หมอดูยอดอัจฉริยะ 534-535
ตอนที่ 534 ข่าวคราวของจี๋เหล่าต้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นั่นสิ ใครเป็นคนโทรมาน่ะ? ทำไมทำหน้าแบบนี้?” ตอนแรกเยี่ยตงผิงกำลังสนทนากับโจวเซี่ยวเทียนอยู่ที่ห้องด้านข้างฝั่งซ้าย พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็เดินออกมาบ้าง
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ พ่อ อยู่ที่นี่คุยกันไปเถอะนะครับ ผมจะไปข้างนอกสักสามสี่วัน เซี่ยวเทียน นายก็ไปกับฉันด้วยนะ”
ใกล้จะถึงช่วงสิ้นปีแล้ว หูหงเต๋อก็กลับไปภูเขาฉางไป๋ซานตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว ส่วนโจวเซี่ยวเทียนนั้นอาศัยอยู่ในบ้านซื่อเหอย่วนมาตลอด แต่เขาอยู่ที่เรือนด้านหน้า ถ้าไม่มีใครเรียกปกติก็จะไม่ไปที่เรือนด้านหลังทั้งสองเรือนนั้น
“อ้าว เจ้าลูกคนนี้นี่ ทำไมถึงได้ไม่รู้ความแบบนี้นะ?”
เยี่ยตงผิงได้ยินลูกชายว่าอย่างนั้นก็กังวลขึ้นมาทันที “อีกไม่กี่วันก็จะฉลองตรุษแล้ว แล้วแกจะแห่ไปทำอะไรเอาตอนนี้เล่า?”
การที่เยี่ยตงผิงสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับภรรยาที่ห่างเหินไปเพราะกาลเวลาได้นั้น ส่วนใหญ่เพราะลูกชายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ เยี่ยเทียนจึงกลายเป็นสายใยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาไปแล้ว
“พ่อ ผมมีธุระจริงๆ ครับ…” เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ “อย่างช้าที่สุดก็หนึ่งอาทิตย์ อย่างเร็วที่สุดก็สามสี่วันนี่แหละผมจะกลับมา”
“เสี่ยวเทียน ธุระอะไรกันน่ะ? ให้คนอื่นไปทำแทนได้ไหม? ถ้าไม่ได้จริงๆ ลองไปถามคุณตาดูก็ได้นี่!”
ช่วงที่ได้อยู่กับลูกชายในหลายวันมานี้ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของซ่งเวยหลันในรอบยี่สิบปี เธอไม่ต้องไปกังวลถึงการวางอุบายต่อสู้ชิงชัยกันในโลกธุรกิจ และก็ไม่ต้องไปวิ่งวุ่นเจรจาโปรเจกต์ต่างๆ ไปทั่ว ความอบอุ่นของครอบครัวนั้น ทำให้เธอไม่อยากจะแยกจากลูกชายเลยจริงๆ
“ให้เขาไปจัดการน่ะรึ?”
เยี่ยเทียนคิดดูแล้วส่ายหน้า “ก็ได้อยู่หรอกครับ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่มากอะไร อย่าไปยุ่งกับคุณตาแกเลยครับ เดี๋ยวแกจะมาว่าผมอีก…”
“ตกลงมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมแกถึงได้กลายเป็นคนอมพะนำแบบนี้? ถ้ายังไม่พูดกันให้รู้เรื่องก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ!”
เยี่ยตงผิงชักจะหมดความอดทนแล้ว เวลาเยี่ยเทียนอยู่ไม่ติดบ้านปกติก็ยังพอจะปล่อยผ่านไปได้ แต่นี่ภรรยาอุตส่าห์กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าแล้วแท้ๆ นะ? ทำไมยังอยากจะแห่ไปข้างนอกอีก เยี่ยตงผิงจึงไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา
“พ่ออยากจะรู้จริงๆ หรือครับ?” เยี่ยเทียนหันหน้ากลับมามองพ่อตัวเอง
“ไม่เห็นต้องถาม เรื่องที่พูดกันไม่ได้น่ะจะไปมีอะไรล่ะ เซี่ยวเทียนเองก็ไม่ใช่คนนอก” เยี่ยตงผิงขึงตาใส่
“ได้ครับ แต่พ่อเป็นคนให้ผมพูดเองนะ?”
เยี่ยเทียนพูดขึ้นว่า “เปาเฟิงหลิงโทรศัพท์มาน่ะครับ เขาบอกว่า จี๋เหล่าต้าแอบกลับเข้ามาในประเทศแล้ว น่าจะมาเพื่อฉลองวันตรุษ ผมไม่รู้ว่ามันจะหลบหนีไปอีกเมื่อไหร่ ก็เลยจะรีบพาเซี่ยวเทียนไปด้วยสักหน่อย!”
“เปา…เปาเฟิงหลิง?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ โทสะของเยี่ยตงผิงก็ปะทุขึ้นมาอย่างสุดจะข่มกลั้น และก่นด่าออกมาโดยที่ไม่สนใจแล้วว่าภรรยายังอยู่ข้างๆ “ไอ้…ไอ้ระยำนั่น ในที่สุดก็มีข่าวมาแล้วเรอะ?”
