ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 529-533

ตอนที่ 529 ท่านเจ้าสำนักหยินหยาง

 

การประลองสามฝ่าย ถือเป็นงานสำคัญอันยิ่งใหญ่ในรอบสิบปีของแดนจิ่วโจว ผู้ชนะไม่เพียงแต่ได้รับทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นผู้นำแดนจิ่วโจวตลอดช่วงสิบปีนั้นด้วย


 


 


นี่จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตอนนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิ่วโจว ก็คือเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยางนั่นเอง


 


 


ยามนี้ดินแดนจิ่วโจวก็เป็นเหมือนกระทะเดือดๆ ห้าแคว้นใหญ่และอีกสองขุมกำลังต่างก็ไม่ยอมอยู่ในความสงบสุขแล้ว  ต่างก็คิดจะแสวงหาพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมและปล้นชิงทรัพยากรให้มากขึ้น จึงได้หมายตามายังดินแดนโบราณที่พึ่งจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ


 


 


ชนิดที่เรียกว่าทั้งแคว้นใหญ่และขุมกำลังจำนวนมากต่างก็ปรารถนาในเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ชิ้นนี้


 


 


เทพบุตรหงเหมินเซียวเฉินคือคนที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุด


 


 


แต่ว่าน่าเสียดาย หมากกระดานนี้ของเขากลับพังพินาศ น่าเสียดายที่… แผนการที่เขาคิดคำนวนเอาไว้สุดท้ายแล้วกลับผิดพลาดไปเสียหมด กลายเป็นส่งมอบข่าวสารที่มีประโยชน์มากมายให้กับตู๋กูซิงหลันแทน


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูข้อมูลที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ปลายนิ้วแตะลงไปบนตัวอักษร ‘สำนักหยินหยาง’ สามคำนั้น


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้เห็นอักษรสามคำนี้ นางก็รู้สึกเกิคความคุ้นเคยขึ้นมา


 


 


ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นสำนักหุบเขาภูติเล้นลับที่มีคำว่าหยินหยางอยู่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะต่างก็ฝึกฝนมาในแนวทางหยินหยางเหมือนกันก็เป็นได้…..


 


 


ตู๋กูซิงหลันอ่านต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกิดความเข้าใจมากขึ้น


 


 


ที่แท้สำนักหยินหยางนี้ สนับสนุนให้ผู้ที่โดดเด่นได้ขึ้นเป็นสุดยอด การชิงตำแหน่งของเจ้าสำนักคนใหม่ก็ได้มาด้วยวิธีเช่นนี้


 


 


ทุกๆห้าปีพวกเขาจะมีการคัดเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ครั้งหนึ่ง ขอเพียงเป็นศิษย์ในสำนัก ก็ล้วนมีสิทธิเข้าร่วมการช่วงชิง ผู้ที่ยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้าย ก็จะได้เป็นเจ้าสำนักไป


 


 


และด้วยวิธีการคัดเลือกเจ้าสำนักที่แปลกประหลาดเช่นนี้ จึงทำให้สำนักหยินหยางรั้งอยู่ในตำแหน่งท้ายสุดของสามขุมกำลังใหญ่มาโดยตลอด


 


 


เกรงว่าแม้แต่พวกเขาเองก็คงจะคิดไม่ถึงว่า อยู่ๆจะมีคนที่เก่งกาจโผล่ขึ้นมา ไม่เพียงแต่เอาชนะติดต่อกันจนได้กลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่


 


 


แต่ยังได้เป็นประมุขของจิ่วโจวที่พลาดหวังมานานตลอดหลายสิบปีอีกด้วย


 


 


นิ้วชี้ในมือขวาของนางเคาะลงไปบนโต๊ะจนเกิดเสียง ‘กึก กึก กึก’ ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา นางชักจะอยากเห็นหน้าค่าตาของเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้จริงๆ


 


 


ขณะที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง ทุกครั้งที่หลี่กงกงได้เห็นฮ่องเต้หญิงทรงทำกริยาเช่นนี้ เขาก็เป็นอันต้องแอบคิดถึงฮ่องเต้จีเฉวียนขึ้นมา


 


 


ยามที่ฝ่าบาททรงครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆก็จะเคาะโต๊ะเช่นกัน


 


 


“ฝ่าบาท….” คราวนี้ได้ยินเสียงของหลงเซียวทูลขอเข้าเฝ้า


 


 


ปกติยามที่ตู๋กูซิงหลันได้พบหน้าเขา เขามักจะมีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมรณ์อยู่เสมอ แต่ว่าคราวนี้กลับดูร้อนรนอยู่บ้าง


 


 


“สรุปมาสั้นๆ” ตู๋กูซิงหลันบอกออกไป


 


 


“ทางด้านจิ่วโจวเกิดความเคลื่อนไหวแล้ว” หลงเซียวรายงานต่อไป “สายลับทางทะเลตะวันตกพบเห็นเรือจำนวนมาก ไม่ใช่เรือของดินแดนเรา ที่มาไม่ชัดเจน”


 


 


 


 


 


เป็นไปได้ว่า หลังจากที่ฝ่าบาททรงกักตัวเทพบุตรหงเหมินเอาไว้ พอพวกจิ่วโจวได้รับข่าวสารแล้วย่อมไม่คิดจะเลิกราง่ายๆ


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน มาลำหนึ่งก็ล่มลำหนึ่ง มาฝูงหนึ่งก็ล่มมันทั้งฝูง” ตู๋กูซิงหลันกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ค่อยๆพลิกอ่านข้อมูลในมือต่อไป


 


 


“ไปสืบฐานะของพวกมันมาให้ละเอียด หากว่ามีความเสี่ยงอันตรายต่อดินแดนของเราแม้เพียงน้อยนิด….”


 


 


พอพูดถึงตรงนี้ แววตาของตู๋กูซิงหลันก็ทอประกายโหดเ**้ยมออกมา


 


 


“สังหารเสีย อย่าให้เหลือรอดแม้คนเดียว”


 


 


ที่ผ่านมานางให้คุณค่ากับแต่ละชีวิตอยู่เสมอ แต่ว่าทุกวันนี้นางมีฐานะสูงส่ง รับผิดชอบต่อความคงอยู่ของทุกชีวิตให้แผ่นดินโบราณ ย่อมต้องคิดอ่านเพื่อพสกนิกรของตนเองก่อนอื่นใด


 


 


ใต้หล้านี้ นอกจากดินแดนจิ่วโจวแล้ว เกรงว่าก็ยังมีดินแดนอื่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก


 


 


เหนือจิ่วโจว ยังมีพวกเทพ หากว่านางไม่ระมัดระวังก็อาจจะนำพาเภทภัยที่ร้ายแรงมาสู่ดินแดนโบราณแห่งนี้


 


 


ดังนั้นสำหรับอันตรายที่ยังคงอยู่ห่างไปไกลพวกนั้น สมควรขจัดไปแต่แรกย่อมจะดีกว่า


 


 


“พะยะค่ะ” หลงเซียวคุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้านาง ด้วยความเคารพเสมอเหมือนกับที่มีให้ฮ่องเต้จีเฉวียน


 


 


ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจในเรื่องนี้ได้เท่าเขาอีกแล้ว ฝีมือของฮ่องเต้หญิงองค์น้อยผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าฮ่องเต้จีเฉวียนเลยสักนัด


 


 


สำหรับพสกนิกรในแผ่นดินแห่งนี้ นางมากเมตตาเปี่ยมด้วยคุณธรรม คือผู้นำที่ยากจะหาได้ในพันปี


 


 


สำหรับผู้ที่มาจากนอกดินแดน นางขุดรากถอนโคน สังหารโดยไม่มีขมวดคิ้ว


 


 


ฮ่องเต้หญิงเช่นนี้ สมควรแล้วที่เขาจะถวายชีวิตเข้าปกป้อง


 


 


 หลงเซียวมองดูแววเนตรของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มพูนความเคารพนับถือ


 


 


………..


