ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 534-535
ตอนที่ 534 ลานประหารและสุสานเคลื่อนที่
“นับตั้งแต่ที่สำนักหยินหยางมีเจ้าสำนักคนใหม่ สำนักหยินหยางก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย…”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นพูดต่อไปอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ “ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้มีนิสัยประหลาดอันใด คล้ายจะชื่นชอบหนุ่มน้อยและสตรีเยาว์วัยที่งดงาม ….เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆสามเดือน ทั้งบุรุษหนุ่มและสาวน้อยในหมู่บ้านของพวกเรา ล้วนถูกส่งตัวออกไปจนหมดแล้ว…..”
หัวหน้าหมู่บ้านยังคงนอนแผ่อยู่ที่ก้นหลุม เลือดไหลออกจากปาก คำพูดของเขาทำให้คนในหมู่บ้านคิดถึงบุตรชายบุตรสาวของตนเองขึ้นมา จนอดที่จะหลั่งน้ำตาไม่ได้
“บุรุษหนุ่มและสตรีอ่อนเยาว์ล้วนถูกนำไปทำอะไร?” ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว
เนื่องเพราะชื่อสำนักหยินหยางเหมือนจะมีความเกี่ยวเนื่องกับสำนักหุขเขาภูติลึกลับของนาง เดิมทีจึงมีความรู้สึกที่ดีด้วย แม้แต่กับเจ้าสำนักผู้นั้นนางก็ให้ความสนใจ
ตอนนี้พอได้ยินชาวบ้านพูดเช่นนี้ จึงแปลกใจขึ้นมา
“ส่งคนไปทำอะไร ….พวกเราก็ไม่รู้ชัดหรอก…. รู้แต่ว่าคนหนุ่มสาวที่ถูกส่งไปไม่มีใครรอดกลับมาได้สักคน ….และไม่ได้ไปเป็นศิษย์ ราวกับว่าหายสาบสูญไปจากโลก แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่เหลือ”
เมื่อโดนผนึก ‘ยันต์วาจาสัตย์’ ของตู๋กูซิงหลันเข้าไป ย่อมไม่อาจโป้ปด
ประกอบกับสายตาเปี่ยมไอสังหารของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งทำให้หัวหน้าหมู่บ้านไม่เหลือความกล้าใดๆ เขารู้สึกราวกับว่าศีรษะอาจถูกตู๋กูซิงหลันย้ายออกไปได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยเสียงปากสั่นฟันกระทบว่า “ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากเออร์หม่าจือที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ ป้าสะใภ้รองของพวกเขาเป็นหญิงรับใช้อยู่ในสำนักหยินหยาง …..เขาบอกว่าคนหนุ่มสาวพวกนั้น….ถูกส่งไป ถูกส่งไปทำเป็นเนื้อบด เพื่อทำยา….”
พอหัวหน้าหมู้บ้านพูดเช่นนี้ออกมา ชาวบ้านที่กล้ำกลืนความรู้สึกอยู่เมื่อครู่ ก็พากันส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา
“คำสั่งที่สำนักหยินหยางส่งมา คือภายในสามวัน หมู่บ้านเราจะต้องจัดส่งคนหนุ่มสาวที่หน้าตาดี ออกมาสองคน ….มิเช่นนั้น….มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะฆ่าล้างหมู่บ้าน….”
พอหัวหน้าหมู่บ้านพูดจบ ก็เหมือนถูกสูบพลังออกไปจนหมดสิ้น หน้าผากถึงกลับผุดเหงื่อเม็ดโตๆ ทั้งคอเสื้อและช่วงอกเปียกชื้นไปหมด
“หมู่บ้านชายป่าฟากตะวันตก ไม่ยอมส่งมอบคนหนุ่มสาวออกไป…. ทั้งหมู่บ้้าน…. มิว่าชายหญิงคนชรา และเด็ก …..ทั้งหมด ทั้งหมดถูกสับเป็นชิ้นๆ…แร้งอสูรของสำนักหยินหยางจิกกินอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงได้กินเนื้อของพวกเขาจนหมดสิ้น”
หัวหน้าหมู่บ้านพูดออกมาเหมือนกับว่าเขาได้เห็นภาพนั้นเกิดขึ้นตรงหน้า คนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ราวกับว่าหมู่บ้านต่อไปที่จะถูกจิกกินในอีกชั่วครู่ ก็คือหมู่บ้านของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
“ใช่แล้ว….พวกเรา….พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือก…..คนของสำนักหยินหยาง….แต่ละคนล้วนเก่งกล้า….พวกเราจะขัดขืนได้อย่างไร ได้แต่ส่งมอบบุตรของตนเองออกไป…..”
ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านได้แต่ร้องไห้อยู่ด้านข้าง
“ท่าน….ท่านโปรดอย่าได้โทษที่พวกเราใจเ**้ยม….ท่านเป็นเด็กหนุ่มที่มาจากภายนอก แต่เด็กสองคนนี้ เป็นลูกแท้ๆของข้า ….ท่านก็มาได้พอดิบพอดี ไม่ว่าเป็นใคร…. ก็ต้องอยากเอาท่านไปแลกกับชีวิตของลูกหลานตนเองทั้งนั้น” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านร้องสะอึกสะอื้น
พอได้รู้ที่มาที่ไปของเรื่อง ตู๋กูซิงหลันก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
ธรรมชาติของคนเราย่อมมีความเห็นแก่ตัว สองคนนี้คิดจะใช้นางไปแทนที่ลูกของตนเองก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เข้าใจได้
“แต่ข้าแค่คนเดียว จะสามารถแลกกับชีวิตของเด็กสองคนได้อย่างไร?” นางหรี่ดวงตาลง
เข้าใจส่วนเข้าใจ แต่ว่านางมิได้เกิดความสงสาร
เพราะว่าคนเหล่านี้ ต้องการส่งนางไปตาย
สตรีผู้นั้นเหลือบมองดูนางสองแวบ ก็ร้องคร่ำครวญออกมาเบาๆว่า
“ท่าน…. ท่านหน้าตาดีมาก …..ย่อมสามารถใช้หนึ่งแทนที่สองชีวิตได้”
“คนของสำนักหยินหยางนั้นคัดเลือกแต่เด็กที่หน้าตาดี….ก่อนหน้านี้บ้านของหวังต้าไห่ก็มีแม่นางน้อยที่หน้าตาดีมากๆคนหนึ่ง….ครั้งนั้นก็ใช้นางหนึ่งคนแลกกับชีวิตสองคน”
“ขอเพียงแค่หน้าตาดีพอ สำนักหยินหยางก็จะยอมให้ส่งเพียงคนเดียวได้”
“กะ กะ กะต๊าก วิธีการชื่นชมผู้อื่นของพวกเจ้าช่างพิเศษจริงๆ” ติ๊งต๊องทางหนึ่งตะกุยเท้า อีกทางก็กรอกตาขึ้นฟ้า มันไม่มีความรู้สึกที่ดีให้กับคนเหล่านี้แม้แต่น้อย
พ่อแม่ที่คิดจะรักษาชีวิตตนเองให้รอด จึงได้ส่งลูกของตัวเองไปเป็นเนื้อบดจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้อย่างไร?
คนเหล่านี้ไม่คู่ควรจะได้เป็นพ่อเป็นแม่คนด้วยซ้ำ!
แน่นอนว่าตู๋กูซิงหลันเองก็คิดเช่นเดียวกัน
คนอื่นๆในหมู่บ้านไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น….พวกเขาเองก็ต้องการจะมีชีวิตต่อไป จึงไม่มีอะไรต่างกัน….
ใต้หล้าในวันนี้หากต้องการมีชีวิตรอดต่อไป ช่างยากลำบากเหลือเกิน
ริมฝีปากสีแดงของตู๋กูซิงหลันยกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงดังระฆังกังวานมาจากในป่า
เสียงที่เหมือนดังมาจากที่ไกลหลายลี้ เพียงอึดใจเดียวก็มาถึงหมู่บ้านแล้ว
ทันใดนั้น ทุกคนในหมู่บ้านก็พลันหน้าเปลี่ยนสี
แต่ละคนถอยไปยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง
พวกเขาพากันปากสั่นขึ้นมา แม้แต่สีหน้าก็เหยเก ปากได้แต่พร่ำพูดออกมาว่า “พวกเขามาแล้ว….พวกเขามากันแล้ว…..”