เยี่ยตงผิงอุตส่าห์สร้างตัวสร้างฐานะอย่างยากลำบากมาสิบกว่าปี กลับถูกเปาเฟิงหลิงหลอกไปจนหมดเกลี้ยง ถึงลูกชายจะบอกว่าเรื่องนี้เขาจะจัดการเอง แต่เมื่อเยี่ยตงผิงคิดดูแล้ว ก็ยังอดนึกโมโหขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้
“ตงผิง ห้ามพูดจาแบบนี้ต่อหน้าลูกนะ”
ซ่งเวยหลันมองสามีอย่างขุ่นเคือง แล้วถามว่า “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ล่ะ? ทำไมพวกคุณสองพ่อลูกต้องเครียดกันขนาดนี้ด้วย?”
“คือ…คือ ไม่…ไม่มีอะไรหรอก”
หลังจากได้ยินภรรยาถาม เยี่ยตงผิงก็ได้สติกลับมาทันที ที่แท้เมื่อครู่นี้เป็นเพราะลูกชายเห็นแก่หน้าเขานั่นเอง ถึงได้ไม่พูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา แต่เขาดันไปบังคับให้ลูกชายพูด
“ทำไม พวกคุณสองพ่อลูกยังมีความลับอะไรกันอีกงั้นรึ?” ซ่งเวยหลันมองสามีอย่างนึกขัน นี่ผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่เขาก็ยังโกหกไม่เป็นอยู่เหมือนเดิม เวลาพูดโกหกทีไรเป็นต้องหน้าแดงตั้งแต่ต้นคอขึ้นมาเลย
“พูดก็พูดสิเอ้า มันจะมีอะไรแย่นักหนา”
เมื่อถูกภรรยายั่วยุแบบนั้น เยี่ยตงผิงก็ไม่สนใจอะไรแล้ว “ช่วงก่อนหน้านี้ฉันรับซื้อของโบราณมาได้อย่างหนึ่ง แล้วโดนคนอื่นหลอกไปสามสิบล้าน นี่เยี่ยเทียนก็หาตัวการเจอแล้ว!”
ในช่วงหลายวันที่ได้อยู่กับภรรยานี้ เยี่ยตงผิงไม่ได้รู้สึกว่าความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองคนจะทำให้เกิดความเหินห่างอะไรขึ้นมาเลย เขาเชื่อว่า ซ่งเวยหลันไม่ใช่คนที่มองอะไรแต่เพียงผิวเผินแบบนั้น
นอกจากนี้หลังจากที่ภรรยากลับมาอยู่บ้าน เยี่ยตงผิงก็ตัดสินใจว่าจะทำตามคำแนะนำของลูกชาย วันหน้าเขาจะไม่ทำธุรกิจอีกแล้ว แต่จะทุ่มเทกับการศึกษาช่วงยุคสมัยของวัตถุโบราณ เพื่อเป็นนักวิชาการให้ได้ แบบนี้เขาก็จะมีเวลาได้อยู่กับภรรยามากขึ้น
ตอนนี้ธุรกิจร้านขายวัตถุโบราณและโรงน้ำชานั้น เยี่ยตงผิงได้ส่งต่อให้อาเขยของเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนไปดูแลแล้ว เมื่อครู่นี้เขาก็กำลังชี้แจงเรื่องต่างๆ ที่ปกติจะต้องใส่ใจให้โจวเซี่ยวเทียนรู้ไว้
“คุณเนี่ย เป็นคนซื่อออกอย่างนี้ แต่ดันจะไปทำธุรกิจเนี่ยนะ?”
หลังจากได้ฟังสามีเล่า ซ่งเวยหลันก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยตงผิงเป็นคนซื่อตรง เมื่อก่อนเธอก็คงไม่ไปหลงชอบเขาหรอก แต่คนแบบนี้กลับดูจะไม่เหมาะกับโลกยุคปัจจุบันสักเท่าไร
“สามสิบล้านก็ไม่ได้ถือว่าเยอะนะ เอาอย่างนี้สิตงผิง ฉันจะออกเงินตั้งกองทุนเกี่ยวกับด้านวัตถุโบราณขึ้นมา แล้วให้คุณไปบริหารก็แล้วกัน ส่วนเงินสามสิบล้านนั่นก็ช่างมันเถอะ”
ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านซื่อเหอย่วน ซ่งเวยหลันก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเรื่องเงินทองต่อหน้าเยี่ยตงผิง เพราะเธอกลัวสามีจะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าเธอ หากกล่าวถึงเฉพาะประเด็นนี้แล้ว ก็ถือว่าซ่งเวยหลันทำได้ดีมากเลยทีเดียว
แต่ซ่งเวยหลันก็ไม่อยากให้ลูกชายต้องไปอยู่ห่างจากเธอเพราะเงินสามสิบล้านนี่ ในสายตาของเธอ เงินสามสิบล้านยังแลกกับการที่ให้ลูกชายอยู่เป็นเพื่อนเธอต่ออีกสักหลายๆ วันไม่ได้เลย
“อย่าเลยเวยหลัน ฉันจะไม่ทำธุรกิจแล้วละ เธอก็ไม่ต้องไปลงทุนหรอก”
เยี่ยตงผิงส่ายหน้า แล้วหันไปพูดกับเยี่ยเทียน “หรือไม่เราก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ ถึงยังไงแกก็ได้ทองคำพวกนั้นมาแล้ว ก็ไม่น่าจะขาดแคลนเงินใช้สอยแล้วนี่?”
