หมอดูยอดอัจฉริยะ 532-533
ตอนที่ 532 ได้เปรียบแล้วแสร้งว่าขาดทุน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อต้องจัดการกับคนอย่างแอนนา เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องใช้วิชาอาคมเลยด้วยซ้ำ อาศัยเพียงจิตสังหารบนร่าง พุ่งโถมเข้าไปหาแอนนาราวกับลมหนาวอันกรีดแทงถึงกระดูกในวันที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว
จิตสังหารนั้นแตกต่างจากกระแสพลังพิฆาต นี่เป็นประสาทสัมผัสที่หกซึ่งอยู่นอกเหนือจากประสาทสัมผัสทั้งห้า หมายความว่า เป็นสัญญาณบางอย่างที่ไม่อาจรับรู้ผ่านทางหู จมูก หรือดวงตาได้ และสัญญาณนี้ก็สามารถเรียกได้ว่า “จิตสังหาร”
อย่างในการเดินทัพเคลื่อนพลสมัยโบราณ บรรดาทหารที่ผ่านศึกมานับร้อยเหล่านั้น บนร่างก็จะเกิดจิตสังหารชนิดหนึ่งขึ้นมาโดยธรรมชาติ ตู้ฝู่เคยประพันธ์บทกวีไว้ว่า “เมฆเดียวดายคล้อยตามจิตสังหาร หมู่ปักษามิกล้ากล้ำกราย” ซึ่งบรรยายได้อย่างแจ่มชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าจิตสังหารนั้นเป็นอย่างไร
แต่เมื่อมนุษย์แยกตัวออกห่างจากธรรมชาติมาเป็นเวลานาน ประสาทสัมผัสนี้จึงค่อยๆ เสื่อมลงไป แต่ก็ไม่ได้สูญสิ้นไปทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น บรรดาหทารผ่านศึกในสนามรบเหล่านั้นมักจะสัมผัสได้ว่า ตรงหน้ามีกองกำลังของฝ่ายศัตรูคอยซุ่มโจมตีอยู่หรือไม่ หรือพวกนายพรานที่ใช้ชีวิตล่าสัตว์อยู่ในป่ามาทั้งชีวิตก็เช่นกัน คนที่ต้องผ่านความเป็นความตายมาเป็นระยะเวลานานเหล่านี้ ก็จะทำให้ประสาทสัมผัสนี้ค่อยๆ ถูกปลุกขึ้นมา
แอนนาก็เป็นเช่นเดียวกัน ในชั่วขณะที่เยี่ยเทียนยืดเอวและหลังตั้งตรงขึ้นมา ทันใดนั้นเธอก็ขนลุกชันไปทั่วร่าง ความรู้สึกตื่นตระหนกอย่างหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจ ราวกับว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องจะกลืนกินเหยื่อก็ไม่ปาน
แรงกดดันที่มองไม่เห็นนั้น ทำให้แอนนาเริ่มหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา ทรวงอกก็กระเพื่อมไม่หยุด หยาดเหงื่อบนหลังไหลรินลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง ขณะที่เผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนนั้น เธอถึงกับไม่มีความกล้าที่จะเริ่มเคลื่อนไหวโจมตีเลยแม้แต่น้อย
พลังของเยี่ยเทียนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันอันมหาศาลทำให้หลังของแอนนาเริ่มโก่งงอไปเล็กน้อย ผมหน้าม้าที่ปรกหน้าผากอยู่ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในใจรู้สึกคับขันอันตรายขึ้นมา
ต่อให้เป็นตอนที่ต้องเผชิญกับพวกครูฝึกที่ค่ายฝึกไซบีเรียในสมัยก่อน แอนนาก็ยังไม่รู้สึกหวาดหวั่นถึงขนาดนี้ แต่ความดื้อรั้นที่อยู่ในใจทำให้เธอพยายามยืดกายตรงอย่างสุดชีวิต เพื่อต้านทานแรงกดดันดั่งขุนเขาจากทางเยี่ยเทียน
“พอเถอะ ถ้าฝืนทนต่อไปเดี๋ยวคุณจะบาดเจ็บเอานะ”
เมื่อเห็นหญิงสาวต่างชาติผู้ดันทุรังคนนี้ เยี่ยเทียนก็ชักจะรู้สึกนับถือขึ้นมา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนฝึกวิชายุทธคนอื่นละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกเขากดดันจนตัวอ่อนลงไปกองกับพื้นแล้วก็ได้
ควรทราบว่า จิตสังหารของเยี่ยเทียนนี้ หากใช้กับคนธรรมดาก็อาจจะไม่ได้ผล แต่หากใช้กับผู้ที่มีวิทยายุทธซึ่งมีประสาทสัมผัสไวต่อพลังปราณละก็ กลับจะกลายเป็นที่น่ายำเกรงอย่างยิ่ง นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมขณะที่แอนนากำลังทรมานจนพูดไม่ออก แต่เยี่ยตงผิงและซ่งเวยหลันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ขณะที่พูดไป เยี่ยเทียนก็เก็บพลังลง จิตสังหารนั้นสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในฉับพลัน แอนนาซึ่งกำลังออกแรงต้านสุดพลังจึงจะล้มคำมำไปข้างหน้า
“ระวังนะ!”
