไปมากมาย แน่นอนว่าจะต้องสามารถบังเกิดผลสำเร็จ!


 


 


 


 


………………………..


 


 


[1] 姑姑 คำที่พวกบ่าวเรียกขานสตรีสูงวัยที่มีตำแหน่งรับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย ยกย่องเป็นท่านอาหญิง

 

 

 


ตอนที่ 537 นางได้กลิ่นของดอกฮว๋ายฮวา

 

“ไม่เพียงแต่คนผู้นั้น แต่ว่าบุรุษทั่วทั้งจิ่วโจว เมื่อได้พบท่านเจ้า ก็ต้องหวั่นไหวใจอย่างไม่อาจหักห้าม” 


 


 


ฝูลั่วพูดต่อไป ขณะเงยหน้ามองดูท่านเจ้าผู้สูงส่ง 


 


 


ในใจของนางก็คิดไปว่า คนผู้นั้นหัวใจทำจากหินผาหรือไร ทั้งที่ได้พบท่านเจ้าที่งดงามเช่นนี้แล้วยังจะคิดเป็นอื่นไปได้? 


 


 


นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ท่านเจ้ากลับมาจากสำนักหยินหยาง คนก็กลายเป็นหม่นหมองและหงุดหงิดอยู่ตลอด 


 


 


ต้นเหตุจะต้องเป็นเพราะบุรุษที่ไม่รู้จักชั่วดีผู้นั้นเป็นแน่ 


 


 


หลายปีที่ผ่านมา ท่านเจ้าไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าหาบุรุษใดมาก่อนเลย แต่ว่ากับคนผู้นี้…. 


 


 


หากจะบอกว่าท่านเจ้าโหดเ**้ยม นางก็ไม่เห็นด้วย 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าบุรุษผู้นั้นปฏิเสธท่านเจ้า ท่านเจ้าก็คงจะไม่สั่งให้หลอมยาบุปผาสะคราญนั่นขึ้นมาหรอก 


 


 


เพราะนางเดิมทีก็งดงามดุจนางเซียนอยู่แล้ว…. 


 


 


“วันนี้จับหนุ่มน้อยที่รูปงามมากมาได้คนหนึ่ง บ่าวเห็นแล้ว ถึงเวลาจะใช้เขาเป็นตัวนำยา เมื่อปรุงเป็นยาบุปผาสะคราญจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น…. คนผู้นั้นจะต้องเป็นฝ่ายร่ำร้องให้ท่านเจ้าเหลียวแลเขา” 


 


 


ฝูลั่วพูดพลางก็โบกมือ ทันใดนั้นด้านหลังของนางก็ปรากฏ**บใบใหญ่ขึ้นมากมาย เมื่อเปิด**บออก ด้านในก็เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า แวววาวระยิบระยับ จนแสบตา 


 


 


“ท่านเจ้าโปรดชมดู นี่เป็นของขวัญที่ประมุขแคว้นทองคำส่งมา แคว้นทองพึ่งจะขุดเหมืองทองขึ้นมา เพื่อแสดงออกถึงความรักใคร่หลงใหลในตัวท่าน เจ้าแคว้นทองถึงกับสั่งให้ส่งทองคำทั้งหมดในเหมืองแห่งนี้มามอบให้กับท่าน” 


 


 


ฝูลั่วพูดแล้ว ก็ส่งกุญแจสีทองดอกหนึ่งให้กับนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันแขวนตัวอยู่นอกหน้าตาง ได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดกันอย่างชัดเจน 


 


 


ภูเขาทองคำงั้นหรือ เจ้าแคว้นทองคำผู้นี้ช่างมือเติบนัก 


 


 


แต่ว่าดูแล้ว ‘นางเซียน’ ในชุดขาวผู้นี้คล้ายจะมิได้ให้ความสนใจสักเท่าไรนิ 


 


 


ดูท่าแล้ว เจ้าแคว้นทองคำผู้นั้นคงจะไม่เคยมีโอกาสได้เห็นแม้แต่โฉมหน้าของนางเลยด้วยซ้ำ ….ดังนั้นจึงได้แต่ฝากกุญแจดอกนี้มากับคนสนิทของนางแทน 


 


 


นางโยนกุญแจทองคำดอกนั้นลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยกุญแจแบบเดียวกันทั้งใหญ่และเล็กเต็มไปหมด 


 


 


“บุรุษที่หลงรักข้านั้นมีอยู่เต็มไปหมด คนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ต่อไปยามอยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่ต้องพูดขึ้นมาอีก” 


 


 


น้ำเสียงของนางเย็นชา แววตาที่เ**้ยมโหดก็เพิ่มพูนความเย็นชาดุจน้ำแข็งขึ้นมา 


 


 


“ตอนนี้ในใจของข้า มีแต่คนผู้นั้น อย่าได้ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ว่าข้าเป็นคนที่บุรุษที่ไหนก็จะมามอบของขวัญให้ก็ได้ทั้งนั้น” 


 


 


“เจ้าค่ะ” ฝูลั่วผงกศีรษะ “จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแน่นอน” 


 


 


ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ พวกนางไม่ได้เอ่ยเลยว่า ‘คนผู้นั้น’ คือใคร จนตู๋กูซิงหลันชักจะประหลาดใจอยู่บ้าง 


 


 


ต้องเป็นบุรุษเช่นใดกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้สตรีที่ดูท่าจะมีฐานะสูงส่ง…. ยินยอมใช้ฝีมืออันโหดเ**้ยมเพื่อหลอมยาบุปผาสะคราญ ทั้งยังปฏิเสธการพัวพันจากชายอื่นทั้งหมด? 


 


 


 เมื่อมองผ่านผ้าโปร่งสีขาวที่พลิ้วไหว สายตาของตู๋กูซิงหลันจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนาง เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าด้านข้าง แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาในทันที  


 


 


ครู่ต่อมา ค่อยหันเหสายตาไปจากร่างของสตรีผู้นั้น กวาดตามองไปรอบๆห้องครั้งหนึ่ง 


 


 


ในห้องมีชั้นวางขนาดใหญ่สามแถว แถวแรกที่อยู่ด้านหน้าสุดเต็มไปด้วยขวดต่างๆมากมาย แถวที่สองคือหญ้าสมุนไพรที่ตากแห้งแล้ว บนแถวที่สามคือขวดโหลใสที่ใส่พวกสัตว์พิษดองเหล้าชนิดต่างๆ 


 


 


ขวดเหล่านั้นถูกผนึกอย่างมิดชิด สัตว์ที่อยู่ในขวดมีทั้งงู หนอน หนู และแมลงต่างๆ บางชนิดก็ยังมีชีวิตอยู่ บางชนิดก็ตายไปแล้ว 


 


 


สัตว์เหล่านั้นทำให้ตู๋กูซิงหลันอดที่จะคิดถึงโรงชำแหละที่ห้องใต้ดินไม่ได้  


 


