ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 528-534
บทที่ 528 ร่วมมือกับผีน่ะสิ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปลาซาร์ดีนไม่ใช่ชื่อชนิดปลาที่เฉพาะเจาะจง มันเป็นคำที่ชาวเอเชียใช้เรียกปลาในวงศ์ปลาหลังเขียว อย่างเช่นปลาแฮร์ริ่งมหาสมุทรแอตแลนติกกับปลาแฮร์ริ่งนอร์เวย์ที่มีอยู่อย่างมหาศาลในฟาร์มปลาของฉินสือโอว ล้วนเรียกว่าปลาซาร์ดีนทั้งสิ้น
ปลาชนิดนี้สามารถนำมาทำเป็นปลากระป๋องได้ มันมีรสชาติระดับกลางๆ ในหมู่พันธุ์ปลา แต่สำหรับปลาทูน่าแล้ว ปลาชนิดนี้ถือเป็นอาหารอันโอชะ!
ทำไมปลาทูน่าครีบน้ำเงินฝูงนั้นของฉินสือโอวถึงมาที่ฟาร์มปลาแล้วไม่ยอมจากไปน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าพวกมันยอมปล่อยปลาแฮร์ริ่งรสโอชาที่มีจำนวนมหาศาลพวกนี้ไปไม่ได้น่ะสิ
จะว่าไปแล้ว ปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็เป็นปลาที่มีโชคชะตาโหดร้ายชนิดหนึ่งเหมือนกัน เนื่องจากใช้วิธีการหายใจแบบปะทะ พวกมันจึงต้องเปิดปากขณะที่กำลังว่ายน้ำ ให้น้ำไหลผ่านบริเวณแก้มเพื่อดูดซับก๊าซออกซิเจน ดังนั้นพวกมันจึงทำได้เพียงว่ายน้ำด้วยความรวดเร็วไปตลอดทั้งชีวิต แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ไม่หยุดพัก ทำได้เพียงว่ายน้ำให้ช้าลงเพื่อลดการขับก๊าซ
หายใจว่าลำบากแล้ว กินอาหารกลับลำบากยิ่งกว่า ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเลือกกินอาหารมากๆ ทำไมพวกมันต้องว่ายน้ำตระเวนไปทั่วมหาสมุทร? ก็เพื่อหาอาหารที่จะทำให้พวกมันพึงพอใจนั่นเอง
ความยากของการเพาะเลี้ยงปลาทูน่ามีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือที่ว่าง ปลาทูน่าครีบน้ำเงินต้องการพื้นที่ในการดำรงชีวิตอย่างขนาดใหญ่มหาศาล สองคืออาหาร เงื่อนไขที่พวกมันมีต่อคุณภาพปลา สูงเท่ากันกับมนุษย์!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่เทซึกะ โกดะพูดก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล ฟาร์มปลาต้าฉินมีทรัพยากรปลาซาร์ดีนที่อุดมสมบูรณ์ บริเวณทางใต้ของฟาร์มปลาคือชายหาดน้ำตื้นจอร์จ จากฟาร์มปลาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็จะเป็นอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ ทั้งสองแห่งล้วนแต่เป็นแหล่งกำเนิดขนาดใหญ่ของปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ดังนั้นการคาดการณ์ของเขาก็คล้ายว่าจะถูกต้อง
แต่ฉินสือโอวไม่โง่ เขาจ้องมองเทซึกะ โกดะ ค่อยๆ เก็บอาการแล้วพูดกับเขาว่า “มิสเตอร์เทซึกะ เรือประมงของคุณ ไม่ได้สำรวจพบปลาซาร์ดีน แต่ตรวจพบปลาทูน่าครีบน้ำเงินต่างหากใช่ไหมล่ะครับ?”
ระหว่างที่กำลังพูด เขาก็มองไปที่บัตเลอร์
บริเวณรอบๆ ฟาร์มปลาของเขาไม่เคยมีเรือที่ไหนเข้าถึงมาก่อน นอกจากเรือของเขาเอง ก็มีเรือที่บัตเลอร์ส่งเข้ามาตอนมารับปลาแลมป์เพรย์กับราชาทูน่า
เรือประมงมักจะมีเครื่องมือจำพวกเครื่องโซนาร์ค้นหาปลา หากจะบังเอิญตรวจพบปลาทูน่าครีบน้ำเงินในเขตทะเลน้ำลึกของฟาร์มปลาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
พอถูกเขาจ้อง บัตเลอร์ทำแสยะปากอย่างกระอักกระอ่วน เขาก้มหน้าจิบเหล้าลงไปอึกหนึ่ง แล้วไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก
เทซึกะ โกดะเติมเหล้าให้ฉินสือโอวอีกแก้วหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉินซังเป็นคนที่มีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้นผมพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ฉินซัง พวกเราจะทำธุรกิจร่วมกันได้ไหมครับ? ถ้าหากว่ามีปลาทูน่าครีบน้ำเงินคุณภาพแบบนี้อีกสักสี่ถึงห้าตัว พวกเราจะสามารถร่วมมือกันปกครองตลาดโตเกียวได้เลยล่ะ!”
จะยังหาปลาสี่ห้าตัวอะไรอีก? ฟาร์มปลาของฉันมีอยู่มากขนาดนั้นจริงๆ แต่จะไม่ส่งให้แกหรอกนะ!
มีการแข่งขันถึงจะทำให้ได้ราคาสูง ฉินสือโอวรู้หลักการนี้
เทซึกะ โกดะมองตรงไปยังฉินสือโอวใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความกังวล “ฉินซัง คุณอาจจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าปลาทูน่าในฟาร์มปลาของคุณ คุณภาพดีมากจริงๆ ! เมื่อสองวันก่อนร้านซูชิของผมมีลูกค้าเข้ามาอย่างเนืองแน่น คนใหญ่คนโตหลายคนตั้งใจโทรศัพท์มาบอกให้ผมช่วยเก็บไว้ให้พวกเขาลองชิม ผมไม่เคยได้ลิ้มรสซูชิปลาทูน่าที่อร่อยขนาดนั้นมาก่อนเลย! พูดได้เพียงว่าเป็นเนื้อปลาคุณภาพดีที่ไม่เคยมีมาก่อน!”
ฉินสือโอวหัวเราะเฝื่อนๆ เขาแผ่มือทำท่าทางจนปัญญาแล้วกล่าวว่า “เทซึกะซัง ก่อนอื่นผมคงต้องพูดให้ชัดเจนก่อนว่า หนึ่ง ไม่ใช่ปลาทูน่าทุกตัวจะมีขนาดใหญ่ใหญ่จะมีคุณภาพดีแบบนี้ สอง ปลาทูน่าไม่ได้เฉพาะเจาะจงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พวกมันไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง วันนี้อยู่ที่ฟาร์มปลาของผม แต่พรุ่งนี้อาจจะหนีไปมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ก็ได้”
เทซึกะ โกดะยกคิ้วขึ้น เขาตอบกลับไปว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหา ข้อแรก ขอแค่เป็นปลาทูน่า เนื้อของมันก็คงมีคุณภาพไม่ต่างกันเท่าไรนัก ข้อสอง ขอแค่วันนี้ตกลงกันได้ พวกเราก็แค่ต้องส่งเรือลากอวนความเร็วสูงออกไป…”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ฉินสือโอวความรู้สึกด้านดีที่ฉินสือโอวมีต่อเขาก็หายไปทันที แม้ว่าบนใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้ม แต่ในใจของฉินสือโอวกลับหลุดด่าเขาออกไปแล้ว
เรือลากอวนความเร็วสูงเป็นเรือประเภทที่ใช้ในการจัดการกับปลาทูน่าโดยเฉพาะ เนื่องจากปลาทูน่าว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังมีการระวังตัวที่ดีเยี่ยม เมื่อสัมผัสได้ถึงเรือประมงที่เข้ามาใกล้พวกมันก็จะเพิ่มความเร็วแล้วว่ายน้ำหนีไป ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ที่ทำได้ทุกสิ่งจึงค้นคว้าและสร้างเรือลากอวนความเร็วสูงออกมา
เป็นเพราะเรือประเภทนี้นี่เองที่ก่อให้เกิดสภาวะใกล้สูญพันธุ์ของปลาทูน่า ไม่อย่างนั้นแค่เบ็ดตกปลาแบบมือธรรมดาจะสามารถตกปลาทูน่าได้สักกี่ตัวกันเชียว? ที่แคนาดาและอเมริกา เรือประมงกับเรือลากอวนชนิดนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้แล้ว
เทซึกะ โกดะพูดแบบนี้ ก็พอที่จะพูดได้ว่าวางแผนจะจับให้ไม่มีเหลือ ถ้าใช้เรือแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาเล็กปลาใหญ่ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะหนีพ้น
ถึงบัตเลอร์จะชอบเงิน แต่เขามีหัวใจในการปกป้องทะเลที่แข็งแกร่งกว่าคนญี่ปุ่นที่มุ่งแต่จะทำลายมัน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาก็ถึงกับส่ายหัวแล้วพูดขึ้นมาว่า “ไม่ เพื่อน ทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด! จับปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ แต่จะใช้เรือลากอวนไม่ได้เด็ดขาด!”
คนหนึ่งส่งเสริมคนหนึ่งคัดค้านส่วนอีกคนก็ไม่พูดอะไรออกมา บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน
พอดีกับที่ในตอนนี้นิชิมุระ เร็นเข้ามาบอกเทซึกะ โกดะว่าเตรียมวัตถุดิบอย่างปลาทูน่าครีบน้ำเงินเรียบร้อยแล้ว เทซึกะ โกดะจึงใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนเรื่อง เขาพูดขึ้นมาว่า “จะว่าไปภูมิหลังของตระกูลเทซึกะของผมก็คือการทำซูชิกับซาชิมิ แต่น่าละอายจริงๆ ที่ผมไม่ได้ศึกษาทักษะการทำอาหารแบบดั้งเดิมมาจากบรรพบุรุษของผม ทว่าวิธีการทำปลาทูน่าครีบน้ำเงินของผมก็ค่อนข้างพิถีพิถัน วันนี้ผมจะแสดงทักษะที่น่าประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง หวังว่าแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะให้เกียรติลิ้มรสมัน”
ขอแค่ไม่ใช่การคุยธุรกิจ ฉินสือโอวก็ยังรู้สึกเต็มใจที่จะเที่ยวเล่นกับเทซึกะ โกดะอยู่มาก ดื่มเหล้าเคล้าอาหารย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว
พอเทซึกะ โกดะเดินออกไปแล้ว ฉินสือโอวจึงเริ่มพูดคุยกับบัตเลอร์ พูดกับเขาอย่างไม่พอใจว่าทำไมถึงต้องตรวจสอบฟาร์มปลาของเขา
บัตเลอร์ยิ้มเจื่อนๆ พร้อมทั้งอธิบายว่าเขาไม่ได้เจตนาจะทำอย่างนั้น ในตอนนั้นขณะที่เรือประมงกำลังลอยผ่านเขตทะเลน้ำลึกก็ตรวจพบเงาของปลาใหญ่สี่ห้าตัว ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าเป็นพวกฉลาม
แต่เมื่อฉินสือโอวมาหาเขาเพื่อขอให้ไปจัดการราชาปลาตัวนี้ เขาก็เริ่มมีการตอบสนองกลับมา ปลาใหญ่พวกนั้นล้วนแต่เป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงิน! หลังจากนั้นเขาก็มาที่โตเกียวเพื่อติดต่อกับเทซึกะ โกดะ มีครั้งหนึ่งที่เขาดื่มเหล้ามากเกินไป จึงเผลอพูดเรื่องนี้ออกมา เทซึกะ โกดะก็จำจนขึ้นใจแล้ว
ฉินสือโอวแอบด่าตัวเองเรื่องที่เขาหาเหาใส่หัว ถ้าเขาจัดการอย่างเงียบๆ กว่านี้จะเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้หรือเปล่า? แต่เรื่องแบบนี้ก็คงปิดไม่มิดอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่ปีหน้า ฟาร์มปลาต้าฉินจะส่งออกปลาทูน่าครีบน้ำเงินอย่างล้นหลาม
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงอาหารจานหลักก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมแต่ละจานถูกยกขึ้นมาเสิร์ฟ ส่วนสำคัญย่อมต้องเป็นบรรดาเมนูปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่เทซึกะ โกดะทำ
เทซึกะ โกดะทำท่าทางมือเพื่อเชื้อเชิญ หลังจากนั้นก็ยกแผ่นเนื้อทอดสีเข้มขึ้นมาให้พวกเขาทาน
ฉินสือโอวไม่ได้ทานเข้าไปทันที ครั้งที่แล้วตอนที่ไปร่วมเทศกาลแมวน้ำของชาวเอสกิโมเขาถูกเมนูอาหารอย่าง ‘คิเวียก’ ทำให้เขากลัวจนเกิดเงามืดขึ้นในใจ ยิ่งรู้ว่าชาวญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารพิสดาร เมนูนี้มีรูปร่างแปลกประหลาดขนาดนี้ เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามันคืออะไร
บัตเลอร์หยิบขึ้นมาชิมหนึ่งแผ่น เขากินไปด้วยพยักหน้าไปด้วย แบบนี้ฉินสือโอวถึงหยิบขึ้นมาทานหนึ่งชิ้น คล้ายกับเนื้อแดดเดียวทอดอยู่นิดหน่อย ด้านนอกโรยผงยี่หร่า ทานเข้าไปแล้วมีรสชาติหอมกรอบอร่อย ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม
เมื่อเห็นว่าพวกเขาพากันทานเข้าไปแล้ว เทซึกะ โกดะก็ถามพร้อมรอยยิ้มว่า “รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ ทุกๆ ท่าน?”
ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วเอ่ยชมว่า “รสชาติดีจริงๆ ครับ ขอถามเทซึกะซังหน่อยนะครับ อาหารจานนี้ชื่อว่าอะไรเหรอครับ?”
“นี่เป็นหนึ่งในเมนูพิเศษจากร้านซูชิซังมัยของพวกเรา เกล็ดปลาทูน่าทอด!” เทซึกะ โกดะพูดอย่างภาคภูมิใจ
เกล็ดปลาทูน่าทอดกรอบ? ตอนอยู่ที่จีนฉินสือโอวเคยทานเกล็ดปลาทอดที่คล้ายๆ กันมาก่อนแล้ว ดังนั้นความรู้สึกกดดันจึงไม่มากนัก เพียงแต่รู้สึกว่าวิธีการทานแบบนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ก็เท่านั้น
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินดูแล้วเรียบลื่นอย่างยิ่ง แต่แท้ที่จริงพวกมันก็มีเกล็ดอยู่เหมือนกัน เกล็ดปลาก็คือเนื้อเยื่อสีดำที่อยู่ด้านนอกตัวปลา หลายคนคิดว่านี่เป็นหนังของพวกมัน แต่จริงๆ นังของมันจะอยู่ด้านล่าง มีสีสันเป็นสีเงิน
บทที่ 529 วิถีแห่งออนเซ็น
โดย
Ink Stone_Fantasy
เทซึกะ โกดะเป็นนักธุรกิจที่ช่ำชองและร้ายกาจ เห็นได้จากการทำอาหารจานนี้ของเขา ล้วนแต่เป็นการเอาน้ำเย็นเข้าลูบทั้งสิ้น เพื่อที่จะขอร้องฉินสือโอวแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นการพยายามอย่างเต็มที่
ตามแบบดั้งเดิม การทำอาหารโดยใช้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็คือเมนูซูชิกับซาชิมิ ทว่าเทซึกะ โกดะกลับใช้วิธีทำแบบอาหารจีนเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองด้วยเนื้อปลา
เมื่อใช้น้ำมันร้อนๆ ราดเกล็ดปลาแล้ว ส่วนหนังปลาก็ใช้การคลุกด้วยซอสแบบเย็น หลังจากใช้น้ำแข็งกดไว้แล้ว ความเย็นของน้ำแข็งจะทำให้หนังปลาทั้งนุ่มและมีความยืดหยุ่นมีความหนึบหนับกับความหอมจากเนื้อและไขมัน ทานแล้วให้ความรู้สึกแปลกใหม่
เนื้อปลาชิ้นใหญ่ถูกหั่นออกเป็นแผ่น เนื้อปลาที่อยู่ติดกับหนังกับกระดูกและเนื้อปลาชิ้นเล็กๆ บางส่วนที่ไม่เหมาะกับการนำมาทำซาชิมิถูกมีดเล่มเล็กขูดออกหมดแล้ว จากนั้นก็ห่อเนื้อปลาลงไปในแผ่นสาหร่ายโนริที่ผ่านการย่าง แล้วม้วนเป็นซูชิเทมากิ
“เชิญชิมโตเกียวเทมากิของพวกเรา ผมคิดว่ารสชาติของมันไม่เลวเลยล่ะครับ” เทซึกะ โกดะหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งมันให้กับฉินสือโอวด้วยท่าทางนอบน้อม
ฉินสือโอวกัดเข้าไปหนึ่งคำ ความสดอร่อยและความชุ่มฉ่ำนุ่มนวลของเนื้อปลาผสมผสานเข้าด้วยกัน ได้ทานแล้วก็ถือเป็นการเสพสุขแบบหนึ่ง
เมื่อทานซูชิเทมากิชิ้นนี้เข้าไป ฉินสือโอวก็นึกขึ้นได้ว่าฟาร์มปลาของตัวเอง คล้ายกับว่าจะมีผักจำพวกสาหร่ายโนริกับสาหร่ายผักกาดทะเลอยู่เหมือนกัน กลับไปครั้งนี้จะได้ลองทำอาหารญี่ปุ่นดู
เทซึกะ โกดะนำกระดูกปลาทูน่าครีบน้ำเงินชิ้นหยาบหนามาทำเป็นอาหารสองเมนู จานหนึ่งนำไปต้มซุปใส่มันฝรั่งกับแคร์รอต ส่วนอีกครึ่งที่เหลือก็นำไปย่างเกลือ
ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่างานเลี้ยงวันนี้จะได้ทานอาหารจำพวกซูชิ โซบะ กับอาหารญี่ปุ่นพวกที่ปั้นด้วยมืออะไรแบบนั้น แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น เทซึกะ โกดะเตรียมอาหารแบบดั้งเดิมไว้ไม่มากนัก
แน่นอนว่าไม่มากไม่ได้หมายความว่าไม่มี ซาชิมิย่อมต้องมีอยู่แล้ว เนื้อปลาสีขาวแวววาวหลายชิ้น พอฉินสือโอวใช้ตะเกียบคีบเข้าไปใกล้แสงแดด ก็แทบจะมองทะลุผ่านเนื้อปลาได้
“นี่คือเนื้อส่วนแก้มของราชาทูน่า ฉินซังลองชิมดูสักหน่อยเถอะครับว่ารสชาติถูกปากหรือเปล่า” นิชิมุระ เร็นช่วยเทซึกะ โกดะอธิบาย
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้ว่าตัวเองจำเป็นต้องลองชิมแล้ว น้อยคนที่จะรู้ว่าเนื้อส่วนที่ล้ำค่าที่สุดบนตัวของปลาทูน่าก็คือเนื้อบริเวณแก้ม เนื้อส่วนนี้จะขายเป็นออนซ์ หนึ่งออนซ์ซึ่งมีปริมาณไม่ถึงสามสิบกรัมสามารถขายได้ราคาห้าร้อยดอลลาร์สหรัฐ ราคาแพงกว่าทองคำอยู่มาก
พอทานปลาทูน่าเสร็จ ปูที่อยู่บนเตาอบก็สุกแล้ว
เทซึกะ โกดะช่วยฉินสือโอวแกะปูย่างทั้งชิ้น ฉินสือโอวรู้ว่านี่เป็นหนึ่งในเมนูอาหารปิ้งย่างของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ‘ซึงาตะยากิ’ และก็ถือว่าเป็นเมนูอาหารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง
ขณะที่กำลังแกะปู เทซึกะ โกดะก็พูดไปด้วยว่า “ได้ยินมาว่าฉินซังกับวินนี่ซังชอบทานปิ้งย่าง วันนี้เชิญลิ้มรสปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นของพวกเราสักหน่อยนะครับ ผมคิดว่านี่เป็นอาหารที่มีกลิ่นอายของท้องถิ่นอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
ต่อจากนั้นก็มีอาหารคาวเข้ามาเสิร์ฟอีก ฉินสือโอวดื่มสาเกไปพร้อมกับทานมื้ออาหารอย่างมีความสุข ถึงยังไงตอนที่เทซึกะ โกดะแนะนำเหล้ากับอาหารเขาก็เอ่ยชมไปหลายคำแล้ว พอถึงตอนที่คุยเรื่องธุรกิจฟาร์มปลาเขาก็ค่อยก้มหน้าก้มตาทานอาหาร
ไม่ว่ายังไงข้าราชการฉินก็มีประสบการณ์บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำจากบริษัทรัฐวิสาหกิจมาอย่างมากมาย เมื่อเทียบกันระหว่างความหน้าไม่อายกับความปลิ้นปล้อน เขาก็พอจะมีเล่ห์เหลี่ยมอยู่เหมือนกัน
เมื่อทานอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว เทซึกะ โกดะก็พาทั้งสามคนไปเดินรอบคฤหาสน์หนึ่งรอบ เล่าเรื่องวัฒนธรรมและประเพณีของการเกษตรญี่ปุ่นให้เขาฟัง ฉินสือโอวก็นับว่าได้ประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากนี้เขาจะได้เอาไปโม้กับเหมาเหว่ยหลงผ่านอินเทอร์เน็ต
ส่วนสำคัญของช่วงบ่ายก็คือการแช่ออนเซ็น
มาถึงโตเกียวก็ต้องมาแช่ออนเซ็นอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกับไปฮาวายแล้วต้องโต้คลื่นนั่นเอง ถึงแม้ว่าบ่อออนเซ็นของโตเกียวจะไม่ได้ดีที่สุดในโลก แต่กลับหรูหราและเร่าร้อนที่สุด
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสัมผัสประสบการณ์ความหรูหราหรือเร่าร้อนของบ่อออนเซ็นในคฤหาสน์แถบชนบทแบบนี้ อย่างแรกจะทำให้มีก็ได้แต่ก็ไม่มีจริงๆ แต่อย่างหลังนั้นเป็นเพราะมีวินนี่อยู่ด้วยดังนั้นจากที่ทำให้มีได้ก็กลายเป็นไม่มี…
บ่อออนเซ็นของคฤหาสน์อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฉินสือโอวสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว มันคือสวนแห่งหนึ่งในสวนของคฤหาสน์ หรือพูดได้ว่าในสวนของคฤหาสน์ยังมีสวนเล็กๆ อยู่อีกหนึ่งแห่ง ผ่านประตูพระจันทร์ หลังจากฉินสือโอวเดินตามเทซึกะ โกดะเข้ามา ก็พบกับบ่อน้ำสองบ่อที่เชื่อมต่อกับเป็นรูปหยินหยาง
ล้อมสวนด้วยกำแพงสีขาวที่มีหลังคากระเบื้องสีดำ ด้านบนของผนังประดับด้วยปูนขาวที่รวมตัวกันเป็นรูปอวนจับปลา ด้านล่างมีเครือเถาวัลย์บอสตันไอวี่สีเขียวเข้มเกาะอยู่ สีขาวตัดรับกับสีเขียว เหมือนดั่งระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่บนผิวน้ำ
เทซึกะ โกดะเล่าแนะนำฉินสือโอว บอกเขาว่าน้ำพุธรรมชาติที่อยู่ทางฝั่งทิศใต้จะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง ส่วนที่อยู่ทางเหนือก็จะมีอุณหภูมิต่ำหน่อย ให้เขากับวินนี่เลือกกันเอาเอง
ตอนที่พูดถึงบ่อออนเซ็นในบ้านของตัวเอง สีหน้าของเทซึกะ โกดะก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ถึงแม้ว่าบ่อออนเซ็นของที่นี่จะเทียบกับความโรแมนติกในนวนิยายเรื่องสโนว์คันทรีของคุณยาซูนาริ คาวาบาตะไม่ได้ แต่มีลักษณะเหมือนหยินหยาง ถ้าหากชายหนุ่มหญิงสาวมาหาความเพลิดเพลิน ก็ให้ความสวยงามอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน”
นิชิมุระ เร็นมองดูบ่อออนเซ็นหยินหยางอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกเคารพนับถือ “คฤหาสน์ของท่านประธานเทซึกะสวยงามมากๆ ครับ แต่ถ้าหากให้ผมจัดอันดับ บ่อออนเซ็นหยินหยางแห่งนี้ก็คืออันดับหนึ่ง!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้สะกิดใจเทซึกะ โกดะเข้าแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังพร้อมกล่าวว่า “นิชิมุระคุงพูดได้ถูกต้อง เมื่อหนึ่งร้อยสี่สิบปีก่อน ท่านโคทาโร่หัวหน้าตระกูลเทซึกะของพวกเราเป็นผู้ค้นพบตาน้ำแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้จึงใช้มันเป็นจุดศูนย์กลางในการสร้างบ้าน ต่อมาจากบ้านก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายมาเป็นคฤหาสน์เทซึกะอย่างทุกวันนี้นั่นเอง”
“เอาล่ะ ไม่รบกวนชีวิตที่สวยงามของฉินซังแล้ว บัตเลอร์ซัง คุณมากับผมเถอะ ผมเตรียมอ่างอาบน้ำใสๆ กับสาวสวยไว้ให้คุณแล้ว” เทซึกะ โกดะพยักหน้าให้ฉินสือโอว จากนั้นจึงพาบัตเลอร์กับนิชิมุระ เร็นเดินจากไป
บนใบหน้าของบัตเลอร์กับนิชิมุระ เร็นประดับด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย เดินตามหลังไปอย่างมีความสุข แค่แคะจมูกฉินสือโอวก็รู้แล้วว่าพวกเขาจะไปทำอะไรกัน
ใช้กำแพงกั้นระหว่างบ่อออนเซ็นกับโลกภายนอก ด้านในมีฉากกั้นอยู่อีกชั้น ด้านหลังฉากกั้นวางของจำพวกชุดคลุมอาบน้ำกับผ้าเช็ดตัวกับรองเท้าเกี๊ยะเอาไว้
พอฉินสือโอวเห็นว่าไม่มีคนอยู่ในบริเวณรอบๆ และคิดว่าคงจะไม่มีกล้องอยู่ จึงถอดเสื้อผ้าออกแล้วกระโดดลงไปนั่งในน้ำอย่างสบายอกสบายใจ
วินนี่กับเขาเป็นคนรักกันมานานแล้ว เธอจึงถอดเสื้อผ้าออกแล้วลงมานั่งกลางบ่อออนเซ็นอย่างสบายๆ เธอสะบัดผมสีดำเล็กน้อยจากนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดกับเขาว่า “ว้าว อุณหภูมิค่อนข้างสูง แต่พอลงมาแช่แล้วก็รู้สึกสบายมากๆ เลยล่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมิสเตอร์เทซึกะถึงได้ภูมิใจขนาดนั้น”
ฉินสือโอวจึงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “นี่จะเท่าไรกันเชียว? บ่อน้ำร้อนในฟาร์มปลาของพวกเราถึงจะดีที่สุด พอสร้างเสร็จแล้ว ระหว่างที่กำลังแช่น้ำอยู่ ก็จะมองเห็นชายฝั่งที่อยู่ไกลออกไปได้หลายสิบไมล์ ลองคิดดูสิ ถึงตอนนั้นคลื่นที่กระทบกับชายฝั่ง ลมทะเลที่พัดมาไม่ขาดสาย มีบุชกับนิมิตส์บินร่อนอยู่ด้านบน ข้างๆ มีหลัวปอคอยนวดให้ ดีสุดๆ ไปเลย”
วินนี่พอลองจินตนาการตามแล้วก็ยิ้มออกมา ฉินสือโอวจึงขยิบตาให้เธออย่างมีเลศนัย “ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้ทำอย่างอื่นในนั้นด้วย มาสิ ที่รัก วันเรามาลองซ้อมกันก่อนสักหน่อย”
เขาเพียงแต่พูดเล่นเท่านั้น ฉินสือโอวไม่ได้อัดอั้นถึงขนาดนั้นหรอก
บ่อออนเซ็นแบบญี่ปุ่นเป็นการดื่มด่ำความสุขอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ข้างๆ ตาน้ำมีโต๊ะอาหารตัวเล็ก วางผลไม้ชนิดต่างๆ อย่างองุ่น สตรอว์เบอร์รี ลิ้นจี่ ลำไย แอปเปิลและลูกแพร์ไว้ด้านบน นอกจากนี้ยังมีซาชิมิปลาทูน่าครีบน้ำเงิน แซลมอนซาชิมิ หอยเชลล์ย่างกับสาเกอีกสองขวด
ข้างใต้บ่อออนเซ็นคือทรายเม็ดละเอียด ฉินสือโอวที่นั่งลงไปบนนั้นก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล เขาพิงหลังลงไป กางแขนทั้งสองข้างพาดไว้บนกำแพงหิน มีวินนี่ที่คอยรินสาเกแล้วป้อนให้เขาดื่มถึงปาก ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเสี่ยมหาเศรษฐี
“ให้ตาย กลับไปต้องทำบ่อออนเซ็น!” ฉินสือโอวกล่าว “เกาะแฟร์เวลจะยังหนาวอยู่อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว รอจนอากาศร้อนคงจะแช่บ่อน้ำร้อนไม่ได้แล้ว”
วินนี่จึงถามเขาว่า “จะได้กลับตอนไหนคะ? กลัวว่าเด็กๆ ที่บ้านจะรอไม่ไหวแล้ว”
ฉินสือโอวลองคิดจากนั้นก็บอกกับเธอว่า “พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ก็กลับแล้วล่ะครับ ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วล่ะ”
บทที่ 530 ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่แค่คิดไหนเลยจะสู้การลงมือทำในทันที
สุดท้ายจนวันที่สองฉินสือโอวก็ยังไม่ไปไหน
พอทานอาหารเย็นเสร็จฉินสือโอวก็แสดงความซาบซึ้งใจต่อ เทซึกะ โกดะ ผู้กว้างขวาง จากนั้นจึงพูดว่าพรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว
เทซึกะ โกดะ ถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก เขาแสดงออกถึงสีหน้าที่ตื่นตระหนกพร้อมกับถามขึ้นว่า “ฉินซัง หรือว่าผมต้อนรับคุณไม่ดีพออย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ มิสเตอร์เทซึกะ การต้อนรับของคุณทำให้ผมพอใจอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ว่าที่บ้านผมตอนนี้เกิดเรื่องเล็กน้อย เลยอยากจะกลับเร็วสักหน่อย” ฉินสือโอวอธิบายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด เพราะทางนั้นวางท่าเป็นกันเองขนาดนั้น เขาเลยต้องไว้หน้าอีกฝ่ายสักหน่อย
จากนั้นสีหน้าของเทซึกะ โกดะก็เปลี่ยนไปทันที เขาหัวเราะเสียงดัง “ทั้งสองท่านพอใจก็ดีแล้ว ฉินซังอย่าเพิ่งรีบร้อนกลับไปกันเลยนะ พรุ่งนี้ผมกะจะให้นิชิมุระพาพวกคุณไปชมเกาะโอชิมะสักหน่อย ที่นั่นมีแหล่งเพาะเลี้ยงปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ดีที่สุดของพวกเราชาวญี่ปุ่น แถมคุณก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่ด้วย เลยต้องขอให้ช่วยแนะนำด้วยสักเล็กน้อย”
พอฉินสือโอวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเอะใจขึ้นทันที หืม คุณจะพาผมไปดูแหล่งเพาะเลี้ยงปลาทูน่าของพวกคุณ? นี่คงไม่ใช่จะยัดลูกสะใภ้ให้มาอยู่ในอ้อมอกของคนบ้ากามหรอกนะ? งั้นผมก็คงจะไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆ
เขาที่ดูลังเลเล็กน้อย เทซึกะ โกดะก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่อยากไปดู จึงรีบใช้สายตาส่งสัญญาณไปให้นิชิมุระ เร็น จากนั้นนิชิมุระก็รีบลุกยืนขึ้น ‘ปั๊บ’ แล้วก็โค้งตัวลงคำนับ “ฉินซัง ขอร้องล่ะ!”
ฉินสือโอวจึงจำต้องอยู่ต่อ เลยตกลงว่าเดี๋ยวไปอยู่ฟาร์มปลาสักสองสามวัน ดูสถานการณ์ในตอนนั้นแล้วค่อยกลับก็ได้
เกาะโอชิมะอยู่ทางตอนใต้ของโตเกียว ซึ่งระยะทางจากที่นี่ไปก็ประมาณหนึ่งพันกว่ากิโลเมตรพอดี ที่นิชิมุระคิดไว้คือจะพาขับรถไป แต่ฉินสือโอวก็เสนอว่าให้นั่งเรือไป
เขาไม่สนว่าจะต้องใช้เวลาไปเท่าไร ที่สำคัญคือได้ล่องทะเลต่างหาก อย่างนี้เขาถึงจะได้ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนหว่านแหเผื่อจับพวกปลาโลมาหรือปลาแอมเบอร์แจ๊คอะไรพวกนั้นได้ก็จะได้เอากลับไปด้วยเลย
จากนั้นนิชิมุระก็ได้ไปหาเรือลาดตระเวนมาหนึ่งลำ ความยาวของเรือประมาณยี่สิบสองยี่สิบสามเมตร ประกอบด้วยวัสดุใยแก้วทั้งลำ มีรูปร่างหัวมนท้ายแหลม ซึ่งถ้ามองรวมๆ จากภายนอกนับว่าสวยมากเลยทีเดียว ส่วนชื่อของเรือลำนี้ก็ไพเราะเฉกเช่นเดียวกัน เรียกว่าหิมะแล่นลม
คณะเดินเรือขับเรือจากโตเกียวไปถึงนางาซากิ แล้วค่อยไปขึ้นเรือต่อที่ท่าเรือนางาซากิ จากนั้นเรือลาดตะเวนก็แล่นโต้ลมโต้คลื่นทะเลออกไป
หลังจากที่ฉินสือโอวทอดจิตสำนักแห่งโพไซดอนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นก็พบว่าสาหร่ายใต้น้ำเพิ่มขึ้นมาเยอะมากกว่าเมื่อสองวันก่อนหน้า
การเพิ่มขึ้นชนิดนี้คือการเติบโตแบบเอ็กซ์โพซีพ(การเติบโตอย่างรวดเร็ว) อีกทั้งพวกพืชทะเลเล็กๆ ที่ขึ้นชุมได้เติบโตรวมกับสาหร่ายทะเลเล็กละเอียดซึ่งกำลังลอยพลิ้วอยู่ภายในน้ำ เขาจึงใช้จิตวิญญาณแห่งโพไซดอนเตร่ไปตามผิวน้ำทะเล ถึงได้เห็นว่าพวกนี้เป็นสาหร่ายทะเลเล็ก
เพราะว่าน่านน้ำแทบจะไม่ได้ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกเลย ดังนั้นจึงก่อให้อ่าวโตเกียวเกิดปรากฏการณ์อ่าวน้ำนิ่ง ใช่แล้ว อ่าวโตเกียวก็มีคลื่นทะเลเช่นกัน แต่คลื่นแบบนี้เป็นเพียงแค่คลื่นที่โดนลมตะวันออกจากมหาสมุทรแปซิฟิกพัดเข้ามา ที่ไม่ใช่คลื่นที่พัดมาโดยกระแสน้ำ
อย่างนี้ นอกจากผิวน้ำแล้ว ภายใต้ท้องน้ำต่างก็เงียบสงัด มีทั้งขยะต่างๆ ทั้งวัสดุที่เป็นภัยต่อธรรมชาติที่ไม่โดนคลื่นซัดไปในทันที จึงทำให้มันเหลือทิ้งไว้อยู่ที่เดิม ยิ่งสะสมนานเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
พอเห็นสาหร่ายทะเลน้อยๆ พวกนี้เกิดการแพร่พันธุ์เยอะขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทำไมฉินสือโอวถึงจะไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ! อ่าวโตเกียวเกิดการระเบิดของขี้ปลาวาฬขึ้นอีกแล้ว!
ปรากฏการณ์ขึ้ปลาวาฬเป็นชื่อหนึ่งที่ใช้อิงตามประวัติศาสตร์ ซึ่งมันก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นสีแดงเสมอไป แต่ในความเป็นจริงนั้นก็เป็นชื่อที่เรียกรวมๆ ของปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬในหลายๆ แห่ง ส่วนสาเหตุ ชนิด และปริมาณในการเกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬก็ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นในน้ำก็ปรากฏสีที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งสีแดง หรือสีแดงอิฐ สีเขียว สีเหลือง สีน้ำตาล ฯลฯ
ซึ่งอย่างพวกจีนัส ยิมโนดิเนียม สาหร่ายไฟและพืชอื่นๆ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬแต่บางครั้งก็ไม่ได้ก่อให้เกิดสีพิเศษอื่นใดขึ้นในทะเล และปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่หมด เมื่อเกิดขึ้นมันจึงทำให้ชาวประมงเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ระหว่างอ่าวโตเกียวกับปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬนับว่าอยู่อย่างไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด เพราะปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนสมัยฟูจิวาระและสมัยคามาคุระเสียอีก และเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มขึ้น อ่าวโตเกียวจึงได้กลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดเป็นที่ซึ่งนำพาผู้คนมารวมตัวกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่
แบบนี้ทั้งสิ่งปฏิกูลจากการใช้ในชีวิตประจำวันและจากอุตสาหกรรมจำนวนมากก็ถูกระบายลงสู่อ่าวโตเกียว สิ่งปฏิกูลพวกนี้จึงเปรียบเสมือนสารอาหารของแพลงตอน เพราะไม่มีการถูกคลื่นทะเลซัด ขยะจึงไม่สามารถออกจากอ่าวโตเกียวลงสู่งมหาสมุทรได้ พวกแพลงตอน สาหร่ายไดอะตอม สาหร่ายสีน้ำเงินและสาหร่ายสีน้ำตาลจึงค่อยๆ ไหลมารวมกัน และเมื่อจำนวนมันเยอะจนถึงขั้นวิกฤติ จึงทำให้เกิดการระเบิดของพวกแพลงตอนขึ้น
และนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉินสือโอวไม่มีทางที่จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถึงอยากหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ แต่มันก็เป็นแค่ห่วงโซ่ชีวภาพทางทะเลรูปแบบหนึ่งที่แข็งแรงและสมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง
ซึ่งถ้าคนญี่ปุ่นไม่ได้จับพวกปลาหรือปลาโลมาในอ่าวโตเกียวกันจนเกินเหตุ หรือถ้าพวกเขาไม่ได้ปล่อยสิ่งปฏิกูลลงสู่อ่าวโตเกียวกันอย่างโหดร้ายขนาดนั้น มันก็คงจะไม่เกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬเช่นนี้
ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรวดเร็วและน่ากลัว ในขณะที่เรือยอชต์ล่องไปทางใต้ และกำลังเข้าสู่ท่าเรือโยโกะสุกะของอ่าวโตเกียว ก็เริ่มมีสีแดงลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
นิชิมุระเป็นนักศึกษาเกียรตินิยมที่จบจากมหาวิทยาลัยระบบนิเวศทางน้ำโตเกียว เมื่อเห็นสาหร่ายสีแดงพวกนี้ปรากฏขึ้น เขาก็ทอดถอนใจออกมา “โอ้ว มายก็อด! ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬระเบิดขึ้นอีกแล้วเหรอเนี่ย? ทำไมอ่าวโตเกียวถึงได้อับโชคขนาดนี้นะ?”