 


 


จิ่วโจว สำหนักหยินหยาง


 


 


นับตั้งแต่การประลองสามฝ่ายที่ผ่านมา พวกเขาที่อ่อนด้อยที่สุดในสามขุมกำลัง ก็ได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจว


 


 


ฐานะของผู้คนทั่วทั้งสำนักหยินหยางถึงขั้นพลิกกลับ


 


 


ก่อนหน้านี้สำหนักหยินหยาง แม้ว่าจะมีผู้คนมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีทางกลายเป็นภาพผู้คนนับหมื่นเบียดเสียดกันในตรอกแคบเหมือนดั่งเช่นตอนนี้


 


 


ดูเอาสิ ทุกๆวันล้วนต้องมีขบวนผู้คนจากแคว้นใหญ่และขุมกำลังทั้งหลายเดินทางมาขอกราบคาราวะ


 


 


คนเขาว่า ของขวัญหนักสักหน่อยผู้คนล้วนไม่ถือสา เดิมที่ทางสำนักหยินหยางเองก็กะจะรับของขวัญทั้งหมดเอาไว้อย่างเปรมปรีดิ์เช่นกัน


 


 


แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้จะเป็นคนที่เย็นชาอย่างที่สุด เหล่าผู้คนที่มาขอกราบคารวะก่อนหน้านี้ เขาล้วนไม่ได้เหลือบแลเลยแม้สักนิด


 


 


รวมถึงพวกวังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยเช่นกัน


 


 


  แม้แต่ผู้คนในสำนักหยินหยางเอง ก็มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เข้าพบเจ้าสำนักคนใหม่


 


 


เขาเป็นคนที่ลึกลับอย่างยิ่งลึกลับเสียจนกระทั่งคนในสำนักเองก็ไม่รู้ชัดว่าเคยรับศิษย์เช่นนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร


 


 


เหมือนกับว่าอยู่ๆเขาก็โผล่ขึ้นมา โดยไม่มีที่มาที่ไปใดๆทั้งสิ้น จากนั้นก็กลายเป็นเจ้าสำนักและประมุขของแดนจิ่วโจวอย่างรวดเร็วและรุ่งโรจน์โชติช่วง


 


 


ยามนี้ดึกสงัดมากแล้ว เจ้าสำนักคนใหม่นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย ในห้องมีเพียงแสงเทียนสลัว ที่ส่องกระทบดวงหน้าของเขาจนกลายเป็นเงาในหน้าทาบลงบนหน้าต่างเท่านั้น


 


 


งดงามอย่างยิ่ง!


 


 


บนโต๊ะเตี้ยมีพิณโบราณตัวหนึ่ง ตัวพิณเก่าคร่ำครึ มีลวดลายแกะสลักสีม่วงที่คล้ายดั่งเป็นอักขระอาคมบางอย่าง


 


 


ปลายนิ้วของเขาขยับน้อยๆ พิณโบราณก็ส่งเสียงสะท้อนออกมาชุดหนึ่ง


 


 


เสียง ‘ติงตัง’ พอเสียงนี้ดังออกไป พวกศิษย์ในสำนักหยินหยางที่พากันแอบดูอยู่นอกหน้าต่างก็ล้มลงไปกองบนพื้น


 


 


พวกเขายังไม่ทันได้เห็นเลยว่า ตกลงแล้วเป็นสิ่งใดที่ทำร้ายตนเองกันแน่


 


 


ไม่รอให้พวกเขาได้ป่ายปีนเพื่อลุกขึ้นมา ในห้องก็ถ่ายทอดเสียงของบุรุษที่เย็นชาอย่างยิ่งออกมา


 


 


“หากครั้งหน้ายังกล้าไม่เคารพข้า ก็จะเด็ดศีรษะสุนัขของพวกเจ้าซะ”


 


 


คำพูดนี้เหมือนเป็นดั่งยันต์เอาชีวิตที่ผนึกเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ชั่วขณะไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการทั้งสิ้น


 


 


พวกเขาพากันนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจกันอยู่ลงบนพื้น แม้แต่จะถอนใจแรงก็ยังไม่กล้า


 


 


เจ้าสำนักคนใหม่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง รูปโฉมก็งดงามมาก ต่อให้เอาบุรุษทั่วทั้งแดนจิ่วโจวมารวมกัน ก็คงยังไม่น่าดูแม้สักครึ่งหนึ่งของเขา


 


 


ดังนั้นเหล่าศิษย์สตรีในสำนัก ส่วนใหญ่ต่างก็อดไม่ได้ที่จะมาแอบดูด้วยกันทั้งนั้น


 


 


แต่คนผู้นี้แข็งแกร่งส่วนแข็งแกร่ง งดงามส่วนงดงาม พื้นอารมณ์กลับย่ำแย่อย่างยิ่ง


 


 


ขยับนิดขยับหน่อยก็เป็นต้องเอาชีวิตผู้คนอย่างไรอย่างนั้น!


 


 


เหล่าศิษย์ในสำนักทางหนึ่งนั่งเดินกำลังภายใน ทางหนึ่งก็ต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเงาบนบานหน้าต่าง


 


 


เอาเถอะๆ ต่อให้ไม่ได้เห็นตัวคน ได้เห็นแต่เงาก็ยังดี



 

 

 


ตอนที่ 530 แม้แต่ชื่อของเขาก็ยังไม่รู...

 

ภายในห้อง ใต้แสงเทียน ปลายนิ้วของผู้นั้นขาวกระจ่างจนเรืองรอง


 


 


ทั่วร่างของเขาเปี่ยมไปด้วยไอหนาว แม้แต่แสงเทียนสีส้มอันอบอุ่นเมื่อส่องลงบนร่างของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นไอน้ำแข็งหนาวเย็นระเหยขึ้นมา


 


 


เขาหลุบตาลง  ขนตาที่ทั้งยาวและหนาปิดบังแววตาเอาไว้


 


 


จนทำให้ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่


 


 


“ท่านเจ้าสำนัก เจ้าวัง วังตันติ่งกงขอเข้าพบขอรับ” ทันใดนั้น ปรากฏศิษย์สำนักในชุดสีดำผู้หนึ่งเข้ามารายงาน


 


 


ศิษย์ผู้นั้นพึ่งจะพูดจบ เจ้าวังของวังตันติ่งกงก็บุกเข้าไปแล้ว


 


 


สตรีผู้นี้สวมใส่ชุดสีขาวตลอดร่าง รูปโฉมดุจนางเซียน หัวคิ้วหางตาดั่งภาพวาด ผิวพรรณขาวกระจ่าง


 


 


หากมองดูให้ละเอียด ก็จะเห็นว่าเส้นคิ้วและดวงตาของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับซ่งเจียงเสวียอยู่สองถึงสามส่วน


 


 


ทันทีที่นางปรากฏตัว เหล่าศิษย์สตรีในสำนักก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไร้หมดรูป แต่ละคนเหมือนดั่งถ่านหินที่ขุดขึ้นมาจากเหมือง ทั้งดำทั้งอัปลักษณ์


 


 


“เจ้าวัง วังตันติ่งกง …..เจ้าสำนักของพวกเรายังไม่ทันได้อนุญาต ท่านก็บุกเข้ามาเช่นนี้ ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่กระมัง?” ศิษย์ชายที่เข้ามารายงานก่อนทำสีหน้าไม่พอใจ เพียงแต่เมื่อได้พบเห็นรูปโฉมดุจนางเซียนของเจ้าวังตันติ่งกง ก็จำต้องอดทนถอยให้อยู่บ้าง


 


 


ใครๆต่างก็รู้ว่า เจ้าวังของวังตันติ่งกงคนปัจจุบัน คือโฉมงามอันดับหนึ่งในดินแดนจิ่วโจว รูปโฉมของนางงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ พลังบำเพ็ญเพียรก็สูงส่ง ทั้งยังมีพรสวรรค์ในการหลอมยาตันอย่างล้ำเลิศ


 


 


ยาตัน นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝน มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเท่าใดที่เฝ้าฝันถึงยาตันสักเม็ดแต่ก็ไม่เคยได้มา


 


 


แต่ว่าวังตันติ่งกงนั้น คือแหล่งที่มาของยาตันกว่าครึ่งในดินแดนจิ่วโจว ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงมีแต่เคารพนบนอบต่อนาง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นในดินแดนจิ่วโจวนี้ ยังมีผู้ที่แอบหลงใหลและใฝ่ฝันถึงเจ้าวังผู้นี้อยู่มากมายจนไม่อาจนับได้


 


 


บุรุษที่ไล่ตามนางมีมากเสียจนสามารถจะยืนเรียงกันวนรอบแดนจิ่วโจวได้


 


 


อย่าว่าแต่นางก็ไม่เคยลดสายตาอันสูงส่งมาเหลือบแลผู้ใด แม้แต่หางตาก็ยังไม่เคยทอดมาแลดูเหล่าบุรุษที่ไล่ตามนางเลยสักนิด


 


 


หากแต่วันนี้นางกลับยอมวางศักดิ์ฐานะลง เดินทางมาเยี่ยมคาราวะประมุขคนใหม่ของจิ่วโจว เจ้าสำหนักหยินหยาง ด้วยตัวของนางเอง


 


 


หากว่าเปลี่ยนเป็นบุรุษอื่น ย่อมต้องเห็นว่านี่เป็นเกียรติอันสูงส่งเพียงไหน


 


 


แม้แต่เหล่าศิษย์สตรีในสำนักหยินหยางต่างก็ยังรู้สึกละอายใจต่อตัวเอง เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าวังของวังตันติ่งกง ซ่งชิงอีผู้นี้แล้ว พวกนางก็ดูไปช่างอัปลักษณ์เสียจริงๆ


 


 


 ใต้หล้านี้ ดูเหมือนว่าคงจะมีแต่เพียงสตรีเช่นซ่งชิงอีเท่านั้น จึงจะเหมาะสมคู่ควรกับเจ้าสำนักของพวกนางละมั้ง?