 


กระเพาะของนางชักจะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว 


 


 


นางกวาดตาดูอยู่อีกครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าภายในห้องมีกระถางปรุงยาอยู่หลายใบ 


 


 


ขนาดใหญ่เล็กมีอยู่ถึงเจ็ดแปดใบ แต่ละใบมีสีสันเฉพาะ ดูแล้วพิเศษอย่างยิ่ง 


 


 


กลิ่นของยาที่ระเหยออกมาจากในห้องเข้มข้น หอมอย่างยิ่ง 


 


 


แค่มองดูอย่างรวดเร็ว ก็พอจะสรุปได้ว่านี่จะต้องเป็นห้องปรุงยาและหลอมยาตันอย่างแน่นอน 


 


 


ทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจว สตรีที่แม้แต่เจ้าแคว้นทองคำยังต้องคุกเข่าให้ ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังคิดออกว่าเป็นใคร 


 


 


วังตันติ่งกง 


 


 


สมองของตู๋กูซิงหลันผุดชื่อสามตัวอักษรนี้ขึ้นมา 


 


 


ข้อมูลของวังตันติ่งกง เดิมทีก็ได้มาจากเทวบุตรหงเหมินผู้นั้น 


 


 


สำนักหงเหมินเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ภายใต้การชี้นำของวังตันติ่งกง เซียวเฉินย่อมสามารถให้รายละเอียดออกมามากมาย 


 


 


อย่างเช่นหากจะบอกว่าวังตันติ่งกงคือสำนักเซียนอันดับหนึ่ง ก็มิสู้บอกว่าเป็นสำนักหลอมยาอันดับหนึ่งมากกว่า 


 


 


ยาตันมากกว่าครึ่งในดินแดนจิ่วโจวล้วนมาจากวังตันติ่งกงผลิตขึ้นมา เมื่อมียาตันเป็นพลังหนุน การฝึกฝนของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็ยิ่งราบรื่น 


 


 


และเมื่อวังตันติ่งกงมียาตันจำนวนมากมาย ศิษย์ในสำนักย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างดี จึงเลื่อนระดับอย่างรวดเร็ว  


 


 


ดังนั้นจึงกลายเป็นสำนักเซียนอันดับหนึ่ง อย่างไม่น่าประหลาดใจ 


 


 


อีกทั้งตามที่เซียวเฉินบอกไว้ เจ้าวังวังตันติ่งกง คือปรมาจารย์หลอมยาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในดินแดนจิ่วโจว 


 


 


ยาที่นางหลอมออกมานั้น แม้ทองพันตำลึงก็ไม่อาจหาซื้อ 


 


 


สตรีผู้นี้ เป็นเหมือน Bug ที่มีอยู่ในดินแดนจิ่วโจว 


 


 


เพราะปรมาจารย์หลอมยาที่มีพลังสูงส่งถึงเพียงนี้ แม้แต่ในดินแดนโบราณตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักคน 


 


 


ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันจึงรู้สึกว่า ‘นางเซียน’ ในชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ น่าจะเป็นเจ้าวังวังตันติ่งกงที่เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างแน่นอน 


 


 


แต่ว่า…..ที่นางกระทำเรื่องชั่วร้ายผิดต่อฟ้าดินถึงเพียงนั้น แล้วทำไมถึงยังต้องผลักความผิดไปใส่หัวของสำนักหยินหยางด้วย? 


 


 


สำนักหยินหยางก็ยอมให้นางผลักหม้อดำลงมา? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วมุ่น นางอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว แต่ว่าก็ยังไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ชัดเจน 


 


 


แสงเทียนในห้องไหววูบ ซ่งชิงอีเหลือบมองดูขลุ่ยหยกที่หยิบขึ้นมาไว้ในมืออีกครั้งหนึ่ง พลางครุ่นคิดไปว่า อีกไม่นานก็จะสามารถหลอมยาบุปผาสะคราญออกมา ในใจก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง 


 


 


ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ ด้วยฐานะของคนผู้นั้นที่เป็นผู้ชนะในสุดยอดการประลอง เขาย่อมต้องปรากฏตัวออกมา 


 


 


นางจะต้องปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างน่าประทับใจ ทำให้เขาเฝ้าคิดถึงนางไปตลอดชีวิต 


 


 


พอปรายตามองออกไป ลมนอกหน้าต่างก็พัดเข้ามา พาเอากลิ่นหอมจางๆของดอกฮว๋ายฮวาเข้ามาด้วย 


 


 


ดวงตาของนางชะงักไป ขลุ่ยหยกในมือถูกสะบัดวูบหนึ่งก็เขวี้ยงออกไปที่นอกหน้าต่างในทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันซ่อนตัวอยู่ 


 


 


เมื่อขลุ่ยหยกลอยออกไป ซ่งชิงอีจึงได้เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่งว่า “หากไม่อยากตายอย่างอนาถก็โผล่ออกมา ข้าจะให้เจ้าได้มีศพครบสมบูรณ์” 


 


 


           ตู๋กูซิงหลันซ่อนตัวอย่างมิดชิด แต่ว่ากลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาที่มีมาแต่กำเนิดไม่อาจปิดบังได้ 


 


 


กลิ่นหอมนี้อ่อนจางมาก ทั้งยังอยู่ห่างไกลออกไป คนทั่วไปไม่มีทางสัมผัสได้อย่างแน่นอน 


 


 


แต่ว่าซ่งชิงอีเป็นยอดปรมาจารย์หลอมยาของดินแดนจิ่วโจว นางมีสัมผัสที่ว่องไวต่อกลิ่นต่างๆ แม้แต่เพียงกลิ่นที่เบาบาง นางก็สามารถระบุออกมาได้อย่างถูกต้อง 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะหาตัวตู๋กูซิงหลันไม่พบ แต่ว่าสามารถหากลิ่นเจอ 


 


 


ในวังตันติ่งกงของนางไม่เคยปลูกต้นฮว๋ายมาก่อน เพราะมันดูลึกลับดึงดูดความชั่วร้าย 


 


 


ดังนั้นที่นี่ย่อมไม่มีทางมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายได้…. 


 


 


ฝูลั่วตกตะลึงไปชั่วครู่ นางรีบลุกขึ้นยืน วิ่งไปที่หน้าต่าง ชะโงกศีรษะมองออกไปด้านนอก 


 


 


ที่นี่คือตึกตันติ่ง สูงถึงแปดชั้น ในวังตันติ่งกงมีเวรยามแน่นหนา ยามปกติแม้แต่ยุงสักตัว ก็ยังบินเข้ามาไม่ได้ แล้วจะมีคนเล็ดรอดเข้ามาได้อย่างไร แถมยังเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียงอีกด้วย? 


 


 


หรือว่าคำพูดที่นางกับท่านเจ้าสนทนากันเมื่อครู่ จะถูกดักฟังไปแล้ว? 


