หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 530-535
บทที่ 530 หรือเจ้ากำลังร่ำไห้
Ink Stone_Fantasy
ความรู้สึกนั้นทำให้เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย ชายในชุดเกราะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลในตัวเจ้าเด็กร่างอ้วนตรงหน้า แต่ก็คิดว่าเท่านั้น เขายังพอรับไหวอยู่ ดังนั้นจึงพ่นลมเยาะเย้ยออกมา ทำเป็นไม่สนใจเหตุการณ์น่าอับอายเมื่อครู่ และตั้งท่าจะพูดอีกครั้ง
แต่ก่อนที่ชายในชุดเกราะจะได้เอื้อนเอ่ย ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ก็ส่องประกาย
“ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องลำบากเปิดประตูสู่ทุกโลกก็ได้ หากท่านอยากเห็นว่ามีอะไรอยู่บ้าง ก็ให้ข้าช่วยเถิด ข้าจะเปิดทุกสิ่งที่อยู่ในโลกในใจข้าให้ท่านได้เห็นเอง!”
หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาเดาไว้แล้วว่าสถานที่ที่ตน เจ้าเยี่ยเหมิง และจั่วอี้ฟานถูกส่งมา สถานที่ที่เต็มไปด้วยร่างนั่งขัดสมาธิไร้ดวงตามากมายนั้น คือดินแดนแห่งการสืบทอดของสำนักวังเต๋าไพศาล
ตอนนี้เขาคงกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการสืบทอดวิชา ร่างกายของเขาน่าจะกำลังหมดสติ ดวงจิตถูกส่งมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นอกจากนั้น จากที่เขาได้ยินมา หวังเป่าเล่อเดาเอาว่าจิตของเขาคงอยู่ในโลกภายในใจของตนเอง
ชายที่บอกว่าตนเองคือเกราะจักรพรรดินั้น มาเยือนโลกภายในจิตใจของเขาในรูปแบบของภาพฉาย เพื่อที่เขาจะได้ถ่ายทอดวิชาของตนให้ศิษย์รุ่นหลังได้ แต่ข่าวร้ายก็คือ ชายผมดำผู้นี้กลับยโสและชอบดูถูกคนอื่นเกินไปเสียนี่
ในเมื่อนี่มันเป็นโลกภายในใจของข้า ข้าก็ต้องควบคุมมันได้ในระดับหนึ่ง… หวังเป่าเล่อมองร่างโอหังที่แสนทรงพลังเบื้องหน้าตนซึ่งกำลังตกใจอยู่ แล้วก็ยิ้มออกมา เขายกมือทั้งสองข้างขึ้น ชายในชุดเกราะหน้าถอดสีในทันที
“โลกทุกใบ จงเปิดออก!”
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทุกทิศทางเหมือนสายฟ้าพิโรธ รอยแตกปรากฏขึ้นในทันที ก่อนที่โลกของสำนักแห่งความมืดและรูปปั้นตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกเผยออกมาก่อนหน้านี้จะอวดโฉมออกมาอย่างฉับพลับ
เมื่อพลังอันน่าพรั่นพรึงจากดวงดาวแต่ละดวงของสำนักแห่งความมืด และพลังจากรูปปั้นตระกูลไม่รู้สิ้นแพร่กระจายออกมา ท้องฟ้าและผืนดินก็สั่นสะเทือนในทันที พลังทั้งสองทำให้ชายผมดำหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ก่อนที่เขาจะได้ปรับตัวให้ชินกับโลกทั้งสองใบนั้น โลกใบที่สามก็ปรากฏขึ้น
โลกใบนั้นคือโลกที่มีกระดาษยักษ์กางอยู่ ทารกน้อยในภาพวาดไม่ได้เตะตาชายในชุดเกราะแต่อย่างใด แต่เป็นบิดาของนาง ชายผมขาวโพลน ที่ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความกลัวถึงขีดสุด จนต้องกรีดร้องอย่างไร้เสียงด้วยความสยดสยอง
“ดาวมฤตยู! เป็นไปไม่ได้ นี่… นี่มัน…”
ชายผมดำร่างสูงในชุดเกราะขาวพูดไม่เป็นคำ เขากรีดร้องออกมา หัวใจเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายที่พลุ่งพล่านไหลบ่า
หวังเป่าเล่อตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขากะพริบตาปริบก่อนกระแอมกระไอให้โล่งคอ ดวงจิตของชายหนุ่มกลายสภาพเป็นกายเนื้อที่กำลังเอามือไพล่หลัง และพูดอย่างสงบนิ่ง
“หมายถึงพ่อตาข้าหรือ พ่อตาของข้าไม่ชอบให้ใครเรียกท่านว่าดาวมฤตยูหรอกนะ ท่านควรจำใส่ใจเอาไว้ด้วย”
“พะ…พ่อตาเจ้า?” ร่างในชุดเกราะหันควับมาทางหวังเป่าเล่อ สีหน้าเหมือนเพิ่งโดนผีหลอก เขาไม่เชื่อสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด แต่ก็มีหลายอย่างในโลกภายในใจของชายหนุ่มที่เขาไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาจึงยังไม่เชื่อใด และไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะเชื่อด้วย ด้วยเหตุนี้ชายในชุดเกราะจึงคำรามก้อง
“สำนักแห่งความมืดอันยิ่งใหญ่เป็นสำนักที่มีอำนาจสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด ผู้นั้นเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือ แล้วชายผู้ที่มีปราณอยู่เหนือก้าวที่ห้าของการฝึกตนแห่งจักรพิภพเต๋า คือพ่อตาของเจ้าหรือ เจ้า…” ก่อนที่ชายผมดำจะพูดจบ ร่างกายของเขาก็พลันแข็งทื่อ ขณะจ้องหวังเป่าเล่อเหมือนต้องมนต์
ร่างในชุดเกราะเห็นหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้น เปลวไฟสีดำก็อุบัติขึ้นบนฝ่ามือของชายหนุ่ม ไอเย็นแพร่กระจายไปทั่วโลกภายในใจของเขา
“นี่คือเปลวไฟสีดำ ในเมื่อศิษย์พี่รู้จักสำนักแห่งความมืด ศิษย์พี่ก็น่าจะเคยเห็นเปลวไฟสีดำเช่นกันใช่หรือไม่ขอรับ ส่วนข้อกังขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของข้ากับคนรักนั้น…” หวังเป่าเล่อเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ
ทันทีที่ชายหนุ่มท่องบทสวด พลังที่กำเนิดจากก้นบึ้งแห่งจักรวาลอันไกลโพ้นก็เดินทางผ่านระบบสุริยะ ผ่านกระบี่สำริดเขียวโบราณ เข้ามายังโลกภายในใจของหวังเป่าเล่อ พลังนั้นทำให้ทุกสิ่งสั่นสะท้าน ชายในชุดเกราะตื่นตกใจเป็นอันมาก
หวังเป่าเล่อรู้สึกลิงโลดทันทีที่แผนการของตนเองได้ผล แต่เขาก็ทำเป็นเงยหน้าขึ้นเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาโบกมืออีกครั้ง โลกใบสุดท้ายพลันแปรเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อคิดว่าไหนๆ ก็จะเปิดโลกสุดท้ายให้ดูแล้ว เขาก็ควรแสดงหัวใจยักษ์ให้เห็นด้วย เพื่อดูว่าหมอนี่รู้จักหรือไม่
ชายในชุดเกราะเข้าใจว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะทำสิ่งใด ความพรั่นพรึงยังมาไม่ถึงที่ แต่เมื่อโลกใบที่ห้าและหัวใจยักษ์ของหวังเป่าเล่อปรากฏให้เห็นแก่สายตา ชายผู้นั้นก็กรีดร้องเสียงแหลมสูงออกมา จนไม่น่าเชื่อว่าเสียงแสบแก้วหูเช่นนั้นจะออกมาจากร่างสูงกำยำนี้ได้
“นี่… นี่… นี่มันตราบาป!” ร่างในชุดเกราะหายใจหอบเหมือนใกล้ตาย ชุดเกราะบนกายเขาทนแรงกดดันไม่ไหวอีกต่อไปจึงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม และดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจจนไม่อยากเชื่อ ชายร่างสูงหันหลังกลับหวังจะหนี แต่ทันทีที่เขาขยับตัว หัวใจยักษ์ก็สั่นสะเทือนเสียก่อน ชายผู้นั้นแทบจะร้องไห้ออกมา เขาตัวสั่นเทาแต่ก็ไม่กล้าขยับตัว
หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมากเมื่อเห็นว่าชายผู้นี้กลัวหัวใจยักษ์เพียงใด เขากะพริบตาปริบ กระแอมกระไอ ก่อนทำมือคารวะชายตรงหน้า
“ศิษย์พี่ขอรับ ศิษย์น้องได้แสดงโลกภายในใจทั้งหมดให้ท่านได้เห็นแล้ว ท่านยังจะให้คะแนนข้าหนึ่งเต็มสี่อีกหรือไม่ขอรับ”
“ส… สี่เต็มสี่…” ชายผู้ทรงพลังมีสีหน้าขมขื่นขณะมองหัวใจยักษ์ ม้วนกระดาษ จากนั้นก็เหลียวมองสำนักแห่งความมืด และจ้องไปยังทิศของตระกูลไม่รู้สิ้น สี่คะแนนเป็นสิ่งเดียวที่เขากล้าพูดออกมา
“ขอบคุณสำหรับคำชมขอรับศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้ท่านพูดถึงกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ… แต่แค่วิชาแรกดูเหมือนจะน้อยเกินไปนะขอรับ…”
“เจ้าเอาไป เอาไปให้หมดเลย!” ร่างสูงแทบจะระเบิดร้องไห้ออกมา เขายกมือขวาขึ้นทำผนึก และชี้นิ้วชี้ออกไปเบื้องหน้า ลำแสงสีแดงส่องสว่างจากปลายนิ้วของเขา พุ่งตรงมาหาหวังเป่าเล่อ หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตของชายหนุ่ม
ขณะที่วิชาสืบทอดกำลังแทรกซึมเข้าสมองของชายหนุ่ม ดวงจิตของเขาก็สั่นสะท้าน ความรู้มากมายไหลเข้าหัวจนเหมือนน้ำท่วมทะลัก โลกภายในใจของเขาทานทนไม่ไหวจนถึงกับสลายหายไป เมื่อโลกของเขาสลายไป ร่างสูงทรงอำนาจก็เป็นอิสระ สีหน้าของเขาดูน่าเวทนา เขาหันมามองหวังเป่าเล่ออย่างโกรธๆ ก่อนหนีไปพร้อมความกลัวและความรู้สึกอับจนหนทาง
ชายผู้ทรงพลังไม่พอใจที่ตนเองต้องส่งต่อวิชาทั้งหมดให้หวังเป่าเล่อไปเสียอย่างนั้น ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามอบวิชาทั้งหมดให้ศิษย์ที่ตนเลือก แต่เมื่อเขาคิดถึงภูมิหลังของหวังเป่าเล่อ ชายร่างสูงก็ทำได้เพียงถอนใจออกมา พลางคิดว่าตนไม่น่าพลาดมาเลือกไอ้หมอนี่เลย
ข้าเป็นแค่ภาพฉายเองนะ มันตั้งใจข่มเหงกันชัดๆ!