เยี่ยเทียนยื่นมือทั้งคู่ออกไประคองที่ชายโครงทั้งสองข้างของแอนนา ความรู้สึกเด้งหยุ่นที่สัมผัสถูกมือนั้น ทำให้เขารีบชักมือกลับไปราวกับถูกไฟดูด นี่สายตากะผิดไปหรอกรึเนี่ย?
“พวก…พวกเธอทำอะไรกันเนี่ย?”
เยี่ยตงผิงและซ่งเวยหลันที่อยู่ข้างๆ เห็นกระกระทำของทั้งสองแล้วรู้สึกฉงนใจ ไหนว่าจะลองประชันวิทยายุทธกันไม่ใช่หรือ? ทำไมหลังจากยืนอยู่เฉยๆ ไปครู่หนึ่ง แอนนาก็โถมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยเทียนซะแล้วล่ะ?
“นาย…นายท่านคะ ฉัน…ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย!”
ตอนนี้ลมหายใจของแอนนายังไม่สงบลง หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็มองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึง เธอนึกไม่ถึงเลยว่า ชายหนุ่มที่หน้าตาดูเหมือนไร้พิษสงคนนี้ จะกลับมีจิตสังหารที่รุนแรงถึงขนาดนี้
แอนนาเองก็เคยสังหารคนมาเหมือนกัน ตั้งแต่ตอนที่อายุสิบสองปีที่ค่ายฝึกไซบีเรีย เธอก็เคยใช้แปรงสีฟันแทงนักเรียนชายที่คิดจะล่วงเกินเธอตายไปคนหนึ่งแล้ว
ในช่วงเวลาหกปีที่อยู่ในไซบีเรียนั้น คนที่เสียชีวิตไปด้วยน้ำมือของแอนนาอย่างน้อยที่สุดก็มีถึงเจ็ดแปดคน จนมีฉายาในหมู่นักเรียนรุ่นเดียวกันว่า นางแม่ม่ายพิษ ซึ่งก็เป็นการเปรียบเปรยว่าเธอเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงสุดเปรียบปานและไม่ควรเข้าไปตอแยด้วย
ด้วยสาเหตุนี้เอง แอนนาจึงสัมผัสรับรู้ถึงจิตสังหารได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวเธอเองหรือว่าครูฝึกที่เคยเข้าร่วมรบราฆ่าฟันมาแล้วหลายครั้งคนนั้น ก็มีจิตสังหารสู้ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้เลย
“พวกเธอประมือกันแล้วหรือ?”
เมื่อซ่งเวยหลันเห็นแอนนาเปียกเหงื่อชุ่มโชกไปทั้งร่างราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ ก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีเธอคงจะยังรู้จักลูกชายตัวเองน้อยเกินไป
“ใช่ค่ะนายท่าน เวลาฉันอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ถึงกับไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้เลยด้วยซ้ำไป!” ลมหายใจของแอนนาสงบคงที่ลงแล้ว แต่ในดวงตากลับเปี่ยมด้วยความละอาย
“ฮ่ะๆ อย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดอันเดรวิชตอนอยู่ที่จีน ก็ต้องกลับไปอย่างล้มเหลวเหมือนกันไม่ใช่รึ?” เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางหัวเราะขึ้นมา แม่สาวต่างชาติคนนี้ก็ถือว่าแกร่งไม่เบาอยู่
“อันเดรวิช? ที่คุณพูดอยู่น่ะหมายถึงอันเดรวิชที่มีฉายาว่าหมีขั้วโลกใช่รึเปล่า?”
แอนนาพลันเงยหน้ามองไปที่เยี่ยเทียน แม้ว่าตอนที่เธอเข้าสู่ค่ายฝึกนั้น อันเดรวิชจะไม่อยู่ที่นั่นแล้ว แต่เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเขาก็มักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ
อันเดรวิชในเรื่องที่เล่าลือกันนั้น ในสภาพอดข้าวอดน้ำ เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้นานถึงสี่สิบวัน และยังสังหารกองกำลังพิเศษของอัฟกานิสถานได้ด้วยตัวคนเดียวอีกด้วย และสร้างชื่อเสียงในการศึกครั้งนั้นจนโดดเด่น
บรรดาครูฝึกแต่ละคนในค่ายฝึกนั้นต่างไม่เห็นคนอื่นบนโลกอยู่ในสายตา มีเพียงตอนที่เอ่ยถึงอันเดรวิชเท่านั้น พวกนี้ถึงจะมีสีหน้ายกย่องนับถือขึ้นมาได้ จึงทำให้เหล่านักเรียนแต่ละรุ่นต่างจดจำชื่อนี้ได้เป็นอย่างดี
“หมีขั้วโลก?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ฉายานี้เหมาะมากเลยนะเนี่ย เจ้าหมอนั่นก็หน้าตาเหมือนหมีขั้วโลกจริงๆ นั่นแหละ”
แอนนามีนิสัยตรงไปตรงมา หลังจากตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับเยี่ยเทียนแล้ว ก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ ขอคุณโปรดชี้แนะด้วยเถอะค่ะ!”
