ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 523-528
ตอนที่ 523 ราชาแห่งเผ่ามังกรทมิฬพระอง...
“ซือหนานหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก คนผู้นั้นถูกพวกเทพระดมดาบฟันจนตายไปเป็นหมื่นปีแล้ว” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ โบกมือ “มารดาของเจ้าไม่มีทางได้รู้จักซือหนาน”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
นางไม่รู้ว่าควรจะสนทนากับบิดาต่อไปอย่างไรแล้ว พอคิดดูให้ละเอียดบางครั้งนางก็เคยละเลยประเด็นสำคัญไปเช่นกัน ดูท่านิสัยนั้นคงจะมาจากเยี่ยจ้านเป็นแน่แล้ว
เดิมทีนางคิดว่า ตนเองน่าจะคล้ายคลึงกับมารดามากสักหน่อย แต่ว่าตอนนี้ดูๆแล้ว คงจะเหมือนบิดาคนงามมากกว่า
นางอ้าปากขึ้นมา แต่ว่าครึ่งค่อนวันก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
ยังดีที่เยี่ยจ้านขบคิดขึ้นมาได้ “บุตรสาวสุดที่รัก เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าใหญ่กับซือเป่ยมีรูปโฉมคล้ายคลึงกัน?”
ตู๋กูซิงหลัน พยักหน้า “แทบจะเหมือนกันเลย”
คราวนี้ เยี่ยจ้านต้องกลับมาเท้าคางอีกครั้ง ด้วยสีหน้าจริงจัง “หากพูดถึงซือหนาน……ตอนนั้นเขาทรยศเผ่าสวรรค์ กลายเป็นหนึ่งในสิบพญายมของซื่อมั่ว เป็นอ๋องสังหารที่ผู้คนนับถือในความเก่งกาจด้านการสู้รบที่สุดในเผ่าหมิง…..”
“ตอนสงครามระหว่างเผ่าเทพและหมิง เขาใช้ร่างกายปกป้องเผ่าหมิง ตายใต้คมดาบของพวกเทพ….ได้ยินว่าแม้แต่วิญญาณก็ยังชอกช้ำอย่างหนักไปด้วย….”
“หากว่าเขากลับมาเกิดใหม่จริงๆ แต่บังเอิญกลายเป็นเจ้าใหญ่ของข้ากระนั้นหรือ?”
เยี่ยจ้านคิดย้อนกลับไปถึงรูปลักษณ์ในวัยเด็กของเจ้าใหญ่ …..ตั้งแต่เล็กเขาก็มีไอสังหารดุดัน ตอนที่ตนต้องไปจากตระกูลตู๋กูนั้น ก็รู้สึกเหมือนมีภูติผีอะไรมากระซิบให้ตัดเขาของตนเองลงมา หลอมเป็นดาบยักษ์มอบให้กับเขา
ตอนนี้พอคิดย้อนกลับไป ที่จริงเขาก็รู้สึกแต่แรกแล้วว่าเด็กคนนี้ช่างดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง…..
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นซือหนานกลับชาติมาเกิดน่าจะยิ่งมาก
ซื่อมั่วเจ้าเฒ่าตัวร้ายผู้นั้นช่างวางแผนมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ถึงกับส่งลูกน้องคนสนิทที่สุดให้มาเกิดเป็นเจ้าใหญ่ของเขา?
“เจ้าใหญ่จะใช่ซือหนานหรือไม่…..เกรงว่ามีแต่ต้องสอบถามอาจารย์ของเจ้าถึงจะรู้” สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ต้องผ่อนปรน
ไม่ว่าจะใช่ซือหนานหรือไม่ เจ้าใหญ่ในตอนนี้ก็คือเจ้าใหญ่ คือบุตรมังกรของเขาเยี่ยจ้าน เป็นบุตรชายคนแรกของเขากับชิงชิง แน่นอนว่าต้องรักใคร่อยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันได้รับคำตอบเช่นนี้ ก็คล้ายกับที่คาดการณ์เอาไว้ นางยังคงกอดกระถางดอกไม้ที่มีศิลาโลหิตของอาจารย์เอาไว้ สอบถามเยี่ยจ้านต่อไปว่า “บิดามีหนทางอันใดสามารถช่วยให้คนจดจำเรื่องราวในชาติก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ? หากว่าพี่ใหญ่คือซือหนานจริงๆ…..”
เช่นนั้นนางก็จะพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย
“คนข้ามสะพานไหน่เหอ ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลงไปแล้ว เรื่องราวในชาติก่อนย่อมต้องลืมเลือนจนหมดสิ้น จะไปมีหนทางให้จำจนได้อย่างไร….” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ “นอกเสียจากว่าเขาจะจดจำได้อย่างฝังใจ หรือว่าได้เจอกับคนที่คุ้ยเคยอย่างยิ่ง หรือว่าเหตุการณ์ที่จดจำอย่างฝังใจเหล่านั้นได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ก็อาจจะทำให้จดจำชาติก่อนได้”
“ถ้าหากว่าน้ำแกงของยายเมิ่งหมดอายุละ?” ตู๋กูซิงหลันถามออกไป
เยี่ยจ้านยกมือขึ้นมาลูบคลำศีรษะน้อยๆของนาง “บุตรสาวสุดที่รักของข้า ฤทธิ์ของยาในน้ำแกงยายเมิ่งรุนแรงมาก ไม่มีทางจะหมดอายุได้ง่ายๆหรอก ในสมองน้อยๆนี้วันวันคิดอะไรอยู่หรือ….”
ในใจของตู๋กูซิงหลันกำลังหวาดกลัว กลัวว่าหากอาจารย์และจีเฉวียนมาเกิดใหม่…..เดินข้ามสะพายไหน่เหอ ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลงไป แล้วพวกเขาจะลืมนางหรือไม่?
การถูกคนที่รักที่สุดลืมเลือน ช่างเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานถึงเพียงใด
นางหลุบตาลง เหลือบตาไปมองดูกระถางดอกไม้ในมือ “อาจารย์กับจีเฉวียนก็ไม่อยู่แล้ว แต่ข้าอยากจะฟื้นฟูเผ่าหมิงขึ้นมาใหม่….”