 


 


หากว่าเป็นเช่นนั้น……ย่อมต้อง สังหารโดยไม่ละเว้น! 

 

 

 


ตอนที่ 538 ริมฝีปากของเขาเหมือนดั่งกล...

 

แต่ถึงจะยื่นศีรษะออกไปมองดูอย่างไร ด้านนอกก็มีแต่ความว่างเปล่า ดวงดาวเกลื่อนเต็มฟ้า เหล่าดอกไม้ในวังตันติ่งกงสยายกลีบไหวไปมา 


 


 


กลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ปะปนกัน หอมจรุงเข้าไปในจมูก 


 


 


ฝูลิ่วใช้พลังวิญญาณสำรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ 


 


 


“ท่านเจ้า ที่ด้านนอกไม่มีสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


ครู่หนึ่ง นางถึงได้หันศีรษะกลับมา เอ่ยตอบซ่งชิงอี 


 


 


ขลุ่ยหยกที่ซ่งชิงอีเขวี้ยงออกไปวนอยู่ในอากาศรอบหนึ่ง ค่อยกลับคืนสู่ฝ่ามือของนาง โดยไม่มีสิ่งใดบุบสลาย 


 


 


ดวงตาของนางมีไอสังหารเปี่ยมล้น ยกขลุ่ยหยกในมือขึ้นรองใต้จมูกสูดดมเบาๆครั้งหนึ่ง 


 


 


คราวนี้ ไอสังหารนั้นก็เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม 


 


 


บนตัวขลุ่ยมีกลิ่นหอมจางๆของดอกฮว๋ายฮวา และจางหายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“มีคนเล็ดลอดเข้ามา รีบปิดล้อมวังตันติ่งกงในทันที ตามหาตัวคนให้เจอ สังหารโดยไม่เว้น” 


 


 


ฝูลิ่วตกตะลึงไป นางไม่รู้เลยว่าท่านเจ้าทราบได้อย่างไรว่ามีคนบุกเข้ามา…. 


 


 


แต่นางก็ไม่กล้าประมาท อีกเพียงไม่นานเทศกาลหมื่นบุปผชาติก็จะมาถึงแล้ว ก่อนที่ยาบุปผาสะคราญจะหลอมเสร็จ เฉพาะหน้านี้ไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุผิดพลาดใดๆได้ทั้งสิ้น 


 


 


“บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ฝูลั่วรีบถอยออกไปในทันที นางขึ้นไปบนหลังคาวังตันติ่งกง ยกมือขึ้นสะบัดพลุสีแดงในมือออกไป 


 


 


พลุไฟนั้นระเบิดขึ้นในอากาศ ราวกับประกายสายฟ้าสีแดงเลือด 


 


 


เพียงครู่เดียวทั่วทั้งวังตันติ่งกงก็ตื่นตัวขึ้นมา 


 


 


นั่นคือสัญญาณจากท่านเจ้าวัง….ถึงกับมีคนกล้าบุกรุกสำนักเซียนอันดับหนึ่งของพวกเขา? 


 


 


ทั้งยังบุกเข้ามาในสถานที่ที่มีเวรยามกวดขันอย่างแน่นหนาถึงเพียงนี้! 


 


 


นี่มิเท่ากับว่าท้าทายอำนาจของวังตันติ่งกงอย่างเปิดเผยหรอกหรือ? 


 


 


รอบนอกของวังตันติ่งกง มีแสงสว่างสีแดงเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก 


 


 


ที่นี่คือศูนย์กลางของวันตันติ่งกง ศูนย์กลางที่เข้มแข็ง ที่แม้แต่ยุงตัวเดียวก็ยังเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ 


 


 


ซ่งชิงอียืนอยู่บนยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นบน กวาดตาลงมามองดูความเคลื่อนไหวของเหล่าองครักษ์และศิษย์ในสำนัก 


 


 


ขลุ่ยหยกในฝ่ามือถูกนางบีบจนแตกละเอียดไปแล้ว  


 


 


วันนี้แมลงวันตัวหนึ่งก็กล้าบุกรุกเข้ามาในวังตันติ่งกงของนางหรือ? 


 


 


ดีมาก…ถึงตอนนั้นเจ้าแมลงวันตัวนี้ จะต้องไม่ได้ตายดีอย่างแน่นอน! 


 


 


……………. 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ในห้องเล็กๆที่มืดมิด สายตาของตู๋กูซิงหลันจับจ้องอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่โตที่จับแน่นอยู่บนข้อมือของตนเอง 


 


 


ถึงแม้ว่าที่นี่มีเพียงแสงสว่างอ่อนจางของดวงดาวส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นฝ่ามือที่ได้รูป ข้อนิ้วที่สวยงาม นิ้วเรียวยาว สะอาดสะอ้าน 


 


 


คนผู้นี้สวมใส่ชุดสีดำ เส้นผมดกดำยาวเป็นเงางาม สยายลงมา เส้นผมที่เรียงตัวอยู่ด้วยกันคล้ายดั่งผืนผ้าไหมโบราณ 


 


 


เมื่อครู่ตอนที่อยู่บนตึกสูง ขณะที่ขลุ่ยหยกเลานั้นเขวี้ยงออกมา คนชุดดำผู้นั้นก็พลันปรากฏตัวขึ้น คว้าตัวนางเหาะออกไป เพียงพริบตาเดียวก็พานางหลบหนีออกจากตึกสูง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ขัดขืนเขา แต่ว่าติดตามมาทางด้านหลังของเขาอยู่ตลอดเวลา ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด 


 


 


ฝ่ามือใหญ่ที่จับมือของนางเอาไว้นี้ เย็นมาก ราวกับเนื้อหยก ความรู้สึกที่ได้รับนางบรรยายออกไปไม่ถูก 


 


 


กระทั่งเมื่อเข้าไปภายในห้องเล็กๆที่มืดมิด เขาถึงได้ปล่อยมือของนาง 


 


 


เขาหันหลังให้กับนาง พลางมองออกนอกหน้าต่างไปไกล ครู่ใหญ่ถึงได้ยินเขากล่าวออกมาคำหนึ่งว่า “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรจะมา” 


 


 


น้ำเสียงของเขาทุ้มลึก คล้ายแผ่นเหล็กที่มีแรงดึงดูด เพียงเอ่ยไม่กี่คำ ก็ทำให้คนเหมือนถูกแม่เหล็กดึงดูดเข้าไปหา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่มองดูแผ่นหลังของเขา 


 


 


รอบด้านมีแต่ความมืดมิด เขาเองก็สวมใส่ชุดดำทั่วทั้งร่าง คนจึงเหมือนสถิตย์อยู่ในความมืดมิด 


 


 


มีแต่มุมหน้าที่หันมาทางตู๋กูซิงหลันเล็กน้อยเท่านั้นที่มีสีสัน 


 


 


