ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 526-547
ตอนที่ 526 มุกมูลหนอน
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอปีศาจหน้าดำร้องครวญครางออกมา ก็มีไอดำพวยพุ่งตรงด้านหลัง มันคือแมงป่องกระดูกที่อยู่ใต้ดินพุ่งยิงหางตะขอออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และโจมตีได้อย่างง่ายดาย
หากเป็นผู้ฝึกฝนธรรมดา เกรงว่าคงเสียชีวิตในทันทีแล้ว
แต่ปีศาจตัวนี้กลับส่ายร่างส่วนบนสองสามที ทันใดนั้นหัวของมันก็หมุนแบบแปลกๆ เสียงร้องครวญครางหยุดลง และส่งเสียงหอนโหยหวนในฉับพลัน
พอบัณฑิตวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกร้อนที่หน้าอกราวกับว่าถูกต่อยอย่างรุนแรงไปหนึ่งหมัด จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
“ร้อยปีศาจร่ำไห้!”
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา พริบตาเดียวก็นึกถึงวิชาสายปีศาจนี้ขึ้นมาได้
นี่เป็นวิชาสายปีศาจที่ปีศาจระดับกลางถึงสูงสามารถควบคุมได้ มันส่งผลกระทบต่อจิตใจและสติปัญญาของมนุษย์ ใช้จู่โจมอย่างฉับพลันในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเผลอ ทำให้เลือดลมของฝ่ายตรงข้ามไหลย้อนกลับ พลังเวทสูญสลาย มีผลเช่นเดียวกับเสียงแผดร้องของอัคจิตวิญญาณที่เขาเจอในแดนลึกลับ
แต่วิชาปีศาจร่ำไห้ระดับนี้ไม่มีผลกระทบต่อเขามากนัก แต่เขากลับยกแขนเสื้อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายรุ้งสีแดงกระพริบออกไป และหมุนวนปีศาจตัวนี้แค่รอบเดียวก็พุ่งกลับมา
“ตุ๊บ!”
ปีศาจหน้าดำมีสีหน้าแข็งทื่อในทันที ร่างกายส่วนบนส่ายไปส่ายมา และล้มโครมลงพื้น
ในขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามด้วยความโมโหดังมาจากภายในถ้ำที่อยู่ไกลๆ ฟังจากน้ำเสียงแล้วมันเป็นปีศาจอีกตัวหนึ่ง
หลิ่วหมิงหันไปมองด้วยสายตาที่เย็นชา
อีกด้านหนึ่งของถ้ำเหมืองแร่ ปีศาจหน้าดำอีกตัวถูกเส้นผมสีเขียวรัดพันไว้แน่น หมอกดำรอบตัวกลายเป็นเงาอสรพิษสีดำสองสามตัว กำลังฉีกทึ้งเส้นผมสีเขียวอยู่ไม่หยุด แต่ไม่ว่ามันจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้
และไม่รู้ว่าหัวบินใช้ความสามารถมหัศจรรย์อันใด ถึงรัดพันคอของปีศาจได้อย่างแน่นหนาเช่นนี้ หัวใหญ่หนึ่งหัวกับเล็กสองหัวกำลังกัดจุดสำคัญของปีศาจไม่ปล่อย
ตอนแรกปีศาจหน้าดำที่ดูดุร้าย ยังสามารถส่งเสียงคำรามและดิ้นรนอยู่ในตาข่ายได้ แต่หลังจากหลิ่วหมิงมองออกไปไม่กี่อึดใจ เสียงของมันก็ดูไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็ลดขนาดและแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็นอนนิ่งอยู่ในตาข่าย และไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก
หลิ่วหมิงพยักหน้า และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง
แสงสีแดงกระพริบผ่านกลางอากาศ กระบี่บินสีแดงจมเข้าไปในช่องอกของปีศาจหน้าดำ ปลายกระบี่ทะลุออกจากด้านหลัง
จากนั้นแสงกระบี่ก็สั่นไหวและผ่าขึ้นด้านบน
เสียงร้องโหยหวนแปลกประหลาดดังออกมา!
ปีศาจหน้าดำตัวนี้ถูกกระบี่ผ่าออกเป็นสองส่วน มันตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว
ตั้งแต่ปีศาจหน้าดำสองตัวปรากฏออกมา จนถึงตอนที่หลิ่วหมิงกับอสูรจิตวิญญาณสองตัวลงมือสังหารมันอย่างง่ายดายนั้น ใช้เวลาไม่เกินครึ่งถ้วยชา
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิ่วหมิงล้วนมีท่าทีสบายๆ ราวกับว่าไม่ได้ใช้แรงอะไรมากนัก
สิ่งนี้ย่อมทำให้บัณฑิตวัยกลางคนทั้งตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก
หลังจากแมงป่องกระดูกกับหัวบินพากันเก็บพลังของตัวเองแล้ว ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง ส่วนผู้อาวุโสตระกูลสวี่ก็รีบเก็บโล่ตรงหน้า และก้าวเข้ามาประสานมือคารวะหลิ่วหมิง
“คิดไม่ถึงว่าสหายไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ที่มีพลังน่าตกใจเท่านั้น ทั้งยังมีอสูรจิตวิญญาณที่เก่งกาจอีกสองตัว ช่างทำให้ข้าน้อยได้เปิดหูเปิดตาเป็นยิ่งนัก หากข้าน้อยดูไม่ผิดล่ะก็ อสูรจิตวิญญาณสองตัวนี้ คงมีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย จุ๊ๆ! สหายสมกับเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ มีอสูรจิตวิญญาณที่เก่งกาจอยู่กับตัวเช่นนี้ เกรงว่าคงพอที่ต้านทานผู้แข็งแกร่งระดับผลึกลงมาได้”
“สหายชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยได้อสูรสองตัวนี้มาโดยบังเอิญเท่านั้น” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปหนึ่งประโยค พอตบไปที่เอว แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็กลายเป็นไอดำสองกลุ่มม้วนตัวเข้าไปในถุงหนังบนเอว
บัณฑิตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็โค้งตัวกล่าวขอบคุณอย่างเต็มปากเต็มคำอีกครั้ง
“นี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำ ไม่ต้องขอบคุณ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ!” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูรอบด้านหนึ่งรอบ พอค้นพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้ว ก็กล่าวออกมา
บัณฑิตวัยกลางคนย่อมตอบรับในทันที
ดังนั้นคนทั้งสองก็รีบกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว และหลังจากออกจากถ้ำเหมืองแร่แล้ว ก็ขี่เมฆไปทางป้อมตระกูลสวี่
หลายชั่วยามต่อมา ภายในห้องโถงใหญ่ของป้อมตระกูลสวี่ หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ
รอบๆ ตัวเขามีสวี่ไคหยางและผู้อาวุโสคนอื่นๆ นั่งอยู่ บัณฑิตวัยกลางคนที่ไปพร้อมกับหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น ก็อยู่ที่นั่นด้วย
ผู้ฝึกฝนตระกูลสวี่เหล่านี้ ต่างก็รู้เรื่องการต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงจากปากบัณฑิตวัยกลางคนแล้ว ในขณะที่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากนั้น ย่อมรู้สึกเลื่อมใสหลิ่วหมิงมากขึ้นกว่าเดิม
“ท่านทูตหลิ่ว นี่คือค่าตอบแทนที่ทางนิกายรับปากไว้ในตอนแรก ครั้งนี้ท่านฑูตยอมมาช่วยไกลถึงเพียงนี้ ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนของตระกูลสวี่ขอบคุณท่านทูตอีกครั้ง นอกจากนี้ ของเหล่านี้ล้วนเป็นวัสดุหลอมอาวุธที่หาได้ยากจำนวนหนึ่ง ที่บรรพบุรุษของตระกูลเราได้ทิ้งไว้ หากท่านสนใจล่ะก็ เลือกไปสักอย่างสองอย่างเถิด!” ไม่นาน หัวหน้าตระกูลสวี่กับผู้อาวุโสผอมแห้งก็เดินมาจากด้านหลังห้องโถง และเดินมาวางถุงหินจิตวิญญาณไว้บนโต๊ะก่อนกล่าวออกมา
จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลสวี่ที่อยู่ด้านข้างก็สะบัดแขนเสื้อ หลังจากแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา ก็มีกล่องหยกเล็กๆ สิบกว่าใบวางอยู่ข้างๆ ถุงใส่หินจิตวิญญาณ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดออกมาอย่างราบเรียบ และเก็บถุงหินจิตวิญญาณเข้าไปก่อน จากนั้นสายตาก็ตกอยู่บนกล่องหยกเหล่านี้
……
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป
หลิ่วหมิงก็ก้าวออกจากห้องโถงพร้อมกับผู้ฝึกฝนตระกูลสวี่จำนวนมาก และทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เมฆดำก้อนหนึ่งพยุงตัวเขาขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำทะยานขึ้นฟ้า
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นจุดสีดำหายไปตรงขอบฟ้า
ขณะนี้ผู้อาวุโสผอมแห้งถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา และหันไปสอบถามบัณฑิตวัยกลางคนอีกครั้ง
“น้องเจ็ด เจ้าบอกว่าคนผู้นี้มีปีศาจระดับของเหลวขั้นปลายสองตัวหรือ เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้มองพลาดไป?” ผู้อาวุโสผอมแห้งขมวดคิ้วแล้วถามออกมาเบาๆ
“เรียนพี่ใหญ่ ตอนอยู่ในถ้ำเหมืองแร่ข้าได้ใช้จิตกวาดดูไปหนึ่งรอบ มั่นใจว่าไม่ผิดอย่างแน่นอน ทั้งสองต่างก็มีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย ไม่เพียงแต่เท่านี้ ท่านฑูตหลิ่วยังเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ด้วย ทั้งยังมีพลังสูงส่งจนไม่อาจคาดเดาได้ ราวกับว่าสังหารปีศาจหน้าดำสองตัวเพียงช่วงเวลาเทียบเท่ากับการยกเท้าเท่านั้น พลังของปีศาจสองตัวนี้แข็งแกร่งแค่ไหน ข้ากับท่านก็รู้ดี” บัณฑิตวัยกลางคนรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“หากเจ้าไม่ได้พูดเท็จ ท่านฑูตหลิ่วผู้นี้คงไม่ใช่ระดับของเหลวขั้นกลางธรรมดาๆ คิดว่าคงจะปิดบังระดับการฝึกฝนไว้ไม่อยากให้พวกเรารู้ ดีที่พวกเราปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นแขกชั้นสูง ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดความยุ่งยากอะไรออกมาบ้าง แต่ในเมื่อเขารีบไปถึงเพียงนี้ คาดว่าคงมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ช่างเถอะ! เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องไปสนใจ” สวี่ไคหยางได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ครั้งนี้หัวหน้าตระกูลทำได้ไม่เลว พวกเรานำวัสดุเหล่านั้นมาให้เขาเลือก ก็นับว่าสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนผู้นี้ไว้ หากระดับการฝึกฝนของคนผู้นี้ก้าวไปอีกขั้นล่ะก็ ไม่แน่อาจจะเป็นที่พึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ของตระกูลสวี่เราก็ได้” ผู้อาวุโสผอมแห้งถอนหายใจเบาๆ และกล่าวออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปในห้องโถง
คนตระกูลสวี่ได้ยินเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันทีหนึ่ง และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา จึงพากันตามเข้าไป
……
หลิ่วหมิงที่ออกไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว ย่อมไม่รับรู้การสนทนาของคนตระกูลสวี่
ขณะนี้ เขากำลังชื่นชมมุกสีเขียวกลมๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือด้วยรอยยิ้ม
สิ่งนี้ทีชื่อว่ามุกมูลหนอน เป็นผลึกที่หนอนมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งขับถ่ายออกมา ทั้งยังมีพิษร้ายแรงอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่พบเจอได้น้อยมาก และเป็นหนึ่งในวัสดุเสริมสำหรับปรับแต่งโล่เก้ากระโหลกของหลิ่วหมิงพอดี
หลิ่วหมิงได้มันมาโดยไม่คาดคิดเช่นนี้ ย่อมรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
เขาเก็บมุกเม็ดนี้เข้าไป และพลิกฝ่ามือหยิบแผนที่บริเวณนี้ที่เขาได้เตรียมไว้ออกมา
ไม่นานเขาก็เก็บแผนที่เข้าไป และย่ำเมฆใต้เท้าเบาๆ จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งออกไปทันที
หลังจากเหาะมาทางทิศตะวันตกราวๆ ครึ่งวัน ก็มีทะเลสาบที่ดูธรรมดาๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ไกล
น้ำในทะเลสาบใสแจ๋วจนมองเห็นพื้น มีปลาแหวกว่ายไปมาอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีนกกระสาป่าสีเทาสองสามตัวกระพือปีกเล่นอยู่ริมทะเลสาบอย่างสนุกสนาน
หลิ่วหมิงบังคับเมฆดำให้ร่อนลงริมทะเลสาบ และทำท่ามือแปลกๆ บริเวณหน้าอก จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง และตบผ่านอากาศออกไปเบาๆ
ไอหมอกดำพุ่งออกมา อากาศตรงหน้าค่อยๆ สั่นสะท้านเบาๆ และก่อตัวเป็นระลอกคลื่นหนึ่งชั้น
จากนั้นภาพตรงหน้าหลิ่วหมิงก็พร่ามัว หุบเขาเขียวชอุ่มปรากฏออกมา และยังเห็นผู้ฝึกฝนจากทิศทางต่างๆ เหาะเข้าไปในหุบเขา และมีแสงหลบหลีกพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา
หุบเขาแห่งนี้คือเป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางในครั้งนี้ ตลาดที่ไม่รู้อยู่ห่างจากนิกายยอดบริสุทธิ์กี่หมื่นลี้ มีชื่อว่าตลาดทะเลสาบสีฟ้า
หลังจากเขาสังเกตดูอยู่พักหนึ่งแล้ว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งเข้าไปในหุบเขา
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงก็เดินออกจากตลาดด้วยสีหน้าพอใจ
แม้ตลาดทะเลสาบสีฟ้าจะไม่ใหญ่มาก แต่ด้านในมีร้านค้าใหญ่เล็กครบครัน วัสดุจำพวกหลอมอาวุธจิตวิญญาณ ยันต์ และอื่นๆ ต่างก็มีครบครัน
หลิ่วหมิงแบ่งขายโอสถที่ปรุงขึ้นมาจนหมด อาจเป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกล ราคาโอสถของที่นี่จึงสูงกว่าตลาดในนิกายหนึ่งส่วน สิ่งนี้ทำให้เขาได้หินจิตวิญญาณมาไม่น้อย บนตัวเขาในตอนนี้มีหินจิตวิญญาณสามแสนกว่าก้อน
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปเดินมาในร้านค้าสองสามแห่ง และใช้หินจิตวิญญาณไปหลายหมื่นก้อนซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถเป็นจำนวนมาก ยกเว้นผลผลึกเขียวที่ไม่ได้ซื้อ
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ออกไปจากตลาด และขี่เมฆไปทางวิหารหินสีดำที่เป็นที่ตั้งของค่ายกลส่งตัวทันที
สิบกว่าวันต่อมา ในร้านค้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตลาดนิกายยอดบริสุทธิ์ หลิ่วหมิงกำลังสังเกตดูผลสีเขียวสิบกว่าลูกที่มีขนาดเท่ากำปั้น และวางอยู่ในกล่องหยกสีขาวอย่างละเอียด
ผลเหล่านี้มีลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวจางๆ อยู่บนพื้นผิวหนึ่งชั้น และส่งกลิ่นหอมจรุงใจอยู่ตลอดเวลา มันคือผลผลึกเขียวที่มีอายุเกือบสามร้อยปีแล้ว
ผลผลึกเขียวที่ซื้อในก่อนหน้านั้น ล้วนมีอายุประมาณสองร้อยปี และผลผลึกเขียวเกือบสามร้อยปีตรงหน้าทำให้เขาอดใจเต้นไม่ได้
อย่างที่รู้ว่าความแตกต่างของอายุวัตถุดิบหลัก จะส่งผลต่อคุณภาพของโอสถที่ปรุงออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัตถุดิบที่มีอายุห่างกันเกือบร้อยปีเลย
“ข้าเอาทั้งหมดนี่ เท่าไหร่?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าสงบ
“ทั้งหมดแปดหมื่นหินจิตวิญญาณ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างอรชรมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
ตอนที่ 527 เคล็ดกระบี่สองแบบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงได้ยินก็ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงยื่นให้หญิงวัยกลางคนแปดก้อน เขาเก็บกล่องหยกสีขาวขึ้นมา และเดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไร
หลายวันก่อน หลังกลับถึงนิกายเขาก็ไม่ได้รีบกลับไปยังถ้ำที่พัก แต่กลับไปที่ตลาดในนิกายอีกครั้ง และซื้อผลผลึกเขียวจากร้านต่างๆ มาไม่น้อย
และผลผลึกเขียวที่มีอายุสามร้อยปีนี้ เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก มันพอที่จะทำให้พลังของโอสถเพิ่มขึ้นมามาก เขาย่อมซื้อมันไว้ทั้งหมด หลังจากนั้นถึงขี่เมฆกลับที่พัก
พอเขาเหยียบเข้าไปในถ้ำก็ปิดประตูแน่น หลังจากติดป้ายไม่รับแขกแล้ว ก็ตรงดิ่งไปห้องปรุงโอสถทันที
ครั้งนี้เขาปิดประตูห้องปรุงโอสถนานถึงหนึ่งเดือนกว่า
เมื่อประตูห้องปรุงโอสถเปิดออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเส้นผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเก่าๆ และชำรุดเล็กน้อยก็เดินออกมา เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
และยันต์เก็บของบนเอว ก็มีโอสถผลึกเย็นเพิ่มขึ้นมาสี่สิบกว่าเม็ด
เขาปัดฝุ่นบนเสื้อ และครุ่นคิดอยู่ในห้องโถงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องลับ
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง ตรงหน้ามีกล่องหยกสีขาววางอยู่ใบหนึ่ง โอสถสีเงินแวววาวบรรจุอยู่ในนั้น เขาใช้นิ้วทั้งสองคีบมันขึ้นมาเบาๆ และใส่เข้าไปในปาก จากนั้นก็หลับตาปรับลมหายใจ
โอสถผลึกเย็นไม่เหมือนกับโอสถชนิดอื่นที่เข้าปากแล้วละลายทันที แต่กลับลื่นไหลลงในท้อง ครู่ต่อมา เขารู้สึกว่าไอเย็นยะเยือกแผ่กระจายออกจากช่องท้อง และเริ่มไหลไปตามเส้นลมปราณต่างๆ อย่างไม่ขาดสาย
และจุดตันเถียนในตอนนี้ก็เกิดความอบอุ่นอย่างต่อเนื่อง พลังเวทพุ่งออกจากในนั้นอย่างไม่ขาดสาย และบรรจบเข้าไปในมือเท้าทั้งสี่และกระดูกทั่วร่าง
พอหลิ่วหมิงรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ไอเย็นยะเยือกก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วในช่องท้อง…
ภายใต้การหมุนเวียนของความร้อนและความเย็น หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้ถึงพลังเวทที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นมา
เขากักตัวเช่นนี้กว่าครึ่งเดือน หลังจากทานโอสถผลึกเย็นไปราวๆ ยี่สิบกว่าเม็ดแล้ว พลังเวทที่ถูกฟองอากาศลึกลับกลืนกินเข้าไป ก็ถูกเสริมขึ้นมาในที่สุด และเขตแดนการฝึกฝนก็กลับมาที่ของเหลวขั้นปลายอีกครั้ง
ขณะนี้ หลิ่วหมิงไม่รีบร้อนออกไปจากห้องลับแต่อย่างใด แต่กลับหลับตาทั้งคู่ลง และพลิกดูเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งในจิตรับรู้อย่างอดไม่ได้
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ สามารถฝึกกระบี่ได้สองแบบแล้ว
แบบแรกเรียกว่า ‘ดรรชนีกระบี่’ ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง เพียงแค่บ่มเพาะจิตวิญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่าง และฝึกฝนพลังเวทจนถึงระดับที่กำหนด ก็ใช้พลังเวทในร่างเลียนแบบปราณกระบี่ และใช้นิ้วพุ่งยิงมันออกมาได้โดยตรง แม้อานุภาพของมันจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับการปล่อยออกจากอาวุธกระบี่จริงๆ แต่เหนือกว่าตรงที่สามารถแสดงออกมาได้โดยง่าย ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง ก็สามารถจู่โจมจนศัตรูได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยไม่รู้ตัว
และพลังมหัศจรรย์ของดรรชนีกระบี่ในคัมภีร์กระบี่ปราณแกร่ง ก็สามารถใช้วิธีการเฉพาะในการฝึกฝน ทำให้ปราณกระบี่ที่ดีดออกจากนิ้วมีลักษณะเป็นเกลียวหมุน ส่งผลให้อานุภาพของมันเหนือกว่าเคล็ดวิชากระบี่ที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ดรรชนีกระบี่ปราณแกร่งมีเงื่อนไขต่อระดับความแข็งแกร่งของเส้นลมปราณค่อนข้างสูง หากฝืนฝึกฝนโดยไม่ตรงตามเงื่อนไขหรือระดับการฝึกฝนที่ไม่เหมาะสม อย่างเบาก็ทำให้เส้นลมปราณฉีกขาด อย่างหนักจะทำให้ปราณกระบี่ในร่างสูญเสียการควบคุม และร่างกายระเบิดจนเสียชีวิต ดังนั้นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไปยังไม่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้จริงๆ
แต่สำหรับหลิ่วหมิงที่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ และเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาแล้ว ย่อมไม่อยู่ในขอบเขตนี้
ส่วนพลังมหัศจรรย์แบบที่สอง กลับเป็นพลังกระบี่ร่างเป็นหนึ่งที่หลิ่วหมิงใฝ่ฝันมานานแล้ว
ตอนเจอเย่เทียนเหมยที่เขาลูกข่างหินเป็นครั้งแรกนั้น หลิ่วหมิงได้เห็นความน่ากลัวของวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งมากับตา
แต่ว่าพลังมหัศจรรย์เช่นนี้ ต้องฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ให้บรรลุขั้นต้นเสียก่อน จึงจะแสดงออกมาได้
แม้หลายปีมานี้หลิ่วหมิงจะไม่ได้ฝึกฝนวิชากระบี่อย่างจริงจัง แต่เขาใช้วิชาขี่กระบี่ในขณะต่อสู้บ่อยมาก บวกกับการต่อสู้กับปีศาจหลานสี่ในแดนมายาของดวงมายาปีศาจ ยิ่งทำให้เขาใช้วิชาขี่กระบี่จนนับครั้งไม่ถ้วน
เขามีความเชื่อมั่นว่ามันเข้าถึงขั้นต้นแล้ว ดังนั้นวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ก็สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน
และหากเขาฝึกฝนวิชานี้แล้ว ทุกวันจะต้องหยดโลหิตบริสุทธิ์ใส่กระบี่หนึ่งหยด และใช้เคล็ดวิชาที่กล่าวไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง ปรับแต่งกระบี่นี้ด้วยตนเองเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ถึงจะสำเร็จในเบื้องต้น
พูดในบางมุมมองได้ว่า แท้จริงแล้วพลังมหัศจรรย์นี้ เป็นแค่พื้นฐานวิชาขี่กระบี่เหินเวหาที่แท้จริงเท่านั้น
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงจดจำเคล็ดวิชาทั้งสองแบบอย่างเงียบๆ และเตรียมใช้วัตถุดิบที่เหลือทั้งหมดมาปรุงโอสถ ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนเคล็ดกระบี่ทั้งสองแบบไปด้วย
หนึ่งเดือนต่อมา มีเสียงระเบิดดัง “ตูมตาม!” อยู่ในห้องลับ
ระหว่างเวลานี้ นอกจากหลิ่วหมิงจะปรุงโอสถผลึกเย็นแล้ว เวลาที่เหลือก็ทำความเข้าใจและฝึกฝนพลังของดรรชนีนีกระบี่ ดูเหมือนว่าจะถึงขั้นที่สามารถแสดงออกมาได้แล้ว
หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องลับ ชี้นิ้วข้างหนึ่งไปบนก้อนหินยักษ์ตรงมุมห้องเบาๆ และดีดนิ้วออกไป
“ฟิ้ว!” ปราณกระบี่สีขาวพุ่งยิงออกไป ก้อนหินยักษ์ถูกแทงทะลุ ทิ้งรูขนาดชุ่นกว่าๆ ไว้
หลิ่วหมิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขายกแขนดีดนิ้วใส่หินยักษ์อยู่หลายครั้ง
เกิดเสียงดังกึกก้อง!
ปราณกระบี่แต่ละสายพุ่งออกจากปลายนิ้วติดต่อกัน และกระพริบหายไปในก้อนหินยักษ์ทั้งหมด
ครู่ต่อมา ก็มีรูขนาดครึ่งชุ่นห้ารูปรากฏอยู่บนก้อนหิน แต่รูเหล่านี้ลึกแค่ชุ่นกว่าๆ เท่านั้น ซึ่งยังไม่แทงทะลุก้อนหินไป
พลังดรรชนีกระบี่นี้ หากปล่อยออกไปเพียงนิ้วเดียว ปราณกระบี่ที่ก่อตัวขึ้นมาจะมีอานุภาพรุนแรงกว่ามาก
แต่หากปล่อยออกไปติดต่อกัน แม้มันจะมีอานุภาพน้อยกว่า แต่กลับลดเวลาในการก่อตัวลงไปมาก ดูเหมือนจะใช้เวลาในการก่อตัวและยิงออกไปแค่พริบตาเดียว
ด้วยระดับการฝึกฝนพลังเวทของหลิ่วหมิงในตอนนี้ พริบตาเดียวก็สามารถปล่อยปราณกระบี่ออกมาได้มากสุดห้าสาย
เทียบกันแล้ว แม้ว่าการใช้แสงกระบี่ที่ปล่อยออกจากอาวุธกระบี่จะมีอานุภาพกว่ามาก แต่ต้องใช้เวลาในการกระตุ้นไม่น้อย มันไม่สะดวกสบาย และอำพรางตัวได้ดีเท่าพลังดรรชนีกระบี่
ตอนที่หลิ่วหมิงเริ่มฝึกพลังดรรชนีกระบี่นั้น ก็เคยพบกับปัญหาเล็กน้อย เช่นปัญหาการควบคุมทิศทางของปราณกระบี่
เมื่อเขากระตุ้นเคล็ดกระบี่ในครั้งแรก ทำให้ปราณกระบี่ออกจากร่างไปอยู่ที่ปลายนิ้วนั้น ก็ก่อเกิดแสงโปร่งใสกลมๆ บนปลายนิ้ว และพริบตาเดียวก็สูญเสียการควบคุม ทำให้ลูกแสงระเบิดตัวทันทีที่หลุดจากนิ้วไปไม่กี่จั้ง
สุดท้าย เขาฝึกฝนติดต่อกันสิบกว่าวันสิบกว่าคืน ถึงปล่อยปราณกระบี่ออกมาได้อย่างที่เห็นในตอนนี้ ทั้งยังสามารถใช้เวลาในขณะที่ปราณกระบี่ก่อตัว มาควบคุมอานุภาพของดรรชนีกระบี่ได้
ในขณะที่หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญไปด้วย ก็เปลี่ยนเคล็ดวิชาที่อยู่ในใจไปด้วย ปราณกระบี่สีขาวที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้น หมุนวนเป็นเกลียวยิงออกไปอย่างรวดเร็ว และกระพริบหายไปในก้อนหินสีเทาตรงมุมห้อง
นี่ก็คือวิธีการกระตุ้นปราณกระบี่ในสภาพที่หมุนเป็นเกลียว
“ตู้ม!”
ก้อนหินสีเทาระเบิดออกมาในพริบตา เศษหินจำนวนมากกระเด็นไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แม้เขาจะรู้ว่าวิชาดรรชนีกระบี่ตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง มีอานุภาพกว่าดรรชนีกระบี่ทั่วไปมาก แต่ฉากตรงหน้ายังคงเหนือความคาดหมายไม่น้อย
พลังอันน่าตกใจนี้ ดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าการปล่อยแสงกระบี่จากอาวุธกระบี่เลย หากผู้ฝึกฝนทั่วไปที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่ทันได้ป้องกัน และรับดรรชนีกระบี่นี้โดยตรง จะต้องถูกทำลายปราณแกร่งที่คุ้มร่างจนได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก แต่ก็กลับมามีสีหน้าสงบอย่างรวดเร็ว
ต่อมา เขาใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการปรุงโอสถจากวัตถุดิบที่เหลืออยู่ทั้งหมด และนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งอย่างเงียบๆ
ผ่านไปอีกสิบกว่าวัน หลังจากหลิ่วหมิงทำความเข้าใจเคล็ดกระบี่นี้ได้พอประมาณแล้ว ก็ตัดสินใจปรับแต่งกระบี่ทันที
พอเขาสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีแดงก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนตัวติ้วๆ แล้ว ก็ขยายใหญ่ครึ่งจั้ง และลอยอยู่กลางอากาศที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปสองจั้ง
เขายกนิ้วมือนิ้วหนึ่งขึ้นมา และบีบโลหิตออกมาหยดหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามือในทันที และชี้ไปยังโลหิตเบาๆ พริบตาเดียวโลหิตบริสุทธิ์ก็พุ่งใส่กระบี่บิน
พอโลหิตบริสุทธิ์จมเข้าไปในตัวกระบี่ มันก็กลายเป็นไหมโลหิตเคลื่อนไหวบนกระบี่ไม่หยุด กระบี่เล็กสั่นสะท้านขึ้นมาทันที และส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ท่องเคล็ดกระบี่อยู่ในใจ ขณะเดียวกัน นิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวราวกับล้อรถ และปล่อยพลังไปในอากาศ จากนั้นมันก็จมหายไปในกระบี่เล็ก
ทันใดนั้น กระบี่เล็กสีแดงก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง อักขระสีแดงลอยขึ้นมา และเปล่งแสงเจิดจ้าอย่างถึงขีดสุด
ฉากแปลกประหลาดได้บังเกิดขึ้นแล้ว
แสงสีแดงปรากฏขึ้นผิวกระบี่บินยักษ์ และค่อยๆ แผ่กระจายมาทางหลิ่วหมิง จากนั้นก็ลอยวนเวียนรอบตัวเขาเป็นชั้นๆ
ไม่นานหลิ่วหมิงก็ถูกแสงสีแดงห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา และหลับตานิ่งอยู่ด้านในไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน พอหลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา เขาก็หยุดทำท่ามือลง ครู่ต่อมา แสงสีแดงตรงหน้าก็ดับลง เผยให้เห็นรูปร่างของกระบี่บินอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน แสงสีแดงที่ลอยวนรอบตัวก็สลายไปพร้อมกัน
เขาบีบโลหิตบริสุทธิ์ออกจากปลายนิ้วอีกหนึ่งหยด พร้อมกับสะบัดไปทางกระบี่บิน และมันก็จมหายไปอย่างรวดเร็ว……
เจ็ดวันเจ็ดคืนผ่านไป บริเวณใจกลางห้องลับ มีกลุ่มแสงสีแดงพวยพุ่งอย่างรุนแรง และมีเสียงแผดร้องดังออกมาในฉับพลัน
“ตู้ม!” แสงสีแดงระเบิดออกมา เผยให้เห็นเงาร่างของคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน
“เก็บ!”
ภายใต้การส่งเสียงคำรามของหลิ่วหมิง พอเขาโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ แสงบนกระบี่เล็กสีแดงก็ดับลง และส่งเสียงดังกังวานออกมา หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็พุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
“เคล็ดวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถเปลี่ยนแปลงแสงกระบี่ที่กระบี่จิตวิญญาณปล่อยออกมา ให้ละลายเข้าไปในร่างของตนเองได้” หลิ่วหมิงเงียบไปพักหนึ่ง และพูดพึมพำด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็หลับตาทำสมาธิต่อ
หลายวันต่อมา
ห้องโถงภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” อยู่ไม่หยุด
พอแสงสีแดงลำหนึ่งกระพริบจากมุมหนึ่งของห้องโถง มันก็ไปปรากฏอยู่ตรงท้ายทางเดิน และพริบตาเดียว แสงสีแดงก็กลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง
มันเคลื่อนไหวรวดเร็วปานลมกรดและสายฟ้าแลบ!
ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ดับลง เผยให้เห็นชายหนุ่มที่ถือกระบี่จิตวิญญาณอยู่
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ตอนที่ 528 ตลาดฉางหยาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง นอกจากวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งจะช่วยยกระดับความเร็วเป็นอย่างมากแล้ว ยังเป็นเพราะมีพลังเวททั้งหมดของผู้แสดงวิชาอยู่ในแสงที่ห่อหุ้มทั่วร่าง อานุภาพของมันจึงไม่ใช่สิ่งที่วิชาขี่กระบี่โดยทั่วไปสามารถเทียบได้
หากศัตรูอยู่ในอากาศบริเวณใกล้ๆ แสงหลบหลีก จะได้รับผลกระทบในระดับที่แตกต่างกัน หากฝืนเข้าใกล้ล่ะก็ เนื้อหนังจะถลอกปอกเปิก ดังนั้นพอแสดงวิชานี้ออกมา ยังสามารถป้องกันการโจมตีได้ระดับหนึ่ง
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคงเป็นเพราะว่าการแสดงวิชานี้เป็นการทุ่มพลังทั้งหมด ทำให้สิ้นเปลืองพลังเวทเกินไป ด้วยระดับพลังเวทของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่อาจยืนหยัดได้นานมากนัก
และพอวิธีการนี้โจมตีไม่ได้ผล ก็เท่ากับว่าเป็นการส่งตัวเองให้อยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจะต้องระมัดระวังในการใช้ให้มาก
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว วิชาขี่กระบี่ของเขาเพิ่งมาถึงขั้นเริ่มต้น หากคิดจะแสดงอานุภาพวิชาขี่กระบี่ที่แท้จริงออกมา ยังต้องฝึกฝนประสบการณ์ต่อสู้จริงให้มาก
หลังจากเข้าพื้นฐานการฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้งสองแล้ว เขาก็ตัดสินใจไปซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถที่ตลาดอีกครั้ง เพื่อนำมาปรุงโอสถต่อ
แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดกะทันหัน หลังจากเก็บกระบี่เล็กสีแดงเข้าไปแล้ว ก็ออกไปจากถ้ำที่พักในทันที และขี่เมฆดำทะยานไปทางหอลี้ลับ
เขารับภารกิจรวบรวมสมุนไพรจิตวิญญาณบนป้ายประกาศ จากนั้นก็ไปจากนิกายทันที และทะยานไปยังหุบเขาบางแห่ง
เวลาในสองสามเดือนต่อมา เขารับภารกิจจำนวนหนึ่งติดต่อกัน ซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่ค่อยยากมาก แต้มคุณูปการก็ไม่สูง แต่กลับอยู่ไกลจากนิกาย ตลาดที่ไปในแต่ละครั้ง ล้วนเป็นตลาดเล็กๆ ที่ไม่ค่อยดึงความดูดสนใจผู้คน
หลังจากเขาแบ่งขายโอสถผลึกเย็นยี่สิบกว่าเม็ดแล้ว ก็ซื้อวัตถุดิบเสริมที่ต้องการมาไม่น้อย
ส่วนภารกิจในนิกายเหล่านี้ ด้วยพลังของหลิ่วหมิงที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึก ย่อมไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมาก และสำเร็จภารกิจได้อย่างราบรื่น
สามเดือนต่อมา ชั้นสามของร้านที่มีขนาดไม่เล็กในตลาดนิกายยอดบริสุทธิ์ หลิ่วหมิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลตัวหนึ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หลายวันนี้ เขาได้เดินดูร้านค้าขนาดใหญ่เล็กต่างๆ ในตลาดไปหนึ่งรอบแล้ว เพียงแค่เป็นผลผลึกเขียวที่มีอายุเหมาะสม ล้วนถูกเขาซื้อไปจนหมด
หากไม่ใช่ว่าวัตถุดิบเสริมอื่นๆ ได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่ยังขาดผลผลึกเขียวจำนวนหนึ่งล่ะก็ เขาคงไม่มาถามร้านค้าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นี้อีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีใจก็คือ เถ้าแก่บอกว่าในร้านมีผลผลึกเขียวที่มีอายุราวๆ สองร้อยปีอยู่สิบกว่าลูก ถ้านับรวมสิบกว่าลูกนี้แล้ว มันเพียงพอกับวัตถุดิบเสริมที่ใช้ปรุงโอสถพอดี
“สหายท่านนี้รอนานแล้ว นี่คือผลผลึกเขียวที่ท่านต้องการ”
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาอายุห้าสิบกว่าๆ ผู้หนึ่ง ก็ประคองกล่องหยกสีเหลืองเดินขึ้นบันไดมา และวางไว้ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม
“รบกวนแล้ว“ หลิ่วหมิงโค้งคารวะ และรับกล่องหยกไปทันที จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งตบมันเบาๆ
ลวดลายจิตวิญญาณสีเหลืองจางๆ บนกล่องหยกเปล่งประกาย ฝากล่องเลื่อนออกมา เผยให้เห็นผลผลึกเขียวขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าลูกวางอยู่ด้านใน
สำหรับหลิ่วหมิงที่เคยเห็นผลผลึกเขียวมาหลายร้อยลูก ไม่จำเป็นต้องตรวจดูอย่างละเอียด เพียงแค่กวาดสายตามองผ่านๆ ก็ยืนยันได้ว่าผลผลึกเขียวเหล่านี้มีอายุราวๆ สองร้อยปี
แต่เขายังคงคว้าผลผลึกเขียวลูกหนึ่งมามาสังเกตอย่างละเอียด จากนั้นถึงวางลงไปในกล่องหยกอย่างระมัดระวัง
“ผลผลึกเขียวเหล่านี้มีอายุถึงสองร้อยปีจริงๆ ขอถามเถ้าแก่หน่อยว่า ผลผลึกเขียวทั้งหมดนี้ราคาเท่าใด?” หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองชายวัยกลางคนทีหนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ทั้งหมดสิบสามลูก ลูกละหกพันหินจิตวิญญาณ รวมทั้งหมดเป็นเจ็ดหมื่นแปดพันหินจิตวิญญาณ” ชายวัยกลางคนยิ้มแหยๆ แล้วกล่าวออกมา
“เจ็ดหมื่นแปดพันหินจิตวิญญาณ…” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“หากสหายผู้นี้อยากได้จริงๆ ก็จ่ายแค่เจ็ดหมื่นหินจิตวิญญาณก็พอ อย่าหาว่าข้าละลาบละล้วงเลย ดูเหมือนสหายจะไม่ได้มาซื้อผลผลึกเขียวที่ร้านเราเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าผลผลึกเขียวที่สหายซื้อไป คิดจะปรุงโอสถชนิดใด? ร้านเราก็รับซื้อโอสถชนิดต่างๆ ตลอดปี หากสหายมีโอสถระดับสูง ก็มาขายที่ร้านเราได้ สหายจะต้องได้ราคาที่พอใจอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนลดราคาให้หลิ่วหมิงอย่างสบายอกสบายใจ จากนั้นก็สอบถามด้วยรอยยิ้ม
”ข้าก็แค่ช่วยซื้อวัตถุดิบให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกายเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะปรุงโอสถชนิดใด” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา แต่สีหน้าดูสงบเป็นอย่างมาก
“ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกายข้าก็รู้จักอยู่ไม่น้อย ไม่ทราบ……”
“เถ้าแก่ ข้าก็แค่รับคำสั่งมาเท่านั้น ไม่อาจแพร่งพรายสถานะของผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ได้ เอาล่ะ! ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงเก็บกล่องหยกโดยไม่รอให้ชายวัยกลางคนพูดจบ จากนั้นก็นำถุงผ้าใส่หินจิตวิญญาณมาวางไว้บนโต๊ะ และเดินออกไปอย่างรีบร้อน
แม้เขาจะระมัดระวังโดยการซื้อวัตถุดิบเสริมจำนวนมากจากร้านอื่นๆ แต่เป็นเพราะบริเวณนี้มีแค่ตลาดในนิกายที่มีผลผลึกเขียวเท่านั้น จึงต้องซื้อจากที่นี่เป็นจำนวนมาก แต่เห็นได้ชัดว่าการกระทำเช่นนี้สะดุดตาจนเกินไป และได้สร้างจุดสนใจให้กับคนจำนวนหนึ่งแล้ว
หลิ่วหมิงต่อล้อต่อเถียงอยู่ในใจไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจว่าต่อไปไม่สามารถซื้อผลผลึกเขียวในตลาดของนิกายได้ตามอำเภอใจแล้ว
หลังจากกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็กักตัวอีกหนึ่งเดือนกว่า ถึงปรุงโอสถจากวัตถุดิบที่เหลือจนเสร็จสรรพ
ในหอยสังข์ย่อส่วนบนเอวในขณะนี้ มีโอสถผลึกเย็นเกือบร้อยกว่าเม็ด ในนั้นยังมีโอสถธรรมดาเจ็ดเม็ด และโอสถพสุธาหนึ่งเม็ด
หลิ่วหมิงชื่นชมโอสถพสุธาที่มีลายโอสถสี่เส้นอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง
ตอนนี้เขารู้มูลค่าของโอสถระดับสูงของเขตแดนของเหลวเป็นอย่างดีแล้ว โดยทั่วไปโอสถผลึกเย็นระดับสูง สามารถขายได้ห้าหกหมื่นหินจิตวิญญาณ ดูเหมือนว่าจะมากกว่าโอสถผลึกเย็นระดับกลางสิบเท่าขึ้นไป
แต่ว่าราคาของโอสถระดับกลางชนิดอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มพูนพลังเวทของเขตแดนของเหลวได้คล้ายๆ กัน กลับแตกต่างจากโอสถผลึกเย็นไม่มากนัก แต่หลังจากเข้าสู่ระดับสูงแล้ว มูลค่าของโอสถเขตแดนของเหลวทั่วไป กลับขายได้ราวๆ สามหมื่นหินจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากโอสถที่ยังไม่เข้าถึงระดับสูงมาก เพียงแค่มีมูลค่ามากกว่าระดับกลางเล็กน้อยเท่านั้น
ในช่วงเวลานี้ เขาเคยถามราคาซื้อโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาจากเถ้าแก่วัยกลางคนที่เปิดร้านอยู่ในตลาดนอกนิกาย
ผลลัพธ์คือ เถ้าแก่ร้านที่ดูเหมือนมีการฝึกฝนเขตแดนของเหลวขั้นปลายผู้นั้น ก็รีบคว้ามือเขาไว้ด้วยความตื่นเต้น และเสนอราคาห้าแสนหินจิตวิญญาณอย่างไม่ลังเล ทั้งยังพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าสามารถคุยราคากันได้
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมาก
หากเขาไม่รีบบอกไปว่าตนเองแค่สอบถามเท่านั้น เกรงว่าคงไม่อาจจากไปได้โดยง่าย
หลังจากมีประสบการณ์ในครั้งนี้แล้ว เขาก็สอบถามจากร้านอื่นๆ อีกเล็กน้อย ถึงรู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ที่แท้ก็มีผู้ฝึกฝนมากมายที่อาศัยการทานโอสถจำนวนมาก เพื่อยกระดับพลังเวท แต่เนื่องจากทานโอสถมากเกินไป ร่างกายจึงเกิดการต่อต้านโอสถชนิดต่างๆ หากต่อไปคิดจะอาศัยโอสถชนิดเดิมเพิ่มพลังเวทล่ะก็ ผลลัพธ์จะลดน้อยลงไปเป็นอย่างมาก จนกระทั่งอาจจะไม่เกิดผลลัพธ์เลยก็ได้
และโอสถผลึกเย็นนี้ เดิมทีก็มีคนปรุงน้อยมาก ที่ปรุงออกมาในระดับสูงยิ่งมีน้อยขึ้นไปอีก ดูจากมุมมองบางอย่างแล้ว หากทานในขณะทะลวงคอขวดล่ะก็ จะเป็นโอสถทะลวงคอขวดที่ดีชนิดหนึ่ง
ผู้ฝึกฝนหรือตระกูลผู้ฝึกฝนที่ทะลวงคอขวดไม่สำเร็จไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มีความกระหายโอสถระดับสูงที่เป็นทางลัดเหล่านี้มาก จนกระทั่งเสนอราคารับซื้อในตลาดด้วยมูลค่ามหาศาลอย่างไม่เสียดาย
ด้วยเหตุนี้ โอสถผลึกเย็นระดับสูงถึงขายได้แพงกว่าโอสถประเภทเดียวกันที่พบเจอได้บ่อยในท้องตลาดมาก
และด้านหนึ่งเป็นเพราะโอสถระดับพสุธามีผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะมีอยู่น้อยมาก ราคาของมันจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวี สามารถขายในตลาดได้ราคาที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ก็เพราะเหตุนี้ หลิ่วหมิงยิ่งไม่กล้าให้คนอื่นรู้ว่า เขามีความสามารถในการปรุงโอสถผลึกเย็น มิเช่นนั้นต่อให้นิกายยอดบริสุทธิ์จะรู้เรื่องนี้ เกรงว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือการนำเขาไปขังเลี้ยง และให้เขาปรุงโอสถอยู่ทุกคืนวัน
หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมสละตนเองไปทำเรื่องเช่นนี้เพียงคนเดียว เพื่อประโยชน์ของนิกายอย่างแน่นอน
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็นำโอสถบนมือใส่เข้าไปในกล่องหยก
เขาตัดสินใจว่าครั้งหน้าจะต้องไปตลาดขนาดใหญ่นอกนิกาย เพื่อรวบรวมผลผลึกเขียวมาจำนวนมาก
เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขายโอสถหรือการซื้อวัตถุดิบ ล้วนเสร็จสรรพมาจากนอกนิกาย ซึ่งจะไม่สร้างจุดสนใจให้กับผู้คนอีก
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเรียบร้อยแล้ว ก็ไปจากถ้ำที่พักในทันที และขี่เมฆทะยานไปหอลี้ลับอีกครั้ง
ครั้งนี้หลิ่วหมิงเลือกสถานที่ที่อยู่นอกอิทธิพลของนิกายยอดบริสุทธิ์
รายละเอียดของภารกิจก็คือ ไปประจำการอยู่ที่ร้านหลอมอาวุธของนิกายในตลาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลเป็นเวลาหนึ่งปี ภายในหนึ่งปีก็สามารถกลับมานิกายได้
เหตุผลเป็นเพราะว่าศิษย์สายนอกที่เคยประจำการอยู่นั้น จำเป็นต้องไปจากที่นั่นซักระยะหนึ่ง ผ่านพ้นหนึ่งปีไปแล้วถึงจะกลับมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องหาศิษย์สายนอกไปประจำการแทนชั่วคราว
แต่เนื่องจากภารกิจนี้ได้แต้มคุณูปการไม่มาก ทั้งยังใช้เวลานานด้วย แม้ว่าจะประกาศภารกิจมาเป็นเดือนแล้ว ก็ไม่มีคนรับภารกิจนี้เลย
แต่ภารกิจที่ไม่ค่อยมีคนสนใจนี้ สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว มันตรงกับความต้องการของเขาพอดี อีกอย่างเวลาหนึ่งปี ก็เพียงพอที่เขาจะหาซื้อวัตถุดิบจากตลาดนอกนิกายแล้ว การปรุงโอสถและการขายโอสถ สร้างหินจิตวิญญาณให้เขาเป็นจำนวนมาก
หลังจากเขารับภารกิจนี้เสร็จ ก็ไปสอบถามศิษย์ดำเนินการอยู่พักหนึ่ง ถึงรู้ว่าการไปตลาดฉางหยางจำต้องใช้ค่ายกลส่งตัวระยะไกลพิเศษของนิกาย และผ่านค่ายกลส่งตัวอื่นๆ อีกหลายแห่ง ถึงจะไปถึงที่นั่นได้
เขารีบกลับถ้ำที่พักในทันที และจัดเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็น เพื่อจะออกเดินทางในวันถัดไป
เช้าวันที่สอง ตรงตีนยอดเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่ค่อนข้างเร้นลับ เมฆดำก้อนหนึ่งกระพริบผ่านไป ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งกระโดดลงจากก้อนเมฆ
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ขณะนี้ท้องฟ้ากำลังสาง เขาก็มาถึงค่ายกลส่งตัวพิเศษในสถานที่เร้นลับแห่งนี้แล้ว
พอมองออกไป สิ่งที่อยู่ตรงตีนยอดเขาเป็นวิหารหินธรรมดาๆ ที่สูงเจ็ดแปดจั้ง หน้าประตูมียักษ์หินสีดำแกะสลักขนาดใหญ่สองตัว ในมือถือขวานยักษ์อยู่ ประตูใหญ่ปิดสนิท ทั้งยังมีชั้นจำกัดสีขาวโพลนปกคลุมอยู่
ตอนที่ 529 หอร้อยหลอม
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้า และนำป้ายนิกายโบกไปยังชั้นจำกัดบนประตูเบาๆ
แสงสีเขียวจางๆ กระพริบออกจากป้าย และพุ่งลงบนม่านแสง จากนั้นพื้นผิวบนประตูหินก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา พอมีเสียงดัง “แอ๊ด!” ประตูก็เปิดออกมา
พอเขาเดินเข้าไปในห้องหิน ศิษย์อวบอ้วนที่สวมชุดศิษย์ดำเนินการ ก็เดินตาปรือเข้ามา
“ศิษย์น้องผู้นี้ มีภารกิจเร่งด่วนหรือ มาเช้าจริงๆ” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนขยี้ตา และค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยใบหน้าสีหน้าฝืนใจ
“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนของศิษย์พี่ ข้ามาค่ายกลส่งตัวพิเศษเป็นครั้งแรก ครั้งนี้รับภารกิจของนิกายที่ตลาดฉางหยาง” หลิ่วหมิงคารวะและกล่าวอย่างนอบน้อม
“อ้อ! ตลาดฉางหยาง… เจ้าตามข้ามาเถอะ!” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนได้ยินก็ชะงักเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างขึ้นมา หลังจากสังเกตุดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินไปด้านหลังของห้องหิน
หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าฉงนออกมา แต่ก็ตามศิษย์อวบอ้วนผู้นี้ไปโดยไม่พูดอะไรมาก
อีกอย่างที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างตกใจก็คือ ด้านหลังของห้องหินเป็นพื้นราบเรียบที่สร้างขึ้นภายในถ้ำภูเขา สถานที่แห่งนี้มีขนาดหมู่กว่าๆ มีค่ายกลส่งตัวสิบกว่าหลังตั้งอยู่เรียงราย
เทียบกับค่ายกลส่งตัวธรรมดาที่มีคนเข้านอกในก่อนหน้านั้นแล้ว ที่นี้กลับไม่มีคนอื่นๆ อยู่เลย
“ค่ายกลส่งตัวเหล่านี้ ส่วนมากส่งไปยังสถานที่นอกนิกายที่ค่อนข้างไกล หากเจ้าจะไปตลาดฉางหยางล่ะก็ จะต้องถูกส่งตัวในระหว่างทางหลายครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนหัวเราะ และอธิบายออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
“เมื่อเจ้าถูกส่งตัวไปแล้ว ทางด้านนั้นจะมีคนเฝ้าค่ายกลอยู่ เจ้าก็แค่บอกว่าต้องการไปตลาดฉางหยาง พวกเขาก็จะบอกเองว่าต้องใช้ค่ายกลส่งตัวอันใด” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนพูดกำชับอีกเล็กน้อย
“ขอบคุณศิษย์พี่” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะและกล่าวขอบคุณออกมา
“เอาล่ะ! ไปที่ค่ายกลส่งตัวที่อยู่มุมทางด้านนั้น” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนชี้ไปยังค่ายกลสีแดงจางๆ ทางด้านซ้ายสุด
หลิ่วหมิงได้ยินก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ครู่ต่อมา ป้ายนิกายบนเอวเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงสีแดงพุ่งขึ้นจากค่ายตรงเท้า จากนั้นร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ศิษย์น้องผู้นี้มาเช้าขนาดนี้ ที่แท้คนที่ไปตลาดฉางหยางล้วนพิลึกกึกกือยิ่งนัก ก็ไม่แปลก! มีแต่คนพิลึกๆ เท่านั้นถึงคบค้าสมาคมกับมนุษย์ค้างคาวได้” ศิษย์รูปร่างอวบอ้วนพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็กลับไปนอนในห้องหินต่อ
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่ามีเสียงแหลมดังอยู่ข้างหูชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่มืดลง จากนั้นก็มาปรากฏตัวในเขาลูกเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปกี่หมื่นลี้
และตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล ก็มีค่ายกลส่งตัวราวๆ ห้าหกหลังตั้งวางอยู่
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ต้องการไปที่ใดหรือ?” ชายหนุ่มอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปีเดินเข้ามาโค้งคารวะเล็กน้อยแล้วถามออกมา
“ไปตลาดฉางหยาง” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ตลาดฉางหยางล่ะก็ เชิญศิษย์พี่ทางด้านค่ายกลสีฟ้าเลย”
“ขอบคุณมาก!” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เดินเข้าไปในค่ายกลสีฟ้า
ต่อมาแสงสีฟ้าก็เปล่งประกาย และเขาก็หายไปอีกครั้ง
เขาถูกส่งตัวเช่นนี้ถึงสี่ครั้ง จากนั้นก็มาปรากฏท่ามกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นหญ้าแปลกตา
พอเขาเดินวนดูในหุบเขาเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าค่ายกลที่เป็นของนิกายยอดบริสุทธิ์มีเพียงหลังเดียว และค่ายกลที่มีลักษณะคล้ายกันก็มีอยู่หลายหลัง ทั้งยังมีคนจำนวนมากเข้าออกค่ายกลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และดูจากกลิ่นไอแล้ว ต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจำนวนหนึ่ง
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจคนเหล่านี้มากนัก พอเหยียบเท้าลงบนเมฆดำแล้ว ก็ทะยานออกไปทันที
ระหว่างทาง เขานึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับตลาดฉางหยางที่สืบค้นมาก่อนเดินทาง
ในข้อมูลกล่าวได้ว่า เป็นเพราะตลาดฉางหยางแห่งนี้ตั้งอยู่ตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษ เป็นพรมแดนระหว่างนิกายยอดบริสุทธิ์กับกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ในตลาดจึงไม่เพียงแต่มีร้านของนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น ทั้งยังมีร้านที่กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ เปิดขึ้นมา แม้กระทั่งหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่อย่างสำนักเฮ่าหรานกับมนุษย์ค้างคาวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงก็อยู่ในนั้นด้วย และยังมีผู้ฝึกฝนตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับแก่นแท้
และเทือกเขาต้นกล้าเขียวที่มนุษย์ค้างคาวอยู่อาศัยนั้น อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางไม่กี่สิบลี้
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็วางแผนไว้ในใจ
หลังจากเหาะผ่านเทือกเขาหินที่รกร้างว่างเปล่าเป็นเวลาสิบกว่าวัน พื้นที่กว้างราบเรียบขนาดหลายร้อยหมู่ก็ปรากฏตรงหน้า
บนพื้นราบเรียบครึ่งหนึ่งเป็นหมู่บ้าน อีกครึ่งหนึ่งเป็นเมืองเล็กๆ มีแสงหลบหลีกหลายลำพุ่งเข้าพุ่งออกในเมืองอยู่ตลอดเวลา
หลังผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงก็มาถึงอากาศที่อยู่ห่างจากตลาดไปไม่ไกล
เขาไม่ได้ร่อนลงไปในทันที แต่กลับกวาดสายตาสังเกตดูสถานการณ์ในเมืองไปรอบหนึ่ง
ตลาดฉางหยางมีขนาดใหญ่กว่าตลาดในนิกายเป็นอย่างมาก มีทางเข้าออกสองแห่งคือทางด้านตะวันออกทางกับทางใต้
ใจกลางตลาดเป็นทะเลสาบเล็กๆ ที่มีขนาดสิบกว่าหมู่ และรอบด้านมีกำแพงดินสีเหลืองขนาดสูงต่ำไม่เท่ากัน
รอบด้านทะเลสาบมีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ ตั้งอยู่อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ร่อนลงตรงทางเข้าตลาดที่อยู่ตรงหน้า และก้าวยาวๆ เข้าไปยังร้านหลอมอาวุธของนิกายยอดบริสุทธิ์
ตลาดทางด้านตะวันตก ภายในร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่งที่มีป้ายแขวนอยู่ว่า ‘หอร้อยหลอม’
หลิ่วหมิงอยู่ที่ห้องรับแขกบนชั้นสอง และกำลังสนทนาอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มผอมสูงด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้อง ในที่สุดเจ้าก็มา ข้ารออยู่ที่นี่มานานแล้ว บอกอย่างไม่ปิดบัง ตระกูลข้ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องกลับไปจัดการเล็กน้อย แต่ว่าหาคนมาแทนข้าไม่ได้สักที จนกระทั่งครึ่งเดือนก่อนถึงได้ข่าวจากนิกายว่า ศิษย์น้องยอมมาแทนชั่วคราว เจ้าช่างเข้าใจเรื่องเร่งด่วนของข้าจริงๆ” ชายหนุ่มผอมสูงที่มีชื่อว่าซูฉงกล่าวอย่างอบอุ่น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมพูดอย่างเกรงใจไปสองสามประโยค
“ใช่สิ! ข้ายังไม่รู้ว่าศิษย์น้องมีชื่อว่าอะไร?” ชายหนุ่มผอมสูงเกาศีรษะและหัวเราะก่อนถามออกมา
“ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหลิ่ว เรื่องในตระกูลข้าถูกยืดเยื้อมานานแล้ว เกรงว่าจะต้องออกเดินทางทันที หากทุกอย่างราบรื่น ครึ่งปีกว่าๆ ก็กลับมาได้แล้ว จะต้องไม่เกินหนึ่งปีอย่างแน่นอน แต่ก่อนเถ้าแก่เย่ที่อยู่ในร้านกับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธสองท่าน ต่างก็เป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เหมือนกัน เรื่องราวเกี่ยวกับที่นี่ที่ต้องจัดการ ก็ให้เขาบอกก็พอแล้ว” ชายหนุ่มผอมสูงพูดโขมงโฉงเฉงด้วยสีหน้ารีบร้อน
หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วมาก พวกเรามาทำพิธีส่งมอบกันเถอะ!” ชายผอมสูงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็หยิบป้ายนิกายของตนเองออกมาจากเอว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็นำป้ายนิกายของตนเองออกมาจากเอว และชูขึ้นมา
พอชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงเอามือข้างหนึ่งตบป้ายเบาๆ แสงทรงกลดสีฟ้าก็พุ่งยิงออกมา และจมลงบนแผ่นป้ายของหลิ่วหมิง
จากนั้นเขาก็นำกล่องออกจากยันต์เก็บของมายื่นให้หลิ่วหมิง และอธิบายสิ่งต่างๆ ในนั้นไปหนึ่งรอบ
หลิ่วหมิงรับกล่องมาแล้ว ด้านหนึ่งก็ฟังชายหนุ่มบรรยายอย่างเงียบๆ อีกด้านหนึ่งก็ปล่อยจิตกวาดดูด้านในกล่อง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปในยันต์เก็บของ
“เช่นนี้ก็ได้แล้ว ขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วมาก” ดูเหมือนชายหนุ่มผอมสูงจะรู้สึกโล่งใจราวกับถูกยกภูเขาออกจากอก และกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
“ศิษย์พี่ซูไม่ต้องเกรงใจ” หลิ่วหมิงเก็บของในมือ
“การทำการค้าที่นี่ ปกติเถ้าแก่เย่จะเป็นคนรับผิดชอบ เขาก็คือผู้ที่อยู่หลังตู้ตรงชั้นหนึ่ง หากหลังจากนี้ศิษย์น้องหลิ่วมีอะไรไม่เข้าใจ ก็สอบถามเขาได้เลย ข้าได้กำชับเขาไว้แล้ว นอกจากนี้ ศิษย์น้องจำไว้ให้ดี ในตลาดฉางหยางแห่งนี้ มนุษย์ค้างคาวกับคนของสำนักเฮ่าหรานไม่อาจมีเรื่องได้”
พอพูดจบ ชายหนุ่มผอมสูงก็คารวะหลิ่วหมิงอีกที และกล่าวลาด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็เดินลงบันไดออกจากร้านไป
หลิ่วหมิงยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงหน้าต่างสักครู่ ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องรับแขก
“ผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยทำหรือ?” พอเห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ไม่ไกลก็รีบวิ่งเข้ามา และถามอย่างระมัดระวัง
“เชิญเถ้าแก่และผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธขึ้นมาเถอะ! ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องชี้แจงสักหน่อย” หลิ่วหมิงสั่งเสร็จก็เดินเข้าไปในห้อง
“ทราบ! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” คนรับใช้ตอบรับไปหนึ่งคำแล้วก็รีบหมุนตัววิ่งลงไป
ไม่นาน มีเสียงเดินขึ้นบันไดดัง “ก๊อกๆ!”
ผู้เฒ่าชุดผ้าดิ้นอายุเลยหกสิบผู้หนึ่ง กับชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสองคน มาปรากฏตัวทางบันได และเดินตรงมายังห้องรับแขกที่หลิ่วหมิงอยู่
นอกจากทั้งสามแล้ว บริเวณนั้นก็ไม่มีคนอื่นอีก คนรับใช้ในร้านพากันหลบไปไกลๆ อย่างรู้งาน
“เถ้าแก่เย่ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง ไม่ต้องเกรงใจ เข้ามาเถอะ!” พอทั้งสามมาถึงหน้าประตู ก็มีน้ำเสียงราบเรียบของหลิ่วหมิงดังมาจากด้านใน
ทั้งสามสบตากันทีหนึ่ง ผู้เฒ่าอายุเลยหกสิบยื่นมือไปผลักประตู และพาทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องอย่างเงียบๆ และสังเกตดูทั้งสามด้วยรอยยิ้ม
“คารวะท่านทูต” เถ้าแก่เย่ลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงก้าวไปคารวะ
พอเห็นเถ้าแก่เย่ทำเช่นนี้ ชายวัยกลางคนทั้งสองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และคารวะตามผู้อาวุโสทันที
“สหายทั้งสามไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ต่อไปนี้พวกเราจะต้องทำงานด้วยกันระยะหนึ่ง” หลิ่วหมิงลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อม
เถ้าแก่เย่กับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสอง ต่างก็เคยเป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายยอดบริสุทธิ์ ต่อมาเป็นเพราะอายุมาก ไม่มีหวังได้เป็นศิษย์สายนอก จึงยื่นเรื่องมาที่ตลาดฉางหยาง ช่วยนิกายยอดบริสุทธิ์ดูแลการค้า
เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติในนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์ธรรมดาจำนวนมากที่มีพลังไม่พอ และไม่ยอมถูกคนในนิกายควบคุม ต่างก็ทำเช่นนี้
แต่โดยปกติ เมื่อผ่านระยะเวลาหนึ่งไปแล้ว หากศิษย์ประเภทนี้ไม่ได้ทำคุณงามความดีเป็นพิเศษ ก็จะถูกดึงรายชื่อออกจากบัญชีศิษย์ธรรมดา ถือว่าเป็นกำลังภายนอกที่มีความสัมพันธ์กับนิกายอีกรูปแบบหนึ่ง
ชายวัยกลางคนทั้งสองต่างก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น เถ้าแก่เย่มีอายุมากสุด กลับมีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น แต่พลังเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะรับตำแหน่งเถ้าแก่แล้ว
พอทั้งสามเผชิญหน้ากับศิษย์สายนอกที่แท้จริงอย่างหลิ่วหมิง และมีอนาคตไกลเช่นนี้ ย่อมแสดงออกอย่างนอบน้อม
ตอนที่ 530 ร้านเผ่าค้างคาว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คิดว่าทั้งสามคงได้ยินกันมาแล้ว ศิษย์พี่ซูมีเรื่องต้องจากที่นี่ไปหนึ่งปี ช่วงระหว่างเวลานี้ ข้าจะประจำการที่หอร้อยหลอมแทน ข้าหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า จากนี้ต่อไปเรียกชื่อข้าก็พอแล้ว ข้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการค้า ดังนั้นการค้าภายในร้านยังต้องไหว้วานพวกท่าน ขอให้ทำทุกอย่างเหมือนปกติก็พอ ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“ท่านทูตหลิ่วอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ต่อไปเรื่องในร้าน ยังต้องให้ท่านทูตเป็นคนตัดสินใจ ส่วนเรื่องหยุมหยิมอื่นๆ พวกข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ” เถ้าแก่เย่เดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธอีกสองคนได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง
ศิษย์ที่มาประจำการชั่วคราวผู้นี้ ดูเหมือนจะรู้จักวางตัวได้ดี ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองแอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
หลังจากที่คนเหล่านี้พูดคุยกันสองสามประโยคแล้ว เถ้าแก่เย่ก็ให้ชายวัยกลางคนทั้งสองกลับไปที่ห้องหลอมอาวุธ ส่วนตนเองก็พาหลิ่วหมิงไปทำความรู้จักกับสถานที่ต่างๆ ในหอร้อยหลอม
ตอนที่เพิ่งเข้ามานั้น หลิ่วหมิงก็แค่ปราดตามองแบบผ่านๆ ขณะนี้มีเถ้าแก่เย่คอยอธิบายให้ เขาจึงรู้จักหอร้อยหลอมใหม่อีกครั้ง
ชั้นหนึ่งเป็นหน้าร้านที่ดูโบราณและเรียบง่าย มีหิ้งสินค้าเรียงเป็นแถวๆ มีอาวุธเวท อาวุธจิตวิญญาณ และหินแร่ต่างๆ อยู่บนหลังตู้
ชั้นสองกั้นเป็นห้องรับรองสองห้องกับห้องรับแขกหนึ่งห้อง ใช้เพื่อต้อนรับแขกระดับสูงหรือทำการค้าส่วนตัวบางอย่าง ตกแต่งได้ค่อนข้างวิจิตรงดงามมาก
ห้องรับรองล้วนมีชั้นจำกัดกั้นเสียงของนิกายยอดบริสุทธิ์ สถานการณ์ด้านใน ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ก็ไม่สามารถสอดแนมจากภายนอกได้
ส่วนชั้นสามมีพื้นที่ค่อนข้างเล็ก ที่นี่เป็นห้องสงบจิตของศิษย์ที่มาประจำการ
ด้านหลังหอร้อยหลอมเป็นโรงหลอมอาวุธ อาวุธอาญาสิทธิ์ อาวุธจิตวิญญาณที่วางอยู่บนตู้ ล้วนหลอมมาจากโรงหลอมนี้
หลิ่วหมิงไม่เคยมีประสบการณ์หลอมอาวุธมาก่อน ขณะนี้เขาได้เปิดโลกทัศน์ไม่น้อย
สุดท้าย เถ้าแก่เย่พาหลิ่วหมิงลงไปห้องใต้ดินของหอร้อยหลอมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ห้องลับใต้ดินแห่งนี้มีพื้นที่บริเวณรอบๆ ไม่กี่จั้ง ความสูงเท่าคนหนึ่งคน วัสดุที่ใช้ทำผนังกับพื้นล้วนเป็นหินสีน้ำเงินเข้ม หินแร่ชนิดพิเศษนี้ไม่เพียงจะมีความแข็งแกร่งสูง แต่ยังมีผลสกัดกั้นการสอดแนมของจิตรับรู้ด้วย
ใจกลางห้องลับเป็นค่ายกลขนาดจั้งกว่าๆ มันเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา
“นี่คือค่ายกลส่งสารระยะไกลกับนิกายหรือ?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง ค่ายกลส่งสารนี้จะส่งตรงไปที่หอดำเนินการของนิกาย โดยทั่วไปจะใช้ค่ายกลนี้รายงานนิกายในขณะที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น” เถ้าแก่เย่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตามกฎของนิกาย ในหอร้อยหลอมนี้ มีแค่ศิษย์ประจำการที่สีของยืนยันเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติใช้มันได้ ท่านฑูตซูคงส่งของยืนยันให้ท่านแล้ว?”
ดูจากภายนอก หอร้อยหลอมเป็นร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่ง แต่ความจริงแล้วมันคือฐานที่มั่นที่นิกายยอดบริสุทธิ์สร้างขึ้นมา ส่วนร้านค้าอื่นๆ ที่เรียกกันว่าในนามว่าร้านค้าของนิกายยอดบริสุทธิ์นั้น แท้จริงแล้วมันเปิดขึ้นโดยศิษย์สายในสายนอกจำนวนหนึ่ง หรือแอบอ้างคนในตระกูลสร้างขึ้นมา
และตลาดฉางหยางเป็นสถานที่กลุ่มอิทธิพลใหญ่หลายกลุ่มดูแลร่วมกัน ห้ามทำการต่อสู้ในตลาดโดยเด็ดขาด โดยปกติแล้ว ศิษย์ที่มาประจำการในหอร้อยหลอม จะเป็นตัวแทนของนิกายยอดบริสุทธิ์ในการสั่นสะเทือนสยบจิตใจผู้คน และไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเสมอไป
“พี่ซูมอบให้ข้าแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้ากล่าว
ต่อมา ทั้งสองก็ออกไปจากห้องลับอย่างรวดเร็ว และมาถึงห้องสงบจิตบนชั้นสาม
ห้องสงบจิตมีทั้งหมดสามส่วน ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ห้องชั้นนอกสุดเป็นห้องรับแขก มีโต๊ะไม้สีแดงวางอยู่ตัวหนึ่ง และเก้าอี้แบบเดียวกันสองสามตัว ห้องกลางเป็นห้องนอน ด้านในสุดยังมีห้องลับอีกห้อง
แน่นอน! ที่นี่ก็มีชั้นจำกัดเช่นกัน ขณะที่ฝึกฝนอยู่ที่นี่จะไม่ถูกคนรบกวนโดยง่าย
หลังจากหลิ่วหมิงสำรวจดูไปหนึ่งรอบ ก็ค่อนข้างพอใจกับสภาพแวดล้อมนี้มาก
“เถ้าแก่เย่ ท่านไปทำงานเถอะ! หากมีเรื่องในร้านก็ใช้สิ่งนี้ส่งข่าวให้ข้า ข้ามาตลาดใหญ่นอกนิกายเป็นครั้งแรก อยากไปเดินดูรอบๆ ทำความคุ้นเคยกับที่นี่ซักหน่อย” หลิ่วหมิงพลิกฝ่ามือหยิบแผ่นกลมๆ สีขาวออกมาให้เถ้าแก่เย่
เถ้าแก่เย่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย จากนั้นหลิ่วหมิงก็ออกจากเรือนร้อยหลอมไป
เขารู้จากเถ้าแก่เย่มาคร่าวๆ ว่า หลายปีมานี้ ด้วยอำนาจและชื่อเสียงของนิกายยอดบริสุทธิ์ คนทั่วไปไม่กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ ด้วยเหตุนี้ศิษย์ประจำการจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในร้านตลอด
หลังจากเดินออกไปไม่ไกล เขาก็เดินอ้อมมายังสถานที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง และกระตุ้นเคล็ดเปลี่ยนกระดูก พอมีเสียงดังกรอบแกรบ ร่างของเขาก็ยืดสูงขึ้นมา ขณะเดียวกันไอดำก็พวยพุ่งรอบตัว เมื่อไอดำหายไปอีกครั้ง เขาก็กลายเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำที่มีรูปร่างสูงใหญ่
วิชาที่เขาเรียนมาจากนิกายปีศาจ หลายปีมานี้ได้ทำความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว บวกกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนขนาดรูปร่างได้ แม้กระทั่งโครงกระดูกบนใบหน้า และสีผิวก็สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายๆ ทำให้มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากเดิม
จากนั้นหลิ่วหมิงก็เดินเข้าในตลาดที่มีคนพลุกพล่าน และเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อยๆ
ตลาดฉางหยางสมกับเป็นตลาดขนาดใหญ่ ไม่ว่าจำนวนหรือขนาดของร้านค้าสองข้างทาง ล้วนมีเยอะกว่าตลาดเล็กๆ หลายแห่งที่เขาเคยไปในก่อนหน้า
และผู้ฝึกฝนที่เดินเรื่อยเปื่อยก็มีจำนวนมาก พวกเขาเดินเข้าเดินออกร้านค้าต่างๆ อย่างไม่ขาดสาย ยิ่งเป็นร้านค้าที่มีหน้าร้านขนาดใหญ่ ก็ยิ่งมีคนเข้าออกเนืองแน่น
เขาเดินวนไปรอบหนึ่งแล้วก็เดินเข้าไปในร้านที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ภายในร้านแห่งนี้ถูกกั้นเป็นหลายพื้นที่ อาวุธจิตวิญญาณ โอสถ และวัตถุดิบล้วนมีขายครบครัน
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็เดินออกมา แม้สีหน้าจะเงียบสงบ แต่สายตากลับดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เมื่อครู่เขาไม่ได้ซื้ออะไรจากด้านใน แต่กลับแอบสอบถามราคาโอสถไปหนึ่งรอบ
ผลลัพธ์กลับเป็นดังที่คาดไว้ ในตลาดฉางหยางก็ขาดแคลนโอสถผลึกเย็นเป็นอย่างมาก ราคาก็สูงไม่เบา
เขาทำเป็นสอบถามราคารับซื้อโอสถผลึกเย็นกับเถ้าแก่อย่างไม่ใส่ใจ และยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อค้นพบว่า เถ้าแก่เสนอราคาสูงกว่าตลาดสองสามแห่งในก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไปสอบถามที่ร้านอื่นๆ อีกสองสามแห่ง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ เขาก็เดินดูวัตถุดิบอีกหลายร้าน อาจเป็นเพราะว่าตลาดฉางหยางเป็นจุดเชื่อมต่อของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่ม ดังนั้นจึงมีวัตถุดิบค่อนข้างครบครัน วัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถผลึกเย็นส่วนมาก สามารถหาได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งวัตถุดิบโอสถจินหยวนก็มี
สิ่งเดียวที่น่าเสียใจก็คือ ผลผลึกเขียวของร้านค้าสองแห่งมีอายุราวๆ ร้อยปีเท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะนำมาปรุงโอสถผลึกเย็น
ท่ามกลางหอของร้านค้าที่ค่อนข้างเก่าแห่งหนึ่ง
“สหายต้องการซื้อผลผลึกเขียวที่มีอายุสองร้อยปีขึ้นไปหรือ?” เถ้าแก่ร้านสังเกตดูหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำทีหนึ่ง และถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ถูกต้อง! ไม่ทราบว่าร้านของท่านมีหรือไม่?” หลิ่วหมิงพยักหน้าและกล่าวอย่างราบเรียบ
“ต้องโทษข้าน้อยที่มีหูตาคับแคบ ตำรับโอสถที่ใช้ผลผลึกเขียวอย่างผงดุจหยก โอสถดีมังกรเหล่านี้ ใช้ผลผลึกเขียวอายุร้อยกว่าปีก็เพียงพอแล้ว สหายจะเอาผลผลึกเขียวอายุสองร้อยปีไปทำไมกัน?” ผู้เฒ่าฟั่นหนวดสีขาวแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไรออกมา
ผู้เฒ่ารู้ตัวอย่างรวดเร็ว และกระแอมไอเบาๆ อย่างเคอะเขิน
“ข้าพูดมากไปหน่อย แต่ว่าร้านข้าไม่มีวัตถุดิบที่สหายต้องการ ท่านลองไปหาที่ตลาดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ดู ร้านของเผ่าค้างคาวคงมีขาย”
“ร้านเผ่าค้างคาว?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็กุมมือคารวะกล่าวขอบคุณ และหมุนตัวเดินออกไป
เขาเดินไปตามทางที่ผู้เฒ่าบอก ไม่นานก็มาถึงตลาดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และค้นพบสิ่งก่อสร้างสองสามหลังที่มีรูปแบบแตกต่างออกไป
ร้านค้าทั่วไปจะสร้างขึ้นจากหินสีดำ แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ สร้างขึ้นจากท่อนไม้สีดำมืด มีเถาวัลย์มีเขียวขนาดเท่าแขนปกคลุมอยู่บนพื้นผิว คิดว่าคงจะเป็นร้านที่มนุษย์เผ่าค้างคาวเปิดขึ้นมา
เขาเลือกหลังที่มีสองชั้นและมีขนาดใหญ่ที่สุด จากนั้นก็เดินเข้าไป
ร้านนี้มีป้าย ‘เรือนจิตวิญญาณค้างคาว’ แขวนอยู่
หน้าร้านแห่งนี้มีสองคูหาขนาดใหญ่ นับว่ามีขนาดไม่เล็กในตลาดแห่งนี้ ด้านในแบ่งเป็นส่วนต่างๆ บนตู้สินค้ามีโอสถ ยันต์ วัตถุดิบพืชจิตวิญญาณอย่างครบครัน
ด้านหลังตู้เหล่านี้มีเด็กรับใช้สวมชุดสีดำยืนอยู่สองสามคน แต่ละคนหน้าตางดงาม ปากแดงฟันขาว
เผ่าค้างคาวเป็นเผ่าที่วิวัฒนาการมาจากมนุษย์ธรรมดา รูปร่างหน้าตาแตกต่างจากมนุษย์ไม่มาก สิ่งเดียวที่ค่อนข้างโดดเด่นก็คือ ขณะที่ต่อสู้กับมนุษย์ จะมีปีกบางๆ งอกออกจากหลัง
นอกจากนี้ จักษุสัมผัสของมนุษย์เผ่าค้างคาวอาจจะด้อยเล็กน้อย แต่โสตประสาทกลับเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดามากนัก
หลิ่วหมิงดูไม่ออกว่าเด็กรับใช้เหล่านี้เป็นมนุษย์เผ่าค้างคาวหรือไม่ เขารีบละสายตากลับมา และเดินดูตามตู้แต่ละตัวในทันที
ขณะที่เดินดูถึงตู้ตัวที่สามนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา และเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
สิ่งที่วางอยู่บนตู้ล้วนเป็นผลสีเขียวกลมๆ ขนาดเท่ากำปั้นจำนวนหนึ่ง ซึ่งมันก็คือผลผลึกเขียวนั่นเอง
ผลผลึกเขียวเหล่านี้ถูกวางเรียงตามขนาด จากประสบการณ์ของหลิ่วหมิง ดูเหมือนว่าลูกขนาดค่อนข้างใหญ่ที่อยู่ทางขวาสุด จะมีอายุสามสี่ร้อยปี!
“สหายต้องการซื้อโอสถผลึกเขียวหรือไม่?” เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างหลังตู้รีบโผล่หน้ามาถามด้วยรอยยิ้ม
“ผลผลึกเขียวเหล่านี้ขายอย่างไร?” หลิ่วหมิงไม่ได้เอ่ยปากในทันที หลังจากมองอย่างละเอียดแล้ว ถึงเงยหน้าถามอย่างราบเรียบ
“ผลผลึกเขียวของร้านเราขายตามอายุ มีอายุหนึ่งร้อยปี สองร้อยปี สามร้อยปี สี่ร้อยปี แน่นอนว่าราคาย่อมแตกต่างกัน ลูกที่มีอายุหนึ่งร้อยปีขายสองพันหินจิตวิญญาณ อายุสองร้อยปีสี่พันหินจิตวิญญาณ สามร้อยปีหกพันหินจิตวิญญาณ สี่ร้อยปีก็หนึ่งหมื่นสองพันหินจิตวิญญาณ” เด็กรับใช้ชุดดำตอบอย่างคล่องแคล่ว
หลิ่วหมิงพยักหน้า สำหรับผลผลึกเขียวแล้ว ราคานี้นับว่าค่อนข้างสมเหตุสมผลมาก
“ข้าเดินวนในตลาดไปหนึ่งรอบ พบเจอผลผลึกเขียวที่มีอายุสองร้อยปีขึ้นไปน้อยมาก คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีมากถึงเพียงนี้” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“คิดว่าผู้อาวุโสคงมาตลาดฉางหยางเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่?” พอเด็กรับใช้ได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง ก็ไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่กลับถามอย่างนอบน้อม
“ไม่ผิด!” หลิ่วหมิงพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกใจที่ผู้อาวุโสจะไม่รู้ ผลผลึกเขียวนี้มีประโยชน์ใช้สอยอย่างกว้างขวาง เผ่าค้างคาวเราก็ปลูกเป็นจำนวนมาก” เด็กรับใช้ชุดดำเผยสีหน้าเข้าใจออกมา และอธิบายให้หลิ่วหมิงฟัง
ตอนที่ 531 ไข่หนอนกลายพันธุ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ตามที่ข้าทราบมา สมุนไพรจิตวิญญาณอย่างผลผลึกเขียวนี้ เกิดในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเข้มงวดมาก และอายุยิ่งมากก็ยิ่งยากที่จะอยู่รอด มนุษย์ผู้ฝึกฝนจำนวนมากปลูกได้แค่ร้อยสองร้อยปีเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเผ่าของพวกเจ้าจะบ่มเพาะผลผลึกเขียวอายุสี่ร้อยปีได้” หลิ่วหมิงลูบคางและกล่าวชมเชยเลยเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสไม่รู้อะไร ผลผลึกเขียวขึ้นในสถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษ แต่ว่าเทือกเขาต้นกล้าเขียวที่เผ่าค้างคาวเราอยู่มีชัยภูมิค่อนข้างพิเศษ ซึ่งเหมาะสำหรับปลูกผลผลึกเขียวเป็นจำนวนมาก อีกอย่างเผ่าของเราปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณชนิดนี้มาแต่โบราณ ยิ่งทำให้กุมเคล็ดวิธีการบ่มเพาะมาได้ไม่น้อย ผลผลึกเขียวที่มีอายุสามสี่ร้อยปีเหล่านี้ ยังไม่ใช่ผลิตผลระดับสุดยอด เผ่าเรายังสามารถบ่มเพาะผลผลึกเขียวอายุพันปีได้ แต่ส่วนมากจะนำมาประมูลขายในตลาดปีละครั้ง” ขณะที่เด็กรับใช้ชุดดำพูดออกมานั้น เห็นได้ชัดว่ารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก
“ผลผลึกเขียวพันปี?” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก
อย่างที่รู้ว่า เดิมทีผลผลึกเขียวเป็นวัตถุดิบโอสถที่มีประโยชน์ใช้สอยอย่างกว้างขวาง หากมีอายุถึงพันปีก็นับว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว
“ตลาดฉางหยางอยู่ใกล้กับเทือกเขาต้นกล้าเขียวที่สุด ย่อมเป็นสถานที่หลักในการขายผลผลึกเขียวของเผ่าค้างคาวเรา ดังนั้นหากผู้อาวุโสต้องการผลผลึกเขียวอายุต่ำกว่าห้าร้อยปี โดยปกติร้านเราสามารถรับรองปริมาณที่แน่นอนได้” เด็กรับใช้ชุดดำกล่าว
“ใช่สิ! ในเมื่อร้านแห่งนี้มีผลผลึกเขียวจำนวนมาก ถ้าอย่างนั้นมีโอสถผลึกเย็นขายหรือไม่?” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามอย่างไม่ใส่ใจ
“โอสถผลึกเย็น? แม้โอสถนี้จะมีผลผลึกเขียวเป็นวัตถุดิบหลัก แต่เผ่าเราไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่ปรุงโอสถชนิดนี้ ดังนั้นจึงไม่มีโอสถชนิดนี้ขาย” เด็กรับใช้กล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าเช่นนี้ก็เท่ากับว่าในตลาดฉางหยางขาดแคลนโอสถผลึกเย็นมาก ข้าเห็นร้านอื่นๆ รับซื้อโอสถชนิดนี้ด้วยราคาที่สูงถึงหกพันหินจิตวิญญาณ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอนหายใจกล่าวออกมา
“นี่เป็นเรื่องปกติ โอสถผลึกเย็นปรุงได้ยากยิ่งนัก ร้านค้าในตลาดรับซื้อโอสถชนิดนี้ตลอดปี ร้านเราก็เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่มีคนขายโอสถชนิดนี้น้อยมาก มิเช่นนั้นต่อให้จะเสนอราคาสูงหน่อย ร้านเราก็จะรับซื้อเช่นกัน” เด็กรับใช้ชุดดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า แต่เขาย่อมไม่รีบร้อนขายโอสถในตอนนี้ หลังจากซื้อผลผลึกเขียวอายุสามร้อยปีจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ออกจากร้านไปทันที
เขาไม่ได้กลับหอร้อยหลอมในทันที แต่กลับเดินเตร่ตามร้านต่างๆ เพื่อดูว่ามีสิ่งของน่าสนใจอย่างอื่นหรือไม่
ตลาดฉางหยางตั้งอยู่บนพรมแดนของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่ม นอกจากเผ่าค้างคาวแล้วยังมีเผ่าอื่นๆ อยู่จำนวนหนึ่ง ด้วยหตุนี้จึงมีสิ่งของหายากที่ตลาดทั่วไปไม่มีเป็นจำนวนมาก
ตลอดทางที่ผ่านมา หลิ่วหมิงเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อเขาเดินออกจากร้านยันต์แห่งหนึ่งนั้น บนตัวเขาก็มียันต์ที่ซื้อเพิ่มขึ้นมาหลายผืน หลังจากกวาดสายตามองดูรอบด้าน ก็ค้นพบว่าด้านข้างเป็นร้านค้าอสูรจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงมีแมงป่องกระดูกกับหัวบินแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนใจอสูรเลี้ยงมากนัก ตนเองก็ไม่กำลังพอที่จะไปบ่มเพาะมัน ดังนั้นจึงละสายตาผ่านไป
พอเขาเดินผ่านประตูร้าน พลันได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นข้างหู
“ช้าก่อน เจ้าไปร้านตรงหน้าใกล้ๆ นี้หน่อย ข้ารับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของไอปีศาจแท้เล็กน้อย” คือน้ำเสียงของหลัวโหวนั่นเอง
“ไอปีศาจแท้? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง! ในตลาดฉางหยางมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ผลุดๆ โผล่ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำไมถึงไม่ค้นพบล่ะ!”
ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกอึ้งมาก แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสะท้อนอยู่ในทะเลจิตรับรู้
“เจ้าจะรู้อะไร ไอปีศาจแท้นี้ถูกอะไรบางอย่างบดบังไว้ คนทั่วไปไม่อาจรับรู้ได้ ข้าเองก็อาศัยพลังของกรงขัง ถึงรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของมัน เอาล่ะ! อย่าพูดจาไร้สาระ รีบไปร้านนั้นแล้วหาสิ่งที่มีไอปีศาจแท้แฝงอยู่ออกมาเถอะ!” สุดท้ายเขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงหลัวโหวดังขึ้นในหูอย่างทนรำคาญไม่ได้
หลิ่วหมิงแอบทำตามองบนสองสามที สำหรับคำพูดของหลัวโหวแล้ว เขาไม่อาจไม่ฟังได้ ดังนั้นจึงรีบผลักประตูเข้าไปทันที
ร้านไม่ค่อยใหญ่มากนัก ดูเหมือนว่าจะมีหน้าร้านแค่ห้องเดียวกับเรือนหลังอีกแห่งเท่านั้น
ห้องโถงด้านหน้ามีกรงจำนวนหนึ่งวางอยู่ ด้านในเลี้ยงอสูรจิตวิญญาณขนาดเล็กไว้ มีเสียงคำรามดังมาจากเรือนหลังอยู่รำไร มันคงเป็นอสูรจิตวิญญาณขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องโถงหน้า ในนั้นมีผู้ฝึกฝนสวมชุดบัญฑิตสองคน กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงคนหนึ่ง บนตู้มีกล่องหยกวางอยู่สิบกว่าใบ มีสองใบที่เปิดออกแล้ว ดูเหมือนจะมีไข่หนอนอะไรบางอย่างที่ไม่รู้จักวางอยู่
พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ชายร่างผอมสูงก็ขอปลีกตัวออกจากทั้งสอง และเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“สหายผู้นี้ ต้องการซื้อปีศาจอสูรหรือ แม้ร้านเราจะเล็ก แต่อสูรหนอน อสูรมัจฉา อสูรวิหค ตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณจนถึงระดับของเหลว ร้านเรามีขายหมด”
“เชิญสหายยุ่งเรื่องของท่านไปเถิด ข้าก็แค่เดินดูเท่านั้น” หลิ่วหมิงโบกมือแล้วกล่าวออกมา
เจ้าของร้านได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ไปทักทายแขกทั้งสองต่อ
ผู้ฝึกฝนที่ใส่ชุดบัณฑิตทั้งสอง คนหนึ่งดูมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม ค่อนข้างมีลักษณะน่าเกรงขาม อีกคนค่อนข้างหนุ่ม อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น คิ้วรูปดาบยาวไปถึงจอนผม หน้าตาหล่อเหลามาก
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือว่าลักษณะท่าทางของทั้งสอง ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ฝึกฝน ไม่สู้บอกว่าเป็นปัญญาชนในโลกมนุษย์จะเหมาะกว่า ลีลาท่าทางของพวกเขาดูสุภาพและภูมิฐานมาก
สำหรับหลิ่วหมิงที่เดินเข้ามา ทั้งสองก็กวาดสายตามองทีหนึ่ง จากนั้นก็เลือกสิ่งของในตลับหยกต่ออย่างไม่สนใจ
หลิ่วหมิงไม่สนใจท่าทีของทั้งสองที่มีต่อเขา หลังจากสังเกตดูสิ่งของที่อยู่บนหิ้งสินค้าบริเวณนั้นแล้ว ก็ไปที่ตู้ตามที่หลัวโหวบอก และทำเหมือนกับหยิบกล่องหยกที่วางอยู่บนนั้นมาไว้ในมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็สังเกตดูอย่างละเอียด
ในกล่องหยกมีไข่หนอนสีดำขนาดเท่านิ้วมือวางอยู่ใบหนึ่ง มีจุดสีดำจำนวนหนึ่งปกคลุมอยู่บนพื้นผิว แลดูธรรมดามาก
และขณะนั้นเอง ในมือบัณฑิตหนุ่มก็ถือไข่อสูรน้อยขนาดเท่าไข่ไก่อยู่ใบหนึ่ง และกำลังต่อรองราคากับเจ้าของร้านอยู่
“ไม่ต้องดูแล้ว ด้วยระดับความรู้ของเจ้า มองไม่เห็นความพิเศษที่อยู่ในนั้นหรอก คือใบที่เจ้าถืออยู่นี่แหละ” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังศึกษาไข่หนอนในมืออย่างละเอียดนั้น คำพูดฉีกหน้าของหลัวโหวก็ดังเข้ามา
หลิ่วหมิงพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง เขารีบประคองไข่หนอนใบนี้ไว้ และตะโกนบอกเจ้าของร้าน
“ข้าจะเอาไข่หนอนใบนี้ ไม่ทราบว่าราคาเท่าใด?”
“สามหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ” ชายผอมสูงได้ยินก็ปราดสายตามาดู และบอกราคาไปโดยไม่ต้องคิด
หลังจากต่อรองราคากันไปรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ซื้อไข่จักจั่นเขียวมาในราคาสามหมื่นหินจิตวิญญาณ
พอเห็นสภาพเช่นนี้ บัณฑิตหนุ่มที่อยู่อีกด้านก็ชายตามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจกับพฤติกรรมรบกวนการค้าของหลิ่วหมิง
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ปล่อยพลังเย็นสะท้านที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬออกมา และแบ่งเป็นสามสาย จากนั้นก็ค่อยๆ จมเข้าไปในไข่หนอน
“หวึ่ง!”
ไข่หนอนสั่นสะท้านเบาๆ จุดสีดำบนเปลือกเปล่งแสงสีดำจางๆ ออกมา มันกระพริบตาแค่ทีเดียว ก็ดับลงอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจออกมา พริบตาที่แสงสีดำเปล่งประกายนั้น เขาได้ส่งจิตเข้าไปด้านใน และรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอเยือกเย็นที่คุ้นเคยในพริบตา
นั่นคือไอปีศาจแท้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ขณะนั้นเอง บัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้นก็หันหน้ามาทันที สายตาของเขาตกอยู่บนไข่หนอนสีเขียว และฉายแววฉงนออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ และเก็บไข่หนอนใส่เข้าไปในกล่องหยก จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
“ช้าก่อนสหายผู้นี้!” บัณฑิตวัยกลางคนดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปขวางอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
“ท่านมีธุระสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“ไข่จักจั่นบนมือสหายใบนี้ ข้ายอมใช้ห้าหมื่นหินจิตวิญญาณเพื่อซื้อมัน” บัณฑิตวัยกลางคนมองกล่องหยกบนมือเขาทีหนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็เดินเข้ามา และมองบัณฑิตวัยกลางคนด้วยความตกใจ จากนั้นก็สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ขออภัย! ข้าไม่คิดจะขายไข่หนอนใบนี้” หลิ่วหมิงส่ายหน้าปฏิเสธ
บัณฑิตวัยกลางคนขมวดคิ้ว ดวงตาเผยแววดุร้าย ร่างกายของเขาแผ่กลิ่นไออันแข็งแกร่งออกมา ที่แท้ก็เป็นพลังกดดันของระดับผลึกขั้นต้น
“แปดหมื่นหินจิตวิญญาณ” บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงหัวเราะในใจอย่างเยือกเย็น พลังกดดันที่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยออกมา ไม่มีผลต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็เจอมามากแล้ว ตอนอยู่ในแดนอบอ้าวก็สังหารอัคคีจิตวิญญาณระดับผลึกขั้นต้นด้วยตนเอง ไหนเลยจะสนใจพลังกดดันเพียงเท่านี้
ก่อนเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลาย และก่อนเข้าไปฝึกฝนในแดนมายา เขายังหวาดกลัวระดับผลึกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาย่อมไม่ใส่ใจอย่างแน่นอน
“ข้าได้พูดไปแล้ว ข้าไม่ขายไข่หนอนใบนี้” หลิ่วหมิงยังคงตอบปฏิเสธ
บัณฑิตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดูโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“สหายอย่าได้ไม่รู้จักดีเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าทั้งสองเป็นคนของสำนักเฮ่าหราน อาจารย์อาของข้าเป็นผู้ดำเนินการสาขา เมื่อครู่เจ้าซื้อไข่หนอนใบนี้มาแค่สามหมื่นหินจิตวิญญาณสินะ พริบตาเดียวก็ได้กำไรมาห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ ยังมีอะไรไม่พอใจอีก” แม้ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมบัณฑิตวัยกลางคนถึงเพิ่มราคาให้กับสิ่งที่ดูไม่เตะตาเช่นนี้ แต่ก็เอ่ยปากเผยสถานะที่แท้จริงออกมา เห็นได้ชัดว่าใช้คำพูดคุกคามอยู่
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นสหายจากสำนักเฮ่าหราน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ!” หลิ่วหมิงมองดูบัณฑิตทั้งสองทีหนึ่ง และค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ครั้งสุดท้าย หนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ มอบไข่หนอนให้ข้าเถอะ!” บัณฑิตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอหลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หายวับผ่านข้างตัวบัณฑิตวัยกลางคน และพุ่งออกไปจากร้าน ทิ้งไว้เพียงคนของสำนักเฮ่าหรานสองคนที่ยืนตะลึงงันอยู่
ชื่อเสียงของสำนักเฮ่าหราน คนอื่นอาจหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่หลิ่วหมิงเป็นถึงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ย่อมไม่สนใจแต่อย่างใด
ภายในร้าน บัณฑิตวัยกลางคนมีสีหน้าเขียวปัดเล็กน้อย และกำมือทั้งสองไว้แน่น
หลังจากชายหนุ่มได้สติขึ้นมา ก็รู้สึกเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ และคิดจะตามไปด้วยความโมโห
“ช้าก่อน! ในเมื่อเขาไม่ยอมขายก็ช่างเถอะ!” บัณฑิตวัยกลางคนยื่นแขนคว้าตัวชายหนุ่มไว้ สีหน้าอึมครึมของเขาค่อยๆ สงบ
“อาจารย์อา หรือว่าจะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือ?” บัณฑิตหนุ่มบ่นด้วยความโมโห
ตอนที่ 532 ไข่หนอนพลังจิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อย่าลืมสิ! ห้ามต่อสู้กันในตลาด หรือเจ้าจะทำลายกฎนี้” บัณฑิตวัยกลางคนมีสีหน้ากลับมาสงบดังเดิม ประจักษ์ชัดว่าโดยปกติทำการฝึกฝนได้ดีมาก เทียบกันแล้วบัณฑิตหนุ่มยังห่างชั้นอีกมาก
“แต่ว่า?” บัณฑิตหนุ่มกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ต้องพูดแล้ว ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ไข่หนอนไปก่อน จะยกให้คนอื่นหรือไม่นั้น มันก็แล้วแต่เขา พวกเราไปกันเถอะ!” บัณฑิตวัยกลางคนส่ายหน้า ดวงตาเผยแววชั่วร้ายออกมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปจากร้าน
บัณฑิตหนุ่มบ่นพึมพำเบาๆ ไปหนึ่งประโยค และรีบตามออกไป หลังจากออกจากประตูใหญ่ไปแล้ว ก็รีบถามออกมา
“อาจารย์ ไข่จักจั่นเขียวใบนั้นมีอะไรพิเศษกันแน่ เหตุใดอาจารย์อาถึงเสนอราคาสูงเช่นนี้”
“หากดูไม่ผิดล่ะก็ คงจะเป็นไข่ของจักจั่นเขียวกลายพันธุ์” ขณะที่เดินไปด้วย บัณฑิตวัยกลางคนขยับปากส่งเสียงให้ชายหนุ่มไปด้วย
“ไข่หนอนกลายพันธุ์?” ชายหนุ่มได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก
“ไม่ผิด! ข้ารับรู้ได้ถึงกลิ่นไอขุ่นข้นบนไข่หนอนใบนั้น จักจั่นเขียวเป็นปีศาจอสูรประเภทแมลงมายา เป็นไปไม่ได้ที่จะมีกลิ่นไอระดับนี้ ไข่หนอนกลายพันธุ์พบเจอได้น้อยมาก ราคาสูงกว่าไข่หนอนทั่วไปสิบเท่าขึ้นไป” บัณฑิตวัยกลางคนค่อยๆ กล่าวออกมา
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! น่าชิงชังเสียจริง ถูกคนผู้นั้นเอาไปจนได้” ชายหนุ่มได้ยินตอนแรกก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ฉายแววละโมบออกมา
มูลค่าสูงกว่าไข่หนอนธรรมดาสิบเท่า กล่าวคือไข่จักจั่นเขียวกลายพันธุ์มีราคาอย่างน้อยสามแสนหินจิตวิญญาณ หากไข่ฟักออกมาเป็นตัว และมีพลังพิเศษอื่นๆ ล่ะก็ มันยังเพิ่มมูลค่าได้อีกหลายเท่า
หินจิตวิญญาณจำนวนมากเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ใจเต้นขึ้นมาได้
อีกด้านหนึ่ง หลังจากหลิ่วหมิงไปจากร้านขายอสูรแล้ว ก็รีบแฝงตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว และเดินเตร่ในตลาดต่อ
ครึ่งวันต่อมา หลังจากดูเหมือนว่าจะเดินดูร้านค้าไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว เขาก็หาสถานที่เปล่าเปลี่ยวเปลี่ยนแปลงหน้าตาให้กลับมาเหมือนเดิม
พอกลับมาถึงหอร้อยหลอม หลิ่วหมิงก็ขึ้นไปบนห้องลับชั้นสามโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาปล่อยพลังกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมๆ อันหนึ่ง
หลังจากปรับลมหายใจเล็กน้อยแล้ว ก็หยิบกล่องหยกออกมาจากอก และเปิดเอาไข่จักจั่นเขียวออกมาสังเกตอย่างละเอียด
ไข่สีเขียวที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือนี้ นอกจากมีจุดสีดำอยู่บนพื้นผิวจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีจุดใดที่พิเศษอีก พอปล่อยพลังเวททั่วไปเข้าไปในนั้น ก็ไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ
หลังจากหลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจสอบถามหลัวโหลวให้กระจ่าง
ดังนั้นพอเขาหลับตาทั้งคู่ลง ก็ใช้จิตกวาดดูในทะเลจิตรับรู้ และค่อยๆ ใส่พลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียน
ไม่นาน ศิลาหุนเทียนก็เปล่งแสงออกมา ดวงตาทั้งสองของเขาดับมืดลง จากนั้นก็นำไข่หนอนเข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับ
เมื่อเขาค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ก็ค้นพบว่าหลัวโหวได้รออยู่ที่นั่นแล้ว
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ไข่นี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับไอปีศาจแท้ ตอนนี้บอกข้าได้หรือยัง” หลิ่วหมิงเองก็ไม่พูดจาให้มากความ จึงพูดออกมาตามตรง
“ตอนนี้ข้าไม่อาจยืนยันได้ จำต้องตรวจสอบด้วยตนเองก่อน” หลัวโหวพูดอย่างราบเรียบหนึ่งประโยค จากนั้นก็โบกมือเบาๆ
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่านิ้วมือทั้งห้าสั่นสะท้าน ไข่หนอนในมือพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ หล่นลงบนมือของหลัวโหว
ไม่รู้ว่าหลัวโหวใช้เคล็ดวิชาอะไร หลังจากร่ายคาถาออกมาแล้ว ไข่จักจั่นเขียวในมือก็เปล่งแสงทรงกลดสีขาวออกมา และมีคลื่นแปลกประหลาดออกมาด้วย
ครู่ต่อมา ไอดำเข้มข้นก็พุ่งออกจากจุดสีดำบนไข่หนอน และหมุนวนประสานกันไปมารอบๆ ไข่หนอน
หลิ่วหมิงในขณะนี้ กลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอเย็นยะเยือกที่โจมตีเข้ามา
เป็นเช่นนี้ได้ราวๆ เวลาครึ่งถ้วยชา ในที่สุดหลัวโหวก็เผยรอยยิ้มออกมา และพยักหน้ากล่าว
“ที่แท้ไข่หนอนใบนี้ไม่ใช่ไข่จักจั่นเขียว มันคือไข่หนอนพลังจิตในสมัยบรรพกาล สามารถจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของไข่หนอนมหัศจรรย์ได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงถูกไอปีศาจแท้แปดเปื้อน ตอนนี้ได้กลายเป็นไข่หนอนปีศาจที่มีคุณค่าบางอย่าง ดังนั้นจึงมีจุดดำอยู่บนพื้นผิว แลดูเป็นไข่หนอนสีเขียวธรรมดา และเป็นเพราะแปดเปื้อนไอปีศาจ ถึงทำให้ไม่อาจฟักออกมาได้”
“ในเมื่ออยู่สามสิบอันดับแรกของหนอนมหัศจรรย์ในสมัยบรรพกาลได้ เจ้าหนอนพลังจิตนี้มีความสามารถอันใดกันแน่?” หลิ่วหมิงได้ยินหลัวโหวกล่าวเช่นนี้ ก็ถามด้วยความตกใจ
“ตัวอ่อนที่ฟักออกมามีพลังต่ำมาก แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่าไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย และยังมีพรสวรรค์แค่อย่างเดียว นั่นก็คือเลียนแบบพลังจิตของนายมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเมื่อถึงคราวจำเป็นก็จะส่งพลังจิตให้กับเจ้าของ จากนั้นก็สามารถฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณที่สูญเสียไปได้ด้วยความเร็วเท่ากับเจ้าของ พูดอีกแบบก็คือ หากมีคนได้หนอนพลังจิตตัวนี้ไป ก็สามารถเพิ่มพลังจิตของตนเองได้หนึ่งเท่าขึ้นไป และความเร็วในการฟื้นฟูก็สูงกว่าคนทั่วไปหนึ่งเท่าขึ้นไป เพราะเจ้าของกับหนอนสามารถฟื้นฟูพลังจิตที่สูญเสียไปพร้อมกันได้” หลัวโหวเงยหน้ามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และอธิบายด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
แม้คำพูดของหลัวโหวจะดูไม่หนักหนาอะไร แต่พลังของหนอนพลังนี้ ก็ออกจะเกินขอบเขตไปหน่อย
คนอื่นไม่ต้องพูดถึง หากเขามีหนอนตัวนี้ ไม่ต้องพูดถึงการลดระยะเวลาในการฝึกฝนตามปกติกับการแสดงเคล็ดวิชามหัศจรรย์บางอย่าง ลำพังแค่ใช้พลังของหนอนพลังจิตเข้าไปในแดนมายาที่ดวงตามายาปีศาจสร้างขึ้น ก็ได้รับผลโยชน์อย่างน่าตกใจแล้ว
เพราะด้วยระดับความเร็วในการฟื้นฟูของเขาในตอนนี้ โดยปกติต้องนั่งเข้าฌานหนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงจะฟื้นฟูพลังจิตที่สูญเสียไปกลับมาได้ดังเดิม
และหลังออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับมา เพื่อการฝึกฝนตามปกติและกลัวว่าจะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น เขาจึงไม่กล้าเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ และสูญเสียพลังจิตมหาศาลเพื่อกระตุ้นดวงตามายาปีศาจให้สร้างแดนมายาโดยง่าย
และหากตอนนี้สามารถฟักไข่หนอนพลังจิตออกมาได้ มันย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เขาเพียงแค่สูญเสียพลังเวทของตนเองเพียงเล็กน้อย เพื่อเข้าไปในศิลาหุนเทียน จากนั้นก็ให้หนอนพลังจิตใช้พลังจิตส่งเขาเข้าไปในแดนมายา ทีนี้ก็ไม่ต้องรอจนฟองอากาศลึกลับดูดพลังเวทแล้วถึงค่อยเข้าไปฝึกฝนในดวงตามายาปีศาจแล้ว
หลิ่วหมิงคิดอยู่เช่นนี้ และมองดูไข่หนอนในมือหลัวโหวด้วยความดีใจ จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด
“เมื่อครู่ผู้อาวุโสบอกว่าไข่หนอนใบนี้แปดเปื้อนไอปีศาจแท้ ดังนั้นจึงไม่อาจฟักออกมาได้ ผู้อาวุโสคงมีวิธีจัดการไอปีศาจแท้นี้ และฟักไข่หนอนใบนี้ออกมาได้”
“ไข่หนอนพลังจิตนี้ ได้ถูกไอปีศาจแท้แปดเปื้อนโดยสมบูรณ์แล้ว ต่อให้จะฝืนฟักออกมา มันก็จะระเบิดตัวจนเสียชีวิตทันที” หลัวโหวยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
คำพูดของหลัวโหวราวกับน้ำเย็นที่สาดเข้ามา จนเขารู้สึกใจสั่นสะท้านในพริบตา
“แต่ว่าหากอาศัยพลังของกรงขังล่ะก็ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถดูดซับไอปีศาจส่วนหนึ่งออกจากร่างของหนอนตัวนี้ได้ และทำให้มันฟักออกมาอย่างปลอดภัย แต่เจ้าก็ต้องทำตามเงื่อนไขถึงจะได้” หลัวโหวหัวเราะ และเปลี่ยนหัวเรื่องในฉับพลัน
“ขอผู้อาวุโสโปรดให้ความกระจ่างด้วย!” หลิ่วหมิงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็ประสานมือคารวะ และเอ่ยปากออกมา
“หลังจากหนอนตัวนี้ฟักออกมาแล้ว เจ้าจะต้องเก็บมันไว้กับตัว และให้กรงขังสามารถดูดซับไอปีศาจแท้ที่เกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา แต่ว่าที่สามารถใช้วิธีการนี้ได้ ก็เพราะว่าในร่างของเจ้ามีพลังของจิตปีศาจแฝงอยู่ มิเช่นนั้นหากเป็นคนอื่นที่ทำเช่นนี้ สุดท้ายอาจถูกเศษไอปีศาจที่เหลือในร่างของหนอนแปดเปื้อนได้ สุดท้ายก็กลายเป็นปีศาจ และเป็นบ้าจนเสียชีวิต” หลัวโหวมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างอดไม่ได้ แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ประสานมือคารวะและถามออกไปตรงๆ
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ก่อนหน้านั้นท่านซ่อนตัวไม่ยอมมาพบกับผู้น้อย แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดครั้งนี้ถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่จะเตือนให้ผู้น้อยซื้อไข่หนอนที่มีไอปีศาจแท้แฝงอยู่ ทั้งยังบอกวิธีการฟักไข่หนอนใบนี้ด้วย”
“ข้าเคยพูดไว้ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกรงขังแล้ว ข้าจะไม่ยื่นมือช่วยเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น! ข้าสามารถฟักหนอนตัวนี้ออกมาได้ แต่เจ้าจะต้องรับปากเงื่อนไขข้อหนึ่งก่อน” หลัวโหวมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย และค่อยๆ กล่าวด้วยแววตาเยือกเย็น
“ผู้อาวุโสพูดมาเถอะ!” หลิ่วหมิงได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว จึงถามด้วยสีหน้าสงบ
“เพื่อสนองความต้องการของกรงขัง เมื่อบ่มเพาะหนอนพลังจิตจนโตเต็มวัยแล้ว จะต้องนำหนอนตัวนี้มาไว้ในห้องว่างเปล่าลึกลับ ให้กรงขังดูดพลังจิตของมันหนึ่งร้อยปีขึ้นไปถึงจะได้ เพราะพอหนอนตัวนี้โตเต็มวัยแล้ว มันจะเลียนแบบพลังจิตของเจ้าของสองเท่า ซึ่งเพียงพอที่จะสนองความต้องการของกรงขังและพลังส่วนหนึ่งที่มันต้องการได้ แน่นอนว่าฟองอากาศลึกลับก็อาจจะดูดซับไอปีศาจแท้ของหนอนพลังจิตอย่างต่อเนื่อง จะได้ซ่อมแซมผนังของผนึกพอดี” หลังโหวกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เงื่อนไขของผู้อาวุโสม ผู้น้อยสามารถรับปากได้” แม้หลิ่วหมิงจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ในใจก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตอบรับออกไป
หลัวโหวพยักหน้า และเผยสีหน้าพอใจออกมาเช่นกัน
“แต่ว่าผู้อาวุโส ข้าน้อยยังมีความกังวลอย่างหนึ่ง ในเมื่อหนอนพลังจิตมีไอปีศาจแท้แฝงอยู่ และผู้น้อยก็พกมันไว้กับตัว มันจะถูกผู้มีพลังแข็งแกร่งมองออกหรือไม่?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วและถามออกไป
“สำหรับเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นกังวลมาก เพียงแค่พกหนอนตัวนี้ติดตัวไว้ก็พอ พลังของกรงขังจะบดบังไอปีศาจแท้บนหนอนตัวนี้ไปจนหมดสิ้น” หลัวโหวกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
ต่อมาหลัวโหวก็ร่ายคาถาแปลกๆ และชี้ไปยังไข่หนอน และไอปีศาจสีดำบนตัวไข่หนอนก็รวมตัวเข้าด้วยกัน
ครู่ต่อมา พอหลัวโหวพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ไอสีดำเหล่านี้ก็มุดเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
“ข้าได้ยืมพลังของกรงขังเก็บไอปีศาจแท้บนไข่หนอนใบนี้แล้ว แต่นี่เป็นแค่แผนชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานหนอนตัวนี้ก็จะให้กำเนิดไอปีศาจแท้ออกมาอีกครั้ง เจ้าจักต้องฟักมันออกมาในระหว่างเวลานี้ นอกจากนี้ ไข่หนอนใบนี้หลับใหลมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจนถึงตอนนี้ พลังชีวิตของมันเหลือขีดต่ำสุดแล้ว หากจะฟักมันออกมาได้อย่างราบรื่น จะต้องเสริมพลังต้นกำเนิดให้มันมากๆ เจ้าต้องไปหาโลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณที่มีอายุหมื่นปีมาแช่ถึงจะได้”
หลังจากหลัวโหวอธิบายไปรอบหนึ่งแล้ว ก็โยนไข่ไปให้หลิ่วหมิงเบาๆ คิดไม่ถึงว่าจะจัดการไอปีศาจแท้ได้ง่ายถึงเพียงนี้
ตอนที่ 533 หอการค้าเชียนเหมิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ไข่หนอนสีเขียวก็หล่นลงในมือ
ขณะนี้จุดดำบนผิวไข่หนอนได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว
เขามองดูมันเล็กน้อยแล้วก็เก็บไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง
“เอาล่ะ ที่ควรบอกก็ได้บอกเจ้าไปหมดแล้ว เจ้าไปได้” หลัวโหวกล่าวอย่างราบเรียบ พอโบกแขนเสื้อ พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวเข้ามา
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร ก็รู้สึกว่าตรงหน้ามืดลง ครู่ต่อมาก็กลับมาในห้องสงบจิตชั้นสามอีกครั้ง
พอเขาเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นครั้งแรก
หลัวโหวทำให้เขารู้สึกว่า เหมือนไม่อยากติดต่อกับเขา
หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกกลัดกลุ้มเรื่องโลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีมาก
เพราะสิ่งของระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพบเจอได้โดยง่าย แม้แต่ในตลาดก็ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่ายเช่นนั้น
อย่างน้อยหลายวันมานี้ ร้านที่เขาไปดูก็ไม่เห็นมีสิ่งของที่คล้ายกันขายอยู่เลย
พอหลิ่วหมิงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็รีบเก็บชั้นจำกัดในห้อง และเดินลงหอไป
เวลาในสามวันต่อมา พอมีเวลาว่างเขาจะออกไปจากร้าน และเดินดูร้านต่างๆ ในตลาดที่น่าสนใจ
……
สามวันต่อมา เขตการค้าเสรีที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ เป็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงหกเหลี่ยมที่สูงสิบกว่าจั้งๆ มันครอบครองพื้นที่ราวๆ สิบกว่าหมู่
ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสีขาวสองคนกำลังยืนตระหง่านอยู่ทั้งสองด้านของประตูใหญ่ ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ทำให้รับรู้ได้ลางๆ ว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย
หน้าประตูมีป้ายที่มีอักขระสีดำเขียนอยู่ว่า ‘หอการค้าเชียนเหมิง’ แสงสีทองยามพระอาทิตย์ตกดินส่องสะท้อนมา ทำให้ดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก และมีคนจำนวนหนึ่งเดินเข้าๆ ออกๆ ตรงประตูใหญ่อยู่ตลอดเวลา
สถานที่แห่งนี้เป็นห้องโถงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในตลาดฉางหยาง
และตรงป้ายประกาศข้างรั้ว ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำกำลังจ้องมองประกาศที่อยู่บนนั้น
“สี่เดือนให้หลัง……”
ชายชุดดำพูดพึมพำออกมา และหมุนตัวเดินไปทางประตูใหญ่
“สหายผู้นี้ ข้าน้อยมาตลาดฉางหยางเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่างานประมูลที่หอการค้าของท่านจัดขึ้น มีข้อจำกัดในการเข้าร่วมหรือไม่?” ชายชุดดำสอบถามชายชุดขาวที่หน้าประตูด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนชายชุดขาวไม่คิดจะสนใจเขา ยังคงเพ่งมองไปด้านหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ชายชุดดำเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้าและหมุนตัวเดินจากไป
“สหายผู้นี้ช้าก่อน! ข้าน้อยจั๋วจี๋ พรรคกระบี่วารี ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าเยี่ยงไร?” ขณะนี้ชายหนุ่มชุดสีแดงอ่อน อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี ใบหน้างดงาม เดินออกมาจากห้องโถง และเรียกชายวัยกลางคนอย่างสุภาพ
“สหายจั๋วมากพิธีแล้ว ข้าน้อยแซ่เย่ เป็นผู้ฝึกฝนอิสระ” ชายวัยกลางคนได้ยิน ก็ค่อยๆ หันกลับมาตอบ
“ที่แท้ก็เป็นสหายเย่ สหายมาตลาดฉางหยางเป็นครั้งแรก คิดว่าคงจะไม่ค่อยเข้าใจการประมูลของหอการค้าเชียนเหมิง แท้จริงแล้วหอการค้าเชียนเหมิงของเราก่อตั้งขึ้นจากหอการค้าขนาดต่างๆ นับพันแห่ง แม้จะบอกว่าแต่ละหอการค้ามีขอบข่ายอิทธิพลไม่มากนัก และไม่อาจเทียบกับสี่ยอดนิกายใหญ่ หรือแปดตระกูลใหญ่ได้ แต่ก็ยังพอนับว่ามีชื่อเสียงในจงโจวอยู่บ้าง” ชายหนุ่มชุดแดงค่อยๆ อธิบายออกมา
ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ
“สหายจั๋ว ไม่ทราบว่างานประมูลนี้ เคยเชิญผู้ฝึกฝนอิสระอย่างข้าเข้าร่วมหรือไม่?” ชายวัยกลางคนถามขึ้นมา
“งานประมูลใหญ่ไม่มีข้อจำกัดที่ท่านกล่าวถึง เพียงแค่สหายพกหินจิตวิญญาณมากพอก็มาร่วมได้แล้ว หากสหายมีสิ่งใดที่อยากนำเข้ามาประมูล ข้าน้อยก็สามารถแนะนำผู้ประเมินค่าในการประมูลครั้งนี้ให้ได้ หลังผ่านการประเมินค่าแล้ว ก็เข้าร่วมประมูลได้ เมื่อทำการซื้อขายกันเสร็จ ทางเราจะคิดค่าธรรมเนียมแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น” ชายหนุ่มชุดแดงหัวเราะและกล่าวออกมา
“ขอบคุณพี่จั๋ว ข้าน้อยยังต้องไปซื้อวัตถุดิบจำนวนหนึ่งที่ตลาด ต้องขอตัวก่อน อีกสี่เดือนให้หลังจะต้องมาเข้าร่วมอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนประสานมือคารวะและหมุนตัวเดินจากไป ไม่นานก็หายไปจากมุมถนนในตลาด
ชายหนุ่มชุดแดงมองตามหลังเขาไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโถงทันที
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ไร้ผู้คน ไม่นานชายหนุ่มชุดเขียวก็ค่อยๆ เดินออกมาจากในนั้น
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“คิดไม่ถึงว่าอิทธิพลของหอการค้าเชียนเหมิงจะใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก” เขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็เดินไปทางหอร้อยหลอม
……
ภายในห้องสงบจิตบนหอชั้นสาม หลิ่วหมิงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่แววตากลับเป็นประกาย ดูเหมือนว่ากำลังคิดเรื่องราวอะไรบางอย่างอยู่
มุมหนึ่งของห้องสงบจิต กลับมีกล่องหยกจำนวนมากวางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง
หลังจากเดินเตร่ไปมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็เข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่ของตลาดฉางหยางได้ชัดเจนขึ้น เขาเลือกร้านค้าสองสามแห่งที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ และวางแผนว่าจะออกไปขายโอสถผลึกเย็นที่เหลือในอีกไม่กี่วัน
แต่สำหรับโอสถระดับสูงไม่กี่เม็ดที่เหลืออยู่ เขายังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับมันดี
เพราะโอสถระดับสูงไม่เหมือนกับโอสถระดับกลาง หากจัดการได้ไม่ถูกต้อง จะก่อเกิดความยุ่งยากขึ้นมาได้
หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจเก็บกล่องหยกบนโต๊ะไม้ทั้งหมด และนั่งสมาธิอยู่บนเบาะอย่างตั้งใจ
บ่ายวันที่สอง หลิ่วหมิงเปลี่ยนรูปร่างที่ไม่เหมือนกับเดิม และหลังจากดินวนอยู่ในตลาดแล้ว เขาก็แบ่งโอสถผลึกเย็นขายให้กับร้านค้าที่เขาหมายตาไว้ในไม่กี่วันก่อน
จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในร้านโอสถที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเผ่าค้างคาว
ครั้งนี้นอกจากจะมีเด็กรับใช้ชุดดำเหล่านั้นอยู่ในนั้นแล้ว ยังมีชายอายุสามสิบปีกว่าๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นเถ้าแก่ร้าน พอเขาเห็นคนเข้ามา ก็เดินไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ ไม่ทราบสหายต้องการโอสถหรือวัตถุดิบโอสถ?” เถ้าแก่มนุษย์เผ่าค้างคาวกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ข้าน้อยจะขายโอสถจำนวนหนึ่ง เพื่อแลกกับวัตถุดิบที่โตได้ที่แล้วจำนวนหนึ่ง” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วและกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“อ้อ? ที่นี่ไม่ค่อยสะดวก เชิญท่านไปคุยรายละเอียดที่ชั้นสามเถอะ!” ชายเผ่าค้างคาวสังเกตชายหนุ่มทีหนึ่ง หลังจากลูกตาหมุนไปมาแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปตรงบันได
“เยี่ยนเอ๋อร์ ดูร้านก่อนนะ” ชายเผ่าค้างคาวกำชับไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินตามขึ้นไปโดยเร็ว
หอชั้นสามเป็นห้องรับรองที่แยกกันเป็นห้องๆ มีทั้งหมดราวๆ สามสี่ห้อง มีสองห้องที่เปิดอยู่ ส่วนห้องอื่นๆ ก็ปิดแน่นราวกับมีคนอยู่ด้านใน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ปล่อยจิตออกไปกวาดดูทันที แต่ไม่สามารถเข้าไปในห้องรับรองได้เลยแม้แต่น้อย ประจักษ์ชัดว่าเป็นชั้นจำกัดกีดกั้นพลังจิตที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมาก
จากนั้นก็เลือกเอาหนึ่งในห้องที่เปิดประตูอยู่ และค่อยๆ ก้าวเข้าไป
ห้องรับรองมีพื้นที่ราวๆ ห้าหกจั้ง ทั้งสี่ด้านมีพืชสีเขียวตั้งแสดงอยู่สองสามกระถาง ใจกลางห้องมีโต๊ะไม้กลมๆ ขนาดจั้งกว่าๆ กับเก้าอี้สองสามตัว ด้านหนึ่งของผนังมีรูปภาพแขวนอยู่ ในรูปมีคนชุดดำที่มีปีกบนหลังจำนวนหนึ่งกำลังต่อสู้กับมังกรสีม่วง
และอีกด้านหนึ่งของผนังก็มีอักขระสีแดงเข้มจำนวนหนึ่งสลักอยู่ พอหลิ่วหมิงปล่อยจิตออกไปสำรวจเล็กน้อย ก็ไม่สามารถมองทะลุได้ และอักขระที่มืดๆ ก็พลันเปล่งแสงทรงกลดสีแดงเจิดจ้าออกมา
ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็เก็บพลังจิตกลับมาทันที และนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง
“อักขระบนผนังนี้เป็นชั้นจำกัดป้องกันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของเผ่าค้างคาวเรา สามารถปิดกั้นพลังจิตได้ทั้งหมด ต่อให้จะมีระดับการฝึกฝนสูง ก็ไม่อาจเจาะเข้าไปได้แม้แต่น้อย ตรงนี้ท่านวางใจได้ ส่วนรูปภาพที่ท่านมองเห็น เป็นบรรพบุรุษเมื่อหลายหมื่นปีของเผ่าค้างคาวเรา ที่กำลังต่อสู้กับมังกรร้าย” หลังจากหลิ่วหมิงนั่งลงไม่นาน เถ้าแก่มนุษย์เผ่าค้างคาวก็เดินเข้ามา ในมือประคองชาที่เพิ่งจะชงเสร็จอยู่ และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เช่นนี้ก็ดี” หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้ากล่าวออกมา
“เชิญท่านดื่มชาจิตวิญญาณก่อน” ชายมนุษย์เผ่าค้างคาววางชาไว้บนโต๊ะ พอเขาโบกมือเบาๆ ประตูห้องรับรองก็ค่อยๆ ปิดลง
“เอาล่ะ! ตอนนี้ท่านพูดได้แล้วว่าต้องการวัตถุดิบใดกันแน่? นอกจากนี้ท่านจะใช้โอสถอะไรมาแลก?” ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวนั่งลง และถามด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินก็นำกล่องหยกสีเขียวออกจากเอวมาวางไว้บนโต๊ะ
“ข้าอยากจะแลกผลผลึกเขียวที่มีอายุห้าร้อยปีขึ้นไปจำนวนหนึ่ง ส่วนจะใช้โอสถอะไรแลกนั้น เถ้าแก่เปิดดูก็จะรู้เอง” หลิ่วหมิงผลักกล่องหยกไปตรงหน้าชายชุดดำเบาๆ และยกชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง
ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวยื่นมือไปรับกล่องหยกมา และใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนนั้นเบาๆ หลังจากมีแสงสีเขียวเปล่งกาย มันก็ค่อยๆ เปิดออกมา ไอเย็นสะท้านแผ่ขยายออกมาอยู่พักหนึ่ง เผยให้เห็นโอสถเจ็ดเม็ดที่เปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับวางอยู่ด้านใน
“โอสถผลึกเย็น!”