มีแต่ฟื้นฟูเผ่าหมิงขึ้นมา นางถึงจะมีขุมกำลังเพียงพอ ที่จะต่อกรกับแดนสวรรค์
มิเช่นนั้นถึงนางจะฝึกฝนจนแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจเหยียบย่ำแดนสวรรค์ได้ด้วยกำลังเพียงคนเดียว
ดังนั้นนางจึงต้องการจะมีขุมกำลังของตนเอง แผ่นดินโบราณนั้นส่วนใหญ่เป็นเพียงคนธรรมดา มีกำลังไม่เพียงพอ
จะต้องฟื้นฟูเผ่าหมิงขึ้นมา และตามหาสิบยมราชในตอนนั้นกลับมาให้ครบ
ตอนนี้ในบรรดาสิบยมราชนั้น มีเพียงแต่เสินฟาง ฉู่เจียง และคนที่อาจจะเป็นซือหนาน
ยังขาดอีกเจ็ดคนทีเดียว
เยี่ยจ้านถึงกับถูกนางทำเอาตกใจขึ้นมา หัวคิ้วของเขาชักกระตุก “บุตรสาวสุดที่รัก นี่เจ้าเอาจริงหรือ?”
“ไม่อาจจะจริงไปกว่านี้ได้อีกแล้ว”
นางกล่าวต่อไป “บิดาเองก็เคยสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก แต่เพราะท่านมีเหตุจำเป็นมากมายจึงไม่อาจแก้แค้น แต่กับข้าแล้วไม่เหมือนกัน มีแค้นไม่ชำระก็ไม่ใช่นิสัยของข้าแล้ว ข้าต้องการให้แดนสวรรค์ชดใช้!”
นางเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงก็นิ่งเรียบอย่างที่สุด ต่อให้เยี่ยจ้านมองไม่เห็นแต่ในใจของเขาก็สามารถวาดภาพบุตรสาวตัวน้อยยามกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา
เขาใช้ชีวิตอย่างปล่อยตามสบายมาโดยตลอด แต่นิสัยในด้านความอดทนต่อความยากลำบากของบุตรสาวนั้น นางได้สืบทอดมาจากมารดาของนางชิงชิงทั้งหมด ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หากไม่ชนกำแพงก็ไม่ยอมถอย มีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ
นิสัยเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
ในใจของเขาครุ่นคิดไปมากมาย สุดท้ายก็ได้แต่ตบลงไปบนไหล่ของนางเบาๆ พลางเอ่ยกับนางว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องที่เจ้าตัดสินใจดีแล้ว บิดาก็จะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าเป็นบุตรสาวสุดที่รักของบิดา ไม่ว่าเจ้ากระทำสิ่งใด บิดาล้วนสนับสนุนเจ้าทั้งสิ้น” ว่าแล้วเขาก็ถอดแหวนสีดำออกมาจากปลายนิ้ว
ตัวแหวนที่เป็นกึ่งโลหะกึ่งหยก และเพราะสวมใส่ติดกายมาเนิ่นนาน จึงมีริ้วรอยไปบ้าง แต่ก็ยังส่องประกายสุกใส
เขาสวมมันลงไปบนนิ้วเล็กๆของตู๋กูซิงหลันด้วยตนเอง เยี่ยจ้านเอ่ยสั้นๆแต่กินความหมายลึกซึ้งว่า “เจ้าเป็นบุตรสาวของบิดา ทั้งยังได้รับสืบทอดพลังมังกรทมิฬของบิดาไป นี้คือเครื่องหมายของราชามังกรเผ่ามังกรทมิฬ เมื่อรับมันไป เจ้าก็คือราชินีนาถองค์ใหม่ของเผ่ามังกรทมิฬแล้ว”
เขากุมมือของนางเอาไว้ “ถึงแม้ว่าเผ่ามังกรทมิฬที่ก้นทะเลลึกจะถูกทำลายไป แต่ว่าเผ่ามังกรที่เหลือมิได้ล่มสลาย นับจากวันนี้เป็นต้นไป เผ่ามังกรทั้งสี่ทะเลแปดสาขาล้วนต้องฟังบัญชาของเจ้า แค่เจ้าออกคำสั่งลงไป สี่ท้องทะเลล้วนน้อมรับ”
ตู๋กูซิงหลันมองดูแหวนสีดำวงเล็กๆบนนิ้วมือ ตอนที่นางมาที่นี่ ไม่ได้คิดจะเป็นราชามังกรทมิฬอะไรนั่นสักหน่อย
บิดาคนงามช่างเป็นทาสของบุตรสาวจริงๆ แทบจะอยากมอบทุกสิ่งที่ดีงามในใต้หล้ามาไว้ในมือของนาง
สำหรับพี่รองที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน กับพี่ใหญ่ที่อาจจะเป็นซือหนานกลับชาติมานั้น ไม่เคยเห็นเขาใส่ใจถึงเพียงนี้มาก่อน
เห็นพักใหญ่นางก็ยังไม่พูดไม่จา เยี่ยจ้านก็คว้ามือของนางเอาไว้แน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“อย่าได้ปฏิเสธ นี่สมควรจะเป็นของเจ้าอยู่แล้ว”
มือของตู๋กูซิงหลันถูกเขาบีบจนเจ็บ ที่จริงนางอยากจะบอกว่า….บิดา ท่านคิดมากไป ข้าไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว
มีเผ่ามังกรทั้งหมดหนุนหลัง เท่ากับว่าแผนการฟื้นฟูเผ่าหมิงของนางยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ ในเมื่อเป็นความหวังดีของบิดา ตู๋กูซิงหลันย่อมรับไว้อย่างไม่อิดออด
“เมื่อกลับไปแล้ว ก็ใส่ใจดูแลเจ้าใหญ่แทนบิดาด้วย หากว่าทำได้ ก็หาพี่สะใภ้ให้เขาสักหน่อย บิดาติดค้างเจ้าลูกคนนี้มากอยู่”
พอเห็นตู๋กูซิงหลันยอมรับสัญลักษณ์ของราชามังกรไปแล้ว เยี่ยจ้านก็ค่อยบ่นพึมพำต่อไป
จริงด้วยสินะ ตนไม่ได้ส่งมอบพลังมังกรทมิฬให้กับเขา ทั้งยังปล่อยให้เขาไปมีหน้าตาเหมือนกับไอ้ลูกเต่าซือเป่ยนั่น ไม่ได้รับสืบทอดความงามอันล้ำโลกของตนและชิงชิงไป ถือว่าเจ้าลูกคนนี้ขาดทุนอย่างย่อยยับจริงๆ
แถมตั้งแต่อายุยังน้อยเขายังต้องขาดพ่อและแม่ รับภาระดูแลน้องชายน้องสาว
เยี่ยจ้านยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อลูกคนโต
หากว่าเขาไม่ต่อสู้ยืนหยัดด้วยตนเอง ก็คงกลายเป็นไอ้เด็กอ่อนแอไปแล้ว
อยู่ๆในสมองของตู๋กูซิงหลันก็เกิดคำถามว่าเพราะอะไรมารดาถึงได้หลงรักบิดากัน
นางรู้สึกว่า หากให้อาจารย์และบิดาคนงามยืนอยู่เคียงกันละก็ มีหวังต้องกลายเป็นคู่จิ้นคู่หนึ่งเป็นแน่ แถมยังเป็นคู่ยอดอาหารตาอีกต่างหาก!
