หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 524-529
บทที่ 524 หรือจะเป็นโอกาสทอง
Ink Stone_Fantasy
“ที่นี่น่ะหรือ” เจ้าเยี่ยเมิงจ้องมองไปยังอีกฝั่งฟากเหวที่ถูกปกป้องไว้ด้วยชั้นป้องกัน นางสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าตกใจกับภาพที่เห็นอย่างชัดเจน นางหันกลับมามองหวังเป่าเล่อ แม้จะรู้ดีว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อสูงกว่าตนเองและผู้ฝึกตนคนอื่นมาก แต่ก็เชื่อว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในจะเดินเข้าเดินออกได้ตามอัธยาศัย
จั่วอี้ฟานเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาตกใจกับสิ่งที่รอตนเองอยู่ที่อีกฟาก เห็นได้ชัดว่าโลกที่ผ่านชั้นป้องกันไปนั้นต่างกับโลกที่พวกเขายืนอยู่ราวฟ้ากับเหว ใครที่ได้มาเห็นเป็นครั้งแรกย่อมต้องตกใจทั้งสิ้น
หวังเป่าเล่อพอใจที่ได้เห็นความตื่นตะลึงของสหายทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงแค่โบกมืออย่างไม่ยี่หระเท่านั้น
“พอก้าวผ่านหุบเหวนี้ไปจะเป็นดินแดนตรงตัวกระบี่ พวกเราจะเข้าไปภายในดวงอาทิตย์กัน อุณหภูมิจะสูงขึ้นมากเหมือนนรกอเวจีเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีอันตรายซ่อนอยู่ทุกซอกทุกมุม มีทั้งคำสาป รอยฉีกขาดของอวกาศ ทะเลเพลิง และพายุเกรี้ยวกราด ทุกอย่างที่ว่ามานั้นทำให้ทั้งร่างกายและวิญญาณเราแหลกสลายได้… แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป อยู่ติดข้าเอาไว้ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ แม้จะพูดให้สหายสบายใจ แต่เขาเองก็ไม่ได้ลดความระวังตัวลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าการบาดเจ็บนั้นเกิดขึ้นได้ระหว่างภารกิจ แต่เขาจะไม่ยอมให้เจ้าเยี่ยเหมิงหรือจั่วอี้ฟานตายลงต่อหน้าต่อตาเด็ดขาด
ชายหนุ่มคิดอยู่สักพัก ก่อนจะบอกรายละเอียดให้มากขึ้น จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงตั้งใจฟัง และเริ่มมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังและตื่นตัวถึงขีดสุด จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ก้าวผ่านชั้นป้องกันเข้าไปเป็นคนแรก จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเคยร่วมผจญภัยกับชายหนุ่มมาก่อนแล้ว จึงตามเขาไปอย่างรวดเร็วด้วยความคุ้นเคย
ทันทีที่ทั้งสามผ่านชั้นป้องกันมา กระแสลมร้อนระอุก็พุ่งเข้าทักทายพวกเขาในทันที หวังเป่าเล่อกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานยังมีปราณอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ จึงทำให้เคลื่อนตัวไม่เร็วเท่า แต่หวังเป่าเล่อก็ปรับตนเองให้เข้ากับเพื่อน จึงทำให้การเดินทางเข้าตัวกระบี่ของทั้งสามคนเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาทั้งหลบเลี่ยงทะเลเพลิง พายุร้าย และรอยฉีกขาดของอวกาศไปได้
ตลอดทางไร้ซึ่งภัยอันตรายใดๆ ทั้งสามมุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ประจักษ์ถึงความเปลี่ยนแปลงของทัศนียภาพรอบกาย ทั้งทะเลเพลิงที่อุบัติขึ้นและแผ่นดินที่เคลื่อนย้ายตัวเอง พวกเขาเข้าใกล้จุดหมายขึ้นทุกที
จั่วอี้ฟานไม่เคยตื่นตัวและระมัดระวังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ชายหนุ่มรู้ดีว่าพลังปราณของตนเองยังไม่สูงพอจนรับผิดชอบภารกิจนี้ได้อย่างเต็มที่ แต่เขาก็เชื่อใจหวังเป่าเล่อมาก นอกจากนี้เขายังพร้อมทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้สหายทั้งสองของตนต้องตกอยู่ในอันตราย
เจ้าเยี่ยเหมิงนิ่งเงียบตลอดการเดินทาง แต่เป็นเพราะนางกำลังทวนแผนการมากมายที่ต้องใช้จัดการกับวงแหวนปราณอยู่ในหัว เมื่อเห็นยอดเขาต้องสาปอยู่ไกลๆ ลมหายใจของนางก็หยุดไปชั่วครู่ ประกายวาบขึ้นในแววตา ก่อนจะปลุกพรสวรรค์ด้านการใช้วงแหวนปราณขึ้นมาอย่างเต็มที่
ทั้งสามหยุดพักบ้างเป็นครั้งคราว ทั้งยังเลือกทางที่ต้องอ้อมกว่า จึงทำให้ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินทางมาถึงยอดเขาที่หวังเป่าเล่อเจอตราประจำตัว!
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นยอดเขาที่ลาดเอียงจากระยะไกล เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ อันจะทำให้ยอดเขาย้ายที่ไปยังตำแหน่งอื่น หากเป็นเช่นนั้น แต้มการรบที่เขาใช้ไปทั้งหมดคงจะสูญเปล่าไปต่อหน้าต่อตา
“มาถึงแล้ว เหมิง ต้องหวังพึ่งเจ้าที่จะทำให้พวกเรารวยแล้วนะ ข้าลงทุนไปหลายพันแต้มอยู่” หวังเป่าเล่อหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยความคาดหวังในดวงตา
เจ้าเยี่ยเหมิงทบทวนแผนการในหัว สีหน้าของนางมืดมนลงเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ นางก้าวไปข้างหน้าสองสามเก้า ก่อนยกมือขวาขึ้น จ้องไปที่ยอดเขาไม่กะพริบตาจากนั้นก็เริ่มสร้างผนึกฝ่ามือ
“อี้ฟาน ทำไมเจ้าเยี่ยเหมิงถึงเมินข้าเช่นนี้เล่า เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจขณะกระซิบถามจั่วอี้ฟาน
“เป่าเล่อ เจ้าไม่รู้จริงหรือแสร้งทำกันแน่” จั่วอี้ฟานหมดซึ่งคำพูด เขาตบบ่าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าเยี่ยเหมิงเพื่อคุ้มกันนาง
หวังเป่าเล่อยืนกะพริบตาปริบอยู่กับที่ เขามองเจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะตบหน้าผากตนเอง และถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
เป็นเพราะหลี่หว่านเอ๋อร์สินะ แต่… เหมิง ข้ากับเจ้าเป็นพี่น้องกัน ข้าปฏิบัติกับเจ้าเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือดมาตลอด หรือที่ผ่านมานี้เจ้า… หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนตบพุงตนเอง เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เป็นคนผิดในเรื่องนี้ นั่นเพราะเขาเป็นชายที่รูปงามที่สุดในสหพันธรัฐ และยังผอมที่สุดในอาณาจักร แถมยังมีพรสวรรค์ที่สุดในประเทศ
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ แต่ความพอใจในตนเองของเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เจ้าเยี่ยเหมิงขมวดคิ้ว ก่อนพูดอย่างไร้อารมณ์
“เจ้าอ้วน ยังมีหุ่นเชิดเหลืออยู่หรือไม่ ปล่อยออกมาทดสอบคำสาปเสียสิ ข้าอยากเห็นว่ามันทำงานอย่างไร”
หวังเป่าเล่อเลิกฝันกลางวันทันทีเมื่อได้ยิน คำว่า “เจ้าอ้วน” คือคำต้องห้ามสำหรับเขา ชายหนุ่มกำลังจะถลึงตาใส่อีกฝ่าย แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ชิงเหล่ตามองใส่เขาเสียก่อน ไอเย็นที่นางแผ่ออกมานั้นเหมือนเจ้านครดาวอังคารจนเรียกได้ว่าแทบไม่ผิดเพี้ยน
หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก ก่อนปลอบใจตนเองเงียบๆ ว่าเขาไม่ได้กลัวมารดาของนางแม้แต่น้อย ที่เขายอมง่ายๆ เช่นนี้เพราะเห็นแก่คุณค่ามิตรภาพระหว่างตนและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างหาก ชายหนุ่มยืดพุงตนเองออกอย่างภาคภูมิ ก่อนก้าวมาข้างหน้า หยิบหุ่นเชิดออกจากกระเป๋าและโยนออกไป หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อพุ่งตรงไปที่ยอดเขา ลำแสงสีดำปรากฏขึ้นฉับพลันพุ่งเข้าทำลายหุ่นเชิดของเขาจนกลายเป็นเถ้าธุลี
ภาพนี้ทำให้จั่วอี้ฟานตกใจ ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงก็หรี่ตาลง หลังจากที่คิดอยู่สักพัก นางก็หยิบแผ่นหยกที่เอาไว้ใช้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับวงแหวนปราณออกมา นางเริ่มเขียนอักขระลงไปเพื่อสร้างวงแหวนปราณที่จะออกฤทธิ์หักล้างคำสาปนั้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบสองวัน เจ้าเยี่ยเหมิงแทบไม่ได้หลับตาลงแม้แต่น้อยในสองวันนี้ นางดูเหน็ดเหนื่อยและเปราะบางเป็นอันมาก จั่วอี้ฟานกับหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พักเช่นกัน ทั้งสองยืนคุ้มกันและคอยระวังโดยรอบไว้ โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องทรมานอยู่นานเกินไป ในวันที่สาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน
“คำสาปนี้คือวงแหวนปราณชนิดหนึ่ง แต่วงแหวนปราณคำสาปก็มีหลายประเภทด้วยกัน หากข้าคิดถูก วงแหวนปราณคำสาปนี้มีหลายชั้นและเชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนปราณใหญ่ ไม่ว่าจะเข้าไปทางใดก็จะทำให้คำสาปปล่อยพลังออกมาเต็มรูปแบบเช่นกัน เรามีระยะเวลาปลอดภัยสามสิบลมหายใจ ก่อนที่วงแหวนปราณจะทำงานอีกครั้ง…” เจ้าเยี่ยเหมิงมองหน้าหวังเป่าเล่อขณะพูด
“เยี่ยเหมิง อี้ฟาน พวกเจ้าทั้งสองไปสำรวจตำหนัก ส่วนข้าจะไปดูถ้ำที่พักที่ยอดเขา เราต้องกลับมารวมตัวกันภายในสามสิบลมหายใจ!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและแบ่งงานในทันที
จั่วอี้ฟานพยักหน้า เจ้าเยี่ยเหมิงหายใจเข้าลึก ก่อนโยนแผ่นหยกวงแหวนปราณในมือออกไป แผ่นหยกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งที่พุ่งตรงไปยังยอดเขา ทันทีที่เข้าไปใกล้ ลำแสงสีดำก็ปรากฏขึ้นหมายทำลายแผ่นหยกวงแหวนปราณ
ทันทีที่ลำแสงสีดำเข้าปะทะแผ่นหยก แผ่นหยกก็สั่นสะท้านและระเบิด แต่ก็ไม่ได้แหลกสลายกลายเป็นจุณแต่อย่างใด แผ่นหยกแปรสภาพกลายเป็นชิ้นส่วนเก้าชิ้นที่เรียงตัวกันเป็นแนวยาวลอยวนรอบลำแสงสีดำนั้น เหมือนจะสร้างเป็นผนึกที่จองจำลำแสงสีดำเอาไว้ภายใน ลำแสงมฤตยูสั่นไหวรุนแรง แต่ก็หนีจากเงื้อมมือของกรงขังไม่พ้น
“รีบเร็ว!” เจ้าเยี่ยเหมิงรีบพุ่งไปข้างหน้าตามคำของตนเองทันที แต่หวังเป่าเล่อเร็วกว่า เขาคว้าตัวเจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานเอาไว้ พาสหายทั้งสองข้ามเขตแดนของคำสาป พุ่งเข้าหายอดเขาโดยพลัน!