“สภาพร่างกายของผู้หญิงถึงจะสู้ผู้ชายไม่ได้ แต่ก็มีความใจเด็ด ไว้คุณมาหาผมนะ แล้วผมจะสอนวิธีการหายใจเข้าออกให้ ซึ่งจะช่วยรักษาโรคภายในกายของคุณได้”
เยี่ยเทียนมองไปที่แอนนา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นดุขึ้นมา “แต่ต้องจำไว้นะว่า สิ่งที่ผมจะถ่ายทอดให้คุณน่ะ ห้ามเผยแพร่ให้คนอื่นเด็ดขาด!”
สำนักเสื้อป่านมีมาตรฐานการรับศิษย์ที่เคร่งครัดอย่างยิ่ง วิธีการหายใจเข้าออกนี้ปกติจะไม่ถ่ายทอดให้คนนอกโดยง่าย เรื่องจะถ่ายทอดให้คนต่างชาตินั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่แอนนาเป็นผู้คุ้มกันของมารดา เยี่ยเทียนก็คงไม่มีทางถ่ายทอดให้เธอเด็ดขาด
แอนนาพยักหน้า “ค่ะ ฉันไม่เผยแพร่ให้คนอื่นแน่นอน แต่…แต่ฉันต้องกราบคุณเป็นอาจารย์ไหมคะ?” เธอรู้จักคนในสมาคมหงเหมินมาไม่น้อย จึงรู้ว่าเวลาคนจีนเหล่านี้จะถ่ายทอดศิลปวิทยาใดๆ ก็จะต้องมีการคารวะน้ำชาโขกศีรษะกราบกรานเสียก่อน
เยี่ยเทียนโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องหรอก ถ้าผมรับคนต่างชาติเป็นลูกศิษย์ละก็ อาจารย์คงได้โมโหจนคลานออกมาจากสุสานแน่ๆ”
หลี่ซั่นหยวนเคยผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ของประเทศจีนยุคใกล้สมัยใหม่มาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพวกญี่ปุ่นตัวกระจ้อยที่มาบุกรุกจีนในช่วงหลัง หรือพวกผีฝรั่งกองทัพพันธมิตรแปดชาติเมื่อครั้งอดีต ก็ไม่ได้ดูดีในสายตาของท่านเลยสักนิด
ดังนั้นหากเยี่ยเทียนกล้ารับแอนนาเป็นลูกศิยษ์จริงๆ พรตเฒ่าคงได้ก่นด่าอยู่ในปรโลกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ไม่รักดีแน่ๆ และสงสัยว่าแม้แต่โก่วซินเจียก็คงไม่ยอมเหมือนกัน
“เอาละ มา ทานข้าวกันเถอะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว”
ฟังจากบทสนทนาของทั้งสอง ซ่งเวยหลันก็พอจะเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่งแล้ว ซึ่งก็คือลูกชายของเธอนั้นเก่งกาจมาก แม้จะไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็พอที่จะทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกยินดีอย่างเต็มหัวใจแล้ว
“ดีครับ ทานข้าว!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดกับแอนนาว่า “คุณก็มานั่งกินด้วยกันสิ เมื่อกี้คุณก็เสียพลังไปไม่น้อยเลยนี่ กำลังต้องการเติมพลังอยู่พอดีเลย”
“เรื่องนี้…”
แอนนาลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อถูกเยี่ยเทียนขึงตาใส่ ก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารอย่างว่านอนสอนง่าย เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้ว เธอรู้สึกอย่างกับกำลังเผชิญหน้ากับครูฝึกสมัยอยู่ที่ค่ายฝึกก็ไม่ปาน
พฤติกรรมของแอนนาทำให้ซ่งเวยหลันที่นั่งอยู่บนโซฟาตะลึงอึ้งไปเล็กน้อย เธอให้แม่สาวคนนี้ติดตามอยู่ด้วยมาตั้งหลายปี ยังทำให้แอนนามานั่งทานข้าวร่วมโต๊ะเดียวกับเธอไม่ได้เลย แต่เยี่ยเทียนพูดไปแค่คำเดียวกลับทำสำเร็จได้
ซ่งเวยหลันใจเต้นแรง กระซิบที่ข้างหูเยี่ยตงผิงว่า “ตงผิง คุณ…คุณว่า หาสะใภ้ฝรั่งให้ลูกชายเราสักคนดีไหมล่ะ?”
“ดี…ดีสิ!”
ท่าทีสนิทชิดเชื้อของภรรยาทำให้เยี่ยตงผิงความคิดสับสนปนเป แต่หลังจากอ้าปากตอบไปแล้ว ก็ได้สติกลับมาทันที จึงรีบคัดค้านว่า “ไม่ได้ ไม่ได้หรอก เยี่ยเทียนน่ะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แล้วทางโน้นก็เป็นลูกสาวของเพื่อนเก่าฉันด้วยนะ เรื่องนี้น่ะไม่ได้เด็ดขาด!”