เยี่ยตงผิงเองก็ได้คิดแล้วว่า ในเรื่องการหาเงินนั้น เขาไม่มีพรสวรรค์เลยจริงๆ อย่าว่าแต่จะสู้ภรรยาไม่ได้เลย แม้แต่ลูกชายก็ยังเหนือชั้นกว่าเขามากนัก ถ้าเขายังดันทุรังจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการหาเงินอีกละก็ อย่างนั้นสมองเขาคงจะป่วยแล้วละ
“ไม่ได้หรอกพ่อ เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์บางอย่างในยุทธภพอยู่ พวกพ่อไม่เข้าใจหรอก ยังไงผมก็ต้องไปจัดการอยู่ดี”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอนนี้เขาก็ไม่ได้เห็นว่าเงินไม่กี่สิบล้านนั่นมีความสำคัญอะไรแล้ว แต่การกระทำอันไร้สัจจะของจี๋เหล่าต้าในตอนนั้น ถือว่าเป็นความผิดมหันต์ในยุทธภพ
นอกจากนี้ ตามที่เปาเฟิงหลิงบอกมา จี๋เหล่าต้าอาจจะใช้วิชาอาคมบางอย่างเป็น เรื่องนี้จึงเกี่ยวพันไปถึงวงการศาสตร์ลี้ลับด้วย
และเยี่ยเทียนก็อยากจะไปสืบดูเสียหน่อยว่า จี๋เหล่าต้าซึ่งมีฉายาว่าพหูสูตคนนั้น ตกลงใช่ทายาทของเครือญาติอีกสายหนึ่งของตระกูลโจวที่แย่งชิงมรดกวิชาจากบรรพบุรุษของโจวเซี่ยวเทียนไปเมื่อครั้งกระโน้นหรือไม่
“เสี่ยวเทียน เรื่องรบราฆ่าฟันในยุทธภพนี่น่ะ มันอันตรายออกนะ…”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชาย ซ่งเวยหลันก็พูดอย่างจนปัญญา “ลูก…ลูกทำไมไม่ยอมฟังคำแนะนำของแม่เลยล่ะ ที่ว่าให้ไปดูแลธุรกิจพวกนั้นน่ะ?”
ซ่งเวยหลันมีความสัมพันธ์กับสมาคมหงเหมินในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด จึงเข้าใจว่ายุทธภพที่ลูกชายพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ในฐานะคนเป็นแม่ เธอก็ย่อมจะไม่อยากเห็นลูกชายเดินทางสายนี้ลึกขึ้นเรื่อยๆ
“ฮ่ะๆ ตั้งแต่ผมเกิดมาก็เดินสายนี้ไปแล้วละครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ “ก้างขวางคออย่างผมอยู่ในบ้านทั้งวันก็คงไม่เหมาะ ออกไปสักสามสี่วันพวกพ่อจะได้อยู่กันตามลำพังสองคนบ้างไงครับ?”
“เจ้าลูกบ้า แม้แต่พ่อแม่ก็ยังกล้าล้อเลียนเรอะ?”
เยี่ยตงผิงแม้จะขึงตาอยู่ แต่ในใจกลับเป็นสุขยิ่งนัก ส่วนซ่งเวยหลันพอได้ยินลูกชายพูดอย่างนั้นก็หน้าแดงวาบ มือขวาหยิกบั้นเอวของสามีอย่างแรงหนึ่งที
เยี่ยเทียนเตรียมเสื้อผ้าธรรมดาๆ สำหรับเปลี่ยนใส่ไม่กี่ชุด แล้วพาโจวเซี่ยวเทียนมุ่งตรงไปที่สนามบินปักกิ่ง เปาเฟิงหลิงกำลังรอพวกเขาอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในมณฑลเจียงซี
พวกเขานั่งเที่ยวบินเที่ยวที่เร็วที่สุดไปที่เมืองหนานชาง เมื่อถึงเวลาบ่ายสี่โมงกว่าๆ เครื่องบินก็ลงจอด เยี่ยเทียนเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งเร่งรุดไปที่เมืองเฟิงเฉิงซึ่งอยู่ห่างจากหนานชางไปประมาณ 60 กว่ากิโลเมตร
หนานชางในเดือนมกราคมเพิ่งจะมีหิมะตก พื้นถนนค่อนข้างลื่น รถจึงขับเร็วมากไม่ได้ จนกระทั่งตกกลางคืนแล้ว เยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนจึงเพิ่งจะไปถึงที่พักแห่งหนึ่งที่นัดกับเปาเฟิงหลิงไว้
“อาชีพนักต้มตุ๋นนี่มันก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะ?”