พักใหญ่ต่อมานางค่อยตบหน้าตนเองไปครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองคิดไปถึงเพียงนั้นได้อย่างไร
ตอนที่ 524 อย่างน้อยๆก็ต้องผ่านการทดส...
ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ ผลักไสความคิดไร้สาระเหล่านั้นออกไปจากสมอง
“เรื่องสำคัญในชีวิตของพี่ใหญ่ บิดามิต้องเป็นห่วงไป” ตู๋กูซิงหลันพูดไปพลาง ในสมองก็ปรากฏดวงหน้าขององค์หญิงใหญ่และหยวนเฟยขึ้นมา
หลังจากที่นางกลับมายังโลกโบราณแล้ว ก็กลับไปที่จวนตระกูลตู๋กูอยู่หลายครั้ง พอหยวนเฟยได้รับอิสระก็พาตัวเองย้ายไปอยู่ในจวนแล้ว
ส่วนองค์หญิงใหญ่ ทุกสามวันห้าวันเป็นต้องพาเสี่ยวซุ่นเอ๋อร์ไปเล่นในจวนตระกูลตู๋กู ดูท่าความเข้าใจผิดเรื่องการตายของราชบุตรเขยคงจะได้รับการคลี่คลายแล้วเป็นแน่ องค์หญิงใหญ่จีฉุนและพี่ชายคงจะจับมือคืนดีกันไปแล้ว
ตอนที่ยังเยาว์วัย พี่ใหญ่ก็เคยชอบจีฉุนมาก่อนด้วย….
เพียงแต่ว่าตอนนี้ดูๆแล้ว เสี่ยวหยวนเฟยที่โผงผางผู้นั้น ก็ใส่ใจพี่ใหญ่มากอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้ไปๆมาๆจึงกลายเป็นรักสามเศร้าอันยุ่งเหยิงขึ้นมาเสียแล้ว
เรื่องที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันไม่ได้บอกกับบิดา
“จะอย่างไรก็เป็นบุตรของตนเอง ย่อมต้องใส่ใจห่วงใยอยู่แล้ว” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ เขานั่งอยู่ข้างตู๋กูซิงหลัน ยกมือขยับนิ้วเล็กน้อย “บิดาเคยลองทำนายทายทักดู….”
ตู๋กูซิงหลันคิดว่าจะได้ยินเขากล่าวอะไรออกมา แต่กลับเป็นว่าได้ยินเขาถอนหายใจยาวแท้ “บิดาเคยลองทำนายดูแล้ว กลับไม่ได้เรื่องอะไรทั้งสิ้น”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ถึงกับมิได้เปลี่ยนสีเลยสักนิด พอทิ้งความรู้สึกเคอะเขินเมื่อครู่ไปแล้ว ก็หันกลับมาถามตู๋กูซิงหลันต่อว่า “บุตรสาวสุดที่รัก ก้าวต่อไปเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างไร?”
“ก็ไปชมดูแดนสวรรค์จิ่วโจวสักรอบ เสาะหาพี่รองกลับมา ถือโอกาสตามหาพญายมอีกเจ็ดคนไปด้วย” ตู๋กูซิงหลันกล่าวอย่างมีเป้าหมาย
เยี่ยจ้านได้ยินแล้ว ก็ครุ่นคิดไปมาอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนี้ก็ได้อยู่ แต่หากว่าพวกชาวสวรรค์รู้ตัวขึ้นมา จะต้องไม่ยอมให้เจ้าฟื้นฟูเผ่าหมิงได้อย่างง่ายๆแน่นอน การเดินทางครั้งนี้มีอันตรายอย่างยิ่ง เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ”
เยี่ยจ้านพูดพลาง ก็ครุ่นคิดไปว่ายังพอจะมีอะไรมามอบให้กับบุตรสาวสุดที่รักได้อีก
หากมิใช่เพราะว่าเขาเสาะหาจิตวิญญาณอันบอบบางของชิงชิงพบแล้ว เขาจะต้องไปเป็นเพื่อนนางที่จิ่วโจวอย่างแน่นอน และทำทุกสิ่งเหล่านั้นแทนนาง
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่อาจไปจากที่นี่ได้ จนกว่าเขาจะรวบรวมดวงจิตของชิงชิงกลับมาได้ครบ
“บิดาท่านว่าใจเถอะ ข้ามีบุญมีวาสนา ไม่ตายง่ายๆหรอก” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมา ใต้ต้นไม้มังกร แสงจากแมลงกัดวิญญาณ ส่องแสงระยิบลงมาบนร่างนาง กลายเป็นความงดงามอันละเอียดอ่อนอีกแบบ
น่าเสียดายที่เยี่ยจ้านมองไม่เห็น
เขามองไม่เห็นราศีอันเฉิดฉายบนใบหน้าของนาง ทั้งยังมองไม่เห็นแววตาสุกสกาวจากดวงตาดอกท้อทั้งสอง
หลังจากนั้น ตู๋กูซิงหลันก็นำไม้คฑาของตนเองที่ได้จากต้นฮว๋ายโบราณในธารทรายของน้ำพุเหลืองออกมา ส่งให้เยี่ยจ้านชมดู “ขอถามเรื่องสุดท้าย บิดาเคยพบเห็นสิ่งนี้หรรือไม่เจ้าคะ?”
เจ้าอาวุธสุดโกงนี้ จะอย่างไรตู๋กูซิงหลันก็อยากจะรู้ว่า มันมีที่มาที่ไปอย่างไร
หากพูดให้น่าฟังหน่อย ของสิ่งนี้ดูเป็นสมบัติโบราณสุดล้ำค่า หากพูดอย่างไม่น่าฟังมันก็ดูเป็นของเก่าคร่ำครึ แถมยังมีกลิ่นไม้ผุๆอีกต่างหาก แต่ว่าเจ้าไม้คฑาที่ดูไปไม่น่าพิศมัยท่อนนี้ กลับมีพลังที่สามารถจะดูดซับพลังจิตของผู้คน และถ่ายเทออกมาใช้สอยได้
ตามธรรมดาแล้ว สิ่งของเช่นนี้ หากคิดจะครอบครองมัน จะมากจะน้อยก็ต้องมีการทดสอบก่อนยอมรับเป็นเจ้านายเสียก่อน ….