ซ่งเวยหลันค้อนใส่เยี่ยตงผิง “ฉัน…ฉันก็ไม่ได้ว่าจะให้ลูกชายตบแต่งเป็นเรื่องเป็นราวนี่ ให้อยู่เป็นอนุเฉยๆ ก็ไม่ได้รึไง?”
“แบบ…แบบนี้ก็ได้หรือ?”
เยี่ยตงผิงตะลึงอึ้งไป สมองขบคิดจนยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที ความหมายแฝงของภรรยาก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ? ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก หลายปีมานี้เขาก็คงจะเลี้ยงบ้านเล็กไปแล้วละ ถึงอย่างไรภรรยาก็ใจกว้างออกขนาดนี้นี่นา
“คิดอะไรอยู่น่ะ? ถ้ากล้าคิดตุกติกละก็ ฉันจะกลับไปอเมริกาเดี๋ยวนี้แหละ!” ซ่งเวยหลันทิ่มนิ้วใส่หน้าผากเยี่ยตงผิงไปหนึ่งที แล้วลุกไปกินข้าวกับลูกชาย
หากจะกล่าวถึงเรื่องที่ไม่มีเหตุผลที่สุดของผู้หญิง ก็คือลักษณะการคิดแบบนี้ของซ่งเวยหลันนั่นเอง แปดในสิบของผู้ที่เป็นแม่นั้นต่างก็หวังให้ลูกชายมีภรรยาและอนุเป็นฝูง มีลูกหลานเต็มบ้าน แต่หากเปลี่ยนมาเป็นตัวเอง ก็คงจะให้สามีรักษาตัวให้บริสุทธิ์ดั่งหยกแน่นอน
“นี่…นี่แหละแม่แท้ๆ ของเราจริงๆ!”
เยี่ยเทียนหูดีระดับไหนแล้ว ถึงซ่งเวยหลันกับเยี่ยตงผิงจะสนทนากันเสียงเบามาก แต่หูของเขาก็ได้ยินครบถ้วนทุกพยางค์ จึงหัวเราะเจื่อนๆ อยู่ในใจ และได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวไป
แล้วอาหารมื้อแรกหลังจากครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากันนี้ก็ผ่านไปโดยที่ซ่งเวยหลันยิ้มจางๆ ขึ้นมาเป็นครั้งคราว ขณะที่เพิ่งจะรับประทานกันเสร็จ ซ่งเฮ่าเทียนก็มา ทำให้เยี่ยเทียนหายเกร็งไปได้เสียที
“ฉันอุตส่าห์ช่วยแกไว้ตั้งเยอะ แต่พอแกเสร็จเรื่องแล้วก็ไม่มีโทรศัพท์มาบอกข่าวคราวฉันสักคำเลยนะ” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนอยู่ที่นี่ ซ่งเฮ่าเทียนก็โมโหฮึดฮัดขึ้นมาทันที
เจ้าเด็กบ้านี่นอกจากตอนที่ไประเบิดโทสะใส่เขาที่พม่าแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย จนเขาห่วงแทบแย่ว่าเยี่ยเทียนจะปลอดภัยไหม เมื่อสอบถามข่าวคราวอยู่ตั้งนานถึงรู้ว่า มันไปอยู่อย่างอิสระเสรีมีความสุขที่เกาะฮ่องกงโน่น
“อ้าว ผมว่าเรื่องของผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตานี่ครับ ก็ตาเป็นคนรับปากกับศิษย์พี่ใหญ่ผมเอง อย่านึกเลยว่าผมจะซาบซึ้งบุญคุณน่ะ!”
เยี่ยเทียนฟังน้ำเสียงของซ่งเฮ่าเทียนออก จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยิ่งกว่านั้นนะ ทองคำสิบห้าตันนั่นอย่างน้อยๆ ก็มีมูลค่าถึงพันสองร้อยพันสามร้อยล้านแล้วมั้ง? ตาให้มาแค่พันล้าน คิดดูแล้วผมยังขาดทุนด้วยซ้ำไปนะ!”
“แก…แกนี่เอาเปรียบคนอื่นไปแล้วยังแกล้งว่าขาดทุนอีกเรอะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนฟังเยี่ยเทียนพูดแล้วโมโหจนแทบจะเซล้มไป สวรรค์ก็รู้กันว่าเขาต้องใช้หน้าตามากขนาดไหนถึงจะขนย้ายทองคำพวกนั้นออกจากพม่าได้ แต่พอเยี่ยเทียนพูดออกมาแล้ว กลับกลายว่าเขาเป็นฝ่ายเอาเปรียบไปเสียนี่
บทสนทนาระหว่างเยี่ยเทียนกับพ่อของเธอ ทำให้ซ่งเวยหลันชักจะสงสัยขึ้นมา จึงก้าวออกไปพยุงบิดาไว้ แล้วถามว่า “พ่อ ทองคำสิบห้าตันนี่มันเรื่องอะไรกันคะ?”
………………………………..