เมื่อเห็นม่านประตูหนาทึบซึ่งเต็มไปด้วยคราบสกปรกตรงทางเข้าที่พักแล้ว เยี่ยเทียนก็อดส่ายหน้าไม่ได้ จำได้ว่าตอนที่จับเปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ได้คราวก่อน เจ้าสองคนนี้ยังเสพสุขอยู่ที่โรงแรมระดับสูงอยู่เลย
ตรงทางเข้าที่พักมีหญิงสูงวัยกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่ เมื่อม่านประตูเลิกขึ้น พาลมหนาวพัดหอบเข้ามา ทำให้เธอหดคอย่น แล้วถามขึ้นอย่างหงุดหงิด “จะพักห้องแบบไหน? ห้องสองคนราคาแปดสิบ สามคนหกสิบ เหลือแต่ห้องสองแบบนี้แหละ!”
“มาหาคนเฉยๆ เดี๋ยวก็จะไปแล้วละ!” พอได้ยินว่าไม่ได้มาเข้าพัก หญิงสูงวัยคนนั้นก็หย่อนก้นนั่งกลับลงไป แล้วแทะเมล็ดแตงโมต่ออย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น
สมัยก่อนช่วงที่เยี่ยเทียนออกท่องยุทธภพกับพรตเฒ่า ก็ไปพักอยู่ตามสถานที่แบบนี้เหมือนกัน ส่วนโจวเซี่ยวเทียนสมัยที่ลักลอบปล้นสุสานอยู่ โดยปกติก็พักในที่พักลักษณะนี้เช่นกัน ทั้งสองจึงค้นหาไปจนถึงหน้าห้องห้องหนึ่งบนชั้นสองได้อย่างคล่องแคล่ว
“ใครน่ะ?” เสียงเคาะประตูของโจวเซี่ยวเทียนเพิ่งจะดังขึ้น ก็มีเสียงถามดังออกมาจากในห้อง น้ำเสียงฟังดูอ่อนแอและงุนงง
“เปิดประตูสิ ฉันเอง!” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาได้ยินเสียงลมหายใจของคนเพียงคนเดียวภายในห้องนั้น หรือว่าหลิวเหล่าเอ้อร์จะแยกทางกับเปาเฟิงหลิง?
“ท่าน…ท่านเยี่ย?”
ในฐานะที่เป็นนักต้มตุ๋น ความสามารถในการจดจำจึงสำคัญอย่างยิ่ง ทันทีที่เยี่ยเทียนเปล่งเสียงออกมา ก็มีเสียงปลดกลอนประตูดังเล็ดออกมาจากข้างใน จากนั้นประตูห้องก็เปิดออกทันที
“แก…แกคือเจ้าคนแซ่เปานั่นน่ะรึ?” หลังจากประตูห้องเปิดออก โจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไปทันที และเบิกตาโพลงมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เปาเฟิงหลิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้น มีใบหน้าผอมซูบจนแทบไม่เหลือเนื้อเลย เหมือนมีเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น สัดส่วนลำตัวก็ยิ่งแทบจะเหลือแต่โครงกระดูก เสื้อนวมตัวหนาที่สวมอยู่บนร่างก็ดูหลวมโคร่ง
โจวเซี่ยวเทียนเคยติดตามเยี่ยตงผิงไปเจรจากับเปาเฟิงหลิงมาหลายครั้งแล้ว แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ กลับแตกต่างจากผู้ชายหยาบช้าในความทรงจำคนนั้นราวกับเป็นคนละคน สงสัยต่อให้เปลี่ยนเป็นแม่แท้ๆ ของพี่แกมายืนอยู่ตรงนี้ ก็คงจะจำเขาไม่ได้อยู่ดี
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ถ้าเปาเฟิงหลิงกล้าออกจากที่พักแห่งนี้ไปเดินตามถนนตอนดึกดื่นค่อนคืน ก็จะต้องทำให้พวกคนขวัญอ่อนตกใจจนกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่อยู่แน่นอน
“ท่านเยี่ย ท่าน…ท่านมาแล้วหรือครับ!”