สีหน้าของภรรยาหมู่บ้านเปลี่ยนเป็นย่ำแย่
ทันใดนั้นสีหน้าของสองหนุ่มน้อยก็ซีดเหมือนกับคนตาย ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นยมบาลมาทวงชีวิต
มีเพียงตู๋กูซิงหลันที่ยังยืนหยัดดุจพู่กันอยู่ในป่า
นางเหลือบตามองไปยังด้านหลัง เพียงครู่เดียวก็ได้เห็นกลุ่มคนในชุดขาวดำ สวมหน้ากากครึ่งดำครึ่งขาว ยกกระถางโบราณใบใหญ่เหาะมาอยู่ไม่ไกล
พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าของพวกนาง
คนเหล่านี้มีพลังวิญญาณที่ไม่อ่อนด้อยหมุนวนรอบกายยู่ตลอด
ยามที่กระถางใบใหญ่นั้นถูกวางลง บนพื้นก็เกิดเสียงสะท้อนออกมาดัง ‘ตึ้ง’
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าถึงกับสั่นน้อยๆ ใบไม้เหนือศีรษะปลิวลงมาเป็นสาย
ใบไม้สองใบตกลงบนบ่าของตู๋กูซิงหลัน
“พวกเขา …..พวกเขาก็คือคนของสำนักหยินหยาง….” หัวหน้าหมู่บ้านที่นอนหงายท้องอยู่ในหลุมดินด้านหลังตู๋กูซิงหลัน เอ่ยเสียงเบา
นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจัดการเด็กหนุ่มผู้นี้….คนของสำนักหยินหยางมาด้วยตนเองแล้ว เมื่อได้เห็นคนที่หน้าตาดีเช่นนี้ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยผ่านไปอยู่แล้วกระมั้ง?
มีแต่จะรีบจับคนยัดลงไปในกระถางนำกลับไปทำเนื้อบดมากกว่า
เรื่องนี้ย่อมไม่พลาด สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังร่างของตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างแรก
พวกเขาไล่ไปตามหมู่บ้านชายขอบมากมายของจิ่วโจว จับตัวคนหนุ่มสาวไปมากมาย…..นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนที่งดงามเช่นนี้
ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายของหนุ่มน้อยผู้นี้ คงจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านแล้ว
สายตาของพวกเขามองไปยังร่างของตู๋กูซิงหลันกลับไปกลับมาอยู่ตลอด
ส่วนเด็กหนุ่มสองคนที่ถูกมัดอยู่บนเกี้ยวอ่อน ก็ตกใจจนแทบจะหมดสติไปแล้ว ในสมองของพวกเขาเห็นภาพของตัวเองถูกหั่นเป็นชิ้นๆ โยนลงไปในกระถาง
ตู๋กูซิงหลันเพียงเหลือบมองไปที่กระถางใบใหญ่ครั้งหนึ่ง ปากกระถางระเหยกลิ่นยาที่เข้มข้นออกมา แต่ก็ยังไม่อาจกลบเกลื่อนกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้ผู้คนสะอิดสะเอียนจนแทบจะอาเจียนลงไปได้
อีกทั้งกระถางใบนั้นยังมีไอความตายและไอความแค้นกำจายออกมาอย่างไม่มีหยุด
หากจะบอกว่านี่เป็นกระถางใบหนึ่ง มิสู้บอกว่ามันเป็นลานประหารและสุสานเคลื่อนที่จะดีเสียกว่า
ไม่รู่ว่าในนั้นจะมีคนที่ถูกฆ่าตายทั้งเป็นอยู่มากมายสักเท่าไร
ไม่รอให้ผู้อื่นพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
ตอนที่ 535 วิญญาณหุ่นเชิด
“ข้าคือบุตรบุญธรรมที่หัวหน้าหมู่บ้านพึ่งรับเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน ได้ยินพ่อบุณธรรมบอกไว้แต่แรกแล้วว่า สำนักหยินหยางต้องการมารับศิษย์ใหม่ที่หมู่บ้านของพวกเรา ข้ายินดีที่ได้รับเกียรตินี้……วันนี้ได้เห็นคนของสำนักหยินหยางมารับคนด้วยตนเอง ข้าช่างมีโชคเสียจริงๆ”
ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วกว่าพลิกหนังสือเสียอีก หนุ่มน้อยที่เมื่อครู่ยังมีไอสังหารพลุ่งพล่าน ตอนนี้กลับกลายเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสาขึ้นมา
ท่าทางที่ใสซื่อจนโง่งม นับว่าแสดงได้ดีถึงแก่น จนใครๆก็ดูไม่ออกเลยสักนิด
ชาวบ้านเห็นแล้วก็ต้องตกตะลึง ในใจต่างก็คิดไปว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเกิดมาในคณะงิ้วเป็นแน่ ถึงได้มีพรสวรรค์ขนาดนี้ ราวกับว่าคนที่มีไอสังหารท่วมท้นเมื่อครู่นั้นเป็นอีกคนหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันพูดจบแล้ว ก็หันไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ใช่หรือไม่ พ่อบุญธรรม?”