ตอนที่ 533 คนตายไม่อาจให้การได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทำไม? เจ้านี่มันยังไม่ได้บอกลูกรึ?”
ซ่งเฮ่าเทียนจับมือลูกสาวที่ช่วยประคองไปนั่งที่โซฟา แล้วพูดอย่างฮึดฮัด “มันไปหาทองคำที่พม่า แล้วก็ไม่มีปัญญาขนกลับมา ตาแก่อย่างฉันเลยต้องใช้คนใช้พลัง สุดท้ายยังกลายเป็นทำดีไม่ได้ดีอีกเรอะ?”
เรื่องที่ช่วยเหลือหลานชายไปนั้น ซ่งเฮ่าเทียนไม่มีอะไรจะพูดเลยจริงๆ เขากล้าแกร่งมาทั้งชีวิต ไม่นึกเลยว่าในยามชรากลับถูกเยี่ยเทียนข่มจนแทบตาย ปกติจะพูดเรื่องนี้กับใครก็ไม่ได้ มีแต่ตอนอยู่ต่อหน้าลูกสาวถึงจะบ่นออกมา
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซ่งเวยหลันก็เอ่ยขึ้นว่า “พ่อ การที่พ่อช่วยเยี่ยเทียนมันก็เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ?”
เมื่อนึกถึงตอนที่เธอต้องทิ้งลูกชายไปในสมัยก่อนนั้น เพราะพ่อเป็นสาเหตุ แม้จะผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ความคับแค้นในใจของซ่งเวยหลันก็เจือจางลงไปแล้ว แต่เมื่อเห็นความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกชายของตัวเองแล้ว เธอก็ย่อมจะเข้าข้างลูกชายเป็นธรรมดา
“ใช่สิ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับพวกแกสองแม่ลูกแล้วละ”
ซ่งเฮ่าเทียนเพิ่งจะนั่งนิ่งลงไปกับที่ พอได้ยินซ่งเวยหลันพูดอย่างนั้นก็สะอึกจนแทบหายใจไม่ทัน แล้วโบกมือเป็นพัลวัน “ฉันพูดอีกไม่กี่คำก็จะไปแล้วละ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป มีหวังโดนพวกแกสองคนยั่วโมโหตายแน่!”
“ก็ไม่ได้มีใครเชิญตามานี่ครับ”
เยี่ยเทียนยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ให้ซ่งเฮ่าเทียนได้ประจักษ์ฝีมือในการยั่วโมโหคนของเจ้าหนุ่มคนนี้อีกสักครั้ง แต่เยี่ยตงผิงชักจะเริ่มทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “เยี่ยเทียน อย่าพูดมากน่ะ มีมารยาทหน่อยสิ!”
เมื่อได้ยินเยี่ยตงผิงพูดขึ้น ในใจซ่งเฮ่าเทียนก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที ขนาดลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองยังไม่ช่วยเลย แต่ลูกเขยที่ถูกตัวเองทำลายชีวิตสมรสไปกลับเป็นฝ่ายพูดทวงความยุติธรรมให้
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้าพลางหัวเราะอย่างขมขื่น แล้วมองไปที่เยี่ยเทียน “ระยะนี้แกอยู่นิ่งๆ ไว้ล่ะ ทางพม่าเหมือนจะกำลังค้นหาตัวแกอยู่ แต่ถ้าแกไม่ออกไปจากเมืองหลวง ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรหรอก คนพวกนั้นคงยื่นมือเข้ามาไม่ถึงนี่…”
หลังจากรู้ว่าเยี่ยเทียนมีเรื่องขัดแย้งกับคนญี่ปุ่นที่พม่า ซ่งเฮ่าเทียนก็สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วผลลัพธ์ก็ทำให้เขาตื่นตระหนกจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไปทั้งร่าง
ตอนนั้นฝ่ายญี่ปุ่นมีคนเข้าสู่เขตแดนพม่าทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบกว่าคน แต่หลังจากที่เยี่ยเทียนโทรศัพท์ไปหาเขา คนญี่ปุ่นรวมถึงพวกที่อยู่ในพม่ามาตั้งแต่แรกกลุ่มหนึ่งก็หายสาบสูญไปหมดเลย
เมื่อนึกเชื่อมโยงถึงสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดในวันนั้น ซ่งเฮ่าเทียนก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ และข่าวที่มาจากทางพม่าเมื่อวานนี้ข่าวหนึ่ง ก็ยืนยันข้อสันนิษฐานของซ่งเฮ่าเทียนเรียบร้อยแล้ว
หลังจากญี่ปุ่นและรัฐบาลทหารพม่าทำการสืบค้นไปหนึ่งอาทิตย์ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ค้นพบยานพาหนะของญี่ปุ่นที่ถูกเผาไหม้ไปจำนวนมากในเทือกเขาแห่งหนึ่งที่เขตรัฐฉาน ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนประเทศจีน
หลังจากตรวจดูสถานที่เกิดเหตุและเก็บดีเอ็นเอไปตรวจสอบ ฝ่ายญี่ปุ่นก็สรุปว่า มีผู้เสียชีวิตในบริเวณนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสามสิบคน ส่วนคนญี่ปุ่นที่อาจจะกำลังสูญหายอยู่นั้น ขณะนี้ยังไม่อาจให้ข้อสรุปได้