 


 


แต่ว่ายามนี้ ท่านเจ้าสำนักที่นั่งอยู่ในห้องกลับมีแต่ความเย็นชา ไม่พูดไม่จาอะไรแม้แต่คำเดียว ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังคงมีแต่เงาอันงดงามทอดลงบนหน้าต่างเท่านั้น


 


 


เจ้าวังตันติ่งกง ซ่งชิงอีชักจะไม่พอใจขึ้นมาบ้าง แต่นางก็ต้องเก็บงำความไม่พอใจเหล่านี้เอาไว้


 


 


หันไปยิ้มจางๆให้กับเงาที่ทอดอยู่บนหน้าต่างห้องนั้น “เจ้าสำนักหยินหยางช่างสูงส่งจนเย็นชา ข้าอุตส่าห์มาเยี่ยมคาราวะด้วยตนเอง แม้แต่หน้าของท่านก็ยังจะไม่มีโอกาสได้เห็นกระนั้นหรือ?”


 


 


จนถึงตอนนี้ พอคิดย้อนไปถึงตอนที่ได้เห็นแม้เพียงแวบเดียวในสุดยอดการประลอง หัวใจของนางก็ยังคงเต้นกระหน่ำอยู่


 


 


นางไม่เคยเห็นบุรุษใดที่ทั้งงดงาม และแข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อนเลย!


 


 


เนื่องเพราะเรื่องของซ่งชิงไต้ในตอนอดีต ทำให้นางไม่เคยคิดจะเหลือบแล เหล่าบุรุษหน้าเหม็นในใต้หล้าอีกแม้แต่แวบเดียวแต่ว่าตอนนี้บุรุษผู้นี้กลับทำลายความตั้งใจนี้ลงไป


 


 


เขาช่างพิเศษอย่างยิ่ง


 


 


พิเศษถึงขนาดที่ว่าใครได้เห็นหน้าเขาเพียงแวบเดียว ก็ต้องบังเกิดความรู้สึกไม่ธรรมดา ที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมา คิดแต่จะแต่งเอาบุรุษผู้นี้กลับไปให้ได้ ต่อให้ไปเป็นเพียงแจกันวางเอาไว้ในบ้านก็ยังดี


 


 


 ดังนั้น…..นางจึงเดินทางมาด้วยตนเอง


 


 


ที่นางพูดออกไปเมื่อครู่ หากมองจากสถานะของนาง ก็ต้องถือว่ายอมอ่อนให้จนน่าอับอายมากแล้ว แต่ว่าผ่านไปอีกเนิ่นนาน ก็ยังไม่ได้ยินเสียงคนตอบกลับมาแม้แต่ครึ่งคำ


 


 


สีหน้าไม่ยินดีที่ซ่งชิงอีพึ่งจะเก็บงำลงไปได้เมื่อครู่ ต้องเผยออกมาอีกครั้ง


 


 


“เจ้าสำนักหยินหยาง ท่านนี่ไม่รู้จักรับน้ำใจของผู้อื่นบ้างเลยหรือไง?” นางพูดพลาง ปลายนิ้วก็ขยับเล็กน้อย พลังวิญญาณอันบริสุทธ์สายหนึ่งเคลื่อนไหว คิดจะใช้กำลังผลักประตูของเขาให้เปิดออก


 


 


“ตอนนั้นที่อยู่ในสุดยอดการประลอง เป็นเพราะไม่ทันระวัง ข้ากับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน จึงได้พ่ายแพ้ให้แก่ท่าน วันนี้ข้าเป็นตัวแทนวังตันติ่งกงมาเยี่ยมคาราวะ ท่านกลับมีทีท่าเช่นนี้? มิใช่ว่ารีบร้อนผลักไสข้าไปทางตำหนักซิวหลัวเตี้ยนหรอกหรือ?”


 


 


ใช่สิ ถึงแม้ว่านางจะต้องตาในตัวเขาตั้งแต่แวบแรก แต่ว่าคนผู้นี้มีนามว่าอะไรก็ยังไม่รู้


 


 


นางกำลังใช้อำนาจของชื่อเสียงมาข่มขู่เขา


 


 


เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางพอได้ยินแล้ว หัวใจก็ต้องสั่นสะท้านขึ้นมา


 


 


หากว่าวังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนร่วมมือกันขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นสำนักหยินหยางของพวกเขายังจะมีที่ยืนหยัดอยู่อีกหรือไม่?


 


 


ว่าตามจริงแล้ว ตอนนั้นในสุดยอดการประลอง ท่านเจ้าสำนักแทบจะไม่ได้ลงมืออะไรเลย ด้วยซ้ำ ….แม้แต่พวกเขาเองก็มองเห็นไม่ชัดเจนว่าเขาทำอย่างไรจึงทำให้ผู้อื่นพ่ายแพ้ไป


 


 


ดังนั้นในเรื่องของวรยุทธ์และพลังของท่านเจ้าสำนัก พวกเขาเองก็มีข้อกังขาเช่นกัน


 


 


บางที ท่านเจ้าสำนักคนใหม่อาจจะบังเอิญได้รับอาวุธเซียนวิเศษบางอย่างมา จึงได้……


 


 


เนื่องเพราะวิธีการคัดเลือกเจ้าสำนัก อันแปลกประหลาดของสำนักหยินหยาง ทำให้ในสำนักไม่ค่อยจะมีความสามัคคีกันเท่าไรนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยข้อกังขา


 


 


ดังนั้นสำหรับเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้ ในใจของพวกเขาจึงมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด


 


 


เขาไม่เคยห่างจากพิณโบราณนั่นเลยแม้แต่ก้าวเดียว ….ประหลาดหรือไม่?


 


 


ซ่งชิงอีเห็นผู้คนส่วนใหญ่พากันหน้าเปลี่ยนสี ก็เกิดความได้ใจขึ้นมา


 


 


เห็นหรือไม่ ที่สุดแล้วสำนักหยินหยางก็ยังคงเกรงกลัววังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยน


 


 


ริมฝีปากสีแดงของนางขยับน้อยๆ คิดจะข่มขู่บีบคั้นเขาต่อไป


 


 


แต่ว่าคำพูดยังไม่ทันจะได้ออกจากปาก ก็ได้ยินเสียงของบุรุษดังขึ้นในที่สุด


 


 


“ไสหัวไป” คำเดียว รวบรัดหมดจด ทั้งยังตัดรอดอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขากำลังถูกตัวอัปลักษณ์อะไรสักอย่างรังควานอย่างไรอย่างนั้น


 


 


คำไล่คำนั้น เป็นเหมือนดั่งน้ำเย็นทั้งอ่างที่ราดรดลงมาบนศีรษะของซ่งชิงอี


 


 


แต่ไหนแต่ไรนางก็เย่อหยิ่งดั่งนางหงส์มาโดยตลอด นางที่สูงส่งมีแต่ผู้คนเคารพเทิดทูนอยู่เสมอ ตอนนี้กลับถูกประมุขคนใหม่ขับไล่?