ขณะที่เขากำลังรู้สึกสงสารตัวเองจับใจอยู่นั้น ชายร่างสูงผมดำเจ้าของชุดเกราะก็ค่อยๆ สลายหายไป โลกในใจของหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน โลกนั้นจางไปเรื่อยๆ ขณะที่วิชาซึมซาบเข้าสมองชายหนุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้น กลายเป็นเพียงพื้นที่โล่งว่างเปล่า มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ในความว่างเปล่านั้น พยายามย่อยข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาในสมอง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ก่อนที่ฉากสีดำบนท้องฟ้าจะเคลื่อนหายไป รอยแตกสีแดงสามรอยกลับมาเปล่งแสงอีกครั้ง แสงสีแดงตกกระทบพื้นสีดำสนิท ส่องร่างทั้งสามที่สลบไสลอยู่บนพื้น หวังเป่าเล่อตัวสั่น ก่อนค่อยๆ ลืมตาตื่น
เขางุนงงในตอนแรก แต่ก็ผุดตัวลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มมองไปรอบๆ แล้วเห็นว่าตนเองยังอยู่ในดินแดนที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ร่างที่นั่งขัดสมาธิรายล้อมหายไปหมดแล้ว หลังจากที่มองจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง และเห็นว่าทั้งสองยังดูปกติครบสามสิบสองดี เพียงแต่ยังหลับอยู่เท่านั้น ชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อดคิดถึงสิ่งที่ตนเองเจอมาขณะอยู่ในโลกภายในใจไม่ได้ สีหน้าเริ่มปุเลี่ยนประหลาดขึ้นมาในทันที
“เกราะจักรพรรดิ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ วิชาครบสมบูรณ์จากเทพเจ้าองค์นั้นอัดแน่นอยู่เต็มหัว ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดตนเองนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็ลืมตาตื่นขึ้น นางลุกขึ้นนั่ง แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง ตอนนั้นเองจั่วอี้ฟานก็ลืมตาตื่นขึ้นเช่นกัน
ทั้งสามหันมามองหน้ากันอยู่พักใหญ่ หวังเป่าเล่อทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงชิงถามขึ้นมาก่อน
“พวกเจ้า… ได้วิชาสืบทอดมาหรือไม่”
“ข้ารู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในความฝัน ในฝันนั้นมีสุสานอาวุธ ข้าพบอาจารย์ของข้า ท่านมอบวิชาให้แก่ข้า…” จั่วอี้ฟานพูดเสียงแผ่วหลังจากคิดอยู่สักพัก ดวงตายังเต็มไปด้วยความสับสน
“ข้าจำวิชาที่อาจารย์สอนได้ นามของมันคือ… กระบวนเวทอาวุธเทพจำแลงเก้าศาสตร์! แต่นางสอนข้าแค่สามศาสตร์เท่านั้น!” ดวงตาของจั่วอี้ฟานกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง ชายหนุ่มหายใจเร็ว ขณะมองหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิง
สตรีหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้นวดหว่างคิ้วของตนเอง ราวกับกำลังพยายามรำลึกถึงอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปสักพักนางก็พยักหน้า และพูดเสียงแผ่ว
“ข้าเองก็เจอสถานการณ์แบบเดียวกัน ข้าพบต้นไม้ยักษ์โบราณท่ามกลางทะเลเพลิงในจักรวาลอ้างว้าง ต้นไม้นั้นเรียกตนเองว่านภาพินาศ และรับข้าเข้าเป็นศิษย์ จากนั้นก็ถ่ายทอดวิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณให้กับข้า!”
“แต่วิชาที่ข้าได้มาก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน…” ประกายประหลาดวาบเข้ามาในดวงตาเจ้าเยี่ยเหมิง พลังปราณของนางพัฒนาขึ้นด้วยวิชาใหม่ที่ได้ร่ำเรียนมาในความฝัน จนบรรลุปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นแบบชั้นสมบูรณ์ เหลืออีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น นางก็จะก้าวไปสู่ปราณขั้นกำเนิดแก่นใน
“ที่แห่งนี้… หาใช่ดินแดนอันตรายไม่ หากแต่คือดินแดนแห่งการสืบทอด!” ในที่สุดเจ้าเยี่ยเหมิงก็หายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า ชัดถ้อยชัดคำ
บทที่ 531 มาหาพ่อมา
Ink Stone_Fantasy
“วิชาที่ข้าได้รับมา… ชื่อเกราะจักรพรรดิ!” หลังจากที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของวิชาที่จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับมา หวังเป่าเล่อก็บอกเรื่องของตนเองแก่สหายเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกในใจระหว่างตนเองและชายในชุดเกราะแต่อย่างใด…
เพราะในความเป็นจริง แม้เขาจะยังกลัวสิ่งที่อยู่ในโลกในใจ แต่ก็เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีเพียงใด หากไม่มีโชค ตัวเขาเองก็คงไม่ต่างกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เท่าใดนัก
หวังเป่าเล่อยิ้มย่ามอยู่คนเดียวในใจ แต่ก็ไม่กล้าบอกคนอื่นถึงความลับของตน ทั้งสามมองไปรอบๆ กาย และใช้โอกาสจากการที่ร่างไร้ดวงตาเหล่านั้นหายไปหมดพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แม้จั่วอี้ฟานจะยังคงบาดเจ็บอยู่ แต่การเผชิญหน้ากับอาจารย์คนใหม่ในโลกในใจ ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้มาก เขาไม่ต้องขี่หลังหวังเป่าเล่ออีกต่อไปแล้ว และตอนที่จั่วอี้ฟานเร่งความเร็วขึ้น พลันมีแสงสว่างเย็นเรืองเหมือนเหล็กกล้าปรากฏขึ้นที่แทบเท้า ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วของเขาขึ้นไปอีก เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน ดวงตาของนางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนที่จะสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อเพิ่มความเร็วของพวกเขาให้มากขึ้น
หวังเป่าเล่อประหลาดใจกับพัฒนาการของทั้งสอง จนเริ่มคิดถึงวิชาเกราะจักรพรรดิที่ตนได้รับสืบทอดมา วิชาที่เขาได้มานี้ดูแปลกประหลาด หวังเป่าเล่อลองวิเคราะห์ดูก็คิดได้ว่า วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่เขาจะบรรลุได้ง่ายๆ ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เขายังไม่กระจ่างแจ้ง
หรือเป็นเพราะโลกภายในใจของข้าเล่นงานเจ้านั่นหนักเกินไป เจ้าจักรพรรดิน้อยจึงตั้งใจทำให้ข้าไม่บรรลุวิชาอย่างถ่องแท้ หวังเป่าเล่อเริ่มเคลือบแคลงขึ้นมาในทันที ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เขาพ่นลมเยาะเย้ยออกทางจมูก ก่อนพึมพำในใจคนเดียวว่า ด้วยความสามารถระดับสูงอย่างข้า แค่ถือสันโดษเพื่อฝึกวิชาไม่นานก็คงพิชิตวิชานี้ได้ไม่ยากเย็นอะไร
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ผ่อนคลายมากขึ้น ชายหนุ่มพุ่งไปข้างหน้าต่อท่ามกลางผืนดินสีดำสนิท พร้อมด้วยสองสหายจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งสามไม่แม้แต่จะชะลอความเร็วหรือหยุดพัก ไม่รู้ว่าพวกเขาออกเดินทางกันมานานเท่าใด และเมื่อร่างที่นั่งขัดสมาธิเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง พื้นดินแทบเท้าของพวกเขาก็ไม่ใช่สีดำอีกต่อไป หากแต่เปลี่ยนเป็นสีขาว!
พื้นสีขาวนี้ตรงกันข้ามกับพื้นสีดำสนิทก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน แต่ร่างไร้ดวงตาเหล่านั้นยังดูเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ทันทีที่ร่างเหล่านี้ปรากฏขึ้น พวกเขาก็จ้องทั้งสามด้วยเบ้ากลวงโบ๋ไร้ลูกตา ต่างมองตามพวกเขาที่เคลื่อนผ่านไปไม่วางตา
ทว่าหลังจากที่ผ่านประสบการณ์การถ่ายทอดวิชามาก่อนหน้านี้ ทั้งสามก็คุ้นชินกับร่างเหล่านี้ จึงไม่ตกใจเหมือนที่เคย โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อที่รู้สึกว่าบริเวณที่พวกเขาอยู่นี้ไม่ได้มีอันตรายอีกต่อไป ปัญหาเดียวที่พวกเขาเผชิญตอนนี้คือดินแดนแห่งการสืบทอดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้กว้างใหญ่เกินไป หลายวันหลังจากที่พวกเขาก้าวออกจากพื้นที่สีขาว ฉากสีดำก็เข้าปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง บดบังทุกสิ่งให้มืดมิดดำสนิท ลำแสงสีแดงจากรอยแตกสามรอยบนท้องฟ้าดับลง
หลังจากที่ท้องฟ้าและพื้นดินกลายเป็นสีดำสนิท เสียงพึมพำก็เข้าครองจิตใจของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงอีกครั้ง ร่างของทั้งสองสั่นเทา สติดับวูบลงอีกครา มีเพียงหวังเป่าเล่อที่ยังคงยืนดูทั้งสองอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์ เขาไม่ได้ยินเสียงพึมพำในหู และยังเข้าไปในโลกภายในใจของตนไม่ได้อีกด้วย แม้กระทั่งร่างที่ขัดสมาธิอยู่รอบกายยังทำท่าแหยงไม่กล้าเข้าใกล้ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอับจนเป็นอันมาก
อะไรกันนี่ เมินข้าเช่นนั้นหรือ นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ ! หวังเป่าเล่อไม่พอใจถึงขีดสุด เขานึกถึงโลกภายในใจอันแข็งแกร่งของตนเอง แล้วก็ตัดสินใจว่าในเมื่อไม่มีภาพฉายตนใดเลือกเขา เขาผู้ซึ่งแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ควรจะเป็นผู้เลือกวิชาด้วยตนเอง ชายหนุ่มกะพริบตา ก่อนจะระเบิดความเร็วขึ้นเพื่อพุ่งเข้าจับร่างๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว
อาจเป็นเพราะฉากสีดำที่เข้าปกคลุมทั่วดินแดนแห่งการสืบทอดก็เป็นได้ ที่ทำให้เขาจับตัวภาพฉายเหล่านี้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้ จิตใจของหวังเป่าเล่อปั่นป่วน ก่อนที่สติจะดับวูบและกลับไปยังโลกภายในใจของเขาอีกครั้ง
ไม่นานนักร่างที่มีสีหน้าบูดบึ้งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา เสียงขุ่นดังก้องไปทั่วโลกภายในใจของชายหนุ่ม
“ข้าไม่ได้เลือกเจ้า เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้วิชาจากข้าไป!”