เหมือนเป็นการระบายอารมณ์ของนิชิมุระ เขาพูดขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “เป็นความผิดของโรงงานพวกนั้นทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะปล่อยสิ่งปฏิกูลลงสู่อ่าว ไม่อย่างนั้นอ่าวโตเกียวก็คงจะใสสะอาดเหมือนเมื่อสองร้อยปีก่อนแล้ว เป็นอย่างนี้แล้วพวกเราก็คงไม่ต้องไปเลี้ยงปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่เกาะโอชิมะแล้วล่ะมั้ง? แหล่งเพาะเลี้ยงที่อ่าวโตเกียวยังจะดีกว่าอีก!”
เพราะคุณภาพน้ำของอ่าวโตเกียว ปกติแล้วเมื่อมองเผินๆ ก็ดูสะอาดดี แต่จริงๆ แล้วมลพิษนั้นเยอะมากจนน่ากลัว อย่างปลาทูน่าครีบน้ำเงินถ้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้คงจะอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่ารสชาติของปลาทูน่าจะดี แต่พวกมันก็ไม่ใช่อาหารที่ดีเท่าไร เพราะพวกมันจับปลาแฮริ่ง ปลาซาบะ ปลาขนเกล็ด และพวกปลาขนาดเล็กกินเป็นอาหารในการดำรงชีวิต เนื้อของมันจึงสะสมสารปรอทเอาไว้จำนวนมาก เลยส่งผลอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก
นี่จึงเป็นเหตุให้พวกมันว่ายกระจัดกระจายลงสู่สี่มหาสมุทร เพราะถ้าพวกมันยังอยู่ในอ่าวโตเกียว เดาว่าคงไม่ต้องรอให้พวกมันโตก็คงจะตายจากพิษโลหะหนักเอาซะก่อน
ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬกับฉินสือโอวนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกันมากเท่าไร พวกเขาได้ลงเรือที่ท่าเรือชิโมะดะแห่งคาบสมุทรอิซู ซึ่งห่างจากเกาะโอชิมะไม่ไกลนัก
“พวกเราหาอะไรที่นี่กินกันสักหน่อยเถอะ ฉินซัง คุณลองชิมซาชิมิปลาจานสดแห่งชิโมะดะสักหน่อยสิ รสชาติดีมาก แถมยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วยนะ” นิชิมุระกำลังแนะนำอย่างกระตือรือร้น หลังจากออกมาจากอ่าวโตเกียวที่กำลังได้รับผลกระทบจากการระเบิดของปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬได้แล้ว
ปลาจานนั้นถือว่าอยู่ในวงศ์ปลากะพง แถมยังสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด และในทะเลญี่ปุ่นก็มีปลากะพงแดงอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยขนาดที่ใหญ่ของมัน รสชาติก็สดอร่อย อีกทั้งยังมีชื่อที่เป็นมงคลอีกด้วย มันจึงได้รับความนิยมอย่างมากในทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ฉินสือโอวตื่นเต้นกับอาหารเป็นอย่างมาก นิชิมุระนำพวกเขาไปยังร้านเหล้าเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กับท่าตกปลา ร้านเหล้านี้มีชื่อว่าสามรุ่น และนิชิมุระยังได้แนะนำว่าถึงแม้ที่นี่จะไม่ได้โด่งดังอะไร แต่เจ้าของร้านมีฝีมือในการทำซาชิมิปลาจานเป็นอันดับหนึ่งเลยซึ่งเป็นสูตรที่ได้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
หลังจากที่เจ้าของร้านได้นำซาชิมิที่แทบจะดูไม่ออกถึงขนาดหนาบางและขนาดใหญ่เล็ก วินนี่ก็คีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นและใช้ด้านหนึ่งจิ้มไปที่ซอส ส่วนอีกด้านหนึ่งจิ้มไปที่วาซาบิและนำไปป้อนใส่ปากให้กับฉินสือโอว
ฉินสือโอวที่พอได้กินก็ถึงกับยกนิ้วโป้งชม อันที่จริงแล้วเขายกขึ้นมาชมวินนี่ เพราะปลาชิ้นนี้ไม่ได้น่าอร่อยขนาดนั้นเลย ทั้งเย็น ทั้งเค็ม แต่พอเอาไปจิ้มกับวาซาบิที่กินแล้วก็ถึงกับเผ็ดเผาหัวแม้แต่รสฝาดของปลาจึงได้ถูกกลบไป
เมื่อเห็นฉินสือโอวชมปลาที่ตัวเองแนะนำ นิชิมุระ ก็รู้สึกได้หน้า จึงยิ้มขึ้นอย่างภูมิใจ
ฉินสือโอวจึงทั้งกินข้าวทั้งให้นิชิมุระ แนะนำสภาพการณ์ของแหล่งเพาะเลี้ยงปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่เกาะโอชิมะให้เขาฟังไปด้วยสักหน่อย
บทที่ 531 แบ่งกันไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
การเพาะเลี้ยงปลาทูน่าถือว่าเป็นเทคโนโลยีการประมงที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น พวกเขายังเป็นหนึ่งเดียวของโลกสำหรับด้านนี้ มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้นที่มีเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ยอดเยี่ยม
อีกทั้งเทคโนโลยีที่ใช้นั้นก็เหมือนกับที่ใช้ในการเพาะเลี้ยง ‘วากิว’ ซึ่งเป็นเทคนิคลับสุดยอดของญี่ปุ่น ถ้าไม่ใช่เพราะเทซึกะ โกดะอยากจะเอาใจฉินสือโอว พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมชมเกาะโอชิมะอย่างแน่นอน
ซึ่งแน่นอนว่า ฉินสือโอวก็ไม่ได้คิดอยากจะมาชมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาเพียงแค่อยากจะมาดูว่าจะเอาปลาทูน่าครีบน้ำเงินพวกนี้ไปได้อย่างไรก็เท่านั้น
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาทูน่าชนิดที่หายากมากชนิดหนึ่ง และมันก็ยังสามารถแบ่งชนิดย่อยออกได้เป็น ปลาทูน่าครีบน้ำเงินแอตแลนติก ปลาทูน่าครีบน้ำเงินแปซิฟิกและอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นที่หายากมากที่สุดก็คือปลาทูน่าครีบน้ำเงินแอตแลนติก
และปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่อยู่ในทะเลญี่ปุ่นล้วนแต่เป็นตระกูลแปซิฟิก ฉินสือโอวถึงจะเคยไปเดินสำรวจตลาดสึกิจิ แต่ก็ยังดูไม่ออกอยู่ดีว่าพวกมันต่างกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ฟาร์มปลาของตัวเองอย่างไร นิชิมุระพูดว่ามันแตกต่างกันตรงที่รสชาติ แต่เขาก็รู้สึกว่าไม่จริง สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างอะไรกันเลย
ส่วนเทคโนโลยีในการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าครีบน้ำเงินของญี่ปุ่นนั้นต้องย้อนไปในสมัยยุค 70 เมื่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงคินไตเริ่มศึกษา ก็พบว่าในยุค 80 ปลาที่เกิดเองโดยธรรมชาติถูกนำมาเลี้ยงจนโต นั่นก็เพราะว่าพันธุ์ปลาทูน่าที่เกิดเองตามธรรมชาติลดน้อยลง จึงยากต่อการขยายพันธุ์
จากนั้นในช่วงต้นศตวรรษที่21 เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงก็ถูกตีแตกจนได้ ในที่สุดมหาวิทยาลัยคินไตก็ค้นพบถึงการเพาะเลี้ยงปลาทั้งหมดได้ ความหมายก็คือแม้แต่สายพันธุ์ของปลาก็สามารถเพาะพันธุ์ได้โดยฝีมือของมนุษย์
และถึงแม้ว่าผลผลิตนั้นเมื่อเทียบกับปลาทูน่าที่เกิดเองตามธรรมชาติจะไม่ได้ออกมามากเท่าไร แต่เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงค่อนข้างเป็นที่น่าเชื่อถือ จากนั้นผลผลิตจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี จนกระทั่ง การเพาะเลี้ยงปลาทูน่ากลายเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือได้จริง
การเพาะเลี้ยงปลาทูน่าโดยฝีมือมนุษย์ที่ญี่ปุ่นจึงถูกขนานนามว่าทูน่าคินไต หรือก็คือปลาทูน่าจากมหาวิทยาลัยคินไต ปลาชนิดนี้ถึงแม้ภายนอกดูจะไม่ต่างกับปลาตามธรรมชาติสักเท่าไร แต่รสชาติของเนื้อมันแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากปลาทูน่าที่เพาะพันธุ์เองออกกำลังไม่มากพอ คุณภาพเนื้อและไขมันจึงถือว่าต่ำมาก รสชาติเลยไม่ค่อยอร่อย
แต่ทว่า ราคาต่อหน่วยของทูน่าคินไตไม่ได้ต่ำไปกว่าปลาทูน่าครีบน้ำเงินพันธุ์ทั่วไปๆ สักเท่าไร ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการเพาะเลี้ยงทูน่าคินไตนั้นสูงมาก สูงกว่าค่าใช้จ่ายในการจับปลาตามธรรมชาติหนึ่งตัวด้วยซ้ำ
พอฉินสือโอวนั่งเรือมาถึงเกาะโทชิมะก็ถึงได้รู้ว่าทำไมค่าใช้จ่ายในการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าถึงได้สูงขนาดนั้น แหล่งเพาะเลี้ยงนี้ไม่ใช่แค่สระเล็กๆ แต่เป็นบ่อเพาะเลี้ยงเทียมทรงกลมระดับสูงที่สร้างไว้รอบๆ เกาะโทชิมะ!
ซึ่งตั้งสูงขึ้นห่างจากพื้นทะเลของเกาะโทชิมะประมาณเจ็ดแปดกิโลเมตรโดยมีท่อคอนกรีตอัดแรงดันแต่ละเส้นเชื่อมต่อกัน ท่อพวกนี้กับท่อระดับสูงที่เขานำมาใช้สร้างท่าเรือดูจะไม่ต่างกันเท่าไร และพอนำมาเชื่อมต่อกันก็ได้สองร้อยเมตรพอดี!
อีกทั้งท่อแบบนี้ ที่เกาะโทชิมะมีอย่างน้อยที่สุดก็ยี่สิบเส้น ท่อพวกนี้จึงนำมาเป็นโครงที่ตรงกลางขึงตาข่ายจับปลาเอาไว้ ซึ่งตาข่ายนี้ได้ขึงเอาไว้รอบๆ คล้ายกับโอบล้อมน่านน้ำไว้ทั้งผืน เช่นนี้มันจึงถูกเรียกว่าแหล่งเพาะเลี้ยงปลาทูน่า นอกจากนี้ทางเกาะยังปล่อยท่อทั้งเส้นหนาเส้นบางลงสู่มหาสมุทรนับไม่ถ้วน จากนั้นเครื่องทำออกซิเจนบนเกาะก็เริ่มทำงาน และปล่อยออกซิเจนลงสู่น้ำทะเลอย่างไม่ขาดสาย…
เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเทซึกะ โกดะถึงอยากร่วมมือกับเขาทำฟาร์มจับปลาทูน่านัก ด้วยความที่คนญี่ปุ่นมีความหลงใหลในสิ่งนี้เข้าขั้นบ้าเลยก็ว่าได้ จึงมีความต้องการเป็นอย่างมากที่อยากจะกินของที่มีต้นทุนสูงขนาดนี้
จากนั้นฉินสือโอวจึงถามราคาของท่อพวกนี้กับนิชิมุระ แล้วเขาก็ตอบขึ้นว่า “เส้นหนึ่งก็ประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบล้านเยน สามารถใช้ได้ถึงสี่สิบถึงห้าสิบปี”
“ราคานี้ไม่สูงไปหน่อยเหรอ แค่เพื่อเอาไว้วิจัยการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าน่ะนะ?” ฉินสือโอวถามขึ้นอย่างประหลาดใจ หนึ่งร้อยสี่สิบล้านเยนก็ประมาณเจ็ดล้านหยวน ถ้ายี่สิบเส้นก็หนึ่งร้อยสี่สิบล้านหยวน
นิชิมุระจึงพูดอย่างจริงจังว่า “เพราะมูลค่าในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่จำกัด และถ้าเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าลงตัวทุกอย่างแล้ว คุณรู้ไหมว่าญี่ปุ่นของเราจะสามารถประหยัดเงินไปได้เท่าไร?”
ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนแล้วพูดขึ้น “แค่พวกคุณไม่กินปลาชนิดนี้ ก็ถือเป็นการประหยัดเงินแล้วใช่หรือไง?”
พอนิชิมุระได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับรีบร้อนพูดขึ้น “จะไม่กินได้อย่างไรล่ะ? ถ้าไม่ได้กินของดีแบบนี้ งั้นชีวิตนี้มันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ?”