ชายผู้นี้ร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ใช้นิ้วเรียวยาวคีบมันขึ้นมาเม็ดหนึ่งอย่างระมัดระวัง และสังเกตดูอย่างละเอียด
จะเห็นว่ามีแสงสีเขียวอยู่บนผิวโอสถ ลวดลายจิตวิญญาณสองเส้นปรากฏอยู่บนนั้นรำไร
จากนั้นชายชุดดำก็วางมันลงในตลับ และคีบอีกเม็ดขึ้นมาดู
“ทั้งเจ็ดเม็ดต่างก็เป็นโอสถธรรมดา!” หลังจากชายมนุษย์เผ่าค้างคาวตรวจสอบดูโอสถทั้งเจ็ดเม็ดแล้ว ก็มองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าตกใจระคนดีใจ
“ไม่ทราบว่าโอสถผลึกเย็นเหล่านี้ จะแลกผลผลึกเขียวอายุห้าร้อยปีได้กี่ลูก?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“หากสหายอยากจะแลกทั้งหมดล่ะก็ ร้านเราจะใช้ผลผลึกเขียวสิบห้าลูกแลก” ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันกล่าวออกมา
พอหลิ่วหมิงหมิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านั้นเขาได้สอบถามไปรอบหนึ่งแล้ว และรู้ว่าผลผลึกเขียวอายุห้าร้อยปีหนึ่งลูกมีราคาอย่างน้อยสามหมื่นหินจิตวิญญาณ หรือว่าชายตรงหน้าจะอยากผูกมิตรกับเขา ถึงได้เสนอผลผลึกเขียวถึงสิบห้าลูก
เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยปาก ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“หากท่านมีโอสถที่มีคุณภาพสูงกว่า ทางร้านเราก็ใช่ว่าจะไม่สามารถใช้ผลผลึกเขียวล้ำค่าที่มีอายุพันปีแลกได้” ชายผู้นี้กล่าวอย่างเร่าร้อน
ตอนที่ 534 คำเล่าลือในตลาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เถ้าแก่ ทำการค้าครั้งนี้ให้เสร็จก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องอื่นก็ยังไม่สาย” หลิ่วหมิงได้ยิน ก็กล่าวออกมา
“ท่านโปรดรอสักครู่!” ตอนนี้ชายชุดดำถึงค้นพบว่าตนเองยั้งสติไม่อยู่เล็กน้อย หลังจากยิ้มเคอะเขินออกมาแล้ว ก็ปิดกล่องหยกที่อยู่บนโต๊ะ และลุกเดินออกไปจากห้องรับรอง
ผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวถึงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม บนมือมีกล่องไม้สีเทาขนาดสองสามฉื่อใบหนึ่ง
เขาวางกล่องไม้ไว้บนโต๊ะ และใช้นิ้วเรียวยาวแตะเบาๆ ไอสีแดงสายหนึ่งจมเข้าไปในกล่อง พอฝากล่องเปิดออกมา ผลผลึกเขียวสิบห้าลูกที่อยู่ในนั้น ก็เปล่งแสงสีเขียวจางๆ
สำหรับหลิ่วหมิงที่เคยเห็นผลผลึกเขียวมานับไม่ถ้วนแล้ว เพียงแค่ใช้จิตกวาดดูเล็กน้อย ก็มั่นใจในอายุของผลผลึกเขียวเหล่านี้ พอใช้มือข้างหนึ่งลูบมันเบาๆ กล่องไม้ก็ถูกเขาเก็บเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนที่อยู่บนเอว
“เถ้าแก่ ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำต้องขอตัวก่อน ส่วนโอสถคุณภาพสูงนั้น ข้าจะนำไปคิดดู” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
เดิมทีหลิ่วหมิงกะจะพูดจาคลุมเครือ แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองจะพูดเรื่องโอสถระดับที่สูงกว่าออกมา แต่พอมานึกดูแล้ว อย่างไรซะโอสถพสุธาก็ต้องนำออกมาขายเช่นกัน และร้านมนุษย์เผ่าค้างคาวก็เป็นคู่ค้าที่ดี อีกอย่างเขาก็ค่อนข้างสนใจผลผลึกเขียวพันปีนี้ไม่น้อย
“สหายค่อยๆ เดิน! หากครั้งหน้ามาร้านของเราล่ะก็ มาหาข้าโดยตรงได้เลย” ชายเผ่าค้างคาวเก็บกล่องหยกที่ใส่โอสถผลึกเย็น และกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า จากนั้นก็เดินลงหอไปกับหลิ่วหมิง
เวลาที่เหลือเขาก็เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันสิบกว่าแบบ และใช้หินจิตวิญญาณที่มีอยู่ในมือไปรวบรวมวัตถุดิบเสริมที่จำเป็นจำนวนมาก ทั้งยังซื้อแก่นบริสุทธิ์อสูรจินหยวนระดับผลึกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นถึงกลับไปที่หอร้อยหลอม
ช่วงเวลาหลังจากนี้ นอกจากเขาจะลงหอไปดูสถานการณ์ของร้านในคราวจำเป็นแล้ว ช่วงเวลาที่เหลือส่วนมากก็จะอยู่บนห้องลับชั้นสาม ด้านหนึ่งฝึกฝนเคล็ดกระบี่ทั้งสองแบบ อีกด้านหนึ่งก็ปรุงโอสถทั้งสองชนิดเป็นจำนวนมาก
สองเดือนต่อมา ในที่สุดเขาก็ปรุงโอสถทั้งหมดเสร็จสิ้น
ครั้งนี้เขาปรุงโอสถผลึกเย็นออกมาได้หนึ่งร้อยกว่าเม็ด ในนั้นมีโอสถธรรมดาถึงสามสิบกว่าเม็ด และมีโอสถพสุธามากถึงสี่เม็ด
นอกจากนี้ยังมีโอสถจินหยวนสิบกว่าเม็ด ทั้งยังมีโอสถธรรมดาหนึ่งเม็ดด้วย
ที่เขาได้โอสถระดับสูงมามากเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบหลักอย่างผลผลึกเขียวที่มีอายุสี่ห้าร้อยปีเหล่านี้ คุณภาพของโอสถที่ปรุงออกมาจึงเพิ่มเป็นทวี
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้ว ก็นำโอสถผลึกเย็นระดับกลางในมือมาแบ่งเป็นชุดๆ ขายให้กับร้านค้าในตลาดหลายร้าน เหลือเพียงโอสถระดับกลางไว้ใช้เองยี่สิบกว่าเม็ดเท่านั้น
และโอสถผลึกเย็นระดับสูงเหล่านั้น หลังจากหลิ่วหมิงคิดพิจารณาดูแล้ว ก็เก็บมันไว้ทั้งหมด
ไม่ว่าเขาจะรอบคอบระมัดระวังแค่ไหนก็ตาม แต่การที่มีโอสถผลึกเย็นปรากฏออกมาจำนวนมากเช่นนี้ ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาในตลาดขนาดใหญ่อย่างตลาดฉางหยางแห่งนี้
แม้ร้านค้าโอสถในในตลาดจะมีจำนวนมาก แต่สำหรับผู้ที่มีความตั้งใจแล้ว พวกเขาย่อมรู้แหล่งที่มา และจำนวนโอสถชนิดต่างๆ ในตลาดดี แม้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ก็ดึงดูดความสนใจของกลุ่มอิทธิพลจำนวนหนึ่งได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโอสถผลึกเย็นจำนวนมากที่ไม่รู้ที่มาเหล่านี้
ตอนนี้ต่อให้ผู้ที่สมองทึ่ม ก็คงจะรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริงมาในตลาดแล้ว
โอสถผลึกเย็นเป็นโอสถเพิ่มพลังเวท ย่อมมีกลุ่มอิทธิพลจำนวนมากสนใจผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นี้ จึงได้เริ่มส่งคนตามสืบอย่างเงียบๆ
ช่วงพื้นที่เจริญรุ่งเรืองใกล้กับมุมตะวันออกเฉียงเหนือของตลาดฉางหยาง มีร้านค้าข้างถนนแห่งหนึ่งที่ทอดยาวติดต่อกันสิบกว่าจั้ง
การตกแต่งร้านภายนอกสวยหรูดูดีมีระดับ ประตูใหญ่สีแดง หน้าต่างดูสว่างไสว ประตูหน้าร้านมีป้ายไม้สีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ บนนั้นเขียนว่า ‘เรือนโอสถเฮ่าหราน’
ที่นี่ก็คือร้านโอสถแห่งหนึ่งที่สำนักเฮ่าหรานเปิดไว้ในตลาดนั่นเอง เทียบกับหอร้อยหลอมของนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีกำลังทรัพย์และอิทธิพลกว่ามาก
ห้องโถงแห่งหนึ่งภายในเรือนโอสถเฮ่าหราน ภายในมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือนหรือการตกแต่งด้านใน ล้วนมีกลิ่นอายโบราณ เหมือนกับว่ามีมานานแล้ว
ตรงที่นั่งใจกลางห้องโถง ชายวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิตนั่งอยู่บนนั้น เขากำลังชื่นชมขวดหยกขาวที่มีลายสลักเป็นรูปบุปผาอยู่
หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่ล่ะก็ จะต้องจำได้ว่าคนผู้นี้ก็คือบัณฑิตวัยกลางคนของสำนักเฮ่าหราน ที่เขาเคยพบในร้านค้าอสูรเมื่อหลายวันก่อน
และขณะนี้บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ นอกจากนี้แล้วยังมีผู้อาวุโสผมขาวกำลังรายงานอะไรบางอย่างกับบัณฑิตวัยกลางคนอย่างนอบน้อม
“เถ้าแก่สวี พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า ตอนนั้นมีชายวัยกลางคนสวมคลุมสีเทามาขายโอสถผลึกเย็นนี้” บัณฑิตวัยกลางคนทำสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ใช่แล้ว เป็นเพราะว่าตอนนั้นข้าเป็นคนซื้อโอสถผลึกเย็นอันหายากนี้มากับมือ คนผู้นั้นเรียกร้องให้ค้าขายกันอย่างลับๆ ข้าน้อยจึงไม่อาจถามที่มาของโอสถนี้ได้ หลังทำการค้าเสร็จ คนผู้นั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว” ผู้อาวุโสผมขาวตอบอย่างนอบน้อม
“ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีลักษณะพิเศษอย่างไรบ้าง?” บัณฑิตวัยกลางคนขมวดคิ้วขึ้นมา
“คนผู้นั้นมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาดูธรรมดามาก การฝึกฝนก็แค่ระดับของเหลว หากไม่ได้ลงมือล่ะก็ ไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนที่ละเอียดกว่านี้ได้” เถ้าแก่สวีนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
พอเห็นว่าบัณฑิตวัยกลางคนยังคงไม่พูดอะไรออกมา เถ้าแก่สวีก็ดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เล่าต่อ
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว โอสถผลึกเย็นที่ปรากฏในครั้งนี้ มีจำนวนประมาณสองร้อยเม็ด แบ่งขายตามร้านค้าเจ็ดแปดร้าน อีกอย่าง คนของเรารายงานมาว่า คนที่ขายโอสถตามร้านต่างๆ ไม่ใช่คนๆ เดียวกัน มีทั้งคนแก่ และคนที่อายุน้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นหน้าใหม่ทุกครั้ง”
“ดูท่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นคงจะระมัดระวังตัวมาก ไม่อยากเป็นจุดสนใจ ถึงได้ส่งคนออกมาไม่ซ้ำกัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนๆ เดียวกัน แต่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาอยู่ตลอดก็ได้” บัณฑิตวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่ง และคาดเดาออกมา
“ผู้อาวุโสไป๋กล่าวได้ไม่มีผิด คนส่วนมากก็คิดเช่นนี้” เถ้าแก่สวีพูดจาประจบประแจงด้วยรอยยิ้ม
บัณฑิตวัยกลางคนมองเถ้าแก่สวีทีหนึ่ง แม้จะไม่พูดอะไรออกมา แต่แววตาดูพอใจเป็นอย่างมาก คำพูดเยินยอเช่นนี้ได้ผลไม่น้อย
บัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสระดับผลึก ที่สำนักเฮ่าหรานส่งมาที่นี่ และก็เป็นอาจารย์อาของบัณฑิตหนุ่มที่อยู่ด้านข้างด้วย
บัณฑิตวัยกลางคนก็เป็นศิษย์ประจำการที่เรือนโอสถเฮ่าหรานแห่งนี้ ไม่แปลกที่เถ้าแก่สวีจะดูนอบน้อมเช่นนี้
“อาจารย์อา เป็นไปได้ไหมว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นจะเปลี่ยนโฉมมาขายโอสถผลึกเย็นเอง?” บัณฑิตหนุ่มที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดพูดแทรกเข้ามาในฉับพลัน
“คงเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่สามารถปรุงโอสถผลึกเย็นออกมาได้ ย่อมมีสถานะไม่ธรรมดา คงไม่ทำเรื่องเล็กๆ อย่างการขายโอสถด้วยตนเอง หากคนเหล่านั้นเป็นคนๆ เดียวกัน ก็คงเป็นลูกน้องหรือคนติดตามของเขา” บัณฑิตวัยกลางคนส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา
บัณฑิตหนุ่มได้ยินก็พยักหน้า และไม่พูดอะไรอีก
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สำนักเฮ่าหรานของเรา จะต้องดึงผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านนี้มาเป็นพวกให้ได้ หากสำเร็จล่ะก็ นับว่าเป็นการสร้างผลงานใหญ่ให้สำนักเรา เบื้องบนจะต้องมอบรางวัลให้อย่างไม่เสียดาย เถ้าแก่สวี หากมีคนมาขายโอสถผลึกเย็นอีก เจ้าต้องหาวิธีหน่วงเหนี่ยวเขาไว้ จากนั้นให้รีบส่งข่าวให้ข้าโดยเร็ว” บัณฑิตวัยกลางคนสั่ง
“รับทราบ! ข้าจะสั่งการลงไป” เถ้าแก่สวีคารวะ และพยักหน้าให้กับบัณฑิตหนุ่ม จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
……
ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของตลาดฉางหยาง ภายในร้านที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์เผ่าค้างคาว ก็มีคนทำการสนทนาอยู่เช่นกัน
“ฝูหมิ่น สองเดือนก่อนเจ้าให้คนไปส่งข่าวว่าได้ซื้อโอสถผลึกเย็นจำนวนมากจากคนลึกลับผู้นี้ ทั้งยังเป็นโอสถระดับธรรมดาที่หาได้ยากยิ่ง หลังจากผู้อาวุโสหลายคนในเผ่าเห็นโอสถนี้แล้ว ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ผู้อาวุโสฝูหลีชมเจ้าต่อหน้างานรวมตัวผู้อาวุโสไปหนึ่งรอบ” ผู้ที่พูดเป็นหญิงวัยกลางคนใบหน้างดงาม รูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋มผู้หนึ่ง นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องลับชั้นบนสุดของร้าน ทุกท่วงท่าลีลาของนางดูยั่วเย้าจิตใจผู้คนเป็นอย่างมาก
“ข้าเป็นคนในเผ่าคนหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่สมควรทำ ผู้อาวุโสฝูหลีกับฮูหยินวั่นชมเกินไปแล้ว”
ชายชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหญิงวัยกลางคนด้วยท่าทีนอบน้อม เขาก็คือเถ้าแก่ชุดดำที่ใช้ผลผลึกเขียวอายุห้าร้อยปีแลกกับโอสถของหลิ่วหมิงนั่นเอง
“แต่ข้าได้ยินมาว่า ช่วงนี้มีโอสถผลึกเย็นออกมาในตลาดเป็นจำนวนมาก ใช่คนลึกลับผู้นั้นเป็นคนปล่อยออกไปหรือไม่?” หญิงงดงามกล่าว
“เรียนฮูหยินวั่น คงจะเป็นเช่นนี้ โอสถผลึกเย็นที่ปรากฏออกมาในครั้งนี้ มีจำนวนมากกว่าเดิม และคนผู้นั้นยังมาขายที่ร้านของพวกเราจำนวนหนึ่งด้วย” ขณะที่พูด เถ้าแก่ชุดดำก็หยิบกล่องหยกออกมาสองใบ
“ในนั้นมีโอสถระดับสูงหรือไม่?” หญิงงดงามรับกล่องหยกมาใบหนึ่ง ในนั้นมีโอสถผลึกเย็นสิบเม็ด มันส่งกลิ่นหอมเข้มข้นออกมา
“อันนี้กลับไม่มี ล้วนเป็นโอสถระดับกลางทั้งหมด” เถ้าแก่ชุดดำหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวออกมา
หญิงงดงามเผยสีหน้าผิดหวังออกมาทันที และหยิบโอสถผลึกเย็นมาดมหนึ่งเม็ด จากนั้นก็กล่าวต่อ
“โอสถเหล่านี้ก็มีความบริสุทธิ์ไม่เลว แตกต่างจากโอสถระดับของเหลวทั่วไปมาก ดูท่าผู้ที่ปรุงออกมา คงเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริง”
“ฮูหยินวั่นกล่าวได้ถูกต้อง ครั้งนี้พวกเราซื้อโอสถผลึกเย็นมายี่สิบเม็ด ล้วนเป็นโอสถระดับกลางที่มีความบริสุทธิ์หกถึงเจ็ดส่วน ห่างจากโอสถระดับสูงไม่มากนัก” เถ้าแก่ชุดดำกล่าว
“ฝูหมิ่น ระหว่างที่เจ้าตอนรับคนลึกลับผู้นั้น เคยสอบถามเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นหรือไม่?” หญิงงดงามปิดกล่องหยก และลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“คนผู้นั้นปิดปากแน่นมาก มาขายโอสถสองครั้งล้วนระมัดระวังเป็นอย่างดี เขาปิดปากเงียบไม่ยอมพูดถึงที่มาของโอสถ ข้าก็กลัวว่าจะทำให้คนผู้นี้ไม่พอใจ จึงไม่กล้าถาม” เถ้าแก่ชุดดำส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“อืม! เจ้าทำการได้รอบคอบดีมาก” หญิงงดงามพยักหน้า
“แต่ว่าโอสถผลึกเย็นเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ในเผ่าเรื่องหนึ่ง ผู้อาวุโสฝูหลีกำชับเป็นพิเศษว่า หากคนผู้นี้มาในครั้งหน้า จะต้องถามให้ชัดเจนว่าในมือเขามีโอสถระดับพสุธาหรือไม่ หรือไม่ก็ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น สามารถปรุงโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาออกมาได้หรือไม่?
“หากคนผู้นั้นไม่ยอมพูด พวกเราบีบบังคับเขาจนเกินไป จะเป็นการล่วงเกินผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นหรือไม่?” เถ้าแก่ชุดดำกล่าวด้วยความกังวล
“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไป ข้ามาในครั้งนี้ได้พกผลผลึกเขียวพันปีมาด้วย เชื่อว่าคงจะระงับโทสะของผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นได้” หญิงงดงามกล่าวด้วยความมั่นใจ
“รับทราบ! ข้าน้อยรู้แล้ว” เถ้าแก่ชุดดำกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
ตอนที่ 535 นายหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางข่าวการปรากฏตัวของโอสถผลึกเย็น ทำให้ในตลาดเกิดความวุ่นวายขึ้นมา คลื่นใต้น้ำแอบเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพลใดก็ตาม ในขณะที่ยังหาที่มาที่ชัดเจนของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านนี้ไม่ได้ ต่างก็กำชับศิษย์ว่าอย่าได้ล่วงเกินผู้ที่จะมาขายโอสถโดยเด็ดขาด
ผู้ที่มีความสามารถล้วนมีนิสัยแปลกๆ หากทำให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านนี้ไม่พอใจล่ะก็ อาจจะแย่จนถึงขีดสุดก็ได้
หอร้อยหลอมเป็นกลุ่มอิทธิพลของนิกายยอดบริสุทธิ์ ย่อมได้รับข่าวนี้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
วันนี้ที่ชั้นสามของหอร้อยหลอม เถ้าแก่เย่ยืนอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงด้วยสีหน้านอบน้อม และกำลังรายงานอะไรบางอย่างอยู่
“ท่านทูตหลิ่วรู้ไหมว่ามีเรื่องโอสถผลึกเย็นโผล่ในตลาดเป็นจำนวนมาก และยังมีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านหนึ่งมาที่นี่ ทั้งยังปิดซ่อนที่อยู่ไว้…”
“อันนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน หลายวันนี้ข้ากักตัวฝึกฝนมาโดยตลอด ในตลาดเกิดเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าดูสนใจเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้ถูกเล่าลือกันในตลาดอย่างโกลาหล ว่ากันว่าโอสถที่ปล่อยออกมามีหลายร้อยเม็ด ร้านค้าจำนวนมากต่างก็สืบที่มาของโอสถเหล่านี้อยู่” เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เย่รู้สึกสนใจในเรื่องนี่มาก
“ตามที่ข้าทราบมา โอสถผลึกเย็นเป็นโอสถที่ปรุงได้ยากยิ่ง เหตุใดถึงปรากฏออกมาจำนวนมากเช่นนี้ได้ หรือว่าจะมีคนปรุงโอสถนี้ได้เป็นจำนวนมาก?” หลิ่วหมิงลูบคางแล้วกล่าวออกมา
“คนส่วนมากต่างก็คิดเช่นนี้ ดูท่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคงจะมาตลาดฉางหยางจริงๆ” เถ้าแก่เย่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวออกมา
“เถ้าแก่เย่ก็สนใจคนผู้นี้ด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงจิบชาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คนผู้นี้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถหายาก หากดึงเข้านิกายได้ พวกเราก็นับว่าได้สร้างผลงานใหญ่ไปด้วย” เถ้าแก่เย่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดี! ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้มอบให้เถ้าแก่เย่เป็นคนจัดการก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสงบ
“รับทราบ! ข้าน้อยจะตามหาผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นอย่างสุดความสามารถ” เถ้าแก่เย่ได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าดีใจ
หากเขาหาคนผู้นี้เจอจริงๆ ผลงานนี้จะต้องเป็นผลงานชิ้นใหญ่อย่างแน่นอน
จากนั้นผู้อาวุโสก็เปลี่ยนหัวข้อมาพูดถึงเรื่องอื่นๆ ในตลาด
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา เถ้าแก่เย่ก็ลุกขึ้นและขอตัวลา
หลิ่วหมิงเองก็วางถ้วยกระเบื้องเคลือบลายครามลง มุมปากเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา
แม้ทั้งสองครั้งที่เขาออกไปขายโอสถ จะระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่ในที่สุดก็หนีไม่พ้นสายตาของผู้ที่สนใจไปได้
ภายใต้สถานการณ์ที่กลุ่มอิทธิพลจำนวนมากตามหาเขาเช่นนี้ หากจะออกไปซื้อวัตถุดิบก็ดูจะเสี่ยงไปหน่อย
เรื่องโอสถจึงได้แต่รอให้ข่าวนี้จางไปก่อน
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงกักตัวฝึกฝนทุกวัน และใช้โอสถผลึกเย็นอย่างฟุ่มเฟือยในทุกๆ สองสามวัน จากนั้นก็ค่อยกลั่นเอาพลังของมัน
ในขณะที่พลังเวทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง เขาก็วางแผนตามหาโลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณ กับยกระดับต้นแบบอาวุธเวทของโล่เก้ากระโหลก เรื่องใหญ่ทั้งสองนี้ล้วนเกี่ยวพันถึงแผนการฝึกฝนในภายหน้า
ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีที่ช่วยเสริมพลังชีวิตนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง คงได้แต่อาศัยโชคแล้ว และวัสดุที่จำเป็นต้องใช้ในการปรับแต่งโล่เก้ากระโหลกขั้นสุดท้าย ส่วนมากหลิ่วหมิงหามาได้หมดแล้ว ตอนนี้ขาดแค่วัสดุเสริมสามอย่าง
น้ำหยินโสมม ผลึกปีศาจอีกา และผงวิญญาณบริสุทธิ์
วัสดุทั้งสามหาได้ยากนัก น้ำหยินโสมมกับผลึกปีศาจอีกาเป็นวัสดุธาตุหยินที่พบเจอได้น้อย และผงวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งเป็นวัสดุจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อยยิ่งกว่า
หลิ่วหมิงนำหินจิตวิญญาณหนึ่งล้านกว่าก้อนที่ได้มาจากการขายโอสถผลึกเย็น ไปหาวัสดุเหล่านี้ในตลาดฉางหยางเมื่อว่างจากการฝึกฝน ดีที่ว่าหลายวันก่อนเขาได้เดินตลาดไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้จึงไม่ถึงกับหาอย่างไร้จุดหมาย
……
ในตรอกตรงมุมตะวันออกเฉียงใต้ของตลาดฉางหยาง ทั้งสองข้างทางมีร้านค้าขนาดต่างๆ และในนั้นก็มีของขายครบครัน
ภายในร้านขายวัสดุหลอมอาวุธแห่งหนึ่ง หลังจากหลิ่วหมิงกับเถ้าแก่เสื้อเหลืองเจรจากันเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกมาด้วยสีหน้าอับจนหนทาง
หลายวันมานี้ เขาเดินไปหลายร้านแล้ว
สิ่งที่ให้เขารู้สึกท้อแท้ใจก็คือ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้เบาะแสของตะพาบน้ำหมื่นปีเท่านั้น แม้แต่วัสดุเสริมทั้งสามอย่างก็หาไม่เจอเลย
ด้วยสถานะของเขา หากไหว้วานให้หอร้อยหลอมออกหน้าล่ะก็ จะรวดเร็วมากนัก แต่หากทำเช่นนี้ อาจจะดึงดูดความสนใจของคนจำนวนหนึ่ง พอถึงตอนนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาอีก
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังหมุนตัวเดินไปยังร้านค้าวัสดุอีกแห่งนั้น พลันมีน้ำเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“สหายผู้นี้ โปรดหยุดก่อน”
พอหลิ่วหมิงชะงักฝีเท้าหมุนตัวกลับมา ก็เห็นชายชุดเขียวอายุสามสิบกว่าปียืนอยู่ไม่ไกล และกำลังจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าท่านคือใคร? เรียกข้าไว้มีเรื่องอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกคุ้นตาคนตรงหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ข้าหลูเหยียนผิง วันนี้เห็นสหายตามหาอะไรบางอย่างไปทั่ว ข้าใช้ชีวิตในตลาดมาหลายปี เชื่อว่าคุ้นเคยกับสถานแห่งนี้มากกว่าสหาย คงจะช่วยได้เล็กน้อย และก็เป็นการประหยัดเวลาของท่านด้วย” ชายชุดเขียวหัวเราะเฮ่อๆ! ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจท่าทีเย็นชาของหลิ่วหมิง
“สหายสะกดรอยตามข้า?” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา และความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง
สองวันที่เขาตามหาวัสดุเหล่านี้ เคยพบเจอชายชุดเขียวผู้นี้มาก่อนจริงๆ แต่ว่าเดินเฉียดกันเท่านั้น และไม่เคยพูดคุยด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้จดจำแต่อย่างใด
“สหายโปรดให้อภัย ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่เป็นนายหน้าอยู่ในตลาดแห่งนี้เท่านั้น” พอชายชุดเขียวเห็นหลิ่วหมิงรู้สึกโมโหเล็กน้อย เขาก็รีบปัดมือปฏิเสธ
“นายหน้า?” พอหลิ่วหมิงได้ยินถึงมีสีหน้าผ่อนคลายลง
เขาสังเกตชายชุดเขียวอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที แต่กลับครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
สำหรับนายหน้าเหล่านี้ หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกหน้าแต่อย่างใด เขาก็นับว่าเป็นคนที่เดินตลาดบ่อย จึงรู้มาว่าโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งนายหน้าเป็นสองประเภท คือนายหน้าเปิดเผยกับนายหน้าลับ
นายหน้าเปิดเผยเป็นทำหน้าที่เป็นคนกลางให้กับผู้ฝึกฝนที่มาจากภายนอก เวลาสอบถามข้อมูล ก็เก็บค่าตอบแทนเล็กน้อย
นายหน้าลับ ภายนอกก็ทำเหมือนกับนายหน้าเปิดเผย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสายลับของกลุ่มอิทธิพลจำนวนหนึ่งที่แฝงอยู่ในพื้นที่ นำข้อมูลของผู้ว่าจ้างไปเปิดเผยให้กับคนอื่นๆ
ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้รู้สึกดีกับคนเหล่านี้ และไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน เพราะตัวเขาเองก็ซ่อนความลับไว้มากมาย
แม้จะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นนายหน้าประเภทใด แต่ตอนนี้เขาหาวัสดุมาสองวันแล้ว ก็ยังไม่พบอะไรเลย หากยังหาต่อไปเช่นนี้ อาจจะเสียเวลามากได้ ถ้าร่วมมือกับคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่ บางทีก็น่าจะลองดู
ชายชุดเขียวเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลิ่วหมิง ก็แอบมีความหวังอยู่ในใจ จึงรอคอยอย่างอดทน
“ท่านอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว?” หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง หลิ่วหมิงก็ถามด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“ก็ไม่นับว่านานมาก น่าจะสิบกว่าปีได้” ชายชุดเขียวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เก็บค่าใช้จ่ายอย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า เขาคิดว่าประสบการณ์สิบกว่าปีคงจะคุ้นเคยกับตลาดฉางหยางมาก จึงได้เอ่ยปากถามออกไป
“เฮ่อๆ! อันนี้ต้องดูว่าสหายจะให้ข้าหาสิ่งของอันใดแล้ว หากท่านไม่รีบร้อน ไม่สู้พวกเราหาที่นั่งค่อยๆ คุยกันจะดีกว่าไหม?” ชายขุดเขียวแนะนำ
ไม่นาน ทั้งสองก็นั่งอยู่ในหอสุราเพียวเซียงในตลาด และจิบชาไปพลางพูดคุยไปพลาง
“น้ำหยินโสมม ผลึกปีศาจอีกา และผงวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนเป็นวัสดุที่พบเจอได้น้อยมากจริงๆ ไม่อาจหาได้โดยง่าย” หลูเหยียนผิงฟังข้อเรียกร้องของหลิ่วหมิงแล้ว ก็วางถ้วยชาชง และก้มหน้าเงียบ
“คงเป็นไปไม่ได้ที่สหายหลูจะไม่มีเบาะแสใช่หรือไม่?” ในเมื่อตัดสินใจที่จะร่วมมือกับคนผู้นี้ หลิ่วหมิงกลับสงบขึ้นมา
“วัสดุทั้งสามที่สหายอยากได้นี้ สองอย่างแรกยังพอว่า แม้จะมีน้อยมาก แต่ตามที่ข้าทราบมา ในตลาดฉางหยางคงจะมีของอยู่ แต่ ‘ผงวิญญาณบริสุทธิ์’ นั้น ข้าเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะหาได้” หลูเหยียนผิงยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงกล่าวออกมา
“ส่วนค่าใช้จ่าย ท่านจ่ายสองพันหินจิตวิญญาณต่อวัสดุที่ข้าช่วยท่านซื้อในแต่ละอย่างก็พอแล้ว” หลูเหยียนผิงนึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง และพูดเสริมขึ้นมา
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าตอบตกลง แม้ว่าค่าใช้จ่ายนี้จะไม่เบา แต่หากสามารถหาวัสดุได้อย่างราบรื่น เขาย่อมไม่ขี้เหนียวกับหินจิตวิญญาณแค่ไม่กี่พันก้อน
“ตกลงตามนี้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลย ต้องรอให้ข้าได้วัสดุก่อน ถึงจะจ่ายค่าตอบแทนให้ท่าน” หลิ่วหมิงเอานิ้วเคาะโต๊ะแล้วกล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะพาสหายไปดูน้ำหยินโสมมกับผลึกอีกาดำก่อนเถอะ มีร้านค้าหนึ่งที่น่าจะมีของสองอย่างนี้” ขณะที่พูดหลูเหยียนผิงก็ลุกขึ้นมา
“ข้ายังมีเรื่องอีกอย่างที่อยากไหว้วาน หากสหายหลูช่วยข้าหาโลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีได้ ข้ายอมจ่ายค่าตอบแทนสองเท่า” ขณะที่ชายหนุ่มขุดเขียวเพิ่งจะลุกขึ้น หลิ่วหมิงก็พูดออกมาเบาๆ
ครั้งนี้หลูเหยียนผิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย และไม่ได้รับปากในทันที หลังจากผ่านไปซักพักถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
”โลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีไม่สามารถเทียบกับวัสดุเหล่านั้นได้ นับว่าเป็นของล้ำค่ามหัศจรรย์ ข้าก็ได้แต่ช่วยสหายสอบถามดูก่อนเท่านั้น จะหาเจอหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยโชคแล้วล่ะ”
“ดีมาก! ถ้าอย่างนั้นก็ฝากสหายด้วย” หลิ่วหมิงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ในเรื่องนี้
หลังจากทั้งสองออกจากหอสุราเพียวเซียงแล้ว ก็เข้าไปรวมกับฝูงชนบนท้องถนน
หลิ่วหมิงเดินตามเหยียนหรูผิงไปราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว ก็มาปรากฏตัวในปากตรอกที่ค่อนข้างมืดแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงเดินตามไปอย่างเงียบๆ
หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง หลูเหยียนผิงก็หยุดอยู่ตรงหน้าประตูร้านเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง
ร้านเล็กๆ แห่งนี้ไม่มีแม้แต่ป้ายร้าน ถูกร้านอื่นๆ บริเวณนั้นบีบอัดอยู่ตรงกลาง มีเพียงประตูเล็กๆ ที่กว้างแค่สองฉื่อเท่านั้น และดูโกโรโกโสเป็นอย่างมาก
“วัสดุที่สหายจะซื้อไม่ใช่สิ่งของทั่วไป คาดว่าทั่วทั้งตลาดฉางหยางคงมีแต่สถานที่แห่งนี้เท่านั้น ที่จะหาเจอได้” ชายชุดเขียวอธิบายเสร็จแล้ว ก็เดินไปผลักประตูออกครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วก็เดินตามเข้าไป
พอเขาเดินเข้าไปในประตู และกวาดสายตาดู ก็ค้นพบว่าภายในห้องมีชั้นวางของสองสามอันตั้งอยู่อย่างระเกะระกะ บนนั้นมีโอสถ และอาวุธธรรมดาจำนวนหนึ่งวางอยู่อย่างไม่ใส่ใจ
ผู้อาวุโสผอมแห้งที่มีผมและหนวดเป็นสีเหลืองเล็กน้อย เอนตัวอยู่บนเก้าอี้หลังตู้สินค้า และกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่
ตอนที่ 536 ผู้เฒ่าเกา
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูบนตัวผู้อาวุโสผู้นี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจออกมา
ผู้อาวุโสผอมแห้งผู้นี้รูปร่างหน้าตาก็พื้นๆ แต่กลับเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเหมือนกัน
“ผู้เฒ่าเกา ข้ามาแนะนำการค้าให้ท่านแล้ว” พอหลูเหยียนผิงเดินเข้าประตูมา ก็พูดกระซิบกระซาบเบาๆ ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับเถ้าแก่มาก
เถ้าแก่ผู้นั้นเงยหน้ามองหลูเหยียนผิงด้วยความขี้เกียจ และมองดูหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลัง ดูเหมือนเขาจะมองออกว่าหลิ่วหมิงมีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย ถึงค่อยๆ เก็บสีหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“ที่แท้ก็เจ้าหนูน้อยหลูนั่นเอง แขกที่เจ้าพามาในวันนี้ไม่เลว” ผู้เฒ่าเกาหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วลุกขึ้นมา
“นั่นน่ะสิ! คนธรรมดาไหนเลยข้าจะ……” พอหลูเหยียนผิงได้ยินก็ได้สติขึ้นมา
“สหายผู้นี้ต้องการซื้อสิ่งของอันใดหรือ?” ผู้เฒ่าเกาไม่รอให้หลูเหยียนผิงพูดจบ เขาก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“สหายหลิ่วผู้นี้ต้องการน้ำหยินโสมม ผลึกปีศาจอีกา และผงวิญญาณบริสุทธิ์ ที่นี่มีหรือไม่?” หลิ่วหมิงยังไม่ทันจะเอ่ยปาก หลูเหยียนผิงก็ชิงพูดออกมาก่อน
“น้ำหยินโสมมกับผลึกอีกาปีศาจยังมีเก็บกักไว้จำนวนหนึ่ง แต่ว่าผงวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีแล้ว วัสดุหลอมอาวุธระดับสุดยอดเช่นนี้ มีมูลค่าอย่างต่ำก็หลายแสนหินจิตวิญญาณ ร้านข้าซื้อไม่ไหวหรอก” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งจ้องหลูเหยียนผิงทีหนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
หลูเหยียนผิงได้ยินก็มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และยักไหล่เล็กน้อย เพื่อบ่งบอกว่าช่วยไม่ได้เหมือนกัน
“เถ้าแก่เกานำวัสดุมาให้ดูหน่อยได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ
แม้ใบหน้าของเขาจะไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ถึงจะไม่มีผงวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ซื้อผลึกปีศาจอีกากับน้ำหยินโสมมมาได้ ก็ถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ไม่น้อยแล้ว
ผู้อาวุโสผอมแห้งหมุนตัวเดินเข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไรออกมา เขาพลิกมือหยิบป้ายหยกขึ้นมาโบกไปทางผนัง
มีเสียงแตกหักดังขึ้นมาทันที ทางเข้าขนาดสูงเท่าคนหนึ่งคนปรากฏบนผนัง จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไป
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าร้านเล็กๆ แห่งนี้ จะมีช่องทางอื่นด้วย
และผู้อาวุโสผอมแห้งผู้นี้ไม่ปิดบังทางเข้าห้องลับกับคนภายนอก จักต้องมีที่พึ่งพาอย่างแน่นอน มันคงไม่ง่ายอย่างที่เห็นเช่นนี้
ไม่นานผู้อาวุโสก็เดินออกมา และมีห่อผ้าอยู่ในมือห่อหนึ่ง
“เชิญสหายดูได้เลย” ผู้อาวุโสผอมแห้งโบกมือปิดห้องลับ จากนั้นก็ยื่นห่อผ้าให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงพยักหน้าและเปิดห่อผ้าออกมา เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน ซึ่งเป็นขวดหยกขาวเล็กๆ หนึ่งใบกับกล่องไม้รูปสี่เหลี่ยม
เขาหยิบขวดหยกขึ้นมาก่อน พอดึงจุกออก ไอดำจางๆ ก็ลอยออกจากปากขวด เมื่อมองเข้าไป จะเห็นว่าด้านในเป็นของเหลวสีดำเหนียวข้น มีไอเย็นซึมออกมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปิดจุกไว้เหมือนเดิม และมาเปิดกล่องไม้ออกมาดู ด้านในเป็นผลึกสีม่วงก้อนหนึ่งที่มีขนาดเท่ากำปั้น
“ดี! ข้าเอาทั้งสองอย่างเลย เถ้าแก่เกาเสนอราคามาเถอะ!” หลิ่วหมิงตรวจสอบอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นก็กล่าวด้วยความพอใจ
ผู้อาวุโสผอมแห้งกำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมา แต่หลูเหยียนผิงกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ผู้เฒ่าเกา ข้าว่าสหายหลิ่วเพิ่งมาร้านของท่านเป็นครั้งแรก ท่านอย่าได้เสนอราคามั่วซั่ว”
“เจ้าหนูน้อยหลู ข้ารู้ว่าควรจะทำการค้าอย่างไร เจ้าไม่ต้องมาสอน” ผู้อาวุโสผอมแห้งจ้องชายชุดเขียวอีกที และกล่าวออกมา
“สหายผู้นี้ ผลึกปีศาจอีกานี้ข้าจะไม่พูดแล้ว หนึ่งก้อนหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณ น้ำหยินโสมมนี้ข้าซื้อมาจากที่อื่นในราคาสูง ให้เจ้าหนึ่งแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน จะไม่มีราคาอื่นอย่างเด็ดขาด” ผู้เฒ่าเกากล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย ราคานี้แพงกว่าที่เขารู้มาจากในตลาดเล็กน้อย แต่พอนึกถึงความหายากของมัน ก็คุ้มค่ากับราคานี้อยู่
หลูเหยียนผิงกระแอมไอเบาๆ และเริ่มต่อรองราคากับผู้อาวุโสผอมแห้ง
หลังจากผ่านการต่อรองราคาไปแล้ว ในที่สุดวัสดุทั้งสองก็ถูกขายในราคาสองแสนสี่หมื่นหินจิตวิญญาณ
หลังจากนำวัสดุใส่เข้าไปในยันต์เก็บของแล้ว หลิ่วหมิงก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ยังขาดแค่ผงวิญญาณบริสุทธิ์ โล่เก้ากระดูกของเขาก็เริ่มปรับแต่งชั้นจำกัดที่สามสิบหกได้แล้ว
พอนึกถึงพลังของต้นแบบอาวุธเวท หลิ่วหมิงก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
หลังจากทำการแลกเปลี่ยนเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ไม่รีบออกไปจากร้านทันที
“ข้าว่านะผู้เฒ่าเกา เกี่ยวกับผงวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านไม่มีช่องทางในการหาจริงๆ หรือ?” หลูเหยียนผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะหลอกเจ้าทำไมกัน หากมีของไหนเลยข้าจะไม่เอาออกมาขาย” ผู้อาวุโสผอมแห้งได้ยินก็ทำตามองบน และกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“เฮ่อๆ! ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าอีกสองเดือนให้หลัง จะมีงานประมูลใหญ่ของตลาดหรอกหรือ? ท่านได้ข่าวอะไรมาบ้าง?” หลูเหยียนผิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ไม่มี ทางด้านนี้ไม่ได้มีข่าวอะไรเป็นพิเศษ” ผู้เฒ่าเกาส่ายหน้า พอกล่าวมิงได้ยิน ก็มีประกายตาผิดหวังเล็กน้อย แต่พอนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก็ลองถามดูด้วยความหวัง
“โลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีเทียบกับของในก่อนหน้านั้นไม่ได้ อย่าว่าที่นี่ไม่มีเลย ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน” ผู้เฒ่าเกามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวออกมา
แม้หลิ่วหมิงจะรู้คำตอบตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ทั้งสองกล่าวลาผู้อาวุโสแล้ว ก็ออกไปจากร้านเล็กๆ แห่งนี้ในทันที ไม่นานก็กลับมาที่หอสุราเพียวเซียงอีกครั้ง
“ในตลาดฉางหยางแห่งนี้ หากพูดถึงวัสดุหลอมอาวุธ ผู้เฒ่าเกามีช่องทางมากที่สุด แต่ในเมื่อที่นั่นยังไม่สามารถหาซื้อผงวิญญาณบริสุทธิ์ที่สหายต้องการได้ คาดว่าร้านอื่นๆ ก็คงเป็นเหมือนกัน” หลูเหยียนผิงหยิบถุงที่หลิ่วหมิงยื่นมาให้ และใช้จิตกวาดดูทีหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“สหายหลูทำเต็มความสามารถก็พอ หากสุดท้ายยังหาไม่ได้ ก็ไม่ต้องดึงดัน” หลิ่วหมิงยิ้มออกมาเล็กน้อย
“อืม! ข้าจะไปสอบถามคนอื่นๆ ดู อีกสองวันให้หลังจะต้องให้คำตอบสหายอย่างแน่นอน” หลังจากหลูเหยียนผิงคิดไตร่ตรองแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างจริงจัง
หลิ่วหมิงนัดหมายเวลาพบกันครั้งถัดไป จากนั้นก็ไปจากหอสุราอย่างรวดเร็ว
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงมาถึงหอสุราเพียวเซียงตรงเวลาที่นัดหมาย และในสถานที่แห่งเดียวกัน หลูเหยียนผิงก็นั่งคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา ที่โต๊ะตัวนั้นนอกจากจะมีหลูเหยียนผิงแล้ว ยังมีผู้ฝึกฝนวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนอีกคน กำลังมองมาด้วยความงงงัน
“สหายหลิ่วมาแล้ว ตรงเวลาจริงๆ” พอหลูเหยียนผิงเห็นหลิ่วหมิง ก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ให้พี่หลูรอนานแล้ว สหายขู่ซินก็อยู่ด้วย ช่างบังเอิญเสียจริง” หลิ่วหมิงหันไปพยักหน้าให้นักพรตวัยกลางคนโดยที่ไม่รอให้หลูเหยียนผิงพูดอะไรออกมา
“สหายหลิ่ว ไม่เจอกันนาน” นักพรตวัยกลางคนรีบลุกขึ้นมาประสานมือคารวะ
“ทั้งสองรู้จักกันด้วยหรือ?” ครั้งนี้ถึงตาหลูเหยียนผิงที่ต้องรู้สึกตะลึงแล้ว
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย
เขากับชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่คนคุ้นเคยแต่อย่างใด เพียงแค่เจอหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้น
เรื่องมันเมื่อสองเดือนก่อนมาแล้ว ผู้ฝึกฝนวัยกลางคนกับผู้ฝึกฝนเผ่าค้างคาวถูกใจอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งเหมือนกัน จึงก่อให้เกิดการถกเถียงกันขึ้น เถ้าแก่เย่จึงเชิญหลิ่วหมิงมาออกหน้า หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้ว จึงได้ขายอาวุธจิตวิญญาณให้คนผู้นี้
พอขู่ซินพูดถึงการพบเจอของพวกเขาทั้งสอง ย่อมพูดถึงสถานะศิษย์ประจำการของหลิ่วหมิงออกมาด้วย
“ที่แท้สหายหลิ่วก็เป็นศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ ข้าเสียมารยาทแล้ว” พอหลูเหยียนผิงได้ยินสถานะของหลิ่วหมิง เขาก็รู้สึกตกใจมาก และรีบประสานมือคารวะทันที
นิกายยอดบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในนิกายใหญ่ของมนุษย์ ได้รับความเคารพเลื่อมใสในแผ่นดินจงเทียนเป็นอย่างมาก ต่อให้จะเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไปสามารถเทียบได้
“สหายหลูเกรงเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงคารวะกลับ และกล่าวอย่างราบเรียบ
หลังจากพูดจาเป็นพิธีรีตองกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็นั่งลงพูดเรื่องงานหลักกัน
“สหายหลู ไม่ทราบว่ามีเบาะแสเรื่องวัสดุหรือยัง?” หลิ่วหมิงถามออกมาตามตรง
“สองวันมานี้ ข้าได้ไปสอบถามจากสหายมาไม่น้อย จึงได้ข้อมูลมาจำนวนหนึ่ง จะว่าไปแล้วที่มาของข้อมูลนี้ก็มาจากสหายขู่ ดังนั้นวันนี้จึงได้เชิญเขามาพบกับสหายหลิ่วด้วย คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะรู้จักกัน” หลูเหยียนผิงพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเองก็ฟังมาจากข่าวลือเท่านั้น คิดว่าสหายหลิ่วก็คงจะรู้ งานประมูลใหญ่ของตลาดฉางหยางที่หนึ่งปีมีครั้งนั้น อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะจัดขึ้นแล้ว” ขู่ซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ผิด! ข้าได้ยินมาจริงๆ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ เรือนร้อยหลอมเป็นเขตอิทธิพลของนิกายยอดบริสุทธิ์ เขาย่อมรู้ข่าวเกี่ยวกับงานประมูลใหญ่ดี
“งานประมูลใหญ่ในครั้งนี้มีขนาดใหญ่โตเป็นประวัติการณ์ ผู้ดำเนินการประมูลเป็นร้านค้าตาข่ายสวรรค์ ที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของหอการค้าเชียนเหมิง สิ่งของที่ประมูลเป็นของล้ำค่าจำนวนมาก ตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ผงวิญญาณบริสุทธิ์ที่สหายอยากได้ ก็มีปรากฏในงานประมูลด้วยขวดหนึ่ง” ขู่ซินหยุดไปครู่หนึ่งแล้วก็เล่าต่อ
“ท่านพูดจริงหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น
“แหล่งที่มาของข้อมูลของพี่ขู่เชื่อถือได้เป็นอย่างมาก พี่หลิ่ววางใจได้เลย แต่ว่าโลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีที่พี่หลิ่วอยากได้ ข้าได้ถามสหายไปจำนวนมาก แต่ยังไม่อาจหาได้ ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง!” หลูเหยียนผิงกล่าวออกมา
“เกี่ยวกับงานประมูลใหญ่ในครั้งนี้ มีข่าวลือว่าลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ก็มีสิบกว่าชิ้นแล้ว โอสถและของล้ำค่าอื่นๆ ยิ่งมีมากกว่า แม้กระทั่งยังได้ยินมาว่ารายการประมูลรั้งท้ายเป็นต้นแบบอาวุธเวท นั่นเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ต่างก็จ้องกันตาเป็นมัน” ขู่ซินทำเสียงจุ๊ๆ และกล่าวชมเชยออกมา
“ต้นแบบอาวุธเวท!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ไม่ใช่ว่ามีหินจิตวิญญาณก็สามารถซื้อได้
“ตามกฎในปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกฝนในนิกายใหญ่ที่มาประจำการในตลาดอย่างพี่หลิ่ว จะต้องได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมงานประมูล แม้ผงวิญญาณบริสุทธิ์จะล้ำค่ามาก แต่ในงานประมูลนี้ก็เป็นแค่สมบัติธรรมดา ใช้หินจิตวิญญาณมากหน่อย เชื่อว่าคงจะประมูลมาได้อย่างง่ายดาย” หลูเหยียนผิงเอามือลูบๆ จมูกแล้วกล่าวด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ และวางแผนไว้ในใจ
แม้ในมือเขาจะมีหนึ่งล้านกว่าหินจิตวิญญาณ เทียบกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจำนวนมากแล้ว นับว่ามีสมบัติน่าตกใจมาก แต่หากเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ของหอการค้าเชียนเหมิง ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอ
ด้วยอิทธิพลของตลาดฉางหยางในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง ไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ต่อให้มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ปรากฏออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
และสำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวแล้ว หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณอาจจะเป็นหินจิตวิญญาณจำนวนมหาศาล แต่สำหรับผู้ฝึกฝนระดับผลึกแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเช่นนั้น
ตอนที่ 537 ผลผลึกเขียวพันปี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตามที่หลิ่วหมิงเข้าใจ สมบัติอย่างพวกต้นแบบอาวุธเวทนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีราคาประมูลขั้นต่ำสองสามล้านหินจิตวิญญาณ
แม้เขาจะไม่ได้มุ่งหวังสิ่งนี้ แต่หากมีสมบัติล้ำค่าอย่างอื่น ก็ไม่อยากพลาดโอกาสอันดีไป
เพราะขนาดของงานประมูลในครั้งนี้ ไม่ได้สิ่งที่สามารถพบเจอได้บ่อย
หากจะหาหินจิตวิญญาณจำนวนมากภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่า วิธีการเดียวก็คือต้องหลอมโอสถผลึกเย็นระดับสูงให้มาก ซึ่งแต่ละเม็ดมีมูลค่าหลายแสนหินจิตวิญญาณ แม้ว่าจะไม่สามารถขายออกไปในได้ช่วงเวลานี้ แต่คิดว่าคงเป็นหลักค้ำประกันได้ไม่น้อย หรือไม่ก็ใช้สิ่งของแลกสิ่งของจำนวนหนึ่งที่เขาต้องการได้
หลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจ หลังจากสอบถามรายละเอียดของการประมูลอย่างละเอียดแล้วก็ลาจากไป
เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไปเรือนร้อยหลอม แต่กลับปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำคนหนึ่ง
ขณะนี้ ในมือเขามีวัตถุดิบเสริมไม่น้อยแล้ว แต่วัตถุดิบหลักอย่างผลผลึกเขียวกลับไม่มีเลย
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็นำโอสถระดับสูงเหล่านั้น ไปหาร้านโอสถที่มนุษย์เผ่าค้างคาวเปิดขึ้นมา
พอเขาเหยียบเข้าไปในร้าน ชายเผ่าค้างคาวก็เดินออกมาต้อนรับจากหลังตู้บางแห่งด้วยความดีใจ
“พวกเราขึ้นไปคุยกันด้านบนเถอะ!” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก เถ้าแก่มนุษย์เผ่าค้างคาวผู้นี้ก็เชิญหลิ่งหมิงขึ้นด้านบนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย แต่ก็เดินขึ้นหอโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนที่เหมือนกำลังจัดการกับวัตถุดิบในร้านอยู่ ก็เงยหน้ามองชายฉกรรจ์ที่หลิ่วหมิงปลอมตัวมาทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้ายุ่งกับงานที่อยู่ในมือต่อ
ผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา ห้องลับบนชั้นสามที่ค่อนข้างหรูหราห้องหนึ่ง
ชายชุดดำกำลังจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าลำบากใจ และบนโต๊ะก็มีกล่องหยกที่เปล่งแสงสีเขียววางอยู่ ในกล่องหยกเป็นโอสถผลึกเย็นระดับธรรมดาสิบกว่าเม็ดที่หลิ่วหมิงปรุงขึ้นมาในช่วงนี้
“สหายเย่ แม้โอสถผลึกเย็นสิบกว่าเม็ดนี้จะเทียบกับผลผลึกเขียวพันปีลูกหนึ่งได้ แต่ทางเผ่าได้เตรียมผลผลึกเขียวที่เก็บเอาไว้ไปประมูล ข้าน้อยจึงไม่อาจตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ ขอสหายโปรดให้อภัย!” เถ้าแก่ร้านเผ่าค้างคาวค่อยๆ ผลักกล่องคืนให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากลูบคางแล้ว ก็เผยสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“แต่หากสหายนำโอสถระดับพสุธาขึ้นไปออกมาแลก บางทีอาจจะเปลี่ยนความคิดของเผ่าได้ ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่อยู่เบื้องหลังของสหาย สามารถปรุงโอสถธรรมดาออกมาได้มากมายเช่นนี้ คิดว่าคงจะมีโอสถระดับพสุธาขึ้นไปออกจากเตาด้วยใช่หรือไม่?” เถ้าแก่เผ่าค้างคาวพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และพูดหยั่งเชิงดูเบาๆ
หลิ่วหมิงไม่ตอบคำถามของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับยกชาขึ้นมาจิบและเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง
ชายเผ่าค้างคาวก็รอคอยด้วยความตื่นเต้น
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะตัดสินใจได้ หลังจากอุทานออกมาเบาๆ แล้ว ก็หยิบหล่องหยกสีขาวหิมะอีกใบออกจากแขนเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะ
หลังจากใช้แขนเสื้อสัมผัสเบาๆ กล่องหยกก็ค่อยๆ เปิดออกมา พอไอเย็นม้วนตัวขึ้น แสงสีเขียวก็เปล่งประกายตามมา
โอสถสีเขียวที่มีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอย่างชัดเจนถูกวางอยู่ในกล่อง
“โอสถพสุธา!”