ทันทีที่พวกเขาเหยียบบริเวณยอดเขา ลำแสงสีดำก็สั่นไหวรุนแรงไม่หยุด มันแตกตัวกลายเป็นลำแสงย่อยๆ สิบสองเส้น แต่ละเส้นต่างเริ่มโจมตีชิ้นส่วนแผ่นหยกที่ผนึกมันเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าจะปลดปล่อยตนเองออกจากกรงได้ในไม่ช้านี้ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนขณะลำแสงและแผ่นหยกเข้าปะทะกัน คำสาปที่เริ่มตอบโต้กลับปลุกพลังของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่ปกคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ออกมา พลังลึกลับกำลังจะเปลี่ยนสภาพภูมิประเทศ ย้ายภูเขาลูกนี้ให้ออกไปจากบริเวณเดิม
“เร็วเข้า!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดอย่างฉับพลันก่อนกระโจนใส่ตำหนักทันที จั่วอี้ฟานเองก็เร็วไม่แพ้กัน เขากระโจนใส่ตำหนักอีกหลังที่เหลืออยู่ หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดเท้าแม้แต่ก้าวเดียวหลังจากเข้าเขตภูเขามา เขาพุ่งตัดอากาศไปยังถ้ำที่พักบนยอดเขาในทันที!
ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเองและกำลังทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างขะมักเขม้น เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟางหยิบทุกอย่างที่มองเห็นโดยไม่สนใจว่าเป็นอะไร หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน สิ่งแรกที่ชายหนุ่มเอามาไว้กับตัวคือตราประจำตัวสีม่วงของศิษย์สืบทอด
ชายหนุ่มปลุกพลังของเมล็ดดูดกลืนในกาย ตราประจำตัวสีม่วงพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วตามแรงดูด รวมถึงศพเจ้าของตราที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้วย ทั้งหมดนั้นพุ่งเข้ากระเป๋าของชายหนุ่มในทันที
หัวใจของหวังเป่าเล่อแทบระเบิดออกจากอก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หยุดมือ เขากระโจนเข้าไปในถ้ำที่พักเบื้องหลังศพนั้น
สภาพของถ้ำที่พักเละเทะยุ่งเหยิง ทุกอย่างเป็นซากปรักหักพัง เศษหินแตกกระจายอยู่บนพื้น หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาสำรวจว่าอะไรเป็นอะไร เขาสะบัดแขนเสื้อไปด้านข้างและรีบคว้าทุกสิ่งที่หาได้เข้ากระเป๋า ชายหนุ่มกำลังจะหนีไป กระทั่งหันไปเห็นแสงเรืองๆ บนผนังถ้ำ ตัวอักษรปรากฏขึ้นบนกำแพงนั้น!
“ถึงผู้ที่เหยียบย่างเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ตามกงล้อแห่งชะตา ข้าในฐานะศิษย์สืบทอดของสำนักวังเต๋าไพศาล พบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หลังจากที่โศกนาฏกรรมเข้าเกาะกุมสำนักของเรา ผู้ฝึกตนในยุคของเราต่อต้านบัญชาการแห่งจักรวาลด้วยอำนาจแห่งปราณที่เราถือครอง เราไม่ควรเกรงกลัวความตาย ทว่า… แม้ดวงวิญญาณของเราจะสูญสิ้น แต่กฎแห่งจักรวาลเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเมิดได้ ข้าขอทิ้งผลงานการค้นคว้าเรื่องขุนพลอักขระเวทโบราณเป็นมรดกให้ผู้ใดก็ตามที่ได้เข้ามาในที่แห่งนี้ ด้วยการนำพาของกงล้อแห่งโชคชะตา…”
บทที่ 525 เคลื่อนย้ายหายวับ!
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่อักษรเหล่านั้นปรากฏขึ้น เสียงบทสวดก็ลอยออกมาจากผนังแห่งนั้น อักขระบนกำแพงส่งพลังรุนแรงแผ่ซ่าน ราวกับคำพูดเหล่านั้นคือกฎแห่งจักรวาลที่ทำให้จิตใจผู้ที่ได้เห็นปั่นป่วนด้วยความรู้สึกปรารถนาแรงกล้า เหมือนกำลังจะได้รางวัลแสนล้ำค่าไว้ในครอบครอง คำพูดนั้นส่งแรงดึงดูดให้ผู้รับสาสน์เดินเข้าไปใกล้
หวังเป่าเล่อเผลอใจไปชั่วครู่ แต่ในตอนที่เขากำลังจะเข้าไปดูใกล้ๆ นั้น แก่นในแห่งความมืดภายในกายของเขาก็สั่นกะทันหัน ราวกับเป็นสัญญาณเตือนที่สะเทือนอยู่ในสมอง ชายหนุ่มชะงักทันที รับรู้ได้ถึงอันตรายที่ร่างกายสัมผัสได้แต่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล หากศิษย์สืบทอดผู้นี้ตายโดยสาเหตุธรรมชาติ และทิ้งผลงานที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตเอาไว้ให้ชนเบื้องหลังก็คงสมเหตุสมผล แต่สำนักวังเต๋าไพศาลถูกทำลายด้วยน้ำมือของตระกูลไม่รู้สิ้น ศิษย์ส่วนใหญ่เสียชีวิตลงในสงครามกับตระกูลไม่รู้สิ้นนี้ หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงทิ้งผลงานของตนเองเด่นหราไว้เช่นนี้เล่า เขาไม่กลัวว่าความพยายามตลอดชีวิตของตนเองจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลไม่รู้สิ้นหรือ หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ก็ไม่ลังเลที่จะล่าถอยทันที
เขารู้ดีว่าจะต้องระวังมากกว่าปกติหลายเท่าเมื่ออยู่ในตัวกระบี่ เนื่องจากมีอันตรายซ่อนตัวอยู่ทุกหนแห่ง หากพลั้งพลาดไปนิดเดียวอาจหมายถึงชีวิตได้
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงรีบหนีออกจากถ้ำที่พัก พร้อมตะโกนเรียกสหายทั้งสองไปด้วย จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงรีบออกมาทันที พวกเขาไม่มีเวลาได้คุยกัน ทุกคนรีบหนีออกจากยอดเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เวลาราวยี่สิบลมหายใจผ่านไปแล้วตั้งแต่พวกเขาเข้าเขตภูเขามา มีเวลาเหลือเพียงพอให้หนีเอาตัวรอด ทั้งสามระเบิดความเร็วออกเต็มพิกัด จนกลายสภาพเป็นสายรุ้งสามเส้นที่เคลื่อนที่อยู่บนท้องฟ้า พวกเขาเหาะออกจากยอดเขาและกำลังจะจากเขตภูเขาไปในที่สุด
พื้นที่นอกเขตภูเขาเข้มข้นด้วยพลังปราณมหาศาล อันเป็นสัญญาณว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศกำลังจะเกิดขึ้น ผลข้างเคียงจากการเข้าปะทะกับวงแหวนปราณคำสาปเร่งกระบวนการนี้ให้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ผืนดินบริเวณนี้กำลังจะย้ายที่อีกครั้ง
ทั้งสามรู้สึกได้ว่ากระแสปราณมหาศาลรอบกายกำลังปั่นป่วน กระบวนการเคลื่อนย้ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“หนีให้เร็วที่สุด! เราทำได้แน่!” หวังเป่าเล่อคำราม เขาปล่อยพลังปราณของตนเองออกเต็มพิกัด และกำลังจะกระโจนออกจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด
ในตอนนั้นเอง เสียงระเบิดดังก้องจนแก้วหูแทบดับก็ปะทุออกจากยอดเขาเบื้องหลัง ถ้ำที่พักบนยอดเขาบิดเบี้ยวอย่างน่าสยดสยอง ผนังถ้ำกลายสภาพเป็นเลือดสีแดงฉานและเนื้อหนังที่กำลังเต้นตุบๆ ก่อนกลายสภาพเป็นปากอ้ากว้างขนาดมหึมา!
แรงดูดมหาศาลระเบิดออกจากปากโชกเลือด ดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าไปภายใน ตำหนักบนยอดเขาเริ่มพังทลายกลายเป็นชิ้นๆ ก่อนจะหายเข้าไปในปาก วงแหวนปราณคำสาปก็แหลกสลายเป็นผุยผง และถูกปากยักษ์กลืนกินเข้าไปเช่นกัน
ปากขนาดมหึมานั้นเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในเกือบชัดเจน ด้านหลังปากคือผนังที่หวังเป่าเล่อพบก่อนหน้านี้ พลังน่าเกรงขามที่ผนังแผ่ออกมาเมื่อครู่ก่อนสลายหายไปแล้ว กลับกลายเป็นความบ้าคลั่งแปลกประหลาดเข้ามาแทนที่ ผู้ที่ทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้คงโกรธเกรี้ยวเคียดแค้นถึงขีดสุด จึงทิ้งเอาคำสาปเลวร้ายนี้ไว้เพื่อกัดกินใครก็ตามที่อาจหาญบุกรุกเข้ามา
มรดกยิ่งใหญ่ที่ทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังล้วนเป็นเรื่องโกหก มันเป็นกับดักชิ้นใหญ่ที่เอาไว้ล่อลวงและลอบฆ่าผู้บุกรุก หมายกลบฝังใครก็ตามที่อาจหาญเข้ามาด้วยดินทรายของถ้ำที่พักแห่งนี้!
ยอดเขาทั้งหมดกลายเป็นสีแดงก่ำทันที!
ภาพความเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้สหายทั้งสามตกใจสุดขีด พลังปราณของพวกเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานแรงดูดไหว จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มกระอักเลือดออกจากปาก ทั้งสองเซถลาตามแรงดูด พลังปราณภายในกายต้านทานแรงมวลมหาศาลไม่ไหว จึงพวยพุ่งออกจากร่าง ปั่นป่วนหมุนวนกลายเป็นไอหมอกที่ถูกดูดเข้าหาปากถ้ำ
หวังเป่าเล่อมีปราณขั้นกำเนิดแก่นในจึงพอสู้กลับได้บ้าง แต่เขาก็ยังไม่ทรงพลังพอที่จะต้านแรงดูดนั้นไว้ จึงเคลื่อนตัวเข้าใกล้ปากอาบเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าชะตากรรมของตนเองและผองเพื่อนคงหนีไม่พ้นการโดนดูดเข้าไปในปากสยองนั้นเป็นแน่ ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย หวังเป่าเล่อก็คำรามร้อง พร้อมปล่อยพลังของเมล็ดดูดกลืนเต็มพิกัด เขาพยายามใช้แรงต้านแรง และคว้าตัวจั่วอี้ฟานกับเจ้าเยี่ยเหมิงไว้ แต่ดูท่าแล้วก็ทำได้เพียงชะลอการโดดกลืนกินให้ช้าลงเท่านั้น
ต่อให้เขาไม่ได้แบ่งกำลังมาช่วยเจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟาน ต่อให้เขามีเมล็ดดูดกลืนอยู่ภายในกาย แต่พลังดูดจากกับดักนี้รุนแรงเกินไป หนีอย่างไรก็ไม่มีวันพ้น ทั้งสามรู้สึกได้ถึงเงาแห่งความตายที่ทอดยาวอยู่บนตัวและกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที จุดจบของลมหายใจกำลังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของทุกคน
“เป่าเล่อ ที่นี่กำลังจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปได้ทุกเมื่อ ใช้พลังทั้งหมดที่เจ้ามีโจมตีแผ่นหยกที่ข้ากำลังจะโยนออกมาเสีย มันจะเร่งกระบวนการเคลื่อนย้ายให้เร็วขึ้นอีก พลังปราณจากการเคลื่อนย้ายจะช่วยให้เราต้านแรงดูดได้ หากข้าคิดถูก พลังของคำสาปรวมถึงแรงดูดนี้จะหายไปทันทีที่ภูเขาย้ายที่ มีแค่ทางนี้เท่านั้นที่อาจทำให้เรารอดตายได้!”
“อี้ฟาน เจ้าก็ช่วยด้วย! เราต้องทำให้ทั้งหมดระเบิดพร้อมกัน!” เจ้าเยี่ยเหมิงมีสภาพย่ำแย่ไม่เป็นท่า แต่ก็ยังครองสติเอาไว้ได้ นางพูดอย่างรวดเร็ว ก่อนหยิบแผ่นหยกออกมากว่าร้อยแผ่นและโยนขึ้นไปในอากาศทันที!
หากเป็นในยามปกติ เจ้าเยี่ยเหมิงคงทำให้แผ่นหยกทั้งหมดระเบิดพร้อมกันได้ แต่ตอนนี้พลังปราณของนางเหือดหายไปแทบสิ้นจากแรงดูด นางจึงทำได้มากที่สุดก็เพียงเปิดกำไลคลังเวทเท่านั้น
แผ่นหยกมีมากมายหลากหลายสีสัน ทุกแผ่นอัดแน่นด้วยอักขระวงแหวนปราณที่สลักอยู่ แผ่นหยกเหล่านี้คือผลของการฝึกฝนวิชาวงแหวนปราณตลอดเวลาหลายปีของเจ้าเยี่ยเหมิง เป็นผลงานจากพรสวรรค์โดยกำเนิด และกายาวิญญาณที่นางมีติดตัวมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก แผ่นหยกหลากสีนี้คือแก่นวงแหวนปราณ เมื่อแตกสลายจะกลายสภาพเป็นวงแหวนปราณตามอักขระที่สลักเอาไว้ และเมื่อวงแหวนปราณนับร้อยนี้ซ้อนทับกันจะช่วยเพิ่มพลังให้กันและกันได้ ถือเป็นไพ่ตายของนางในการต่อกรกับศัตรู
หวังเป่าเล่อรู้ว่ามีเวลาเหลือไม่มาก ทันทีที่เจ้าเยี่ยเหมิงโยนแผ่นหยกขึ้นไปในอากาศ ชายหนุ่มก็กัดฟันรวบรวมพลังปราณที่กำลังเหือดหายออกจากร่าง เพื่อปลุกแก่นในอัสนีภายในกายตนให้ทำงาน กระแสไฟฟ้าพวยพุ่งออกจากร่างของเขา มุ่งหน้าเข้าไปหาแผ่นหยกเหล่านั้น แก่นในแห่งความมืดของเขาก็สั่นไหวพร้อมกัน เปลวไฟสีดำเยือกเย็นระเบิดออกจากร่าง เข้าปะทะแผ่นหยกหลากสีในอากาศ
แต่พลังดูดกลืนก็ทรงพลังเกินไป แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะโยนแผ่นหยกไปทางหวังเป่าเล่อ แต่ยังมีหลายแผ่นที่กระจัดกระจายออกไปตามแรงดูด และพุ่งเข้าหาปากทางเข้าถ้ำ หวังเป่าเล่อไม่สามารถทำลายทุกชิ้นให้ระเบิดพร้อมกันได้
จั่วอี้ฟานหายใจถี่ ทันทีที่เห็นโอกาสรอดเดียวของพวกเขากำลังสลายหายไปต่อหน้าต่อตา ดวงตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เจือด้วยความบ้าคลั่งและความเด็ดเดี่ยวดุร้าย เส้นเลือดทั่วร่างกายของเขาขยายออกพร้อมกัน จนเนื้อตัวพองโตน่าพรั่นพรึง ชายหนุ่มร้องคำราม หน้าผากปริออกเป็นช่องโหว่ พร้อมด้วยพลังชั่วร้ายที่พวยพุ่งออกจากรอยแยกบนหน้าผากนั้น มันก่อตัวเป็นลำแสงเข้มสีโลหิตที่พุ่งเข้าหาแผ่นหยกที่เหลืออยู่!
หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่ามีกระบี่บินสีโลหิตอยู่ในลำแสงสีโลหิต มันอัดแน่นด้วยไอแห่งความชั่วร้ายโหดเหี้ยม นี่คือ… พลังของนักรบสงครามโลหิต ที่เติบโตอยู่ภายในกายของจั่วอี้ฟานตลอดเวลาที่ผ่านมา!
ทันทีที่นักรบสงครามโลหิตปรากฏกาย เลือดก็ทะลักออกจากปากของจั่วอี้ฟานเหมือนเขื่อนแตก นัยน์ตาดำของชายหนุ่มหายไปหมดสิ้น ดวงตาทั้งดวงกลายเป็นสีเลือด ร่างของเขาสั่นเทิ้มก่อนหดตัวลงต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิง พลังของนักรบสงครามโลหิตนั้นแข็งแกร่งมาก กระบี่โลหิตร่วมกับพลังของหวังเป่าเล่อ กำจัดแผ่นหยกที่เล็ดลอดไปได้เกือบหมด
ยังมีแผ่นหยกเล็ดรอดอยู่อีกราวหนึ่งโหล แผ่นหยกที่ระเบิดแล้วก่อตัวเป็นวงแหวนปราณติดๆ กันเหมือนประทัดระเบิด ราวกับเป็นกำแพงเขื่อนน้ำเต็มที่กำลังโดนทำลายให้เกิดรู พื้นที่รอบกายพวกเขาเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง ผืนดินสั่นสะเทือน พลังปราณรอบกายเข้มข้นขึ้น และตอนนั้นเองกระบวนการเคลื่อนย้ายก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน!
ทะเลเพลิงปั่นป่วนบ้าคลั่ง เสียงระเบิดดังก้องกัมปนาทอยู่ในอากาศ พลังรุนแรงเกินจินตนาการเปลี่ยนสภาพเป็นพายุหมุนเกรี้ยวกราด ครอบคลุมบริเวณหลายพันกิโลเมตร กระทั่งพลังดูดจากปากถ้ำยังบิดเบี้ยว และถูกกลืนกินด้วยพลังของการเคลื่อนย้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น พลังดูดกลืนพร้อมด้วยปากถ้ำต้นเรื่องต้านทานความรุนแรงของการเคลื่อนย้ายไม่ไหว จนเริ่มถล่มทลายลง
พายุปราณบ้าคลั่งหมุนวนเป็นเกลียว พร้อมด้วยสายฟ้าพิฆาตที่ระเบิดออกจากภายใน กระแสปราณรุนแรงพวยพุ่งไปทั่วบริเวณ ยอดเขา ถ้ำที่พัก และทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีหลายพันกิโลเมตรของพายุหายวับไปในพริบตา!
สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือปากปล่องขนาดมหึมาที่รายล้อมไปด้วยทะเลเพลิง เพลิงอเวจีจะไหลบ่าเข้าท่วมปากปล่องนั้นจนมิด ราวกับว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในบริเวณนั้นมาก่อน สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ คือร่องรอยของพลังปราณที่บ่งบอกว่าการเคลื่อนย้ายเพิ่งอุบัติขึ้นในบริเวณนี้…
แม้จะดูน่าตกใจ แต่การเคลื่อนย้ายลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยมากในบริเวณตัวกระบี่ พื้นดินเปลี่ยนที่ ภูมิทัศน์แปรผันภายในเวลาไม่กี่วัน ทุกหย่อมหญ้าบนตัวกระบี่ไม่อาจหลีกหนีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ นอกจากทะเลเพลิงที่ไหม้โหมแล้ว ทุกสรรพสิ่งบนตัวกระบี่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เหมือนกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง!
การเคลื่อนย้ายนี้ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์โดยสิ้นเชิง สำนักวังเต๋าไพศาลเคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อน และพบว่าบางทีพื้นที่ที่ถูกเคลื่อนย้ายก็ไปโผล่ที่หลายกิโลเมตรถัดไป แต่บางที… ก็หายไปยังดินแดนที่ไม่เคยมีใครหาเจออีกเลย
จากการคาดการณ์ พื้นที่ที่ถูกเคลื่อนย้ายไปนั้น อาจไปปรากฏที่แห่งหนใดก็ได้บนตัวกระบี่อันกว้างใหญ่ไพศาลเท่าดวงอาทิตย์นี้!
บทที่ 526 ดินแดนที่ชีวิตและความตายไม่อาจกล้ำกราย!