 


 


ชั่วขณะนั้น ซ่งชิงอีรู้สึกโง่งมไปหมดแล้ว นางแทบจะไม่อยากเชื่อหูของตนเอง


 


 


ดังนั้นจึงคิดจะขยับเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด แต่ว่ายังไม่ทันจะถึงครึ่งก้าว ก็ได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างที่สุดของบุรุษดังออกมาว่า “ไสหัวไปให้ไกล”


 


 


และพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกราวน้ำแข็งของเขา เสียงพิณที่เย็นชาจนจับขั้วหัวใจก็ดังสะท้อนออกมา


 


 


เสียงพิณที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารดังสะท้อนออกมา ทำเอาต้นไม้ต้นหนึ่งตรงหน้าของซ่งชิงอีถึงกับหักครึ่งโค่นลงมา เสียงพิณนี้ยังดังออกไป โดยไม่ยอมหยุด เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าของนาง


 


 


ซ่งชิงอีไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยว่า เขาจะลงมือกับนางเช่นนี้


 


 


นางตกตะลึงไปครู่หนึ่งจึงค่อยมีปฏิกริยาขึ้นมา ได้แต่พลิกร่างดุจนางเซียนถอยหลังออกไป


 


 


แต่ว่าก็ไม่ทันการเสียแล้ว เสียงพิณนั้นพุ่งผ่านร่างของนางออกไป บาดเนื้อบนหัวไหล่ขาดออกมาชิ้นหนึ่ง เลือดสดๆย้อมชุดสีขาวของนางจนแดงฉาน


 


 


ซ่งชิงอีเจ็บจนส่งเสียงร้องออกมา สีหน้าที่ทำเป็นขึงขังเมื่อครู่พังทลายลง


 


 


นางฝืนทนความเจ็บปวด ยกคิ้วมองเข้าไปในห้อง แต่กลับเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องแทบจะไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆทั้งสิ้น


 


 


คนผู้นั้นเพียงแต่ดีดลงไปบนพิณเพียงเบาๆเท่านั้น


 


 


แม้แต่เงาบนหน้าต่างก็แทบจะไม่มีอะไรขยับ


 


 


บุรุษผู้นี้….ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาสักนิดจริงๆ!


 


 


นางมีฐานะเป็นถึงเจ้าวังตันติ่งกงแท้ๆ ทั้งยังเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งจิ่วโจว ถึงกลับไม่คู่ควรแม้แต่จะได้พบหน้าเขาสักครั้ง


 


 


นางประคองหัวไหล่ที่มีเลือดไหลรินเอาไว้ ผ่านไปอีกพักใหญ่ค่อยเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าสำนักหยินหยาง ท่านตั้งใจจะเป็นอริกับข้าจริงๆอย่างนั้นหรือ?”



 

 

 


ตอนที่ 531 สายตาของเขาทอดมองลงไปบนชื่...

 

สิ่งที่ตอบนางกลับมาก็คือเสียงพิณเกรี้ยวกราดเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร 


 


 


เสียงพิณสาดส่งออกมาเป็นสาย ราวกับมียอดฝีมือที่ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า ลงมืออย่างโหดเ**้ยม ทุกกระบวนท่าหมายชีวิต 


 


 


บีบบังคับให้ซ่งชิงอีต้องถอยกรูดติดๆกันไปตลอดทางจนออกนอกสำนักหยินหยางไป 


 


 


คราวนี้เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็ได้เห็นประจักษ์ด้วยสายตาของตนเอง เจ้าวังตันติ่งกงที่สูงส่งเลิศล้ำกลับถูกขับไล่ออกนอกประตูไปดุจสุนัขตัวหนึ่ง 


 


 


จุ๊ จุ๊….ภาพเช่นนี้ ถึงกับมีอยู่จริงๆ! 


 


 


กระทั้งเมื่อซ่งชิงอีถูกขับไล่ออกไปจากเขาหยินหยางของสำนักหยินหยาง เสียงพิณที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารถึงได้หยุดลง 


 


 


ผู้คนในสำนักหยินหยางต่างก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 


 


 


เสียงพิณนั่นช่างน่าตื่นตระหนก แค่ได้ยินเสียงก็แทบจะทำให้คนเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร 


 


 


ช่างโหดเ**้ยมเกินไปแล้ว! 


 


 


คราวนี้ยิ่งไปมีผู้ใดกล้าเอ่ยอะไรออกมาทั้งสิ้น 


 


 


เหล่าศิษย์สตรีที่เดิมทียังคอยแอบมองไปที่หน้าต่าง ยามนี้ก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ 


 


 


ขนาดซ่งชิงอีแห่งวังตันติ่งกงก็ยังถูกขับไล่ออกไป….ก็เป็นที่แน่ชัดได้เลยว่าพวกนางยิ่งไม่มีโอกาสใดๆทั้งสิ้น 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนางจึงพากันสรุปออกมาข้อหนึ่ง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักคนใหม่….ไม่ชื่นชอบอิสตรี! 


 


 


อืม….จะต้องไม่มีความสนอกสนใจต่อสตรีแม้แต่น้อย ดังนั้นถึงได้ไม่เห็นแม้แต่ซ่งชิงอีอยู่ในสายตา 


 


 


แต่ว่าเหล่าศิษย์บุรุษในสำนักยิ่งอยากจะร่ำไห้แล้ว….. 


 


 


ท่านเจ้าสำนักคนใหม่ ไม่เพียงแต่ไม่ชอบอิสตรี 


 


 


แม้แต่บุรุษเขาก็ไม่ชอบต่างหากรู้ไหม!? 


 


 


คนเหมือนกับแท่งน้ำแข็งที่อยู่สูงส่ง ผลักไสผู้คนไกลออกไปนับพันลี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อยู่ในสายตาของเขาทั้งนั้น! 


 


 


นี่คือเรื่องจริง ถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปโฉมที่แสนงดงาม แต่ว่าใครๆก็ไม่อาจได้มีโอกาสชื่นชมแม้แต่น้อย ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน 


 


 


………………… 


 


 


ภานในห้อง แสงเทียนอ่อนสลัวลงไปอีกหลายส่วน 


 


 


ปลายนิ้วของบุรุษผู้นั้นที่พึ่งจะแตะลงไปบนสายพิณโบราณอีกครั้ง ช่างซีดขาว 


 


 


เขามิได้ดีดเสียงพิณออกมาอีก 


 


 


พอมองดูให้ละเอียด จึงจะเห็นว่าปลายนิ้วที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อนั้นที่จริงเป็นสีขาวของกระดูก 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ เขาถึงได้ค่อยๆยกปลายนิ้วออกมาจากสายพิณ ยื่นมือออกไปยังแสงไฟที่ส่องอยู่ 


 


 


นิ้วทั้งหมดและกว่าครึ่งของฝ่ามือเป็นเพียงโครงกระดูกที่ขาวโพลน แต่พอถูกแสงไฟจับ ดูแล้วก็งดงามอย่างแปลกประหลาด 


 


 


มือของเขาโบกช้าๆอยู่ท่ามกลางแแสงไฟครู่ต่อมาค่อยเอ่ยกับตนเองว่า “ยังคงไม่อาจหายดีได้หรือ?” 


 


 


ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดอยู่ที่ข้างกายแล้ว แต่ว่าน้ำเสียงก็ยังคงเย็นยะเยือกจนทึมทึบ 


 


 


เพียงแค่เอ่ยปากขึ้นมา รอบกายก็เหมือนดังมีเหล่าวิญญาณมากมายรายล้อม  


 


 


ผ่านไปอีกครู่ เขาจึงค่อยดึงมือของตนเองกลับมา ปรายตาลงไปที่ภาพใบหนึ่งบนโต๊ะ 


 


 


ภาพใบนั้น ไม่ว่าแว่นแคว้นต่างๆและขุมกำลังทั้งใหญ่และเล็กในแดนจิ่วโจวทั้งหมดล้วนมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 


 


 


ภาพของสตรีในชุดสีแดงเพลิง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นแสนจะทรนงไม่ย่อท้อต่อพายุโหมกระหน่ำ 


 


 


นางทั้งงดงามทั้งองอาจ อายุก็เพียงแค่สิบแปดปี แต่สตรีในภาพกลับทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความสู่งส่งที่ผู้ใดก็ไม่อาจเอื้อม 


 


 


ใต้ภาพใบนั้น มีอักษรเขียนกำกับเอาไว้ 


 


 


ฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณ—ตู๋กูซิงหลัน 


 


 


สายตาของเขาทอดลงไปบนชื่อของนาง เนิ่นนาน โดยไม่เคลื่อนไหว 


 


 


……………….. 