ฉินสือโอวพอได้ฟังก็ถึงกับกระอักเลือดออกมา!
วินนี่ที่กำลังมองไปยังตาข่ายที่อยู่รอบด้าน ก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “นิชิมุระ ตาข่ายดักปลาพวกนี้ไม่มีรูเหรอ? หรือถ้ามีรูแล้วปลาทูน่าพวกนั้นจะไม่กระโดดหนีเหรอ?”
นิชิมุระจึงอธิบายว่า “แน่นอนว่าต้องมีรูอยู่แล้ว แต่จากประสบการณ์การวิจัยที่พวกเราได้ค้นพบนั้นก็คือปลาทูน่าต้องว่ายน้ำตลอดเวลาเพื่อความอยู่รอด และด้วยวิถีชีวิตแบบนี้จึงทำให้พวกมันมีนิสัยว่ายแบบสุ่มสี่สุ่มห้า นอกซะจากว่ามันจะว่ายไปเจอรูพอดิบพอดีมิเช่นนั้นพวกมันก็ไม่สามารถหารูเจอแล้วว่ายหนีออกไปได้”
ฉินสือโอวก็เข้าใจถึงจุดนี้ดี เพราะระดับความเร็วในการว่ายของปลาทูน่าครีบน้ำเงินนั้นถือว่าเร็วมาก เร็วขนาดเจ็ดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยก็ว่าได้ ด้วยความเร็วเท่านี้ถ้าไปชนกับอะไรเข้าโดยปกติแล้วก็สามารถตายได้เลย ดังนั้นพวกมันจึงมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับแบบอัตโนมัติ เมื่อพบว่ามีสิ่งกีดขวางก็จะรีบเปลี่ยนทิศทางการว่ายในทันที โดยจะไม่ว่ายเข้าไปชนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่ช่างน่าเสียดายที่ครั้งนี้คนญี่ปุ่นได้มาเจอกับฉินสือโอวเข้า จากสัญชาตญาณที่กลัวสิ่งกีดขวางของปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ท่านฉินผู้ยิ่งใหญ่จะมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเจ้าปลาพวกนี้เอง!
และจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็วนรอบเกาะโทชิมะด้วยความเร็วสูง ฉินสือโอวเจอปลาทูน่าครีบน้ำเงินจำนวนหนึ่งแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังไม่โตเต็มวัยยังคงมีขนาดประมาณสิบกิโลกรัม พวกตัวใหญ่ก็ประมาณสี่สิบห้าสิบกิโลกรัม ส่วนพวกที่ยาวหนึ่งเมตรขึ้นไปนั้นไม่ค่อยจะมีให้เห็น ปลาเล็กๆ พวกนี้จะไม่ค่อยได้ราคาเท่าไร
จากจุดนี้จึงทำให้เห็นถึงนิสัยของคนญี่ปุ่น จากครั้งที่แล้วในงานประมูลที่ตลาดสึกิจิ ปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่จับมาได้จากในทะเลหลายๆ ที่ต่างก็มีขนาดประมาณยี่สิบถึงห้าสิบกิโลกรัม
แต่เมื่อดูในบ่อเพาะเลี้ยงของพวกเขาเองแล้วถ้าปลาทูน่ายังไม่โตเต็มที่จะไม่จับขึ้นมา เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เด็กๆ ไม่ให้ชิงสุกก่อนห่าม
ลงไปทางใต้ของเกาะโทชิมะเป็นเกาะนิจิอิมะ ซึ่งทางบริษัทคิโยมุระจำกัดมหาชนได้มีหุ้นอยู่ในแหล่งเพาะเลี้ยงที่เกาะนี้ นิชิมุระจึงสามารถพาพวกฉินสือโอวเข้าไปชมด้านในของแหล่งเพาะเลี้ยงได้
เมื่อเรือเล็กได้เทียบท่าแล้วนั้น ก็มีผู้ชายสองคนสวมชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาเพื่อที่จะค้นตัว เพราะไม่อนุญาตให้พกกล้อง โทรศัพท์ หรือกล้องอัดวิดีโอขึ้นเกาะ เหตุผลง่ายๆ เลยก็คือป้องกันไม่ให้มีคนถ่ายรูปเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงปลาทูน่า
ฉินสือโอวที่ไม่อยากให้คนพวกนี้มาค้นตัว เขาจึงขอไม่ขึ้นไปแต่ให้ นิชิมุระ พาเขาดูบริเวณรอบๆ แทน
เรือที่กำลังแล่น จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็โลดแล่นอยู่เช่นกัน พอถึงเกาะโคซูชิมะแล้วก็พบกับเรื่องเซอร์ไพรส์เข้าให้
นั่นก็คือท่อหลักที่เกาะโคซูชิมะนั้นยาวกว่า มันยื่นลงไปในทะเลลึกได้ถึงสามร้อยเมตร และปลาทูน่าที่นี่ก็มีทั้งเล็กทั้งใหญ่แต่ส่วนมากจะเป็นตัวเล็กซะมากกว่า อีกทั้งปลาพวกนี้ว่ายเร็วกว่าและมีพลังมากกว่า ซึ่งไม่เหมือนกับปลาทูน่าขี้เกียจที่อยู่ในบ่ออื่นๆ พวกนั้น
ฉินสือโอวที่พูดเหน็บใส่นิชิมุระเล็กน้อยก็หาคำตอบได้แล้ว และถ้าเป็นแบบที่เขาคาดเดาเอาไว้ล่ะก็ แสดงว่าปลาทูน่าในแหล่งเพาะเลี้ยงนี้ล้วนแต่เป็นชนิดที่เกิดตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าสามารถจับปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่เกิดตามธรรมชาติได้ก็จะนำมันนำกลับไปก่อนที่มันจะตายแล้วเอาไปไว้ที่บ่อเพาะเลี้ยงของเกาะโคซูชิมะ
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่กำลังโลดแล่นอยู่ ฉินสือโอวก็มองแล้วมองอีก ภายในน้ำมีปลาทูน่าครีบน้ำเงินอยู่ประมาณร้อยตัว ซึ่งจำนวนถือว่าน้อยกว่าแหล่งเพาะเลี้ยงที่อื่นๆ อีก เพราะแหล่งเพาะเลี้ยงที่อื่นๆ อย่างน้อยก็มีสองร้อยตัวแล้ว
ซึ่งจุดนี้มีความเกี่ยวข้องไปถึงสัญชาตญาณของปลาทูน่าครีบน้ำเงินด้วย เพราะว่าพวกมันต้องคงความเร็วในการว่ายไว้เป็นเวลาหลายชั่วโมง และถ้ามีจำนวนมากเกินไปอีกทั้งไม่ใช่ชนิดเดียวกันอีกก็จะง่ายต่อการเกิดการชนกัน ระดับความเร็วในการว่ายของปลาที่เกิดตามธรรมชาตินั้นเร็วกว่าปลาที่อยู่ในแหล่งเพาะเลี้ยง ดังนั้นความหนาแน่นในบ่อเพาะเลี้ยงจึงน้อยกว่า
จากนั้นจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็เริ่มไล่ต้อนเป็นวงจากรอบนอกเข้ามา พอเจอกับปลาทูน่าก็รีบสะกดและให้จุดหมายแก่พวกมัน โดยให้ว่ายไปที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและพุ่งตรงไปยังฟาร์มปลาต้าฉิน
บทที่ 532 เหมือนดั่งดาบหัวปีศาจที่น่าเกรงขาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
บ่อเพาะเลี้ยงกลางทะเลแบบนี้ มักจะมีรูเป็นปกติ หลังจากที่ขึงตาข่ายเรียบร้อยแล้ว ถ้าอยากเปลี่ยนใหม่จะเป็นการยุ่งยากมาก เพราะทั้งวัชพืชน้ำที่เข้ามาพัน ฉลามที่คอยมากัด ปลาทูน่าที่คอยว่ายชนตลอดจึงมักจะเกิดรูอยู่เสมอ
แต่ฉินสือโอวอยากจะให้เรื่องราวมันดูราบรื่นสักหน่อยเขาจึงไม่ได้ลงมือทำอะไรในตอนนั้น แค่หาปลาทูน่าหนึ่งตัวแล้วทำเครื่องหมายมันไว้ จากนั้นก็ตามนิชิมุระ เร็นไปชมแหล่งเพาะเลี้ยงที่ต่อไปอย่างไม่กระโตกกระตาก
ยิ่งดู ฉินสือโอวก็ยิ่งรู้สึกว่าแหล่งเพาะเลี้ยงปลาทูน่านี้ดูธรรมดา ไม่เห็นจะต่างกับฟาร์มเลี้ยงหมูตรงไหน? แล้วก็มองไปยังปลาทูน่าพวกนั้นที่กำลังว่ายอยู่ในน้ำอย่างอ่อนระโหยโรยแรง โดยมีเครื่องออกซิเจนคอยปล่อยออกซิเจนลงสู่น้ำทะเลอย่างต่อเนื่อง ใช้ในระดับคงที่เพื่อช่วยผ่อนคลายความกดดันในการดำรงชีวิตของพวกมัน
ซึ่งธรรมชาติของทูน่านั้น ถ้าพวกมันไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวก็จะสูญเสียซึ่งความกดดันแบบนั้นไป ชีวิตและจิตวิญญาณของพวกมันจะเป็นเช่นนี้ เมื่อใดที่ความกดดันนั้นลดต่ำลงมันก็จะไม่ใช่ปลาทูน่าอีกต่อไป
หลังจากที่ฉินสือโอวมองดูสักพักก็หมดความสนใจลง ดูท่าบ่อเลี้ยงปลาทูน่าเทียมนี้จะไม่ประสบความสำเร็จซะแล้ว เพราะไม่ว่าจะเลี้ยงมากี่รุ่นๆ ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจเท่าไรเลย
หลังจากเยี่ยมชมเสร็จ ฉินสือโอวไม่สนถึงการเหนี่ยวรั้งใดๆ ของนิชิมุระ หลังจากที่กล่าวขอบคุณเป็นการเสร็จเรียบร้อยก็ไปขึ้นเครื่องที่สนามบินเกาะโอชิมะโดยบินไปลงที่นิวยอร์กสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วค่อยต่อเครื่องจากนิวยอร์กไปเซนต์จอห์น
ข้อดีจากการที่ได้ถือสัญชาติแคนาดาคือ ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตก็สามารถบินระหว่างแคนาดากับอเมริกาได้อย่างเสรี แต่ก็แน่นอนว่าถ้าอยากจะไปจับปลาหรือทำธุรกิจก็จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตอีกแบบหนึ่ง
แอร์บัส 380 ขนาดใหญ่บินขึ้นสู่ท้องฟ้าและเดินทางเข้าสู่ฟากมหาสมุทรแอตแลนติก ฉินสือโอวหลับตาทั้งสองข้างลง จากนั้นจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ได้กลับไปยังน่านน้ำของเกาะโอชิมะ
แผนของเขาก็คือหาฉลามสักฝูง สะกดพวกมันให้ไปโจมตีตาข่ายดักปลาที่ขึงไว้รอบๆ แหล่งเพาะเลี้ยงจากนั้นก็ฉีกตาข่ายให้ขาด เพื่อให้พวกมันไล่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหล่านั้นออกมา
การกระทำแบบนี้ค่อนข้างแน่นอน ฝูงฉลามนั้นถือเป็นปัญหาใหญ่ของปลาทูน่าครีบน้ำเงินมาโดยตลอด เพราะพวกมันชื่นชอบเนื้อที่นุ่มสดอร่อยของปลาทูน่าเป็นที่สุด
ทางด้านของแหล่งเพาะเลี้ยงก็ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามนี้เป็นอย่างมาก จึงมีเรือลำเล็กลอยอยู่รอบด้านเหนือผิวน้ำตลอดทั้งปี ซึ่งมีอุปกรณ์คลื่นอินฟราโซนิคผูกเอาไว้ซึ่งสามารถปล่อยคลื่นใต้เสียงออกไปในน้ำทะเลได้ เนื่องจากฉลามไวต่อการรับรู้ของคลื่นเสียง ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลขนาดไหนก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงคลื่นอินฟราโซนิก เช่นนี้พวกมันจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้
ฉินสือโอวที่หาแล้วหาอีก แต่ก็หาพวกฉลามไม่เจอเพราะพวกมันต่างก็โดนไล่โดยคลื่นอินฟราโซนิคไปแล้ว
เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่ามหาสมุทรแปซิฟิกใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีฉลามสักตัว ฉินสือโอวถูกยัวะเข้าให้แล้ว!