ทันทีที่ร่างนั้นประกาศ หวังเป่าเล่อก็กระแอมกระไอ ก่อนเปิดโลกในใจทั้งห้าออกพร้อมๆ กันโดยการโบกมือเพียงครั้งเดียว เสียงกรีดร้องแหลมสูงเสียวสันหลังดังขึ้นทันที เสียงที่เต็มไปด้วยความกลัวนั้นก้องสะท้อนไปทั่วโลกภายในใจของหวังเป่าเล่อ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ก่อนที่ฉากสีดำซึ่งบดบังท้องฟ้าไว้จะเปิดออก หวังเป่าเล่อและสหายลืมตาตื่นขึ้นจากนิทราอีกครั้ง ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างได้รับถ่ายทอดวิชาของตนมากขึ้นกว่าคราวก่อนอย่างชัดเจน
จากการสอบถามได้ความว่า ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเข้าไปยังโลกภายในใจที่เคยเข้าไปก่อนหน้านี้ และได้พบอาจารย์คนเดิมที่ช่วยสอนวิชาต่อจากเมื่อครั้งก่อน หวังเป่าเล่อโศกเศร้าอยู่คนเดียวในใจที่ตนเองได้รับการปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองชั้นสองจากเหล่าภาพฉาย ชายในชุดเกราะเจ้าของวิชาเกราะจักรพรรดิของเขาขี้ขลาดซ้ำยังคิดเล็กคิดน้อยเสียจนไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่โดนเขาข่มจนกลัวเปิดเปิงไป
ช่างหัวมันปะไร ถ้าไม่มาข้าก็เลือกวิชาอื่นเอาก็ได้ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจกับความคิดนี้ เฝ้ารอวันที่จะได้คว้าร่างเหล่านั้นเอาไว้เพื่อบังคับให้ถ่ายทอดวิชาอีกอย่างใจจดใจจ่อ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงประโยชน์ของการอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไป พวกเขาจึงตกลงว่าจะชะลอการเดินทางกลับออกไปก่อน ทั้งสามต้องการบรรลุวิชาที่ตนได้รับมาให้เรียบร้อยสมบูรณ์ เนื่องจากนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสหายของหวังเป่าเล่อทั้งสอง
ตัวหวังเป่าเล่อเองก็เห็นด้วยกันการตัดสินใจนั้น เขาตบบ่าจั่วอี้ฟานด้วยสายตาตื่นเต้นคาดหวัง
“อี้ฟาน ความคิดของเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก เรามาอยู่ที่นี่กันจนกว่าจะบรรลุขั้นปราณเถิด ฮ่า ข้าว่าที่แห่งนี้เป็นมันเหมือนคลังสมบัติสำหรับพวกเราเลย” ดวงตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความคาดหวัง จั่วอี้ฟานไม่ได้คิดอะไรมากนักกับภาพตรงหน้า แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มตงิดได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่นางก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อในดินแดนแห่งการสืบทอดนี้ผิดแผกแปลกประหลาดเพียงใด…
เหตุการณ์จึงดำเนินไปเช่นนั้นเรื่อยมา ร่างขัดสมาธิปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเมื่อฉากสีดำเข้าบดบังทั่วทั้งบริเวณจนมืดมิด จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็เข้าสู่โลกภายในใจของตนอีกครั้ง ทันทีที่ทั้งสองหมดสติลง ความคิดชั่วร้ายก็เข้าครอบงำจิตใจของหวังเป่าเล่อในทันที เขากระโจนไปในอากาศพร้อมดวงตาที่ทอแสงจ้า
“เจ้าพวกวิชาตัวน้อย บิดาเจ้าอยู่นี่แล้ว!” หวังเป่าเล่อตะโกนด้วยความตื่นเต้น ก่อนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มกำลัง และคว้าร่างหนึ่งที่กำลังขัดสมาธิอยู่ในทันที ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก ก่อนฉุดร่างนั้นลอยหนีไป หลังจากคว้าร่างเอาไว้ได้ทั้งหมดแปดร่าง ในที่สุดเขาก็พอใจ และเริ่มรวมร่างทั้งหมดเข้าด้วยกันทันที
ทันใดนั้น จิตใจของเขาก็ปั่นป่วนด้วยอำนาจแห่งดินแดนนี้ ร่างหลายร่างปรากฏขึ้นในโลกภายในใจ…
ทั้งสามใช้ชีวิตในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงบรรลุวิชาในที่สุดหลังจากที่สลบไปครบทั้งหมดหกครั้งด้วยกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มสงสัยพฤติกรรมของหวังเป่าเล่อมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแววความกระหายในดวงตาของชายหนุ่มนั้นรุนแรงเกินไป ไม่จบเพียงเท่านั้น จั่วอี้ฟานเองก็เริ่มสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะว่า… ระหว่างที่ทั้งสามกำลังรอให้ฉากสีดำกลับมาอีกครั้ง จำนวนของร่างขัดสมาธิที่ปรากฏขึ้นกลับลดน้อยลงทุกครั้ง!
“หวังเป่าเล่อ เจ้ากำลังปิดบังอะไรพวกเราหรือไม่” หลังจากที่ชายหนุ่มได้รับถ่ายทอดวิชามาสองรอบ และเริ่มรู้สึกได้ว่าร่างขัดสมาธิรอบกายจากที่เคยมีมากมายนับไม่ถ้วนกลับหดหายไปกว่าครึ่ง จั่วอี้ฟานจึงเอ่ยฝากถามหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าประหลาด
“จะเป็นไปได้อย่างไร อย่าคิดมากเลยน่าสหาย ทุกอย่างเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว พวกเจ้าทั้งสองตั้งหน้าตั้งตาฝึกวิชากับอาจารย์ไปเถิด ที่นี่นี่ช่างดีเสียจริง” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าพั่บๆ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหันมาจ้องเขาเขม็ง
“เหมือนเดิมเช่นนั้นหรือ ดูร่างเหล่านี้เสียก่อนสิ พวกเขาไม่ได้ยิ้มให้เราอีกแล้ว แถมยังกลัวเจ้าอย่างเห็นได้ชัด มีบางตนดูเหมือนเพิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายมา บางตนก็ตัวสั่นงันงก! ต้องมีบางอย่างทำให้พวกเขาไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นแน่ แถมข้าว่ามีหลายตนที่คงหลบหนีเอาชีวิตรอดไปแล้วด้วย หวังเป่าเล่อ บอกมาเดี๋ยวนี้ เกิดอาเพศอันใดขึ้นกันแน่”
“พวกนั้นไม่กล้ามองข้าเช่นนั้นหรือ ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียว” หวังเป่าเล่อแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาลุกขึ้นยืน เพื่อจะเดินไปหาร่างหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้าไปใกล้พอ เพียงแค่เห็นหวังเป่าเล่อยืนขึ้น ร่างที่ห่างออกไปสามร้อยเมตรนั้นก็หายตัวไปในทันที ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ร่างอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ร่างที่เป็นเป้าหมายในตอนแรกก็หายตัวไปเช่นกัน ส่วนร่างที่ยังคงปักหลักอยู่นั้นอยู่ไกลออกไปมาก จนเห็นเป็นเพียงภาพรางๆ เท่านั้น…
“ไม่เห็นจะต้องอ่อนไหวขนาดนี้เลย ฉากสีดำยังไม่ปรากฏด้วยซ้ำ…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ ก่อนหันไปมองสหายทั้งสองด้วยสีหน้าอับอาย
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทำให้หลายร่างพากันหนีตายจ้าละหวั่นทันทีที่ฉากสีดำเข้าปกคลุม หวังเป่าเล่อจึงต้องพยายามมากขึ้นในการจับตัวภาพฉายเหล่านี้เอาไว้
“เป่าเล่อ ตอนที่ข้าอยู่ในโลกภายในใจของข้านั้น ท่านอาจารย์บอกกับข้าว่า… มีบุคคลไร้ยางอายที่ชอบเรียกตนเองว่าบิดาปรากฏตัวขึ้น ท่านอาจารย์น่าจะหมายถึงเจ้า ไม่ใช่หรือ…” จั่วอี้ฟานลังเล ก่อนเอ่ยปากถามสหายข้างกายตนช้าๆ
บทที่ 532 บิดาเจ้าโกรธแล้ว
Ink Stone_Fantasy
“อี้ฟาน เราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมิใช่หรือ ข้า หวังเป่าเล่อคนนี้มีศีลธรรมพอ ไม่ใช่ผู้ไร้ยางอายอย่างแน่นอน!” หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกละอายใจ แต่ยิ่งละอายมากเท่าใด เขาก็ยิ่งพยายามยืดตัวขึ้นให้อกผายไหล่ผึ่งมากเท่านั้น ตอนที่มองจั่วอี้ฟาน สายตาของเขากระจ่างใสยิ่งนัก
สายตานั้นทำให้จั่วอี้ฟานสั่นคลอนไปชั่วขณะ เจ้าเยี่ยเหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลอกตาใส่หวังเป่าเล่อ แต่ตัวนางเองก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงเลิกสนใจเรื่องนี้ จั่วอี้ฟานเองก็เช่นกัน หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีกต่อไป
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ก่อนกระแอมกระไอให้คอโล่ง เขาบอกกับตนเองว่าจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะเขาอยากปิดบังเพื่อนทั้งสอง แต่เป็นเพราะโลกภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความลับมากมายหลายเรื่องเกินไป
เป็นเพราะไอ้เจ้าวิชาตัวเล็กตัวน้อยพวกนั้นทีเดียวเชียว ข้าต้องจัดการสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว รอให้ฉากสีดำกลับมาอีกครั้งก่อนเถิด จะได้รู้เสียบ้างว่าทำให้บิดาคนนี้โกรธแล้วต้องเจออะไร! หวังเป่าเล่อเยาะเย้ยในใจ ก่อนนั่งลงขัดสมาธิเฝ้ารอเวลา เมื่อฉากสีดำมาเยือน จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็กลับเข้าสู่วังวนแห่งการฝึกวิชาอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อกระโจนขึ้นตะโกนด่าทันที
“พวกวิชาตัวจ้อยทั้งหลาย เจ้ากล้าเอาข้าไปนินทาเช่นนั้นหรือ บิดาเจ้าคนนี้โกรธแล้วนะ!” หวังเป่าเล่อทะยานออกไปข้างหน้าพร้อมประกาศก้อง แม้ร่างเหล่านั้นจะรีบหลบหนีไป แต่หวังเป่าเล่อมีประสบการณ์การจับตัวพวกเขาเหล่านี้มามาก จึงรีบกระโจนออกไปด้วยความเร็ว ในที่สุดเขาก็จับร่างหนึ่งเอาไว้ได้ด้วยความยากลำบาก ในตอนที่ฉากสีดำกำลังจะหายไปพอดี
ร่างนั้นเป็นชายชราผู้หนึ่ง หลังจากที่เข้ามาในโลกภายในใจของหวังเป่าเล่อเรียบร้อย เขาก็มีสีหน้าอับจนหนทาง ชายชราผู้นั้นมอบวิชาของตนให้หวังเป่าเล่อหลังจากที่ถูกข่มขู่ไปรอบหนึ่ง และรีบหนีหายไปในทันที
เหตุการณ์นี้ทำให้หลังจากที่ฉากสีดำสลายไปเรียบร้อย ก็ไม่มีร่างใดกล้าปรากฏกายต่อหน้าหวังเป่าเล่อและสหายอีกเลย…
ในที่สุดการเดินทางเพื่อบรรลุวิชาก็ปิดฉากลง จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับวิชามาอย่างครบถ้วนกระบวนความ ความรู้สึกที่ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในใจของทั้งสอง
ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินทางออกจากที่แห่งนี้ไป บรรดาร่างที่ไม่เคยปรากฏกายมาก่อนก็เผยตัวขึ้น พวกเขากังวลว่าทั้งสามจะหลงทาง และใช้เวลาวนไปวนมาในดินแดนแห่งนี้นานเกินไป จึงมาเพื่อบอกทางแก่คนทั้งสามเป็นครั้งคราว สิ่งที่ทำให้จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงหมดซึ่งคำพูดก็คือ ทุกครั้งที่ร่างเหล่านั้นปรากฏตัว พวกเขาจะตัวสั่นงันงก ราวกับตั้งท่าจะหลบหนีไปทันทีที่สัมผัสได้ว่ากำลังจะเกิดเหตุร้าย
“พวกเราน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าว่าจะมากไปหน่อยแล้วกระมัง” หวังเป่าเล่อรู้สึกเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนจั่วอี้ฟานก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เหนื่อยใจมากเช่นกัน นางคิดว่าไม่ว่าจะดูอย่างไรร่างเหล่านั้นก็กลัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่ควรเอาพวกเขาทั้งสองไปเหมารวมด้วยเช่นนี้
ด้วยการนำทางจากเหล่าภาพฉาย ในที่สุดทั้งสามก็เดินทางมาถึงบริเวณเขตแดนของดินแดนแห่งการสืบทอด!