Ink Stone_Fantasy
ท้องฟ้าเหนือบริเวณตัวกระบี่เหมือนชิ้นผ้าที่นำมาต่อติดกัน ท้องฟ้าแต่ละบริเวณมีหน้าตาแตกต่างกันไป อันเป็นผลมาจากแรงที่กระบี่สำริดเขียวโบราณสร้างขึ้นเพื่อต้านพลังของดวงอาทิตย์ ตอนนี้ท้องฟ้าเหนือตัวกระบี่เป็นสีดำสนิท มีเพียงรอยแยกบนท้องฟ้าสามรอยเท่านั้น ที่เผยให้เห็นแสงสีแดงเจิดจ้าน่าพรั่นพรึง
ราวกับว่าเราสามารถมองเห็นภายในดวงอาทิตย์ผ่านทางรอยแยกทั้งสามได้เท่านั้น แสงสามสายจากรอยแยกอาบพื้นที่บนตัวกระบี่ให้กลายเป็นสีแดง ทำให้มองเห็นบริเวณโดยรอบในความมืดได้
พื้นที่บริเวณนี้กว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่มีทะเลเพลิง ไม่มีลาวา ไม่มีซากปรักหักพังของภูเขา หากมองจากระยะไกล พื้นที่นั้นเวิ้งว้างไร้ซึ่งสรรพสิ่งและสรรพเสียงใดๆ
ความเงียบสงัดนี้ดำเนินมาหลายทศวรรษ ทำให้บริเวณนั้นอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องขึ้นในพื้นที่อันไร้ซึ่งชีวิตนี้ แสงสว่างวาบของการเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นก่อน ตามด้วยความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวตามแรงระเบิด จากนั้นร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศธาตุ แต่ละร่างอยู่ในสภาพบาดเจ็บไร้เรี่ยวแรง!
หนึ่งในนั้นคือหวังเป่าเล่อที่กำลังตกอยู่ในสภาวะตื่นตกใจ ทันทีที่กระบวนการเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวอีกต่อไป ทั้งสองกระอักเลือดก่อนสลบไปในทันที โดยยังไม่ทันได้มองไปรอบบริเวณที่ตนเองเพิ่งมาเยือนด้วยซ้ำ
พลังปราณของทั้งสองยังต่ำกว่าขั้นกำเนิดแก่นใน อาการบาดเจ็บแสนสาหัสจากการต้านทานแรงดูดของถ้ำที่พัก และกระบวนการเคลื่อนย้าย ทำให้ร่างกายของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเกินขีดจำกัดจนแทบแหลกสลาย
แม้หวังเป่าเล่อจะหายใจหอบและกระอักเลือดออกมาเช่นกัน แต่ก็ยังมีสติรับรู้อยู่ ชายหนุ่มยังต่อสู้ได้หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อเรียกหุ่นเชิดออกมาคุ้มกันบริเวณที่พวกเขาอยู่ ขณะที่จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงยังคงไม่ได้สติ
คำพูดที่สลักอยู่บนกำแพงเป็นกับดักจริงๆ เสียด้วย! สีหน้าของชายหนุ่มซีดเผือด เขารีบมองไปยังบริเวณโดยรอบ แม้จะตกใจกับความกว้างใหญ่ไพศาลและความเงียบงันของพื้นที่ที่ตนเองอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าตนเองยังปลอดภัยอยู่ในยามนี้ ชายหนุ่มไม่คิดจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รีบเอาโอสถออกมาป้อนให้จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงทันทีเพื่อช่วยรักษาบาดแผลและร่างกายอันบอบช้ำ เมื่อเสร็จแล้ว หวังเป่าเล่อก็นั่งสมาธิเพื่อช่วยคุ้มกันสหาย และรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองไปในเวลาเดียวกัน
เวลาผ่านไปนานเท่าใดชายหนุ่มไม่อาจทราบได้ เนื่องจากบริเวณนั้นไม่มีวงแหวนปราณที่สร้างปรากฏการณ์เช้าและค่ำ แต่เขาใช้ความรู้สึกคะเนเอาว่าน่าจะผ่านมาประมาณสองวันแล้ว
ร่างกายของหวังเป่าเล่อกลับมาเป็นปกติราวร้อยละเก้าสิบ เจ้าเยี่ยเหมิงฟื้นสติขึ้นเมื่อวาน นางไม่ได้พูดอะไร แต่เริ่มทำสมาธิทันทีเพื่อเร่งความเร็วในการรักษาตัวด้วยความช่วยเหลือจากโอสถของหวังเป่าเล่อ
ร่างกายของเจ้าเยี่ยเหมิงกลับมาเป็นปกติราวร้อยละห้าสิบ แต่จั่วอี้ฟานที่บาดเจ็บสาหัสกว่า ร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหวังเป่าเล่อ ซ้ำยังไม่มีพลังการเยียวยาตนเอง ยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ ร่างกายของชายหนุ่มบอบช้ำมาก แต่แม้จะไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนคนอื่น ลมหายใจและอาการโดยรวมของเขาก็เริ่มคงที่
หลังจากที่ตรวจดูสภาพจั่วอี้ฟานเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อเขาหันไปมองพื้นที่รอบกาย ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้ว สีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
เจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ ราวกับรู้สึกได้ถึงความกังวลใจของสหาย นางมองไปที่ความเวิ้งว้างรอบกายเช่นกัน รู้สึกได้ถึงบรรยากาศวังเวงเงียบเหงา ใบหน้าของนางซีดเผือด เสียงแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ เป่าเล่อ ข้ารู้สึกตั้งแต่ตอนตื่นขึ้นมาแล้วว่าที่นี่มีบางสิ่งแปลกประหลาด อีกทั้งก่อนหน้านี้… เป็นความผิดของข้าเองที่อ่านสถานการณ์ไม่ขาด… หากข้าประเมินได้ดีกว่านี้ พวกเรา…” เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงอ่อนแรง และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและการโทษตัวเอง นางรู้สึกว่าพวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้เพราะความสามารถที่อ่อนด้อยของตัวเอง หากนางเชี่ยวชาญด้านวงแหวนปราณมากกว่านี้ พวกเขาอาจไม่ต้องเจอสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็เป็นได้
“เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดทั้งสิ้น เจ้าของถ้ำที่พักวางกับดักคำสาปเอาไว้ในถ้ำนั้นก่อนตาย เป็นกับดักที่เอาไว้ใช้ต่อกรกับศัตรูร้ายของเขา พวกเราแค่โชคไม่ดีเท่านั้นที่ไปเจอเข้า” หวังเป่าเล่อหัวเราะฝืดปลอบใจเจ้าเยี่ยเหมิง ก่อนจะเล่าถึงถ้อยคำที่ตนเองได้เห็นในถ้ำบนยอดเขาให้นางฟัง
หญิงสาวหายใจสะดุดด้วยความตกใจเมื่อทราบเรื่องทั้งหมด แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์บนยอดเขามาด้วยกัน แต่เมื่อได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังจากปากของชายหนุ่ม นางก็ยังประหลาดใจอยู่ดี เจ้าเยี่ยเหมิงคิดว่าหากหวังเป่าเล่อปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ และเดินเข้าไปใกล้จารึกบนผนัง ทั้งสามคงหมดสิ้นซึ่งโอกาสในการหนีเอาชีวิตรอด…
ขนาดหวังเป่าเล่อเลี่ยงจากผนังมา และตั้งใจจะออกจากยอดเขานี้ พวกเขายังเกือบสิ้นชีพด้วยแรงระเบิดจากปากถ้ำนั่นเลย
“บริเวณตัวกระบี่อันตรายเกินไป… อีกอย่างพวกเราก็ยังอ่อนแอนัก…” หลังจากเงียบอยู่สักพัก เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนหายใจออกมา พลางมองบรรยากาศรอบตัวอย่างสิ้นหวัง หวังเป่าเล่อก็เงียบลงเช่นกัน ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาคิดว่าตนเองประมาทเกินไป อาจเป็นเพราะประสบการณ์การทำภารกิจของเขาก่อนหน้านั้นเป็นไปอย่างราบรื่น จึงทำให้เขาชะล่าใจว่าตนเองสามารถจัดการอันตรายทุกอย่างได้
บัดนี้ความเป็นจริงได้ตบหน้าเขาให้ลืมตาตื่นขึ้นจากฝันเสียแล้ว หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกอย่างช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังมองไปรอบกายเกิดตัวสั่นขึ้นมากะทันหัน นางแทบหยุดหายใจ รูม่านตาหดแคบ ก่อนพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เป่าเล่อ ดูตรงนั้นสิ! มี… มีคนอยู่ตรงนั้น!”
หวังเป่าเล่อหันไปมองตามมือของนางโดยสัญชาตญาณทันที แล้วก็ต้องตกใจนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในแสงสลัว ห่างจากพวกเขาทั้งสองไปราวสามร้อยเมตร
ร่างนั้นเป็นชายในชุดคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดิน หันหน้ามาทางทั้งสามโดยไม่ไหวติง ดวงตาปิดสนิท
หวังเป่าเล่อใจสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ร่างกายรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายในระยะเผาขนจนพาลแข็งทื่อไปหมด หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาตรวจตราบริเวณโดยรอบอย่างดี จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในที่แห่งนั้นนอกจากพวกเขาทั้งสาม
แต่บัดนี้ ร่างหนึ่งกลับปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและไร้ซึ่งสุ้มเสียง สีหน้าของร่างนั้นไร้ซึ่งความรู้สึก หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกถึงพลังชีวิตที่ออกมาจากร่างนั้นแต่อย่างใด แม้กระทั่งวิชาแห่งศาสตร์มืดในกายเขา ก็ยังตรวจจับไม่ได้ว่าชายผู้นี้ตายแล้วหรือไม่!
ไม่ได้ตายแต่ไม่ได้มีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อปล่อยพลังปราณในกายออกมาโดยสัญชาตญาณ เขาพลิกมือขวาขึ้น อาวุธเวทกระบี่บินระดับเจ็ดปรากฏขึ้นบนมือ กระบี่นั้นอาบด้วยไอแห่งความดุร้าย ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนพูดเสียงต่ำ
“ศิษย์พี่ พวกเราสามคนเพียงแต่พลัดหลงมายังที่แห่งนี้เท่านั้น หากพวกเราขัดจังหวะการฝึกปราณของท่านก็โปรดให้อภัยด้วยเถิด พวกเราไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด ศิษย์พี่ช่วยบอกทางออกจากที่แห่งนี้แก่เราได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อจ้องร่างที่ทำสมาธิอยู่เขม็ง ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา ความระแวดระวังตัวของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
แต่คำพูดของหวังเป่าเล่อไม่ได้รับการตอบรับ ร่างนั้นยังนิ่งไม่ไหวติง และทำสมาธิต่อไปโดยไร้ซึ่งอารมณ์ เขาไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นหรือขยับส่วนใดของร่างกายแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขากำลังจะพูดต่อ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งหนึ่งขยับอยู่ที่หางตา ชายหนุ่มหันไปมองทันที สีหน้าตกใจกับภาพที่เห็น
เบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ ถัดไปอีกราวสามร้อยเมตร พื้นที่ที่เคยเวิ้งว้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา บัดนี้มีร่างอีกร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่เช่นกัน ร่างนั้นอยู่ในวัยแรกรุ่นต่างจากชายคนก่อนหน้า ทั้งสองมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกัน พวกเขาทั้งไร้ซึ่งชีวิตและไร้ซึ่งความตาย และมันก็ทำให้ทุกสิ่งดูแปลกประหลาดเกินบรรยาย
“เป่าเล่อ ยังไม่หมด…” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังผงะด้วยความตกใจ เจ้าเยี่ยเหมิงก็หยิบสมบัติเวทวงแหวนปราณของนางออกมา แม้ดินแดนแห่งนี้จะประหลาดเหลือ แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา นางหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้ตนเองใจเย็นลง แววตาสงบนิ่งค่อยๆ ฉายชัดขึ้นบนใบหน้า หวังเป่าเล่อมองตามทิศที่นางบอก ก่อนจะเห็นร่างอีกหลายร้อยร่างปรากฏขึ้นรอบกายพวกเขาในเวลาไม่กี่วินาที ล้อมพวกเขาเอาไว้เสียหมดสิ้น!