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์นั้นมีพลังมหาศาล ภายใต้การปล่อยคลื่นอินฟราโซนิคเพื่อการขับไล่ ทำให้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่แล่นไปรอบเกาะโอชิมะอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วแต่ก็ยังหาฉลามไม่เจอสักตัว กระทั่งปลาวาฬก็ยังไม่มี หรือมีก็คงจะโดนเรือล่าปลาวาฬฆ่าตายไปหมดแล้ว
อย่างนี้ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงเปลี่ยนไปทางทะเลลึก มหาสมุทรแปซิฟิกใหญ่เกินไป ถ้าจะเปรียบฉลามกับปลาวาฬก็คงจะเหมือนกับการหว่านเมล็ดงาลงบนเกาะแฟร์เวลนั่นแหละ จะเจอได้โดยบังเอิญนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
ฉินสือโอวที่กำลังจนปัญญา ก็ได้แต่คิดว่าคงไม่ต้องได้เรียกเฮยป้าหวังมาจากมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือหรอกนะ? เขาที่กำลังว่ายอยู่อย่างไร้จุดหมาย กลุ่มสาหร่ายทะเลก็ลอยกระจัดกระจายขึ้นมาบนผิวน้ำด้วยสีเขียวมรกตสวยงาม ทำให้มหาสมุทรเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ
จากนั้นจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ว่ายตามฝูงปลาซันมะตัวน้อยๆ เหล่านั้นไป ส่วนฉินสือโอวที่กำลังสแกนมหาสมุทรแปซิฟิกอย่าชะล่าใจ ทำให้ทันใดนั้นเอง ฝูงปลาตัวใหญ่ก็พุ่งออกมาจากพุ่มสาหร่ายทะเลอย่างกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัว!
หลังจากที่พุ่งพรวดออกมาอย่างรวดเร็วนั้น ปลาตัวใหญ่พวกนี้ก็อ้าปากกว้างเห็นเหงือกแดงของมัน แล้วหันไปเขมือบฝูงปลาซันมะพร้อมกับกลืนลงท้องอย่างบ้าคลั่ง โดยจับปลาซันมะพวกนี้เป็นอาหารอย่างรวดเร็ว หลังจากกินเสร็จพวกมันก็รีบกลับเข้าไปซ่อนตัวในชั้นของสาหร่ายทะเลอย่างเงียบสงบ ราวกับว่าเพชฌฆาตก่อนหน้านี้ไม่ใช่พวกมัน
ขยับเหมือนสายฟ้าฟาด นิ่งสงบเหมือนผู้บริสุทธิ์ เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวได้เจอปลาชนิดนี้!
อารมณ์รุนแรงของปลาพวกนี้ทำให้เขารู้สึกทึ่งในทันที จากนั้นเขาก็ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนปกคลุมน่านน้ำทะเลเอาไว้เพื่อสำรวจดูสักหน่อย
ปลาที่อยู่ภายใต้กลุ่มสาหร่ายทะเลมีลักษณะดุร้ายเป็นพิเศษ ทั้งตัวมีสีทองผสมกับสีเขียว อีกทั้งลำตัวก็มีขนาดใหญ่ ความยาวอยู่ที่ประมาณหนึ่งถึงสองเมตร และยังมีลายจุดสีทองระยิบระยับอยู่เต็มสันหลังสีเขียวออกดำ ครีบก็กว้างและยาวติดต่อกันจากหัวไปถึงหางคล้ายกับแผงคอของม้าที่ตั้งชันขึ้น บริเวณปากก็ปรากฏฟันอันแหลมคมออกมา ทำให้มีลักษณะค่อนข้างดุร้ายเล็กน้อย
ซึ่งที่น่าแปลกมากก็คือ ปลาชนิดนี้ไม่เหมือนกับปลาชนิดอื่นๆ ทั่วไป ที่ไม่ใช่รูปร่างหัวมนท้ายแหลม แต่มีรูปร่างเหมือนกับมีดพร้าที่ใช้กันทั่วไปในชนบท ลำตัวของพวกมันยาวและแบน ส่วนด้านหน้านั้นสูงและใหญ่ซึ่งจะค่อยๆ เล็กลงในส่วนท้าย ส่วนหัวจะใหญ่เป็นพิเศษ ส่วนหลังก็แคบมาก อีกทั้งส่วนหัวและหลังของปลาใหญ่เกือบจะคล้ายกับรูปทรงลูกบาศก์ นอกจากนี้ตรงหน้าผากยังมีกระดูกนูนขึ้น รูปร่างใหญ่ดูกล้าหาญและปราดเปรียวโดยสิ้นเชิง!
ฉินสือโอวเพิ่งจะเคยเจอปลาที่มีรูปร่างแบบนี้เป็นครั้งแรก พลันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วถามขึ้น “นีลเซ็น เบิร์ด มานี่หน่อย พวกนายเคยเห็นปลาแบบนี้ไหม? ส่วนหลังมีสีเขียวออกดำ ส่วนท้องมีสีเหลืองทอง และมีรูปร่างคล้ายกับปังตอ ส่วนหัวก็มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แถมยังมีท่าทางป่าเถื่อนมากด้วย”
นีลเซ็นและเบิร์ดยักไหล่และไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ วินนี่จึงถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ทำไมอยู่ๆ คุณก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาล่ะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะแห้ง แล้วพูดอย่างคลุมเครือ “อยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เคยเห็นโบรชัวร์ที่ตลาดสึกิจิน่ะ ตอนนั้นก็ว่าจะถามอยู่นะว่ามันคือปลาอะไรแต่ก็ดันลืมไปซะก่อน”
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่กำลังแนะนำอาหารให้กับอีวิลสันก็ยิ้มเล็กน้อยและรอให้พวกเขาพูดเสร็จ จากนั้นจึงหันไปอธิบายให้กับฉินสือโอว “คุณผู้ชาย ที่คุณพูดถึงน่ะคือปลาอีโต้มอญ เป็นปลาตัวใหญ่ชนิดที่เจ้าเล่ห์มากแถมยังดุร้ายอีกด้วย ซึ่งชื่อทางวิทยาศาสตร์ของพวกมันก็คือปลาโลมา แต่พวกชาวประมงจะชอบเรียกพวกมันว่าจิ้งจอกใต้น้ำน่ะค่ะ”
พอได้ยินฟังที่พนักงานอธิบายให้ฟัง ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ เพราะปลาที่พูดมาเหมือนกับดาบหัวปีศาจจริงๆ ซึ่งเป็นดาบชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทั้งในจีนและญี่ปุ่น
หยิบไอแพดที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตออกมา ซึ่งข้างในได้มีการดาวน์โหลดคำอธิบายของปลาชนิดต่างๆ ที่ถูกค้นพบแล้วทั่วโลก ฉินสือโอวพิมพ์ชื่อของปลาอีโต้มอญในช่องค้นหา แล้วถึงได้เห็นรูปร่างของปลาเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
ปลาชนิดนี้เป็นปลาชนิดที่ต่างก็เคยปรากฏตัวทั้งในน้ำอุ่น มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาแล้ว แต่พวกมันชอบหาสถานที่เพื่อไปหลบซ่อน อีกทั้งไม่ค่อยชอบว่ายไปไหนมาไหน ดังนั้นอัตราในการถูกจับได้ของมันจึงค่อนข้างน้อย
แต่ปลาชนิดนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจนั้นค่อนข้างสูง ด้วยเนื้อปลาที่ขาว และรสชาติจืด จึงเหมาะที่จะนำไปทำซาชิมิ ปลาเค็ม ลูกชิ้นปลาหรือปลาบด นอกจากนั้นเนื้อของปลาชนิดนี้ที่ค่อนข้างไม่ละเอียด จึงถูกขนานนามว่าธัญพืชแห่งมหาสมุทร เพราะมันอุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามิน อีกทั้งพวกตระกูลผู้ดีญี่ปุ่นยังเคยนำปลาชนิดนี้มาใช้สำหรับบำรุงร่างกายโดยเฉพาะ
เมื่อแน่ใจถึงสถานะของปลาพวกนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงทำการสะกดพวกมันเอาไว้ ทั้งหมดเป็นปลาใหญ่หกสิบกว่าตัว ยังไงซะปลาพวกนี้ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อยู่แล้ว งั้นก็กลับไปฟาร์มปลาด้วยกันซะเลย
ขณะที่กำลังนำเหล่าปลาพวกนี้ไปทางมหาสมุทรลึก โชคดีก็เข้ามา ว่ายไปได้ประมาณยี่สิบกว่านาทีก็มีฝูงฉลามดุร้ายว่ายตามมา
ส่วนสมาชิกในฝูงฉลามพวกนี้ส่วนมากมีความยาวประมาณสองถึงสีเมตรครึ่ง มีรูปร่างใหญ่อ้วนและสั้น ส่วนหัวล่ำสันจนเกือบจะดูเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เบ้าตาที่นูนโดดเด่นขึ้นมา ดวงตาหยีที่เหมือนกับผู้ชายเก็บเนื้อเก็บตัวดูหนังโป๊ แต่พวกมันก็ไม่ได้เก็บเนื้อเก็บตัวขนาดนั้น และสถานะภาพของมันก็คือ…ฉลามเสือ!
ในที่สุดมือสังหารแห่งมหาสมุทรที่ได้ยินแค่ชื่อก็ทำให้ใครต่อใครขวัญผวาได้ก็มาแล้ว ทั้งยังเป็นสัปเหร่อที่ฉินสือโอวคัดเลือกไว้สำหรับเกาะโอชิมะ
บทที่ 533 กำเริบเสิบสาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อผู้คนได้ยินถึงชื่อฉลามเสือนั้นก็ทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน นอกจากเหล่าเพชฌฆาตแห่งมหาสมุทรเช่นฉลามขาว ฉลามขาวยักษ์ พวกนี้แล้ว ฉลามที่ผู้คนกลัวกันมากที่สุดเห็นจะเป็นฉลามเสือนี่แหละ
ซึ่งอันที่จริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจที่ผิดเล็กน้อย เพราะถึงแม้อยู่ภายใต้สภาวะหิวโหยหรือถูกยั่วยุจากเหยื่อขนาดไหน ฉลามเสือจะไม่โจมตีมนุษย์ ถึงแม้จะเข้ามาโจมตีแต่ก็จะไม่กินมนุษย์ เพราะพวกมันคิดว่าเนื้อมนุษย์นั้นมีกลิ่นเปรี้ยวไม่อร่อย
และนี่ก็คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้ค้นพบถึงผลสรุป ในช่วงศตวรรษที่ 20 หรือยุค 30 ออสเตรเลียอควาเรียมจับฉลามเสือตัวหนึ่งได้ หลังจากนั้นประมาณสองถึงสามวันอยู่ดีๆ ฉลามเสือตัวนี้ก็ขย้อนแขนหนึ่งข้างที่ปะปนไปด้วยเลือดออกมา
ตำรวจที่เข้ามาตรวจสอบคดี ก็พบว่าแขนนี้เป็นของครูฝึกมวยที่มีชื่อเสียงในออสเตรเลียคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว จากการขย้อนแขนออกมาของฉลามเสือ พวกตำรวจก็ตรวจเจอว่าแขนนี้โดนมีดคมตัดขาดไม่ใช่โดนฉลามเสือกัดขาด จากนั้นทำการค้นหาเบาะแสจนในที่สุดก็จับตัวฆาตกรได้
และการวิจัยอาหารการกินของฉลามเสือก็เริ่มตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในอควาเรียมพบว่าที่ฉลามเสือตัวนี้ขย้อนแขนออกมา เป็นเพราะว่ามันไม่ชอบกิน เสือใหญ่ที่โลภมากถึงกับเมินเฉยได้ แสดงว่ารสชาติต้องไม่ถูกปากมันแน่…
อาหารที่ฉลามเสือชอบก็คือพวก ปลาทูน่า ปลากระโทง ปลาแอมเบอร์แจ๊ค และแน่นอนว่าปลาอีโต้มอญยักษ์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลว
แต่ตลกร้าย ฉลามเสือที่ยังไม่ทันได้แม้แต่เข้าใกล้อาหารอันโอชา ก็โดนสะกดเอาไว้ซะก่อนแล้ว มาถึงตอนนี้ฉินสือโอวถึงได้เข้าใจว่าจะหาอะไรในมหาสมุทรไม่ควรหาแบบงมเข็มในมหาสมุทรแต่ควรใช้เหยื่อล่อเพื่อล่อพวกมันออกมาจะดีง่ายกว่า
จากนั้นฉินสือโอวก็พาฝูงฉลามเสือกลับไปยังเกาะโอชิมะ
โดยที่เขาได้ถ่ายเทพลังแห่งโพไซดอนให้แก่เหล่าฉลามเสือจากอีกที่หนึ่งเพื่อต้านคลื่นอินฟราโซนิค ทั้งยังให้พวกมันโผล่ครีบขึ้นมาเหนือผิวน้ำราวกับเรือดำน้ำลำหนึ่งที่กำลังแล่นไปข้างหน้าอย่างดุดัน
พอเข้าสู่น่านน้ำแห่งเกาะนิจิอิมะ เหล่าฉลามเสือก็ใช้หัวชนเข้าไปในตาข่ายของบ่อเพาะเลี้ยง
ตาข่ายพวกนี้มีลักษณะเป็นเชือกที่เหมือนกับเอานิ้วหัวแม่มือของผู้ใหญ่หนาๆ บางๆ มาร้อยต่อกัน ทั้งยังเอาไปแช่ในน้ำมันพิษจากต้นถงและตากให้แห้ง แล้วทาด้วยสีน้ำมันเคลือบเอาไว้อีกหนึ่งชั้น มันจึงมีความยืดหยุ่นเป็นพิเศษ ถ้าเป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินขนาดใหญ่ยาวสี่เมตรทั่วไปมาชนเข้ายังไงก็ชนไม่ทะลุ
ซึ่งแน่นอนว่า แม้แต่ฉลามเสือก็ชนไม่ทะลุ แต่พวกมันมีฟันที่แหลมคมมาก หลังจากที่เข้าไปล้อมไว้แล้วฉลามเสือยักษ์สิบตัวนั้น ทั้งก่อกวนทั้งฉีกทำลายภายในเวลาอันรวดเร็วก็ทำให้ตาข่ายผืนนั้นชำรุดได้ และปรากฏเป็นรูขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตรกว่า
พอฉีกเปิดตาข่ายผืนนี้แล้ว ฝูงฉลามเสือก็มุ่งไปยังเกาะโทชิมะที่อยู่ใกล้ที่สุด ส่วนทูน่าของเกาะนิจิอิมะที่อยู่ภายใต้การสะกดของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็พากันว่ายออกจากรูรั่วด้วยความลิงโลดลงสู่มหาสมุทร จากนั้นหลบลี้อยู่ในทะเลลึก
ส่วนที่เกาะโทชิมะก็พอดีกับมีชาวประมงขับเรือมาหว่านปลาแฮร์ริ่งลงในน้ำ พอมีคนเห็นครีบของฉลามเสือที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาก็ร้องตกใจเสียงหลง “ดูนี่เร็ว! นั่นคืออะไรน่ะ? ฉลามเสือ! มันคือฉลามเสือ! ทุกคน รีบเรียกเรือจับฉลามมาเร็ว…”
ต่อหน้าชาวประมงที่เฝ้าดูอยู่ ฝูงฉลามเสือก็ได้ฉีกตาข่ายทะลวงเข้ามาในฟาร์มปลา เพื่อไล่จับพวกปลาทูน่าและพยายามกินพวกมัน แน่นอนว่าพวกมันก็ยังได้ทำการไล่ปลาส่วนใหญ่ออกจากแหล่งเพาะเลี้ยงด้วยเช่นกัน
ชาวประมงที่กระทืบเท้าและด่ากระเจิงอยู่บนเรือ พวกฉลามเสือก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เพราะเนื้อของพวกเขามีกลิ่นเปรี้ยวไม่อร่อยแล้วล่ะก็ พวกมันก็คงจะชนพวกเขาจนล้มและจับกินพวกเขาให้หมดไปนานแล้ว!