นอกจากนี้ ในส่วนลึกบนภูเขาที่คนท้องถิ่นเรียกขานกันว่าภูเขาปีศาจนั้น ยังมีถ้ำศิลาที่ถูกระเบิดพังถล่มไปด้วยฝีมือมนุษย์อยู่จุดหนึ่งอีกด้วย
เนื่องจากขาดแคลนเครื่องจักรขนาดใหญ่ ส่งผลให้การสืบค้นและกู้ภัยหยุดชะงักลง แต่บุคคลที่เกี่ยวข้องสันนิษฐานว่า คนญี่ปุ่นอีกกลุ่มที่หายสาบสูญไปนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกฝังอยู่ภายใต้ถ้ำศิลานี้นี่เอง
กรณีคนหายสาบสูญที่ใหญ่ถึงขนาดนี้คงไม่อาจปกปิดไว้ได้แน่ ทางการญี่ปุ่นก็ได้ส่งจดหมายไปถึงรัฐบาลพม่าแล้ว เพื่อเรียกร้องให้มีการไต่สวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน อีกไม่นานก็คงจะสืบไปถึงตัวนายพลปอกางแล้ว
และชื่อของเยี่ยเทียนนี้ ก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของคนกลุ่มหนึ่งเป็นครั้งแรก แม้ว่านายพลปอกางจะพยายามปฏิเสธว่าเยี่ยเทียนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่การสืบค้นความลับเกี่ยวกับเยี่ยเทียนก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในข่าวสารที่ได้มาจากเส้นสายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นมีผู้เสนอให้จับกุมเยี่ยเทียนอย่างลับๆ แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกปฏิเสธไป
แต่แม้กระนั้น ก็ยังทำให้ซ่งเฮ่าเทียนตื่นตระหนกจนทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ วันนี้ที่เขามาที่นี่ ที่จริงแล้วก็เพราะจะมาหาเยี่ยตงผิง ให้เขาบอกเยี่ยเทียนให้รีบกลับประเทศ จะได้ไม่ถูกคนอื่นวางอุบายใส่ข้างนอก
“เยี่ยเทียน เรื่องพวกนั้นลูกเป็นคนทำจริงๆ หรือ?”
หลังจากฟังพ่อของเธอเล่าจนจบ ซ่งเวยหลันก็มองไปที่ลูกชายด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เธอพบว่ายิ่งตัวเองรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งมองเยี่ยเทียนไม่ออกมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ ผมตัวคนเดียวจะมีความสามารถขนาดนั้นได้ยังไงกัน?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูเขาปีศาจนั้นเป็นเหตุนองเลือดอันสุดจะวิปลาสจริงๆ และยังเกี่ยวโยงไปถึงความแค้นในอดีตของศิษย์พี่ใหญ่อีกด้วย ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาพูดในที่นี้เลย
“ไม่เป็นไรนะ อย่างมากลูกก็ไปหลบอยู่แถวๆ แอฟริกาเหนือสักพักหนึ่งก่อนก็ได้ แม่จะจ้างกองกำลังไปคุ้มกันลูกเอง!”
ความปกป้องลูกนั้นเป็นสัญชาติญาณของผู้เป็นแม่ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ความคิดจิตใจของซ่งเวยหลันในขณะนี้ ไม่ได้มีความแตกต่างกับหญิงชนบทที่ไม่รู้หนังสือคนหนึ่งเลยสักนิด เธอคิดแต่จะปกป้องลูกชายอย่างเต็มที่เท่านั้น
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า? เยี่ยเทียนไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำไมจะต้องไปหลบด้วยล่ะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนถลึงตาใส่ลูกสาวอย่างดุดัน วันนี้ตั้งแต่เข้าประตูบ้านมาเขาก็พบว่า ระดับสติปัญญาของลูกสาวเหมือนจะตกวูบลงไป สิ่งที่พูดออกมาก็ไม่ได้ผ่านการครุ่นคิดกลั่นกรองเลยสักนิด
อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนนี้ ในเมื่อคนตายไม่อาจให้การได้ อย่างนั้นก็ชี้ตัวคนทำไม่ได้อยู่แล้ว
ขอเพียงยืนกรานว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ ต่อให้ฝ่ายญี่ปุ่นยังสงสัยอยู่ ก็ไม่สามารถทำอะไรเยี่ยเทียนได้อยู่แล้ว เรื่องนี้สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยให้ยุติไปเอง
เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของมารดา เยี่ยเทียนก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ และพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงช่วงฉลองตรุษผมก็จะอยู่แต่ในประเทศนี่แหละครับ หลังจากงานตรุษก็จะไปจัดการธุระที่ฮ่องกงนิดหน่อย วางใจกันเถอะครับ ผมไม่เป็นไรหรอก!”