เถ้าแก่เผ่าค้างคาวหลุดปากด้วยความตกใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก
“ขอสหายเย่รอสักครู่ ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้ให้กับเผ่า”
พอกล่าวจบ เถ้าแก่เผ่าค้างคาวก็โบกมือข้างหนึ่ง จากนั้นแผ่นค่ายกลแปลกประหลาดที่มีขนาดชุ่นกว่าๆ ก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศแล้ว ก็ขยายใหญ่ฉื่อกว่าๆ ก่อนตกลงบนมือ
จากนั้นชายผู้นี้ก็ร่ายคาถาออกมา พอทำท่ามือ อักขระเล็กๆ แถวหนึ่งก็จมหายไปในแผ่นค่ายกล ครู่ต่อมา เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งอีกครั้ง
แผ่นค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ จากนั้นก็ลดขนาดเหลือชุ่นกว่าๆ ก่อนพุ่งกลับเข้าไปแขนเสื้อ
“สหาย ทางเผ่าได้รับรายงานจากข้าแล้ว และจะส่งคนมาโดยเร็ว ขอสหายรอซักพัก”
หลิ่วหมิงพยักหน้าและเก็บกล่องหยกเข้าไป จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง และนั่งสมาธิด้วยสีหน้าสงบ
ผ่านไปไม่นาน หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดดำ มีผ้าสีดำปิดหน้าก็เดินขึ้นมาด้านบน และผลักประตูออกเบาๆ
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูเล็กน้อย ก็รู้สึกว่ากลิ่นไอของนางผู้นี้ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างน้อยคงอยู่ที่ระดับผลึก
“คิดว่าท่านนี้คงเป็นสหายเย่สินะ ข้ามาช้าไปหน่อย ทำให้สหายต้องรอนานแล้ว” หญิงวัยกลางคนหัวเราะทีหนึ่ง และคารวะหลิ่วหมิง
“มิกล้า! ไม่ทราบฮูหยินคือ……” หลิ่วหมิงรีบลุกขึ้นมาประสานมือคารวะ และตอบกลับไปอย่างไม่รอรี
“สหายไม่ต้องเกรงใจ ได้ยินเถ้าแก่บอกว่าสหายอยากใช้โอสถพสุธาแลกกับผลผลึกเขียวพันปี ข้าเป็นฮูหยินของหัวหน้าเผ่า จึงสามารถตัดสินใจในเรื่องนี้ได้บ้าง สหายนำโอสถพสุธาออกมาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?” หญิงชุดดำหัวเราะเบาๆ ขณะเดียวกันก็หันไปกระซิบกับชายวัยกลางคนสองสามประโยค
ชายวัยกลางคนรีบโค้งตัว และถอยออกไปจากห้องรับรอง
หลิ่วหมิงมองดูหญิงชุดดำตรงหน้าทีหนึ่ง หลังจากคิดๆ ดูแล้ว ก็นำกล่องหยกสีขาวหิมะออกมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง พอตบมันเบาๆ ฝากล่องก็เปิดออกมา
กลิ่นหอมเข้มข้นของโอสถแผ่กระจายออกมา
หญิงชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็งอปลายนิ้วเรียวยาวนิ้วหนึ่ง จากนั้นโอสถสีเขียวในกล่องหยกก็พุ่งขึ้น และค่อยๆ หล่นลงในมือที่สวยราวกับหยก
หลังจากที่นางหรี่ตามองโอสถตรงหน้าอยู่นาน ก็พยักหน้าด้วยความดีใจ และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“สหายเย่ โอสถระดับพสุธาเม็ดนี้พอที่จะแลกผลผลึกเขียวพันปีได้ลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่าสหายจะแลกเท่าใด หากมีสามเม็ดขึ้นไป ร้านเรายอมเพิ่มหินจิตวิญญาณให้สหายด้วย”
หลิ่วหมิงใช้นิ้วเคาะโต๊ะตรงหน้าเบาๆ สีหน้าของเขายังคงเป็นปกติ แต่ในใจกลับวิเคราะห์ถึงข้อดีและข้อเสียอย่างรวดเร็ว
“สหายเย่วางใจได้เลย เผ่าค้างคาวเรารักษาสัจจะมาโดยตลอด ข้ารับรองว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนใดๆ ให้สหายอย่างแน่นอน” ดูเหมือนหญิงชุดดำจะเห็นท่าทีลังเลของหลิ่วหมิง นางจึงเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“ในเมื่อฮูหยินกล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไป ในมือข้ามีโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาอยู่ห้าเม็ด อยากจะแลกผลผลึกเขียวพันปีจำนวนหนึ่ง หากแลกหินจิตวิญญาณได้จำนวนหนึ่งก็ได้” พอหลิ่วหมิงฟังจบดวงตาก็เป็นประกาย ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจยาวๆ และกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็หยิบกล่องหยกที่มีรูปร่างเหมือนกันออกมาอีกสองใบ และวางไว้บนโต๊ะไม้ตรงหน้าหญิงวัยกลางคน
“ห้าเม็ด!” ดวงตาของหญิงชุดดำเต็มไปด้วยความดีใจ
แม้นางจะคาดเดาได้ว่าในมือหลิ่วหมิงคงไม่ได้มีโอสถพสุธาแค่เม็ดเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีมากเช่นนี้ อย่างที่รู้ว่าต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ก็มีโอกาสในการปรุงโอสถระดับนี้สำเร็จน้อยมาก โดยเฉพาะโอสถผลึกเย็นยิ่งยากยิ่งกว่า
หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดฝากล่องหยกทั้งสอง ภายในกล่องหยกแต่ละใบมีโอสถผลึกเย็นวางอยู่สองเม็ด
พอหญิงวัยกลางคนกวักมือ กล่องหยกใบหนึ่งก็ค่อยๆ ตกลงบนมือของนางอย่างมั่นคง จากนั้นก็ทำการตรวจสอบโอสถพสุธาเหล่านี้อย่างละเอียด
“สหายเย่โปรดรอสักครู่!” หลังจากหญิงชุดดำตรวจสอบโอสถพสุธาในกล่องหยกทั้งสองใบเสร็จ และมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว นางก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง หลังจากพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้ว ก็เดินไปกระซิบกับเถ้าแก่ที่รออยู่นอกประตู
ชายเผ่าค้างคาวได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับอย่างนอบน้อม และเดินลงหอไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าได้สั่งคนไปเอาผลผลึกเขียวพันปีแล้ว ท่านคิดว่าผลผลึกเขียวพันปีขึ้นไปห้าลูก บวกกับหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณเป็นอย่างไรบ้าง?” หญิงชุดดำกลับเข้ามาในห้องรับรอง และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ!
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก แม้จะเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการผูกมิตรกับตน แต่หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณมันช่างเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
แน่นอน! ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมให้ เขาย่อมรับปากอย่างไม่เกรงใจ หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งเค่อ เถ้าแก่เผ่าค้างคาวก็ผลักประตูเข้ามา มือข้างหนึ่งประคองกล่องไม้ใบหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือถุงที่ใส่หินจิตวิญญาณ
“สหายเย่! นี่คือผลผลึกเขียวพันปีขึ้นไปห้าลูกกับหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ เชิญท่านนับดู” พอหญิงชุดดำยกแขนขึ้น กล่องไม้กับถุงผ้าในมือชายวัยกลางคนก็ลอยขึ้นมา และค่อยๆ หล่นลงตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างมั่นคง
หลิ่วหมิงหยิบถุงผ้าขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ หลังจากใช้จิตกวาดดูแล้ว ก็พยักหน้าและเก็บมันเข้าไป จากนั้นก็เปิดกล่องไม้สำรวจดูผลผลึกเขียวที่อยู่ด้านใน
พอเขาเปิดกล่องไม้ออกมา กลิ่นหอมจรุงใจที่ซึมซ่านไปทั่วหัวใจและม้ามก็โชยออกมา มีผลสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่ในนั้นห้าลูก
หลิ่วหมิงใช้นิ้วสามนิ้วหยิบผลผลึกเขียวลูกหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวัง และตรวจสอบดูอย่างละเอียด
ผลผลึกเขียวพันปีนี้แตกต่างจากผลผลึกเขียวห้าร้อยปีไม่มาก แต่ลวดลายจิตวิญญาณบนพื้นผิวกลับชัดเจนกว่ามาก ทั้งยังไม่เหมือนกับผลผลึกเขียวอายุสองสามร้อยปี และยังมีไอเย็นชุ่มชื้นแผ่ออกมาเป็นระยะๆ
ตามที่บรรทึกไว้ในคัมภีร์ ไอเย็นชุ่มชื้นเหล่านี้ มีแต่ผลผลึกเขียวพันปีขึ้นเท่านั้นที่สามารถแผ่ออกมาได้ และเห็นได้ชัดว่าไอเย็นชุ่มชื้นของผลผลึกเขียวหนึ่งในนั้น เหนือกว่าลูกอื่นเล็กน้อย จากการคาดเดาของหลิ่วหมิง มันคงมีอายุราวๆ หนึ่งพันสามร้อยปีแล้ว
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมาทันที
“ไม่เลว! เป็นผลผลึกเขียวพันปีขึ้นไปจริงๆ ด้วย” หลิ่วหมิงชมเชยด้วยสีหน้าพอใจ
“สหายเย่พอใจก็ดีแล้ว หากภายหลังยังมีผลผลึกเขียวจำนวนมากอีกล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นระดับใด เผ่าค้างคาวเราก็ยินดีจะรับซื้อทั้งหมด และจะเสนอผลผลึกเขียวอายุต่างๆ ให้ หากสหายมีสิ่งใดที่ต้องการล่ะก็ พวกเรายินดีช่วยท่านรวบรวมวัตถุดิบเสริม รวมถึงวัสดุอื่นๆ และข้ารับรองว่าจะไม่แพร่งพรายข้อมูลของสหายเลยแม้แต่น้อย ส่วนสถานที่แลกเปลี่ยนนั้น หากสหายไว้ใจก็ใช้ร้านแห่งนี้ แต่หากสหายมีความกังวลใจล่ะก็ สามารถเลือกสถานที่อื่นได้ตลอดเวลา” หญิงชุดดำกล่าวด้วยท่าทีที่ดูนอบน้อมและจริงใจเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้ให้ข้าคิดดูก่อน” หลิ่วหมิงใจเต้นเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็สามารถลดปัญหาไปได้ไม่น้อย แต่เขาก็ยังกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
ตอนที่ 538 ลายโอสถหกเส้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากนั้นเขาก็เก็บผลผลึกเขียวทั้งหมดเข้าไป และกล่าวลาหญิงชุดดำกับเถ้าแก่เผ่าค้างคาว
……
หลังจากเถ้าแก่เผ่าค้างคาวผู้นั้นไปส่งหลิ่วหมิงแล้ว ก็กลับขึ้นมาบนหอชั้นสาม และประสานมือคารวะหญิงชุดดำด้วยสีหน้าดีใจ
“ฮูหยิน ยินดีด้วย! มีโอสถเหล่านี้แล้ว การทะลวงคอขวดระดับผลึกของนายน้อย ก็มีความหวังขึ้นมามากแล้ว”
หญิงชุดดำได้ยินก็พยักหน้าด้วยความดีใจ ขณะนี้ มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งก็คือชายวัยกลางคนที่จัดวัตถุดิบโอสถอยู่ในหอนั่นเอง
“วิชาดวงตาของเจ้า สามารถมองออกได้ว่าคนผู้นี้ใช้วิชาแปลงร่างหรือไม่?” หญิงชุดดำกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เรียนฮูหยินกง ข้าใช้วิชาดวงตาโลหิตสังเกตดูแล้ว คนผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาบางอย่างในการเปลี่ยนแปลงกระดูก คิดว่าใบหน้าในตอนนี้ก็คงไม่ใช่ใบหน้าเดิมของเขา นอกจากนี้ ความจริงแล้วคนผู้นี้มีอายุไม่มาก การฝึกฝนก็อยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายจริงๆ” ชายวัยกลางคนโค้งคารวะ และกล่าวอย่างนอบน้อม
“ทำไมหรือ? ฮูหยินรู้สึกว่าคนผู้นี้มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?” เถ้าแก่ชุดดำถาม
“ข้ารู้สึกสงสัยเล็กน้อย หากคนผู้นี้เป็นลูกน้องหรือศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านหนึ่งล่ะก็ ตามหลักแล้วจะไม่พกโอสถระดับพสุธาติดตัวเป็นจำนวนมากเช่นนี้ อีกอย่าง การที่เขาสามารถตัดสินใจแลกโอสถอย่างง่ายดาย มันก็ทำให้น่าสงสัยแล้ว แต่เขาอายุน้อยเช่นนี้ มันดูไม่ค่อยเหมือนไปหน่อย ช่างเถอะ! ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถหรือไม่ก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้เช่นนี้ ส่วนมากเป็นผู้ฝึกฝนอิสระที่ไม่อยากผูกมัดกับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ มิเช่นนั้นคงไม่ระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในตลาดจับจ้องเขา เขาก็หยุดขายโอสถในทันที” หญิงชุดดำคิดไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“ฮูหยินกล่าวได้มีเหตุผล แต่หากคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนอิสระจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเผ่าค้างคาวเรา เผ่าเราชำนาญการปลูกผลผลึกเขียว แต่ในเผ่ากลับไม่มีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถขั้นสูง และโอสถเพิ่มพูนพลังเวทอย่างโอสถผลึกเย็นกลับมีความต้องการเป็นอย่างมาก” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมา
“หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เผ่าเราจะต้องตีสนิทเขาให้มาก การค้าในปกติก็ให้ผลประโยชน์เขามากหน่อย หากเราสามารถใช้งานคนผู้นี้ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องโอสถอีก และหากในมือเขายังมีโอสถพสุธาล่ะก็ ไม่แน่เผ่าเราอาจจะมีระดับผลึกเกิดขึ้นอีกหลายคน” หญิงชุดดำพยักหน้า และหันไปกำชับเถ้าแก่ชุดดำ
“ข้าน้อยรับทราบ ฮูหยินวางใจได้” เถ้าแก่ชุดดำรีบตอบรับอย่างนอบน้อม
……
บนถนนมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของตลาด หลิ่วหมิงที่ปลอมเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำ ดูเหมือนจะเดินแทรกตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างไร้จุดหมาย
การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เขาได้รับผลประโยชน์มามาก นอกจากผลผลึกเขียวพันปีห้าลูกแล้ว หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณก็ช่วยแก้ปัญหาจวนตัวในการเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ในครั้งนี้ได้
หลังจากกลับมาหอร้อยหลอม เขาก็กำชับให้เถ้าแก่เย่ดูแลร้านให้ดี จากนี้ไปเขาจะกักตัวฝึกฝนครึ่งเดือน หากมีเรื่องเร่งด่วนก็ให้บอกเขาผ่านแผ่นค่ายกล
หลังจากพูดกำชับเสร็จ เขาก็เข้าไปในห้องลับบนชั้นสาม และนั่งขัดสมาธิลงไป
……
สิบวันต่อมา
ภายในห้องลับ
หลิ่วหมิงจ้องมองผลผลึกเขียวที่เปล่งประกายอยู่บนมือ มันคือผลผลึกเขียวที่มีอายุหนึ่งพันสามร้อยปีนั่นเอง
และในกล่องหยกที่อยู่ข้างเขา ก็มีโอสถธรรมดาวางอยู่สิบสองเม็ด และโอสถพสุธาแปดเม็ด เจ็ดเม็ดในนั้นมีลายโอสถสี่เส้น อีกเม็ดมีไอเย็นลอยวนอยู่ ซึ่งมันคือโอสถพสุธาที่มีลายโอสถห้าเส้น
หลายวันก่อน เขาได้นำผลผลึกเขียวทั้งสี่มาปรุงจนหมด และรับรู้ได้ลางๆ ว่าดูเหมือนวิชาปรุงโอสถของเขาจะก้าวหน้าไปอีกเล็กน้อย
“โอสถที่ปรุงขึ้นจากผลผลึกเขียวพันปีเหล่านี้ ล้วนเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมด ไม่รู้ว่าผลผลึกเขียวหนึ่งพันสามร้อยปีลูกนี้ จะปรุงโอสถระดับที่สูงยิ่งกว่าได้หรือไม่?” ดวงตาหลิ่วหมิงดูเร่าร้อนขึ้นมา และพูดพึมพำอย่างอดไม่ได้
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ลังเล และปล่อยพลังออกไป พอมีเสียงดัง “โครมคราม!” เตาหลอมสีเงินตรงหน้าก็สั่นสะท้าน และฝาของมันก็ค่อยๆ เปิดออกมา
เขาโยนมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศเบาๆ จากนั้นผลผลึกเขียวที่มีแสงเปล่งประกาย ก็พุ่งออกไป และหล่นลงในเตาหลอม
พอเขาตบพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง ลมเย็นสบายก็พัดขึ้นจากพื้น และวัตถุดิบเสริมหลายอย่างก็ค่อยๆ ถูกม้วนเข้าไปในเตาหลอม
พอเขาโบกแขนเสื้อ ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง
จากนั้นนิ้วมือทั้งสิบก็เคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ขณะเดียวก็ร่ายคาถาออกมา อักขระสีเงินบนเตาหลอมค่อยๆ เปล่งประกาย ทันใดนั้นเปลวไฟสีแดงก็ลุกโชนขึ้นมาจากด้านล่างเตาหลอม
……
สามวันต่อมา เตาหลอมสีเงินลอยอยู่กลางอากาศ ขณะเดียวก็ถูกเปลวไฟสีแดงห่อหุ้มส่วนล่างไว้
หลิ่วหมิงเดินวนรอบๆ เตาหลอมเป็นระยะๆ และปล่อยพลังใส่ตลอดเวลา เพื่อรักษอุณหภูมิของเปลวไฟ ขณะเดียวกันก็มีสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
การใช้ผลผลึกเขียวที่มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ใช้ในการปรุงโอสถก็นานขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้วยระดับประสบการณ์ของหลิ่วหมิง ผลผลึกเขียวสองร้อยปีลงมา ใช้เวลาครึ่งวันก็ปรุงออกมาได้หนึ่งเตา ห้าร้อยปีก็ใช้เวลาหนึ่งวัน และหนึ่งพันปีขึ้นไปใช้เวลาประมาณสองวัน
ส่วนผลผลึกเขียวอายุหนึ่งพันสามร้อยปีนี้ ใช้เวลาปรุงมาเกือบสามวันแล้ว แต่โอสถก็ยังไม่ออกจากเตา สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงหงุดหงิดเล็กน้อย ขณะเดียวก็รู้สึกรอคอยด้วย
ทันใดนั้น ก็มีไอเย็นสะท้านแผ่ออกมาจากในห้องลับ และรวมตัวกันภายในช่องว่างของห้องลับโดยฉับพลัน จากนั้นก็กลายเป็นหมอกเมฆสีขาวเทาลอยอยู่เหนือเตาหลอมสีเงิน
และเตาหลอมก็ส่งเสียงดังออกมาเบาๆ
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าไอเย็นซึมเข้าไปในร่าง พริบตาเดียวก็กระตุ้นพลังเวทในร่างขับไล่ไอเย็นนี้จนสลายไป
ครู่ต่อมา ก้อนเมฆสีขาวเทาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และค่อยๆ จมเข้าไปในเตาหลอม ขณะเดียวกันเปลวไฟสีแดงด้านล่างเตาหลอมก็หายไป
“ตู๊ม!”
ราวกับว่ามีเสียงระเบิดในเตาหลอม ไอเย็นสะท้านม้วนตัวออกไปทั่วทิศ
ปรากฎการณ์เช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงที่อยู่อีกด้านรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็เขม้นมองไปโดยไม่กระพริบตา
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ไอเย็นยะเยือกก็ค่อยๆ สลายไปจนหมดสิ้น ทุกอย่างในห้องลับกลับมาเป็นปกติ
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา พอโบกแขนเสื้อฝาเตาหลอมก็เปิดออก
“ฟู่!”
แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งขึ้นด้านบน เผยให้เห็นโอสถผลึกเย็นอยู่ในเตาหลอมห้าเม็ด
เมื่อมองดูอย่างละเอียด หนึ่งในนั้นเป็นโอสถธรรมดาที่มีลายโอสถแค่สามเส้นเท่านั้น อีกสองเม็ดมีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอย่างชัดเจน อีกเม็ดถูกไอเย็นลอยวนอยู่ มองเห็นได้ลางๆ ว่ามีลายโอสถจางๆ ปรากฏอยู่ห้าเส้น และเม็ดที่อยู่ตรงมุมกลับถูกหมอกสีขาวห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา ไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีลายโอสถกี่เส้น
ทันทีที่เขาโบกมือ โอสถทั้งห้าก็ลอยออกจากเตาหลอม และหล่นลงบนมือของเขา หลังจากใส่เข้าไปในกล่องหยกสี่เม็ดแล้ว เขาก็สังเกตดูเม็ดสุดท้ายอย่างละเอียด
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ไอดำสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้ว และค่อยๆ ขับไล่หมอกขาวบนผิวโอสถอย่างระมัดระวัง ดวงตาทั้งคู่หรี่ลง และสังเกตดูมันอย่างละเอียด
ครู่ต่อมา ใบหน้ารอคอยของเขาก็เปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมา สุดท้ายก็หัวเราะเป็นการใหญ่
“ลายโอสถหกเส้น มีลายโอสถหกเส้นจริงๆ ด้วย นี่เกือบจะเข้าสู่โอสถระดับสวรรค์แล้ว!”
มือข้างหนึ่งของเขาประคองโอสถพสุธาที่มีลายโอสถหกเส้นขึ้นมาด้วยความดีใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คิดว่าคงเกิดจากโอสถเม็ดนี้
เขานำโอสถเม็ดนี้แยกใส่ในกล่องหยกสีเทาที่เย็นสะท้าน และเก็บเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนอย่างระมัดระวัง จากนั้นถึงนั่งสมาธิหลับตาพักผ่อน
……
ภายในห้องรับรองในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณเรือนร้อยหลอม ชายหนุ่มชุดเขียวหน้าตาชั่วช้า อายุราวๆ ยี่สิบสามปี กำลังโอบกอดหญิงงดงามสองนางอยู่
พอรับรู้ได้ถึงคลื่นสะสั่นเทือนเบาๆ กับไอเย็นสะท้านจางๆ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากนั้นก็มองไปยังร้านหลอมอาวุธที่อยู่นอกหน้าต่าง
“คุณชาย เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หญิงสาวรูปร่างงดงามผู้หนึ่งที่มีปิ่นปักผมสีทองอยู่บนศีรษะ กำลังเอามือข้างหนึ่งวางอยู่บนหน้าอกของชายหนุ่ม และถามออกมา
“ไม่มีอะไร แค่มีนกยูงสีเขียวบินผ่านตรงขอบฟ้าตัวหนึ่งเท่านั้น” ชายหนุ่มชุดเขียวละสายตากลับมาแล้วยิ้มมุมปาก
“คุณชาย มีนกยูงที่ไหนกัน ทำไมข้าน้อยถึงมองไม่เห็น” หญิงสาวสวมชุดเย้ายวนอิงแอบแนบชิดชายหนุ่ม และกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล
“อยู่นี่ไง!” พอชายหนุ่มชุดเขียวทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ไอหมอกสีเขียวก็พวยพุ่งออกจากตัว และก่อตัวเป็นนกยูงสีเขียวอยู่ตรงหน้าเขา
มีเสียงหยอกล้อกันคิกคักดังออกมาจากห้องรับรองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ด้านนอกห้องรับรอง ชายฉกรรจ์ที่สูงจั้งกว่าๆ กำลังยืนเอามือกอดอกนิ่งๆ ราวกับเป็นเจดีย์เหล็ก และดูเหมือนจะไม่สนใจเสียงหยอกล้อที่อยู่ด้านใน
……
ณ เรือนโอสถเฮ่าหราน
ภายในห้องที่ถูกหมอกควันสีขาวสลัวๆ ปกคลุมไปทั่ว และมีไอเย็นสะท้านพุ่งออกมาเป็นระยะๆ
“ใครกันที่ทำให้ปราณจิตวิญญาณสั่นสะเทือน จนเกือบจะรบกวนการฝึกฝนของข้า”
หมอกควันสีขาวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็หดเข้าไปด้านใน และเผยให้เห็นร่างของชายผู้หนึ่ง
เขาก็คือบัณฑิตวัยกลางคนที่หลิ่วหมิงเคยเจอในร้านขายอสูรจิตวิญญาณนั่นเอง
บัณฑิตวัยกลางคนลุกเดินออกไปจากห้องลับทันที และมองไปทางเรือนร้อยหลอมทีหนึ่งด้วยสีหน้าฉงน แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าเดินกลับเข้าไปในห้องลับ และตั้งใจทำการฝึกฝนต่อ
ขณะเดียวกัน ห้องรับรองข้างห้องโถงของเรือนโอสถเฮ่าหราน
บัณฑิตหนุ่มกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และจ้องมองชายร่างผอมที่มีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ให้เจ้าไปสืบตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีแม้แต่เบาะแสของชายฉกรรจ์หน้าดำ ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!” บัณฑิตหนุ่มตำหนิด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“คุณชายโปรดอภัย! แต่ว่าคนที่คุณชายพูดถึงอาจจะออกไปจากตลาดฉางหยางแล้วก็ได้” ชายร่างผอมก้มหน้าพูด
ตอนที่ 539 งานประมูลใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮึ! เจ้าไม่ได้มีชื่อว่ารู้เรื่องทุกอย่างในตลาดฉางหยางหรอกหรือ ชายฉกรรจ์หน้าดำผู้นั้นออกจากตลาดไปแล้วหรือไม่นั้น เจ้าก็ไม่สามารถสืบได้หรือ?” บัณฑิตหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ประจักษ์ชัดว่าศิษย์สำนักเฮ่าหรานผู้นี้ ยังคงไม่ลืมเรื่องไข่หนอนกลายพันธ์ุนั้น
“รับทราบ! ขอคุณชายให้เวลาข้าน้อยอีกหน่อย ข้าน้อยจักต้องหาที่มาของคนผู้นี้ได้อย่างแน่นอน” ชายร่างผอมกล่าวด้วยความรู้สึกที่เย็นสะท้าน
“ดีมาก! หากสืบที่มาของคนผู้นี้ไม่ได้ เจ้าก็อย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก” บัณฑิตหนุ่มระงับโทสะไว้ และตบตั่งวางน้ำชาทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง
……
ขณะเดียวกัน ภายในห้องลับของร้านค้าที่ดูธรรมดาในบริเวณนั้น หญิงชุดม่วงที่ดูโดดเด่น กำลังชื่นชมตะพาบน้ำสีทองขนาดเท่าฝ่ามือในมือ และด้านหลังของนางก็มีผู้อาวุโสชุดดำที่มีสีหน้าอ่อนโยนยืนอยู่
“ท่านผู้เฒ่าเฉียว สำหรับคลื่นปราณจิตวิญญาณเมื่อครู่ ท่านมองเห็นอะไรหรือไม่?” หญิงสาวชุดม่วงหันมามองผู้อาวุโสทีหนึ่ง และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เรียนคุณหนู จากการคาดเดาของคนแก่อย่างข้า คงจะมีคนหลอมอาวุธจิตวิญญาณหรือโอสถที่หาได้ยากออกมา ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนหนึ่ง แต่ก่อนที่โชคดีปรุงโอสถพสุธาที่มีลายโอสถห้าเส้นออกมาได้นั้น ก็เคยเกิดปรากฏการณ์ที่ใกล้เคียงกัน ในขณะที่หลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีชั้นกำจัดค่อนข้างสูง ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคล้ายๆ กัน แม้คนผู้นี้จะใช้ชั้นจำกัดปิดกั้นคลื่นสั่นสะเทือนส่วนมากไว้ได้ แต่ในเมื่อมาจากร้านหลอมอาวุธของนิกายยอดบริสุทธิ์ คิดว่าคงเป็นอย่างหลังแล้ว” ผู้อาวุโสชุดดำโค้งตัวเล็กน้อย และค่อยๆ อธิบายออกมา
“ท่านผู้เฒ่าเฉียว ขอท่านส่งคนไปตรวจสอบดูหน่อยว่า ช่วงนี้ทางนิกายยอดบริสุทธิ์ส่งผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธท่านใดมาประจำการที่นี่หรือไม่” หญิงชุดม่วงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย และสั่งออกไป
“รับทราบ! ข้าจะส่งคนไปจัดการเดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสชุดดำคารวะทีหนึ่งแล้วก็เดินออกจากห้องลับไป
……
เวลาที่เหลือ นอกจากหลิ่วหมิงจะมาร้านค้าของมนุษย์เผ่าค้างคาวหนึ่งครั้ง เพื่อนำโอสถธรรมดาสามสิบเม็ดกับโอสถพสุธาสี่เม็ดที่มีลายโอสถสี่เส้นไปแลกกับหินจิตวิญญาณกว่าสามล้านก้อนแล้ว เขาก็ใช้เวลาส่วนมากประจำการอยู่ในหอร้อยหลอม
แม้เถ้าแก่เผ่าค้างคาวผู้นั้น จะรู้สึกแปลกใจที่หลิ่วหมิงปรุงโอสถพสุธาออกมาได้เร็วเช่นนี้ แต่ก็คิดว่าคงเป็นเพราะผลผลึกเขียวพันปีเหล่านั้น
แม้จะรู้สึกประหลาดใจมาก และก็ไม่ถึงกับรู้สึกตะลึงพรึงเพริดจนเกินไป
ขณะนี้ ถุงบนเอวของเขามีหินจิตวิญญาณห้าล้านกว่าก้อนแล้ว และมีโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาที่มีลายโอสถสี่เส้นห้าเม็ด ห้าเส้นสองเม็ด และหกเส้นหนึ่งเม็ด
ครึ่งเดือนผ่านไป งานประมูลใหญ่ก็เริ่มขึ้นในที่สุด
บริเวณทะเสลาบที่อยู่ใจกลางตลาด ชายวัยกลางคนที่สวมชุดดำค่อยๆ ก้าวออกมาจากตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลังจากจัดแขนเสื้อแล้ว ก็เดินไปยังหอใหญ่ที่ใช้ในงานประมูล เขาก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง
ครึ่งเดือนก่อน ในสถานะฑูตของนิกายยอดบริสุทธิ์ เขาย่อมได้รับจดหมายเชิญจากหอการค้าเชียนเหมิง แต่เขาไม่คิดจะใช้ของสิ่งนี้ แต่กลับตัดสินใจปลอมตัวเป็นผู้ฝึกฝนอิสระเข้าร่วมงานประมูลใหญ่
ในวันก่อนการประมูล มีกลุ่มผู้ฝึกฝนกลุ่มละสองสามคนจากทั่วทิศมาร่วมตัวกันที่นี่ ขณะนี้กำลังทะลักเข้าไปในประตูใหญ่
หลิ่วหมิงสำรวจดูเล็กน้อยแล้ว ก็จ่ายหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งเป็นค่าธรรมเนียม จากนั้นก็เข้าไปในห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้พิทักษ์อย่างไม่สะทกสะท้าน
หลังจากเดินผ่านโถงทางเดินกว้างขวางที่มีผู้คนพลุกพล่านแล้ว ก็จะเป็นห้องโถงในที่จัดงานประมูล ซึ่งแบ่งออกเป็นสองชั้น ผู้ฝึกฝนอิสระที่ไม่มีจดหมายเชิญเข้าได้แค่ห้องโถงตรงชั้นหนึ่ง ส่วนชั้นสองจัดเตรียมไว้สำหรับแขกพิเศษที่ได้รับจดหมายเชิญ
หลิ่วหมิงเลือกนั่งรอคอยอย่างเงียบๆ ในมุมที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวตรงชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เริ่มสังเกตดูทุกอย่างที่อยู่ในห้องประมูล
สิ่งที่อยู่รอบๆ เวทีสี่เหลี่ยมใจกลางห้อง คือขั้นบันไดเป็นรูปพัด แต่ละขั้นบันไดมีที่นั่งจัดวางอยู่เต็มไปหมด
หลิ่วหมิงนับดูคร่าวๆ ก็พบว่าห้องประมูลในชั้นหนึ่งบรรจุคนได้เกือบพันคน และราวๆ ก่อนงานประมูลเริ่มหนึ่งชั่วยาม ก็ดูเหมือนจะมีที่นั่งเหลืออยู่น้อยมาก
งานประมูลใหญ่ในตลาดฉางหยาง ใหญ่กว่างานประมูลที่หลิ่วหมิงเข้าร่วมในเขตทะเลชังไห่มาก
ที่นั่งด้านล่างนี้ล้วนเป็นที่นั่งธรรมดา บนชั้นสองยังมีที่นั่งพิเศษที่กั้นเป็นห้องๆ เห็นได้ชัดว่าจัดให้ผู้แข็งแกร่งที่มีสถานะและตำแหน่ง
ตั้งแต่หลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็ใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งตรวจสอบดู และค้นพบว่ามีคนเดินเข้าไปในห้องที่นั่งพิเศษไม่น้อย คนเหล่านี้ต่างก็มีกลิ่นไอที่ไม่อาจคาดเดาได้ มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขึ้นไป ต่อให้มีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อยู่ในนั้นหนึ่งถึงสองคน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
และพอคนเหล่านี้เข้าไปในห้องที่นั่งพิเศษแล้ว ก็ไม่อาจสอดแนมได้เลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทางเข้าลานประมูลก็มีคนเข้ามาน้อยลง
“ปัง!” หลังจากประตูทางเข้าค่อยๆ ปิดลง ก็มีลำแสงสีทองเปล่งประกายบนเวทีที่อยู่ตรงกลาง มีสิ่งของคล้ายๆ กับแท่นสูงค่อยๆ ผุดขึ้นมา
และในขณะเดียวเสียงจ้อกแจกจอแจในห้องประมูลก็หยุดลง สายตาของทุกคนจ้องมองลำแสงสีทองที่อยู่ตรงกลาง
แสงสีทองค่อยๆ สลายไป จะเห็นว่ามีคนสวมชุดขาวปรากฏตัวบนเวทีสามคน
คนกลางเป็นท่านผู้เฒ่าที่มีหนวดเคราและผมเป็นสีขาว ภายใต้การจ้องมองของคนจำนวนมากเหล่านี้ เขายังคงมีสีหน้าเกียจคร้าน ส่วนชายวัยกลางคนสองคนที่อยู่ข้างเขา คนหนึ่งมีใบหน้าขาวสะอาด อีกคนกลับมีผิวดำ ท่ามกลางการจ้องมองของคนจำนวนมาก พวกเขาก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด
หนังตาหลิ่วหมิงกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง กลิ่นไอบนตัวของชายวัยกลางคนทั้งสองหนาแน่นมาก ประจักษ์ชัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับผลึก และมองเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้อาวุโสผมขาวนั่งอยู่ที่นั่น แต่พอใช้จิตกวาดดู ก็ดูเหมือนว่าร่างของเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น ราวกับว่าจะหายไปได้ตลอดเวลา
ที่แท้ผู้อาวุโสผู้นี้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้
ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าขาวสะอาดกวาดสายมองลงด้านล่างเวที และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงดังก้องกังวานมาก
“ยินดีต้อนรับสหายทุกท่านที่มาร่วมงานประมูลของหอการค้าเชียนเหมิงเรา ข้าเป็นผู้ดำเนินรายการประมูลในครั้งนี้ กฎการประมูลเป็นเหมือนกับปีที่ผ่านมา หลังจากเสนอราคาประมูลต่ำสุดออกมาแล้ว ทุกท่านก็ใช้หินจิตวิญญาณประมูล หากหินจิตวิญญาณบนตัวมีไม่เพียงพอ ก็สามารถใช้สมบัติอื่นๆ ขายให้กับพวกเราเพื่อแลกหินจิตวิญญาณได้ แน่นอน! หากทุกท่านไม่พอใจกับราคาที่พวกเราตั้งไว้ ทางเราก็สามารถทำการประมูลสดให้ท่านได้ รับรองว่าจะไม่ให้ท่านรู้สึกเสียเปรียบแต่อย่างใด”
คำพูดที่ออกจากปากของชายหน้าขาวล้วนมีเหตุมีผล ผู้ฝึกฝนอิสระที่อยู่ด้านล่างย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด
และผู้อาวุโสผมขาวกับชายผิวดำทางด้านขวา ก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้สองตัวที่อยู่ด้านหลังเวที
“เอาล่ะ! ในเมื่อทุกท่านไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ งานประมูลในครั้งนี้ก็จะเริ่มต้น ณ บัดนี้” ชายหน้าขาวกวาดสายตามองไปรอบๆ และประกาศออกมา
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง หญิงรับใช้ชุดขาวก็ค่อยๆ เดินออกมาจากหลังเวที มือทั้งสองประคองถาดหยกสีขาวใบหนึ่ง มีผ้าดิ้นสีแดงผืนหนึ่งคลุมอยู่บนนั้น นางค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนท่ามกลางการจ้องมองของฝูงชน
ชายหน้าขาวยื่นมือไปเปิดผ้าสีแดงออกมา เผยให้เห็นดาบรูปร่างแปลกๆ ที่มีขนาดยาวครึ่งฉื่อ
“ของประมูลชิ้นแรกเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ดาบชิงยิน มีชั้นจำกัดแฝงอยู่ยี่สิบแปดชั้น ในขณะทำการโจมตียังมีเสียงมายาออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้คู่ต่อสู้จมดิ่งเข้าไปในมายาโดยไม่รู้ตัว และถูกพลังเวทลดลงไปมาก ราคาประมูลเริ่มต้นที่แปดแสนหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าสามหมื่น!” ชายหน้าขาวประกาศเสียงดังออกมา
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเสียงกระซิบกระซาบกันในห้องประมูล
แม้ว่าอาวุธประเภทดาบจะแข็งแกร่งไม่เท่าประเภทกระบี่ แต่กลับมีความร้ายกาจเพิ่มขึ้นมา และมีพลังการโจมตีเป็นรองแค่กระบี่เท่านั้น หากดาบชิงยินเล่มนี้ถูกใช้โดยผู้เชี่ยวชาญการโจมตีระยะใกล้ เสียงมายากับเงาดาบของมันที่ลึกลับซับซ้อน จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจป้องกันได้
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่หลิ่วหมิงเองยังรู้สึกใจเต้นเลย
“แปดแสนหินจิตวิญญาณ!” มีคนเสนอราคาในทันที
“แปดแสนสามหมื่น!”
“แปดแสนเจ็ดหมื่น!”
“เก้าแสน!”
……
หลิ่วหมิงมองดูฝูงชนที่เสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ไม่นานราคาก็สูงถึงหนึ่งล้านกว่า เขาจึงส่ายหน้าแล้วหลับตาลง
สำหรับเขาแล้ว แม้จะอยากได้อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเพิ่มขึ้นอีกชิ้น แต่ในเมื่อราคาสูงถึงหนึ่งล้านกว่าขึ้นไป เขาย่อมไม่นำมาพิจารณา
เพราะเป้าหมายในวันนี้คือผงวิญญาณบริสุทธิ์ แม้บนตัวเขาจะมีหินจิตวิญญาณจำนวนมาก แต่ก่อนที่จะได้ของชิ้นนี้มา เขาย่อมไม่ใช้หินจิตวิญญาณมากเกินไป
หลังจากผ่านการประมูลอย่างดุเดือด ดาบชิงยินเล่มนี้ก็ถูกชายชุดดำคนหนึ่งประมูลไปในราคาหนึ่งล้านสองแสนหินจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงมองดูที่ห้องนั่งพิเศษทั้งสองด้าน ผู้ที่เสนอราคาในเมื่อครู่ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนอิสระที่อยู่ด้านล่าง ดูเหมือนว่าแขกระดับสูงจะไม่สนใจดาบชิงยินเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงเงียบมาโดยตลอด
“ของประมูลชิ้นต่อไปคือ ‘พัดดับวิญญาณ’ เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเช่นกัน พัดนี้สร้างขึ้นมาจากโลหิตปีศาจหยิน และผสมปนเปกับไอของปีศาจลิงทโมน มีชั้นจำกัดแฝงอยู่สามสิบชั้น ราคาประมูลเริ่มต้นที่แปดแสนหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าสามหมื่น” คนที่อยู่ข้างล่างเวทีส่งถาดสีขาวขึ้นมาอีกใบ ครั้งนี้มีพัดวางอยู่บนถาด โครงพัดเป็นสีขาวสะอาด หน้าพัดกลับเป็นสีดำ มีหัวกระโหลกสีม่วงปักอยู่บนนั้น
หลิ่วหมิงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดออกมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นสมบัติสายปีศาจ
“แปดแสนหินจิตวิญญาณ!” พอชายหน้าขาวกล่าวจบก็มีคนเสนอราคาทันที
“แปดแสนห้าหมื่น!” ผู้ที่เสนอราคาเป็นนักพรตชุดสีฟ้าผู้หนึ่ง ในมือถือไม้เท้ากระดูกสีขาวอยู่ แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้าย
“แปดแสนแปดหมื่น!” มีคนเพิ่มราคาขึ้นมาอีกครั้ง
“เก้าแสน!“ ชายชุดฟ้าทำเสียงฮึดฮัด ดูเหมือนว่าจะเอาของชิ้นนี้มาให้ได้
“เก้าแสนสามหมื่น!”