ผ่านเส้นเขตแดนนี้ไปจะเป็นทะเลเพลิงและเทือกเขาสูงเสียดฟ้า เศษซากของตำหนักมากมายลอยล่องอยู่ ภาพที่คุ้นชินนี้เป็นสัญญาณว่าพวกเขาทั้งสามกำลังจะออกจากพื้นที่ปลอดภัยนี้ไปแล้ว
เมื่อเทียบระหว่างดินแดนแห่งการสืบทอดและทะเลเพลิงเบื้องหน้า จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็รู้สึกว่าที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เป็นอาณาเขตปลอดภัยของบริเวณตัวกระบี่
ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่าจะเป็นหมากสำคัญในเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้เจ้าเยี่ยเหมิงจึงถามหวังเป่าเล่ออย่างตรงไปตรงมา หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก
“เป่าเล่อ บอกพวกเรามาตามตรง หากพวกเราอยู่ในดินแดนแห่งการสืบทอดนี้ต่อ จะปลอดภัยกว่าหรือไม่”
เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าจริงจังเพียงใด หวังเป่าเล่อก็หยุดคิด ก่อนมองไปรอบๆ ตัวและพยักหน้ายืนยัน
“ปลอดภัยกว่าแน่นอนเมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ข้างนอก หากเจ้าพวกนี้กล้าส่งเสียงแม้แต่สักแอะ ข้าจะจัดการให้เอง” แววความโอหังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็ควรปักหลักอยู่ที่นั่นกันก่อน ข้ารู้สึกได้ว่า หลังจากที่ได้วิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณฉบับสมบูรณ์มา พลังปราณของข้าก็ใกล้จะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ทุกเมื่อแล้ว!” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดหายใจเข้าลึก จั่วอี้ฟานที่ยืนอยู่ข้างกายนางพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าเองก็เช่นกัน ข้ามั่นใจว่าตนเองจะบรรลุปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ได้ หากมีเวลาฝึกอีกสักพัก!”
“เมื่อจั่วอี้ฟานและข้าบรรลุขั้นปราณ พวกเราก็จะปลอดภัยกว่าเดิมตอนเดินทางกลับ เป่าเล่อ เจ้าเองก็เช่นกันใช่หรือไม่” เจ้าเยี่ยเหมิงหันมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
ในความเป็นจริงแล้ว หวังเป่าเล่อเป็นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากการอยู่ในดินแดนแห่งนี้ เขารู้สึกได้เช่นกันว่าพลังปราณของตนส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ไปเป็นชั้นกลางในเร็วๆ นี้
สิ่งที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูดถูกต้องทุกอย่าง โลกภายนอกนั้นอันตรายมาก หากพวกเขาบรรลุขั้นปราณได้ก่อนเดินทางออกไป จะเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยกว่าอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หลังจากเงียบคิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าสงสัยว่าคราวนี้พวกเราจะต้องถือสันโดษกันนานเพียงใด เรามาจัดการสิ่งของที่ได้มาจากถ้ำที่พักก่อนหน้านี้กันก่อนเถิด ข้าได้โอสถมามากมายหลายชนิดอยู่ อาจมีบางสิ่งที่ช่วยให้พวกเราบรรลุขั้นปราณได้ง่ายขึ้นก็เป็นได้” จั่วอี้ฟานเอ่ย ก่อนหยิบสิ่งของที่ได้มาจากตำหนักออกมาวาง
สหายทั้งสามไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอันมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาจึงไม่ได้จัดการแบ่งทรัพย์สมบัติที่ได้มากันเลย เมื่อได้รับวิชาใหม่มาเรียบร้อย และเห็นทางออกจากดินแดนแห่งนี้อยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งพลังปราณก็ใกล้จะบรรลุ พวกเขาทั้งสามจึงเพิ่งมานั่งคิดถึงสิ่งที่ตนเองหยิบจับมาได้ก่อนหน้านี้
เจ้าเยี่ยเหมิงพยักหน้า ก่อนหยิบสิ่งของที่ตนเองได้รับมาออกมาวางเช่นกัน หวังเป่าเล่อเองก็ด้วย ของชิ้นใหญ่ที่เขาได้มานอกจากตราประจำตัวของศิษย์สืบทอดแล้ว คือร่างไร้วิญญาณของเจ้าของตรานั่นเอง
“ศพนี้มีกระเป๋าคลังเก็บติดอยู่…” หวังเป่าเล่อพูด ก่อนหยิบกระเป๋าออกจากตัวศพ เขาค้นสิ่งของต่างๆ ดูและพบสร้อยสีหม่นเส้นหนึ่งอยู่รอบคอศพ
หลังจากที่ทั้งสามนำสิ่งของมากองรวมกันหมดเรียบร้อย ก็เริ่มจัดสิ่งของเหล่านั้นออกตามประเภท ระหว่างที่กำลังจัดของอยู่นั้น อารมณ์ของทั้งสามก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของที่ได้มาของแต่ละคนว่าเยอะแล้ว แต่เมื่อนำมารวมกัน แม้แต่คนจิตใจสงบนิ่งอย่างเจ้าเยี่ยเหมิง ยังแทบปิดความตื่นเต้นในใจเอาไว้ไม่อยู่
เมื่อจัดของเสร็จเรียบร้อย ทั้งสามก็หันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างสังเกตเห็นแววความตื่นเต้นดีใจในดวงตาของสหาย
“พวกเรารวยเละแล้ว!” หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก ก่อนมองทรัพย์สินที่อยู่ตรงหน้า มีตราประจำตัวอยู่ทั้งหมดห้าสิบตรา ในห้าสิบตรานั้น มีตราประจำตัวของศิษย์สืบทอดหนึ่งตรา ตราของศิษย์สำนักในสามตรา ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นของศิษย์สำนักนอก แค่ตราประจำตัวทั้งหมดที่พวกเขาหามาได้ก็มูลค่าสามหมื่นแต้มการรบแล้ว
นอกจากนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงยังได้สมบัติเวทมาสามชิ้น ทั้งหมดอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ประกอบไปด้วยหอกสีดำสนิท เข็มทิศ และแถบผ้าขนาดใหญ่!
หวังเป่าเล่อวิเคราะห์สมบัติเวทเหล่านั้น และพบว่าเข็มทิศและแถบผ้ายักษ์นั้นมีพลังเทียบเท่าอาวุธเวทระดับแปด! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สมบัติเวทเหล่านั้นยังเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ หวังเป่าเล่อเพียงแค่ต้องซ่อมเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถนำมาใช้งานได้ทันที!
ส่วนหอกสีดำนั้นทำให้ทั้งสามประหลาดใจที่สุด เพราะมันเป็นอาวุธเวทระดับเก้า!
แต่หอกนั้นสภาพย่ำแย่กว่าอีกสองชิ้นมาก ต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรมากมายในการซ่อมแซม นอกจากสมบัติเวททั้งสามชิ้นแล้ว ยังมีขวดโอสถอีกสามสิบขวด โอสถบำรุงและวัตถุดิบในการหลอมมากมาย ซึ่งทั้งสามไม่รู้จัก
ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนน้อยจากของที่พวกเขาหามาได้ จั่วอี้ฟานได้แผ่นหยกสามแผ่นที่มีกระบวนเวทบันทึกอยู่ แม้จะเทียบชั้นไม่ได้กับสิ่งที่พวกเขาทั้งสามได้รับมาจากภาพฉาย แต่หวังเป่าเล่อที่เคยเข้าไปเยือนหอตำรากระบวนเวทไพศาล ก็จำได้ว่ากระบวนเวทเหล่านี้มีมูลค่าราวห้าพันแต้มการรบสำหรับแต่ละกระบวนเวท
นอกจากนี้ยังมีกระบวนเวทวงแหวนปราณที่ชื่อว่า วงแหวนปราณแสงส่องดารา ด้วย!
มูลค่าของสิ่งของเหล่านี้ยากที่จะประเมิน แต่ในที่สุดทั้งสามก็เจอสิ่งที่ทรงคุณค่ามากกว่าทุกอย่างที่พวกเขาได้มาทั้งหมดรวมกันเสียอีก!
สิ่งนั้นคือสร้อยจากคอของศิษย์สืบทอดที่หวังเป่าเล่อหยิบมาได้ สร้อยนั้นไม่ใช่สมบัติเวท หากแต่เป็นที่เก็บของประเภทหนึ่ง ซึ่งมีหนังอสูรบรรจุอยู่ในนั้น!