 


 


  


 


 


อีกครึ่งปีหลังจากนั้นตู๋กูซิงหลันจึงได้เดินทางไปยังจิ่วโจว 


 


 


เพราะถึงอย่างไรนางก็พึ่งจะกลายเป็นจักรพรรดินีแห่งดินแดนทั้งหมดย่อมต้องจัดการเรื่องราวมากมาย ทีละอย่างทีละอย่างไป ประกอบกับฝึกฝนตนเองอย่างไม่ยอมหยุด เมื่อจัดการเรียบร้อยเวลาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว 


 


 


ตลอดครึ่งปีมานี้ มีผู้คนจากจิ่วโจวเดินทางมาไม่น้อย แต่ทั้งหมดล้วนจมลงสู่ทะเลตะวันตก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยินดีฆ่าผิดสามพันแต่ไม่ขอปล่อยศัตรูเล็ดลอดเข้ามาแม้เพียงหนึ่ง นอกจากเซียวเฉิงแล้ว ก็ไม่มีกลุ่มใดของจิ่วโจวได้ขึ้นฝังแม้แต่กลุ่มเดียว 


 


 


ทั้งหมดล้วนถูกนางใช้ฝีมือต่างๆนานาขับไล่กลับไป 


 


 


รอจนเมื่อนางเดินทางไปถึงฝั่งดินแดนจิ่วโจวด้วยตนเอง ถึงได้ประจักษ์ทำไมดินแดนนี้จึงเป็นโลกของผู้ฝึกฝนบำเพ็ญ 


 


 


แค่สูดอากาศเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงไอทิพย์ ถึงแม้มิได้เข้าขั้นบริสุทธิ์ แต่จะอย่างไรก็เข้มข้นกว่าในดินแดนโบราณของตนเองมากมายนัก 


 


 


นางเดินทางมาเพียงคนเดียว 


 


 


อ้อ ยังนำเจ้าติ๊งต๊องมาด้วย 


 


 


ราชาหมาป่าตะวันตก และจู๋จู๋ล้วนถูกนางทิ้งเอาไว้ที่เมืองหลวงของต้าโจว 


 


 


เพราะตอนนี้ดินแดนนี้มีแต่ความวุ่นวาย ไม่แน่ว่าแค่นางเดินทางมา ก็อาจจะมีพวกนักพรตประหลาดอะไรไปก่อนความวุ่นวายที่นั่นได้ 


 


 


จู๋จู๋จะอย่างไรก็เป็นสายเลือดของบรรพชนมังกร มีพลังพอที่จะสกัดขัดขวาง 


 


 


พี่ใหญ่ ท่านตา และหลงเซียวล้วนอยู่ที่ต้าโจว เรื่องที่สมควรกระทำในช่วงสามปีนี้นางล้วนมอบหมายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว 


 


 


พวกเขาย่อมรู้จักหนักเบา ไม่ปล่อยให้ดินแดนแห่งนี้ต้องเกิดเรื่องโดยง่ายอย่างแน่นอน 


 


 


“กะ กะ กะต๊าก!” ทันทีที่ติ๊งต๊องขึ้นจากทะเลมาถึงริมฝั่งได้ก็ไปตะเกียกตะกาย อยู่บนชายหาด 


 


 


มันคุ้ยเขี่ยหาหอยอยู่บนหาดทราย ใช้เท้าตะกุยทรายอย่างยินดีจนได้หอยขึ้นมาหลายต่อหลายตัว” 


 


 


พี่สาวตัวน้อย ที่นี่ช่างยอดเยี่ยมไปเลย กะ กะ กะต๊าก!” ติ๊งต๊องทางหนึ่งคุ้ยเขี่ยทางหนึ่งจิกเปลือกหอยให้เปิดออก “ห่างกันแค่มหาสมุทรกางกั้น ไอทิพย์ก็แตกต่างกันถึงเพียงนี้?” 


 


 


“ดูหอยตัวที่ทั้งใหญ่และอวบอ้วนนี่สิ ต้องอยู่ในที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยไอทิพย์เพียงไหนถึงจะสามารถเติบโตได้ถึงขนาดนี้!” 


 


 


กรงเล็บของติ๊งต๊องคีบหอยเอาไว้ตัวหนึ่ง ทั้งที่หยิบมาอย่าง่ายๆแต่ก็มีขนาดเท่าลูกฟุตบอลแล้ว พอเปิดเปลือกออก ก็มีเนื้อหอยที่ทั้งสดและหวานหอม 


 


 


ที่อลังการมากที่สุด ก็คือในเนื้อหอยทุกๆตัวมีไข่มุกเม็ดโต 


 


 


ใหญ่เท่าไข่ไก่ มันน่าไหมเล่า? 


 


 


ติ๊องต๊องค่อยๆคาบไข่มุกออกมาอย่างระมัดระวัง ส่งให้กับตู๋กูซิงหลันอย่างประจบประแจง กระทั่งขนตรงก้นของมันก็ยังกระดกไปมา 


 


 


ดูสิ พี่สาวตัวน้อยออกเดินทางมาตั้งไกล แต่กลับนำมันมาเพียงตัวเดียว 


 


 


แม้แต่เจ้าราชาสุนัขป่าและจู๋จู๋ก็ไม่ต้องการพามาด้วย 


 


 


นี่แสดงให้เห็นชัดเลยว่า ตอนนี้ในใจของพี่สาวตัวน้อย มันก็คือตัวโปรดอันดับหนึ่ง! 


 


 


อืม ถ้าหากว่าเจ้าวิญญาณทมิฬนั่นไม่ปรากฏตัวออกมาละก็ มันคงได้เป็นตัวโปรดอันดับหนึ่งและสุขใจเช่นนี้ตลอดไป! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูไข่มุกที่ติ๊งต๊องส่งมาให้ ทั้งกลมเกลี้ยงและเปล่งประกาย แต่ละลูกล้วนสมบูรณ์ไร้ตำหนิ สีสันก็งดงามอย่างยิ่ง ทำให้คนต้องชื่นชอบ 


 


 


นางเก็บเอาไว้ในถุงเฉียนคุน “ดินแดนจิ่วโจวนี้ไม่เหมือนกับดินแดนของพวกเรา ไม่ว่าทำเรื่องใดเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก อย่าได้โอ้อวดให้มาก เข้าใจหรือไม่?” 


 


 


ติ๊งต๊องโคลงศีรษะรอบหนึ่ง “ ? ? ?” 


 


 


มันขยับปีก จากนั้นก็ผงกหัวอย่างหนักแน่น “พี่สาวตัวน้อย ข้าก็ถ่อมตัวอยู่ตลอดอยู่แล้ว กะ กะ กะต๊าก!” 


 


 


นานๆทีถึงจะพ่นไฟ หรือต่อยตีกับผู้อื่น…. 


 


 


บนดินแดนจิ่วโจวนี้ กุ๊กๆที่สามารถพูดกับมนุษย์ได้เช่นมัน น่าจะพอมีอยู่ไม่น้อยกระมัง? 


 


 


ว่าตามจริงนะ มันคาดหวังเอาไว้มาก อยากจะได้พบเจอพวกเดียวกันบ้าง 


 


 


เพราะว่ามันเป็นกุ๊กไก่ที่ทั้งแข็งแกร่งและเย่อหยิ่ง ไก่อื่นๆย่อมไม่คู่ควรกับมัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันลูบศีรษะของมันเบาๆ ตอนนี้นางเปลี่ยนเครื่องแต่งกายไปแล้ว 


 


 


กลายเป็นหนุ่มน้อยในชุดสีดำ เส้นผมยาวสลวยสีเงินเข้มอมดำรวบเป็นทรงหางม้าสูง ใบหน้าเล็กๆเพียงฝ่ามือยิ่งดูหล่อเหลาอย่างที่สุด 


 


 


เมื่อออกเดินทางไกล ฐานะของอิสตรีมีเรื่องไม่สะดวกมากมาย ตู๋กูซิงหลันจึงตัดสินใจแต่งเป็นชาย 


 


 


พึ่งเดินออกจากชายหาดมาได้ไม่นาน ก็เห็นว่าป่าทึบตรงข้ามมีแสงไฟสว่างเรืองรอง 


 


 


ในป่ามีเสียงบุรุษมากมายตะโกนด่าทอและเสียงสตรีและเด็กร้องไห้คร่ำครวญ 


 


 


ยามที่ตู๋กูซิงหลันพาติ๊งต๊องไปถึง ก็เห็นหนุ่มน้อยอายุสิบกว่าปีสองคนถูกผู้อื่นใช้เถาวัลย์มัดเอาไว้ จับแยกกันอยู่บนเกี้ยวอ่อนคนละหลัง 


 


 


หนุ่มน้อยทั้งสองสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ สีหน้าแสดงความตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างที่สุดออกมา แววตาทั้งไร้หนทางและสิ้นหวัง 



 

 

 


ตอนที่ 532 ขอบคุณบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่น...