หน้ากาก….เขายังสวมใส่หน้ากากครึ่งใบ 


 


 


เป็นหน้ากากทองแดงที่ดูเก่าโบราณ ปิดบังตั้งแต่หน้าผากจนถึงปลายจมูก เอาไว้อย่างมิดชิด แม้แต่แววตาก็ไม่ได้เผยสิ่งใดออกมา 


 


 


แต่ถึงแม้ว่าจะมีหน้ากากปิดบังอยู่ ก็ยังสามารถมองเห็นได้ว่าเขามีโครงหน้าและรูปคางที่สวยงาม 


 


 


ปลายคางแหลม เส้นโค้งไปตามลำคอเรียบลื่น ลูกกระเดือกที่ขยับยามพูดให้เสียงของบุรุษที่มีเอกลักษณ์…. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาดูเพียงครั้งเดียวก็ไม่สามารถจะละสายตาไปไหนได้อีกเลย 


 


 


ริมฝีปากของเขาเป็นสีแดงราวกลีบบัวที่ผุดขึ้นจากนรก สีแดงดุจโลหิตที่ใกล้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเข้าไปแล้ว 


 


 


บุรุษผู้หนึ่งที่มีริมฝีปากเช่นนี้ แต่กลับมิได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย 


 


 


กลับกัน…..ตู๋กูซิงหลันยิ่งรู้สึกสงสัยว่า ภายใต้หน้ากากนั้นจะเป็นใบหน้าเช่นใดกันแน่ 


 


 


นางสมควรจะไม่รู้จักคนผู้นี้…..แต่ว่าทำไม? แค่เพียงได้เห็นเงาหลังของเขา เห็นขอบหน้าด้านข้างของเขา ก็รู้สึกว่า….เหมือนกับรู้จักกันมานานแสนนานมาแล้ว 


 


 


ความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยที่ผุดขึ้นมาจากแก่นกระดูก ทำให้นางไม่ได้ผลักคนผู้นี้ออกไปตั้งแต่แรก 


 


 


และแม้แต่ยามที่ถูกเขาพาหนีมา ก็ไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย 


 


 


ด้านนอกของวังตันติ่งกงยามนี้วุ่นวายราวกระทะที่เดือดพล่านไปแล้ว มีผู้คนไม่น้อยออกค้นหาอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้สนใจ เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่า ต่อให้โดนพบตัวก็แค่ปะทะกันสักตั้ง 


 


 


วังตันติ่งกงกระทำเรื่องผิดคุณธรรมถึงเพียงนี้  ย่อมไม่สมควรจะคงอยู่ต่อไปอีกแล้ว 


 


 


แต่เพราะอยู่ๆก็ถูกคนผู้นี้พาตัวออกมา ความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยนั้นทำให้นางปล่อยเรื่องของวันตันติ่งกงทิ้งไปในทันที 


 


 


“เจ้าคือใคร?” นางจับจ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงของเขา สำรวจดูรูปปากนั้นอย่างละเอียด 


 


 


ไม่หนา ไม่บาง เป็นรูปปากที่สวยงาม ดุจกลีบดอกไม้ 


 


 


“คนผ่านทาง” เขาคิดอยู่ชั่วครู่ ค่อยให้คำตอบกับนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันใคร่ครวญถึงความรู้สึกที่ได้จากกลิ่นอายบนร่างของเขาอย่างละเอียด นางคิดจะตรวจสอบให้ลึกลงไปว่าเป็นอะไร แต่ว่าก็ไม่อาจจับความเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณได้แม้แต่น้อย 


 


 


เช่นนี้ ก็เป็นไปได้อยู่สองทาง 


 


 


ประการแรกคือคนผู้นี้อ่อนแอมาก อ่อนแอจนถึงขนาดไม่มีพลังวิญญาณ 


 


 


อีกประการหนึ่งก็คือเขาแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขึ้นสามารถปิดบังกลิ่นอาย และพลังวิญญาณของตนเองได้จนหมดสิ้น แม้แต่ตัวนางก็ตรวจสอบไม่ออก 


 


 


บุรุษผู้นี้สามารถพานางหลบหนีออกมาจากตึกสูงได้โดยไร้ซุ่มเสียง ชัดเจนเลยว่า เขาเป็นประเภทหลัง 


 


 


ดินแดนจิ่วโจวมีผู้มีฝีมืออยู่มากมาย แต่ก็มิใช่ว่าใครที่ไหนก็จะสามารถบุกรุกวังตันติ่งกงได้ง่ายๆ 


 


 


เพราะที่นี่คือสำนักเซียนอันดับหนึ่งของดินแดนจิ่วโจว 


 


 


“เจ้าคือเจ้าสำนักหยินหยาง หรือว่าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน?” ตู๋กูซิงหลันไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับจากเขาเลย นางยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา สายตาไม่เคยละไปจากตัวเขาแม้เพียงแวบเดียว 


 


 


ปลายนิ้วใต้แขนเสื้อของนางขยับช้าๆ คิดจะถอดหน้ากากของเขาออกมา 


 


 


แต่พอนิ้วมือยื่นออกไปจนถึงหน้ากากของเขา มือของนางก็ถูกเขาจับเอาไว้ และด้วยการโอบอย่างนุ่มนวลตู๋กูซิงหลันก็เข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาทั้งร่าง 


 


 


นางยังไม่ได้เอ่ยปาก  นิ้วมือของบุรุษผู้นั้นก็แตะลงบนริมฝีปากของนาง “ชวู่….” 


 


 


เขาทำมือให้เงียบเสียงเอาไว้ 


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูถูกกระแทกออกอย่างแรง 


 


 


ศิษย์สำนักตันติ่งกงหลายคนเข้ามาข้างใน 


 


 


คบเพลิงในมือของพวกเขายกขึ้นสูง หลังเข้ามาในห้อง ก็เริ่มรื้อค้นทุกซอกทุกมุม 


 


 


แต่ว่าทั้งๆที่ตู๋กูซิงหลันกับบุรุษชุดดำยืนอยู่ตรงมุมห้อง คนเหล่านั้นก็ยังเหมือนกับมองไม่เห็น  


 


 


ที่จริงตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าคบเพลิงเล่มนั้นกำลังลนใบหน้าของนางอยู่เสียด้วยซ้ำ แต่ว่าศิษย์เหล่านั้นเหมือนดั่งคนตาบอด ที่เห็นนางกับคนผู้นี้เป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า 


 


 


ยามที่คบเพลิงนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอ้อมแขนของคนผู้นี้รัดแน่นขึ้นอีกหลายส่วน 


 


 


ฝ่ามือที่ใหญ่โตของเขาสัมผัสกับใบหน้าของนาง กันความร้อนจากคบเพลิงนั่นออกไปจากนาง 

 

 

 


ตอนที่ 539 ‘เจ้า’ คือใคร?