เมื่อหยิบหนังอสูรออกมาจากสร้อยคอ พลังความเก่าแก่โบราณอันล้ำลึกก็แพร่กระจายออกมาจนทุกคนรู้สึกได้ แล้วพอกางหนังอสูรออก พวกเขาก็พบสูตรการหลอมอาวุธเทพ!
“สูตรการหลอมอาวุธเทพ!” แม้แต่ผู้ที่สงบเหมือนน้ำนิ่งอย่างเจ้าเยี่ยเหมิงยังอดอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจไม่ได้ จั่วอี้ฟานจิตใจสั่นสะท้าน ส่วนหวังเป่าเล่อตาแถบถลนออกจากเบ้า พลางมองหนังอสูรด้วยความตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว
อาวุธเทพ… สมบัติที่มีอยู่ชิ้นเดียวในสหพันธรัฐ แม้หวังเป่าเล่อจะครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืด ที่เป็นอาวุธเทพเช่นกัน แต่อาวุธเทพของเขาก็เสียหายหนัก กว่าจะซ่อมได้คงเลือดตาแทบกระเด็น
กระนั้นด้วยความที่เขาเป็นผู้ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืด ชายหนุ่มจึงรู้ดีกว่าใคร ว่าสิ่งที่เรียกว่าอาวุธเทพนั้นทรงพลังเหนือจินตนาการเพียงใด!
บทที่ 533 ต่างคนต่างบรรลุ!
Ink Stone_Fantasy
หนังอสูรที่บันทึกสูตรการหลอมอาวุธเทพเอาไว้นั้น น่าจะเหลือรอดมาได้แม้ผ่านสภาพแวดล้อมโหดร้ายแสนสาหัส เพราะคุณสมบัติพิเศษในการรักษาสภาพเดิมของหนัง หลังจากที่ทั้งสามอ่านดูเรียบร้อย ก็ต่างคัดลอกเก็บไว้คนละชุด
จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงวางหนังอสูรต้นฉบับไว้บนมือของหวังเป่าเล่อ เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวท พวกเขาคัดลอกเอาไว้เพียงเพราะสูตรการหลอมอาวุธเทพมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้าในอนาคตเท่านั้น เนื่องจากต่อให้มีสูตรบอกก็ยังยากที่จะหลอมได้ หากไม่มีความชำนาญ
นอกจากนี้จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงยังพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาทั้งสองต้องการโอสถจำนวนมาก เนื่องจากอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุ แต่ก็ยังต้องการปัจจัยเสริมภายนอกในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ โดยเฉพาะจั่วอี้ฟานที่ต้องการสิ่งนี้มากกว่าใครเพื่อน ดังนั้นตอนที่ทั้งสามแบ่งโอสถกัน จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงจึงได้โอสถส่วนใหญ่ไป ส่วนหวังเป่าเล่อหยิบไปแค่พอสำหรับการฝึกปราณในคราวนี้เท่านั้น
ต่อมาคือการแบ่งตราประจำตัว จั่วอี้ฟานมองหน้าหวังเป่าเล่อแล้วยิ้มออกมา ก่อนตัดสินใจสละสิทธิ์ในส่วนของตน เขารู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถมากพอที่จะแข่งขันเรื่องการส่งวิชากลับโลก และก็ยังรู้ดีว่าความฝันของหวังเป่าเล่อคืออะไร จึงตัดสินใจช่วยเหลือสหายของตนในการทำฝันนั้นให้เป็นจริง
เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน นางไม่แม้แต่จะมองตราประจำตัวเหล่านั้นด้วยซ้ำ ทำเพียงโยนส่งๆ ให้หวังเป่าเล่อเท่านั้น หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอันมากกับปฏิกิริยาของสหาย เพราะกำลังคิดอยู่เลยว่าจะพูดอย่างไร เนื่องจากต่อให้พวกเขาเป็นสหายที่ดีต่อกัน เรื่องเงินทองก็ไม่เข้าใครออกใคร
“เยี่ยเหมิง อี้ฟาน พวกเจ้าทั้งสองวางใจได้เลยว่า เมื่อใดที่ข้าเป็นประธานสหพันธรัฐแล้ว พวกเจ้าจะได้รับตำแหน่งพี่ชายน้องชายผู้เป็นมือซ้ายและมือขวาของข้าแน่นอน จากนั้นพวกเราสามคนพี่น้องก็จะปกครองทุกคนบนโลกด้วยกัน!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างตื่นเต้นกระตือรือร้น ไม่ได้สังเกตสักนิดเลยว่าเจ้าเยี่ยเหมิงมีสีหน้าเย็นชา ราวกับคำว่า ‘พี่ชายน้องชาย’ เป็นการปรามาสนาง
จั่วอี้ฟานหัวเราะ ก่อนส่งอาวุธเวทเข็มทิศให้เจ้าเยี่ยเหมิง ส่วนตัวเขาเก็บแถบผ้าอาวุธเวทระดับแปดเอาไว้ และวางหอกสีดำระดับเก้าที่เสียหายหนักไว้เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
พวกเขาทั้งสามไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกัน เนื่องจากรักใคร่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี หลังจากที่จัดสรรปันส่วนทุกสิ่งที่ได้มาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็หันไปมองรอบๆ ตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปฝึกปราณของตนเอง
จั่วอี้ฟานตั่งมั่นว่าจะต้องทรงพลังขึ้นมาให้ได้ เขาไม่อยากให้การถูกตระกูลจับไปจองจำเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก สิ่งที่เกิดขึ้นขณะถูกคุมขังเป็นความลับที่เขาเก็บไว้คนเดียวในใจ ความเจ็บปวดจากประสบการณ์นั้นยากนักที่จะลบเลือนจากความทรงจำและใจของเขาได้
ด้วยเหตุนี้ จั่วอี้ฟานจึงกระหายที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงมากกว่าสิ่งใดในโลกใบนี้ เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายนั้นสำเร็จให้ได้ ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากตนเองบรรลุวิชาที่ได้รับสืบทอดในครั้งนี้ ตัวเขาจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และนักรบ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำมัน ตราบใดที่ผลลัพธ์คือความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น!
เป้าหมายในการถือสันโดษของจั่วอี้ฟานในตอนนี้ คือการบรรลุปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังต้องการใช้กระบวนเวทอาวุธเทพจำแลงเก้าศาสตร์มาเสริมพลังของนักรบสงครามโลหิตในกายเขา ก่อนหน้านี้ตอนที่จั่วอี้ฟานลองผสานกระบวนเวทเข้ากับพลังของนักรบสงครามโลหิต เขาเจ็บปวดไปทั้งกาย ราวกับถูกเลาะกระดูกออกจากร่างทีละชิ้น แต่แววตาของชายหนุ่มก็ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะเดินหน้าต่อไป!
ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงนั้น แม้ความต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงจะไม่รุนแรงเท่าจั่วอี้ฟาน แต่พื้นเพและความสามารถของนางก็จัดว่าอยู่ในระดับสูงของสหพันธรัฐอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้หญิงสาวจะไม่ต้องการเป็นหัวกะทิ แต่นางก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะเข้าใจมหาเต๋าตามที่บิดาแนะแนวไว้ พอๆ กับการฝึกวิชาอีกด้วย
“เหมิงเอ๋อร์ แก่นในตามวิถีแห่งมหาเต๋ามีทั้งหมดสามพันแบบด้วยกัน แม้ว่าทางไหนก็ทำให้บรรลุแก่นในที่กล่าวไว้ในตำนานได้ แต่ก็หมายความว่ามีทางถึงสามพันทางให้เจ้าเลือกเดิน ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะกับแก่นในเต๋าแห่งวงแหวนปราณ แม้จะเรียกว่าเป็นทางลัดไม่ได้ แต่พลังของมันก็จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบของพลังแห่งเต๋าที่ทรงอำนาจที่สุดเลยทีเดียว!”
นี่คือบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าเยี่ยเหมิงและบิดาของนาง ในตอนที่นางเลือกเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน เจ้าเยี่ยเหมิงจำคำพูดของบิดาได้ทุกคำแม้กระทั่งตอนนี้ เมื่อนางหลับตาลง วิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ในวงแหวนปราณใหญ่นั้นมีอักษรปราณมากมายอยู่ภายใน เจ้าเยี่ยเหมิงฝึกปราณด้วยการศึกษาอักษรปราณเหล่านั้น โอสถที่กินเข้าไปกลายเป็นพลังผลักดันที่จะช่วยให้นางบรรลุและทลายพันธนาการของปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นได้เร็วขึ้น!
เมื่อเห็นว่าสหายทั้งสองแยกตัวไปฝึกวิชาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาอยู่ดี แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะวางวงแหวนปราณเอาไว้ระวังภัย และแม้ร่างขัดสมาธิทั้งหลายจะไม่ได้ปรากฏขึ้นแล้วก็ตาม เพราะอย่างไรเสียเขตแดนตรงนี้ก็แค่ปลอดภัยกว่าทะเลเพลิงภายนอกเท่านั้น
หวังเป่าเล่อจับกระเป๋าตนเองอยู่เงียบๆ และหยิบเจ้าลาออกมา ตั้งแต่มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มก็ลืมสัตว์เลี้ยงของตนเองไปเสียสนิท เนื่องจากมั่วแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการต่างๆ จึงไม่ได้ปล่อยมันให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย เจ้าลาที่ได้ออกจากกระเป๋าเป็นครั้งแรกหลังจากถูกขังอยู่นาน นอนเฉยอยู่ตรงนั้นอย่างซังกะตายกับโลกใบนี้ ดวงตาของมันมองหวังเป่าเล่อด้วยความขุ่นเคืองใจ
“ลูกข้า!”