หัวหน้าหมู่บ้านถูกคำว่าพ่อบุญธรรมของนางเรียกจนแทบวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว
เขาไหนเลยจะกล้าไปเป็นพ่อบุญธรรมของบรรพชนน้อยที่แสนร้ายกาจผู้นี้? คิดว่าเขาไม่รักชีวิตแล้วหรือไร!
แต่เมื่อถูกตู๋กูซิงหลันถาม เขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้าตอบว่า “ใช่ ใช่ ใช่แล้ว เด็กนี้นับถือเลื่อมใสในสำนักหยินหยางมาโดยตลอด ช่างโชคดีที่ทุกคนมาคัดเลือกศิษย์ใหม่ที่นี่…… เขาจึงได้พบโอกาสที่ดีนี้ เป็นบุญของเขาแล้ว”
คนเหล่านั้นสวมใส่หน้ากากครึ่งขาวครึ่งดำเปิดเผยเพียงดวงตาเท่านั้น
พวกเขาไม่ได้สนใจเลยว่าที่นี่เกิดเรื่องใดขึ้น จะต้องสนใจไยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะใช่บุตรบุญธรรมของหัวหน้าหมู่บ้านหรือไม่ ต่อให้พบเจอที่กลางทาง ก็จะนำตัวกลับไปอยู่ดี
“ในเมื่ออยากไป ก็ติดตามพวกเรามาเถอะ” คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าที่สุดเอ่ยปาก
พอเขากวักมือ คนที่อยู่ด้านหลังก็ยกกระถางออกมา
พอกระถางยักษ์ใบนั้นมาถึง กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังคงมีท่าทางไร้เดียงสา นางชี้นิ้วไปที่กระถางใบใหญ่ใบนั้น “ต้องเข้าไปในนั้นหรือ?”
“แน่นอน ศิษย์ใหม่ทุกๆคนต้องนั่งกระถางยักษ์ไป” ผู้ที่เป็นผู้นำกลุ่มตอบ จากนั้นก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “หนุ่มน้อย เชิญเถอะ”
ติ๊งต๊องยืนอยู่ด้านข้าง สายตาไก่กุ๊กของมันมองดูมนุษย์เหล่านั้น ด้วยความรังเกียจราวกับว่ากำลังมองโคลนตม
ตู๋กูซิงหลันมิได้ปฏิเสธ นางชักเท้าก้าวลงไป
ทันทีที่เท้าลมลงไปในกระถาง นางก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารและความแค้นที่แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง
ราวกับปลายมีดแหลมทิ่มแทงเข้าสู่ร่างงกาย
ริมหูได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของภูติผีไม่มีหยุด เหล่าวิญญาณสีแดงดุจเลือดรายล้อมอยู่รอบกาย ดวงตาเหล่านั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มือผีที่แหลกเหลวผุดขึ้นมาจากในกระถาง คิดจะลางนางลงไป
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปี่ยมไปด้วย ‘ความเจ็บปวด’ เรือนร่างที่บอบบางนั้นถูกกระถางใบใหญ่ดูดกลืนลงไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
พวกชาวบ้านที่ได้เห็นภาพนั้นมาอย่างคุ้นชิน …..ก็พลันนึกถึงภาพบุตรหลานของตนเองขึ้นมา พวกเขาก็ถูกสำนักหยินหยางพาตัวไปเช่นนี้ และไม่เคยได้กลับมา แต่ละคนหันเหสายตาออกไป อย่างไม่อาจทนมองดูได้อีก
หัวหน้าหมู่บ้านป่ายปีนขึ้นมาจากในหลุมอย่างยากลำบาก เขารีบคุกเข่าลงตรงหน้าคนกลุ่มนั้นในทันที อ้อนวอนว่า “ข้า…ลูกบุญธรรมของข้างดงามถึงปานนั้น…พวกท่าน….ครั้งนี้สามารถ….. ครั้งนี้ได้โปรดปล่อยลูกชายทั้งสองของข้าไปได้หรือไม่?”