 

มือที่ใหญ่โตขวางไอร้อนจากแสงคบเพลิงเอาไว้ ฝ่ามือของเขาเย็น เหมือนกับหยก 


 


 


สัมผัสนั้น ทำให้ใบหน้าที่เดิมอุ่นจนร้อนเพราะถูกแสงไฟลน เย็นลงอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกสบายขึ้นมาก 


 


 


ศิษย์ของสำนักตันติ่งกงค้นหาในห้องเล็กๆนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ผลตอบรับที่พวกเขาต้องการ จึงจากไปพร้อมเสียงด่าทอ 


 


 


ห้องหลังนั้นเป็นจุดที่ห่างไกลของวังตันติ่งกง เป็นจุดสุดท้ายที่พวกเขาจะค้นหา 


 


 


แต่ว่าแม้แต่เงาของผีสักตัวก็ยังไม่เจอ แล้วเช่นนี้จะกลับไปรายงานกับท่านเจ้าวังได้อย่างไร 


 


 


รอจนคนทั้งกลุ่มไปกันหมดแล้ว คนผู้นี้จึงค่อยปล่อยตู๋กูซิงหลัน 


 


 


เขาหันหน้าออกไป มองไปยังด้านนอก ใต้แสงสว่างของดวงดาว และเงาของพันธุ์ไม้ หน้าต่างในห้องเล็กแง้มอยู่ แสงดาวจับลงที่ใบหน้าของเขา หน้ากากทองแดงแบบโบราณนั่นสะท้อนแสงเย็นตาออกมา คนที่ดูเย็นชาอยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งดูเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง 


 


 


ทั้งๆที่เขามีริมฝีปากกลีบบัวสีแดง แต่ว่าความรู้สึกที่ส่งมายังผู้อื่นกลับไม่อบอุ่นเลยสักนิด 


 


 


หากแต่เป็นแท่งน้ำแข็งที่ผลักผู้คนออกไปไกลพันลี้ และยังดูลี้ลับจนน่ายำเกรงอีกด้วย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมอง ดูบุรุษที่สูงใหญ่กว่าตนถึงหนึ่งช่วงศีรษะ ถึงแม้ว่าจะมีหน้ากากปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นไปได้ 


 


 


ครั้งนี้ นางไม่ได้ยื่นมือขึ้นไปดึงหน้ากากเขาอย่างอุกอาจอีกแล้ว เพียงแค่เงยหน้ามองดูเขา หัวใจที่เจ็บช้ำและเงียบเหงามานานตลอดครึ่งปี ก็เต้นตึกตักขึ้นมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ 


 


 


ดวงตาดอกท้อทั้งคู่เกิดไอหมอกจางๆ 


 


 


หากว่าหมอกนี้รวมตัวกันมากขึ้นอีกหน่อย ก็คงจะกลั่นเป็นหยดน้ำตาหล่นลงมาแล้ว 


 


 


“พวกเราเคยเจอกันมาก่อน…..หรือจะพูดว่า รู้จักกันได้หรือไม่?” 


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา มือข้างหนึ่งก็จับหัวใจของตัวเองเอาไว้ด้วย 


 


 


คนผู้นั้นตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นค่อยส่ายศีรษะน้อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก “ไม่รู้จัก แค่คนผ่านทางเท่านั้น” 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็ชักเท้าไปด้านข้างก้าวหนึ่ง คล้ายจะไปจากห้องที่เล็กๆและมืดมิดแห่งนี้ 


 


 


ห้องหลังนี้ไม่ใหญ่ มีพื้นที่เพียงสิบกว่าตารางเมตร เต็มไปด้วยสิ่งของระเกะระกะ ล้วนเป็นพวกขวดเคลือบ โหลแก้วและกล่องไม้ที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ แต่เพราะมีบุรุษผู้นี้ อยู่จึงทำให้ห้องที่ดูรกเลอะเทอะหลังนี้ กลายเป็นบรรยากาศที่งดงามขึ้นมา 


 


 


เขาสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน เส้นผมสีดำดุจน้ำหมึกยาวสลวย เมื่อครู่เพราะว่าอยู่ในมุมมืดจึงไม่อาจเห็นได้อย่างแจ่มชัด แต่ว่ายามนี้เห็นแล้วว่า แถบผ้าที่ใช้มัดผมนั้นเป็นสีม่วงเข้ม 


 


 


ชั่วขณะนั้นเอง หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือนจะกระดอนออกมาอีกครั้ง 


 


 


สีที่จีเฉวียนชอบมากที่สุดก็คือสีดำ 


 


 


สีที่อาจารย์ชอบมากที่สุดก็คือสีม่วง 


 


 


ยามนี้ทั้งสองสีรวมอยู่บนร่างของเขาเข้ากันอย่างสมบูรณ์และงดงามที่สุด 


 


 


ทันทีที่เท้าของเขาก้าวออกไปที่ประตู ตู๋กูซิงหลันก็ไล่ตามออกไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงดาวเต็มฟ้านางยืนมืออกไปคว้าฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของเขาเอาไว้ 


 


 


คว้าเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ปล่อยแม้แต่น้อย 


 


 


มือข้างหนึ่งกำนิ้วทั้งสี่ของเขาเอาไว้ มืออีกข้างก็คว้าหลังมือของเขาเอาไว้แน่น ราวกับว่าจะให้เขาหลอมละลายลงไปในกระดูกของตนเองอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?” ปลายนิ้วของนางแนบสนิทจนแทบจะติดไปกับผิวหนังของเขา สายตาก็จับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างนั้น 


 


 


แสงดาวและต้นไม้ที่ผลิดอกอยู่ด้านหลังของเขาราวกับฉากหลังของความฝันอันสวยงาม เมื่อประกอบกับใบหน้าที่มีหน้ากากปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่งก็ยิ่งงดงามอย่างหาสิ่งใดจะเทียบได้ 


 


 


คนผู้นั้นเพียงหันมาอย่างเงียบๆมองดูนางที่ใช้สองมือคว้ามือของเขาเอาไว้ 


 


 


ทันทีที่นางพูดจบ ริมฝีปากแดงนั้นก็ขยับน้อยๆ 


 


 


“ ‘เจ้า’ ที่เจ้าเรียกหาคือใคร?” 


 


 


คราวนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่รู้ชัดเช่นกัน ว่า‘เจ้า’ที่นางเรียกนั้นคือใคร 


 


 


อาจารย์หรือว่าจีเฉวียน? 


 


 


นางเองก็ไม่รู้…. 