เมื่อเห็นสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู เปาเฟิงหลิงก็เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างกับได้เจอญาติสนิท แล้วยังยื่นมือทั้งสองข้างออกไปกอดต้นขาของเยี่ยเทียนไว้อีกด้วย น้ำตาน้ำมูกก็ไหลรินลงมาเป็นทาง
“พอแล้ว จะร้องไห้ทำไมเล่า?” เยี่ยเทียนยื่นมือขวาไปคว้าอกเสื้อของเปาเฟิงหลิงไว้ แล้วหิ้วตัวเขาเข้าไปในห้อง
……………………………………
ตอนที่ 535 มังกรจากต่างถิ่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ห้องที่เปาเฟิงหลิงพักอยู่เป็นห้องสำหรับสองคน มีพื้นที่เพียงสิบกว่าตารางเมตรเท่านั้น นอกจากตั้งเตียงเดี่ยวไว้สองหลังแล้ว แม้แต่ที่จะตั้งโต๊ะสักตัวก็ไม่มี
ตำแหน่งใกล้กับหน้าต่างมีโต๊ะน้ำชาตัวเล็กอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีถุงจากร้านสะดวกซื้อกองอยู่เต็ม กลิ่นเชื้อราโชยมาเตะจมูก ดูจากฝุ่นที่เกาะอยู่บนหน้าต่าง ห้องนี้น่าจะไม่มีลมถ่ายเทมานานโขแล้ว
เมืองที่อยู่ทางใต้ของแม่น้ำฉางเจียงโดยปกติก็ไม่ได้อากาศร้อน และในที่พักแบบนี้ก็คงไม่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศอยู่แล้ว เมื่อเปิดม่านหน้าต่างออก แสงจากดวงไฟด้านนอกก็สาดส่องกระทบลงไปบนหิมะสีขาวและสะท้อนเข้ามาในห้อง ทำให้แลดูอับชื้นและหนาวเย็นผิดธรรมดา
“ไปนอนบนเตียงซะนะ แล้วห่มผ้าไว้อีกชั้นด้วย!”
เยี่ยเทียนพิจารณาดูภายในห้อง แล้วโยนเปาเฟิงหลิงซึ่งแทบจะไร้น้ำหนักอยู่แล้วไปบนเตียงเดี่ยวตัวนั้น เพราะเขากลัวว่าเจ้าหมอนี่จะหายใจไม่ทันแล้วขาดใจตายไปเสียก่อน
“ท่าน…ท่านเยี่ยครับ ผม…ผมไม่ได้หนาวนะ!” เปาเฟิงหลิงใช้แขนเสื้อนวมที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกเช็ดน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้า จนโจวเซี่ยวเทียนเห็นสภาพนั้นแล้วตะลึงตาค้างไปเลย
เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหมอนี่ยังเพิ่งจะวางท่าเป็นอาเสี่ยอยู่เลย แล้วทำไมกลายเป็นสภาพนี้ไปได้ล่ะ? โจวเซี่ยวเทียนจึงถามหยั่งเชิงดูอย่างอดไม่ได้ “แก…แกคือเปาเฟิงหลิงจริงๆ หรือ?”
“ก็ผมนี่แหละครับท่านโจว!” เปาเฟิงหลิงเค้นรอยยิ้มที่ดูขี้เหร่ยิ่งกว่าตอนร้องไห้เสียอีกออกมา
“แก…แกทำไมถึงกลายเป็นสารรูปนี้ไปได้ล่ะ?” เมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะอันเป็นเอกลักษณ์ของเปาเฟิงหลิง ในที่สุดโจวเซี่ยวเทียนก็ยอมเชื่อจนได้
“ผม…ท่านเยี่ยครับ ท่านยกโทษให้ผมเถอะนะครับ!” หลังจากได้ยินโจวเซี่ยวเทียนถาม เปาเฟิงหลิงก็ยิ้มไม่ออกแล้ว และหันไปโขกศีรษะคำนับอ้อนวอนเยี่ยเทียน
เปาเฟิงหลิงรู้ว่า สาเหตุที่สารรูปของตัวเองกลายเป็นไม่ใช่คนไม่ใช่ผีแบบนี้ เป็นเพราะชายหนุ่มตรงหน้านี้นี่เอง มิน่าเล่าเขาถึงได้ยอมปล่อยพวกตนทั้งสองไปอย่างโอบอ้อมอารีเช่นนั้น
หลังจากที่ออกจากเมืองหลวง เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะกลับไปตามหาจี๋เหล่าต้าเลย ทั้งสองรู้ธรรมเนียมของจี๋เหล่าต้าดี ถ้ากลับไปเจียงซีก็มีแต่ไปหาความตายเท่านั้น
แต่ในคืนวันที่ทั้งสองนั่งเครื่องบินกลับไปไปถึงตงเป่ย ร่างกายก็เกิดอาการขึ้น ตอนแรกเริ่มนั้นรู้สึกหนาวสั่น อาการคล้ายกับเวลาเป็นไข้ หลังจากไปหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลไปขวดหนึ่ง อาการก็ดีขึ้นมาก
แต่หลังจากทั้งสองนอนหลับไปก็ฝันร้ายติดต่อกัน ถ้าไม่ถูกภูตผีในนรกผ่าจมูกดึงลิ้น ก็ถูกยมบาลโยนลงไปในกระทะน้ำมัน ทำเอาทั้งสองตกใจกลัวจนไม่กล้าหลับตาไปหลายวันหลายคืน
เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ก็เป็นชาวยุทธภพ ขบคิดดูแล้วตัวเองน่าจะถูกมารเข้าสิง จึงไปหาแม่มดหมอผีทันที
แต่หลังจากทำพิธีทรงเจ้าขับไล่ปีศาจไปหนึ่งรอบ ต้องเสียเงินไปไม่ใช่น้อยๆ กลับไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว ฝันร้ายเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปเลยสักนิด แต่กลับยิ่งน่าสยดสยองกว่าเดิมเสียอีก
ทั้งสองอยู่ที่ตงเป่ยไปได้หนึ่งเดือนเศษ แต่ละวันได้นอนหลับไม่เกินห้าชั่วโมง ร่างกายก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั้งสองครุ่นคิดดูแล้ว ต้นตอก็น่าจะมาจากเยี่ยเทียนนี่เอง
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เยี่ยเทียนกำชับไว้ตอนที่จะปล่อยพวกเขาไป ด้วยความจนปัญญา เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์จึงได้แต่แอบกลับไปที่รังเก่าของจี๋เหล่าต้า
จะว่าไปแล้ว การที่เปาเฟิงหลิงฝันร้ายมาหลายเดือนติดต่อกัน แต่ยังสามารถอยู่รอดมาได้นั้น ก็ถือว่าเขาเก่งมากแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วๆ ไปละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะเสียสติเป็นบ้าไปแล้วก็ได้
“เอาเถอะ ยื่นมือมานี่ซิ!”