แต่ว่าเจ้าสิ่งนี้ นางกลับสามารถใช้สอยมันได้อย่างง่ายดาย
เยี่ยจ้านยื่นมือออกมา ปลายนิ้วที่เรียวยาวพึ่งจะสัมผัสโดนมันเล็กน้อย ก็ได้ยินเขาส่งเสียงเจ็บปวดออกมา ‘อ้ายโย้ว’
ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดู ก็เห็นไม้คฑาพลันมีหนามแหลมงอกออกมา ปลายหนามมีหยดเลือดติดอยู่ เป็นเลือดที่มาจากปลายนิ้วของบิดาคนงาม
“เจ้าสิ่งนี้ก็กัดคนได้หรือ?” เยี่ยจ้านยังไม่ทันได้สัมผัสโดนมันเสียด้วยซ้ำ ก็ถูกไม้คฑานี้ปฏิเสธเสียแล้ว
ไม้คฑาดูดซับเลือดของเยี่ยจ้านเข้าไป จากนั้นก็เรืองแสงสีแดงเข้มออกมาแวบหนึ่ง
จากนั้นแสงสว่างก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
พอตู๋กูซิงหลันพลิกดูอย่างละเอียด ถึงได้เห็นว่าหนามเล็กที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อครู่นี้ ที่จริงแล้วก็คืองูตัวน้อย
หนามเล็กๆนั่นยุบหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดมาก่อน
เยี่ยจ้านยกปลายนิ้วของตนเองขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะได้สัมผัสเพียงชั่วแวบ แต่ว่าเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเป็นสิ่งที่มาจากเทพเจ้าในบรรพกาล เพราะแม้แต่ตัวเขายังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจนเสียดกระดูก
เขาคือราชามังกรแห่งเผ่ามังกรทมิฬ ในหกภพภูมินับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งผู้หนึ่ง แต่ว่าหากเปรียบเทียบกับเหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาล นั่นย่อมไม่อาจเทียบกันได้จริงๆ
เพราะแม้แต่เผ่าเทพในแดนสวรรค์ ทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับเทพผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาลเช่นกัน
เทพเจ้าในยุคบรรพกาล ถือว่าเป็นต้นกำเนิดบรรพบุรุษของเทพเจ้าทั้งหลาย หากว่าปรากฏตัวขึ้นมาเพียงหนึ่ง เกรงว่าทั้งหกภพภูมิคงต้องคุกเข่าลงและเรียกขานเป็นบรรพชนแล้วกระมัง?
น่าเสียดายที่ว่า หลังสิ้นสุดยุคบรรพกาลแล้ว เหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างก็หายสาปสูญไป จากนั้นถึงได้เกิดเป็นเทพเซียนภูติมารต่างๆขึ้นมา
เยี่ยจ้านปาดเช็ดรอยเลือดบนปลายนิ้วออกไป จากนั้นถึงได้กล่าวว่า “สามารถระบุได้เรื่องหนึ่ง นี่เป็นสมบัติในยุคบรรพกาลอย่างแน่นอน ค่อนข้างกระหายเลือด หากว่าควบคุมได้ไม่ดี ก็จะ….
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยตอบอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ก็จะเที่ยวกัดคนไปทั่ว”
ที่จริงตู๋กูซิงหลันเตรียมใจรับฟังเอาไว้พร้อมแล้ว นางนึกว่าหากควบคุมไม่ดีมันก็จะระเบิดได้ หรือไม่ก็ย้อนเข้าใส่ตัวอะไรทำนองนั้น…..
แต่สุดท้ายเขากลับสรุปลงเช่นนี้
“สมแล้วที่เป็นบุตรีของข้า มีโชคลาภมหาศาล ขนาดสมบัติในยุคบรรพกาลยังถูกเจ้าค้นพบ” จากนั้น เยี่ยจ้านก็ทำท่าทำทางภาคภูมิใจออกมา
ตู๋กูซิงหลันมองดูไม้คฑาในมือรอบหนึ่ง ก็เก็บมันกลับไป โดดเด่นถึงเพียงนี้ แล้วจะมองข้ามได้อย่างไร?
ดูจากท่าทางของบิดาคนงาม คงจะไม่รู้จักเจ้าสิ่งนี้สักเท่าไร นางจึงไม่ได้ถามอะไรอีกต่อไป เพียงพูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อยๆ
เยี่ยจ้านอยู่ใต้หุบเหวไร้ก้นเพียงลำพังมาเนิ่นนาน ยากนักที่บุตรสาวจะมาเยี่ยมได้สักครั้ง จะเป็นจะตายอย่างไรก็ต้องรั้งนางเอาไว้ให้ได้สักวันสองวัน
ตู๋กูซิงหลันขัดใจเขาไม่ได้ จึงรั้งอยู่ที่ใต้หุบเหวไร้ก้นสองวัน
ในช่วงเวลานี้ก็ได้โอกาสขี่เจ้าจอระเข้ผีดิบวนไปวนมาอยู่ในธารน้ำสีดำอีกหลายรอบ จนบังเอิญเก็บหินสีดำที่แวววาวได้ก้อนหนึ่ง
นางคิดไปว่าดาบยักษ์ของพี่ใหญ่ถูกเจาะจนเป็นรูใหญ่ หากใช้หินก้อนนี้ไปปิดเอาไว้น่าจะพอซ่อมได้พอดิบพอดี
เยี่ยจ้านได้ฟังความคิดของนาง ก็ไปคลำเอากิ่งของต้นไม้มังกรมากิ่งหนึ่ง ค่อยๆหลอมรวมมันเข้ากับหินก้อนนั้น
ดาบยักษ์ที่มอบให้กับเจ้าใหญ่หลอมขึ้นจากเขามังกรของเขา หากอยากจะซ่อมแซม ย่อมต้องอาศัยวัตถุดิบจากร่างของเขา
ต้นไม้มังกรนี้กำเนิดจากร่างกายของเขา กิ่งก้านที่เขาดึงออกมาคือกระดูกสันหลัง สำหรับเขาที่เป็นถึงอดีตราชามังกร……นี่คือส่วนที่****ที่สุดในร่างกาย
ยามที่ตู๋กูซิงหลันจะไปนั้น บิดาคนงามถึงกับยากจะทำใจร่ำลา ได้แต่บอกให้นางมาเยี่ยมเขาบ่อยๆ ทางที่ดีครั้งหน้าให้พาเจ้าใหญ่และสะใภ้ของเจ้าใหญ่มาด้วยพร้อมกัน
ในคำพูดของเขาไม่ได้เอ่ยถึงพี่รองที่ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดเลยสักนิดเดียว
พี่รองช่างน่าสงสาร หากมีโอกาสพี่รองจะต้องบ่นออกมาแน่นอน
…………………….