ร่างเหล่านั้นมีทั้งหญิงชาย เด็กและแก่ชรา ทุกคนมีสีหน้าไร้อารมณ์และกำลังนั่งขัดสมาธิ หันหน้าเข้าหาทั้งสาม ต่างไร้ซึ่งชีวิตและความตายทั้งสิ้น!
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเสียวสันหลังวาบ เขาเรียกหาแม่นางน้อยทันทีเพื่อจะถามว่าบริเวณนี้คือที่ใด และเหตุใดทุกสิ่งจึงแปลกประหลาดไปหมดเช่นนี้ ร่างแต่ละร่างทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัว
แต่แม่นางน้อยยังคงจำศีลอยู่และไม่ตอบเขา มันยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อกระวนกระวายและรู้สึกไร้ทางออกมากขึ้นไปอีก เขาแบกจั่วอี้ฟานที่ยังไม่ได้สติขึ้นหลัง หันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
“แทนที่จะรออยู่ตรงนี้ เราไปตายเอาดาบหน้ากันดีกว่า ลองดูว่าจะหนีออกจากที่นี่ได้หรือไม่!” เจ้าเยี่ยเหมิงเอ่ย พร้อมสร้างผนึกฝ่ามือ แสงสว่างเรืองออกจากแผ่นหยกวงแหวนปราณในมือนาง ก่อนเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบพวกเขาเป็นเกราะป้องกันภัย หวังเป่าเล่อพยักหน้าเห็นด้วย และกำลังจะพุ่งออกจากที่นั่นไปพร้อมเจ้าเยี่ยเหมิง
ในตอนนั้นเอง… ร่างหลายร้อยร่างที่หลับตาทำสมาธิอยู่ ก็พลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน!
บทที่ 527 นามของข้าคือเกราะจักรพรรดิ!
Ink Stone_Fantasy
ร่างทั้งหมดไม่มีตาดำและตาขาว มีเพียงความว่างเปล่ากลวงโบ๋อยู่เบื้องหลังเปลือกตาเท่านั้น!
ร่างเหล่านั้นไม่มีดวงตา! มีเพียงหลุมลึกสองหลุมอยู่บนใบหน้า!
ในตอนที่ร่างเหล่านั้นหลับตาอยู่ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ทราบถึงความจริงข้อนี้ แต่เมื่อทั้งหมดเปิดเปลือกตาขึ้นแล้ว หลุมลึกว่างเปล่าหลายร้อยคู่ก็ทำให้ทั้งสองตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว
แม้คนเหล่านั้นจะไม่มีดวงตา แต่ก็ยังจ้องตรงมาที่หวังเป่าเล่อและสหายทั้งสอง มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบาย เมื่อถูกหลุมดำไร้แววจ้องเขม็งมา
แม้จะเป็นคำอธิบายที่ย้อนแย้ง แต่ทั้งสองก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เป็นไปไม่ได้! หวังเป่าเล่อใจเย็นลง โทสะพุ่งเข้ามาแทนที่ แม้จะรู้สึกว่าร่างเหล่านั้นอันตราย แต่ในฐานะที่เป็นบุตรแห่งความมืด ผู้ฝึกวิชาศาสตร์แห่งความมืดและมีแก่นในแห่งความมืด และพบเจอวิญญาณมามากมายในนิมิตมืด หวังเป่าเล่อคิดว่าร่างตรงหน้าเขาในตอนนี้ แม้จะไร้ซึ่งไอของชีวิตและความตาย ก็น่าจะจัดเป็นวิญญาณประเภทหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงสร้างผนึกฝ่ามือโดยไม่ลังเล แก่นในแห่งความมืดในกายสั่นไหว รังสีเย็นเยือกแผ่ออกจากร่างกาย แพร่สะพัดไปทั่วบริเวณ เปลวไฟสีดำเริ่มเผาไหม้ในร่างกายของชายหนุ่ม ไฟเย็นนั้นแผ่เข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น และเอื้อมไปคว้าร่างหนึ่งที่อยู่ตรงหน้ามา!
กระบวนเวทหัตถ์สื่อวิญญาณ!
เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกและไฟประหลาดที่แผ่ออกจากกายหวังเป่าเล่อ พร้อมมือสีดำสนิทที่ยื่นออกมาจากไฟนั้น เพื่อเข้าคว้าร่างที่ขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า
มือนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง และพุ่งเข้าหาร่างที่หมายตาไว้ในทันที แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า ร่างนั้นดูเหมือนจะมีอยู่จริง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพียงภาพมายา หัตถ์สื่อวิญญาณทะลุผ่านร่างนั้นไปคว้าน้ำเหลวเข้าอย่างจัง!
ไม่ใช่วิญญาณหรือ หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความตกใจ เขาไม่มีเวลาคิดอะไรอีก นอกจากคว้าเอาจั่วอี้ฟานขึ้นหลังก่อนพุ่งออกไปเพื่อหนี เจ้าเยี่ยเหมิงรีบหนีตามอย่างไม่ลังเล ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่นางจะทำได้
ทั้งสองหลบหลีกร่างขัดสมาธิที่ขวางทางตามสัญชาตญาณ แต่ไม่นานนักก็รู้สึกได้ว่ายิ่งออกมาไกลมากเท่าไร ก็ยิ่งเจอร่างขัดสมาธิบนดินแดนเวิ้งว้างมากขึ้นเท่านั้น!
จากการประเมินสถานการณ์แล้ว ทั้งสองพบว่าร่างที่รายล้อมพวกเขาอยู่น่าจะมีหลายพันเลยทีเดียว ทำให้ไม่สามารถหลบหนีได้พ้น ทว่า… ทุกครั้งที่พวกเขาชนเข้ากับร่างเหล่านั้น ทั้งสองจะทะลุผ่านมันไป ไม่ต่างกับสิ่งที่หัตถ์สื่อวิญญาณเผชิญ!
หากเพียงเท่านั้นคงไม่เป็นไร แต่ร่างเหล่านั้นกลับหันหน้าตามทางที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปด้วย หลุมดำในเบ้าตาโหลลึกมองตามหวังเป่าเล่อและสหายทั้งสองไปตลอดทาง!
ความรู้สึกนี้ทำให้พวกเขาเย็นสันหลังวาบ ทว่าในเมื่อร่างเหล่านั้นยังปรากฏออกมาเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงที่มุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็ว จึงตัดสินใจกระโจนขึ้นไปในอากาศแทนการวิ่งอยู่บนพื้น ทั้งสองพุ่งผ่านอากาศมุ่งตรงไปข้างหน้าอีกหลายกิโลเมตร เมื่อมองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ร่างขัดสมาธิที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองตามพวกเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก!
กลิ่นอายของอันตรายและความผิดปกติที่น่าหวั่นหวาดใจทวีความรุนแรงขึ้นตามจำนวนร่างที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงมองหน้ากัน ต่างคนต่างมองเห็นความเคร่งขรึมจริงจังบนใบหน้าของอีกฝ่าย กระนั้นพวกเขาก็ไม่ชะลอความเร็วลงแต่อย่างใด แต่กลับเพิ่มความเร็วขึ้นแทน
ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจคว้าตัวเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ ก่อนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด ทว่าบริเวณดังกล่าวกว้างใหญ่เกินไป แม้หวังเป่าเล่อจะตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอทางออกของสถานที่ประหลาดนี้แต่อย่างใด ร่างที่ขัดสมาธิอยู่บนพื้นเพิ่มจำนวนขึ้นจนนับไม่ไหว ทุกร่างเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนท้องฟ้า สีหน้าที่เคยไร้อารมณ์ค่อยๆ เปลี่ยน… เป็นรอยยิ้ม!
ภาพของร่างที่นั่งทำสมาธิ ดวงตากลวงโบ๋ดำสนิท และกำลังคลี่ยิ้มให้พวกเขาอย่างพร้อมเพียงกันนั้น เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกลึกลับน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก หากทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจจะกลัวแต่ยังมุ่งมั่นกับการหนีอยู่ได้ ทว่าไม่นานนักเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิมก็อุบัติขึ้น
เหตุการณ์ประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นกับเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังถูกหวังเป่าเล่อลากไปบนอากาศ!
“นามของเจ้าคือ” เจ้าเยี่ยเหมิงที่เงียบมาตลอดทางเปิดปากพูดกะทันหัน น้ำเสียงของนางเจือด้วยความฉงน หวังเป่าเล่อตกใจมาก เขาหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องพบกับภาพที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้าง
ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงมีเลือดไหลออกมา ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มที่เหมือนกับร่างมากมายบนพื้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มตัวสั่นเมื่อเห็นหญิงชราร่างเหี่ยวย่นเกาะอยู่บนหลังเจ้าเยี่ยเหมิง กำลังย่อตัวลงกระซิบเข้าไปในหูของสหายคนงาม
หญิงชราผู้นั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อที่จับจ้องมา จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา
แต่ดูเหมือนเจ้าเยี่ยเหมิงจะไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อที่กำลังกระวนกระวายต้องการเปิดฉากโจมตี แต่แล้วก็มีของเหลวปริศนาไหลลงมาที่หลังคอเขาเสียก่อน เลือดไหลออกจากดวงตาของจั่วอี้ฟานที่หวังเป่าเล่อแบกอยู่บนหลัง ชายหนุ่มที่สลบไสลไม่ได้สติพึมพำออกมาเช่นกัน…
“นามของเจ้าคือ”
ชายหนุ่มคนเดียวที่ยังได้สติรีบวางจั่วอี้ฟานลงในทันที เมื่อเข้าหันกลับไปมอง ร่างกายก็สั่นเทิ้มพร้อมถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ หวังเป่าเล่อจ้องหญิงวัยกลางคนที่กำลังเกาะอยู่บนหลังจั่วอี้ฟานด้วยสายตาเหมือนโดนสะกดจิต หญิงวัยกลางคนผู้นั้นกำลังกระซิบอยู่ข้างหูของจั่วอี้ฟานเช่นกัน
“เจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน ตื่นเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มกระวนกระวายถึงขีดสุด เขาวิ่งเข้าไปคว้าร่างทั้งสองที่เกาะหลังสหาย แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศธาตุอันว่างเปล่า ชายหนุ่มไม่มีทางหยุดเหตุการณ์นี้ได้เลย เขาทำได้เพียงมองเลือดที่ไหลทะลักออกจากลูกตาของเพื่อนทั้งสองมาขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
ห่าเอ๊ย! ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ ชายหนุ่มคลั่งจนแทบบ้า เขาลุกลี้ลุกลนถึงขีดสุด รีบคว้าตัวจั่วอี้ฟานขึ้นมาเขย่าอย่างแรง แต่จั่วอี้ฟานกลับทิ้งตัวอ่อนยวบยาบเหมือนหุ่นเชิด ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของชายหนุ่มเปื้อนรอยยิ้มที่ดูสยองขึ้นกว่าเดิม จนเริ่มคล้ายร่างขัดสมาธิที่ปรากฏขึ้นรายล้อมพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
อารมณ์เศร้าอันเกิดได้ยากยิ่งพุ่งเข้าเกาะกุมจิตใจหวังเป่าเล่อ เขามองจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสีหน้าไร้ความหวัง ดวงใจเต็มด้วยความรู้สึกผิดหนักหน่วง เขายิ้มอย่างสังเวชใจก่อนก้าวถอยหลังไป สีหน้ามุทะลุโหดเหี้ยม ชายหนุ่มปลดปล่อยแก่นในแห่งความมืดภายในกายออกเต็มพิกัด เปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง เขากำลังจะปล่อยพลังเฮือกสุดท้าย แต่ในตอนนั้นเอง…
ฉากแห่งความมืดที่มืดมิดยิ่งกว่าสิ่งใด ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันไร้ซึ่งแสงสว่าง ความมืดมิดของท้องฟ้าก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้เลยกับฉากแห่งความมืดที่เพิ่งปรากฏขึ้น เรียกได้ว่ามันคือความดำสนิทของจักรวาลอย่างแท้จริง!