“หนึ่งล้าน!” ดูเหมือนว่าชายชุดฟ้าจะอดทนไม่ไหวเล็กน้อย จึงเสนอราคาพุ่งไปที่หนึ่งล้าน
อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไป ต่างก็มีราคาอยู่ที่แปดแสนถึงหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณเท่านั้น นอกจากจะเป็นสมบัติที่มีผลลัพธ์พิเศษจำนวนหนึ่ง อย่างผลลัพธ์ของดาบชิงยินที่หลอกหล่อให้คนฟังได้ แต่พัดดับวิญญาณนี้ไม่มีพลังพิเศษเช่นนั้น
“หนึ่งล้านหนึ่งแสน!” น้ำเสียงในครั้งนี้กลับดังมาจากห้องที่นั่งพิเศษที่อยู่ทั้งสองด้าน ซึ่งอยู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ
คนในห้องประมูลได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย และพากันมองขึ้นไป
น่าเสียดานที่บนที่นั่งพิเศษวางชั้นจำกัดไว้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือพลังจิตก็ไม่อาจมองทะลุเข้าไปได้
ตอนที่ 540 ผงวิญญาณบริสุทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
แท้จริงแล้วผู้ที่เสนอราคาเป็นชายหนุ่มชุดเขียวที่มีอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น
ตอนนี้เขานั่งอยู่ในห้องที่นั่งพิเศษทางด้านตะวันออก ในมือถือพัดสีทองเล่มหนึ่งอยู่ หญิงงดงามสองคนยังคงอยู่ข้างกายเขา และพูดเป่าหูชายหนุ่มเบาๆ อยู่ตลอดเวลา
ชายฉกรรจ์ก็ยังยืนอยู่อีกด้านราวกับรูปปั้นแกะสลัก
“หนึ่งล้านหนึ่งแสนห้าหมื่น!” ชายชุดฟ้าเขม้นตามองไปทางที่นั่งพิเศษทีหนึ่งแล้วเสนอราคาต่อ
“หนึ่งล้านสองแสน!” ชายหนุ่มชุดเขียวเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา และหุบพัดเสียงป้าบ!
“หนึ่งล้านสามแสน!” ชายชุดฟ้าได้ยินก็กัดฟันกล่าว
ขณะนี้ผู้คนในลานประมูลต่างก็รอดูอะไรสนุกๆ อยู่ เห็นได้ชัดว่าราคานี้เป็นการกระฟัดกระเฟียดกันแล้ว
“หนึ่งล้านสี่แสน” ชายหนุ่มชุดเขียวเสนอราคาอย่างไม่ใส่ใจ
ชายชุดฟ้าได้ยินก็กัดฟันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็นั่งลงด้วยความโมโห
สุดท้ายพัดดับวิญญาณก็ถูกชายหนุ่มชุดเขียวประมูลไปในราคาหนึ่งล้านสี่แสนหินจิตวิญญาณ
“มาแย่งของกับข้า ช่างไม่รู้กำลังของตนเองเอาซะเลย!” ภายในห้องที่นั่งพิเศษ พอชายหนุ่มชุดเขียวเห็นสีหน้าไม่พอใจของฝ่ายตรงข้าม ก็ดูเหมือนจะมีความสุขมาก และหัวเราะด้วยความพอใจ
“นายน้อย พัดดับวิญญาณนี้คุณภาพธรรมดาๆ ดูเหมือนจะไม่คุ้มกับราคานี้” ชายฉกรรจ์พลันเอ่ยปากออกมา น้ำเสียงแหบแห้งราวกับแผ่นเหล็กที่ถูกเสียดสี
“ตอนนี้ยังไม่คุ้ม แต่พัดเล่มนี้สร้างขึ้นจากโลหิตหยกของปีศาจหยิน นำกลับไปเพิ่มชั้นจำกัดโลหิตอีกสองชั้น อย่างน้อยมูลค่าของมันก็สูงขึ้นหนึ่งเท่า” ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าวออกมา จากนั้นก็เปิดพัดมาพัดเบาๆ และหญิงงดงามทั้งสองก็เข้ามาแนบชิดอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะสมยอมกับคำพูดนี้ แต่ครู่ต่อมาก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“งานประมูลเพิ่งเริ่ม ของดีที่แท้จริงต่างก็ยังไม่ออกมา นายน้อยควรจะเก็บหินจิตวิญญาณไว้หน่อยจะดีกว่า งานประมูลนี้มีคนใหญ่คนโตมาไม่น้อย”
“วางใจเถอะ! ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าวอย่างราบเรียบ
ภายในที่นั่งพิเศษห้องหนึ่ง หญิงสาวชุดม่วงที่มีท่าทีโดดเด่นมองไปยังตำแหน่งห้องที่นั่งพิเศษของชายหนุ่มชุดเขียวด้วยสายตาเหยียดหยาม จากนั้นก็ละสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว และหยอกล้อตะพาบน้ำสีทองในมือต่อ
ห้องประมูลในขณะนี้ เนื่องจากอาวุธสายปีศาจที่ถูกขายไปด้วยราคาที่สูงถึงหนึ่งล้านสี่แสนหินจิตวิญญาณ ทำให้บรรยากาศมาถึงจุดตื่นเต้นเร้าใจเล็กน้อย คนจำนวนมากต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ
ชายหน้าขาวมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ในเมื่ออยู่ในฝั่งผู้จัดการประมูล สิ่งที่อยากเห็นที่สุดก็คือการต่อสู้ราคากันอย่างดุเดือดเช่นนี้ สิ่งของธรรมดาชิ้นหนึ่ง มักจะขายได้ในราคาที่สูงก็เพราะเหตุนี้
ไม่นาน ของประมูลอีกชิ้นก็ถูกยกขึ้นมา มันคือคัมภีร์เล่มหนึ่งที่มีปกสีแดงเพลิง
“รายการต่อไป ‘เคล็ดวิชาเฝินเทียน’ เป็นวิชาประเภทไฟ สามารถฝึกฝนได้ตั้งแต่ระดับของเหลวไปจนถึงจุดสูงสุดของระดับผลึก ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าห้าพัน”
เคล็ดวิชาเฝินเทียนนั้น นับว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงในตลาดฉางหยาง ร้อยกว่าปีก่อนท่านเฝินเทียนซ่างเหรินผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงผู้หนึ่ง ได้ฝึกฝนวิชานี้เป็นหลัก
หลังจากชายหน้าขาวแนะนำอย่างสวยงามแล้ว ก็มีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยแย่งกันประมูลอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ถูกผู้ฝึกฝนระดับของเหลวผู้หนึ่งประมูลไปในราคาสองแสนหนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณ
คัมภีร์เคล็ดวิชาอะไรพวกนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจแต่อย่างใด เพียงแค่ปราดตามองเท่านั้น
งานประมูลในเวลาต่อมา มีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดออกมาหลายชิ้น มีทั้งมีดบิน ง่ามบิน และยังมีจีวรที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงชุดหนึ่ง กับเตาหลอมโอสถระดับกลาง เป็นต้น
สิ่งของเหล่านี้ต่างก็ถูกประมูลออกไปในราคาหลายแสนหินจิตวิญญาณ บรรยากาศในห้องประมูลก็ค่อยๆ คึกคักขึ้นมา
“สมบัติชิ้นต่อไปเป็นรายการประมูลชิ้นสุดท้ายในช่วงนี้ของการประมูลในครั้งนี้ ‘คัมภีร์กระบี่จินหยวน’ ในนี้บันทึกประสบการณ์ตลอดชีวิตการฝึกกระบี่ของระดับแก่นแท้ผู้หนึ่ง ความล้ำค่าของคัมภีร์เล่มนี้ ข้าจะไม่พูดมากแล้ว ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าห้าหมื่น”
ขณะที่ชายหน้าขาวพูด เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งเลิกผ้าสีแดงบนแท่นประมูลออกมา เผยให้เห็นคัมภีร์สีเขียวจางๆ ที่เย็บเล่มด้วยด้าย บนหน้าปกเก่าๆ มีอักขระโบราณเขียนอยู่
ฝูงชนในลานประมูลถูกคัมภีร์บนแท่นสูงดึงดูดความสนใจในทันที มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเบาๆ และในบรรดาแขกระดับสูง ก็มีคนจำนวนหนึ่งมีสีหน้าจดจ่อทันที
“ประสบการณ์ฝึกกระบี่ของระดับแก่นแท้!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อดใจเต้นไม่ได้
แม้ที่เขาฝึกฝนหลักจะเป็นเคล็ดกระบี่ปรานแกร่ง แต่ประสบการณ์ฝึกฝนของระดับแก่นแท้ ย่อมมีประโยชน์สำหรับเขา ซึ่งใช้ค้นคว้าประกอบการฝึกฝนในภายหน้า ไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจกัน
ขณะนั้นเองก็มีคนเสนอราคาแล้ว
“หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ!”
“หนึ่งล้านหนึ่งแสน!”
……
ผู้คนที่อยู่ในลานประลอง รู้สึกใจเต้นกับคัมภีร์ประสบการณ์เล่มนี้ไม่น้อย แต่ตอนเริ่มเสนอราคากลับระมัดระวังเป็นอย่างมาก และส่วนมากก็เป็นแขกที่อยู่ชั้นหนึ่ง แขกระดับสูงที่อยู่ทั้งสองข้างกลับไม่ส่งเสียงออกมาเลย
“หนึ่งล้านสามแสนหินจิตวิญญาณ!” ผู้เสนอราคาไม่ใช่คนอื่นไกล ซึ่งก็คือชายชุดฟ้าที่ประมูลพัดดับวิญญาณในก่อนหน้านั้นนั่นเอง
“หนึ่งล้านห้าแสน!” ครั้งนี้เป็นหลิ่วหมิงที่เสนอราคาขึ้นมา
คนจำนวนไม่น้อยต่างก็จ้องมองคนเสนอราคาไปมา
หนึ่งล้านกว่าหินจิตวิญญาณเป็นทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไปมีไม่กี่แสนหินจิตวิญญาณ ก็นับว่ามากสุดแล้ว ผู้ที่ยังประมูลอยู่ส่วนมากมีกลุ่มอิทธิพลใหญ่หนุนอยู่เบื้องหลัง
“หนึ่งล้านแปดแสน!” ภายในห้องที่นั่งพิเศษ ชายหนุ่มชุดเขียวจับขอบหน้าต่างไว้แน่น เขาดูมีท่าทีสนใจเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่สนหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างเลย
หลิ่วหมิงแอบถอนหายใจเบาๆ และไม่ได้เสนอราคาต่อ
งานประมูลเงียบไปพักหนึ่ง หนึ่งล้านแปดแสนหินจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มอิทธิพลไหนก็สามารถเอาไปได้ มีเพียงแค่ตระกูลใหญ่หรือสำนักนิกายต่างๆ เท่านั้น ถึงสามารถเอาไปได้
พอชายหนุ่มชุดเขียวเห็นว่าตนเองสามารถกดดันฝูงชนได้อีกครั้ง ก็รู้สึกชื่นอกชื่นใจขึ้นมา
“สองล้าน!” มีเสียงดังขึ้นมาในฉับพลัน ที่แท้ก็มาจากห้องที่นั่งพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันตก
พอเสียงนี้ดังขึ้นมา ฝูงชนก็ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงสะดุ้งสะโหยงในทันที ดูท่างานประมูลในครั้งนี้คงมีผู้มีพลังไม่น้อย
ชายหนุ่มชุดเขียวมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมาในพริบตา เขาโบกมือแยกหญิงสาวทั้งสองออกไป และมองไปยังที่มาของเสียงด้วยแววตาประหลาดใจ ดูเหมือนว่าเขากำลังแสดงเคล็ดวิชาบางอย่าง เพื่อสอดส่องดูที่นั่งพิเศษห้องนั้น
“เดี๋ยวก่อนนายน้อย! ข้าจำน้ำเสียงเมื่อครู่ได้ คนที่เสนอราคาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ นายน้อยอย่าได้วู่วาม เพราะที่นี่ไม่ใช่ในนิกาย” ชายฉกรรจ์ไปขวางอยู่ตรงหน้าชายชุดเขียวในพริบตา และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้!”
ชายหนุ่มชุดเขียวได้ยินก็เผยสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงพยักหน้าแล้วนั่งลงไป
ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ต่อให้อยู่ในนิกายใหญ่ ก็มีสถานะอยู่ในระดับสูง
แม้ชายหนุ่มชุดเขียวจะมีนิสัยหยิ่งยโสแค่ไหน ก็ไม่อาจล่วงเกินได้ตามใจ
“สหายในห้องที่นั่งพิเศษเสนอราคาสองล้าน มีใครจะให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่? หากไม่มีล่ะก็ คัมภีร์กระบี่ชิงหยวนเล่มนี้ ก็ตกเป็นของสหายผู้นี้แล้ว” ชายหน้าขาวส่งเสียงดังกังวานออกมา
หลังจากรอครู่หนึ่ง เสียงกระซิบกระซาบก็ดังขึ้นเป็นระลอกๆ แต่กลับไม่มีคนเสนอราคาออกมา
ชายหน้าขาวรีบเคาะแท่นประมูลทันที และประกาศชื่อเจ้าของคัมภีร์
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างขมขื่น เขาจ้องมองหญิงรับใช้ชุดขาวยกถาดหยกลงไป และถูกส่งไปยังห้องที่นั่งพิเศษห้องนั้นด้วยความเสียดาย
“ของประมูลชิ้นต่อไปเป็นโอสถระดับของเหลวที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง โอสถดวงดาว โอสถเม็ดนี้……”
การประมูลดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เวลาต่อมาก็เริ่มประมูลโอสถจิตวิญญาณ และวัตถุดิบที่พบเจอได้น้อยจำนวนหนึ่ง แต่ว่าผู้คนที่ทำการประมูลยังคงแย่งชิงกันอยู่ แต่ส่วนมากเป็นนิกายเล็กๆ และตระกูลที่มีชื่อเสียงกับผู้ฝึกฝนอิสระ ส่วนผู้คนในห้องที่นั่งพิเศษกลับไม่มีเสียงออกมาเลย
ขณะนี้หลิ่วหมิงก็ทำตัวให้มีชีวิตชีวา และจดจ่อกับสิ่งของประมูลในแต่ละรอบ
ดูแนวโน้มแล้ว ผงวิญญาณบริสุทธิ์คงจะใกล้ออกมาแล้ว
ในที่สุดหลังจากเหล็กบริสุทธิ์ห้าธาตุ ถูกผู้ฝึกฝนอิสระผู้หนึ่งประมูลไปในราคาหนึ่งแสนแปดหมื่นหินจิตวิญญาณแล้ว หญิงรับใช้ชุดขาวก็ยกกล่องหยกโปร่งแสงเล็กๆ ขึ้นมาใบหนึ่ง
ดูเหมือนว่าภายในกล่องหยกจะเป็นผงสีขาวกองหนึ่ง โดยมองไม่เห็นอะไรพิเศษเลยแม้แต่น้อย
แต่พอของสิ่งนี้ปรากฏออกมา หลิ่วหมิงก็ตาเป็นประกายทันที
นี่คือผงวิญญาณบริสุทธิ์ที่เขาตามหาอย่างยากลำบาก!
“ของประมูลชิ้นต่อไป ‘ผงวิญญาณบริสุทธิ์’ เป็นวัสดุหลอมอาวุธจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อยมากในโลกภายนอก คิดว่าทุกท่านคงจะรู้ดี ในขณะที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดยกระดับเป็นต้นแบบอาวุธเวทนั้น ต้องใช้วัสดุเสริมจำนวนไม่น้อย และผงวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง”
ชายหนุ่มหน้าขาวมองไปรอบๆ พอเห็นว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็มีอาการคันไม้คันมือ เขาก็แสดงแววตาพอใจออกมา และกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาน
“สหายที่อยากจะหลอมต้นแบบอาวุธเวทอย่าได้พลาดโอกาสอันดีนี้ไปเด็ดขาด ตอนนี้เริ่มการประมูลได้ ราคาต่ำสุดห้าแสนหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่น”
ชายหน้าขาวใสพูดแค่คำสองคำ ก็กระตุ้นความปรารถนาของคนจำนวนมากได้
“ห้าแสนหินจิตวิญญาณ!” ชายที่ดูเหมือนผู้ฝึกฝนอิสระรีบเสนอราคาออกมาทันที
“ห้าแสนห้าหมื่น!” คนที่เสนอราคานี้ขึ้นมาเป็นผู้ฝึกฝนหญิงที่สวมหมวกคลุมผู้หนึ่ง
“หกแสน!” ผู้ฝึกฝนอิสระชายขมวดคิ้วแล้วเสนอราคาออกมาทันที
“หกแสนห้าหมื่น!” ผู้ฝึกฝนหญิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วเพิ่มราคาขึ้นมาอีกห้าหมื่น
ผู้ฝึกฝนชายเขม้นตามองผู้ฝึกฝนหญิงทีหนึ่ง แต่กลับไม่เพิ่มราคาแต่อย่างใด
ผู้ฝึกฝนหญิงเผยสีหน้าพอใจออกมา
“เจ็ดแสนหินจิตวิญญาณ!”
มีเสียงดังขึ้นมาจากตรงมุม ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ผู้ฝึกฝนหญิงจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความโมโห หลังจากทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็เสนอราคาออกมา “เจ็ดแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ!”
“แปดแสน!” หลิ่วหมิงยังคงมีสีหน้าปกติ
“เก้าแสน! สหายผู้นี้ หากท่านเสนอราคาสูงกว่านี้อีก ผงวิญญาณบริสุทธิ์นี้ข้าจะยอมให้ท่านเลย” ผู้ฝึกฝนหญิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น
น้ำเสียงนางเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นมา
“หนึ่งล้าน!”
คนพูดไม่ใช่หลิ่วหมิง แต่เป็นผู้อาวุโสผมขาวเป็นสีดอกเลาที่อยู่ตรงชั้นหนึ่ง
ผู้ฝึกฝนหญิงขมวดคิ้วมองไปทีหนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะรู้จักเขา ทั้งยังค่อนข้างยำเกรงมาก จึงไม่เสนอราคาออกมาอีก
“นั่นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธของหอเฉวียนจวี้หรือ? ผู้เชี่ยวชาญเจ้าใช่หรือไม่?”
“ผู้เชี่ยวชาญเจ้า มิน่าละ! ถึงเสนอราคาสูงเช่นนี้”
“หรือว่าคิดจะหลอมต้นแบบอาวุธเวท?”
ผู้คนที่รู้จักพากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่ 541 นิกายปีศาจลี้ลับกับตระกูลโอวหยาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราคาผงวิญญาณบริสุทธิ์ตามท้องตลาดอยู่ที่หกเจ็ดแสนหินจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ว่ามันพบเห็นได้น้อยมาก ซื้อแพงสักแสนสองแสนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณมันออกจะแพงไปหน่อย จนเกือบจะเทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นหนึ่งแล้ว
“ผู้เชี่ยวชาญเจ้าเสนอราคาหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ ยังมีผู้ใดให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่?” ชายหน้าขาวประกาศด้วยความดีใจ
“หนึ่งล้านหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงเสนอราคาอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผู้คนในลานประมูลต่างก็มองไปทางหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เริ่มเงยหน้าขึ้นมา
“หนึ่งล้านสองแสนหินจิตวิญญาณ! สหายผู้นี้ ข้าจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้ หวังว่าสหายจะไว้หน้าข้า” ผู้อาวุโสแซ่เจ้าหันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“งั้นหรือ! แต่น่าเสียดายข้าน้อยก็ปรารถนาอยากจะได้มาเป็นอย่างยิ่ง จำต้องช่วงชิงกับท่านแล้ว หนึ่งล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงกล่าวเสร็จ ก็เสนอราคาเพิ่มขึ้นมาอีกสามแสนหินจิตวิญญาณ
ผู้คนในที่นั้นต่างก็ฮือฮาขึ้นมา และคนจำนวนไม่น้อยต่างก็มองไปที่หลิ่วหมิงด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสแซ่เจ้าก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่กลับค่อยๆ นั่งลงไป ผ่านไปพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่เพิ่มราคาขึ้นมา
ประจักษ์ชัดว่าด้วยสถานะระดับเขา ก็ไม่ยอมซื้อวัสดุชิ้นหนึ่งที่ราคาสูงกว่าเดิมสองเท่า
“สหายผู้นี้เสนอราคาหนึ่งล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ ยังมีราคาสูงกว่านี้หรือไม่?” ชายหน้าขาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขามองไปรอบๆ ในทันที และสายตาของเขาก็หยุดอยู่บนตัวผู้อาวุโสแซ่เจ้าอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นผงวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นของสหายผู้นี้” พอเห็นว่าผู้อาวุโสไม่มีทีท่าจะเสนอราคาเพิ่มแม้แต่น้อย ชายหน้าขาวก็นับหนึ่งถึงสาม ในที่สุดก็เคาะแท่นแล้วกล่าวออกมา
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากมีคนเสนอราคาเพิ่มล่ะก็ เขาจะต้องเสนอเพิ่มด้วยอย่างแน่นอน ถ้าต้องเสียหินจิตวิญญาณจำนวนมากเช่นนี้ เขาคงรู้สึกปวดใจไม่น้อย
ไม่นานก็มีคนรับใช้เดินเข้ามาพาเขาไปยังห้องโถงเล็กๆ ที่อยู่ข้างห้องประมูล และมีหญิงรับใช้ชุดขาวยกถาดหยกที่มีผงวิญญาณบริสุทธิ์มาให้
หลิ่วหมิงชำระหินจิตวิญญาณด้วยท่าทีสบายใจ พอเปิดกล่องหยกออกมาดู จะเห็นว่ามันมีลักษณะเหมือนที่บันทึกไว้ในบัญชีไม่มีผิด ระดับความบริสุทธิ์ก็ค่อนข้างสูงมาก
เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ หลังจากเก็บมันเข้าไปแล้ว เขาก็กลับไปที่ห้องประมูลอย่างรวดเร็ว
เช่นนี้แล้ว จุดมุ่งหมายแรกในการเข้าร่วมงานประมูลของเขาก็นับว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้บนตัวหลิ่วหมิงยังมีหินจิตวิญญาณอยู่ราวๆ สามล้านห้าแสนก้อน หากมีสมบัติที่ตรงตามใจเขาต้องการ ก็สามารถทำการประมูลได้อย่างเต็มที่แล้ว
เวลาต่อมา สิ่งของที่ประมูลกลับเป็นโอสถที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวกับระดับผลึกสามารถใช้ได้ และก็มีอสูรจิตวิญญาณตัวเต็มวัยจำนวนหนึ่งที่ผ่านการบ่มเพาะจนเชื่องมาแล้ว
ในนั้นมีหนูหูไฟที่ค่อนข้างถูกใจหลิ่วหมิงมาก อสูรจิตวิญญาณเหล่านี้ มีประสาทรับกลิ่นไวมาก ชำนาญการขุดเจาะดิน ค้นหาสมบัติล้ำค่า เป็นหนูชนิดหนึ่งที่ใช้ในการหาสมบัติ
น่าเสียดายที่หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ถูกหญิงชุดดำประมูลไปในราคาที่สูงถึงห้าแสนหินจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้พูดไม่ออกเล็กน้อย
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งมื้อข้าว ชายผิวดำก็ลุกขึ้นเดินไปบนเวที และพอพลิกฝ่ามือก็มีกล่องหยกปรากฏออกมา เมื่อเปิดฝาออก จะเห็นว่ามีมุกสีเหลืองกลมๆ สี่เม็ดวางอยู่ข้างในสี่เม็ด จากนั้นมันก็ถูกวางไว้บนแท่นประมูล
ต่อมาชายผิวดำก็กลับมาข้างล่างเวทีอีกครั้ง
พอชายหน้าขาวเห็นเช่นนี้ ก็กระแอมไอก่อนกล่าวออกมา
“ทำให้ทุกท่านต้องรอนานแล้ว สิ่งของที่จะประมูลต่อไปเป็นช่วงสุดท้ายของงานประมูลในครั้งนี้ ชิ้นแรกเป็นหุ่นนักรบสี่ตัว”
ขณะที่พูดชายหน้าขาวใสก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้ามุกกลมๆ เม็ดหนึ่งขึ้นมา และโยนไปในอากาศ ทันใดนั้นแสงสีเหลืองก็เปล่งประกายออกมา บนแท่นสูงมีนักรบเกราะทองคำที่สูงจั้งกว่าๆ ปรากฏออกมา จากนั้นก็ร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง และทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนชี้ไปทางหุ่นเหล่านี้
จะเห็นว่ามีอักขระสีทองพุ่งออกจากมือเขาไปอย่างรวดเร็ว และกระพริบหายเข้าไประหว่างคิ้วของหุ่นนักรบเกราะทองคำ
แสงสีทองเปล่งประหายบนตัวนักรบเกราะทองคำ จากนั้นแรงกดดันมหาศาลก็ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา ดูจากพลังของมันแล้วหุ่นเกราะทองคำตัวนี้เหมือนจะมีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
แต่พอหุ่นเกราะทองคำขยับแขนขา ร่างของมันก็พร่ามัวไปปรากฏอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง และชกกำปั้นไปกลางอากาศทันที
“หวึ่ง!” เกิดเสียงดังขึ้นกลางอากาศ
พลังกำปั้นไร้รูปพุ่งออกจากตัว และก่อเกิดเป็นคลื่นอากาศที่ยาวสิบกว่าจั้ง
นักรบเกราะทองคำเคลื่อนไหวอีกครั้ง และไปพุ่งไปอยู่ตรงหน้าของคลื่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นหันตัวมาปล่อยกำปั้นออกไปอีกลูก
พลังกำปั้นทั้งสองปะทะกันทันที หลังจากส่งเสียงดังอู้อี้แล้ว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หุ่นเกราะทองคำหายวับมาอยู่ด้านข้างของชายหนุ่มหน้าขาว
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ราวกับแค่อึดใจเดียวทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแล้ว
ภายในห้องประมูล พอผู้ฝึกฝนจำนวนมากเห็นฉากเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา ความแข็งแกร่งของหุ่นนักรบตัวนี้ ทำให้ฝูงชนเกิดอารมณ์เร่าร้อนขึ้นมา
“ทุกท่าน หุ่นนักรบเกราะทองคำทั้งสี่นี้ สร้างขึ้นโดยนิกายเทียนกงที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ ทุกท่านเองก็คงเห็นแล้ว หุ่นนักรบเหล่านี้ต่างก็มีพลังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย การเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้า เอาชนะข้อบกพร่องของหุ่นนักรบเกราะได้อย่างสมบูรณ์ ที่หาได้ยากยิ่งกว่าก็คือ ภายใต้การร่วมพลังของหุ่นนักรบทั้งสี่ สามารถวางค่ายกลสี่ทิศได้ พอที่จะต่อต้านกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นโดยไม่ตกเป็นเบี้ยล่างเลยแม้แต่น้อย” ชายหน้าขาวถือโอกาสที่ฝูงชนยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึงอยู่พูดออกมา
พอผู้ฝึกฝนด้านล่างได้ยินเช่นนี้ ก็มีคนเผยสีหน้าตกใจระคนดีใจออกมา
“แต่ว่าการควบคุมหุ่นนักรบเกราะทองคำสี่ตัว ก็ต้องสูญเสียพลังจิตอย่างน่าตกใจกว่าการควบคุมหุ่นทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงขอให้สหายทุกท่านควบคุมตามความสามารถของตนเอง ต่อไปเริ่มเสนอราคาได้ หุ่นนักรบสี่ตัวเริ่มต้นที่สองล้านหินจิตวิญญาณ เพิ่มราคาได้ครั้งละไม่น้อยกว่าหนึ่งแสน” ชายหน้าขาวเตือนออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ประกาศให้เริ่มทำการประมูล
“ราคาต่ำสุดสองล้านหินจิตวิญญาณ!”
พอได้ยินเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้สึกหมดกำลังใจขึ้นมา
สำหรับผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปแล้ว ต่อให้จะยอมจนไปตลอดชีวิต ก็ไม่อาจนำหินจิตวิญญาณออกมาจำนวนมากเช่นนี้ได้
และหากตระกูลกับนิกายเล็กๆ จำนวนหนึ่งนำสองล้านหินจิตวิญญาณออกมา ก็ทำให้ตระกูลล่มจมจนต้องขายสิ่งของออกไปเป็นจำนวนมาก
แต่ว่าคนเหล่านี้ซื้อไม่ไหว ย่อมมีคนอื่นๆ ที่สามารถซื้อได้ไหว
“สองล้านหินจิตวิญญาณ!” มีคนเสนอราคาออกมาทันที คนผู้นี้อยู่ในห้องที่นั่งพิเศษทั้งสี่ด้าน ซึ่งก็คือหญิงชุดม่วงที่เงียบมาโดยตลอดนั่นเอง
“สองล้านสองแสน!” ผู้เสนอราคามาจากห้องที่นั่งพิเศษอีกห้องหนึ่ง
“สองล้านห้าแสน!” ครั้งนี้กลับเป็นชายหนุ่มชุดเขียวในก่อนหน้านั้น เขาส่งสีหน้าให้ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นชายฉกรรจ์ก็พยักหน้าและก้าวมาสองก้าว
“หุ่นนักรบตัวนี้ นายน้อยของเราจักต้องเอามาให้ได้ หวังว่าสหายทุกท่านจะไว้หน้าบ้าง” พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเปลวไฟสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในห้องที่นั่งพิเศษ จากนั้นก็กลายเป็นเงาอสรพิษยักษ์ที่มีปีกคู่อยู่บนหลัง
ภายใต้อานุภาพอันบ้าคลั่งเช่นนี้ ห้องพิเศษห้องนี้ก็สั่นสะท้านราวกับใบไม้ที่อยู่ท่ามกลางพายุ
“เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก นี่คืออสรพิษสวรรค์ลี้ลับของนิกายปีศาจลี้ลับ”
ทันใดนั้นมีคนจำเงาอสรพิษที่ชายฉกรรจ์ปล่อยออกมาได้ จึงหลุดปากออกมา
ห้องโถงชั้นหนึ่งเงียบลงไปทันที
“สองล้านแปดแสน!” น้ำเสียงดังมาจากมุมห้องอย่างไม่คาดคิด เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
หุ่นนักรบชุดนี้ก็ทำให้เขาใจเต้นไม่หยุด หากซื้อมันติดตัวไว้ ก็เท่ากับว่ามียอดฝีมือระดับผลึกอยู่กับตัว สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ไม่ใช่น้อยๆ
ส่วนพลังจิตอันแข็งแกร่งที่ต้องใช้ในการควบคุมกับคำพูดข่มขู่ของชายหนุ่มชุดเขียวนั้น เขาไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มชุดเขียวมีสีหน้าเขียวปัดขึ้นมา เขาจ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่างด้วยความอาฆาตแค้น
“อิอิ! คนของนิกายปีศาจลี้ลับอย่างพวกเจ้า ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในถิ่นของตนเองจนเคยชิน มาถึงที่นี่แล้วยังจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกผู้อื่นอีกหรือ น่าเสียดายที่เขาไม่ไว้หน้าเจ้าแล้ว” เสียงหัวเราะของหญิงสาวดังมาจากห้องพิเศษฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
ชายหนุ่มชุดเขียวได้ยินก็มีสีหน้าอัปลักษณ์ขึ้นมา และหันไปมองชายฉกรรจ์ที่มีเปลวไฟสีดำลอยวนอยู่
ครู่ต่อมาเปลวไฟสีดำเหนือห้องพิเศษก็ระเบิดออกมา แรงกดดันจิตวิญญาณพุ่งไปยังห้องที่นั่งพิเศษที่อยู่ตรงฝั่งข้าม
ขณะเดียวกันผู้อาสุโสชุดดำที่อยู่ด้านข้างหญิงสาวชุดม่วงกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือห้องที่นั่งพิเศษ และสะบัดแขนเสื้อขึ้นมา ทันใดนั้นกลิ่นไออันลึกซึ้งก็พุ่งออกจากร่าง
“ตู๊ม!”
แรงกดดันทั้งสองปะทะกันกลางอากาศจนอากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พอผู้ฝึกฝนที่มีระดับการฝึกฝนไม่เพียงพอ โดยแรงกดดันปะทะเข้าใส่ ก็รู้สึกหายใจอึดอัดเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง ลำพังแค่อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับพลังเวทอันบริสุทธิ์ ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก
และขณะนั้นเอง กลิ่นไอมหาศาลที่สอดแทรกเข้าไปในพายุบ้าระห่ำ ก็แยกแรงกดดันทั้งสองสายออกมา
ผู้อาวุโสผมขาวหลังเวทีที่ดูเหมือนสะลึมสะลือมาโดยตลอด ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย
“ทั้งสอง การประมูลในครั้งนี้อาศัยกำลังทรัพย์ในการช่วงชิง ในระหว่างการประมูลห้ามใช้พลังต่อสู้กัน นี่เป็นการเตือนครั้งแรก หากฝ่าฝืนอีกล่ะก็ ขอให้ท่านทั้งสองออกจากที่นี่ไปซะ!” ผู้อาวุโสผมขาวค่อยๆ พูดออกมา แต่คำเตือนของเขาใครๆ ก็ฟังออก
“ผู้เฒ่าเฉียว ช่างเถอะ!” หญิงชุดม่วงพูดออกมาเบาๆ
ผู้อาวุโสชุดดำทำเสียงฮึดฮัดแล้วค่อยๆ เก็บกลิ่นไอบนตัว
เปลวไฟดำที่อยู่อีกด้านก็ค่อยๆ หายไป
“เอ๋! ที่แท้ก็เป็นเฉียวจื้ออี ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับผลึกที่มีชื่อเสียง และเป็นคนของตระกูลโอวหยางที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในจงโจว” บัณฑิตวัยกลางคนของสำนักเฮ่าหรานนั่งอยู่ในห้องที่นั่งพิเศษทางด้านตะวันออกอย่างสบายใจ แต่สายตาที่ตกอยู่บนตัวผู้อาวุโสชุดดำ กลับเผยแววตกใจเป็นอย่างมาก
“นิกายปีศาจลี้ลับ ตระกูลโอวหยาง คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมาร่วมสนุกในสถานที่เล็กๆ อย่างตลาดฉางหยางด้วย” บัณฑิตหนุ่มที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
“เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เดิมทีทั้งสองกลุ่มอิทธิพลต่างก็เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด ไหนเลยจะไม่ขัดหูขัดตากัน” บัณฑิตวัยกลางคนเก็บสีหน้าตกใจ และหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา
“หอการค้าเชียนเหมิงไม่อาจดูเบาได้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้หุ่นนักรบของนิกายใหญ่มาได้ อาจารย์อา หุ่นนักรบชุดนี้วิเศษถึงเพียงนี้ พวกเราจะประมูลด้วยหรือไม่?” บัณฑิตหนุ่มไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมของทั้งสองกลุ่มอิทธิพลนี้ แต่กลับถูกหุ่นนักรบกับบนเวทีดึงดูดสายตาไว้
“ไม่ต้องแล้ว หุ่นนักรบชุดนี้ราคาสูงจนเกินไป และไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับพวกเรา ช่างมันเถอะ!” บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวอย่างราบเรียบ
ตอนที่ 542 ต้นแบบอาวุธเวท
โดย
Ink Stone_Fantasy
เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้บรรยากาศในห้องประมูลเงียบสงัดขึ้นมาเล็กน้อย และผู้อาวุโสคิ้วขาวก็กลับมาท่าทีเกียจคร้านอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะแฮ่ม! สหายที่อยู่ด้านล่างเสนอราคาสองล้านแปดแสนหินจิตวิญญาณประมูลหุ่นนักรบชุดนี้ ไม่ทราบว่ายังมีคนให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่?” พอชายหน้าขาวเห็นว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว ก็รีบดำเนินการประมูลต่อ
“สามล้าน!” ชายหนุ่มชุดเขียวทำเสียงฮึดฮัดและจ้องมองผู้อาวุโสคิ้วขาวบนเวทีทีหนึ่ง จากนั้นก็เสนอราคาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“สามล้านห้าแสน!” หญิงชุดม่วงที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามก็ไม่ยอมอ่อนข้อแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มในใจอย่างขมขื่น และก็ยอมสงบปากแต่โดยดี
หากแย่งชิงต่อไปไม่เพียงแต่จะไร้ความหมายเท่านั้น หินจิตวิญญาณบนตัวก็ไม่พอด้วย
“ข้าเสนอสี่ล้านหินจิตวิญญาณ! ข้าจองหุ่นนักรบชุดนี้ไว้แล้ว!” ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างน่าขยะแขยง และกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
ขณะนี้ไม่มีใครเสนอราคาประมูลของชิ้นนี้แล้ว ทุกคนต่างก็มองห้องที่นั่งพิเศษทั้งสอง และรู้สึกทอดถอนใจกับกำลังทรัพย์ของกลุ่มอิทธิพลทั้งสอง
“สี่ล้านห้าแสน!” หญิงสาวชุดม่วงยังคงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน และไม่สนใจคำพูดสกปรกของชายหนุ่มชุดเขียว
“ห้าล้าน!” ชายหนุ่มชุดเขียวลุกขึ้นมา และเสนอราคาอันน่าตกใจทันที น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวชุดม่วงพยักหน้าเบาๆ ราวกับว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ จากนั้นก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่เสนอราคาเพิ่มอีก
สุดท้ายหุ่นนักรบชุดนี้ก็ถูกชายหนุ่มชุดเขียวประมูลไปในราคาห้าล้านหินจิตวิญญาณ
หลังจากหยุดพักชั่วคราว ชายใบหน้าขาวสะอาดก็ทำท่าทางเชื้อเชิญชายผิวดำที่อยู่ด้านข้าง
ชายผิวดำพยักหน้าและพลิกฝ่ามือหยิบกล่องผ้าแพรที่ดูประณีตขึ้นมา หลังจากเปิดฝาออกจะเห็นว่ามีแหวนที่มีลวดลายสีดำวางอยู่ในนั้น
“ทุกท่านต่างก็เป็นผู้ที่รอบรู้ คิดว่าคงมองเจ้าสิ่งนี้ออก ไม่ผิด! ของประมูลชุดสุดท้ายชิ้นที่สองก็คือแหวนย่อส่วนวงนี้ พื้นที่เก็บของด้านในมีขนาดห้าสิบจั้ง นับว่าเป็นอาวุธเก็บของล้ำค่า ราคาประมูลเริ่มต้นที่หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ เสนอราคาเพิ่มได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าห้าหมื่น” ชายผิวขาวแนะนำของประมูลไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ประกาศให้เริ่มการประมูล
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลงก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่าผู้คนส่วนมากต่างก็รู้จักแหวนวงนี้ดี
อย่างที่รู้ว่าแม้แต่ในแผ่นดินจงเทียนที่เป็นดินแดนของผู้ฝึกฝน ต่างก็ใช้ยันต์เก็บของเป็นหลัก
และยันต์เก็บของไม่เพียงแต่จะมีพื้นที่น้อย ซึ่งโดยทั่วไปมีขนาดไม่กี่จั้ง ทำให้ไม่อาจใส่สิ่งของที่มีขนาดใหญ่ได้ และชั้นจำกัดในนั้นก็มีจำกัด
ส่วนอาวุธเวทหรืออาวุธจิตวิญญาณที่ใช้เก็บของโดยทั่วไป ถ้าไม่มีขนาดใหญ่ก็จะมีพื้นที่น้อยกว่ายันต์เก็บของ ด้วยเหตุนี้จึงมีแค่ผู้ที่มีหน้ามีตาในนิกายหรือศิษย์ของตระกูลใหญ่เท่านั้น ถึงพอจะมีอาวุธเก็บของที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่พกติดตัวได้
อย่างเช่นหอยสังข์ย่อส่วนที่หลิ่วหมิงได้มาจากเผ่าเจ้าสมุทรนั้น ก็มีพื้นที่ภายในสามสี่จั้งเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
แหวนย่อส่วนวงเล็กๆ วงนี้กลับมีพื้นที่เก็บของห้าสิบจั้ง มันย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปอยากได้
แต่ราคาหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณก็ทำให้คนส่วนมากละทิ้งความคิดนี้ไป
หลิ่วหมิงจ้องมองแหวนงดงามบนแท่นสูงแล้ว ก็รู้สึกใจเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ช่วงระยะเวลานี้ เขาไปซื้อวัตถุดิบโอสถจำนวนมากจากทุกหนทุกแห่ง และมักจะรู้สึกตลอดว่าการใช้ยันต์เก็บของมันไม่ค่อยสะดวกมากนัก ทุกครั้งยังต้องใช้เวลาในการจัดการไม่น้อย และแหวนตรงหน้านี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี
“หนึ่งล้านหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ!” ผู้ที่มีกำลังทรัพย์มากยังคงมีอยู่ ไม่นานก็มีคนเสนอราคาอย่างรวดเร็ว
“หนึ่งล้านสองแสน!”
“หนึ่งล้านสองแสนห้าหมื่น!”
“หนึ่งล้านสามแสน!”
……
ผู้คนเริ่มแย่งประมูลกันอย่างคึกคัก ไม่นานราคาก็ถูกยกขึ้นสูงมาก
แต่คนที่ประมูลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนที่อยู่ด้านล่าง น้อยมากที่จะมีคนที่อยู่ชั้นสองเสนอราคาออกมา ในสายตาของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่ของที่หายากแต่อย่างใด
“หนึ่งล้านแปดแสนหินจิตวิญญาณ” ผู้ที่เสนอราคาคือผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธของหอเฉวียนจวี้
“หนึ่งล้านเก้าแสน!” ภายในห้องที่นั่งพิเศษบนชั้นสอง บัณฑิตหนุ่มสำนักเฮ่าหรานก็เข้าร่วมประมูลด้วย
ทั้งสองต่างก็ช่วงชิงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
“สองล้านหนึ่งแสน!” น้ำเสียงของผู้อาวุโสแซ่เจ้าดูเคร่งขรึมขึ้นมา สิ่งของที่เขาถูกใจต่างก็มีคนช่วงชิงกับเขาถึงสองครั้ง ตอนนี้สีหน้าของเขาจึงดูไม่เป็นสุขเล็กน้อย
“สองล้านสองแสน!” บัณฑิตหนุ่มเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา
ผู้อาวุโสแซ่เจ้าเงียบไปพักหนึ่ง ราคาขึ้นมาถึงจุดนี้ หินจิตวิญญาณบนตัวเขาก็ไม่พอเสียแล้ว
“สองล้านสองแสนห้าหมื่น!” ขณะนี้พลันมีเสียงแทรกเข้ามา
ผู้อาวุโสแซ่เจ้าเพ่งเล็งสายตาด้วยความตกใจเล็กน้อย คนที่เสนอราคาก็คือหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงมุมนั่นเอง
“คนผู้นี้ช่างมีกำลังทรัพย์มากนัก ก่อนหน้านั้นใช้หนึ่งล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณซื้อผงวิญญาณบริสุทธิ์ไป ตอนนี้ยังมีกำลังทรัพย์เหลือมาประมูลอีก หรือว่าเขาจะเป็นศิษย์ที่นิกายใหญ่ส่งมา หรือไม่ก็เป็นคนในตระกูลผู้ฝึกฝนที่มีชื่อเสียง?” ผู้อาวุโสแซ่เจ้าวิจารณ์อยู่ในใจสองสามประโยค จากนั้นก็ส่ายหน้าและถอนตัวออกจากการประมูลในครั้งนี้
“สองล้านสามแสนหินจิตวิญญาณ!” พอบัณฑิตหนุ่มเห็นว่ามีคนมาผสมโรงด้วย เขาก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็เสนอราคาเพิ่มขึ้น
“สองล้านสามแสนห้าหมื่น!”