 

“นี่จะถูกส่งไปเป็นเสบียงหรือยังไง ทำไมแต่ละคนทำท่าอยากตายขนาดนั้น กะกะกะต๊าก” 


 


 


ติ๊งต๊องยืนอยู่ข้างหลังตู๋กูซิงหลัน ยื่นหัวออกไปเพียงครึ่งเดียว แต่กลับมองดูคนกลุ่มนั้นอย่างสนอกสนใจ สองตาไก่กุ๊กของมันจับจ้องไปที่สาวน้อยทั้งสองอย่างไม่วางตา 


 


 


หนุ่มน้อยสองคนนั้นผิวพรรณขาวสะอาดหน้าตาหมดจด เครื่องหน้างดงาม จัดอยู่ในประเภททั้งคิ้วคมตาโต 


 


 


แค่เห็นก็กระตุ้นความอยากอาหารของผู้คน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยู่ไม่ห่างจากคนกลุ่มนั้นเท่าไรนัก พอติ๊งต๊องเอ่ยปากออกมา เสียงของมันย่อมถูกคนได้ยิน 


 


 


ชายฉกรรจ์หลายคนในกลุ่มหันมาในทันที สายตาของพวกเขาไม่เป็นมิตร ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร 


 


 


พอเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพียงหนึ่งคน หนึ่งไก่ ไอสังหารของคนกลุ่มนั้นก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิม 


 


 


“จ้องอะไรของพวกเจ้า ไม่เคยเห็นไก่ที่พูดได้อย่างเฮียมาก่อนหรือไง?” ติ๊งต๊องว่าท่าโอหังอย่างเต็มที่ สองปีกกระพืออยู่ข้างเอว อุ้งเท้าข้างหนึ่งตวัดขึ้นมา สองตาไก่กุ๊กของมันจ้องเขม็ง 


 


 


เกิดเป็นไก่ทั้งที ย่อมไม่มีทำหงอคอหดอยู่แล้ว 


 


 


ถูกคนจ้องมาแล้วไม่จ้องตอบ มีอย่างที่ไหน? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ห้ามปรามมัน ดวงตาดอกท้อเพียงหรี่ลงครึ่งหนึ่ง จับตาดูอย่างเงียบๆ 


 


 


ป่าแห่งนี้อยู่ใกล้ฝั่งทะเล เป็นจุดแรกของการเข้าสู่ดินแดนจิ่วโจว 


 


 


ตอนที่พึ่งมาถึงชายป่า ตู๋กูซิงหลันก็พบแล้วว่า ที่นี่มีสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งสามารถอาศัยอยู่ในเขตที่เต็มไปด้วยสัตว์วิญญาณ ก็แสดงว่า ‘ชาวบ้าน’ กลุ่มนี้จะต้องไม่ใช่ชาวยุทธธรรมดา 


 


 


โดยเฉพาะเมื่อติ๊งต๊องโผล่ออกมาเจรจากับพวกเขานั้น สีหน้าของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ดูจะแปลกใจมากสักเท่าไร 


 


 


เพียงแต่เกิดความสงสัยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็คืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว 


 


 


พวกเขามองดูติ๊งต๊อง จากนั้นก็พากันหันเหสายตามาที่ตู๋กูซิงหลัน 


 


 


หนุ่มน้อยผู้นี้อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปโฉมขาวสะอาดหมดจด หัวคิ้วหางตามีชีวิตชีวา สวมใส่เสื้อผ้าปราณีตเนื้อดี เพียงแต่บนร่างปราศจากพลังวิญญาณเคลื่อนไหว 


 


 


เป็นคนที่มาจากนอกป่าชายทะเล 


 


 


“ไอ้ไก่งี่เง่านี่เป็นของเจ้าหรือ?” ครู่หนึ่ง ชาววัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้ารัดกุมผู้หนึ่งก็เดินออกมา สายตาของเขาจับจ้องตู๋กูซิงหลันอย่างพิจารณา ทั้งยังประเมินอยู่ตลอด 


 


 


ราวกับว่ากำลังกะประมาณเนื้อติดมันที่ส่งมาถึงหน้าประตู 


 


 


“เป็นของบ้านข้าเอง” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดกัน “พึ่งจะหัดพูดภาษาคนเป็น” 


 


 


พอนางพูดจบ หัวคิ้วของคนผู้นั้นก็อดที่จะขมวดไม่ได้ 


 


 


ไอ้หนุ่มผู้นี้ไม่ได้ใช้คำหยาบคายแม้แต่คำเดียว แต่กลับเหมือนดูถูกพวกเขาอย่างไรก็ไม่รู้ 


 


 


เห็นอยู่ชัดๆว่ามันหมายความว่า พวกเขากำลังหาเรื่องกับไก่ที่พึ่งจะหัดพูดเป็นหรือ? นี่มิเท่ากับด่าว่าพวกเขาเองก็เทียบเท่าสัตว์เดรัจฉานหรอกหรือ?  


 


 


ที่ด้านหลังของบุรุษเหล่านั้น มีสตรีอยู่หลายคน ตอนแรกสตรีเหล่านั้นยังร้องไห้คร่ำครวญอยู่เลย ใบหน้ายังมีน้ำตาไม่ขาด แต่แล้วก็พากันหยุดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันมามองดูตู๋กูซิงหลัน 


 


 


สายตาของพวกนางมีทั้งออกจะสับสน ยินดี และเสียดายปะปน มีสตรีสองสามคนถึงกับส่งเสียงฮึดฮัดอย่างฉุนเฉียวออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจปฏิกริยาของคนเหล่านั้น นางเพียงแต่เหลือบมองดูสองหนุ่มน้อยที่ถูกจับมัดเอาไว้บนเกี้ยวอ่อนด้วยท่าทางประหลาดใจ 


 


 


“ข้าพึ่งจะผ่านมาทางนี้ มิทราบว่าหมู่บ้านของท่านเกิดเรื่องใดกัน แล้วน้อยชายสองคนนี้?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็ชี้นิ้วไปทางสองหนุ่มน้อย “ทำไมถึงได้ท่าทางเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง?” 


 


 


สองหนุ่มน้อยคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆก็จะมีคนนอกโผล่มจากไหนไม่รู้ พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ๆก็ได้เห็นแสงสว่าง จึงพากันดิ้นรนขึ้นมา 


 


 


หนึ่งในหนุ่มน้อยที่ถูกมัดเอาไว้ดิ้นรนจนผ้าคาดปากหลุดออก หันมาตะโกนกับนางว่า “พวกเรากำลังจะถูกส่งไปเสวยสุขต่างหาก รู้จักสำนักหยินหยางไหม? พวกเขาจะรับศิษย์ใหม่ พวกเราจะถูกส่งไปเป็นศิษย์ใหม่ไงล่ะ” 


 


 


 พอหนุ่มน้อยผู้นั้นพูดจบ เหล่าคนที่อยู่ในที่นั้นก็ทำสีหน้าปั้นยากออกมา 


 


 


หนุ่มน้อยอีกคนก็หันไปมองดูเขาด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หืม? เสวยสุข? สำนักหยินหยาง?” 


 


 


“ใช่แล้วๆๆ พวกเขาจะถูกส่งไปเสวยสุขที่สำนักหยินหยาง” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งรีบพยักหน้าสนับสนุน 


 


 


นางทางหนึ่งสนับสนุน ทางหนึ่งก็เดินออกมาข้างหน้าหลายก้าว ใช้ศอกกระทุ้งชาววัยกลางคนที่เป็นผู้นำคนนั้น 


 


 


“ใช่แล้ว” ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้สติขึ้นมา ก็พยักหน้าตาม 


 


 


สายตาของเขาทอดอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน “เห็นเจ้าอายุยังน้อย หน้าตาก็ดี ไยจึงไม่ไปเสวยสุขเป็นศิษย์ของสำนักหยินหยางเล่า” 


 


 


ว่าแล้วเขาก็กล่าวเสริมอีกว่า “ตอนนี้ในดินแดนจิ่วโจว สำนักหยินหยางถือเป็นสำนักที่โด่งดังอย่างคึกคักที่สุดแล้ว มีผู้คนตั้งเท่าไหร่ที่วาดฝันว่าจะได้เข้าเป็นศิษย์ โอกาสที่ดีงามและหาอยากเช่นนี้เจ้าอย่าได้พลาดไปเชียว” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าความฉลาดของตนถูกบดบี้ลงไปกับพื้นดิน 


 


 


มีสำนักไหนรับศิษย์แล้วต้องหามไปราวกับหมูหันเช่นนี้กัน? 


 


 


แม้แต่ติ๊งต๊องยังรู้สึกเหมือนถูกดูถูกเลย! 


 


 


แต่ว่าสีหน้าของตู๋กูซิงหลันกลับไม่มีวี่แววของความสงสัยแม้แต่น้อย ทั้งยังเพิ่มพูนความบริสุทธิ์ใสซื่อขึ้นมาอีกหลายส่วน 


 


 


นางเอียงศีรษะ ถามออกไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป็นเรื่องจริงหรือ? ตอนที่ข้าอยู่ที่บ้านก็ได้ยินมาว่า สำนักหยินหยางเก่งกาจมาก! หากว่าเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักหยินหยาง จะมีโอกาสได้พบหน้าเจ้าสำนักคนใหม่หรือไม่? ข้านับถือเขามากเลย!” 