เส้นแบ่งท้องฟ้าจริงกับฉากแห่งความมืดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ฉากแห่งความมืดนั้นเหมือนม่านสีดำที่เข้าบดบังลำแสงสีแดงสายหนึ่งซึ่งสาดส่องผ่านรอยแยกของท้องฟ้าเข้ามา ไม่นานนัก ขณะที่ลำแสงสีแดงสายที่สองและสามกำลังจะหายวับไป หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู
“นามของข้าคือ…”
เสียงนั้นมีพลังประหลาด ส่งให้ร่างของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สติสัมปชัญญะเริ่มเหือดหาย จิตใจของชายหนุ่มถูกอำนาจลึกลับเข้าครอบงำ ทำให้เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบา
“นามของเจ้าคือ”
ขณะพึมพำ หวังเป่าเล่อไม่ทันสังเกตว่าเปลวไฟสีดำที่เขาปล่อยออกมานั้นค่อยๆ ดับวูบลง ร่างมากมายปรากฏขึ้นรายล้อมพวกเขาอยู่บนพื้นสีดำสนิท สีหน้าของร่างเหล่านั้นกำลังเปลี่ยนไปอีกครั้งอย่างช้าๆ แม้ดวงตาจะยังกลวงโบ๋ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความกระหายที่แผ่ออกจากหลุมดำเหล่านั้น พวกเขาล้อมหวังเป่าเล่อและสหายเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ แววตามืดมิดที่กระหายนั้น เจือด้วยความเคารพที่มีต่อร่างสามร่างที่อยู่เบื้องหลังสหายทั้งสามด้วยเช่นกัน…
ความรู้สึกเคารพนั้นเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อมองไปยังร่างที่อยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อซึ่งปรากฏขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ ร่างนั้นไม่มีศีรษะหรือแขนขา ไม่ใช่ร่างของมนุษย์ หากแต่เป็นเกราะสีแดงน่ากลัว!
“นามของข้าคือเกราะจักรพรรดิ!” เสียงต่ำเต็มไปด้วยความยโสโอหังกระซิบเข้าหูหวังเป่าเล่อเป็นคำตอบ!
สิ้นสุดคำนั้น แสงสว่างสีแดงทั้งสามสายบนฟากฟ้าก็ถูกฉากแห่งความมืดเข้าบดบัง ตอนนั้นเอง ความมืดมิดที่แท้จริงก็เข้าครอบงำผืนนภา!
บทที่ 528 นภาพินาศ สุสานอาวุธ สวรรค์ของคนอ้วน!
Ink Stone_Fantasy
ในโลกที่มืดสนิทนี้ ความเงียบสงัดทรงพลังยิ่งกว่าสิ่งใด โลกนี้ไม่มีสรรพเสียง ไม่มีแสงสว่าง หวังเป่าเล่อและสหายจมดิ่งอยู่ในความมืดมิด มีเพียงโลกภายในจิตใจของตนเท่านั้นที่ส่องแสงสว่างไสว!
เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาตื่นขึ้น นางไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าตนเองไม่มีร่างกายอีกต่อไป ดวงจิตของนางลอยละล่องอยู่บนอวกาศทะเลเพลิงกว้างใหญ่ไพศาล
เพลิงที่อยู่ในอวกาศนั้นไม่เหมือนสิ่งใด ทะเลเพลิงครอบคลุมไปทั่วบริเวณจนไร้ขอบเขต เผาไหม้โชติช่วง จนทำให้จักรวาลเริ่มทลายลง
เจ้าเยี่ยเหมิงล่องลอยอยู่ในอากาศ จ้องดูความล่มสลายนั้นเป็นเวลานานเท่าใดไม่อาจทราบได้ ในที่สุดนางก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของทะเลเพลิง!
ต้นไม้นั้นใหญ่มหึมากว่าดาวเคราะห์เสียอีก!
หญิงสาวที่มีอุปนิสัยเยือกเย็นกลับตกใจเป็นอันมากเมื่อเห็นต้นไม้ยักษ์นั้น พื้นผิวของต้นไม้ยักษ์เต็มไปด้วยใบหน้ามากมายที่อัดแน่น มีทั้งใบหน้าของคน อสูร และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่หาได้ยากยิ่งหลายล้านใบหน้า จำนวนใบหน้าบนต้นไม้ยักษ์มากมายเกินกว่าจินตนาการ และทุกใบหน้ากำลังพึมพำบางสิ่งอย่างแผ่วเบา
ทุกครั้งที่ใบหน้าเหล่านั้นพูดพึมพำ ลำแสงจะพวยพุ่งออกจากภายในต้นไม้ด้วยความเร็ว หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าเหล่านั้น แสงนั้นทำให้ใบหน้าสว่างไสวและยังให้ความรู้สึกลึกลับไปในคราวเดียวกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเห็นว่านอกจากต้นไม้ยักษ์และใบหน้าแล้ว ยังมีเส้นแสงที่ยาวไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งร้อยเรียงแต่ละใบหน้าเข้าด้วยกันอยู่ด้วย…
ภาพนี้ทำให้หญิงสาวลืมว่าจะต้องออกไปจากที่แห่งนี้ นางยืน มองต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้าอยู่อย่างนั้น กระทั่งเสียงสงบเปี่ยมอำนาจจากต้นไม้ยักษ์ดังขึ้นในจิตใจของนาง
“ผู้สืบทอดคนใหม่ การที่เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นผู้ที่คู่ควร ดังนั้นข้าจะทำตามพันธะสัญญาที่ได้ตกลงกับผู้อาวุโสในสำนักของเจ้า และรับเจ้าเป็นศิษย์เอกของข้า เอาละ… เจ้าจะน้อมรับวิชาสืบทอดของข้า และปวารณาตนเป็นหนึ่งในศิษย์เอกหนึ่งร้อยคนของข้า เหนือศิษย์อื่นๆ อีกหลายล้านล้านคนหรือไม่”
จิตของเจ้าเยี่ยเหมิงสั่นสะเทือน นางก้มตัวลงคารวะต้นไม้ยักษ์ในอวกาศไพศาลนั้นด้วยท่วงท่าเหมือนได้รับพร
“ศิษย์คนนี้ขอน้อมรับวิชาสืบทอดของท่านเจ้าค่ะ!”
สิ้นเสียงของเจ้าเยี่ยเหมิง ลำแสงก็สว่างวาบออกจากต้นไม้ยักษ์ พุ่งเข้าหลอมรวมกับหว่างคิ้วของนาง เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นเทา นางหลับตาพริ้ม ใบหน้าสะสวยของนางปรากฏขึ้นท่ามกลางใบหน้าที่อยู่บนต้นไม้ยักษ์ แต่อยู่เหนือผู้อื่น เป็นการบ่งบอกว่าฐานะของนางเหนือกว่าศิษย์อื่นๆ ในที่นี้!
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาขึ้นมองไปที่จักรวาลเบื้องหน้า ก่อนเอื้อนเอ่ย
“ท่านอาจารย์ ข้าขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่…”
“บางคนก็เรียกข้าว่า… นภาพินาศ!”
“นภาพินาศ…” นามนั้นมีพลังอำนาจลึกลับบางอย่างที่ทำให้ทั้งจักรวาลสั่นสะเทือน ทะเลเพลิงปะทุ และห้วงอวกาศมอดไหม้ ขณะเดียวกัน นามนั้นก็ประทับล้ำลึกลงไปในใจของเจ้าเยี่ยเหมิง
ในเวลาเดียวกันนั้น โลกภายในใจของจั่วอี้ฟานกลับแตกต่างจากโลกของสตรีผู้เป็นสหายเป็นอย่างมาก เบื้องหน้าของเขาไม่ใช่ทะเลเพลิง แต่เป็นสุสานอาวุธ!
สุสานทหารกว้างสุดลูกหูลูกตา เต็มไปด้วยอาวุธมากมายกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน อาวุธเหล่านั้นรวมเอาวัตถุเวทจากทั้งจักรวาลมาไว้ในที่เดียวกัน มีอยู่มากมายหลายชนิดที่จั่วอี้ฟานไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ยังมีอาวุธอีกนับไม่ถ้วนที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า แม้แต่ผืนฟ้าเองยังสร้างมาจากกลองที่ใช้ในการสวนสนาม!
จั่วอี้ฟานล่องลอยไปข้างหน้า มองไปยังอาวุธนับแสนนับล้านรอบกาย เขาไม่ได้เจาะจงมองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เหาะไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมเสียงกระซิบดังก้องไม่หยุดอยู่ในหู เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ จั่วอี้ฟานลอยมาไกลเพียงใดตัวเขาเองก็ไม่รู้ แต่ชายหนุ่มก็หยุดกะทันหันอยู่ตรงหน้าภูเขากระบี่ขนาดมหึมา!