ด้วยระดับฝีมือทางวิชาพยากรณ์ของเยี่ยเทียนในตอนนี้ แม้จะยังไม่สามารถทำนายดวงชะตาของตัวเองได้ แต่เนื่องจากพลังฝีมือที่พัฒนาขึ้น เขาจึงมีประสาทสัมผัสต่อเคราะห์ดีร้ายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ต่อให้ทางญี่ปุ่นส่งคนมาจัดการกับเขา เยี่ยเทียนก็เชื่อว่าตัวเองจะสามารถล่วงรู้ได้ก่อน
ถ้าฝ่ายตรงข้ามส่งคนมาเยอะ เยี่ยเทียนก็สามารถที่จะหลบหลีกได้ และถ้าส่งมาเพียงสามสี่คน อย่างนั้นก็ขออภัยด้วย เยี่ยเทียนไม่ถือสาหรอกถ้าจะต้องสังหารไอ้พวกญี่ปุ่นอีกสักสามสี่คน
นอกจากนี้ ถ้าฝ่ายญี่ปุ่นจะเข้ามากระทำการใดๆ ในประเทศจีน ก็จะต้องทำอย่างลับๆ แน่นอน ถึงจะเกิดความเสียหายขึ้นก็คงไม่กล้าป่าวประกาศร้องเรียน เรื่องการโจมตีคนอื่นอย่างลับๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนพร้อมที่จะทำเป็นที่สุดเลย
“แกรู้สถานการณ์ไว้ก็ดีแล้ว ก่อนจะไปฮ่องกงก็บอกฉันสักคำแล้วกัน ถึงตอนนั้นฉันจะไปทักทายแกที่โน่นนะ!”
หลังจากถอนตัวออกมาแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ปล่อยวางมากขึ้นในหลายๆ เรื่อง ถ้าเป็นสมัยก่อนที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่นั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้แน่นอน
แน่นอนว่า มีแต่เยี่ยเทียนเท่านั้นที่จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ถ้าลูกหลานสายตรงของตระกูลซ่งเหล่านั้นรู้เข้าละก็ คงไปแอบนินทาว่าร้ายคุณปู่ลำเอียงกันลับหลังแน่ๆ
“ครับ ผมทราบแล้วครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าโดยที่ไม่ได้โอ้อวดความสามารถของตัวเองเลย เพราะเขารู้ว่า ต่อให้ตัวเองมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่มีทางรับมือกับประเทศหนึ่งๆ ได้แน่นอน ในเมื่อเบื้องหลังมีต้นไม้ใหญ่ให้พึ่งพิงอย่างนี้แล้ว ถ้าเขาปฏิเสธก็ถือว่าโง่เต็มที
“แก…แกน่ะช่วงนี้ทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อยล่ะ!”
หลังจากพูดคุยเสร็จแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนจะอยู่ที่นี่ต่อก็ดูจะเป็นส่วนเกิน พอลุกขึ้นเดินไปถึงที่ประตูแล้ว ก็อดหันมาพูดกับเยี่ยเทียนอีกครั้งอย่างกึ่งข่มขู่กึ่งกำชับไม่ได้
“ปกติผมก็ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่แล้วนี่ครับ”
เยี่ยเทียนแบมือทั้งสองข้างออกอย่างใสซื่อ ท่าทางจริงใจชนิดที่นานๆ ทีจะเห็นสักครั้งปรากฏขึ้นบนใบหน้า จนซ่งเฮ่าเทียนเห็นแล้วเกิดความเข้าใจผิด หรือว่าเขาจะเข้าใจเจ้าเด็กนี่ผิดไป?
แต่แล้วซ่งเฮ่าเทียนก็ได้สติขึ้นมาทันที แค่นเสียงดังเฮอะแล้วเหวี่ยงประตูเดินออกไป และได้ยินเสียงหัวเราะอย่างกระหยิ่มใจของเยี่ยเทียนก็ดังไล่หลังมา
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของลูกชาย ซ่งเวยหลันก็ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ลูกคนนี้นี่นะ อย่าเอาแต่ยั่วโมโหคุณตาสิ สมัยก่อนทั้งตาทั้งแม่ก็ผิดกันทั้งคู่ ถ้าลูกจะโทษใคร ก็ต้องโทษแม่ด้วยนั่นแหละ”
“เรื่องในอดีตน่ะอย่าไปพูดถึงกันอีกเลยครับ ผมก็ไม่ได้โทษท่านจริงๆ หรอก!”
เยี่ยเทียนโบกมือ “โรงแรมนี้ถึงจะดี แต่ก็ยังอยู่สบายสู้ที่บ้านไม่ได้ ผมว่าคุณย้ายกลับไปวันนี้เลยดีกว่านะครับ เรือนของผมกว้างขวางมากเลยนะ”
ขณะที่อยู่ในโรงแรม เยี่ยเทียนมักจะรู้สึกไม่ค่อยเป็นอิสระ และรู้สึกเหมือนกับมารดาเป็นเพียงแขกที่มาชั่วคราว ซึ่งอาจจะหายตัวไปได้ทุกเมื่อ
“นั่นน่ะสิเวยหลัน กลับบ้านเถอะ ฉันกับลูกก็อยากให้เธอกลับบ้านเหมือนกันทั้งคู่แหละ!” พอเยี่ยเทียนเพิ่งจะพูดจบ เยี่ยตงผิงก็สนับสนุนขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาก็เคยชวนแล้ว แต่กลับถูกภรรยาปฏิเสธไปทุกครั้ง
“ก็…ก็ได้ ฉันกลับก็ได้!”