เมื่อเรือจับฉลามได้รับข้อความก็รีบนำเรือออกจากท่าชิโมะดะในทันที ฉินสือโอวเลยต้องพาฝูงฉลามหนีไป ครั้งนี้เปิดไปได้สองแห่ง เหลืออีกห้าแห่งไว้คราวหน้าค่อยมาจัดการ ถ้าปล่อยปลาทูน่าออกมาหมดในครั้งเดียวเลยมันก็จะดูผิดปกติ
เดิมทีเขาไม่ได้สนใจปลาทูน่าโดยการเพาะเลี้ยงเทียมเลย แต่ต่อมาเขาก็นึกถึงว่าพันธุ์ปลาพวกนี้ต้องเดินทางไกล โดยว่ายจากมหาสมุทรญี่ปุ่นสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ แน่นอนว่าระหว่างทางต้องเผชิญกับความยากลำบาก และนักล่านับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน เช่นนั้นพาแค่ปลาพวกนี้ไปก็พอ คราวหน้ามาลุยใหม่ก็ยังไม่สาย
เมื่อเรือจับฉลามแล่นเข้ามาด้วยความฮึกเหิม บนผืนน้ำก็เหลือแต่กลุ่มชาวประมงที่งงเป็นไก่ตาแตก ไม่เห็นแม้แต่เงาของฉลาม
แล้วปลาทูน่าล่ะ? อืม น่าจะยังอยู่นะ ใครจะไปรู้ล่ะ? อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถลงไปค้นหาได้ด้วย
หลับอย่างสบายบนแอร์บัส 380 พอตื่นขึ้นมาก็ถึงนิวยอร์กแล้ว พวกเขาต้องเปลี่ยนเครื่องกันที่นี่ หลังจากที่ฉินสือโอวกินข้าวมื้อหนึ่งที่แพงหูฉี่แต่รสชาติห่วยแตกของสนามบินเสร็จแล้ว ก็ขึ้นเครื่องสายการบินหนึ่งอีกครั้ง
นีลเซ็นก็บ่นพึมพำตลอดทั้งทาง “สนามบินบ้าเอ้ย มีแต่ไอ้พวกชั่วใจจืดใจดำ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ส่งพวกมันลงนรกกันนะ? ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสันอิตาเลียนจานหนึ่งตั้งแปดสิบดอลลาร์ พระเจ้า ทำไมไม่ไปปล้นธนาคารเอาวะ? ได้เงินเร็วกว่าอีกไม่ใช่รึไง?”
เบิร์ดที่นั่งอย่างสุขุมมาตลอดทั้งทางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ก๋วยเตี๋ยวนายรสชาติเป็นไงบ้างล่ะ? เนื้อรมควันกับข้าวผัดแกงเขียวหวานของฉันโคตรจะห่วยแตกเลย ครั้งล่าสุดที่ได้กินของห่วยแตกแบบนี้ก็น่าจะเป็นตอนที่ไปเป็นกองกำลังทหารประจำการในแบกแดดนู่น”
อีวิลสันที่ทำปากขมุบขมิบก็พยักหน้าเห็นด้วย
ฉินสือโอวถึงกับพูดไม่ออก สามารถทำให้ถังข้าวอย่างอีวิลสันรู้สึกว่าของแบบนี้รสชาติไม่เอาไหน แสดงว่าอาหารที่สนามบินต้องแย่มาก!
“กลับไปทำกินกันเองดีกว่า ต้องจัดมื้อใหญ่กินก่อนซะแล้ว!”ฉินสือโอวโมโหเล็กๆ เพราะสองสามวันมานี้อาหารญี่ปุ่นก็ทำพวกเขาขยาดกันไปเท่าไร อาหารที่สนามบินวันนี้ที่เปรียบเสมือนความหวังสุดท้ายกลับทำพวกเขาอยากอ้วกแทน
พอบินมาถึงเซนต์จอห์น ตอนที่นั่งเรือแฟร์เวลที่ชาร์คขับกลับไปถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็รู้สึกทะแม่งๆ
อันดับแรกเลย เขาเห็นบนผิวน้ำทะเลของฟาร์มปลาทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เหมือนกับมีเรือเล็กๆ กำลังสร้างตาข่ายดักปลาอยู่ รองลงมาคือที่ฟาร์มปลาแกธเธอริง เรือวิศวกรรมสองลำที่มีความยาวมากกว่า 20 เมตรกำลังแผดเสียงคำรามและแล่นอยู่บนผิวทะเลอย่างทุลักทุเล
“คนอังกฤษนั่นคิดจะทำอะไรน่ะ?” ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างสงสัย “นั่นคือเรืออะไร?”
ชาร์คเกาศีรษะแล้วตอบ “หลังจากเรื่องเมื่อครั้งออกทะเลรอบที่แล้ว พวกเราก็ไม่เฉียดเข้าไปใกล้ฟาร์มปลาของไอ้บ้านั่นเลย ผมจึงไม่ค่อยแน่ชัดว่าเขากำลังทำอะไรน่ะครับ เรือวิศวกรรมนั่นเหมือนกับเรือดูดทรายเลย แต่ก้นทะเลมีทรายให้เหยียบที่ไหนกัน?”
ฉินสือโอวจึงถอดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปรอบๆ เรือวิศวกรรมสองลำนั้น
ดูจากบนผิวน้ำก็จะเหมือนไม่มีอะไร แต่พอมองจากใต้น้ำก็เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เรือวิศวกรรมสองลำนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรือดูดทรายธรรมดาๆ แต่เป็นเรือที่ผสมการทำงานของทั้งการดูดทรายและทุบหินโสโครก
และเรือทั้งสองลำห่างกันมากกว่าสองร้อยเมตร ตรงระหว่างกลางยังได้พาดตาข่ายตัดทรายหย่อนๆ หนึ่งแผ่นไว้อีกด้วย
ตาข่ายตัดทรายเป็นชื่อหนึ่งของตาข่าย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันเป็นตาข่ายที่ถอดออกมาจากด้านล่างของชุดเครื่องจักร ความหมายของ ‘ตัด’ ตัวนี้ก็คือบดละเอียด ส่วน ‘ทราย’ ตัวนี้ไม่ได้หมายถึงหินก้อนเล็กๆ แต่เป็นหินโสโครก ตาข่ายชนิดนี้จึงนำมาใช้ตัดและเซาะหินโสโครกใต้ทะเลโดยเฉพาะ!
ไม่แปลกเลยที่ชาร์คจะพูดว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะทั้งเซนต์จอห์นไม่มีชายหาดที่มีคุณภาพ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีเรือแบบนี้มาทำการชำระหินโสโครกใต้ทะเลโดยเฉพาะ
เรือแบบนี้ก็เหมือนกับที่ไถดิน โดยไถไปตามบริเวณชายฝั่งน้ำตื้น เพื่อทะลวงหินโสโครกที่โผล่ขึ้นมาจากก้นทะเล ซึ่งโดยปกติถ้าต้องการสร้างชายหาดที่มีคุณภาพถึงค่อยใช้ของแบบนี้
ด้านหน้าใช้เครื่องจักรทะลวงหินโสโครกในก้นทะเลจนแหลกละเอียด ด้านหลังยังมีเครื่องดูดทรายที่ผสมทั้งการดูดทรายและการสูบน้ำเข้าด้วยพอสูบขึ้นมาแล้วปล่อยลงสู่เรือขนส่งลำเล็ก
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ฉินสือโอวตะลึงในความหลักแหลมของคนอังกฤษ เจ้าคนคนนี้ฉลาดในการนำของไร้ค่ามาใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ หินทรายพวกนี้ยังสามารถขนไปสร้างคฤหาสน์บนฝั่งได้อีกด้วย ช่างเป็นความคิดที่อัจฉริยะจริงๆ
แต่เดี๋ยวนะ ใครให้สิทธิ์เขาในการไปทะลวงหินโสโครกพวกนั้น? เหมือนกับที่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านั้นว่า หินโสโครกนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนกระแสน้ำจากก้นทะเลไปสู่ผิวน้ำ นี่จึงเป็นขั้นตอนขั้นสมบูรณ์ของการพัดพวกแพลงตอนกับพวกปลาที่อยู่ก้นทะเลกับผิวน้ำไหลมารวมกัน ถ้าจะให้พูดก็ถือว่ามีผลกระทบต่อฟาร์มปลาเป็นอย่างมาก!
บทที่ 534 กลับมามีชีวิตชีวาแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวไม่พอใจกับวิธีการของนักอสังหาริมทรัพย์ชาวอังกฤษคนนี้เป็นอย่างมาก มันเหมือนกับวิธีการของพวกขี้แพ้ เดิมทีฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์นั้นมีหินโสโครกจากก้นทะเลแบบนี้น้อย ฉินสือโอวก็มีโครงการที่จะพัฒนาหินปะการังกับหินโสโครกเทียม
ซึ่งนี่สามารถอธิบายได้โดยกระแสน้ำกัล์ฟสรีมกับกระแสน้ำเย็นแลบราดอร์ เพราะเมื่อสองกระแสน้ำในมหาสมุทรไหลมารวมตัวกันก็นำพาเหยื่อตกปลาจำนวนมากมาสู่ฟาร์มปลา แต่จากการกัดเซาะเป็นเวลานานของพวกมันเป็นเหตุให้หินโสโครกตรงก้นทะเลในฟาร์มปลาโดนเซาะจนเรียบ
ถ้าพูดถึงการที่ฉินสือโอวสนใจฟาร์มปลาแกธเธอริงขนาดนั้น เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ฟาร์มปลานั้นตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือทำให้ได้รับผลกระทบจากการไหลมารวมตัวกันและกัดเซาะของกระแสน้ำมหาสมุทรน้อยที่สุด อีกทั้งหินโสโครกตรงก้นทะเลในฟาร์มปลานี้ขึ้นซ้อนกว่าฟาร์มปลาที่อื่นๆ เล็กน้อย จึงเหมาะแก่การเลี้ยงปลาค็อดมาก
แต่ตอนนี้ จบเห่กันแล้ว! เพราะช่วงที่เขาไปญี่ปุ่น คนอังกฤษนั่นก็ลงมือบดขยี้หินโสโครกตรงก้นทะเลฟาร์มปลาในตอนนั้นพอดิบพอดีราวกับมีจิตสื่อถึงกัน
ในใจของฉินสือโอวก็แผดร้องออกมา แม่งเอ้ย ไอ้เลว! ทำกันอย่างนี้เลยหรอวะแม่ง! มันแม่งไม่คิดจะเหลือที่ทำกินให้ฉันสักที่เลยเหรอวะ? ! แม่งเอ้ย ฉันจะจัดการแกให้ได้เลยคอยดู!