“แหกปากอะไรกันเล่า ลุกขึ้นมาทำงานเดี๋ยวนี้! เฝ้ายามเอาไว้ให้ดี และร้องเตือนพวกข้าด้วยหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล!” หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพเจ้าลา เขาคิดกับตนเองเงียบๆ ในใจว่าคนอย่างเขาคงไม่เหมาะจะเป็นบิดาใคร เนื่องจากชอบลืมบุตรของตนเองอยู่เสมอ
ไม่สิ ดูเหมือนข้าจะมีลูกชายอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ ชายหนุ่มเกาหัวแกรก แต่ก่อนที่จะทันได้คิดว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ปล่อยพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในออกมา
นี่มันพลังเฮือกสุดท้าย! หวังเป่าเล่อรีบหันไปมองทันที เลิกคิดเรื่องที่ว่าใครคือลูกอีกคนที่ถูกลืม หลังจากที่ดูจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าเยี่ยเหมิงน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก ก่อนที่จะพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในจะคงที่ และไม่น่าจะมีอะไรอันตรายเกิดขึ้น หวังเป่าเล่อก็วาดเท้าเตะลาที่น่าสงสารของตนเอง
“ทำงาน!” ชายหนุ่มเขม็งมอง
เจ้าลาแค่นเสียงทางจมูกเสียงดัง ก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยความขี้เกียจด้วยสีหน้าไม่มีทางเลือก มันดูเหมือนไม่อาลัยอาวรณ์ชีวิตอีกต่อไปขณะมองไปรอบๆ ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกผิด หัวใจพลันอ่อนลง เขาคิดอยู่สักพักก่อนจะหยิบถุงขนมที่เปิดแล้วออกมา
ในถุงนั้นมีขนมเหลืออยู่ไม่ถึงสิบชิ้น ทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อคิดถึงบ้าน เขาจะหยิบขนมนี้ออกมาอม พวกมันถือว่าเป็นของรักของเขาเลยทีเดียว แต่บัดนี้ในเมื่อความรักลูกมีมากกว่าสิ่งอื่น หวังเป่าเล่อจึงกัดฟันหยิบขนมหนึ่งชิ้นออกมาโยนให้เจ้าลา
ดวงตาของเจ้าลาเป็นประกายขึ้นเมื่อเห็น มันรีบพุ่งเข้าใส่ขนมทันที และกำลังจะกินเข้าไป แต่ก็เห็นเสียก่อนว่าขนมชิ้นนั้นดูไม่เหมือนที่เคยกินมา มันดมขนมก่อนแสดงสีหน้าลังเลใจ
“ไสหัวไป เจ้าทำหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ทำหน้าทำตาให้มันเหมาะควรเสีย!” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลาด้วยความหัวเสีย ก่อนจะยกมือขึ้นมาหักนิ้วเสียงดังกรอบแกรบ
เจ้าลาตัวสั่นในทันที ก่อนรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นเต้นและกระหาย จากนั้นก็กินขนมเข้าไปเต็มคำด้วยอารมณ์อิ่มเอมใจถึงขีดสุด เมื่อเห็นดังนั้นหวังเป่าเล่อก็ลูบหัวมันด้วยความพอใจ
“เอาละ ในเมื่อเจ้ากินของล้ำค่าของข้าเข้าไปแล้ว ก็จงไปเฝ้ายามเสีย!” แล้วชายหนุ่มก็เลิกสนใจสัตว์เลี้ยงของตนเองอีกต่อไป เขานั่งลง หยิบโอสถออกมากลืน ก่อนเริ่มทำสมาธิเพื่อฝึกปราณ
ตอนนี้พลังปราณของหวังเป่าเล่ออยู่ในขั้นสูงสุดของปราณกำเนิดแก่นในชั้นต้นแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะก้าวเข้าสู่ชั้นกลาง หลังจากที่ได้รับกระบวนเวทมามากมายก่ายกอง ปราณของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้นมาก แม้ว่าตัวเขาจะยังไม่บรรลุอย่างถ่องแท้สักวิชาก็ตาม ตอนนี้ชายหนุ่มเข้าใกล้ปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลางขึ้นอีกนิดแล้ว ปราณของเขาหลอมรวมเข้ากับฤทธิ์ยา หวังเป่าเล่อกำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองด้วยพลังเฮือกสุดท้าย!
เมื่อเจ้าลาของหวังเป่าเล่อเห็นว่าเจ้าของของตนปลีกวิเวกไปเรียบร้อย มันก็เลิกแสร้งทำเป็นยืนเฝ้ายาม และเริ่มทำท่าทำทางให้ตัวเองอาเจียนออกมาทันที เจ้าลาเป็นประเภทที่กินได้ทุกอย่างบนโลกนี้ ดังนั้นการพยายามทำให้ตนเองสำรอกจึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตมัน แต่ผ่านไปนานมันก็อาเจียนไม่ออกเสียที เจ้าลาผู้โชคร้ายจึงทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเลียพื้นเพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้น ไม่นานนักมันก็กัดพื้นกินกร้วมใหญ่ แต่บนพื้นนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่ เจ้าลาจึงทำได้เพียงกระโดดตัวลอยด้วยความเจ็บปวด
เวลาเดินหน้าผ่านไปสามวัน เจ้าลาเบื่อถึงขีดสุด มนุษย์ทั้งสามยังคงนั่งนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว มันจึงได้แต่มองไปทางทะเลเพลิงที่อยู่ไม่ไกลนัก คิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาทะเลเพลิงและกินเข้าไปเต็มคำ…
ทะเลเพลิงไม่ได้อร่อยอย่างที่คิดไว้ มันจึงตัวสั่นหงึก ก่อนแลบลิ้นออกมาและเดินกลับไปที่เดิม นอนอยู่อย่างนั้นพร้อมเลียพื้นไปด้วย เจ้าลากลอกตา อดคิดไม่ได้ว่าจะดีกว่าไหมหากบิดาของตนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าอ้วนนี่ ที่ทั้งชอบข่มเหงรังแกคนอื่น และยังไม่มีความรับผิดชอบในฐานะพ่อคน
เจ็ดวันต่อมา ร่างของจั่วอี้ฟานส่งเสียงดังกึกก้อง ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่บรรลุปราณได้สำเร็จ พลังของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ระเบิดออกจากกายเขา พร้อมด้วยกลิ่นอายของผู้ที่เข้าใกล้ขั้นกำเนิดแก่นในเข้าไปทุกที
ทันทีที่พลังนั้นปะทุออกมา ภาพมายาที่จะปรากฏขึ้นเฉพาะในผู้ที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในก็ก่อตัวขึ้นเบื้องหลังของชายหนุ่ม ภาพมายานั้นคือกระบี่สีแดง!
กระบี่บินเล่มนี้ต่างจากกระบี่ปกติทั่วไป เนื่องจากมีเพียงตัวกระบี่ ไม่มีด้ามจับ กระบี่ด้ามนี้เต็มไปด้วยคมสันที่อันตราย ทำให้มันดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอันมาก!
บทที่ 534 ดวงเนตร!
Ink Stone_Fantasy
ภาพมายานั้นคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนมลายหายไป พลังของจั่วอี้ฟานค่อยๆ เสถียร และเริ่มอัดแน่นเข้าด้วยกันอย่างมั่นคง ดูเหมือนว่าการบรรลุจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ด้วย เพราะไม่นานหลังจากนั้น ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ปล่อยพลังที่รุนแรงกว่าจั่วอี้ฟานออกมา
ทันทีที่แรงกดดันแผ่ออกจากกายของหญิงสาว เสียงเหมือนอะไรแตกหักก็ดังออกมาจากร่างของนาง แก่นในวงแหวนปราณที่สร้างจากอักษรปราณมากมายนับไม่ถ้วน กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วบนจุดตันเถียนของเจ้าเยี่ยเหมิง!
แก่นในที่กำลังก่อตัวขึ้นนั้นทำให้พลังปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงทวีความเข้มข้นขึ้น ในที่สุดหญิงสาวก็ลืมตาขึ้น พลังปราณของนางก้าวข้ามขั้นรากฐานตั้งมั่นไปเป็นขั้นกำเนิดแก่นในได้สำเร็จ ขณะเดียวกัน ภาพมายาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังนาง!
ภาพนั้นเป็นภาพของจักรวาลไพศาล ที่มีต้นไม้ยักษ์โบราณตั้งอยู่ตรงกลาง ต้นไม้นั้นสร้างมาจากอักษรปราณล้วน มันคือวิชาสืบทอดวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณที่เจ้าเยี่ยเหมิงได้รับมานั่นเอง!
ในทางตรงข้าม ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อดูเหมือนจะสะบั้นพันธนาการออกได้ด้วยพลังของสหายทั้งสองที่รายล้อมเขาอยู่ ชายหนุ่มก้าวผ่านปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ไปเป็นชั้นกลางในที่สุด แต่การบรรลุปราณชั้นกลางของเขานั้นแตกต่างจากปกติ เพราะชายหนุ่มบรรลุมากกว่าหนึ่งครั้งในคราวเดียว!
ครั้งแรกคือแก่นในอัสนี ทันทีที่แก่นในอัสนีบรรลุขั้น หวังเป่าเล่อก็บรรลุกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นต้นอย่างสมบูรณ์ เขาเพียงแค่ต้องถือสันโดษอีกสักพัก เพื่อตกผลึกและก้าวขึ้นไปยังขั้นที่สอง เพื่อสร้างร่างอสนีอวตาร!
ต่อมาหวังเป่าเล่อก็บรรลุปราณแก่นในแห่งความมืด วิชาแห่งศาสตร์มืดของหวังเป่าเล่อมีพื้นฐานที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นวิชาที่ได้รับสืบทอดมาในนิมิตมืด ความสามารถในการควบคุมการดูดซับปราณมืด และวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ ทั้งหมดนั้นส่งให้แก่นในแห่งความมืดและแก่นในอัสนีของชายหนุ่มบรรลุขั้น และก้าวขึ้นสู่ปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางได้สำเร็จ!
แก่นสุดท้ายที่บรรลุขั้นปราณคือร่างกายของเขา ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือเหตุผลหลักที่ชายหนุ่มกินโอสถเข้าไป โอสถนั้นไม่เพียงช่วยเสริมสร้างพลังปราณ แต่ยังกระตุ้นร่างกายอีกด้วย แต่ปัจจัยที่แท้จริงที่ทำให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อบรรลุปราณได้ คือวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ!
แม้หวังเป่าเล่อจะยังไม่ทันได้ฝึกวิชานี้ แต่การมีวิชานี้อยู่ในจิตก็ช่วยส่งเสริมร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว การปรับสภาพให้เข้ากับกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิทำให้ร่างกายของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น แม้การบรรลุปราณครั้งนี้จะเป็นเพียงการก้าวผ่านจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นไปเป็นชั้นกลาง แต่ความสามารถในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น พลังที่ร่างกายชายหนุ่มปล่อยออกมาก็ทำให้ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงตื่นตกใจ
ทรงพลังเหลือเกิน! จั่วอี้ฟานประหลาดใจเป็นอันมาก จนต้องผุดลุกขึ้นยืนในทันทีและถอยหนีไปสองสามก้าว พลังปราณที่หวังเป่าเล่อส่งออกมา ทำให้หน้าผากเหนือหว่างคิ้วของชายหนุ่มเรืองแสงสีแดง ตราสัญลักษณ์ของนักรบสงครามโลหิตปรากฏขึ้น ราวกับเป็นการป้องกันเจ้าของร่างให้พ้นจากภัยอันตรายใดๆ
เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้ถอยหนีเหมือนจั่วอี้ฟาน แต่ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน นางทำผนึกฝ่ามือเพื่อสร้างวงแหวนปราณมาคุ้มกันตนจากพลังกดดันที่แผ่ซ่าน แม้นางจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่ง แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มบรรลุขั้นปราณอยู่ตรงหน้าเจ้าเยี่ยเหมิงจึงเพิ่งเข้าใจว่าสหายของตนทรงพลังมากกว่าที่ตนเคยคิดไว้มากนัก
และด้วยความที่ตัวนางเองก็เพิ่งบรรลุปราณเช่นกัน เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสัมผัสทุกอย่างได้ด้วยพลังของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ซึ่งแหลมคมกว่าขั้นรากฐานตั้งมั่นมากนัก นางสัมผัสได้ว่าแม้การบรรลุปราณของหวังเป่าเล่อจะดูเหมือนราบรื่น แต่ก็มีกระบวนการที่ไม่ธรรมดาอยู่เบื้องหลัง!
โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนปรากฏขึ้นทั่วร่างของชายหนุ่ม ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงปั่นต่างก็รู้สึกได้ว่าปราณโลหิตในกายของหัวงเป่าเล่อปั่นป่วนบ้าคลั่ง ราวกับว่าเพียงแค่ร่างกายของหวังเป่าเล่ออย่างเดียวก็มีอำนาจสะกดทุกอย่างไว้ให้สยบแทบเท้าได้ เปลวไฟสีดำแผดเผาอยู่ในดวงตาซ้ายของเขา ส่งความเย็นเยือกเข้าปกคลุม สายฟ้าพิโรธก่อตัวขึ้นในดวงตาขวา แผ่กระจายอำนาจทำลายล้างออกไปทั่วบริเวณเช่นกัน พลังทั้งสองนี้เมื่อรวมเข้ากับร่างกายที่แข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของชายหนุ่มพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด!
เมื่อชายหนุ่มลุกขึ้นยืน พลังที่ร่างกายของเขาส่งออกมายังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไร้ขีดจำกัด แม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ยังไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล่าถอยในที่สุด วงแหวนปราณที่ป้องกันตัวนางไว้ก่อนหน้านี้แตกสลาย
แม้แต่เจ้าลายังตกใจตัวแข็งทื่อ ก่อนล้มเลิกความคิดที่จะเปลี่ยนตัวผู้เป็นบิดาไปทันที เพราะเมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ต่อให้มันกลายสภาพไปเป็นงูเหลือมยักษ์ พลังของมันก็ยังอ่อนกว่าบิดามากนัก
ด้วยเหตุนี้เจ้าลาจึงทำได้เพียงถอนหายใจ และยอมรับชะตากรรมของตนเองในที่สุด มันรีบทำสีหน้าพึงพอใจ กระดิกหางอย่างกระตือรือร้น และกระโดดดึ๋งๆ ไปทั่วบริเวณในทันที
ทรงพลังเกินไปแล้ว! เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่น กลั้นหายใจ ก่อนหันไปมองจั่วอี้ฟานที่กำลังมองนางอยู่เช่นกัน ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตกใจ
ในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ยืนขึ้นและหลับตาลงอีกครั้ง เขาค่อยๆ สยบพลังของตนเองให้นิ่งลง หลายนาทีต่อมา เมื่อพลังของหวังเป่าเล่อสลายไปหมด ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างไม่ได้มีสายฟ้าหรือเปลวไฟสีดำอีกต่อไป แต่หลังจากที่เห็นสีหน้าของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว ชายหนุ่มก็กะพริบตาปริบ ก่อนตัดสินใจกู้สถานการณ์ด้วยการเชิดคางขึ้น ยื่นพุงออกมาข้างหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“เจ้าเยี่ยเหมิง บอกความจริงแก่ข้ามา เจ้าแอบรักข้าใช่หรือไม่”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ จั่วอี้ฟานที่แม้จะยังยืนตัวตรงอกผายไหล่ผึ่ง ก็ยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง พลางอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดสหายของเขาคนนี้ จึงมีนิสัยชอบถือโอกาสทำตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงจิตใจคนอื่น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร…
เจ้าเยี่ยเหมิงที่ตกใจกับพลังของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับทันทีที่ได้ยิน
หวังเป่าเล่อหัวเราะหึๆ ก่อนมองหน้าสหายทั้งสองและรีบสลายพลังของตนเองลงทันที เขาตบพุงพลางประกาศอย่างมั่นใจ
“เป็นอย่างไรเล่า รู้แล้วใช่ไหมว่าประธานของสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพคนนี้แข็งแกร่งไร้เทียมทานถึงเพียงใด”
เจ้าเยี่ยเหมิงแค่นเสียงทางจมูก ในขณะที่จั่วอี้ฟานหัวเราะฝืดๆ แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกได้ว่าหวังเป่าเล่อคนนี้คือคนเดิมที่เขารู้จัก ความรู้สึกผิดแผกเหมือนคนแปลกหน้าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สลายหายไปพร้อมพลังกดดันของหวังเป่าเล่อ และถูกแทนที่ด้วยนิสัยไร้ยางอายของเจ้าของพลังแทน หลังจากปรึกษากันสักพัก ทั้งสามก็ตัดสินใจเดินทางกลับในที่สุด
“ต่อให้พวกเราทั้งสามบรรลุปราณแล้ว ทางกลับก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย จึงควรระวังตัวกันเอาไว้” หวังเป่าเล่อกล่าวเตือนสหายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ทั้งสามคนหายใจเข้าลึกก่อนระเบิดความเร็วขึ้น ส่วนเจ้าลาก็กลับไปอยู่ในกระเป๋าของหวังเป่าเล่อเรียบร้อยตามเดิม
พวกเขาอยู่ที่ชายแดนของดินแดนแห่งการสืบทอดอยู่แล้ว จึงมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณรอยต่อที่นำไปสู่ทะเลเพลิงในทันที ทั้งสามพุ่งข้ามเส้นแบ่งเขตไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทันทีที่ก้าวผ่านเส้นนั้นมา ไอร้อนระอุก็พุ่งเข้าปะทะร่าง น้ำในกายที่เริ่มระเหยแห้ง ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างดินแดนแห่งการสืบทอดและโลกภายนอกได้ในทันที
แม้กระทั่งท้องฟ้าก็ไม่เหมือนกัน ท้องฟ้าของดินแดนแห่งการสืบทอดนั้นเป็นสีดำสนิท มีเพียงรอยแตกสามรอยเท่านั้นที่ทำให้แสงสว่างส่องเข้ามาภายในได้ ฉากสีดำจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมดินแดนแห่งนั้นเป็นครั้งคราว ทำให้ทั่วบริเวณตกอยู่ในความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ท้องฟ้าบริเวณที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นสีแดงเข้ม ด้วยพลังปราณในตอนนี้ หวังเป่าเล่อจึงสามารถมองเห็นเปลวไฟประลัยกัลป์ที่กำลังแผดเผาอยู่เบื้องหลังท้องฟ้าสีแดงได้ มันดูราวกับเป็นมวลของของเหลวและแก๊สในเวลาเดียวกันจึงทำให้ยากที่จะอธิบาย
ดูเหมือนว่าเราจะเข้ามาในส่วนลึกของตัวกระบี่เสียแล้ว… หวังเป่าเล่อระวังตนถึงขีดสุดขณะมองไปรอบกาย ชายหนุ่มร้องเรียกแม่นางน้อยไปด้วยในใจ เขาต้องการทราบว่าตนเองต้องมุ่งหน้าไปทางทิศใด เพื่อที่จะกลับไปยังบริเวณด้ามจับดังเดิม
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเรียกแม่นางน้อยอยู่นั้น ทั้งสามก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง จึงหันกลับไปมองทีละคน พวกเขาเห็นฉากสีดำกำลังเข้าปกคลุมดินแดนที่พวกเขาเพิ่งจากมา เมื่อมองจากภายนอกจึงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน พวกเขารู้แล้วว่าฉากสีดำไม่ได้กระจายตัวออกปกคลุมท้องฟ้า หากแต่ค่อยๆ เคลื่อนตัวจากฟากหนึ่งของดินแดน ด้วยรูปทรงคล้ายจันทร์เสี้ยว ก่อนไปบรรจบยังฝั่งตรงข้าม ปิดตายดินแดนแห่งการสืบทอดจนมืดมิด ฉากสีดำนั้นดูเหมือนครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น!
ภาพนี้ทั้งน่าตกใจและดูคุ้นเคยไปในเวลาเดียวกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา นางรีบพูดในทันที
“พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าดินแดนแห่งการสืบทอดนี้เหมือน… ดวงตา
“บริเวณตรงกลางที่เป็นสีดำคือนัยน์ตาดำ บริเวณสีขาวที่รายรอบคือตาขาว ส่วนฉากสีดำที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว ก็เหมือนเปลือกตาที่เปิดปิดเวลากะพริบตาไม่มีผิด!”
บทที่ 535 แท่นคงกระพัน!
Ink Stone_Fantasy
“ดวงตาเช่นนั้นหรือ” ม่านตาของจั่วอี้ฟานหดแคบ เขามองไปยังดินแดนแห่งการสืบทอดที่อยู่เบื้องหลัง หวังเป่าเล่อดูเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงคิด จากคำบรรยายของเจ้าเยี่ยเหมิง พื้นที่บริเวณนั้นก็ดูเหมือนดวงตาจริงๆ เสียด้วย!
“กว้างใหญ่… เป็นบ้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำและกำลังจะพูดต่อ แต่เสียงสงบคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานก็ดังขึ้นในใจเสียก่อน
“แม่นางคนนี้ช่างสังเกตดี ความสามารถน้อยกว่าข้าแค่ร้อยละเจ็ดสิบเท่านั้น นางคงจะเป็นผู้มีกายาวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐของพวกเจ้าเป็นแน่”
แม่นางน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ส่วนหวังเป่าเล่อไม่สนใจทัศนคติของนาง เนื่องจากมัวแต่ตกใจอยู่
“แม่นางน้อย เจ้ากลับมาแล้ว ถึงเจ้าเยี่ยเหมิงจะมีกายาวิญญาณอันดับหนึ่งในสหพันธรัฐ แต่แม่นางน้อยคือผู้ที่อยู่เหนือผู้ฝึกตนชั้นสูงทั้งหมด! ข้าไม่ได้ยินเสียงเจ้าเสียนาน ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”
“ช่างกะล่อนเสียจริง!” แม่นางน้อยเย้ย แต่ก็ลดความหมางเมินในน้ำเสียงลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะขัดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอใจกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ลับๆ
“ดินแดนนั้นเป็นดวงตาตามที่ว่าไว้ นามของมันคือดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น อันเป็นหนึ่งในดินแดนแห่งสัมผัสทั้งห้า ที่ท่านพ่อของข้าทิ้งเอาไว้ในสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อหลายปีก่อน!”