เขาทางหนึ่งพูดทางหนึ่งก็โขกศีรษะเสียงดังตึงๆให้กับคนเหล่านั้น
ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็โขกศีรษะด้วยเช่นกัน
“ขอร้องพวกท่านแล้ว…บุตรบุญธรรมของพวกเรา…. ต่อให้ควานหาจนทั่วดินแดนจิ่วโจวก็คงไม่มีทางตามหาคนหนุ่มที่รูปงามเช่นนี้ได้อีกเป็นคนที่สองแล้วกระมั้ง?”
คนเหล่านั้นเหลือบแลดูสองผัวเมีย อย่างไม่ได้สนใจสักเท่าไรอยู่แวบหนึ่ง ก็ยกกระถางใบใหญ่ขึ้นแบกแล้วหายไปจากป่าทึบอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเมื่อมองไม่เห็นเงาหลังของพวกเขาอีกต่อไป หัวหน้าหมู่บ้านผัวเมียจึงได้ถอนลมหายใจออกมา
เด็กหนุ่มสองคนนั้นก็ตกใจจนขวัญกระเจิง ทั้งครอบครัวกอดคอกันร้องไห้ออกมา
วันนี้ยังสามารถหลบพ้นได้ครั้งหนึ่ง แต่ครั้งหน้า…. ไหนเลยจะยังโชคดีได้พบหนุ่มน้อยรูปงามไปตายแทนพวกเขาเช่นนี้อีก?
ติ๊งต๊องมองดูคนกลุ่มนั้นหายลับไปแล้ว จึงค่อยแอบตามไปอย่างเงียบๆ
กระถางใบยักษ์นั่นดูอันตรายอย่างยิ่ง แต่ว่าด้วยความสามารถของพี่สาวตัวน้อย….ต่อให้ถูกดูดลงไป ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกกระมั้ง?
…………………….
เลือด มีแต่เลือดเต็มไปหมด
ในจมูกของตู๋กูซิงหลันมีแต่กลิ่นคาวเลือด รอบกายเต็มไปด้วยวิญญาณแค้นที่สวมใส่ชุดสีแดง ราวกับโซ่เหล็กที่พันเข้ามาเรื่อยๆเพื่อกลืนกินนาง
บนลำคอของพวกมันมีอักขระที่ซับซ้อนชนิดหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันรู้จักอักขระเหล่านั้น คาถาสาปวิญญาณ
วิญญาณที่ถูกสาป ก็จะกลายเป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่ถูกคนชักจูง มีคนคิดบงการวิญญาณเหล่านี้
นางยืนอยู่ในกลางวงโลหิต ท่องคาถากำกับยันต์ในมือออกมา พอวิญญาณเหล่านั้นพุ่งเข้ามาโจมตีนาง ก็ซัดยันต์ทั้งหมดออกไป
“พรึ่บ ฟู่ ฟู่…..” ทันทีที่ยันต์สัมผัสโดนวิญญาณเหล่านั้น ก็เกิดเสียงแผดเผาผิวเนื้อขึ้นมา
แม้ว่าเหล่าวิญญาณแค้นในกระถางยักษ์ใบนี้ยังมิได้ก่อเป็นร่าง แต่ไอแค้นและแรงอาฆาตก็นับว่ารุนแรงอยู่ไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันมิได้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมจนถึงขั้นทำลายดวงวิญญาณเหล่านี้ให้แตกสลาย เพียงใช้ยันต์ควบคุมพวกมันเอาไว้เท่านั้น
ขณะที่นางยกมือขึ้นมาลูบปอยผมขึ้นทัดหู ในมือก็เพิ่มยันต์อีกชิ้นหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงขยับยก “ข้ามันเป็นคนไม่ดี ผีเห็นเมื่อไหร่เป็นต้องหวาดผวา ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?”