เมื่อเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของเปาเฟิงหลิง เยี่ยเทียนก็ชักจะใจอ่อน จับมือข้างขวาของเขาไว้ แล้วส่งพลังชี่เข้าไป
เปาเฟิงหลิงที่ตอนแรกถึงจะห่มผ้าไว้แล้วก็ยังหนาวสั่นไปทั้งตัวนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีความร้อนแผ่จากบริเวณข้อมือเข้าสู่ร่างกาย เขารู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างทันที และรู้สึกสบายจนเกือบจะร้องครางออกมา
“ท่านเยี่ย ขอบคุณครับ…ขอบคุณครับท่าน!” ตอนนี้เปาเฟิงหลิงแน่ใจแล้วว่า ฝันร้ายที่คอยรุมเร้าเขามานานนั้น เป็นฝีมือของชายหนุ่มตรงหน้านี้นี่เอง
เยี่ยเทียนโบกมือ “อย่าพูดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์เลย เรื่องที่ฉันให้แกไปสืบมาน่ะ ได้ความแล้หรือยัง? จี๋เหล่าต้ากลับมาแล้วจริงหรือเปล่า?”
“ท่านครับ กระผมผู้แซ่เปาตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยพูดพล่อยมาก่อนเลย อ้าวดูปากผมซิเนี่ย…”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม เปาเฟิงหลิงก็เริ่มสบถสาบานด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็ได้สติขึ้นมาทันที ตบปากตัวเองอย่างแรงหนึ่งฉาด แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านเยี่ยครับ ผมอาจจะกล้าหลอกคนอื่น แต่ไม่กล้าหลอกท่านหรอกครับ ไอ้สารเลวแซ่จี๋นั่นกลับมาแล้วจริงๆ ครับ…”
“เซี่ยวเทียน รินน้ำมาให้มันแก้วนึงซิ”
เมื่อเห็นเปาเฟิงหลิงหน้าแดงขึ้นมาผิดปกติ เยี่ยเทียนก็โบกมือแล้วพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องรีบ แกค่อยๆ พูดเถอะ…”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับท่านโจว!” เปาเฟิงหลิงใช้สองมือถือประคองเหยือกชาใบใหญ่นั้น “ท่านเยี่ยครับ ต้องเป็นจี๋เหล่าต้าแน่นอน ตอนนั้นหลิวเหล่าเอ้อร์ตามมันไปแล้ว แต่…แต่ตั้งแต่นั้นก็ยังไม่ได้กลับมาเลย…”
ตอนแรก หลังจากกลับไปถึงรังเก่าของจี๋เหล่าต้าที่หนานชางแล้ว เพราะกลัวจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งสองจึงไม่กล้าเปิดเผยตัว ยิ่งไม่กล้าไปติดต่อพวกเพื่อนอันธพาลสมัยก่อน ทั้งสองรู้ดีว่าจี๋เหล่าต้ามีอิทธิพลที่นี่มากขนาดไหน
แต่ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็เคยติดตามจี๋เหล่าต้ามานานปี จึงรู้ตำแหน่งสถานที่กบดานของจี๋เหล่าต้าซึ่งค่อนข้างเป็นความลับอยู่หลายแห่ง และไปซุ่มอยู่ตามสถานที่เหล่านั้นทุกวัน เฝ้าจับตาดูอยู่เช่นนี้มาหลายเดือนแล้ว
แล้วสวรรค์ก็มีความกรุณา ตอนกลางคืนเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ ในที่สุดการซุ่มดูของทั้งสองก็เป็นผล จี๋เหล่าต้าออกมาจากบ้านของชู้รักคนหนึ่งของมัน และประจันหน้ากับเปาเฟิงหลิงเข้าพอดี