บนยอดเขากระบี่นั้นมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ นางนั่งถ่างขาด้วยท่วงท่าเหมือนชายชาตรี มือหนึ่งเท้าคาง สายตาคมกริบน่ากลัว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจั่วอี้ฟานด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
“หากเป็นเมื่อก่อนละก็ ข้าคงไม่แม้แต่จะปรายตามองนักรบที่ไม่ได้มาจากชาติกำเนิดอย่างเจ้า ในเมื่อข้าสามารถเลือกนักรบจากสายเลือดโดยแท้ได้มากมาย แต่ตอนนี้… ช่างมันปะไร นักรบที่อ่อนแอก็ยังถือว่าเป็นนักรบ เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย ข้าอาจสิ้นชีพไปแล้ว แต่ยังมีคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับสำนักของเจ้าก่อนสิ้นลมหายใจ ข้าคงไม่มีวันสงบลงได้ หากไม่ทำตามสัญญาให้สำเร็จลุล่วง ข้าขอรับเจ้าเป็นศิษย์ของข้า เพื่อทำให้ความตั้งใจนั้นเป็นจริง หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
“คารวะท่านอาจารย์ขอรับ!” หลังจากที่ตกใจอยู่ชั่วขณะ จั่วอี้ฟานก็ทำความเคารพนางอย่างไม่ลังเล
สำหรับจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแปลกประหลาดนัก ความจริงแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดนี้คือการถ่ายทอดวิชาในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร โดยภาพฉายที่หลงเหลืออยู่ของผู้ฝึกตนชั้นสูงมากมายหลายชั่วอายุคนในวัฏสงสาร อำนาจของภาพฉายจะเข้าครอบงำโลกในจิตใจของศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชา
โลกภายในใจคือจิตใต้สำนึกของศิษย์เหล่านี้
กรณีของเจ้าเยี่ยเหมิง โลกในใจของนางคือทะเลเพลิง ไม่ใช่ว่านางเป็นคนมุทะลุดุดัน แต่เบื้องหลังใบหน้าที่แสนสงบนิ่งนั้น นางเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง มุ่งมั่น และไม่ยอมจำนนต่อสิ่งใดง่ายๆ และเอาเข้าจริงแล้ว จิตใต้สำนึกของนางก็บอกใบ้เป็นนัยๆ ถึงความรุนแรงที่นางมีด้วย!
พูดให้ถูกก็คือ เจ้าเยี่ยเหมิงเป็นสตรีที่ไม่ควรไปยั่วยุให้โกรธ เพราะนางจะหาทางเอาคืน และจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีไปกับการทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ไม่ต่างจากไฟประลัยกัลป์ที่พร้อมผลาญทุกอย่างให้กลายเป็นจุณ!
ส่วนโลกในใจของจั่วอี้ฟานนั้นคือสุสานอาวุธ สะท้อนให้เห็นว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยการมองโลกในแง่ร้าย กายของเขาเป็นนักรบ ส่วนสุสานนี้ก็คือหลุมฝังศพของเขา
โลกภายในใจของศิษย์แต่ละคนจะดึงดูดภาพฉายที่แตกต่างกันออกไป ทว่านั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อครั้งอดีต สมัยที่สำนักวังเต๋าไพศาลยังรุ่งเรือง มีผู้คนมากมายต่อสู้แย่งชิงวิชาที่ตนอยากได้ แม้จะมีทั้งผู้ที่ล้มเหลวและผู้ที่สิ้นชีพ แต่ก็ยังมีผู้ต้องการลองเสี่ยงดวงเพื่อรับวิชาจากผู้ถ่ายทอดอยู่ดี แต่บัดนี้ผู้ถ่ายทอดกลับมีมากกว่าผู้รับ การต่อสู้แย่งชิงเคล็ดวิชาจึงกลายเป็นอดีตไป
สิ่งที่ทั้งสามกำลังพบเจออยู่นี้ คือประเพณีการสืบทอดวิชาของสำนักวังเต๋าไพศาล ซึ่งถือเป็นโอกาสงามของหวังเป่าเล่อและสหาย แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นฝ่ายถูกเลือก จึงไม่มีสิทธิ์ค้นหาวิชาที่ตนอยากเรียนรู้อย่างแท้จริง
ร่างขัดสมาธิเหล่านั้นล้วนเป็นภาพฉายของผู้ฝึกตนชั้นสูงเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นศิษย์ของสำนักวังเต๋าไพศาลที่เสียชีวิตลงจากการประลองกับเจ้าของวิชา และถูกบังคับให้คงอยู่โดยไม่สมัครใจ กระนั้นวิญญาณของศิษย์หลายคนก็มีวิชาเยี่ยมยอดอยู่กับตัว จึงทำให้กระบวนเวทหัตถ์สื่อวิญญาณจับร่างพวกเขาไม่ได้นั่นเอง
หวังเป่าเล่อเองก็กำลังอยู่ระหว่างการรับสืบทอดวิชาเช่นกัน แต่โลกในใจของเขานั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน…
โลกในจิตใจของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยสีสันของโลกหลายใบที่เชื่อมเข้าด้วยกัน!
ในตอนแรกที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นนั้น เขาเห็นโลกที่เต็มไปด้วยคนอ้วน โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยทั้งชายและหญิงรูปร่างอ้วน ที่ล้วนตัวใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาดูเป็นคนที่ผอมและหล่อเหลาที่สุดในหมู่คนอ้วนทั้งหมด
นี่สวรรค์หรือกระไร หวังเป่าเล่อใจสั่นเมื่อมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวเสร็จเรียบร้อย เขานิ่งอึ้งเหมือนต้องมนต์อยู่สักพัก ก่อนจะลอยไปข้างหน้า โลกใบนี้คือสวรรค์ในจินตนาการของหวังเป่าเล่ออย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เวลาผ่านไปนานแสนนาน กว่าหวังเป่าเล่อจะเดินทางมาถึงชายแดนของโลกใบแรกนี้ เขาเห็นโลกอีกใบที่มีห้วงอวกาศและดาวเคราะห์ที่คุ้นเคย รวมถึง… เรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียงด้วย!
มันคือสำนักแห่งความมืดในความทรงจำของเขา!
พลังรุนแรงจนน่ากลัวกระจายออกจากดาวแต่ละดวงในห้วงจักรวาลนี้ โดยเฉพาะดาวดวงหลักของสำนักแห่งความมืด พลังที่แผ่ออกจากดาวดวงนั้นรุนแรงมาก จนหวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังของผู้เป็นอาจารย์!
ชายหนุ่มลอยละล่องด้วยความเร็วสูง หัวใจเต้นระรัว แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็เข้าไปใกล้ดาวดวงนั้นไม่ได้เสียที ราวกับระยะทางระหว่างเขาและอวกาศที่มีสำนักแห่งความมืดตั้งอยู่นั้ ยืดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากพยายามอยู่นานแสนนาน ชายหนุ่มก็ถอนใจแผ่ว ก่อนเปลี่ยนทิศไปโลกที่สามแทน ทิ้งสำนักแห่งความมืดไว้เบื้องหลัง
โลกที่สามนั้นเงียบงัน มีเพียงม้วนกระดาษขนาดยักษ์ที่แผ่ออกกินพื้นที่กว้างเท่านั้น ภาพของทารกหญิงคนหนึ่งวาดอยู่บนหน้ากระดาษ หน้าตาของเด็กน้อยช่างแสนน่ารักน่าชังและดูแสบสันพิเรนทร์นัก นางอ้าวงแขนออกกว้างราวกับร้องขออ้อมกอดจากชายผู้เป็นบิดาที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายผู้นั้นมีผมสีขาวโพลน
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นทารกหญิงตัวน้อย ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวเขาคือแม่นางน้อย ส่วนชายเสื้อขาวผมขาวข้างๆ นั้น หวังเป่าเล่อมองเพียงปราดเดียว สติสัมปชัญญะก็กระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่า เสียงบทสวดแห่งเต๋าดังหึ่งอยู่ในหู
ชายหนุ่มประหลาดใจเป็นอันมาก เขารีบเหาะหนีไปจนมาถึงโลกที่สี่ในที่สุด โลกใบนี้คล้ายโลกใบที่สามมาก เพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น โลกนี้ช่างเงียบงัน มีเพียงรูปปั้นที่มีสามศีรษะหกแขนตั้งอยู่ พลังน่ากลัวแผ่ออกจากรูปปั้นนั้น นอกจากนี้ยังมียุงสีน้ำเงินตัวหนึ่งจ้องหน้าหวังเป่าเล่ออยู่ สายตาเต็มไปด้วยโทสะ
ตระกูลไม่รู้สิ้นหรือ หวังเป่าเล่อผงะ ก่อนรีบขยับตัวหนีออกไปโดยสัญชาติญาณ ไม่นานนักเขาก็มาถึงโลกที่ห้า
โลกใบนั้นมีหัวใจดวงใหญ่ตั้งอยู่!
หัวใจดวงนั้นหยุดเต้นไปนานแล้ว แต่ก็ไร้ซึ่งสัญญาณแห่งความตาย หัวใจยักษ์ดวงนี้ปล่อยพลังดูดที่สั่นสะเทือนได้ทั้งสวรรค์และโลกาออกมา!
นี่มัน… เมล็ดดูดกลืนหรือนี่
บทที่ 529 ตื่นกลัว!
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเหมือนต้องมนต์ขณะมองหัวใจยักษ์เบื้องหน้า แม้จะไม่มีวัตถุอื่นมาเทียบเคียง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าหัวใจยักษ์นี้มีขนาดใหญ่ครึ่งโลกเลยทีเดียว
อวัยวะขนาดมหึมานี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในห้วงความฝัน แต่ก็รู้อยู่ลึกๆ ว่านี่คือเมล็ดดูดกลืนของตน… เนื่องจากพลังที่หัวใจยักษ์ปล่อยมานั้น เหมือนพลังจากเมล็ดดูดกลืนที่เขาคุ้นเคยไม่มีผิด!
ที่นี่มันที่ใดกัน ข้าเห็นภาพหลอนไปหรือเปล่า มีหลายมิติเหลือเกิน แถมยังเต็มไปด้วยสิ่งที่ข้าจินตนาการได้อีกด้วย! หวังเป่าเล่อมึนงงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะรู้สึกได้ว่านอกจากหัวใจยักษ์ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้วในโลกนี้ หลังจากสำรวจอยู่เป็นเวลานานจนแน่ใจว่าไม่มีโลกใบที่หกซ่อนอยู่ เขาก็เริ่มลอยวนรอบโลกใบที่ห้าเพื่อหาทางออก
แต่ทำอย่างไรก็หาไม่เจอเสียที เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาอยู่ในนี้นานเพียงใด เมื่อเขากลับไปยังโลกใบแรกที่เต็มไปด้วยคนอ้วน ก็มีบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏขึ้น!
บนท้องฟ้าเบื้องบน มีร่างหนึ่งกำลังลอยเข้ามาใกล้จากอวกาศว่างเปล่าอันไกลโพ้น ร่างนั้นสูงใหญ่กำยำดูเลือนราง แต่เมื่อเข้ามาใกล้ก็คมชัดขึ้น
ร่างนั้นคือชายวัยกลางคน ผมสีดำของเขาปลิวไสวอยู่ในอากาศ ใบหน้าหล่อเหลาดูเด็ดขาดเครียดขึง ชายผู้นี้ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเห็นร่างนั้น จิตใจของเขาก็ปั่นป่วนหมุนวน ราวกับเป็นดวงไฟดวงเล็กที่เผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์เจิดจ้า ความแตกต่างด้านพลังที่มากโขนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าชายผู้นี้สามารถเป่าเขากระจุยได้ด้วยลมหายใจเดียว
ชายหนุ่มตกใจเป็นอันมาก โดยเฉพาะเมื่อชายวัยกลางคนมองเขาด้วยสายตาที่คมกริบ เขามองโลกที่เต็มไปด้วยคนอ้วนรอบๆ สีหน้าดูไม่พอใจกับภาพที่เห็น
“โลกในจิตใจของเจ้าประหลาดเหลือ อย่างเจ้าได้แค่หนึ่งเต็มสี่คะแนนก็บุญโขแล้ว หากไม่ใช่ว่าข้าทนรอไม่ไหวอีกต่อไป คนอย่างข้าคงไม่มีวันเลือกสวะหนึ่งคะแนนอย่างเจ้าเป็นแน่!”