 


 


ตอนที่อยู่ในดินแดนโบราณ หลงเซียวใช้ฝีมือรีดเร้นข้อมูลจากเซียวเฉินจนแห้งเหือด ทั้งเรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูด เซียวเฉินล้วนสารภาพออกมาจนหมดแล้ว 


 


 


เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักหยินหยาง ตู๋กูซิงหลันจึงมีความเข้าใจอยู่ไม่น้อย 


 


 


ที่นางเดินทางมายังจิ่วโจว หนึ่งเพื่อตามหาพี่รอง สองคิดจะกำจัดขุมกำลังในดินแดนจิ่วโจวที่เป็นเภทภัยต่อดินแดนโบราณให้ตายเสียตั้งแต่ในมุ้ง 


 


 


ตอนนี้ดูๆแล้ว ผู้ที่เป็นภัยมากที่สุดก็คือเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยางนั่นเอง 


 


 


เรื่องที่สองหนุ่มน้อยถูกส่งไปเสวยสุขย่อมเป็นเรื่องโกหก แต่ว่าพวกเขากำลังจะถูกส่งไปที่สำนักหยินหยางนั้นเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าส่งไปทำอะไร นั้นยังไม่แน่ 


 


 


“ย่อมต้องเป็นเรื่องจริง!” หนุ่มน้อยผู้นั้นรีบตอบ “เจ้าไม่เห็นหรือว่า ข้ากับน้องชายดีใจกันขนาดไหน?” 


 


 


เมื่อครู่เขายังหลั่งน้ำตานองหน้าอยู่เลย ตอนนี้กลับลิงโลดขึ้นมา ราวกลับกลัวว่าตู๋กูซิงหลันจะไม่เชื่ออย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“สำนักหยินหยางชื่นชอบศิษย์ที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดแล้ว น้องชาย เจ้าก็นับว่าน่าตาดีมาก หากไปละก็จะต้องได้รับความโปรดปรานเป็นแน่ จะต้องได้เห็นหน้าท่านเจ้าสำนักคนใหม่ทุกๆวัน!” 


 


 


ตาขาวของติ๊งต๊องแทบจะกรอกขึ้นฟ้าไปแล้ว 


 


 


พวกเขาคิดว่าพี่สาวตัวน้อยเป็นเพียงเด็กปัญญาอ่อนในบ้านของตนเองหรือยังไง? 


 


 


ถ้าหากเชื่อพวกเขาก็มีหวังโดนผีหลอกตอนกลางวันแสกๆแล้ว 


 


 


“ใช่แล้ว เรื่องที่ดีๆแบบนี้ เจ้าได้พบเข้าอย่างบังเอิญ คนในหมู่บ้านชายขอบอย่างพวกเราล้วนเป็นคนมากเมตตามีน้ำใจ นี่ถือเป็นวาสนา ยินดีจะไปส่งเจ้าสักครั้งถือเป็นการกระทำความดี” สตรีวัยกลางคนรีบบอกออกมา 


 


 


“เช่นนั้นก็ดีเลย ตกลงเช่นนี้ละ ส่งน้องชายน้อยผู้นี้ไปพร้อมกัน เรื่องดีๆอย่างการไปเสวยสุขที่สำนักหยินหยาง ย่อมไม่สมควรจะปล่อยให้บุตรหลานของพวกเราได้รับแต่เพียงฝ่ายเดียว” ชายวัยกลางคนผู้นั้นว่าต่อไป 


 


 


เขาพูดจบแล้ว เขาก็ก้าวเท้ายาวๆมาที่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน มือใหญ่ข้างหนึ่งตบลงบนบ่าของตู๋กูซิงหลันหนักๆครั้งหนึ่ง 


 


 


เพียงเท่านี้ก็สามารถ ‘จับตัว’  ตู๋กูซิงหลันไว้ได้อย่างแสนจะง่ายดาย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้ขัดขืน นางทำเหมือนเป็นหนุ่มน้อยอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ ทั้งยังไร้เดียงสาอย่างยิ่ง 


 


 


“ไม่น่าเชื่อว่าในใต้หล้าจะมีเรื่องดีๆเช่นนี้ ข้าต้องขอขอบคุณบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าแล้ว” 



 

 

 


ตอนที่ 533 ถูกส่งไปตาย

 

นางส่งยิ้มให้อย่างไร้ข้อกังขาใดๆ 


 


 


หากว่ามิได้นับที่พูดถึงบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของพวกเขา ทุกคนก็คงจะเชื่อถือท่าทางของนางแน่แล้ว 


 


 


คำพูดของนางทำให้คนในหมู่บ้านรู้สึกไม่ดีอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ว่าก็ไม่อยากจะถือสาหาความกับนางในเรื่องนี้ 


 


 


หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าชายกลางคนที่ท่าทางเป็นผู้นำนั้นไปสรรหาเถาวัลย์มาจากไหนเส้นหนึ่ง เขาใช้มือข้างเดียวจับบ่าขอตู๋กูซิงหลันเอาไว้ จากนั้นก็จับนางมัด 


 


 


หนุ่มน้อยที่มีรูปโฉมหมดจดเช่นนี้ หากว่าส่งไปที่นั่น บุตรชายทั้งสองของเขา….ก็ไม่ต้องถูกส่งไปตายแล้ว 


 


 


ก่อนที่ชายกลางคนผู้นั้นจะมัดตัวตู๋กูซิงหลัน เขายังแอบส่งสายตาให้กับหนุ่มน้อยบนเกี้ยวทั้งสองครั้งหนึ่ง 


 


 


คนหนุ่มในหมู่บ้านถูกส่งออกไปหมดแล้ว….เหลือแต่บุตรชายทั้งสองของเขา นี่มิใช่ว่าบังเอิญหรอกหรือ? 


 


 


อยู่ๆก็มีหนุ่มน้อยที่ทั้งงดงามและโง่เขลาโผล่ขึ้นมา 


 


 


ดูท่าสวรรค์คงจะสงสารพวกเขา จึงได้ส่งคนมาเป็นผีตายแทน 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองดูตู๋กูซิงหลันอีกสักสองรอบ ในใจก็ประเมินดูว่า ด้วยรูปลักษณ์ของหนุ่มน้อยผู้นี้ สมควรจะแทนที่บุตรชายทั้งสองของเขาได้กระมั้ง? 


 


 


เพราะว่าที่นั่น….ชื่นชอบบุรุษที่รูปงามที่สุด หนุ่มน้อยที่ยิ่งงดงามยิ่งทรงคุณค่า บางทีหากส่งหนุ่มน้อยผู้นี้ไปก็อาจจะสามารถแลกกับความปลอดภัยของบุตรทั้งสองของเขาได้ 


 


 


เช่นนี้มือของเขาก็ยิ่งเพิ่มกำลังมากกว่าเดิม ราวกับว่าตัดสินใจได้แน่ชัดแล้ว 


 


 


สตรีวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็คอยจับตาดูอยู่ตลอด นางแทบจะอยากพุ่งออกไปจับมัดตู๋กูซิงหลันด้วยตนเอง ราวกับกลัวว่าจะเผลอทำนางหลุดมือไปอย่างนั้น 


 


 


ชาวบ้านทั้งหมดต่างก็พากันกลั้นลมหายใจ แต่บางคนก็ทำท่าเหมือนรู้สึกไม่ดีออกมา 


 


 


เนื่องเพราะบุตรของพวกเขาต่างก็ถูกจับส่งไปที่นั้นหมดแล้ว….เหลือแต่บุตรสองคนของหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น เดิมทีนี่ก็ทำให้คนอึดอัดใจมากอยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆก็จะมีหนุ่มน้อยที่งดงามโดดเด่นปรากฏตัวขึ้นมา 


 


 


นี่มิเท่ากับว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยังช่วยปกป้องบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านหรอกหรือ? 


 


 


ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำคนนั้น ก็คือหัวหน้าหมู่บ้านนั่นเอง 


 


 


แต่ว่าพวกเขาก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ภายในใจเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรหัวหน้าหมู่บ้านก็คือผู้ฝึกตนคนหนึ่ง….เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจล่วงเกินได้ 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ก้มหน้ารับความโชคร้ายแล้ว ….บางทีนี่อาจจะเป็นชะตาของบุตรตนเอง ดังนั้นถึงได้….. 


 


 


สตรีที่ออกเรือนแล้วของหมู่บ้านบางคนเริ่มหลังน้ำตาออกมา 


 


 


ไม่มีหนทางอื่น ใครใช้ให้ดินแดนจิ่วโจวนี้เป็นสถานที่ที่ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอกันเล่า? 