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล่นไปๆ มาๆ อยู่บริเวณฟาร์มปลาแกธเธอริงอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่ฉินสือโอวสำรวจดูก้นทะเลทุกซอกทุกมุมแล้วก็ทั้งดีใจทั้งเสียดายไปพร้อมๆ กัน
เพราะหินโสโครกตรงฟาร์มปลาที่ถูกทลายส่วนใหญ่อยู่บริเวณแถบชายฝั่งทะเล จำกัดขอบเขตระยะห่างจากฝั่งในระยะสองร้อยกว่าเมตร ส่วนพวกหินโสโครกที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้นยังคงอยู่ดี นี่จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เขาดีใจ
ส่วนเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจก็คือตามแนวของชายฝั่งประมาณสิบถึงยี่สิบกิโลเมตร หินโสโครกที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็โดนทลายจนหมด!
ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นเพราะฟาร์มปลาแกธเธอริงนั้นต้องการจะสร้างชายหาดที่มีคุณภาพ จึงได้ทำลายหินโสโครกก้นทะเลบริเวณแถบชายฝั่ง แล้วปูทับด้วยทรายละเอียด แค่นี้ก็สามารถที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่บ้านพักตากอากาศได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉินสือโอวโกรธจัดเลยใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนช้อนไปที่ด้านล่างของเครื่องจักรตาข่ายทรายตัดแล้วทุบลงไปที่หินโสโครก ผลที่ได้ก็คือหินนั้นแตกละเอียดแต่เครื่องจักรไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย ที่แท้มันก็เป็นแบบที่เอาไว้ใช้ทำลายหินโสโครกโดยเฉพาะ โดยไม่กลัวการกระแทกจากสิ่งอื่น!
เช่นนี้แล้วฉินสือโอวก็ดูจะหมดหนทาง ทำได้เพียงแต่ยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไป
แต่พอกลับมาถึงบ้านความกลัดกลุ้มจากฟาร์มปลาแกธเธอริงก็ค่อยๆ เจือจางเปลี่ยนเป็นความดีใจ เมื่อได้เห็นนิมิตส์และบุชบินโฉบลงมาจากบนฟ้าทั้งซ้ายและขวา แถมบุชยังได้ส่งเสียงร้องของเหยี่ยวออกมาอย่างไพเราะ เสียงที่ทั้งสูงและดัง คล้ายกับถูกกลิ่นอายของหินทองเข้าแทรกซึมแล้วเล็กน้อย
ฉินสือโอวยื่นแขนของเขาออกไป บุชที่บินโฉบลงมาก่อนแล้วใช้จะงอยปากที่คล้ายกับตะขอของมันจิกลงไปเบาๆ ที่ไหล่ของเขา ในลำคอก็ส่งเสียง ‘อุ๊กอุ๊ก’ ออกมา พร้อมกับมีสายตาที่เฉียบแหลมบวกกับท่าทางที่สง่าผ่าเผย
เมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง น้ำหนักของบุชลดลง หัวก็เล็กลงด้วยเช่นกัน แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันอ่อนแอ เพียงแต่ผ่านการบินฉวัดเฉวียนบนฟ้ามาอย่างโชกโชน ไขมันเสียในร่างกายจึงถูกเบิร์นออกหมดเหลือไว้แต่กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
พลังของนกอินทรีหัวขาวปรากฏออกมาแล้ว
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ปีกของบุชยังไม่ได้ผลัดขนยังคงเป็นปีกสีดำคล้ำ ซึ่งส่งผลต่อบุคลิกอันน่าเกรงขามของมัน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นหัวสีขาว ลำตัวสีดำ กรงเล็บสีทองเมื่อไหร่ นั่นถึงค่อยเรียกว่ามีท่าทางน่ายำเกรงที่แท้จริง!
วินนี่เอานิมิตส์เขามากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วสางขนที่ปีกให้มัน แล้วก็พูดอะไรสักอย่างด้วยเสียงเบา นิมิตส์จึงใช้หัวของมันคลอเคลียไปที่คางของวินนี่อย่างสนิทสนมเพื่อแสดงถึงความคิดถึงของมัน
พอขึ้นท่าเรือมา หู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและหมาป่า เด็กๆ ทั้งสี่ตัวนี้ก็วิ่งกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดิมทีเสี่ยวหลัวปอนั้นวิ่งมาหน้าสุด แต่ฉงต้าได้ใช้วิธีการสกปรก ทำเป็นให้ตูดอ้วนๆ ของมันกระดกขึ้นมาแล้วชนเข้าไปที่หัวของเสี่ยวหลัวปออย่างไม่ทันระวัง มันชนเข้าไปที่เสี่ยวหลัวปออย่างจังจนทำให้เสี่ยวหลัวปอกลิ้งอยู่หลายตลบ
จากนั้นเสี่ยวหลัวปอก็ลุกขึ้นจากที่กลิ้งอยู่ แล้วหันไปคำรามใส่ฉงต้า “โฮกโฮก-โฮ่งโฮ่งโฮ่ง! อ๊าวู้-!โฮ่งโฮ่งโฮกโฮกโฮก!”
ฉินสือโอวจึงนั่งยองลงพลางขยี้หัวเล็กๆ ของหู่จือกับเป้าจือ และหัวเราะขึ้น “ไง ที่รัก ลูกสาวแกกำลังร้องอะไรอยู่น่ะ?”
จากนั้นวินนี่ก็จิ้มไปที่หัวอันไร้ประโยชน์ของฉงต้าอย่างมันเขี้ยว พอฉงต้ายืนขึ้นก็เกือบจะสูงถึงหน้าอกของวินนี่ แล้วมันก็ร้องฮือฮือขึ้นพลางแลบลิ้นไปเลียที่แก้มของวินนี่ วินนี่หัวเราะเบาๆ แล้วหลบมัน แล้วก็ไม่ตำหนิมันอีก
“คุณน่ะใจดีกับพวกเด็กๆ เกินไปแล้ว ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่วิธีการสั่งสอนที่ดีเท่าไรนะ” ฉินสือโอวหัวเราะขึ้น
วินนี่ยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ก็พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ แล้วทำไมฉันถึงจะใจดีสักหน่อยกับเด็กๆ ที่น่ารักไม่ได้ล่ะ? แล้วถ้าพวกเขาทำผิดจริง ฉันก็ต้องสั่งสอนพวกเขาอยู่แล้ว”
ส่วนด้านหลังได้มีเงาสีทองๆ วิ่งมาดั่งลมกรด ปอหลัวที่กำลังดูโรงเรือนเพาะปลูกอยู่เลยวิ่งมาเป็นตัวสุดท้าย ซึ่งก่อนหน้ามันก็ได้มีกระรอกเสี่ยวหมิงกับเสี่ยวหวงวิ่งไปก่อนแล้ว
“ดูนี่สิ บ้านของพวกเราเหมือนกับสวนสัตว์มากขนาดไหน” ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจแล้วพูดขึ้น
แลนซ์ที่คาบไปป์อยู่ก็เดินเข้ามา แล้วพูดขึ้น “งั้นคุณกัปตันเรือก็คงจะเป็นดรูอิดผู้น่ายกย่องสินะ”
ดรูอิดคือบุรุษผู้อยู่ในป่าทึบในเทพนิยายของยุโรปเหนือ ทั้งยังไปปรากฏอยู่ในหลายๆ เกมเช่น เวิลด์ ออฟ วอร์คราฟต์ และดิอาโบล เขามีความชำนาญในด้านการสื่อสารกับพวกสัตว์ปีกและสัตว์ป่า ทั้งยังใช้พลังจากธรรมชาติต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตแห่งธรรมชาติ
และดูจะเป็นปัญหาของความเคยชิน เพราะชาร์ค ซีมอนสเตอร์ นีลเซ็นและเบิร์ดต่างก็เรียกฉินสือโอวว่าบอสกันทั้งนั้น แต่แลนซ์ บลูและคนอีกกลุ่มหนึ่งเรียกเขาว่ากัปตัน เลยถือเป็นอีกหนึ่งความพิเศษ
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์เก็บของ วินนี่ได้ขึ้นไปดูชั้นบน ในห้องมีกลิ่นไม่ค่อยดี ตรงมุมก็มีอึอยู่สองสามก้อน อีกทั้งบนพื้นยังมีรอยน้ำแห้ง
พอเห็นสิ่งพวกนี้แล้ว วินนี่กับฉินสือโอวเปลี่ยนเป็นสายตาก็ลุกเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นทันที พวกเขาทั้งสองหันมามองซึ่งกันและกัน แล้วก็ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เจ้าโง่เสี่ยวหลัวปอ!”
หู่จือ เป้าจือ ฉงต้ากระทั่งเสี่ยวหมิงก็วิ่งอย่างหัวหกก้นขวิดกันขึ้นมา ส่วนเจ้าเสี่ยวหลัวปอที่ซึ่งใกล้ชิดกับวินนี่มากที่สุดไม่ขึ้นมา แต่กลับนั่งกลัวหัวหดรออยู่ชั้นล่าง
ฉินสือโอวเปิดหน้าต่างระบายอากาศออก วินนี่จึงเข้าไปตรวจสอบสิ่งที่เจ้าเสี่ยวหลัวปอทำไว้ ในห้องไม่มีฝุ่นไม่มีอะไร มีแต่อึและฉี่ที่เจ้าเสี่ยวหลัวปอมาทำและฝากกลิ่นเหม็นไปทั่วห้องเอาไว้
เนื่องจากเออร์บักยุ่งกับการไปจัดการปัญหาค่าชดเชยของเรือไดโตะโชวะมารุ ช่วงสองสามวันมานี้เลยไม่ได้กลับมาฟาร์มปลา ส่วนภรรยาของชาร์คก็ต้องไปรับเชอร์ลี่ย์กับเด็กๆ ทั้งสี่เพื่อให้ไปเรียนและไปอยู่ด้วยกันกับลูกของชาร์ค เป็นเหตุให้ที่คฤหาสน์ไม่มีคนมาทำความสะอาด
จากนั้นวินนี่ก็พาเจ้าเสี่ยวหลัวปอเข้าไปในห้องและตั้งใจทำท่าทางโกรธเพื่อตำหนิมัน ในตอนแรกเสี่ยวหลัวปอมีความกลัวนิดหน่อย ไม่กล้าหันไปมองรอยอึรอยฉี่ของตัวเอง กล้าแค่ใช้หางตาชำเลืองมองท่าทีของวินนี่แวบหนึ่ง
จากนั้นมันก็หน้าม่อยคอตกไปสักพัก แล้วเริ่มผันตัวทำตัวแอ๊บแบ๊วโดยใช้ขาสะกิดไปยังมือของวินนี่แล้วร้องอ๊าวู้อ๊าวู้ออกมา และพอวินนี่เริ่มยิ้มออกมา มันก็รีบแลบลิ้นนุ่มๆ ของมันออกมาเลียมือวินนี่
วินนี่ตวาดมันด้วยเสียงสองอย่างน่ารัก เจ้าเสี่ยวหลัวปอก็หมอบลงไปกับพื้นทันทีและเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมา ตัวอ้วนตุ๊ต๊ะอย่างกับลูกขนไก่ของมัน กลิ้งไปกลิ้งมาพร้อมทั้งร้องอุ๊กอุ๊ก และจ้องวินนี่ด้วยสายตาอ่อนช้อย ทำการแอ๊บแบ๊วจนถึงที่สุด
เดิมทีวินนี่อยากจะต่อว่ามันสักสองสามประโยค แต่พอมันทำท่าทางน่ารัก เลยต้องปล่อยมันไป
นี่จึงทำให้เจ้าพวกตัวเล็กหู่จือ เป้าจือและฉงต้าสามตัวไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เพราะพวกมันตั้งตารอดูการแสดงสนุกๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีหนังใหญ่ฮอลลีวูดใดๆ แล้วก็เหมือนมีมือปีศาจมาฉีกฉากละครพวกนั้นออกไป ทำให้พวกมันผิดหวังเป็นอย่างมาก
แล้วฉินสือโอวก็ไปตรวจดูห้องครัว ว่ากันว่าห้องที่มีคนอยู่ค่อยดูมีชีวิตชีวา นี่แค่ออกบ้านไปไม่กี่วัน ห้องครัวกลับมีบรรยากาศซบเซาอึมครึม มีทั้งพวกหนอนพวกแมลง และแมลงหวี่บินไปบินมาเต็มห้องไปหมด นี่ยังดีที่ยังไม่เข้าหน้าร้อน แมลงวันเลยไม่ค่อยมี ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายกว่านี้
ฉินสือโอวเลยถามว่ายาฆ่าแมลงอยู่ไหนแล้ว วินนี่เลยผลักเขาออกไปแล้วพูดขึ้น “ห้องครัวจะไปใช้ยาฆ่าแมลงได้ยังไงกันล่ะ?”
เธอเลยไปหยิบมะนาวหนึ่งลูกออกมาจากตู้เย็น หลังจากปอกเปลือกออกแล้วก็หั่นผลเป็นแว่นๆ นำไปแช่ในน้ำผึ้งให้ฉินสือโอว ส่วนเปลือกมะนาวก็นำไปคั้นแล้วเอาไปฉีดตามพื้นตามมุมต่างๆ
พอพวกหนอนพวกแมลงได้กลิ่นนี้แล้วก็พากันไต่ออกหน้าต่างไป ไม่นานห้องครัวก็ไม่มีแมลงแล้ว เหลือไว้แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมะนาว
………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น