“สองล้านสี่แสน!”
“สองล้านห้าแสน!”
เมื่อหลิ่วหมิงเสนอราคาสองล้านห้าแสน บัณฑิตวัยกลางคนก็ห้ามปรามบัณฑิตหนุ่มไว้ และเอ่ยปากอย่างราบเรียบ
“ก็แค่แหวนเก็บของวงหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้หินจิตวิญญาณมากถึงขนาดนั้น หากครั้งนี้สามารถช่วยสำนักดึงผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นมาเป็นพวกได้ ก็ให้ผู้เชี่ยวชาญถังหลอมให้เจ้าก็ได้ แม้จะจุของได้ไม่มาก แต่ก็พอสำหรับเจ้าใช้แล้ว”
“ขอบคุณอาจารย์อา!” บัณฑิตหนุ่มมได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าตอบรับด้วยความดีใจ
ที่จริงแล้ว ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าหินจิตวิญญาณจำนวนนี้ไม่คุ้มค่ากับแหวนเก็บของวงหนึ่ง เพียงแต่ก่อนหน้านั้นทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และไม่อยากเสียหน้าก็เท่านั้น
“ในเมื่อไม่มีคนเสนอราคา แหวนวงนี้ก็ตกเป็นของสหายผู้นี้แล้ว” แหวนเก็บของขายได้ในราคาที่สูงเช่นนี้ ชายหนุ่มหน้าขาวย่อมรู้สึกพอใจมากแล้ว หลังจากกวาดสายตามองดูโดยรอบ และเห็นว่าไม่มีใครแย่งชิงแล้ว เขาก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาอบอุ่น และประกาศออกมา
ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงก็ไปชำระหินจิตวิญญาณที่ห้องโถงด้านข้างด้วยความสบายใจ เช่นนี้แล้วเขาก็เหลือหินจิตวิญญาณอีกล้านกว่าๆ เท่านั้น
“ของประมูลชุดสุดท้ายยังคงมีอีกชิ้นสินะ?” หลิ่วหมิงเก็บกล่องผ้าดิ้น และถามคนรับใช้ชุดดำ
“อ้อ! ใช่แล้ว ยังมีอีกชิ้นสุดท้าย” คนรับใช้คนนี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะถามขึ้นโดยฉับพลัน จึงตอบด้วยความลนลานเล็กน้อย
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้องประมูลทันที
ของประมูลชิ้นสุดท้ายจะต้องเป็นของประมูลที่แท้จริงของงานประมูลในครั้งนี้อย่างแน่นอน
“หรือว่าสมบัติชิ้นสุดท้ายก็คือ……” พอนึกถึงข่าวลือในตลาดหลิ่วหมิงก็ใจเต้นขึ้นมา และแอบทำการคาดเดาในใจ
……
ในที่สุดการประมูลรอบสุดท้ายก็มาถึง ชายหน้าขาวที่อยู่บนเวทีเปลี่ยนจากรอยยิ้มที่นุ่มนวลกลายเป็นสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมา และชายผิวดำที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าจริงจังมาก
แม้แต่ผู้อาวุโสคิ้วขาวระดับแก่นแท้ก็นั่งยืดตัวตรง สีหน้าที่เคยง่วงเหงาหาวนอนแลครูเคร่งขรึมขึ้นมา
“สมบัติชิ้นต่อไปเป็นของประมูลชิ้นสุดท้ายของงานประมูลในครั้งนี้ ซึ่งเป็นของประมูลสุดท้ายที่แท้จริง เชื่อว่าทุกท่านที่อยู่ในที่นี้คงเคยได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้ว” ขณะที่พูด ชายผิวขาวก็พยักหน้าให้กับชายผิวดำที่อยู่บริเวณนั้น
ชายผิวดำถอนหายใจออกมา และก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็มาปรากฏตัวบนเวทีแล้วโบกมือไปด้านหน้า
แสงลำหนึ่งกระพริบผ่านไป ชั้นไม้ขนาดเล็กๆ ปรากฏตัวบนแท่นประมูล มีมีดเล็กสีเขียวที่ยาวครึ่งฉื่อวางขวางอยู่บนนั้น
คมมีดโค้งงอเล็กน้อย พื้นผิวเป็นสีเขียวมรกต ดูไม่ออกว่าสร้างขึ้นมาจากวัสดุอันใด ตัวมีดเปล่งแสงสีเขียวแวววาว มีอักขระเล็กๆ จำนวนมากหมุนวนอยู่บนพื้นผิวตลอดเวลา และด้ามมีดสีทองก็มีหยกแข็งสีเขียวเลี่ยมฝังอยู่ แลดูลึกลับเป็นอย่างมาก
แม้ว่าจะไม่มีคนกระตุ้น มีดเล็กสีเขียวหยกยังคงสั่นสะท้านเบาๆ แลดูคล้ายอสูรร้ายที่นอนจำศีล ประจักษ์ชัดว่ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ
พอมองอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าบนชั้นไม้จะมีด้ายแดงรัดพันมีดเล็กสีเขียวไว้เป็นชั้นๆ แต่ครู่ต่อมาก็ถูกลำแสงที่มีดเล็กแผ่ออกมาตัดขาดจนหมดสิ้น จากนั้นมันเกิดขึ้นซ้ำเดิมไปเรื่อยๆ ทำให้มีดเล็กไม่อาจหลุดออกมาได้
“เป็นอย่างที่ทุกท่านเห็น ของประมูลชิ้นสุดท้ายเป็นต้นแบบอาวุทเวทที่มีสามสิบหกชั้นจำกัด ‘มีดปีกตาข่าย’ ผู้เชี่ยวชาญเฟ่ยของหอการค้าเชียนเหมิงได้รวบรวมสมบัติฟ้าดินจำนวนมาก และใช้เวลาห้าปีเต็มๆ ถึงหลอมขึ้นมาได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นข้าไม่ขอพูดมากแล้ว เชื่อว่าทุกท่านคงรู้อยู่แก่ใจดี” ชายหน้าขาวค่อยๆ กล่าวออกมา
“นี่ก็คือต้นแบบอาวุทเวทหรือ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!”
“อานุภาพแข็งแกร่งมาก เมื่อครู่ข้าใช้จิตลองดูแล้ว ยังไม่ทันได้สัมผัสก็ถูกผลักออกมา สมกับเป็นสมบัติระดับสุดยอดจริงๆ!”
“หากได้มาไว้ในมือ พอฟันมีดนี้ลงไปเกรงว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดก็คงจะขาดเป็นสองส่วน”
ฝูงชนพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา มีคนกล่าวชื่นชมด้วยความประหลาดใจอยู่ตลอดเวลา
ผู้ที่เคยรู้เรื่องนี้มาบ้าง พอได้เห็นของจริงในตอนนี้ต่างก็มีสีหน้าเร่าร้อนขึ้นมา และอยากจะช่วงชิงมันมาให้ได้ใจจะขาด
“ไม่พูดอะไรมากแล้ว ตอนนี้เริ่มการประมูลได้ ราคาต่ำสุดสี่ล้านหินจิตวิญญาณ เสนอราคาเพิ่มได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน” ภายใต้การกวาดสายตามองของชายผิวขาว เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างพอใจต่อปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนในนั้นมาก เขาจึงประกาศออกมาในทันที
ขณะเดียวกันก็โบกมือหยิบผ้ามุ้งสีแดงมาคลุมมีดเล็กไว้
การปิดบังอำพรางเช่นนี้ทำให้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจมาก แต่ในเมื่อชื่อเสียงของหอการค้าเชียนเหมิงยังอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา แต่กลับกระตุ้นความปรารถนาของผู้คนมากขึ้น
“สี่ล้านหินจิตวิญญาณ!” คนสวมชุดสีเทาดูไม่เตะตาที่นั่งอยู่ตรงมุมรีบตะโกนออกมา
“สี่ล้านห้าแสน!” จากนั้นก็มีน้ำเสียงสูงๆ ของคนผู้หนึ่งดังออกมา ดูเหมือนจะเป็นชายหนุ่มผู้ฝึกฝนอิสระ เขากัดฟันกรอดๆ ราวกับจะกดดันผู้คนไว้ทั้งหมด
ตอนที่ 543 โลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงมองคนผู้นี้ทีหนึ่ง เขารู้ดีว่าคนผู้นี้ไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย การประมูลเพิ่งจะเริ่มขึ้น หากไม่มีกำลังทรัพย์อย่างถึงที่สุด ก็ไม่อาจซื้อได้สำเร็จ
ตัวเขาเองก็มีสีหน้าสงบ หนึ่งล้านกว่าหินจิตวิญญาณที่อยู่บนตัวเขาในขณะนี้ ซื้อไม่ได้แม้แต่ด้ามของมีดเล็กเล่มนี้ ที่ยังอยู่ที่นี่ก็เพื่อดูความสนุกเท่านั้น
“สี่ล้านหกแสน!” มีเสียงดังออกมาจากห้องที่นั่งพิเศษทางด้านตะวันออก จากนั้นชายหนุ่มผู้ฝึกฝนอิสระก็ตัวอ่อนลงไป ราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลม ประจักษ์ชัดว่าสี่ล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณคือขีดจำกัดสูงสุดที่เขาสามารถรับได้แล้ว
“สี่ล้านแปดแสน!” มีเสียงเสนอราคาเพิ่มขึ้นมาอีกสองแสน ซึ่งมาจากห้องที่นั่งพิเศษห้องหนึ่ง
“ห้าล้านหินจิตวิญญาณ!”
“ห้าล้านสองแสน!”
ไม่นาน ผู้เข้าร่วมการประมูลที่อยู่ชั้นหนึ่งต่างก็ค่อยๆ พากันปิดปากเงียบ ผู้ที่เสนอราคาในตอนนี้ล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในห้องพิเศษบนชั้นสอง
“ห้าล้านสามแสน!” ครั้งนี้เป็นชายหนุ่มชุดเขียวที่ส่งเสียงออกมา
“ห้าล้านห้าแสน!” น้ำเสียงเคร่งขรึมดังมาจากห้องที่นั่งพิเศษทางด้านตะวันตก
สีหน้าชายหนุ่มชุดเขียวเปลี่ยนไปทันที เขาจำน้ำเสียงนี้ได้ นี่คือยอดฝีมือระดับแก่นแท้ที่ใช้สองล้านหินจิตวิญญาณซื้อกระบี่ชิงหยวนไปนั่นเอง
ในที่สุดผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นก็ออกโรงแล้ว
ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น แม้พลังของเขาจะห่างชั้นกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงกำลังทรัพย์แล้ว เขาก็ไม่แพ้ผู้ใด
“ห้าล้านเจ็ดแสน!” ชายหนุ่มชุดเขียวไม่ยอมน้อยหน้าแต่อย่างใด
“หกล้าน!” ดูเหมือนเจ้าของน้ำเสียงเคร่งขรึมนี้จะทนไม่ได้เล็กน้อยแล้ว ถึงได้เพิ่มราคาทะลุไปที่หกล้านในทีเดียว
ชายหนุ่มชุดเขียวอึ้งไปทันที เดิมทีหินจิตวิญญาณในมือเขาพอที่จะเทียบได้กับหินจิตวิญญาณของยอดฝีมือระดับแก่นแท้เหล่านี้ได้ แต่ว่าใช้ประมูลหุ่นนักรบในก่อนหน้านั้นไปไม่น้อย ประจักษ์ชัดว่าตอนนี้เขามีอุปสรรคเล็กน้อยแล้ว
“ฮ่าๆ! ชิงจวีซื่อก็ถูกใจต้นแบบอาวุธเวทชิ้นนี้หรือ? ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าเองก็ค่อนข้างสนใจเช่นกัน หกล้านสามแสน!” น้ำเสียงแก่หง่อมดังสะท้อนในห้องประมูลราวเสียงปีศาจในความฝัน ซึ่งฟังไม่ออกว่าดังมาจากที่ใด
สภาพการณ์เช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่าเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ผู้หนึ่ง
“เฒ่าปีศาจเหยียน เจ้าก็มาด้วยหรือ? แต่ว่าข้าถูกใจของสิ่งนี้แล้ว จะต้องเอามาให้ได้ หกล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ!” ชิงจวีซื่อค่อยๆ ส่งเสียงออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้านเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้เข้าร่วมงามประมูลใหญ่ด้วย ทั้งยังมีถึงสองคน
“หกล้านแปดแสน!” เฒ่าปีศาจเหยียนยังไม่ทันได้เสนอราคา หญิงสาวชุดม่วงแซ่โอวหยางที่อยู่ในห้องที่นั่งพิเศษทางด้านตะวันตกก็ส่งเสียงออกมาก่อน คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าแย่งชิงกับระดับแก่นแท้ โดยไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
“เจ็ดล้าน!” ชิงจวีซื่อเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง
ภายในห้องที่นั่งพิเศษ หญิงสาวชุดม่วงเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา คุณสมบัติของมีดปีกตาข่ายนี้เป็นสิ่งที่นางต้องการพอดี จะต้องเอามาให้ได้
ก่อนหน้านั้นนางละทิ้งของดีไปหลายอย่าง ก็เพื่อของประมูลชิ้นสุดท้ายนี้ แต่ดูเหมือนว่าหินจิตวิญญาณบนตัวในตอนนี้จะมีไม่มากพอ
นางจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปซักพัก ผู้อาวุโสชุดดำก็ค่อยๆ เดินออกมาจากห้องที่นั่งพิเศษ และเหาะไปข้างแท่นสูง จากนั้นก็ประสานมือคารวะชายหน้าขาว
“หินจิตวิญญาณบนตัวคุณหนูข้ามีไม่พอ ตามที่พวกท่านได้กล่าวไว้ในตอนเปิดงาน ตอนนี้คงสามารถใช้ของจิตวิญญาณชิ้นนี้แทนหินจิตวิญญาณได้ใช่หรือไม่?”
“ที่แท้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉียวจื้ออี ไม่ผิด! เรื่องนี้ย่อมได้อย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าท่านเตรียมสิ่งใดมาแลกหินจิตวิญญาณหรือ?” พอชายผิวขาวเห็นหน้าคนที่มาชัดเจนแล้ว ก็รีบคารวะกลับ และกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบภาชนะบรรจุรูปร่างคล้ายน้ำเต้ากึ่งโปร่งแสงที่สูงชุ่นกว่าๆ ออกมา บนน้ำเต้ามีอักขระสีม่วงโบราณแปลกประหลาดสลักอยู่ ด้านในมีของเหลวสีทองอยู่ครึ่งน้ำเต้า
หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่าง มองดูของเหลวสีทองที่บรรจุอยู่ในน้ำเต้าด้วยแววตาฉงน
ชายหน้าขาวรับน้ำเต้าไปดูด้วยสีหน้างงงวย พอเปิดจุกมองดูของเหลวสีทองที่อยู่ในนั้น เขาก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็โยนน้ำเต้าไปให้ชายผิวดำที่อยู่ด้านหลัง
คนผู้นี้มองดูทีหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ส่งไปให้ผู้อาวุโสคิ้วขาว และสุดท้ายก็ส่งกลับมาที่มือชายหน้าขาวอีกครั้ง
ทั้งสามส่งเสียงคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายผิวขาวก็ประกาศออกมาด้วยเสียงที่ดังก้อง
“สิ่งนี้คือโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีที่พบเจอได้น้อยมาก ในน้ำเต้านี้มีทั้งหมดสิบหยด มีพลังชีวิตเข้มข้นมาก ไม่ว่าจะใช้ปรุงโอสถหรือทานโดยตรง ล้วนมีผลในการช่วยเพิ่มพูนพลังเวท และหล่อเลี้ยงพลังต้นกำเนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์”
พอหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่างได้ยินคำว่าโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำหมื่นปี ตอนแรกก็รู้สึกตกใจมาก แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เขาจะเป็นคนที่สุขุมมาโดยตลอด และคิดไม่ถึงว่าจะพบเจอสิ่งที่ตามหาอย่างยากลำบากได้ง่ายเช่นนี้
แต่หินจิตวิญญาณบนตัวหลิ่วหมิงกลับมีไม่มาก ซึ่งมีเพียงแค่ล้านกว่าเท่านั้น ประจักษ์ชัดว่าไม่สามารถประมูลของสิ่งนี้ได้โดยตรง ดูท่าคงต้องนำโอสถจิตวิญญาณในมือออกมาแลกหินจิตวิญญาณแล้ว
“ขอสหายประมูลให้หน่อย ราคาเริ่มต้นที่สองล้านหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสชุดดำรอจนชายผิวขาวประกาศเสร็จแล้ว เขาถึงกล่าวออกมา
ผู้คนในห้องประมูลทำการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันที เมื่อเผชิญหน้ากับโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำหมื่นปี ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีสีหน้าคึกคักอยากจะลองดู
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ภายในห้องที่นั่งพิเศษบนชั้นสอง ชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดขนนกค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะการประมูล
ภายในห้องที่นั่งพิเศษอีกห้องหนึ่ง ผู้อาวุโสชุดดำหัวเราะอย่างเยือกเย็น และค่อยๆ หลับตาลงพักผ่อน
“ตามประสงค์ของเจ้าของ โลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีสิบหยด ทำการประมูลราคาต่ำสุดที่สองล้านหินจิตวิญญาณ เสนอราคาเพิ่มได้ครั้งละไม่น้อยกว่าห้าหมื่น” ชายผิวขาววางน้ำเต้าไว้บนแท่นประมูล และประกาศด้วยรอยยิ้ม
ของที่นำมาประมูลอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทางหอการค้าย่อมเก็บค่าธรรมเนียมจำนวนหนึ่ง
“สองล้านหินจิตวิญญาณ!” มีคนเสนอราคาออกมาทันที
“สองล้านหนึ่งแสน!”
“สองล้านสองแสนห้าหมื่น!”
ประจักษ์ชัดว่าโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีมีชื่อเสียงมาก แต่กลับมีขายกันน้อย จึงมีคนอยากได้มันเป็นจำนวนมาก หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้เสนอราคา ก็มีคนเสนอออกไปหลายคนแล้ว
ไม่นานราคาก็สูงขึ้นมาหลายแสนหินจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงกลับสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ในเมื่อเขาจะต้องเอาของสิ่งนี้มาให้ได้ ก็ถือโอกาสรอให้ราคาขึ้นไปจนถึงขีดสุด แล้วค่อยเข้าร่วมประมูลก็แล้วกัน
“สองล้านหกแสน!” หลังจากผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่งเสนอราคาออกมา คนอื่นๆ ที่ยังแข่งประมูลกันอยู่ ก็พากันเงียบลงในทันที
แม้ว่าโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีจะล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีแค่สิบหยดเท่านั้น และราคานี้มันก็สูงมากแล้ว
“สองล้านเจ็ดแสนหินจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงยกมือเสนอราคา
“สองล้านแปดแสน!” พอคนผู้นั้นได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ยังคงเสนอราคาที่สูงกว่า
“สามล้าน!” น้ำเสียงของหลิ่วหมิงไร้ซึ่งความรู้สึก ประจักษ์ว่าเขาได้ตัดสินใจจะเอามันมาให้ได้แล้ว
ผู้ฝึกฝนอิสระคนนั้นเงียบไปทันที ราคาในตอนนี้สูงกว่าที่เขาคาดหมายไว้มากนัก หลังจากเขามีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ละทิ้งความคิดที่จะประมูลต่อทันที
ภายในห้องที่นั่งพิเศษ หญิงสาวชุดม่วงมองดูหลิ่วหมิงด้วยความสนใจ และเผยรอยยิ้มออกมา
โลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีสิบหยด สามารถขายได้ในราคานี้ นางก็รู้สึกพอใจมากแล้ว เช่นนี้นางก็มีหินจิตวิญญาณเพียงพอที่จะไปประมูลมีดปีกตาข่ายแล้ว
ไม่นาน ชายหน้าขาวก็ประกาศผลการประมูลออกมา
มีเสียงฮือฮาออกมาจากรอบด้านอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงประมูลของไปได้สองอย่างแล้ว ซึ่งต่างก็เป็นของที่มีมูลค่าไม่เบา ผู้คนในห้องประมูลจำนวนมากต่างก็สังเกตเห็นเขาแล้ว
ตอนนี้ยังสามารถประมูลชิ้นที่สามมาได้ จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเข้ามา และวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ
“ข้าจำได้ว่า เขาเป็นคนที่ประมูลแหวนเก็บของไปได้ในก่อนหน้า”
“คนผู้นี้ร่ำรวยจริงๆ ตอนนี้เขาใช้หินจิตวิญญาณไปสามสี่ล้านแล้วล่ะมั้ง คิดไม่ถึงว่าจะยังมีกำลังทรัพย์เหลือไปประมูลโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีอีก”
“คาดว่าคงเป็นคนที่กลุ่มอิทธิพลใหญ่บางกลุ่มส่งมา แต่ทำไมเขาถึงไม่ขึ้นไปยังห้องที่นั่งพิเศษบนชั้นสองล่ะ?”
สำหรับคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ หลิ่วหมิงทำราวกับไม่ได้ยิน
ไม่นานก็มีคนใช้เดินออกมาพาหลิ่วหมิงไปยังห้องโถงด้านข้าง เพื่อทำการชำระค่าสิ่งของ
ในเมื่อโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีประมูลเสร็จสิ้นแล้ว ชายหน้าขาวบนเวทีก็กำลังจะประกาศให้ทำการประมูลมีดปีกตาข่ายต่อ แต่กลับมีแสงสีดำกระพริบเหนือห้องที่นั่งพิเศษห้องหนึ่ง ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ราวกับเจดีย์ปรากฏออกมาอีกครั้ง เขาพลิกฝ่ามือหยิบสิ่งของอย่างหนึ่งขึ้นมา
“นายน้อยข้าก็มีหินจิตวิญญาณไม่เพียงพอ คิดจะประมูลของชิ้นนี้”
ชายหน้าขาวได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
หลิ่วหมิงกำลังจะเดินออกจากห้องโถง พอได้ยินเล่นนี้ก็รีบหันกลับมาดูทันที พอคนใช้ที่เดินนำอยู่ตรงหน้าสังเกตเห็นสายตาของเขา ก็รีบกล่าวออกมาอย่างรู้งาน
“ผู้อาวุโสอยากจะเข้าร่วมประมูลด้วยหรือ ถ้าเช่นนี้อีกสักครู่ค่อยมาชำระหินจิตวิญญาณก็ได้”
“ไม่ต้องแล้ว! ไปกันเถอะ!” หลิ่วหมิงละสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าของที่ชายฉกรรจ์นำออกมาจะเป็นอาวุธสายปีศาจ เขาย่อมไม่สนใจสิ่งนี้อย่างแน่นอน
ภายในห้องเล็กๆ ข้างห้องโถง หญิงชุดแดงที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวกำลังนั่งอยู่ที่นั่น โต๊ะด้านข้างมีน้ำเต้าวางอยู่ มีของเหลวสีทองบรรจุอยู่ครึ่งน้ำเต้า
หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เข้าไป หลังจากมองหญิงผู้นี้ทีหนึ่งแล้ว ก็ละสายตาลงบนน้ำเต้า
“สหายผู้นี้ ให้ข้าน้อยดูโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีได้หรือไม่?” เขาเอ่ยปากออกมาตรงๆ
“ในเมื่อสหายประมูลของสิ่งนี้มาแล้ว ย่อมได้อย่างแน่นอน!” หญิงชุดแดงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วนั่งลงเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ เขาหยิบน้ำเต้าขึ้นมาอย่างระมัดระวังและเปิดจุกออกมาดมกลิ่นไออยู่ครู่หนึ่ง พอมีกลิ่นไอหอมหวานสดชื่นปะทะใส่จมูก เขาถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ไม่เลว! ของสิ่งนี้คือโลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีจริงๆ” หลิ่วหมิงปิดจุกแล้ววางน้ำเต้าลงบนโต๊ะ
“ผู้อาวุโสหอการค้าเราได้ทำการตรวจสอบของสิ่งนี้ด้วยตนเอง เมื่อครู่สหายเองก็เห็นกับตา หรือว่ายังไม่สามารถเชื่อถือได้หรือ?” หญิงชุดแดงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ระมัดระวังไว้หน่อยก็ไม่ผิดอะไร เอาล่ะ! ในเมื่อสิ่งของถูกต้องแล้ว ก็เริ่มทำการส่งมอบกันเถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่พูดเขาก็นำถุงหนังกับกล่องหยกออกมาหนึ่งใบ และพูดออกมาตามตรง
“นี่คือหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณกับโอสถจำนวนหนึ่ง บนตัวข้ามีหินจิตวิญญาณไม่เพียงพอ จึงใช้ของที่มีมูลค่าเท่ากันแทน คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ตามหลักของการประมูลแล้วย่อมได้ แต่หากสหายจะใช้สิ่งของแทน ตามกฎแล้วจะต้องต่ำกว่าราคาท้องตลาดเล็กน้อย” หญิงชุดแดงทำเสียงฮึดฮัดออกมาเบาๆ ดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำพูดคิดเองเออเองของหลิ่วหมิง นางจึงพยักหน้ากล่าวอย่างเย็นชา
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้ว่าอะไร พอสะบัดแขนเสื้อ ถุงหนังกับกล่องหยกก็ถูกวางอยู่บนโต๊ะ และรอให้ฝ่ายตรงข้ามตรวจสอบอย่างเงียบๆ
ตอนที่ 544 กำเนิดหนอนจิตวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หญิงชุดแดงเห็นเช่นนี้ก็ตรวจสอบถุงหนังใบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากมั่นใจว่ามีหินจิตวิญญาณระดับสูงอยู่ในนั้นหนึ่งร้อยก้อนแล้ว ก็หยิบกล่องหยกขึ้นมาเปิดดู โอสถสี่เม็ดที่เปล่งแสงสีเขียวถูกวางอยู่ในนั้น
“นี่คือ……โอสถผลึกเย็น ทั้งยังเป็นโอสถพสุธาทั้งหมด!” หญิงชุดแดงเป็นผู้ดูแลเรื่องการประมูล ย่อมเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง หลังจากตรวจสอบดูเล็กน้อย ก็รู้ที่มาของโอสถนี้
บนผิวโอสถสีเขียวหยกเหล่านี้ ต่างก็มีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอยู่อย่างชัดเจน และยังส่งกลิ่นหอมจรุงใจออกมา ย่อมเป็นโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ผิด! เป็นโอสถผลึกเย็นจริงๆ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก บนตัวเขามีหินจิตวิญญาณไม่เพียงพอ จึงได้แต่นำโอสถผลึกเย็นเหล่านี้ออกมาแทนแล้ว
หญิงชุดแดงเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ดูเหมือนจะนึกถึงข่าวลือในตลาดขึ้นมาได้
“ทำไมล่ะ! โอสถเหล่านี้ไม่พอหรือ? ตามที่ข้าทราบมา โอสถผลึกเย็นระดับพสุธาหนึ่งเม็ด มีมูลค่าอย่างน้อยห้าแสนหินจิตวิญญาณ สี่เม็ดก็เท่ากับสองล้านพอดี” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
“ขอสหายอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ มูลค่าของโอสถสี่เม็ดนี้ย่อมเพียงพออย่างแน่นอน” หญิงชุดแดงได้ยินก็เรียกสติกลับมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มในเชิงขอโทษ
“ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าสะสางกันเรียบร้อย ข้าก็จะนำโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีไปแล้ว” ขณะที่พูดหลิ่วหมิงก็เก็บน้ำเต้าเข้าไปในแขนเสื้อ ขณะเดียวก็ลุกขึ้นมา และเตรียมจะเดินออกไป
“ขอสหายช้าก่อน ไม่ทราบว่าโอสถผลึกเย็นเหล่านี้……ท่านได้มาจากที่ใด?” พอหญิงชุดแดงเห็นหลิ่วหมิงกำลังจะไป นางก็รีบวิ่งมาถาม
“อะไรกัน การเก็บของค้ำประกันของพวกท่านยังต้องถามแหล่งที่มาด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงหันมาเล็กน้อย และกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
“ไม่! ข้าก็แค่ถามเฉยๆ” หญิงชุดแดงยิ้มออกมา
“ข้าซื้อโอสถเหล่านี้มาจากร้านค้าแห่งหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าไม่สามารถบอกได้” หลิ่วหมิงทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่หันมามองอีก
ท่าทีไม่ใส่ใจใยดีเช่นนี้ ทำให้หญิงชุดแดงรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจไม่หยุด เมื่อหลิ่วหมิงเดินออกไปแล้ว จิตใจของนางถึงค่อยๆ สงบขึ้นมา
หลังจากยืนเหม่ออยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง หญิงชุดแดงก็เก็บถุงหนังกับกล่องหยกที่อยู่บนโต๊ะไม้ และหมุนตัวเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องโถง
หลิ่วหมิงเดินออกจากห้องด้านข้างห้องโถง และยืนอยู่กลางทางเดินที่มุ่งไปสู่ห้องประมูล หลังจากเห็นว่าไม่มีใครตามหลังมาแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ดูจากท่าทีของหญิงชุดแดง เขารู้ว่าหอการค้าเชียนเหมิงจะต้องสืบเรื่องโอสถผลึกเย็นในตลาดเช่นกัน
และการขายโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาออกไปสี่เม็ดเช่นนี้ จะต้องทำให้พวกเขาสงสัยอย่างแน่นอน แต่เพื่อโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปี เขาก็ไม่อาจคำนึงอะไรได้มากนัก
อีกอย่างด้วยกำลังของหอการค้าเชียนเหมิง ไม่รู้ว่าบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถไว้ตั้งเท่าไหร่ แม้ว่าโอสถผลึกเย็นจะไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่คงไม่ถึงกับทำให้ฝ่ายตรงข้ามทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของตนเองได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาปลอมตัวเข้ามาทำการประมูล ดังนั้นจึงช่วยลดความกังวลใจลงไปอีกเล็กน้อย
ขณะที่กำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามารบกวนความคิดของหลิ่วหมิง
“ผู้อาวุโส ทำการมอบของเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?” คนที่เดินเข้ามาก็คือคนรับใช้ชุดดำคนนั้น พอเห็นหลิ่วหมิงเขาก็รีบคารวะทันที
“อืม! งานประมูลสิ้นสุดแล้วหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้กำลังทำการประมูลชิ้นสุดท้าย……” พอคนใช้ชุดดำกล่าวถึงตรงนี้ ก็มีน้ำเสียงเด็ดขาดดังออกมาจากห้องประมูล
“แปดล้านหินจิตวิญญาณ!” เสียงนี้ก็คือเสียงของหญิงสาวชุดม่วงนั่นเอง
หลิ่วหมิงพยักหน้าให้กับคนรับใช้ จากนั้นก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ในห้องประมูล หญิงสาวชุดม่วงตระกูลโอวหยางกำลังแข่งประมูลกับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ที่มีชื่อว่าชิงจวีซื่ออย่างดุเดือด จนราคาสูงถึงแปดล้านแล้ว
หลิ่วหมิงมีเรื่องในใจ จึงไม่ได้สนใจบรรยากาศในห้องประมูล พอเงยหน้ามองตรงทางออกห้องประมูล ก็พบว่าประตูใหญ่กำลังปิดสนิท ดูท่าคงต้องรอให้งานประมูลสิ้นสุดลง ถึงจะเปิดออกมาได้
หลิ่วหมิงถือโอกาสในขณะที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับการประมูลอยู่นั้น เดินไปยังบริเวณประตูอย่างเงียบๆ และหาที่นั่งรอคอยให้งานประมูลสิ้นสุดลง
ผ่านไปหนึ่งเค่อ งานประมูลก็ปิดฉากลงในสุด หญิงสาวชุดม่วงตระกูลโอวหยางใช้เก้าล้านสามแสนหินจิตวิญญาณ เอาชนะการประมูลจากชิงจวีซื่อ ชายหนุ่มชุดเขียว และคนอื่นๆ ได้ และในที่สุดก็ได้มีดปีกตาข่ายที่เป็นต้นแบบอาวุธเวทมา
ชายผิวขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฮึกเหิม จากนั้นถึงประกาศให้งานประมูลสิ้นสุดลง
ขณะที่ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออกมา หลิ่วหมิงก็รีบเดินเข้าไปปะปนกับฝูงชน และออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง เขาเดินลัดเลาะตามตรอกต่างๆ ในตลาด และปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์เดินออกมาจากตลาด
หลังจากหลิ่วหมิงมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาแล้ว เขาถึงหาสถานที่ที่ไม่มีคน เพื่อคืนร่างเดิมของตัวเอง จากนั้นก็เดินอ้อมไปเข้าตลาดจากประตูใหญ่อีกด้าน และกลับไปยังหอร้อยหลอมอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องลับบนชั้นสาม หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ สีเหลือง และกำลังสังเกตดูน้ำเต้ากึ่งโปรงแสงที่สูงชุ่นกว่าๆ อย่างละเอียด
มีอักขระสีม่วงโบราณแปลกประหลาดสลักอยู่บนน้ำเต้า ด้านในมีของเหลวสีทองบรรจุอยู่ครึ่งหนึ่ง มันคือโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีจำนวนสิบหยด ที่เขาใช้หินจิตวิญญาณกับโอสถระดับพสุธาแลกมาจากงานประมูล
เขาสำรวจดูอยู่พักหนึ่ง ก็ควักกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากอก และหยิบไข่หนอนพลังจิตใบนั้นออกมา หลังจากนำมาวางบนมือเบาๆ แล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลง และส่งพลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียน
ครู่ต่อมา มีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ข้างหู เมื่อภาพตรงหน้าดับมืดลง เขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว” ชายหนุ่มชุดดำยืนอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าสงบ
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้โลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีมาเร็วเช่นนี้ ทั้งยังมีมากถึงสิบหยด ดูท่าการฟักไข่หนอนพลังจิตคงไม่ใช่ปัญหาอะไรแล้ว” หลัวโหวกล่าวอย่างราบเรียบ
“ขอผู้อาวุโสบอกวิธีการผสมโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีนี้ด้วย” หลิ่วหมิงโค้งตัวเล็กน้อย และถามออกมาตามตรง
หลัวโหวได้ยินก็ไม่ตอบอะไร แต่กลับยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นแผ่นหยกก็พุ่งออกจากแขนเสื้อไปหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือออกไปรับไว้ และนำมาวางไว้บนหน้าผากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หญ้าเซี่ยหลิง วารีสีฟ้า หญ้าร้อยบุปผา ผลแปลงหยิน……
สิ่งที่บันทึกอยู่ในแผ่นหยกคือวัตถุดิบเสริมของน้ำเสริมพลังชีวิตนี้ ส่วนมากพบเจอได้บ่อยในตลาด รวบรวมได้ไม่ยาก
“หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วเชิญกลับไปเถิด!” ขณะที่พูด หลัวโหวก็ค่อยๆ โบกมือเพื่อไล่หลิ่วหมิงให้ออกไปจากห้องว่างเปล่าลึกลับ
“ผู้อาวุโสรอสักครู่ ไอปีศาจบนตัวหนอนพลังจิตนี้ ขอผู้อาวุโสขับไล่อีกรอบ” หลิ่วหมิงรีบกล่าวออกมา เขากลัวว่าจะถูกหลัวโหวไล่ออกไปอีก
ขณะนี้หลัวโหวถึงลืมตาทั้งคู่แล้วลุกขึ้นมา
“เจ้าไม่บอกข้าคงลืมไปแล้ว การดูดซับไอปีศาจในครั้งก่อนก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ไอปีศาจบนไข่หนอนพลังจิตคงฟื้นฟูมาแล้วทั้งหมด เอามาเถอะ!” หลัวโหวมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงได้ยินก็ยื่นแขนข้างหนึ่งออกไป และคลายนิ้วทั้งห้าออก เผยให้เห็นไข่หนอนที่อยู่กลางฝ่ามือ
หลัวโหวเพียงแค่ขยับนิ้วเล็กน้อย ไข่หนอนก็ลอยออกจากมือของหลิ่วหมิง และค่อยๆ ตกลงในมือของตนเองอย่างมั่นคง
จากนั้นเขาก็แสดงเคล็ดวิชาบางอย่างออกมาเหมือนกับตอนนั้น และเก็บไอปีศาจบนตัวไข่หนอนเข้าไปในแขนเสื้อ
“เอาล่ะ! เจ้านำไปได้แล้ว” นิ้วของหลัวโหวสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นไข่หนอนก็ค่อยๆ ลอยกลับเข้าไปในมือของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็รู้สึกว่ามีพายุบ้าระห่ำโจมตีเข้ามา จากนั้นภาพตรงหน้าก็พร่ามัว และเขาก็กลับมาในห้องลับอีกครั้ง
“หลัวโหวผู้นี้ช่างเข้าใจยากจริงๆ” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เก็บชั้นจำกัดในห้องลับ และเดินออกไป
ตอนนี้เพียงแค่รวบรวมวัตถุดิบเสริมมาให้ครบ ก็สามารถผสมเป็นของเหลวจิตวิญญาณที่ช่วยเสริมพลังชีวิตได้แล้ว
เวลาสั้นๆ แค่หนึ่งวัน หลิ่วหมิงก็รวบรวมวัตถุดิบเสริมจากร้านค้าสองสามแห่งจนครบ จากนั้นก็กลับไปยังห้องลับบนชั้นสามของหอร้อยหลอม
หลังจากเตรียมการไปรอบหนึ่งแล้ว หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิ และผสมของเหลวเสริมพลังชีวิตตามที่บรรยายไว้ในแผ่นหยก
เขานำวัตถุดิบมาบดละเอียด และใส่ไว้ในถ้วยเล็กๆ จากนั้นก็เทของเหลววารีสีฟ้าลงไปเล็กน้อยเพื่อเสริมประสิทธิภาพ ทำให้กลายเป็นของเหลวสีน้ำตาลปนฟ้า สุดท้ายถึงนำน้ำเต้าสีม่วงเล็กๆ ออกมา และค่อยๆ หยดโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีลงไป
“ตึ๋ง!”
พอโลหิตบริสุทธิ์สีทองหยดลงไปในถ้วยหนึ่งหยด ของเหลวสีน้ำตาลฟ้าที่เงียบสงบ ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นมา และเปล่งแสงสีทองออกมา
ขณะที่โลหิตบริสุทธิ์หยดลงไปสิบหยดนั้น ของเหลวสีน้ำตาลปนฟ้าก็กลายเป็นสีน้ำตาลทอง แสงสีทองที่เปล่งออกมาก็ดูเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันกระแสไออุ่นก็พุ่งออกจากพื้นผิวของเหลวจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงใช้นิ้วมือแตะด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้น กระแสไออุ่นก็ซึมเข้าปลายนิ้ว และพุ่งไปตามเส้นลมปราณอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายและแขนขาทั้งสี่รู้สึกสบายขึ้นมา
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก เขารีบกระตุ้นพลังเวทให้ไหลวนหนึ่งรอบ ผ่านไปซักพักไออุ่นถึงค่อยๆ สลายไป ร่างกายภายในก็กลับมาสงบดังเดิม
ขณะนี้ดูเหมือนว่าพลังเวทของเขาจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับว่าเพิ่งจะทานของเสริมพลังเข้าไปเป็นจำนวนมาก
ของเหลวนี้ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เพียงแค่สัมผัสเล็กน้อย ก็ให้ผลลัพธ์ถึงเพียงนี้
หลิ่วหมิงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เขารีบนำไข่หนอนพลังจิตออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และแช่ลงในถ้วยอย่างระมัดระวัง
พอไข่หนอนจมเข้าไปในของเหลวสีน้ำตาลทอง ไอน้ำสีทองเป็นสายๆ ก็ทะลักเข้าไปในตัวไข่ ทันใดนั้นก็ดูเหมือนกับว่าไข่หนอนจะมีชีวิตขึ้นมา และค่อยๆ ขยายออกอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นราวๆ เวลาครึ่งถ้วยชา ในที่สุดไข่หนอนก็หยุดดูดซับไอน้ำ และดูบวมเปล่งเล็กน้อย มันลอยอยู่ในของเหลวอย่างเงียบๆ
หลิ่วหมิงไม่ได้ไปจากห้องลับแต่อย่างใด แต่กลับนั่งรอคอยอยู่ด้านข้าง และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของไข่หนอนในถ้วย
สองสามวันผ่านไป แม้ไข่หนอนจะไม่ดูดซับไอน้ำอีก แต่ภายใต้ไออุ่นของของเหลวจิตวิญญาณ สีบนเปลือกไข่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวจางๆ มาเป็นสีทองจางๆ
ผ่านไปอีกหลายวัน
ขณะที่มีเสียง “เปรี๊ยะๆ!” ดังออกมาอย่างชัดเจน
ด้านหนึ่งของไข่หนอนในถ้วยก็ปรากฏรอยร้าวออกมา จากนั้นหนอนโปร่งแสงสีทองจางๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ ก็ค่อยๆ ปีนออกมาจากรอยร้าว และดูดกลืนกินของเหลวสีทองที่อยู่ในถ้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา และสังเกตดูตัวหนอนอย่างเงียบๆ
ตอนที่ 545 บรรลุข้อตกลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ่านไปอีกซักพัก หนอนน้อยก็หยุดกลืนกินของเหลวในที่สุด ร่างสีทองโปร่งแสงของมัน ดูชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็โบกมือข้างหนึ่งทันที หนอนน้อยสีทองจางๆ พุ่งออกจากถ้วย และตกลงบนฝ่ามือของเขา จากนั้นก็สำรวจดูอย่างละเอียด
จะเห็นว่าหนอนพลังจิตที่ฟักออกมามีลักษณะคล้ายๆ กับหนอนตัวไหม มีดวงตาข้างเดียวที่มีขนาดเท่าเม็ดข้าวสารอยู่บนหัว ลำตัวเป็นสีทองทั้งหมด พอมันเข้าไปในมือหลิ่วหมิง ก็เลื้อยขยุกขยิกไม่หยุด และยังพ่นของเหลวสีเขียวจางๆ จำนวนหนึ่งออกมาตลอดเวลา
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงนึกขึ้นได้ว่าหนอนตัวนี้ยังไม่รู้จักเจ้าของ พอเขายกแขนเสื้อขึ้นมา ก็มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ธงค่ายกลสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกไปรอบด้าน และจมหายไปบนพื้นอย่างไร้ร่องรอย
พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ค่ายกลสีเขียวขนาดจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏตรงใต้เท้าของเขา
เขานำตัวหนอนวางลงใจกลางค่ายกลเบาๆ จากนั้นก็กัดนิ้วของตนเอง และหยดโลหิตลงบนร่างของตัวหนอนสีทอง ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
ครู่ต่อมา มีคลื่นจิตวิญญาณสีเขียวขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งออกจากใจกลางค่ายกลเป็นจำนวนมาก และก่อตัวเป็นม่านแสงสีเขียวปกคลุมตัวหนอนไว้ ขณะเดียวกัน อักขระสีเขียวแต่ละตัวก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากค่ายกล และค่อยๆ จมลงไปในร่างของตัวหนอน
ผ่านไปไม่นาน ตัวหนอนที่เลื้อยขยุกขยิกอยู่ท่ามกลางม่านแสงก็ค่อยๆ สงบลง และนอนหมอบอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยื่นนิ้วสีขาวออกไปแตะบนตัวมันเบาๆ เพื่อจะใช้วิชาเชื่อมจิตสื่อสารกับมัน
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ พอนิ้วมือสัมผัสกับตัวหนอน พลังจิตอ่อนๆ ที่ไม่คุ้นเคยก็พุ่งผ่านนิ้วของเขา และแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ร่ายคาถากระตุ้นอักขระสีเขียวในค่ายกลให้พุ่งเข้าไปในร่างของตัวหนอนอย่างต่อเนื่อง
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดพลังจิตที่ตัวหนอนส่งเข้ามาก็ค่อยๆ ดูคุ้นเคยมากขึ้น เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ก็ยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วหมิงสื่อสารกับมันอย่างง่ายๆ ในที่สุดก็มั่นใจว่าหนอนตัวนี้ยอมรับเขาเป็นเจ้าของแล้ว และการสัมผัสในก่อนหน้านั้น มันก็ได้เลียนแบบพลังจิตของเจ้าของแล้ว
เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็เริ่มกระตุ้นพลังจิตอย่างต่อเนื่อง และทำการแลกเปลี่ยนกับมันอยู่ไม่หยุด
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน พลังจิตของหนอนตัวนี้ก็เหมือนกับของหลิ่วหมิงไม่มีผิด
ตอนนี้เขาถึงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็เก็บค่ายกล และดูดตัวหนอนเข้ามาในมืออีกครั้ง เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว เพื่อค่อยๆ ส่งพลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียน
พอดวงตาทั้งคู่ดับมืดลง เขาก็เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง
ครั้งนี้ภายในห้องว่างเปล่าสีเทาสลัวๆ กลับไม่มีแม้แต่เงาร่างของหลัวโหว
หลิ่วหมิงเคยชินกับการปรากฏตัวแบบลึกลับซับซ้อนของหลัวโหวตั้งนานแล้ว
ทันใดนั้น เขาก็ก้าวไปหน้าศิลาหุนเทียนโดยไม่คิดอะไรมาก หลังจากใช้จิตสื่อสารกับตัวหนอนบนมือเล็กน้อยแล้ว ก็สั่งให้มันปล่อยพลังจิตใส่ดวงตามายาปีศาจตรงหน้า
จะเห็นว่าภายใต้สถานการณ์ที่ตัวหนอนหลับตาข้างเดียวของมันลง พลังจิตอันแข็งแกร่งก็ถูกปล่อยออกจากตัว และจมหายไปในดวงตามายาปีศาจ
“หวึ่ง!”