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ได้กลับไปที่ต้าโจว แต่ว่ากลับเดินทางไปยังเขาฝูซางซาน ในเขตเมืองกู่เย่วแทน
เปรียบเทียบกับยามที่ได้มาครั้งก่อน ไอหยินในภูเขาฝูซางซานจางลงไปมากแล้ว
เพระก่อนหน้านี้อู๋เจินได้รับพระบัญชาจากจีเฉวียน ให้มาที่นี่ด้วยตนเองเพื่อชำระวิญญาณ งานชิ้นนี้นับว่าเขาทำได้เป็นอย่างดี วิญญาณแค้นบนภูเขาแทบจะสลายไปจนหมดแล้ว ภูเขาฝูซางซานที่เดิมทีมีแต่หมอกสีเลือดปกคลุมอยู่ตลอด ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใสขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันเข้าไปในภูเขาวนไปวนมาอยู่รอบหนึ่ง ก็ต้องแปลกใจที่จิตวิญญาณในที่นี่บริสุทธิ์ขึ้นมาก
ตอนที่ 525 ท่านอ๋องฉู่เจียง?
บนภูเขาปลูกต้นท้อเอาไว้เป็นจำนวนมากตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
ตู๋กูซิงหลันออกจะงุนงงอยู่บ้าง ต้นท้อถือเป็นไม้มงคลยับยั้งสิ่งชั่วร้าย ฉู่เจียงถือเป็นหนึ่งในสิบยมราช เดิมทีย่อมมีธาตุหยินเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เขากลับปลูกต้นท้อเอาไว้ทั่วทั้งภูเขา นี่มิใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?
ช่วงนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง จึงไม่มีลูกท้อแล้ว ทั่วทั้งต้นมีแต่ใบสีเขียวเข้มเพิ่มพูนความเขียวขจีและความสดชื่นไปทั่วทั้งภูเขา
ตรงจุดที่ใกล้กับยอดเขา ตู๋กูซิงหลันก็พบว่ายังมีต้นท้อที่ผลิดอกอยู่แถบหนึ่ง
ดอกท้อสีขาวผลิบานเป็นบริเวณกว้าง ใต้เท้าเป็นผืนหญ้าสีเขียวสด ใบหญ้าแซมด้วยดอกไม้ป่านานาพันธุ์ ทั้งยังมีผีเสื้อมากมายโบยบิน
กลางป่าดอกท้อ มีเรือนไม้หลังหนึ่ง ไม่ใหญ่นักแต่กลับจัดสร้างอย่างปราณีต ลานหน้าบ้านปูด้วยหินสีเขียว รอบๆเรือนไม้มีรั้วรอบขอบชิด ภายในรั้วมีสวนแห่งหนึ่งปลูกผักต่างๆเอาไว้
ในสวนยังเลี้ยงไก่บ้านเอาไว้สิบกว่าตัว
มุมหนึ่งของสวนมีลำธารเล็กๆ ลำธารมีน้ำใสสะอาดอย่างยิ่ง
ทิวทัศน์ที่นี่ แตกต่างจากโลกภายภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่พบกันเพียงช่วงสั้นๆ รสนิยมในเรื่องความงามของฉู่เจียงช่างพัฒนาไปมาก แค่ขยับมือไม่กี่ครั้งก็สามารถเนรมิตสถานที่งดงามเช่นนี้ขึ้นมาได้
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเดินเข้าไปได้สองก้าว ก็ได้ยินคนส่งเสียงเรียกไก่กุ๊กๆ
นางเดินไปอีกก้าวก็หยุดเท้า เห็นสาวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพูรากบัวกำลังวิ่งตรงเข้ามา
ใต้ป่าดอกท้อ นางยังคงงดงามดุจเดิม ดวงหน้าของนางเป็นสีชมพูอ่อนทอประกายสดใสน้อยๆ ดวงตากลมโตเด่นชัด ทั่วทั้งร่างดูบริสุทธิ์สดใส ราวกับกระดิ่งแก้วที่ทำให้จิตใจผู้คนผ่อนคลาย
เหลียงเซิงเซิง
ครั้งก่อนจากกันในเมืองกู่เย่ว คิดไม่ถึงว่านางจะย้ายมาอยู่ในภูเขาฝูซางซานแล้ว
ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง สาวน้อยผู้นี้มิได้ถูกฉู่เจียงกลืนกินลงไปแล้วหรอกหรือ?
นางรีบสังเกตไปที่ลำคอของสาวน้อย อืม มีรอยเขี้ยว เป็นแผลเล็กๆสีแดง
ดูท่า เจ้าปีศาจเฒ่าจอมโหดฉู่เจียงผู้นั้น คงจะใช้สาวน้อยผู้นี้เป็นยาบำรุญจิตวิญญาณเข้าจริงๆ
เห็นรอยแผลนั้นยังไม่หายดี ดูท่าทุกวันเป็นต้องได้ชิมคำหนึ่งกระมัง?
ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะสงสารสาวน้อยผู้นี้อย่างเงียบๆ
เหลียงเซิงเซิงเป็นสายเลือดอันสูงส่งของไท่จื่อแคว้นกู่เย่ว ต้องนับว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง ถือได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
แต่ตอนนี้ เหลียงเซิงเซิงถือมีดหั่นผักเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ เดินเข้าไปในฝูงไก่ด้วยสายตาเป็นประกาย สุดท้ายสายตาของนางไปหยุดอยู่ที่ไก่ตัวที่อ้วนพีที่สุด ทันใดนั้นก็พุ่งเข้าไปพร้อมมีดหั่นผัก
ไม่เจอกันเพียงไม่นาน พลังกำลังของนางเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย สามารถจับเจ้าไก่อ้วนขึ้นมาได้ง่ายๆ หิ้วมันไปที่แผ่นหินสีเขียว พอยกมีดขึ้นมาปาดฉับๆสองครั้งหัวไก่ก็หล่นลงไปเรียบร้อย
กรีดเลือด…..ถอนขน เสร็จสับในอึดใจเดียว
ใครจะไปคิดว่า หลานสาวของกู่เย่วจวิ้นอ๋อง ที่แม้แต่มดก็ยังไม่กล้าเหยียบจะฆ่าไก่ได้อย่างแม่นยำและคล่องแคล่ว
ฝีมือนั้นดูช่างแสนจะชำนาญ ราวกับว่าไก่ที่ตายใต้ฝ่ามือของนางนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันตัวแล้ว
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่นอกรั้ว พอสายลมโชยมา กลีบดอกท้อก็ปลิวลงไปที่ผมของนาง
เหลียงเซิงเซิงที่พึ่งจะจัดการไก่เสร็จเงยหน้าขึ้นมามองเห็นตู๋กูซิงหลันพอดี
นางตกใจไปเล็กน้อยราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตา สุดท้ายแววตาก็เปลี่ยนเป็นทอประกายยินดีขึ้นมา
“เป็นท่าน?” นางวางไก่ตัวอ้วนพีที่พึ่งเชือดเสร็จลงไปในอ่างใบหนึ่ง มือแทบจะไม่ได้ล้างก็วิ่งปานจะเหาะมาที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน
นางเตี้ยกว่าตู๋กูซิงหลันเล็กน้อย ยามนี้ยิ่งจ้องเขม็งมาที่ตู๋กูซิงหลัน “เป็นท่านจริงๆด้วย…..พี่สาวที่ถูกลาถีบศีรษะ”
ตู๋กูซิงหลัน “….” หากไม่มีครึ่งประโยคหลัง ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะพอเป็นพี่เป็นน้องกันได้
“พี่สาว ขาของท่านหายดีแล้วหรือ?” เหลียงเซิงเซิงเดินวนรอบนางรอบหนึ่ง สองมือมีแต่เลือดไก่ แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร ปาดเช็ดลงไปบนกระโปรงอย่างลวกๆรอบหนึ่ง
“ตอนนั้นจากกันอย่างรีบร้อน ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะหาหมอมารักษาท่านให้หาย น่าเสียดายที่บ้านเกิดเรื่องบางประการขึ้น….” นางพูดพลางก็หลุบตาลง คล้ายไม่อยากจะกลับไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก
“ไม่เป็นไร ข้าหายดีแล้ว เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร” ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปบนไหล่ของนาง ตบลงไปเบาๆ
ทั้งยังถือโอกาสตรวจสอบร่างกายของนางรอบหนึ่ง
อืม เจ้าฉู่เจียงผู้นั้นยังถือว่ารู้จักยับยั้ง ไม่ถึงขึ้นเสียสติ ร่างกายของเหลียงเซิงเซิงดูแล้วมิได้มีปัญหาใหญ่อะไร ทั้งยังมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าเดิมมาก
ดูท่าเพื่อที่จะได้สูบไอทิพย์ในร่างของนางได้มากขึ้น ดังนั้นฉู่เจียงจึงฝึกฝนนางไปไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดไปเรื่อยๆ
ขณะที่ช่วยทัดปอยผมตรงริมหูให้กับนาง ตู๋กูซิงหลันก็สำรวจดูน้องสาวผู้นี้ พลางเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังหรือ?”
ทุกวันนี้เหลียงเซิงเซิงก็ยังคงบริสุทธิ์ใสซื่อ ตู๋กูซิงหลันถามอะไร นางก็ตอบไปตามนั้น
นางพยักหน้าให้อย่างโง่งม “ข้าอยู่กับท่านอ๋องฉู่เจียง”
“ท่านอ๋อง….ฉู่เจียง?” ประเด็นของตู๋กูซิงหลันอยู่ที่คำเรียกขานสองคำนั้น
อืม เจ้าตัวร้ายนี้ช่างหน้าหนานัก บังคับให้สาวน้อยผู้หนึ่งเรียกเขาเป็นอ๋อง
“อืม ท่านอ๋องดีกับข้ามากเลย สร้างบ้านหลังนี้ให้ ทั้งยังไปซื้อลูกไก่พวกนี้มาจากตลาดให้ข้าเลี้ยง”
“อ้อ ข้ายังเลี้ยงสุนัขเอาไว้ตัวหนึ่ง มันเรียกว่าเสี่ยวไป๋ (เจ้าขาวน้อย) ตอนนี้มันน่าจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกแล้ว”
“พี่สาวเชิญเข้าไปดื่มชาในบ้านก่อน อีกสักเดี๋ยวพอเสี่ยวไป๋กลับมา ท่านจะได้เล่นกับมัน ขนของมันนุ่มมากๆ น่ารักมากๆเลย”
เหลียงเซิงเซิงกล่าวอย่างคุ้นเคย แทบจะอยากเล่าเรื่องของตนเองให้ตู๋กูซิงหลันฟังจนหมด
เหมือนกับตอนที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าอยากสนิทสนมคุ้นเคยกันถึงเพียงนี้
อืม อาจจะเป็นเพราะว่าพี่สาวผู้นี้ งดงามเหลือเกินละมั้ง?
งดงามจนทำให้คนลดเกราะป้องกันลงไปง่ายๆ
แต่ถึงอย่างไร….นางก็ไม่ใช่คนที่รู้จักระวังป้องกันผู้อื่นอยู่แล้ว
“ก็ดีสิ” ตู๋กูซิงหลันยิ้มออกมา ปกติแล้วนางไม่ค่อยชอบคนที่ทำตัวใสซื่อมากนัก แต่บางทีอาจเป็นเพราะน้องสาวผู้นี้แสนจะบริสุทธิ์และไร้เดียงสาจริงๆ ประกอบกับดวงตากลมโตที่สดใส ใสกระจ่างดั่งธารน้ำแร่ ทำให้คนอดที่จะชื่นชอบไม่ได้
ที่นางเดินทางมาเขาฝูซางซาน ก็เพื่อจะมาพบฉู่เจียง ในเมื่อเขาอาศัยอยู่ที่นี่ นางก็เข้าไปรอแล้วกัน
พอตามเหลียงเซิงเซิงเข้าไปในเรือน ตู๋กูซิงหลันถึงได้พบว่า เรือนหลังนี้สร้างอย่างปราณีตงดงามถึงเพียงไหน
นางเคยเข้าไปในห้องส่วนตัวของเหลียงเซิงเซิงในจวนของจวิ้นอ๋อง เครื่องเรือนเครื่องใช้ภายในบ้านหลังนี้ เหมือนกับของที่อยู่ในห้องส่วนตัวของนางไม่มีผิด
เครื่องเรือนพวกนี้ ฉู่เจียงคงจะย้ายมาจากจวนจวิ้นอ๋องทั้งหมดกระมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูรอบหนึ่ง ก็มั่นใจว่า
ฉู่เจียง เอาใจใส่ลูกพี่ลูกน้องผู้นี้จริงๆ
ความเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ นับว่านอกเหนือความคาดหมายของตู๋กูซิงหลันไปแล้ว
เพราะหากมองดูเพียงการแสดงออกที่ผ่านมาของฉู่เจียงที่มีต่อเหลียงเซิงเซิง นางก็นึกว่าเขาคงจะจับตัวน้องสาวผู้นี่มาแล้วก็กระทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่นี่กลับ เลี้ยงดูจนทั้งขาวทั้งนุ่มอย่างเอาใจใส่
เหลียงเซิงเซิงล้างมือ ค่อยยกน้ำชามาให้ตู๋กูซิงหลัน สายตาก็เอาแต่จับจ้องนาง เหมือนดั่งกระต่ายน้อยที่ไร้เดียงสาตัวหนึ่ง
“พี่สาว ที่ท่านมาในวันนี้ เพื่อมาหาข้าหรือเจ้าคะ?”