“ในยุคนั้น ผู้ฝึกตนไร้เทียมทานมากมายได้ทิ้งสิ่งก่อสร้างเอาไว้นับไม่ถ้วน แม้จะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นนี้ ก็เป็นเขตการถ่ายทอดวิชาที่ใหญ่ที่สุดหนึ่งในสองแห่งของสำนักวังเต๋าไพศาล! เหตุที่พวกเจ้าทั้งสามได้ประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้ ต้องเป็นเพราะเวทที่ข้าร่ายเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างแน่นอน” แม่นางน้อยเริ่มจองหองขึ้นเรื่อยๆ ขณะพูด หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ แม้จะสงสัยถ้อยคำของนาง แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองควรโอนอ่อนผ่อนตาม จึงรีบสรรเสริญเยินยอนางต่อทันที
ชายหนุ่มรีบยอแม่นางน้อยว่านางช่างแข็งแกร่ง แสนชาญฉลาด และยังมีเสน่ห์มากล้นกว่าใครในจักรวาล ซ้ำยังงดงามที่สุดในปฐพี… หรือก็คือเยินยอให้นางตัวลอยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม่นางน้อยทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายหยุดพูด…
ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินหน้าสรรเสริญเกียรติของแม่นางน้อยต่อไปในใจ ส่วนจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ได้แต่มองเขาด้วยความงุนงง ชายหนุ่มตั้งใจทำหน้าที่มากเสียจนเมื่อมองจากภายนอกเขาเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์สะกด จั่วอี้ฟานกำลังจะเขย่าตัวปลุกหวังเป่าเล่อให้ตื่นจากภวังค์ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็หยุดเขาไว้ได้ทัน
เจ้าเยี่ยเหมิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนหันไปมองจั่วอี้ฟานเพื่อบอกให้ปล่อยอีกฝ่ายไปก่อน
จั่วอี้ฟานเองก็ไม่ใช่คนหัวทึบ หลังจากคิดสักพัก เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าเยี่ยเหมิง เฝ้ารอให้หวังเป่าเล่อคืนสติกลับมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มเยินยอแม่นางน้อยไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม สมองของเขาอ่อนล้าไปหมดจนรู้สึกเหมือนจะสลบจากการพยายามหาคำพูดมาสรรเสริญโดยไม่ซ้ำกัน ในตอนนั้นเองแม่นางน้อยกระแอมกระไอขึ้นมา เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่านางฟังจนพอใจแล้ว
“เอาละ ข้ารู้แล้วว่าเจ้ายกย่องข้าเพียงใด ในอนาคตหากเจ้าอยากบอกข้าอีกว่าเคารพข้ามากมายขนาดไหน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดความจริงเช่นนั้น เพราะว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่ใช่คำชม แต่เป็นความจริงต่างหากจึงไม่อาจนับรวมได้ เป่าเล่อเอ๋ย ข้อเสียของเจ้าก็คือเจ้าพูดตรงเกินไป!”
หวังเป่าเล่ออึ้งไปสักพักเมื่อได้ยิน หลังจากที่เขาสะกดความประหลาดใจได้เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก และรีบเปิดปากพูดทันที
“แม่นางน้อย แล้วพวกข้าจะออกจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา เขาก็รู้สึกดีใจที่ก่อนหน้านี้ตนเองสื่อสารกับแม่นางน้อยในใจ จึงยังเหลือเสียงให้พูดอยู่ มิเช่นนั้นเขาคงเสียงแหบแห้งพูดจาไม่รู้เรื่องไปแล้ว
“การจะออกจากที่แห่งนี้นั้นง่ายนิดเดียว” แม่นางน้อยพูดอย่างทะนงตน ก่อนบอกทางออกให้ชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อฟังอย่างใจจดใจจ่อ เงยหน้าขึ้นมองตามทางที่แม่นางบอกเป็นพักๆ เพื่อดูให้แน่ใจว่าตนเองเข้าใจถูก จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงรู้นานแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงเฝ้ารอให้กระบวนการนี้เสร็จสิ้นอยู่ข้างกายสหายโดยไม่ได้พูดสิ่งใด
ในที่สุดดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เป็นประกายออกมาขณะฟังเส้นทางที่แม่นางน้อยบอก เขาหายใจเขาลึกและหันมามองสหายทั้งสอง
“ตามข้ามา ข้ารู้ทางออกแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น โดยไม่แม้แต่จะอธิบายว่าก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงทำเป็นไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเข้าใจดีว่าทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตนเอง แม้พวกเขาจะสนิทกันมากจนฝากชีวิตตนไว้ในมืออีกคนได้ แต่ความสนิทนั้นเกิดขึ้นได้เพราะพวกเขาเคารพในความลับของกันและกัน
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้พยายามแอบซ่อนการสื่อสารลับของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไว้ใจสหายทั้งสองเพียงใด เมื่อได้ยินดังนั้น จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตามชายหนุ่มไปในทันที ทั้งสามเคลื่อนที่แหวกอากาศเหนือทะเลเพลิงด้วยความเร็ว โดยมีหวังเป่าเล่อเป็นผู้นำทาง
ทั้งสามเหาะอยู่เจ็ดวันเต็มโดยแทบไม่ได้หยุดพัก ยังดีที่พวกเขาเพิ่งบรรลุปราณไปก่อนหน้านี้ และมีโอสถมากพอที่จะรักษาความเร็วให้ไม่ตก กระนั้นพวกเขาก็ยังไปได้ไม่ไกลนัก
นั่นเพราะมีภัยอันตรายมากมายอยู่รายรอบ บางทีพวกเขาก็เจอเข้ากับพายุหมุนลมร้อนที่ระเบิดขึ้นมาโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือน บางทีก็เจอหุบเขาเคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่งอสูรเพลิงที่โผล่มาถึงห้าครั้งด้วยกัน อันตรายเหล่านี้ทำให้พวกเขาต้องตอบโต้กลับ หรือไม่ก็เปลี่ยนเส้นทางแทน แต่ในที่สุดก็รอดมาจนได้
อันตรายที่น่ากลัวที่สุดที่พวกเขาเจอเกิดขึ้นในวันที่ห้า จู่ๆ มือยักษ์ก็ผุดขึ้นกลางทะเลเพลิงราวกับกำลังต่อยอากาศ คว้าเอาภูเขาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าห่างจากทั้งสามไม่กี่ร้อยเมตรเข้าเต็มมือ ก่อนดึงกลับเข้าไปในทะเลเพลิงด้วย
แม้จะห่างไปหลายร้อยเมตร แต่พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากมือก็ทำให้ปราณในตัวพวกเขาถึงกับเสียสมดุล ทุกคนหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ…
ในวันที่หก ขณะที่กำลังเดินหน้าเหาะเหินอยู่ด้วยความระแวดระวังนั้น ทั้งสามก็เห็นบึงที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าที่ทางขวามือของพวกเขา ในบึงนั้นมีสตรีรูปร่างยั่วยวนกำลังอาบน้ำอยู่ พร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสำราญใจ และหันมาส่งสายตาให้พวกเขาทั้งสาม
จั่วอี้ฟานหันไปมองปราดเดียวก็ตกอยู่ใต้มนต์สะกดทันที วิญญาณของเขาแทบถูกดูดออกจากร่าง แต่ยังดีที่แม่นางน้อยบอกหวังเป่าเล่อให้ดึงตัวเพื่อนที่นิ่งงันไปออกมาได้ทันท่วงที โดยที่ยังไม่มีอันตรายเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า เสียงคล้ายกองทัพสงครามกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา เสียงเป่าแตรออกศึกลอยมาแต่ไกล หวังเป่าเล่อมองเห็นรถออกศึกโบราณทางหางตา บนรถนั้นเต็มไปด้วยยักษ์ปักหลั่นมากมายในชุดเกราะสีทอง ทั้งหมดกำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
เจ้าเยี่ยเหมิงหยุดชะงักและรีบกางวงแหวนปราณออกทันที ส่วนหวังเป่าเล่อก็รีบตะโกนบอกเพื่อน
“หลับตา!”
เจ้าเยี่ยเหมิงตัดสินใจฝากชีวิตไว้ในมือเพื่อน และหลับตาลงตามที่หวังเป่าเล่อบอกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อลากเจ้าเยี่ยเหมิงไปข้างหน้าแม้ตนเองจะหลับตาอยู่เช่นกัน ทั้งสองสัมผัสได้ถึงลมพายุที่โหมกระหน่ำใส่ตัว ราวกับมีคนกรีดร้องใส่หน้า แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมอง จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าพายุร้ายที่กำลังโหมเข้าใส่ตัวนั้นสลายหายไปในฉับพลัน
หลายนาทีต่อมา หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาขึ้น แต่ก็ไม่พบสิ่งใดอยู่ตรงหน้า…
กระนั้นทั้งสองก็ยังคงตกใจกับสิ่งที่สัมผัสได้เมื่อครู่ ผ่านไปพักหนึ่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หากเมื่อกี้เราไม่ได้ปิดตาละก็…”
“ไม่มีคำว่า ‘หาก’” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ในฐานะบุตรแห่งความมืด เขาจับสัมผัสไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากวิญญาณที่โกรธเกรี้ยว จึงสรุปได้ว่าหากมันไม่ใช่วิญญาณขั้นสูงที่ทรงพลังเกินความสามารถเขา ก็คงเป็นพลังงานบางอย่างที่ตัวเขาเองไม่รู้จัก
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนมุ่งหน้าต่อไปกับเจ้าเยี่ยเหมิง ที่ยังคงตกอยู่ในความเงียบงัน เมื่อใกล้ครบเจ็ดวัน จั่วอี้ฟานก็ตื่นขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกกลัวถึงขีดสุดเมื่อภาพสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหมดสติไปปรากฏขึ้นในหัว
หลังจากนั้นสามวัน สหายทั้งสามก็เจอเหตุการณ์ประหลาดอีกมากมาย จนพากันอ่อนล้าไปตามๆ กัน แต่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่แม่นางน้อยบอก
มันคือภูเขาสูงเสียดฟ้า ที่แม้กระทั่งทะเลเพลิงก็ไม่อาจกล้ำกราย บนยอดเขานั้นมีกระถางเผาเครื่องหอมที่ใหญ่มากเสียจนหากไปยืนข้างๆ ทั้งสามจะเป็นเพียงเม็ดทราย พวกเขาตกใจมากกับสิ่งที่เห็น ต่างพากันแหงนคอมองจากเบื้องล่าง!
กระถางเผาเครื่องหอมนั้นดูเก่าแก่โบราณมาก บริเวณโดยรอบที่เปิดโล่งก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะเป็นลานสาธารณะของสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีตเมื่อหลายปีมาแล้ว
“ที่นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองแท่นคงกระพันของสำนักวังเต๋าไพศาล เยี่ยเหมิง อี้ฟาน ช่วยข้าส่งพลังปราณเข้าแท่นคงกระพันนี้เพื่อเปิดให้มันทำงานเถิด!” หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก พยายามสะกดความตื่นตกใจของตนเอาไว้ภายใน ก่อนยกมือขวาขึ้นวางบนแท่นคงกระพันที่อยู่เบื้องหน้า!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น