ตอนนั้นเปาเฟิงหลิงตกใจจนขวัญกระเจิง แต่ตอนนี้เขามีสารรูปเหมือนผี จนจี๋เหล่าต้าจำไม่ได้ ทั้งสองจึงเพียงเดินสวนกันไป
เปาเฟิงหลิงรู้ว่า จี๋เหล่าต้าเป็นคนขี้สงสัยขนาดหนัก ถ้าฝ่ายนั้นเห็นหน้าตัวเองบ่อยครั้งเข้า ก็อาจจะถูกสงสัยขึ้นมาได้
ดังนั้นเปาเฟิงหลิงจึงหลบไปข้างๆ และรีบโทรศัพท์หาหลิวเหล่าเอ้อร์ เพื่อเรียกเขาให้ออกมาจากโรงแรม และคอยสะกดรอยตามจี๋เหล่าต้าต่อไป
แต่ที่เปาเฟิงหลิงคาดไม่ถึงคือ หลังจากกลับไปถึงโรงแรมได้ครึ่งชั่วโมง เขาก็ขาดการติดต่อจากหลิวเหล่าเอ้อร์ไปเลย ตอนนั้นเปาเฟิงหลิงเห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบร้อนหนีออกมาจากโรงแรมโดยไม่ได้เก็บข้าวของที่อยู่ในห้องมาด้วยเลย
เปาเฟิงหลิงซึ่งหลบอยู่ที่มุมหนึ่งมองเห็นกับตาว่า มีคนเจ็ดแปดคนเข้าไปในโรงแรมระดับหลายดาวที่เขาพักอยู่นั้น และผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็มีเสียงเอะอะก่นด่าดังขึ้นมา ไม่ต้องถามก็รู้ว่า พวกนี้ต้องแห่กันมาหาตัวเขาแน่นอน
เปาเฟิงหลิงตื่นตระหนกเสียขวัญจนไม่กล้าอยู่ที่เมืองหนานชางต่อไปอีก จึงเรียกรถมาที่เฟิงเฉิง หลังจากอยู่ที่ห้องมืดๆ แคบๆ นี้ไปได้สองวัน ถึงจะออกไปโทรศัพท์หาเยี่ยเทียน
“ท่านเยี่ย ท่าน…ท่านมากันแค่สองคนหรือครับ?”
หลังจากเล่าลำดับเหตุการณ์จนจบ เปาเฟิงหลิงก็มองไปที่เยี่ยเทียนอย่างผิดหวัง ตอนแรกเขานึกว่า เยี่ยเทียนคงจะพาคนจากสำนักมาด้วยสักเจ็ดแปดคน
ควรทราบว่า เพื่อเป็นการเชิดชูตัวเอง จี๋เหล่าต้าจึงเรียกกลุ่มนักต้มตุ๋นเหล่านั้นว่า ‘สำนักต้มตุ๋น’ และยังตั้ง ‘แปดขุนพลสำนักต้มตุ๋น’ ขึ้นมาในกลุ่มอีกด้วย
อย่างเปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ก็มีตำแหน่งเป็นขุนพล ‘หลัก’ และขุนพล ‘แย้ง’ มีหน้าที่จัดฉากต้มตุ๋นให้สำนักโดยเฉพาะ นับเป็นขุนพลฝ่ายบุ๋นในบรรดาแปดขุนพล
นอกจากนี้จี๋เหล่าต้ายังมีกลุ่มขุนพล ‘ลม’ และ ‘ไฟ’ อีก ซึ่งเป็นตำแหน่งฝ่ายบู๊ในบรรดาแปดขุนพล
การตีรันฟันแทงครั้งใหญ่กับพวกคนตงเป่ยซึ่งเกิดขึ้นที่หนานชางเมื่อสมัยก่อน ก็มีคนกลุ่มนี้เป็นกำลังสำคัญ และสามารถขับไล่แก๊งตงเป่ยออกไปจากมณฑลเจียงซีได้ ทำให้สถานะของจี๋เหล่าต้าในยุทธภพมั่นคงยิ่งขึ้น
เฉพาะคนกลุ่มที่เปาเฟิงหลิงรู้จัก ก็มีพวกที่เป็นอาชญากรหลบหนีอยู่ถึงสิบกว่าคนแล้ว และมือก็เปื้อนเลือดกันมาแล้วทุกคนด้วย
ถึงเยี่ยเทียนจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ภาษิตว่ามังกรแกร่งไม่อาจข่มอสรพิษเจ้าถิ่น เปาเฟิงหลิงจึงไม่เชื่อว่า ลำพังพวกเขาสองคนจะบุกไปถึงตัวอีกฝ่ายได้
เยี่ยเทียนอมยิ้มมองดูเปาเฟิงหลิง แล้วถามว่า “สองคนก็พอแล้วนี่ ทำไม? กลัวรึไง?”