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงได้ยินเสียงหวึ่งดังขึ้นในทะเลจิตรับรู้ จากนั้นภาพตรงหน้าก็พร่ามัว และตัวเขาก็เข้าไปในแดนมายาอีกครั้ง
ปีศาจหลานสี่ที่อยู่ไม่ไกลกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว……
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงกับปีศาจหลานสี่ก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากตายตกไปพร้อมกันแล้ว ในที่สุดหลิ่วหมิงก็กลับมาที่ห้องลับด้วยสีหน้าพอใจ
หลิ่วหมิงมองดูหนอนพลังจิตในมือ ดูเหมือนว่ามันจะสูญเสียพลังจิตไปมาก จึงเริ่มเข้าสู่สภาวะจำศีลแล้ว เขาเก็บมันเข้าไปในถุงด้วยรอยยิ้ม และพกไว้กับตัว
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ถอนหายใจยาวออกมา พอกวาดสายตามองไปในห้องอย่างไม่ใส่ใจ ก็ค้นพบว่าของเหลวสีน้ำตาลทองที่อยู่ในถ้วยบนโต๊ะหิน ยังคงแผ่ไออุ่นออกมาอยู่ ประจักษ์ชัดว่ามันยังมีพลังเหลืออยู่เล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงไข่ปีศาจสมุทรแปดขาที่ไม่อาจฟักออกมาได้
ตอนนั้นไข่ใบนี้ก็มีกลิ่นไอเปราะบาง พลังชีวิตแทบจะไม่มี ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจฟักออกมาได้ บางทีหากนำมันไปแช่ในของเหลวจิตวิญญาณนี้ ก็อาจจะมีผลลัพธ์เช่นเดียวกับตัวหนอนก็ได้
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ก็นำไข่ใบนั้นออกจากหอยสังข์ย่อส่วนทันที และวางลงในของเหลวจิตวิญญาณเบาๆ
เป็นดังที่คาดหมายเอาไว้ ไอน้ำสีทองค่อยๆ ซึมเข้าไปในไข่ แสงสีฟ้าเปล่งประกายออกจากพื้นผิว และพลังชีวิตก็ค่อยๆ แผ่ออกมา เพียงแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นช้ากว่าไข่หนอนในก่อนหน้านั้นหลายเท่า
ดูท่าหากจะฟื้นฟูไข่ใบนี้จริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าจะใช้เวลานานเท่าใด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยังคงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็นำน้ำเต้าที่บรรจุโลหิตบริสุทธิ์ออกมา พอทำท่ามือ น้ำเต้าก็สั่นสะท้านเบาๆ และปล่อยแสงสีขาวออกมา จากนั้นก็ม้วนเอาไข่ปีศาจสมุทรแปดขาพร้อมกับของเหลวจิตวิญญาณเข้าไปข้างในน้ำเต้า
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ น้ำเต้าในมือก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาลูบแหวนย่อส่วนที่สวมอยู่บนนิ้ว และเผยสีหน้าพอใจออกมา
จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิหลับตาเข้าฌานอีกครั้ง
……
ครึ่งเดือนต่อมา ผลกระทบจากงานประมูลใหญ่ก็ค่อยๆ หายไป
ในช่วงเวลานี้ หลิ่วหมิงใช้พลังจิตของหนอนพลังจิตเข้าแดนมายาในห้องว่างเปล่าลึกลับทุกวัน เพื่อทำการต่อสู้กับหลานสี่ จากนั้นก็เจียดเวลาไปดูสถานการณ์ในหอร้อยหลอม และเขากับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสอง ก็ค่อยๆ สนิทกันมากขึ้น
วันนี้หลิ่วหมิงปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำมาที่ร้านค้าของมนุษย์เผ่าค้างคาวอีกครั้ง
พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาในร้าน เถ้าแก่ชุดดำก็เดินมารับด้วยรอยยิ้ม
“สหายเย่ เชิญท่านไปนั่งรอที่ชั้นสามสักครู่ คุณหนูกำชับว่าหากสหายมาถึง ก็ให้ไปแจ้งนาง นางจะมาถึงในไม่ช้า” เถ้าแก่ชุดดำกล่าวอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย และไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนชั้นสามอย่างคุ้นเคย
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ภายในห้องรับรองห้องหนึ่งบนชั้นสาม หลิ่วหมิงกำลังนั่งอยู่ในนั้น และค่อยๆ จิบชาจิตวิญญาณที่มีรสชาติขมหวานเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง ประตูห้องรับรองก็ถูกผลักเบาๆ ฮูหยินวั่นที่ปิดหน้าด้วยผ้ามุ้งสีดำค่อยๆ เดินเข้ามา
“ทำให้สหายเย่ต้องรอนานแล้ว” หญิงชุดดำค่อยๆ นั่งลงตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างอบอุ่น
“ฮูหยินไม่ต้องมากพิธี” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างสุภาพ
“ที่สหายเย่มาในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าได้พิจารณาข้อเสนอที่ข้าพูดไปในครั้งนั้นอย่างไรบ้าง?” หญิงชุดดำหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ในเมื่อฮูหยินพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็จะพูดตามตรง หลังจากที่ข้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็รู้สึกว่าข้อเสนอของฮูหยินเที่ยงตรงและชอบธรรมดี ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าต่อไปจะขายโอสถผลึกเย็นให้กับร้านของท่าน เพื่อแลกกับผลผลึกเขียวและหินจิตวิญญาณ แต่ท่านต้องตอบรับเงื่อนไขของข้าสองข้อ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“เพียงแค่สหายเสนอโอสถผลึกเย็นให้เผ่าค้างคาวเรา มีข้อเรียกร้องอะไรก็พูดมาได้เลย เพียงแค่ข้าสามารถทำได้ จะต้องทำอย่างสุดความสามารถ” หญิงชุดดำได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ประการแรก การแลกเปลี่ยนของข้ากับร้านของท่านจะต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามให้มีข่าวลือใดๆ เล็ดลอดออกไปอย่างเด็ดขาด หากมีข่าวลือเล็ดลอดออกไปเพียงน้อยนิด การแลกเปลี่ยนระหว่างเราจะสิ้นสุดลงทันที ประการที่สอง ในระหว่างการปรุงโอสถอาจจะต้องใช้วัตถุดิบเสริมอื่นๆ หวังว่าทางท่านจะช่วยรวบรวมมาให้ได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“สหายเย่ยอมเชื่อใจขายโอสถผลึกเย็นให้กับร้านเรา นับว่าเป็นความโชคดีของร้านเราเป็นอย่างยิ่ง เงื่อนไขสองข้อนี้ไม่มีปัญหา” หญิงชุดดำตกปากรับคำทันที
“ดีมาก! ที่ข้ามาในครั้งนี้ยังหวังจะแลกผลผลึกเขียวที่โตได้ที่จำนวนหนึ่งด้วย” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็หยิบกล่องหยกสีขาวหิมะออกจากแขนเสื้อมาใบหนึ่ง และวางลงบนโต๊ะหน้าหญิงชุดดำ
หญิงชุดดำดีดนิ้วเบาๆ พอเปิดฝากล่องหยกออกมา ก็เผยให้เห็นถึงโอสถสีเขียวสองเม็ดวางอยู่ในนั้น มันเป็นโอสถระดับพสุธาที่มีลายโอสถห้าเส้นกับสี่เส้น
หลังจากหญิงชุดดำตรวจสอบโอสถอย่างละเอียดก็รู้สึกดีใจมาก แต่กลับขมวดคิ้วขึ้นมา และเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“สหายเย่ ผลผลึกเขียวคุณภาพดีสุดที่เรามีอยู่ในตอนนี้ มีอายุอยู่ที่ราวๆ แปดร้อยปีเท่านั้น ไม่รู้ว่าสหายจะถูกใจหรือไม่ หากต้องการคุณภาพที่สูงกว่านี้ ข้าน้อยจะสั่งคนไปเก็บ แต่เกรงว่าสหายคงต้องรอหลายวันหน่อย”
“แปดร้อยปี…… ก็ได้” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วตัดสินใจทันที
แม้ผลลัพธ์ของโอสถที่ปรุงขึ้นจากผลผลึกเขียวแปดร้อยปีจะสู้พันปีไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาเพียงแค่อยากใช้เวลาปรุงโอสถเล็กน้อย เพื่อแลกหินจิตวิญญาณมาชดเชยจากที่เสียไปในงานประมูล
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือในมือเขาตอนนี้ นอกจากจะมีโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาไม่กี่เม็ดแล้ว โอสถระดับต่ำอื่นๆ ก็ถูกขายไปก่อนงานประมูลจนหมดสิ้น และตัวเขาเองก็ต้องการโอสถธรรมดามาเพิ่มพลังเวทด้วย
“ขอบคุณสหายเย่ที่เข้าใจ ครั้งหน้าร้านเราจะเตรียมผลผลึกเขียวพันปีไว้ให้” ดูเหมือนหญิงชุดดำจะเตรียมการไว้ก่อนแล้ว หลังจากหัวเราะเฮ่อๆ และพลิกฝ่ามือข้างขึ้นมา กล่องไม้สีเขียวก็ปรากฏบนมือ
“สหายเย่ ผลผลึกเขียวแปดร้อยปีทั้งหกลูกนี้ คงพอที่จะแลกโอสถพสุธาทั้งสองเม็ดของสหายได้!” หญิงชุดดำเปิดกล่องไม้ออก และวางไว้ตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเปิดกล่องหยิบผลผลึกเขียวขึ้นมาหนึ่งลูกด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ผลผลึกเขียวแปดร้อยปีนี้มีมูลค่าอย่างน้อยเกือบสองแสนหินจิตวิญญาณ ใช้หกลูกแลกกับโอสถระดับพสุธาสองเม็ดก็เหลือเฟือแล้ว
“ตกลงตามนี้! นี่คือวัตถุดิบจำนวนหนึ่งที่อาจารย์ข้าต้องการ ต้องรบกวนร้านท่านแล้ว”
ขณะที่พูดหลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นเก็บกล่องไม้ และหยิบแผ่นหยกยื่นให้หญิงผู้นี้ ในนั้นบันทึกเกี่ยวกับวัตถุดิบเสริมที่เขาต้องการ และยังมีวัสดุจำนวนหนึ่งที่ต้องใช้ในการหลอมอาวุธ
“สหายเย่ไม่ต้องเกรงใจ สิ่งของเหล่านี้ข้าจะส่งคนรวบรวมให้โดยไว” หญิงชุดดำเก็บแผ่นหยกเข้าไปโดยไม่ดูแม้แต่น้อย จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนี้ก็ต้องขอบคุณฮูหยินมาก ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ และกล่าวออกมา
ตอนที่ 546 คำทำนายและโอกาส
โดย
Ink Stone_Fantasy
หญิงชุดดำส่งหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาในร้าน และเถ้าแก่ชุดดำก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
“คนผู้นี้ได้ตกลงจะขายโอสถผลึกเย็นทั้งหมดให้กับร้านของเราแล้ว นี่คือวัตถุดิบที่เขาต้องการ เจ้าสั่งคนไปรวบรวมมาให้เขาเถอะ!” หญิงชุดดำหยิบแผ่นหยกยื่นให้เถ้าแก่ชุดดำ และสั่งอย่างราบเรียบ
“ยินดีด้วยฮูหยิน คนผู้นี้ช่วยเผ่าเราปรุงโอสถได้ ภายหน้าเผ่าเราก็ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องเพิ่มพูนพลังเวทในการทะลวงคอขวดระดับของเหลวอีก เรื่องที่ฮูหยินสั่ง ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่ชุดดำรับแผ่นหยกและพูดอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ถอยออกไปด้วยความดีใจ
หลังจากเถ้าแก่ชุดดำออกไปแล้ว หญิงชุดดำก็ยืนเงียบอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็กลายเป็นหมอกดำก่อนหายไป
……
หลิ่วหมิงซื้อวัตถุดิบเสริมจำนวนหนึ่งในตลาด จากนั้นก็กลับไปหอร้อยหลอม และกักตัวปรุงโอสถอีกครั้ง
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อเขาใช้ผลผลึกเขียวที่มีจนหมด ก็ปรุงโอสถผลึกเย็นออกมาได้เกือบเจ็ดสิบเม็ด สิ่งที่เป็นไปตามความคาดคิดของเขาก็คือ ในนั้นมีครึ่งหนึ่งที่เป็นโอสถระดับสูง แต่กลับไม่มีโอสถพสุธาที่มีลายโอสถห้าเส้นขึ้นไปเลย
หลิ่วหมิงนำโอสถทั้งหมดใส่ลงในกล่องสองสามใบ จากนั้นก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในห้องลับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ทุกๆ สองสามก้าวเขาจะหยุดลง และลูบคางไปมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็เดินไปอีกสองสามก้าว และหยุดลงครุ่นคิดต่อ
ผงวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นวัสดุหลอมโล่เก้ากระโหลกก็ได้เตรียมพร้อมแล้ว พอที่จะพูดได้ว่าทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว เพียงแต่ขาดเงื่อนไขสำคัญสุดท้ายเท่านั้น
และอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่เข้าใกล้ต้นแบบอาวุธเวทนี้ เขาย่อมไม่ให้ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธคนอื่นๆ ทำการหลอมอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันเรื่องยุ่งยาก ดูท่าตอนนี้เขาจะต้องลงมือหลอมชั้นจำกัดสุดท้ายนี้ด้วยตนเองแล้ว
หลังจากเขาครุ่นคิดไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจฝึกฝนวิธีการเพิ่มชั้นจำกัดอาวุธจิตวิญญาณ
เพราะวิธีการนี้มีบันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ อย่างละเอียด เขาเพียงแค่ฝึกฝนให้เคยชินเล็กน้อย ก็คงสามารถเรียนรู้ได้
เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงก็เริ่มยุ่งอยู่ในตลาดอีกครั้ง
นอกจากเขาจะไปขายโอสถผลึกเย็นจำนวนหนึ่งให้ร้านเผ่าค้างคาว เพื่อแลกกับหินจิตวิญญาณหลายแสนแล้ว ก็ซื้อคัมภีร์สองสามเล่มที่มีความเกี่ยวข้องกับต้นแบบอาวุธเวทมาจากร้านค้าอื่นๆ และซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำจำนวนหนึ่งมาอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นถึงกลับหอร้อยหลอมด้วยสีหน้าพอใจ
…….
ภายในห้องหลอมอาวุธที่อยู่ในเรือนด้านหลัง หลิ่วหมิงกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสองอยู่
“ผู้เชี่ยวชาญหลี่ ผู้เชี่ยวชาญหัว ข้ามีอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำสองสามชิ้น แม้ว่าจะมีอานุภาพไม่มาก แต่จะให้ทิ้งไปเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดายไม่น้อย ดังนั้นจึงอยากนำมาปรับแต่งสักหน่อย หวังว่าจะช่วยเพิ่มชั้นจำกัดได้สองสามชั้น รบกวนขอคำชี้แนะจากสหายทั้งสองด้วย” หลิ่วหมิงทำเหมือนกับสอบถามผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสองอย่างไม่ใส่ใจ
“หากท่านทูตหลิ่วต้องการเพิ่มชั้นจำกัดสองสามชั้นให้กับอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่รวบรวมวัสดุที่เป็นพื้นฐานในการหลอมอาวุธ กับวัสดุเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของอาวุธจิตวิญญาณ ก็สามารถปรับแต่งได้แล้ว แต่แน่นอนว่ากำลังไฟที่ได้ที่กับเวลาในการปรับแต่ง ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมได้โดยง่าย” ชายแซ่หัวที่มีรูปร่างผอมแห้ง และมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปีเป็นคนกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นหากเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงหรือว่าระดับสุดยอดล่ะ ควรจะประทับชั้นจำกัดอย่างไร?” หลิ่วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และซักถามต่อ
“โดยพื้นฐานแล้ว การปรับแต่งชั้นจำกัดใหม่ให้กับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงและระดับสุดยอด ก็เหมือนกันกับอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ คือต้องใช้วัสดุเสริมธาตุเดียวกันกับวัสดุเสริมบางอย่างในการปรับแต่ง ส่วนจะใช้วัสดุเสริมอะไรนั้นต้องดูสถานการณ์เอา คัมภีร์หลอมอาวุธทั่วไปต่างก็มีบันทึกเกี่ยวข้องที่สามารถค้นคว้าประกอบได้ การปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดกับการเพิ่มจำนวนชั้นจำกัด ยังต้องใช้วัสดุมีชีวิตจำนวนหนึ่งที่พบเจอได้น้อยมาก แต่แม้ว่าจะรวบรวมวัสดุมาได้ครบ ความยากของมันก็ยังมากกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำหนึ่งเท่าขึ้นไป ข้าหลอมอาวุธมาสามสิบกว่าปี ก็ยังไม่อาจรับรองได้ว่าจะสามารถปรับแต่งได้สำเร็จในครั้งเดียว หากล้มเหลวยังอาจทำลายพลังของอาวุธจิตวิญญาณได้ อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปจะกำหนดจำนวนชั้นจำกัดหลังจากการปรับแต่งเสร็จในครั้งแรก หากจะปรับแต่งใหม่ในภายหลังล้วนอันตรายเป็นอย่างมาก และชั้นจำกัดที่เพิ่มขึ้นมายิ่งมีมาก มันก็ยิ่งไม่อาจสำเร็จได้โดยง่าย” ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างค่อนข้างบึกบึนกล่าวโดยไม่ต้องคิด
ชายหนุ่มแซ่หัวได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทั้งสองที่ช่วยชี้แนะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะยึดครองห้องหลอมอาวุธห้องหนึ่ง เพื่อลองดูก่อนแล้วกัน” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวออกมา
“ปกติจะเตรียมห้องหลอมอาวุธไว้ใช้สองห้องอยู่แล้ว ท่านทูตเลือกใช้ได้ตามสบายเลย” ชายแซ่หัวกล่าวออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
พอผู้เชี่ยวชาญหลี่ที่อยู่ด้านข้างได้ยิน ก็รู้สึกตกตะลึงโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีพวกเขาคิดว่าท่านทูตหลิ่วผู้นี้จะให้พวกเขาช่วยเพิ่มชั้นจำกัดอาวุธจิตวิญญาณให้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะหลอมด้วยตนเอง
หลิ่วหมิงพยักหน้า และเดินเข้าไปในห้องหลอมอาวุธอีกห้องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากปิดประตูลงแล้ว ก็สังเกตดูอุปกรณ์หลอมอาวุธที่อยู่ตรงหน้า
เนื่องจากก่อนหน้านั้นเขาอ่านคัมภีร์จำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอมอาวุธมา และเข้าใจขั้นตอนการเพิ่มขึ้นจำกัดอาวุธจิตวิญญาณตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนวัสดุนั้น เขาก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นแท่งเหล็กสีดำก็ปรากฏออกมา
……
สิบกว่าวันผ่านไป มีเสียง “ตู้ม!” ดังมาจากห้องหลอมอาวุธ จากนั้นเปลวไฟสีเทาก็พุ่งออกมาทั่วทิศ
ภายในห้องหลอมอาวุธ หลิ่วหมิงที่หน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่นหยุดทำท่ามือลง ลำแสงของค่ายกลขนาดสองสามจั้งที่อยู่ใต้ร่างพลันดับลงไป เผยให้เห็นมีดบินสีเทาที่ยาวฉื่อกว่าๆ ลอยอยู่กลางค่ายกล
ขณะนี้แสงบนมีดบินมืดลงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะสูญเสียพลังจิตวิญญาณไปไม่น้อย ชั้นจำกัดเดิมที่เคยมีห้าชั้นก็เหลือแค่สองชั้นเท่านั้น ประจักษ์ชัดว่าการปรับแต่งใหม่ในครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว
หลิ่วหมิงมองดูอาวุธจิตวิญญาณที่ร่วงกระจายเต็มพื้น และส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ภายในระยะเวลาสั้นๆ หลายวันมานี้ วัสดุหลอมอาวุธที่เขาเตรียมไว้ในก่อนหน้า ก็เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว และอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำเจ็ดแปดชิ้นนี้ นอกจากระฆังเล็กสีฟ้าที่เดิมทีมีสามชั้นจำกัดถูกเขาเพิ่มขึ้นมาอีกสองชั้นจำกัดแล้ว ที่เหลือล้วนล้มเหลวทั้งหมด
ในนั้นมีครึ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนมีดบินบนมือเล่มนี้ ซึ่งชั้นจำกัดลดน้อยลงไป และสูญสิ้นพลังจนไม่อาจใช้การได้ สามารถพูดได้ว่าแทงบัญชีเป็นของชำรุดได้แล้ว
ประจักษ์ชัดว่าการหลอมอาวุธไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาคิด!
หลิ่วหมิงมองดูมีดบินในมือสองสามที จากนั้นก็กัดฟันออกไปซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำจำนวนหนึ่งมาลองอีกครั้ง
เพราะการหลอมอาวุธก็เหมือนกับการปรุงโอสถ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีห้องว่างเปล่าลึกลับคอยช่วยเหลือ ก็ได้แต่ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องถึงจะค่อยๆ ยึดกุมเทคนิคไว้ได้
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงลุกขึ้นตบฝุ่นบนตัวแล้วเดินออกจากห้องหลอมอาวุธทันที เขากลับไปล้างหน้าหวีผมบนห้องชั้นสาม และเดินไปยังร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณตรงหัวถนน
ขณะเดียวกัน ภายในห้องลับใต้ดินของร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากหอร้อยหลอมไปไม่ไกล
แสงสีม่วงแปลกประหลาดพุ่งออกจากมุมต่างๆ ของห้องลับ และก่อตัวเป็นม่านแสงสีม่วงจางๆ
ภายในม่านแสง หญิงสาวชุดม่วงกำลังจ้องมองมีดบินที่เปล่งแสงสีขาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และปล่อยพลังออกมาอยู่ตลอดเวลา
ด้านล่างของมีดบินเป็นร่องขนาดจั้งกว่าๆ ไขว้สลับกันเป็นจำนวนมาก ของเหลวสีฟ้าในร่องค่อยๆ เลื้อยขยุกขยิก หากมองดูอย่างละเอียดจะค้นพบว่ามีลวดลายจิตวิญญาณจางๆ อยู่บนผิวของเหลวเหล่านี้
อีกด้านหนึ่ง นิ้วมือทั้งสอบของผู้อาวุโสชุดดำเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเข้าไปในร่อง ภายใต้การเปล่งประกายระยิบระยับของลายจิตวิญญาณสีฟ้าในร่อง มันก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นค่ายกลหลังหนึ่ง!
ขณะนี้ หญิงสาวชุดม่วงตะคอกเสียง และพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่มีดบินที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้น แสงสีขาวบนผิวมีดบินก็เปล่งประกาย และสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมา
ผู้อาวุโสรีบปล่อยพลังออกไปจำนวนมาก ของเหลวสีฟ้าในร่องพวยพุ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นไอน้ำสีฟ้าพุ่งเข้าใส่มีดบิน
ขณะเดียวกัน เสียงร่ายคาถาคลุมเครือก็ดังออกมาจากปากของหญิงสาวชุดม่วง
ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
ไอน้ำสีฟ้าบริเวณรอบๆ มีดบินสีขาวหยุดชะงักในฉับพลัน และก่อตัวเป็นลูกกลมๆ ห่อหุ้มมีดบินไว้อย่างแน่นหนา ทั้งยังส่งเสียงดัง “หวึ่งๆ!” ออกมาตลอดเวลา
หญิงสาวชุดม่วงขมวดคิ้ว และหยุดร่ายคาถาลง จากนั้นก็จ้องมองลูกกลมๆ สีฟ้ากลางอากาศ
ชั่วเวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา เสียงดังหวึ่งๆ ในลูกกลมๆ ก็หายไป ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนท่ามือแล้วชี้ไปกลางอากาศ ลูกกลมๆ สีฟ้าสลายตัวเป็นไอน้ำ เผยให้เห็นมีดบินที่เปล่งแสงสีขาวสลัว
พอหญิงสาวชุดม่วงชี้มือข้างหนึ่งออกไป มีดบินก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบราวกับมีชีวิต จากนั้นก็ค่อยๆ ตกลงบนมือของนาง
“ยินดีด้วยคุณหนู มีดบินเล่มนี้ปรับแต่งสำเร็จแล้ว” ผู้อาวุโสหยุดทำท่ามือและโค้งตัวกล่าว
“ในที่สุดก็ปรับแต่งมีดบินที่เป็นต้นแบบอาวุธเวทเสร็จสิ้น หากครั้งนี้ไม่มีผู้เฒ่าเฉียวคอยช่วย และทานโอสถลับยกระดับพลังเวทให้ถึงขีดสุดชั่วคราวล่ะก็ เกรงว่าลำพังแค่พลังของข้าคงไม่อาจปรับแต่งมันได้” หญิงสาวชุดม่วงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วกล่าวออกมาเบาๆ
“นี่เป็นความโชคดีของคุณหนู คุณหนูจะต้องมีวาสนาต่ออาวุธเวทชิ้นนี้อย่างแน่นอน เดิมทีคนในตระกูลผู้นั้นเคยทำนายว่าคุณหนูมีโอกาสอันยิ่งใหญ่ในสถานที่แห่งนี้ ไม่แน่อาจจะเป็นสมบัติชิ้นนี้ก็ได้” ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ชื่อเฉียวจื้ออีผู้นี้ลูบหนวดเครายาวๆ แล้วกล่าวออกมา
“เรื่องนี้คงไม่ใช่ แม้สมบัตินี้จะมีประโยชน์ต่อข้า แต่ด้วยสถานะทายาทสายตรงของตระกูลอย่างข้า เพียงแค่เข้าสู่ระดับผลึกได้ ย่อมได้รับต้นแบบอาวุธเวทเช่นกัน อีกอย่างด้วยสถานะของคนผู้นั้น ไหนเลยจะเห็นต้นแบบอาวุธเวทอยู่ในสายตา แล้วจะเรียกว่าโอกาสอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?” หญิงสาวชุดม่วงส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา
“เรื่องนี้…… คุณหนูกล่าวได้ถูกต้อง ด้วยวิชาการทำนายของคนผู้นั้น กะอีแค่ต้นแบบอาวุธเวทย่อมไม่เข้าตาเขาอย่างแน่นอน” เฉียวจื้ออีกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ตอนที่ 547 ปีศาจหยินหยาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำทำนายที่พูดถึงเป็นวิธีการสอบถามอนาคต ในโลกผู้ฝึกฝนมีคนจำนวนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับพลังในการรู้ความลับของสวรรค์อย่างทะลุปรุโปร่ง ผู้คนเรียกกันว่าโหราจารย์
แต่เนื่องจากการทำนายเป็นการกระทำที่ขัดต่อฟ้า ดังนั้นการทำนายในแต่ละครั้งโหราจารย์จะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก โหราจารย์จะต้องสูญเสียอายุขัยจำนวนมากเป็นข้อแลกเปลี่ยน ถึงทำนายอนาคตได้อย่างลางๆ และไม่สามารถทำนายออกมาตรงๆ ได้ แม้จะมีโหราจารย์จำนวนมาก แต่ผู้ที่ยอมทำนายให้คนอื่นนั้นกลับมีอยู่น้อยมาก
อีกจุดหนึ่ง หากผู้ทำนายกับผู้ถูกทำนายเป็นสายเลือดเดียวกัน ผลที่ทำนายออกมาถึงจะแม่นยำขึ้นเล็กน้อย มิเช่นนั้นผลการทำนายจะผิดเพี้ยนไป
ดังนั้นตระกูลมีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง มักจะให้โหราจารย์ในตระกูลทำนายความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมในอนาคตโดยไม่เสียดายอายุขัย เพื่อวางแผนรับมือล่วงหน้า เพราะการทำนายเป็นการเสี่ยงทายตามผังปากว้าในอนาคตเท่านั้น หากหลังจากนี้มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ในอนาคตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
แต่ว่ามีโหราจารย์ที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง มีลางเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ ทั้งยังแม่นยำยิ่งนัก และไม่ทำให้สูญเสียอายุขัยเลยแม้แต่น้อย
โหราจารย์แข็งแกร่งของตะกูลโอวหยางผู้หนึ่ง ที่ค่อนข้างมีสายเลือดใกล้ชิดกับหญิงสาวชุดม่วง ได้เกิดภาพนิมิตเกี่ยวกับนางโดยไม่ตั้งใจ และทำนายว่านางอาจจะพบเจอกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในตลาดฉางหยาง
มิเช่นนั้นหญิงสาวจะออกจากตระกูลโอวหยางมาอย่างง่ายดายได้อย่างไร
“ลำบากผู้เฒ่าเฉียวแล้ว คิดว่าท่านควบคุมค่ายกลคงเสียพลังเวทไปไม่น้อย รีบไปพักผ่อนเถอะ หากโอกาสนั้นมาถึงจริงๆ ล่ะก็ ข้ายังต้องให้ท่านช่วยอีกครา!” หญิงสาวชุดม่วงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วง ถ้าอย่างนั้นคนแก่อย่างข้าก็ขอลาแล้ว” เฉียวจื้ออีพยักหน้าแล้วถอยออกไป
ภายในห้องลับชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดเขียวนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้น กำลังฝึกควบคุมหุ่นนักรบทั้งสี่ที่เพิ่งได้มาใหม่อยู่
จะเห็นว่าหุ่นนักรบสี่ตัวที่สูงจั้งกว่าๆ ได้ยืนก่อตัวเป็นค่ายรบหลังหนึ่ง ภายใต้การกระตุ้นเคล็ดวิชาของชายหนุ่มชุดเขียว ร่างของมันก็พร่ามัวเปลี่ยนตำแหน่งไปมา ดวงตาสีแดงทั้งคู่เปล่งประกาย
ในขณะที่ดวงตาสีแดงทั้งคู่เปล่งประกายนั้น มือทั้งสองก็โบกสะบัดอย่างรวดเร็วจนแม้แต่พายุก็ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ การโจมตีและการป้องกันรวมกันเป็นหนึ่ง จนดูเหมือนไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น พอเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ลมเย็นก็พัดผ่านไป หุ่นนักรบสี่ตัวเปล่งแสงสีทองออกมารอบตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นมุกสีเหลืองขนาดชุ่นกว่าๆ และม้วนเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ขณะนี้ชายหนุ่มชุดเขียวถึงเผยสีหน้าพอใจออกมา เขาพลิกฝ่ามือหยิบเศษกระจกโบราณออกมาจากอก หลังจากมองดูอย่างละเอียดแล้วก็ใส่กลับเข้าไปที่เดิม จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนเดินออกไปจากห้องลับ
“หุ่นนักรบทั้งสี่นี้ ข้าคุ้นเคยกับการควบคุมแล้ว หากใช้มันพร้อมกัน พลังของพวกมันก็จะบรรลุถึงระดับผลึกขั้นต้นได้ ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าข้ากับเจ้าเลย ข้าตัดสินใจออกไปคนเดียวชั่วระยะเวลาหนึ่ง เจ้าไม่ต้องตามข้าแล้ว” ชายหนุ่มชุดเขียวพูดกับชายฉกรรจ์ระดับผลึกที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูผู้นั้น
“ไม่ทราบคุณชายจะเป็นที่ไหนคนเดียวหรือ?” ชายฉกรรจ์ส่งเสียงแหบแห้งออกมาเบาๆ
“ผู้อาวุโสตันเถิงไม่ได้บอกไว้หรือ ช่วงนี้อาจจะมีสมบัติล้ำค่าปรากฏตัวบริเวณตลาดฉางหยาง ข้ารออยู่ที่นี่มาตั้งครึ่งปีแล้ว มันน่าเบื่อเกินไป วันนี้มีหุ่นนักรบทั้งสี่อยู่ข้างกาย จึงวางแผนไปเดินดูบริเวณนี้สักหน่อย เพื่อดูว่าจะได้พบกับโอกาสอันยิ่งใหญ่นั้นหรือไม่ อีกอย่างจะได้ถือโอกาสฆ่าผู้ฝึกฝนนิกายยอดบริสุทธิ์สองสามคน เพื่อระบายความแค้นของคนที่ตามฆ่าก่อนหน้า” ชายหนุ่มชุดเขียวทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นคุณชายต้องระวังตัวให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้ลงมือใกล้ตลาดฉางหยางจนเกินไป เพราะในตลาดมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขึ้นไปประจำการอยู่” ชายฉกรรจ์ไม่ได้เอ่ยปากห้ามแต่อย่างใด เพียงแค่เตือนให้ระวังเล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี” ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นก็หายวับไปจากประตูห้องลับ
ผ่านไปซักพัก ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งก็มาปรากฏตัวท่ามกลางป่าที่เขียวชอุ่มเป็นดง
หลังจากมองดูรอบๆ และเห็นว่าไม่มีคนอื่นแล้ว ชายหนุ่มชุดเขียวก็หัวเราะเฮ่อๆ! และเอามือข้างหนึ่งลูบหน้า
ครู่ต่อมา มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! ดังออกจากร่างของชายหนุ่มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และร่างของเขาก็ขยายใหญ่หลายเท่า พริบตาเดียวก็กลายเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ และเมื่อเขาเอามือออกจากหน้า หน้าของเขาก็กลายเป็นใบหน้าหยินหยางที่มีสีขาวกับสีดำ
หากมีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ที่นี่ ก็จะจำใบหน้าหยินหยางนี้ได้ ซึ่งก็คือปีศาจหยินหยางที่มีชื่ออยู่ในอันดับที่สามสิบของบัญชีความเป็นความตายนั่นเอง
คนผู้นี้ได้ชื่อมาจากใบหน้าหยินหยางแปลกประหลาด แต่พลังสายปีศาจก็ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีพลังมหาศาล เขาเคยสังหารศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์เจ็ดคนในทีเดียว การลงมือโหดเหี้ยมยิ่งนัก พลังก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก
หลายปีก่อน คนผู้นี้เคยเจอกับกู่เทียนฉีที่เป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ในสถานที่บางแห่ง และเขาถูกไล่ล่า หลังจากหลบหนีอยู่หลายวัน แม้จะอาศัยวิชาแปลกประหลาดบางอย่างหลบหนีรอดมาได้ แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงหายตัวไปตั้งแต่ตอนนั้น
“เฮ่อๆ! เจ้าพวกสวะนิกายยอดบริสุทธิ์ วันนี้เอาเลือดมาเซ่นไหว้ข้าซะ วิชาปีศาจของข้าจะได้รุดหน้าไปอีกขั้น” ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางหัวเราะอย่างน่าเกลียด หลังจากเลียริมฝีปากแล้ว ร่างของเขาก็พร่ามัวหายไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา ใต้ตีนยอดเขาสูงเสียดฟ้าที่อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางไปหลายสิบลี้ ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กที่สวมชุดศิษย์ธรรมดาของนิกายยอดบริสุทธิ์กับชายหนุ่มชุดขาวกำลังเดินคุยกันอยู่
ทันใดนั้นลมเย็นก็พัดผ่านไป ต่อมาชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางอัปลักษณ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสอง
“ปีศาจหยินหยาง!” ชายร่างเตี้ยเล็กเห็นเช่นนี้ก็หลุดปากร้องออกมา
“แม้แต่ศิษย์ธรรมดาระดับของเหลวขั้นต้นอย่างเจ้ายังรู้จักชื่อเสียงของข้า ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์คงจะให้ความสำคัญกับข้ามาก” ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางหัวเราะ และหยอกเย้าด้วยคำพูด
ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กรีบควักพัดสีเขียวออกมาด้วยความหวาดกลัว พอพัดออกไปเบาๆ พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกมา และก่อตัวเป็นกำแพงโปร่งแสงหมุนวนอยู่รอบๆ จากนั้นก็นำยันต์สีเทามาขยี้จนละเอียด และม่านแสงสีเหลืองก็ปกคลุมอยู่รอบตัวเขา
ปีศาจหยินหยางเพียงแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น พริบตาเดียวก็กลายเป็นไอหมอกสีเขียวหายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กพลันรู้สึกเย็นที่หน้าอก กรงเล็บยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งเจาะทะลุเกราะป้องกันทั้งสองชั้นไป จากนั้นเงาร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา ซึ่งก็คือปีศาจหยินหยางนั่นเอง
พอปีศาจหยินหยางหดแขนกลับ กำแพงพายุโปร่งแสงรอบตัวชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กกับม่านแสงสีเหลืองก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนสลายไปในอากาศ
ตั้งแต่ชายร่างเตี้ยเล็กหยิบพัดออกมาจนถึงตอนที่ปีศาจหยินหยางโจมตีจนเสียชีวิตนั้น ใช้เวลาเพียงแค่สองอึดใจเท่านั้น
ภายใต้ความตื่นตระหนกตกใจ ชายหนุ่มชุดขาวหน้าตาดีเพิ่งจะหยิบยันต์ผืนหนึ่งออกมา และเตรียมจะขยี้ให้แหลกละเอียดเพื่อทำการหลบหนี แต่พอเห็นสหายของตนเองถูกฆ่าอย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจจนตัวสั่นสะท้าน และไม่กล้าทำการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
“มีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น เจ้าไม่ใช่คนของนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ” ปีศาจหยินหยางหันไปกล่าวกับเขาอย่างราบเรียบ
“ข้า….. ข้าเพียงแค่พบเจอกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญเท่านั้น ไม่…… ไม่รู้จักเขา และไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับนิกายยอดบริสุทธิ์ ขอผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย” ขณะนี้ชายหนุ่มชุดขาวมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เขาตะโกนขอชีวิตด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน
“ต้องโทษที่เจ้าเดินมาพร้อมกับคนของนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว” ปีศาจพลังหยินขยับมุมปากและส่งเสียงเยือกเย็นออกมา จากนั้นก็ใช้มือคว้าไปทางชายหนุ่ม และไอหมอกกรงเล็บปีศาจสีเขียวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกไป
มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังมาจากหุบเขา
……
หลายวันต่อมา เริ่มมีข่าวลือเรื่องการปรากฏตัวของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่โจมตีผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายยอดบริสุทธิ์ดังออกมา
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งเดือน ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็ถูกโจมตีจนเสียชีวิตติดต่อกัน และสิ่งของล้ำค่าบนตัวก็ถูกปล้นไปจนหมดสิ้น ชั่วขณะนั้น ผู้คนในท้องตลาดที่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายยอดบริสุทธิ์ต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนกันมาก
ผ่านไปไม่นาน ภายในห้องหลอมอาวุธตรงเรือนหลังหอร้อยหลอม ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ออกจากการกักตัว หลังจากโบกมือสลายชั้นจำกัดที่ปกคลุมอยู่ในห้องแล้ว เขาก็ค่อยๆ ก้าวออกไปจากห้อง
ในระหว่างเวลานี้ เขาอาศัยวิชาหนึ่งจิตสองพลังทำการหลอมอาวุธจิตวิญญาณไปด้วย และทำความเข้าใจคัมภีร์ไปด้วย หลังจากฝึกฝนประทับชั้นจำกัดซ้ำๆ กันหลายรอบ ในที่สุดก็กุมเทคนิคการหลอมอาวุธง่ายๆ ขั้นต้นได้ ขณะนี้พุ่งเป้าหมายไปยังอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ และเพิ่มชั้นจำกัดหลายชั้นกับคุณสมบัติเพิ่มเติม จนมีอัตราความสำเร็จสูงถึงเก้าส่วนขึ้นไป
แต่เขายังคงไม่มั่นใจว่าจะสามารถยกระดับโล่เก้ากระโหลกให้เป็นต้นแบบอาวุธเวทในครั้งเดียวได้ เพราะเขารวบรวมวัสดุได้ยากเย็นเช่นนี้ หากการปรับแต่งล้มเหลว เขาก็ต้องสูญเสียไม่น้อย
ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะไปซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่ตลาดมาฝึกฝนนั้น แผ่นค่ายกลบนเอวก็พลันส่งเสียงดังขึ้นมา จากนั้นน้ำเสียงตื่นตระหนกของเถ้าแก่เย่ก็ดังขึ้น
“ท่านทูตหลิ่ว แย่แล้ว! เกิดเรื่องกับผู้เชี่ยวชาญหัวแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้นกับผู้เชี่ยวชาญหัว?” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก จึงรีบทำท่ามือกระตุ้นแผ่นค่ายกลแล้วถามออกไปทันที
“วันนี้ผู้เชี่ยวชาญหัวออกไปข้างนอกแต่เช้า เพื่อเก็บวัสดุหลอมอาวุธจำนวนหนึ่งบริเวณเหมืองแร่ เมื่อครู่เขาเพิ่งจะส่งข่าวมาว่า ในระหว่างทางที่กลับมาพร้อมกับสหายอีกสองท่าน ได้ถูกปีศาจหยินหยางลอบโจมตี ตอนนี้สถานการณ์วิกฤตมาก ขอท่านฑูตหลิ่วรีบไปช่วยโดยเร็ว!” น้ำเสียงของเถ้าแก่เย่ดูร้อนใจเล็กน้อย
“ได้! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” หลิ่วหมิงตอบอย่างเด็ดขาด
เขาเป็นศิษย์ประจำการในหอร้อยหลอม พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ย่อมไม่อาจชักช้าบอกปัดได้
หลังจากหลิ่วหมิงถามตำแหน่งของผู้เชี่ยวชาญหัวอย่างชัดเจนแล้ว ก็รีบเก็บแผ่นค่ายกล และออกไปจากหอร้อยหลอมทันที
พอออกจากตลาด เขาก็ขี่เมฆทะยานฟ้าทันที ทั้งยังแปะยันต์ไว้บนตัวผืนหนึ่ง ทันใดนั้นก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่งอย่างรวดเร็วราวกับลมกรด
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อต่อมา เขาก็มาถึงหุบเขาเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากตลาดไปร้อยกว่าลี้
จากการบอกกล่าวของเถ้าแก่เย่ พวกของผู้เชี่ยวชาญหัวถูกโจมตีในบริเวณนี้ หลิ่วหมิงจึงปล่อยพลังจิตออกไปค้นหาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ตู้ม!”
ขณะนั้นเอง มีเสียงพลังเวทโจมตีกันดังมาจากผืนป่าที่อยู่ไกลๆ
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น