นางถามอย่างซื่อๆและตรงเสียจนตู๋กูซิงหลันที่พึ่งส่ายไปครึ่งหนึ่ง ก็ต้องผงกศีรษะตอบ “มาเยี่ยมเจ้า แล้วก็ถือโอกาสมาหาฉู่เจียงด้วย”
ตอนที่ 526 ในใจอิจฉาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!
“ท่านอ๋องฉู่เจียงกับเสี่ยวไป๋ออกไปด้วยกัน พี่สาวคงจะต้องรอสักพัก ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
เหลียงเซิงเซิงเหลือบมองดูนอกหน้าตาแวบหนึ่ง นับจากที่เขาฝูซางซานได้รับการชำระวิญญาณจนหมดจด แสงอาทิตย์ก็สามารถส่องผ่านใบไม้ลงมาได้แล้ว
พอใกล้เวลาช่วงเที่ยง นางก็ต้มน้ำชาร้อนๆมาใหม่อีกกาหนึ่ง “พอดีเลยข้าพึ่งเชือดไก่เสร็จ จะได้ย่างให้พี่สาวกิน”
นางยิ้มออกมาจนหัวคิ้วโค้งมน น่าดูอย่างที่สุด
คุณหนูที่จวนจวิ้นอ๋องประคองเอาไว้ในฝ่ามือ ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ล้วนทำได้แล้ว ตู๋กูซิงหลันอดจะมองดูนางอีกหลายๆครั้งไม่ได้ พอพึ่งจะเบนสายตาออกไป ก็เห็นต้นไม้ในสวนปรากฏกลุ่มหมอกสีแดงเลือดขึ้นมากลุ่มหนึ่ง
พอหมอกเลือดสลายตัว ใต้ต้นไม้ก็มีเงาร่างในชุดสีแดงเลือดเดินออกมา
เส้นผมสีเงินของคนผู้นั้นพลิ้วไปด้านหลัง บนศีรษะมีผ้าคาดสีแดงอยู่เส้นหนึ่ง แสงแดด
ส่องผ่านต้นท้อลงมายังใบหน้าที่งดงามของเขา บางทีอาจเป็นเพราะแสงแดดเป็นเหตุ ทำให้ใบหน้าที่เดิมติดจะโหดเ**้ยม เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา
ในมือของเขามีสัตว์ที่ล่ามาหลายตัว ด้านหลังยังมีสุนัขสีขาวที่ใหญ่ถึงครึ่งตัวคนเดินตามมาอีกหนึ่งตัว ขนของมันหนาและยาวดูน่ารักน่าเอ็นดู ดูตรงข้างกับฉู่เจียงที่เ**้ยมโหดอย่างที่สุด
เดิมทีบนใบหน้าของฉู่เจียงยังมีรอยยิ้ม แต่พอได้เห็นตู๋กูซิงหลัน รอยยิ้มนั้นก็แข็งค้างไปในทันที
เขาหรี่ดวงตาลงเล็กน้อย เดินก้าวใหญ่ๆเข้าไป วางสิ่งของในมือลงบนโต๊ะ
เขานั่งลงบนเก้าอี้โยกในห้องยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง ด้วยท่าทางที่แฝงความอหังการเอาไว้ไม่น้อย
“ฮ่องเต้หญิง มีธุระหรือ?”
มารดาเลี้ยงตัวน้อยของจีเฉวียนได้ครอบครองแผ่นดินโบราณนี้ทั้งหมด กลายเป็นจักรพรรดินีที่สูงส่งเกินใครเทียบ เรื่องนี้แม้แต่ฉู่เจียงที่ฝังตัวอยู่บนเขาฝูซางของเขตกู่เย่วก็ยังทราบดี
ฉู่เจียงจดจ้องนางอย่างล้อเลียน ไม่พบหน้ากันพักหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่าพลังของหยกสรรพชีวิตในร่างกายของนางยิ่งทียิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำให้คนอดคิดถึงช่วงที่ผ่านมาไม่ได้
ตู๋กูซิงหลันลดถ้วยชาในมือลง กวาดสายตาลงบนร่างของฉู่เจียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็จิบชาร้อนในมือตามสบายอีกครั้ง ค่อยเอ่ยตอบเขาอย่างจริงจัง “ ข้ามาหาเจ้า เพราะมีเรื่องบางประการ เรื่องสำคัญ”
คนอย่างนางแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบการพูดจาอ้อมค้อมวกไปวนมาเสียเวลา นางไม่สนใจว่าเหลียงเซิงเซิงอยู่ข้างๆ ก็เปิดฉากเอ่ยหัวข้อว่า “หมิงอ๋องหายสาบสูญแล้ว เขา ‘ตาย’ ในน้ำมือของชาวสวรรค์ ข้าต้องการให้เจ้ามาช่วยตามหายมราชอีกเจ็ดคน ฟื้นฟูเผ่าหมิงขึ้นมาใหม่….”
นางไม่สนใจว่าฉู่เจียงจะตื่นตะลึงแค่ไหน ก็กล่าวย้ำต่อไปว่า “สังหารแดนสวรรค์”
พอเอ่ยคำนี้ออกมา ฉู่เจียงก็สูดลมหายใจเย็นๆเข้าไปด้วยความเหน็บหนาว
เขายังไม่ทันได้ตอบสนองคำพูดของตู๋กูซิงหลันที่ว่า หมิงอ๋อง ‘ตาย’ แล้ว?