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อกำลังตกอยู่ในภวังค์ แต่เมื่อได้ยินคำปรามาสนั้น ชายหนุ่มก็กะพริบตาปริบก่อนก่นด่าอยู่ในใจ แม้ฉากหน้าเขาจะยังดูงุนงงขณะเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนตรงหน้าก็ตามที
“แหกตาดูเสีย!” ชายผมดำเยาะเย้ย เขามุ่นคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน ก่อนจะยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นลำแสงสีแดงก็พวยพุ่งออกจากมือขวาของชายวัยกลางคน แสงนั้นสว่างเจิดจ้าราวกับจะป้ายย้อมโลกทั้งใบให้กลายเป็นสีแดง มองจากระยะไกล มือขวาของเขาเปลี่ยนสภาพกลายเป็นดวงอาทิตย์สีเลือด!
ชุดเกราะสีขาวค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างกลางดวงอาทิตย์เลือด เข้าห่อหุ้มแขนขวาของชายผมดำ ก่อนลามไปที่หน้าอก เอว และแขนซ้าย
แต่ยังไม่จบแค่นั้น ชุดเกราะสีขาวยังค่อยๆ เข้าครอบขาทั้งสองข้างและศีรษะของเขาด้วย ในที่สุดร่างของชายตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก็ดูแข็งแกร่งทรงพลังดุจเทพแห่งสงครามในชุดเกราะขาวสว่าง!
เกราะสีขาวที่ห่อหุ้มร่างของชายวัยกลางคนผู้นี้ เต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมายที่กำลังเต้นตุบๆ ภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อดูน่ากลัวน่าเกรงขามเป็นอันมาก พลังที่ดูเหมือนจะทำลายได้แม้กระทั่งสวรรค์แผ่กดทับห้วงอวกาศ
พลังนั้นยิ่งใหญ่มากเสียจนทำให้ทั้งโลกพร่าเลือน เปลี่ยนสีทั้งท้องฟ้าและพื้นดินให้ผิดเพี้ยน ราวกับเขาเป็นผู้กุมชะตาของจักรวาลและดวงดาวเอาไว้ในมือ ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่น ก่อนพุ่งหมัดออกไปข้างหน้า ทันใดนั้น โลกในใจของหวังเป่าเล่อที่เต็มไปด้วยคนอ้วนก็ถล่ม ตึกรามบ้านช่องและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดราบเป็นหน้ากลอง กลายเป็นเพียงเถ้าธุลี แม้กระทั้งโลกที่เขาอยู่ยังล่มสลายไปในฉับพลัน กลายเป็นเพียงหลุมดำเท่านั้น!
หวังเป่าเล่อตกใจเป็นล้นพ้นกับภาพตรงหน้า เขามองร่างที่ทรงอำนาจและหลุมดำที่เคยเป็นโลกของคนอ้วน แม้สติจะยังคงอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความชาจากอาการตกใจที่ลามไปทั่วร่างกาย
“ศิษย์พี่…”
“หุบปาก!” ร่างในชุดเกราะพูดอย่างยโส เขายกมือขวาขึ้นชี้นิ้วมาที่หวังเป่าเล่อ
“หากข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูด ก็อย่าได้สะเออะเปิดปาก ข้าไม่มีทางเลือกหรอก ถึงต้องมาเลือกคนอ่อนหัดอย่างเจ้า ฟังให้ดี ข้าจะถ่ายทอดวิชาของข้าให้เจ้า นามของมันก็คือ… เกราะกระดูก!”
“เกราะกระดูกคือวิชาแรกของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ หากเจ้าอยากได้วิชาขั้นที่สอง ก็ต้องนำเครื่องสังเวยมาให้ข้า! แต่ความสามารถระดับต่ำเช่นเจ้า เรียนวิชาแรกได้จบก็คงถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว เศษขยะ!” ร่างน่ากลัวในชุดเกราะเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน เป็นอันชัดเจนว่าเขาไม่มีทางเลือกนอกจากจำต้องอยู่ที่นี่เพื่อถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์รุ่นหลัง ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีต ที่ผ่านมาเขาถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์หลายคน แต่ก็ไม่เคยให้หมดกระบวนท่าสักครั้ง
ส่วนมากชายผู้นี้จะมอบกระบวนเวทชุดแรกให้ศิษย์ แต่เขามองสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาชนิดอื่นเป็นเพียงขยะชั้นต่ำ จึงตั้งกฎให้ผู้ที่อยากได้วิชาต่อไปต้องนำเครื่องสังเวยมาให้ หากเขาอารมณ์ดีอยู่ก็มักจะให้มากกว่านี้ แต่ไม่ว่าจะอารมณ์ดีเพียงใด ชายผู้นี้ก็ไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ของตนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เสียที
เขาปฏิบัติต่อหวังเป่าเล่อเหมือนที่ปฏิบัติกับทุกคน ความจริงแล้วหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ศิษย์เอกชั้นหนึ่งจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ถูกเขาเย้ยหยันดูถูกเป็นอย่างแรกหลังจากที่ถูกเลือก นี่เป็นนิสัยอันร้ายกาจ และเป็นการแสดงออกถึงความรังเกียจสำนักที่สุมแน่นในอกของเขา
ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีตทุกคนทราบเรื่องนี้ดี จึงมักเงียบเมื่อเผชิญกับชายผู้นี้ พวกเขาจะไม่พูดสิ่งใดเพื่อยั่วยุทั้งสิ้น แต่หวังเป่าเล่อไม่ทราบความจริงข้อนี้ จึงรู้สึกหงุดหงิดหัวเสียอย่างถึงที่สุด แต่ก็เข้าใจดีว่าชายตรงหน้าทรงพลังเพียงใด ถึงอย่างไรเขาเองก็โค่นชายผู้นี้ลงไม่ได้แน่ ทว่าหวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกไม่สบายใจถ้าจะปล่อยให้ตนเองโดนเหยียบย่ำ ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำมือคารวะพร้อมโค้งคำนับชายในชุดเกราะขาว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ
“ศิษย์พี่ โลกในใจข้าไม่ได้มีเพียงโลกเดียว หากแต่มีโลกอื่นอยู่ด้วยขอรับ…”
“ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดหรือ” ร่างทรงพลังตรงหน้าโบกมือขวา ทันใดนั้น แรงระเบิดก็อุบัติขึ้น ส่งผลให้ดวงจิตของหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือนและถอยหลังหนีในทันที มันเหมือนเขาถูกพายุหมุนบ้าคลั่งกวาดต้อนจนแทบแหลกสลายขาดครึ่ง เขาจึงกล้ำกลืนความรู้สึกโกรธจนอยากฆ่าเข้าไปในใจ ก้มหน้าไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก
“ไม่พอใจเช่นนั้นหรือ” ร่างทรงพลังยืนจังก้าอยู่กลางอากาศ มองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นเยียบ หัวเราะเย้ยหยัน
“ไม่ได้มีแค่โลกเดียวแล้วอย่างไรเล่า… หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซากทีละโลกไปเสียเลย!” ร่างนั้นประกาศอย่างอวดดี เขามองไปรอบๆ เพื่อสำรวจ ก่อนยกมือขึ้นฉีกอากาศว่างเปล่า
“นี่หรือทางเข้าโลกที่สอง จงเปิดออก!” ชายในชุดเกราะตะโกนก้อง พร้อมหันไปฉีกอากาศออกจนเป็นรอยแยกกว้าง เบื้องหลังรอยแยกนั้นคือโลกภายในใจโลกที่สองของหวังเป่าเล่อ จักรวาลของสำนักแห่งความมืด!
“ไอ้สวะ แหกตาดูเสีย แค่จะทำลายโลกเวรนี่น่ะ ไม่เห็นจะต้อง… หืม นี่มัน!” ชายผมดำพูดอย่างโอหัง และกำลังจะยกหมัดขึ้นหวังทำลายโลกใบที่สองนี้ ทันใดนั้น พลังรุนแรงน่าหวาดหวั่นนับสิบก็พวยพุ่งออกจากโลกของสำนักแห่งความมืด พลังหนึ่งในนั้นทำให้ร่างทรงอำนาจถึงกับลนลาน เขาเบิกตากว้างทันทีที่พลังนั้นปรากฏ หลังจากตั้งสติได้ ชายในชุดเกราะก็รีบสะบัดมือเพื่อปิดรอยแยกในอากาศทันที ก่อนหันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“นั่นมัน…”
“อ๋อ นั่นคือท่านอาจารย์ของข้าเอง จริงสิ นอกจากนี้ข้ายังมีศิษย์พี่อยู่คนหนึ่ง ท่านอาจารย์ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าศิษย์พี่ของข้าคนนี้แข็งแกร่งกว่าตัวท่านเองเสียอีก” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็น ร่างทรงพลังในชุดเกราะนิ่งเงียบอยู่กลางอากาศ
หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พ่นลมเยอะเย้ยออกมา
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เจ้าก็น่าสนใจดี โกหกปั้นน้ำเป็นตัวเสียเหมือนเรื่องจริง ข้าชักอยากรู้ขึ้นมาแล้วว่าโลกอื่นๆ ของเจ้าเป็นอย่างไร” ร่างนั้นอับอายอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่อยากยอมรับความจริง ดังนั้นเขาจึงหลบเลี่ยงทิศที่สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่ และหันไปหาอีกโลกหนึ่งแทนเพื่อฉีกทางเข้าให้แยกออก แต่ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร ลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งออกจากปากทางเข้านั้น พลังของตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าปกคลุมทั่วบริเวณราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งให้สิ้นซาก
“ไอ้ฉิบหาย!” เปลือกตาของชายในชุดเกราะกระตุกไม่หยุด เขาหายใจเข้าลึก ก่อนซ่อมปากทางเข้านั้น ชายผู้นั้นหันมามองหวังเป่าเล่อ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจหอบถี่ แต่คราวนี้ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็แทรกหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน
“อันนั้นเป็นของเล่นที่ข้าเก็บได้เมื่อหลายปีก่อน ข้าคงลืมไปแล้วหากไม่มาเจอมันเข้าอีกรอบ”
ชายผมดำเงียบอีกครั้ง
ความเงียบในครั้งนี้นานกว่าครั้งแรก เหตุการณ์น่าตกใจที่เกิดขึ้นติดๆ กันนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อลึกลับเกินคาดเดายิ่งนัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น