 


 


พอนางตกตะลึงไปชั่วครู่ คนก็หลุดออกจากมือของตนเองไปแล้ว ทั้งๆที่เขาและนางห่างกันเพียงก้าวเดียว แต่ยามนี้กลับรู้สึกห่างไกลราวมีหมื่นภูเขาและสายน้ำขวางเอาไว้ 


 


 


รอยยิ้มที่มุมปากของคนผู้นั้นเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างที่สุด ขณะที่นางยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ร่างของเขาก็หายวับ พริบตาเดียวก็เหาะอยู่กลางท้องฟ้าและหมู่ดาวแล้ว 


 


 


“อยู่ให้ห่างจากที่นี่หน่อย เรื่องของข้า สาวน้อยอย่างเจ้าอย่าได้ยื่นมือมาสอด” 


 


 


นี้เป็นคำพูดที่เขาทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป 


 


 


ยังคงเป็นน้ำเสียงน่าดึงดูดที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชาเช่นเดิม 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูมองท่วงท่าของเขาในชุดสีดำที่เหาะอยู่ในท้องฟ้ายามราตรี นางไม่ทันคิดอะไรก็สะกิดเท้าไล่ตามไปแล้ว 


 


 


ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นางพยายามเสาะหาร่องรอยของอาจารย์และจีเฉวียนมาโดยตลอด แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววใดๆ 


 


 


ความรู้สึกแสนคุ้นเคยที่ได้รับจากคนผู้นี้ มีแต่อาจารย์และจีเฉวียนเท่านั้นที่เป็นไปได้ 


 


 


แม้ว่าเป็นเพียงแค่แวบเดียว นางก็ไม่ขอละทิ้งโดยเด็ดขาด 


 


 


ท้องนภาภายใต้แสงดาว มีเงาดำสองสายตัดผ่านไป ดูงดงามเหมือนดั่งคู่เทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ซ่งชิงอีอยู่บนยอดตึกสูง รับฟังข่าวสารที่ฝูลั่วนำกลับมา 


 


 


“ทั่วทั้งวังตันติ่งกงล้วนเสาะหาจนหมดแล้ว แต่ไม่พบเจอเงาของคนนอกแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ” 


 


 


ซ่งชิงอีขมวดหัวคิ้วมุ่น นางมองดูขลุ่ยหยกที่แหลกเป็นผงไปแล้ว เป็นไปไม่ได้….นางได้กลิ่นดอกฮว๋ายฮวานั่นอย่างชัดเจน ไม่มีทางผิดพลาดไปได้ 


 


 


จะต้องมีคนบุกรุกเข้ามาอย่างแน่นอน 


 


 


ฝูลั่วพึ่งจะรายงานเสร็จ ก็เห็นสีหน้าของซ่งชิงอีเปลี่ยนไปในทันที 


 


 


นางเบิกตาโต มองดูเงาของคนสองคนที่แวบผ่านไปในท้องฟ้า มือใต้แขนเสื้อของนางกำแน่นเข้า 


 


 


“พวกสวะ!” ซ่งชิงอีเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “ผู้อื่นเหาะไปเหาะมาอยู่บนวังตันติ่งกงของข้าตามอำเภอใจ เจ้ายังจะกล้ามาบอกกับข้าว่า ไม่เห็นอะไรแม้แต่เงาอีกหรือ?” 


 


 


ฝูลั่วเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางรีบมองตามสายตาของซ่งชิงอีไป ทันทีที่กวาดตามองก็แทบจะหยุดหายใจ 


 


 


เงาร่างของคนทั้งสองที่อยู่ใต้แสงดาวช่างเด่นชัดจนเกินไปแล้ว! 


 


 


นี่มิเท่ากับว่าท้าทายพลังอำนาจของวังตันติ่งกงอย่างเปิดเผยหรอกหรือ? 


 


 


ตบหน้ากันชัดๆ! ตบชนิดหน้าหันเสียงดังเลยด้วย! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจเลยว่าตนเองจะถูกพบเห็นหรือไม่ เพราะนางไม่ได้เห็นวังตันติ่งกงอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


ยามนี้ความสนใจทั้งหมดของนางไปรวมอยู่ที่บุรุษที่พึ่งจะปรากฏตัวออกมาผู้นั้น 


 


 


ใต้ท้องฟ้ายามราตรีนี้ ยังมีเขตอาคมกึ่งโปร่งใสสีแดงครอบคลุมอยู่ ยิ่งเขาไปใกล้มันเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังสังหารที่รุนแรง 


 


 


ราวกับเครื่องบดเนื้อที่สามารถบดเนื้อและกระดูกของผู้คนจนแหลกละเอียด 


 


 


คนผู้นั้นก็คิดไม่ถึงว่านางจะไล่ตามมา ขณะที่เข้าใกล้เขตอาคมสีแดงนั้น เขาจึงหยุดลงอย่างกระทันหัน 


 


 


ร่างลอยอยู่ในอากาศ เสื้อชุดยาวตัวหลวมกว้างพองลม เส้นผมที่ดำดุจน้ำหมึกพลิ้วไปกับสายลมราวเริงระบำ 


 


 


และเพราะการหยุดชั่วแวบเดียวนี้ ตู๋กูซิงหลันจึงไล่ตามมาได้ทันแล้ว 


 


 


นางแทบจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาในที่เดียวกัน ดวงตาดอกท้อทั้งคู่จับจ้องไปที่เขาโดยไม่ละสายตา 


 


 


“คนสำคัญของข้า คล้ายคลึงกับเจ้านัก ดังนั้นขอพิสูจน์เพื่อความชัดเจนจะได้หรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันไม่อ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว 


 


 


ทั้งอาจารย์และจีเฉวียน ล้วน ‘ร่างสลายกลายเป็นผุยผง’ ไปแล้ว นางได้แต่เฝ้าภาวนามาโดยตลอด ภาวนาให้สักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาอยู่ที่ข้างกายนางในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง 


 


 


ดังนั้นเมื่อได้พบกับเบาะแสที่อาจจะเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อย นางก็ไม่มีทางจะปล่อยไป 


 


 


“เมื่อครู่ที่พาเจ้าไปหลบในห้องเล็กๆนั่น ดูท่าจะเกินความจำเป็นไปเสียแล้ว” คนผู้นั้นมองดูนาง เส้นผมของเขาพลิ้วผ่านขอบหน้าของนาง ทั้งเย็นและคันนิดๆ 


 


 


พอเขาพึ่งจะพูดจบ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ว่าที่ด้านหลังมีไอสังหารรุนแรงสายหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา 


 


 


นางไม่หลบและไม่แอบซ่อน เพียงฟังดูเสียงของบางสิ่งที่แหวกอากาศออกเป็นทาง ก่อนที่คนผู้นั้นจะขยับมือ นางก็ชิงลงมือไปก่อนก้าวหนึ่ง  

 

 

 


ตอนที่ 540 ข้าขอเตือนให้เจ้ารู้จักมีเ...