เมื่อเห็นท่าทางคาดหวังของสองพ่อลูก ซ่งเวยหลันก็ใจอ่อนยวบ จึงพยักหน้าตอบตกลง
ครั้งนี้ซ่งเวยหลันกลับประเทศอย่างเงียบๆ ผู้ติดตามที่พามาด้วยก็มีแต่แอนนา และห้องของโรงแรมนี้เธอก็ยังไม่ได้ลงชื่อออก แต่ตามเยี่ยเทียนกลับไปที่เรือนใหม่ของลูกชายอย่างเงียบเชียบ
ปราณวิเศษอันอุดมสมบูรณ์ในลานบ้านนั้น ทำให้ซ่งเวยหลันซึ่งอาศัยอยู่ในแถบชายทะเลมานานรู้สึกอัศจรรย์ใจ ในช่วงเวลาที่ได้อยู่กับลูกชายมาครึ่งวันนี้ซ่งเวยหลันพบว่า ความร่ำรวยมหาศาลของเธอนั้นเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้ว กลับดูจืดชืดไร้ความหมายไปเลย
อย่าว่าแต่ลานบ้านที่มีอากาศสะอาดสดชื่นเลย เงินของเธอนั้นแม้แต่ไขมันคางคกหิมะของแท้สักกล่องหนึ่งก็ยังซื้อไม่ได้ ทำให้ซ่งเวยหลันซึ่งกำลังคิดจะให้เงินทองแก่เยี่ยเทียนเป็นการชดเชยนั้นอดเกิดความรู้สึกล้มเหลวขึ้นมาไม่ได้
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ซ่งเวยหลันวางใจลงได้อย่างแท้จริงเช่นกัน เมื่ออยู่ที่นี่ เธอก็เป็นเพียงมารดาและภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่หญิงแกร่งผู้ทรงอิทธิพลในโลกธุรกิจอีกต่อไป
ค่ำวันนั้น คนในตระกูลเยี่ยมาชุมนุมกันที่บ้านซื่อเหอย่วนของเยี่ยเทียน ความแค้นในอดีตได้สลายไปดั่งหมอกควันพร้อมกับคำขออภัยจากตระกูลซ่งแล้ว เพื่อความสุขของน้องชาย เหล่าผู้หญิงตระกูลเยี่ยจึงยอมรับซ่งเวยหลันเป็นสมาชิกครอบครัวด้วย
และเมื่อซ่งเวยหลันได้พบกับอวี๋ชิงหย่าแล้ว ก็ล้มเลิกความคิดเพ้อฝันของตัวเองไปทันที เธอชอบพออวี๋ชิงหย่าเอามากๆ หยิบเครื่องประดับเพชรชั้นสูงที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วออกมาชุดหนึ่ง แล้วยกให้ลูกสะใภ้ในอนาคตของตัวเอง
ในช่วงหลายวันต่อจากนั้น เยี่ยเทียนอยู่กับมารดาตลอดเวลา เล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ให้แม่ฟัง ความห่างเหินระหว่างสองแม่ลูกก็ค่อยๆ จางหายไป แต่เยี่ยเทียนก็ยังคงไม่สามารถเรียกคำว่า ‘แม่’ ออกมาได้
ช่วงนี้ซ่งเวยหลันเคยพูดถึงเรื่องที่จะให้เยี่ยเทียนรับช่วงดูแลทรัพย์สินมหาศาลที่ต่างประเทศของเธอแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็ปฏิเสธไป
เยี่ยเทียนไม่ได้เลียนแบบอะไรมาจากพรตเฒ่าเลย นอกจากนิสัยรักอิสระตามใจตัวอย่างเดียวเท่านั้น การสืบทอดทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็เท่ากับเป็นการนำบ่วงมาคล้องคอตัวเองไว้อย่างไม่ต้องสงสัย เยี่ยเทียนไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นหรอก
ซ่งเวยหลันก็ไม่ได้บีบบังคับลูกชาย เธอดูออกว่า เยี่ยเทียนค่อนข้างมีนิสัยรักสมถะ ถ้าเขาก้าวเข้าสู่โลกแห่งธุรกิจจริงๆ อาจจะไม่เป็นการดีก็ได้
“เยี่ยเทียน ทำไมหรือ?”
วันนี้ขณะที่ซ่งเวยหลันกำลังอุ้มเหมาโถวพูดคุยกับลูกชายอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็พลันดังขึ้นมาจากในห้องด้านข้าง หลังจากเยี่ยเทียนไปรับโทรศัพท์เสร็จแล้วและเดินกลับออกมา เขาก็ออกจะมีสีหน้าแปลกๆ
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น