“ท่านเยี่ย ไอ้แซ่จี๋มันค้ายาด้วยนะครับ แล้วมันก็มีปืนด้วยนะ”
เปาเฟิงหลิงจะไม่กลัวได้อย่างไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนใช้วิธีอำมหิตเหลือเกิน ชาตินี้เขากับหลิวเหล่าเอ้อร์ก็คงไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว เมื่อก่อนพวกเขาเคยเห็นจี๋เหล่าต้าจับคนเป็นๆ ใส่กระสอบไปโยนถ่วงลงแม่น้ำมากับตาเลยด้วยซ้ำ
“ยังค้ายาด้วยรึ? โอเค ฉันรู้แล้ว”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ดวงตาฉายแววดุร้ายออกมาแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ ตามไปเปลี่ยนที่อยู่กับฉัน ต่อให้งูเจ้าถิ่นจะร้ายกาจแค่ไหน มันก็ยังเป็นแค่งูอยู่ดี ถ้าเจอกับมังกรตัวจริงเข้ามันก็ต้องขดตัวหัวหดไปอยู่ดีนั่นแหละ”
สมัยก่อนหลี่ซั่นหยวนเคยผ่านช่วงสมัยที่คนสูบฝิ่นกันทั้งประเทศมาแล้ว จึงเกลียดชังพวกเดนสังคมที่ค้าฝิ่นทำลายคนในประเทศชาติอย่างเข้ากระดูก
แต่ตอนนั้นสถานการณ์ลุกลามเป็นวงกว้าง ผู้มีอำนาจทางทหารจำนวนมากมายก็ทำเรื่องแบบนี้อยู่ หลี่ซั่นหยวนจึงกำจัดไปไม่ได้มากนัก สมัยนั้นจึงตั้งกฎขึ้นในพรรคชิงปังว่า ห้ามสมาชิกพรรคชิงปังเสพหรือค้าฝิ่น
แต่ความมั่งคั่งก็ทำให้ใจคนหวั่นไหว กำไรอันมหาศาลจากฝิ่นจึงส่งผลให้กฎข้อนั้นไม่เป็นผล แม้แต่มิตรสหายที่สนิทกับหลี่ซั่นหยวนบางคนก็ยังไม่เห็นด้วย สาเหตุที่พรตเฒ่าออกจากพรรคชิงปังก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่มาก
เยี่ยเทียนได้รับอิทธิพลจากอาจารย์ จึงเกลียดชังพวกผู้ค้ายาเหล่านี้อย่างสุดจิตสุดใจ ดังนั้นพอได้ยินเปาเฟิงหลิงพูดมาอย่างนั้น ในใจก็เกิดจิตสังหารขึ้นมาเลย
เยี่ยเทียนพาเปาเฟิงหลิงซึ่งนำผ้าพันคอผืนหนึ่งมาปิดบังใบหน้าไว้อย่างหวาดผวาออกจากที่พักแห่งนั้น แล้วหาโรงแรมที่สภาพพอใช้ได้แห่งหนึ่งและเข้าพักอยู่ที่นั่น
เยี่ยเทียนเปิดห้องพักสองห้อง โจวเซี่ยวเทียนและเปาเฟิงหลิงอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนเขาเองอยู่อีกห้องหนึ่งคนเดียว ไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนถือตัวว่าเป็นอาจารย์ แต่สาเหตุหลักเพราะเขายังต้องทำนายตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันของจี๋เหล่าต้าอีก
—-
“พี่จ๋า แรงๆ เลย แรงๆ อีกสิค้า!”
ในห้องอพาร์ทเม้นท์ชั้นสูงแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหนานชาง ฉากสงครามอันดุเดือดกำลังดำเนินอยู่ เสียงเนื้อหนังกระทบกันดัง “แปะๆ” และเสียงหวีดร้องเกินเหตุของผู้หญิงดังอยู่ไม่ขาดหู
“นังร่าน ไหนล่ะเสียงแก?”
หลังจากสั่นระริกไปวูบหนึ่ง ชายคนที่คร่อมทับอยู่บนร่างของหญิงคนนั้นก็พลิกร่างออกมานอนหงายอยู่บนเตียง มือขวาหยิกไปบนจุดที่อวบอิ่มอย่างแรงหนึ่งหนับ
“พี่จี๋ เก่งขึ้นเรื่อยๆ เลยนะคะเนี่ย!”
หญิงคนนั้นข่มกลั้นความเจ็บปวด แล้วส่งใบหน้ายิ้มแย้มดั่งบุปผาให้อีกฝ่าย แต่ในใจกลับกำลังนึกดูแคลนอยู่ว่า ‘ตอนเริ่มอุตส่าห์กินยาปลุกไปตั้งหลายเม็ด เราเพิ่งจะเริ่มรู้สึกมันก็เหี่ยวไปก่อนแล้ว’
“แม่ง แกนี่อึดกว่าสาวเวียดนามพวกนั้นอีกว่ะ ต่อไปข้าจะไม่ไปที่นั่นอีกแล้ว”
จี๋เหล่าต้ายื่นมือทั้งคู่ออกไปคลำเปะปะบนร่างของหญิงคนนั้นอย่างหื่นกาม แต่น้องชายที่อยู่ข้างล่างกลับอ่อนปวกเปียก ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด
………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น