 

นางเอียงศีรษะลงมาเล็กน้อย มือก็สามารถสกัดศรน้ำแข็งที่พุ่งมาทางด้านหลังเอาไว้ในฝ่ามือ 


 


 


ศรน้ำแข็งพุ่งมาด้วยความเร็ว มันควงหมุนอยู่ตรงฝ่ามือของนาง คิดจะพุ่งทะลุฝ่ามือนางออกไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคว้าศรน้ำแข็งดอกนั้นเอาไว้ พลังในมือขับเคลื่อนออกมา เป็นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งผุดขึ้นที่ใจกลางฝ่ามือ ทำลายศรน้ำแข็งดอกนั้นสลายเป็นผุยผง 


 


 


เถ้าถ่านเหล่านั้นไหลผ่านฝ่ามือร่วงลงไปในอากาศ 


 


 


บนตึกสูง ซ่งชิงอีที่ถือคันธนูเอาไว้ในมือถึงกับหน้าเปลี่ยนสี 


 


 


คันธนูด้ามหยกของนาง เป็นอาวุธวิญญาณชั้นยอด ลูกศรก็หลอมขึ้นมาจากเหล็กผสมทองคำ แต่กลับถูกคนทำลายจนกลายเป็นผงธุลี? 


 


 


นางมองดูคนที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายตาเย็นเฉียบ ทั้งยังประหลาดใจอยู่บ้าง 


 


 


เพราะอยู่ห่างไกลกันมา จึงไม่อาจมองเห็นรูปโฉมได้อย่างชัดเจน แต่แค่โครงหน้าที่ได้เห็นก็รู้ว่าเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง 


 


 


ในเมื่อสามารถบุกเข้ามาในวังตันติ่งกงของนางได้ ….ดูท่าคงจะมีความสามารถอยู่ไม่น้อย! 


 


 


ซ่งชิงอีเพียงชะงักไปครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นก็น้าวคันธนูอย่างเต็มแรงอีกครั้ง ยินลูกศรออกไปติดๆกันถึงสามดอก 


 


 


สองดอกแรกไม่มีอะไรเกินกว่าที่คาดเอาไว้ ล้วนถูกตู๋กูซิงหลันคว้าเอาไว้ ทำลายสลายกายเป็นผงธุลี แต่ว่าลูกศรดอกสุดท้ายนั่น ตู๋กูซิงหลันกลับกุมลูกศรนั้นเอาไว้ในมือหันมาเหลือบตาดูตึกสูงหลังนั้นแวบหนึ่งก็เขวี้ยงลูกศรกลับคืนไป 


 


 


ไม่มีคันธนู อาศัยเพียงกำลังข้อมือเขวี้ยงกลับไปเท่านั้น แต่ว่าความเร็วที่พุ่งคืนมาก็ยังเหนือกว่าซ่งชิงอีที่ใช้ธนูด้ามหยกที่มีจิตวิญญาณคันนั้นอีกเท่าหนึ่ง 


 


 


 ลูกศรส่งเสียงลากยาวไปในอากาศ มันถูกเขวี้ยงมาลงตรงหน้าซ่งชิงอีราวกับลูกระเบิด 


 


 


ซ่งชิงอีถึงกับหน้าเขียว นางหลบวูบ แต่ว่าลูกศรนั้นก็ยังสะกิดโดนใบหน้าของนางอยู่ หยดเลือดไหลออกมาจากปากแผลบนใบหน้าของนาง นองลงไปครึ่งใบหน้า 


 


 


ฝูลั่วที่ประกบอยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึงจนโง่งมไปแล้ว! 


 


 


คนที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บุกเข้ามาในวังตันติ่งกง แล้วยัง….แล้วยังทำร้ายใบหน้าของท่านเจ้า! 


 


 


รู้หรือไม่ว่า สิ่งที่ท่านเจ้าให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือใบหน้าอันงดงามดุจนางเซียนของตนเอง 


 


 


ก่อนหน้านี้เคยมีหญิงรับใช้ผู้หนึ่ง เพราะไม่ทันระวังทำเส้นผมของท่านเจ้าขาดไปเส้นหนึ่ง จึงต้องพบกับจุดจบที่เป็นการตายอย่างอนาถและถูกโยนลงไปในหุบเหว 


 


 


เจ้าคนชั่วร้ายที่บุกเข้ามาในวังตันติ่งกง นี่ถึงกับ…. 


 


 


พึ่งรู้ว่า อีกเพียงครึ่งเดือนก็จะถึงเทศกาลหมื่นบุปผาแล้ว ท่านเจ้าคิดจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้แข็งแกร่งในดินแดนจิ่วโจวอย่างเพริดพริ้งที่สุด! 


 


 


แต่ในช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงกลับถูกทำร้ายใบหน้า….. 


 


 


ฝูลั่วรู้เลยว่า เจ้าโจรร้ายผู้นั้นจะต้องได้ตายอย่างอนาถที่สุด! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้ใส่ใจจะหันไปมองดูซ่งชิงอีเลยสักนิด 


 


 


ปลายนิ้วของนางยังคงค้างอยู่ในท่วงท่ายามที่เขวี้ยงลูกศรคืนไป สายตาของนางก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของบุรุษผู้นั้นอยู่ตลอดเวลาเช่นเดิม 


 


 


“เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้า ….. แข็งแกร่งขึ้นมากแล้วนะ สามารถปกป้องพวกเจ้าได้แล้ว” นางจ้องมองเขา ขณะเอ่ยด้วยนะเสียงที่แหบพร่าไปบ้าง 


 


 


ทั้งๆที่แม้แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้เห็นแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นางถึงได้รู้สึกว่า จะต้องเป็นเขาแน่นอน 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรือว่าจีเฉวียน ขอเพียงพวกเขาสามารถกลับคืนมาได้คนหนึ่ง เช่นนั้นอีกคนหนึ่งก็จะต้องสามารถกลับมาได้เช่นกัน 


 


 


ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่านางอ่อนแอจนเกินไป ไม่มีพลังเพียงพอที่จะต่อต้านชาวสวรรค์ ดังนั้นจึงได้แต่ต้องทนมองดูพวกเขาสูญสลายไปกับตาของตนเอง 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ หากเทียบกับเมื่อก่อน นางก็แข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว 


 


 


ถึงแม้ว่าจะยังไม่อาจต่อสู้กับชาวสวรรค์ได้อย่างเท่าเทียม แต่ว่าหากคู่มือเป็นแค่ยอดนักพรตที่อยู่ในขั้นฝึกฝนเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ใดๆเลย 


 


 


นักพรตในดินแดนจิ่วโจวต่อให้แข็งแกร่งถึงเพียงไร ก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาที่กลายเป็นนักพรต……. 