เหล่าผีพากันคร่ำครวญ แต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้
พวกมันยังคงมีรูปโฉมเหมือนยามที่ตายอย่างอนาถ ใบหน้าของแต่ละตนทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ตู๋กูซิงหลันมองดูอย่างละเอียด ก็พบว่าลิ้นของพวกมันถูกตัดออกไปหมดแล้ว ในปากมีแต่ความดำมืดที่ว่างเปล่า ยิ่งดูน่าหวาดกลัวกว่าเดิม
นางขมวดคิ้ว “พวกเจ้าของคือคนหนุ่มคนสาวในหมู่บ้านเหล่านั้น?”
พวกวิญญาณเหล่านี้เมื่อถูกนางสะกดลง ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ ต่างก็พากันผงกศีรษะ
“เป็นสำนักหยินหยางลงมือกับพวกเจ้าจริงๆ?”
พวกวิญญาณพากันผงกศีรษะและก็ส่ายศีรษะ
ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไรกันแน่
นางเอ่ยอีกว่า “ตอนที่พวกเจ้ายังมีชีวิตก็ถูกสดเป็นเนื้อบด เพื่อใช้หลอมยาจริงๆ?”
ครั้งนี้พวกวิญญาณพากันผงกศีรษะอย่างพร้อมเพรียง
แววตาของตู๋กูซิงหลันทอแสงเย็นวาบออกมา
นางมิได้ไต่ถามอะไรอีก หากแต่นั่งขัดสมาธิลงอยู่ในวงทะเลเลือดนั้น
รอบกายของนางห่อหุ้มด้วยแสงสีเงินชั้นหนึ่ง เป็นประกายแพรวพราวอยู่ท่ามกลางเลือดสีแดงที่ห้อมล้อม
ในกระถางยักษ์ นับได้ว่าเป็นโลกอีกใบหนึ่ง คนกลุ่มนั้นให้นางเข้ามาในกระถาง เกรงว่าคงคิดจะใช้เหล่าวิญญาณแค้นที่ยังไม่ได้ก่อเป็นรูปร่างเหล่านี้มาหลอกหลอนนาง จากนั้นในขณะที่นางตกอยู่ในความหวดกลัวอย่างที่สุดก็จะถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปหลอมเป็นยา
‘หลังจากที่ตาย’ เช่นนี้ วิญญาณของนางจะได้เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและเคียดแค้น ……สุดท้ายค่อยนำไปสร้างเป็นวิญญาณแค้นหุ่นเชิด
แต่น่าเสียดาย…..ที่พวกเขาคำนวนผิดพลาดไปแล้ว
เพราะนางคือตู๋กูซิงหลัน คือบรรพชนน้อยที่เหล่าวิญญาณใดๆในใต้หล้าเห็นแล้วต้องอ้อมหลบไป
นางสงบจิตใจลง ปลุกพลังวิญญาณในร่างขึ้นมา สำรวจดูสถานการณ์ภายนอก
ครู่หนึ่ง กระถางยักษ์ที่โยกคลอนก็หยุดนิ่งลง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากภายนอก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันว่า “หนุ่มน้อยที่บ่าวนำตัวกลับมาในครั้งนี้ รูปโฉมงดงามนัก หากว่าสามารถนำไปหลอมเป็นยาบุปผาสะคราญได้สำเร็จ รูปโฉมของท่านเจ้าจะต้องงดงามขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างแน่นอน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น