 


 


หมัดของผู้ใดแข็ง ผู้นั้นก็สูงส่งกว่า มีอำนาจมากกว่า 


 


 


คราวนี้ หัวใจของหนึ่งในสองหนุ่มน้อยที่ถูกมัดตัวไว้ก็สามารถถอนหายใจยาวได้แล้ว 


 


 


           เขากับพี่ชายยังไม่ถึงกับชะตาขาด มีผีตายแทนส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู ช่างโชคดีเหลือเกิน 


 


 


ขณะที่ทุกคนต่างก็คิดว่าตู๋กูซิงหลันกำลังถูกหัวหน้าหมู่บ้านมัดตัวอยู่นั้น ก็พลันเห็นว่า แค่หนุ่มน้อยผู้นั้นสะบัดหัวไหล่ออกมาก็ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านที่หนักเกือบสองร้อยชั่งถึงกับล้มลงบนพื้น 


 


 


           “ตึ้ง!” ได้ยินเสียงดังชัดเจน ตรงส่วนที่หัวหน้าหมู่บ้านล้มลงถึงกับกลายเป็นหลุมยุบลงไป 


 


 


กว่าครึ่งร่างของหัวหน้าหมู่บ้านจมลงไปในดิน พอเขาพึ่งจะขยับดิ้นรน ก็ได้ยินเสียงกระดูกทั่วร่างหักสะบั้น ราวกับถูกพลังที่แข็งแกร่งบางอย่างหักมัน 


 


 


           เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทุกคนไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆ 


 


 


           ตู๋กูซิงหลันยกเท้าขึ้นมาข้างหนึ่ง เหยียบลงไปบนหน้าท้องของหัวหน้าหมู่บ้าน ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเหลือบดูอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ข้าเป็นคนนิสัยอ่อนโยน อารมณ์ดีอยู่เสมอ นอกจากขอบคุณบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าแล้ว ย่อมต้องขอบคุณเจ้าด้วย” 


 


 


           หัวหน้าหมู่บ้านจะอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตน แต่ยามนี้เห็นได้ชัดเลยว่า ตรงส่วนเอวของเขาเหมือนกับถูกบิดจนพับไปแล้ว 


 


 


           ทุกๆคน รวมทั้งหัวหน้าหมู่บ้านผู้นั้น “? ? ?” 


 


 


           ตู๋กูซิงหลันเหยียบลงไปแล้วเท้าหนึ่ง ก็ทำท่าเหมือนจะยกอีกเท้าหนึ่งตามลงไป บุรุษดูไปแล้วกำยำล่ำสันดุจเสือดุจหมี ในร่างยังมีพลังวิญญาณอยู่สายหนึ่ง แต่ไม่มีคุณค่าสักเท่าไร เท้านี้ของนางใช้กำลังออกไปเพียงสามส่วนเท่านั้น ก็ทำเอาเขากระดูหักจนหมดสิ้นแล้ว 


 


 


อืม….ยังอ่อนแออกว่าที่ตู๋กูซิงหลันคิดเอาไว้มากนัก 


 


 


ยังคงเป็นสตรีวัยกลางคนผู้นั้นที่ตาไวมือเท้ารวดเร็ว นางคุกเข่าลงที่เบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลันในทันที สองมือกอดอยู่บนเท้าน้อยๆของตู๋กูซิงหลัน วิงวอนต่อนางว่า “ท่านผู้กล้าโปรดเมตตายั้งมือ เขาเป็นคนแกร่งเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้าน หากท่านยังเหยียบลงไปอีกเท้าหนึ่ง เขาคงจะต้องถึงตายแน่แล้ว!” 


 


 


           นางพูดพลางก็หลั่งน้ำตาไปพลาง “พวกเราเพียงแต่ปรารถนาดี คิดจะมอบเส้นทางเสพสุขให้กับท่าน ทำไมอยู่ๆท่านถึงได้บุ่มบ่ามทำร้ายผู้คนเล่า?” 


 


 


           ใช่แล้ว ใครจะไปคิดว่า หนุ่มน้อยที่ดูเหมือนเป็นบัณฑิตอ่อนแอ ที่แท้แล้วจะมีพละกำลังมหาศาล 


 


 


           “กะ กะ กะต๊าก!” ติ๊งต๊องอยากจะออกไปถีบนางสักสองที “พวกเจ้าคิดว่า พี่ส…พี่ชายของพวกข้าเป็นไอ้โง่หรือยังไง? เส้นทางเสพสุขอันใด ไปสบายของพ่อเจ้าน่ะสิ!” 


 


 


           “ใจคิดคดแล้วยังจะมาทำเป็นมีคุณธรรมนำหน้า แสบนัก!” 


 


 


ติ๊งต๊องอารมณ์เสียจนระเบิดแล้วจริงๆ พูดแล้วมันก็กระโดดออกไปด้านหน้าของสตรีผู้นั้น ยกอุ้งเท้าปาดออกไปยังใบหน้าของนาง สตรีผู้นั้นถอยไม่ทัน จึงถูกติ๊งต๊องข่วนจนเลือดไหลเป็นทาง 


 


 


เลือดไหลลงมาจนคนใจสั่นตื่นตระหนก 


 


 


 เลือดสดๆหยดลงไปเป็นทางยาว 


 


 


           แต่ว่าบุรุษของนางก็ยังนอนกองอยู่บนพื้น พวกลูกๆก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ คนอื่นๆในหมู่บ้านก็พากันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาย่อมไม่กล้าให้การช่วยเหลือใดๆ 


 


 


ตอนแรกพวกเขายังคิดว่าหัวหน้าหมู่บ้านช่างโชคดี….ได้พบกับผีตายแทน 


 


 


แต่ใครจะไปรู้ว่า จะเตะไปเจอตอซัง! 


 


 


หนุ่มน้อยผู้นี้เสแสร้งได้สมจริงเกินไปแล้ว….จนนึกไปว่าเป็นลูกพลับนิ่มที่สามารถบีบได้เข้าจริงๆ  


 


 


หัวหน้าหมู่บ้านที่โฉดเขลาไปครั้ง เกือบจะทำเอาทั้งหมดต้องตายไปด้วยแล้ว 


 


 


หนุ่มน้อยทั้งสองคนต่างก็โง่งมไปแล้ว พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ……นางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้สนใจสตรีที่คร่ำครวญเป็นผีสางไปแล้ว นางเพียงปรายตาเย็นชาไปยังบุรุษที่นอนอยู่ในหลุม 


 


 


“ข้ามีความอดทนจำกัด ไม่ชอบพูดจาซ้ำเป็นครั้งที่สอง” นางถูปลายนิ้วเล่นเบาๆ จากนั้นก็ดีดนิ้วเป็นเสียงออกมา 


 


 


ทันใดนั้นแววตาของนางก็แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นไอสังหารท่วมท้น 


 


 


  ไอสังหารนั้นแทบจะกลายเป็นคมดาบแทงทะลุร่างของบุรุษผู้นั้น เดิมทีเขายังมีคำพูดคิดจะด่านางทั้งตระกูล แต่พอได้เห็นสายตาของนาง ก็ได้แต่กล้ำกลืนลงไป 


 


 


ไอ้หนุ่มผู้นี้อ่อนแอไร้เดียงสาอย่างที่เขาแสดงออกมาที่ไหนกัน? 


 


 


           ที่แท้แล้วเป็นหมาป่าหุ้มหนังแกะอยู่ชัดๆ! 


 


 


“ว่ามาเถอะ ว่าเจ้าโง่สองคนนี้ตกลงแล้วจะถูกส่งไปที่ไหน ทำอะไรกันแน่?” 


 


 


บุรุษผู้นั้นอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ ค่อยตอบว่า “ส่ง…ไปยังสำนักหยินหยาง….ข้ายังจะหลอกลวงท่านได้อีกหรือ?” 


 


 


“เป็นสำนักหยินหยางจริงๆ?” ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว 


 


 


นางไม่อยากจะมัวเสียเวลากับเขา จึงฉวยยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง ตบลงไปบนร่างของบุรุษผู้นั้น 


 


 


‘ยันต์วาจาสัตย์’ 


 


 


ผู้ที่ถูกยันต์นี้ได้แต่พูดความจริงเท่านั้น ยันต์นี้ใช้สำหรับควบคุมผู้ที่อ่อนแอกว่า 


 


 


บุรุษผู้นั้นพอถูกแปะยันต์ ก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง พูดออกมาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ 


 


 


“ส่งไปสำนักหยินหยาง…แต่ว่าไม่ได้ไปเป็นศิษย์ …ส่ง ส่งไปตาย” 


 


 


“ว่าต่อไป” ตู๋กูซิงหลันนั่งคร่อมอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ด้วยท่วงท่าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)