 


 


แต่ว่าในร่างของนางมีสายโลหิตของราชามังกรทมิฬไหลเวียนอยู่ จิตวิญญาณของนางก็ผนึกรวมกับหยกสรรพชีวิตก้อนใหญ่ ทั้งยังพึ่งจะได้ไม้คฑาที่มีพลังดึงดูดลึกลับมาอันหนึ่ง ร่างกายของนาง ต้องถือว่ากลายเป็นแข็งแกร่งดั่งตัวประหลาดไปแล้ว 


 


 


“ครั้งนี้ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง จะไม่ให้ใครมาทำร้ายพวกเจ้าได้อีกแล้ว” 


 


 


แววตาของนางมีหมอกหนาเพิ่มขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันพยายามฝืนอาการคัดจมูกเอา บอกกับตนเองให้สงบจิตใจลงเข้าไว้ 


 


 


 นางพึ่งจะมาถึงดินแดนจิ่วโจว หากว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าตรงนี้ เป็นท่านอาจารย์หรือว่าจีเฉวียนจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องนับว่าฟ้าดินเมตตานางมากแล้ว 


 


 


นางประหม่าแล้ว ทั้งยังหวาดกลัว 


 


 


ศิลาโลหิตที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้นางก็ยังไม่ผลิบาน….. 


 


 


นางเกรงว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์และจีเฉวียนเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


ใบหน้าของคนผู้นี้ถูกหน้ากากทองแดงทรงโบราณครึ่งใบปิดบังเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นแววตาของเขา ทั้งยังอ่านความรู้สึกของเขาไม่ได้ 


 


 


ทั่วร่างของเขามีแต่ไอหยินที่เหน็บหนาวรุนแรง ราวกับว่ามีดวงวิญญาณนับพันนับหมื่นรายล้อมอยู่ 


 


 


ด้านหลังของเขามีแต่ความมืดมิดราวกับว่ามันเกิดมาจากตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ทั้งๆที่ยืนอยู่เพียงลำพัง แต่ก็เหมือนมีกองทัพนับพันนับหมื่นอยู่ด้วย บรรยากาศที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ช่างน่าประหลาดไปแล้ว 


 


 


เขานิ่งฟังคำพูดของตู๋กูซิงหลันอย่างเงียบๆ มุมปากที่เหมือนจะยกยิ้มอยู่เมื่อครู่นี้ โค้งตัวลงมา 


 


 


“ที่นี่คือวังตันติ่งกง” ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยประโยคออกมา “ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเปิดเผยความในใจ” 


 


 


ไม่ยอมรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ คำตอบของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคำถามของตู๋กูซิงหลันเลยสักนิดเดียว 


 


 


………………………… 


 


 


  


 


 


บนตึกสูง ใบหน้าของซ่งชิงอียังคงมีหยดเลือดไหลลงมาไม่ขาดสาย เมื่อมองดูฝ่ามือที่แดงไปด้วยเลือด นางก็แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว! 


 


 


ก่อนที่จะใช้ยาบุปผาสะคราญ นางจะต้องรักษาใบหน้าของตนอย่างทะนุถนอม แม้แต่บาดแผลเล็กๆก็ไม่อาจมี มิเช่นนั้นผลของยาบุปผาสะคราญจะถูกลดทอนลงไป 


 


 


แต่ว่าเจ้าโจรชั่วที่บุกเข้ามาในวันนี้ กลับขวัญกล้าจนถึงขั้นบังอาจทำร้ายใบหน้าของนาง? 


 


 


ทั้งยังดูถูกนางถึงเพียงนี้? 


 


 


ซ่งชิงอีที่อยู่บนชั้นบนสุด ยกดาบน้ำแข็งในมือขึ้นมา ชี้ออกไปในท้องฟ้าพลางออกคำสั่งว่า “สังหารสองคนนั้นเสีย!” 


 


 


จะอย่างไรที่นี่ก็คือพื้นที่ของตนเอง ไหนเลยจะยอมให้สุนัขเรร่อนมาเพ่นพ่านได้? 


 


 


สองคนนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นพวกเดียวกัน ไยจะต้องไปปราณี! 


 


 


นางจะให้พวกมันจ่ายค่าตอบแทนอย่างแสนเจ็บปวดเพื่อชดเชยที่พวกมันล่วงล้ำเข้ามาและไร้มารยาทต่อนาง! 


 


 


เมื่อท่านเจ้ามีบัญชาให้สังหาร ทั่วทั้งวังตันติ่งกงก็เคลื่อนไหวโดยทันที 


 


 


ศิษย์นับพันและเหล่าผู้อาวุโสพากันรวมตัว ต่างก็ชักอาวุธของตนขึ้นมา ตั้งกระบวนท่า ล้อมพวกตู๋กูซิงหลันทั้งสองคนเอาไว้อย่างแน่นหนา! 


 


 


พวกเขาไม่มีทางหลบหนีได้อย่างแน่นอน เพราะแม้แต่ด้านบนก็ยังมีเขตอาคมของวังตันติ่งกงกางกั้นอยู่! 


 


 


เมื่อถูกคนทั้งวังตันติ่งกงล้อมเอาไว้เช่นนี้ ต่อให้มีปีกก็ไม่อาจบินหนีไปได้! 


 


 


“ให้พวกมันตายอย่างไม่เหลือซากสมบูรณ์!” ซ่งชิงอียืนอยู่บนตึก ส่งเสียงบัญชาอย่างเย็นชา 


 


 


ทันทีที่มีคำสั่งลงไป ศิษย์ชุดแรกก็บุกเข้าไปในทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง คนเหล่านี้มีพลังจิตวิญญาณเข้มแข็ง เพียงแค่ในดินแดนโบราณมีคนเช่นนี้สักคนก็ต้องนับว่าเป็นยอดนักพรตแล้ว 


 


 


แต่เมื่อมีกันนับพันเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะถล่มแว่นแคว้นใดแคว้นหนึ่งในดินแดนโบราณให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว 


 


 


แต่ว่าน่าเสียดาย…. ที่นางมิใช่ตู๋กูซิงหลันคนเดิมแล้ว 


 


 


นางมิได้หนี เพียงแต่ขยับตัวเข้าไปใกล้คนผู้นั้นอีกเล็กน้อย ยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ ใช้มือซ้ายจับฝ่ามือของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไป 


 


 


อีกมือหนึ่ง ก็ผุดแสงสีดำขึ้นมา ทั้งยังคีบยันต์โลหิตเอาไว้ในมือ 


 


 


สายตาของนางมองผ่านพวกศิษย์เหล่านั้น ไปยังซ่งชิงอีที่อยู่บนตึกสูง 


 


 


“เจ้าคนนั้นน่ะ ข้าขอเตือนให้เจ้ายอมแพ้ซะ!” ริมฝีปากสีแดงของตู๋กูซิงหลันขยับ 


 


 


ดูเถอะ! ไม่โอ้อวดเกินจริงไปหน่อยหรือ! 


 


 


ทั้งๆที่นางเป็นฝ่ายถูกพบตัวและล้อมเอาไว้แล้ว แต่ว่าตอนนี้นางกลับให้ผู้อื่นยอมแพ้ 


 


 


“เจ้าพูดจาไร้สาระใดกัน? ความตายมาเยือนถึงศีรษะแล้วยังจะกล้าต่อปากต่อคำอีก?” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)