ตุ๊กตาหญิงตัวน้อยผู้นี้คิดจะฟื้นฟูเผ่าหมิง ขึ้นไปสังหารชาวสวรรค์?
เขาเงียบงันไปชั่วขณะ ในที่สุดค่อยเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองพูดอะไรออกมา?”
ตู๋กูซิงหลัน “ข้าย่อมเข้าใจแจ่มแจ้ง”
“ฉู่เจียง เจ้าคือหนึ่งในสิบยมราช คือแม่ทัพใต้บัญชาของหมิงอ๋อง การฟื้นฟูเผ่าหมิง เป็นหน้าที่ที่เจ้าไม่อาจผลักภาระออกไปได้”
หลังจากที่ตู๋กูซิงหลันกลายเป็นฮ่องเต้หญิง ก็ยิ่งเพิ่มพูนภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำ ทุกถ้อยคำทำให้คนยากจะปฏิเสธ
ฉู่เจียงมองดูนาง สองขาที่ไขว้กันอยู่ลดลงมา ท่วงท่าเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังขึ้นมา
แววตาของเหลียงเซิงเซิงมองสลับไปสลับมาระหว่างคนทั้งสอง นางยังคงไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
ท่านอ๋องฉู่เจียง….มิได้เป็นปีศาจที่งดงามที่สุดในภูเขาฝูซางซานหรอกหรือ?
แล้วทำไมถึงกลายเป็นสิบยมราชไปได้?
สิบยมราช……คือตัวอะไร?
นางไม่เข้าใจ จึงไม่กล้าพูดอะไรไร้สาระออกไป เพียงแต่มองไปมองมาระหว่างคนทั้งสองเท่านั้น
ฉู่เจียงเห็นท่าทางที่อยู่ไม่สุขของนาง ก็ขยับมือวูบหนึ่ง ลมหอบหนึ่งพัดตัวเหลียงเซิงเซิงลอยเข้ามา จับนางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างกาย
“ข้าผู้เป็นอ๋องกับฮ่องเต้หญิงสนทนาเรื่องสำคัญกัน เจ้านั่งลงอย่างเชื่อฟังอยู่ที่นี่”
ว่าแล้ว ก็ชี้นิ้วไปยังสัตว์ที่ล่ามากองใหญ่ “หากว่าหิวแล้ว ก็ไปย่างกระต่ายมากินสักตัว เจ้ากินเองคนเดียวก็พอแล้ว”
หากเปรียบเทียบกับตัวเขาที่ก่อนหน้าที่สุดแสนจะเย็นชาแล้ว ฉู่เจียงที่อยู่เบื้องหน้าเหลียงเซิงเซิงในตอนนี้ยังอ่อนโยนกว่ามาก
ขนาดตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้ว ยังอดที่จะรู้สึกขนลุกชันไม่ได้เลย
เจ้าตัวร้ายผู้นี้ใช่ว่าพอจับน้องสาวของนางกินจนเรียบร้อย ก็ตั้งตัวเปลี่ยนเป็นคนรักที่คอยอบรมสั่งสอนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงใช่หรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะมองออกไปดูดอกท้อที่พลิ้วไปตามลมด้านนอกหน้าต่าง….
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่า ทำไมฉู่เจียงถึงได้ปลูกต้นท้อที่เป็นปรปักษ์กับธาตุหยินเอาไว้บนเขามากมาย
น่าจะเป็นเพราะว่า …..น้องสาวผู้นี้ชื่นชอบแน่นอน
เหลียงเซิงเซิงเชื่อฟังอย่างยิ่ง นางส่ายศีรษะ “ข้ายังไม่หิว พวกท่านคุยกันไป ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เข้าใจ ไม่รบกวนพวกท่านอยู่แล้ว”
ว่าแล้ว นางก็หาวกว้างออกมา โค้งเอวลงไป สองมือพาดลงไปบนตักของฉู่เจียง ซุกศีรษะลงไปอย่างรวดเร็ว พอปิดตาลงก็หลับไปแล้ว
กริยาของนางแสนจะว่าง่ายเชื่อฟัง ฉู่เจียงหลุบตาลง แววตาปรากฏความรักใคร่โปรดปรานออกมา
โอ้…..
ตู๋กูซิงหลันถึงกับเคอะเขินแทนแล้ว
ขอโทษที ผู้อื่นหลบมาใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่ในป่าท้อ นางไม่ควรมารบกวน ขอโทษที ตอนนี้นางพึ่งกลายเป็นคนโสดที่สูญเสียชายคนรัก ในใจจึงอิจฉาแทบระเบิดแล้ว!
หากว่ามิได้เกิดเรื่องร้ายเช่นตอนนั้นขึ้นมาละก็ นางกับเสี่ยวเฉวียนเฉวียนก็คงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
อืม ใต้แสงแดดยามบ่ายที่น่าสบาย ให้เสี่ยวเฉวียนเฉวียนเอนตัวลงนอนบนตักของนาง แค่นี้ก็พอใจแล้ว
…………………………..
ครู่ต่อมา ฉู่เจียงก็เงยหน้าขึ้น สองตาจ้องไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน “หมิงอ๋อง เขา…จากไปแล้วจริงๆ?”
“ข้าก็หวังว่าจะไม่ใช่ความจริง” ตู๋กูซิงหลันบอก
แน่นอนว่า ฉู่เจียงไม่อยากให้มันเป็นจริง เขาสอบถามเรื่องราวอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็เล่ารายละเอียดให้ฟังอีกรอบอย่างไม่มีอะไรตกหล่น
ฉู่เจียงรับฟังอย่างตั้งใจ จนสุดท้ายค่อยถอนหายใจออกมา “คิดไม่ถึงว่าหลายปีมานี้ เขาจะไปอยู่ที่โลกใบโน้น….มิน่าเล่า ตอนนั้นข้าค้นหาไปทั่วหกภพภูมิ ก็ตามหาเขาไม่เจอ…..หมิงอ๋อง เขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่จะหายสาบสูญไปได้ง่ายๆอย่างแน่นอน….”
เขาพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงแฝงความมั่นใจอยู่ไม่น้อย “เขาจะต้องกลับมา…..จะต้องกลับมา”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้กล่าวอะไร จากการแสดงออกของฉู่เจียง นางดูก็รู้ว่า เขาให้ความเคารพต่อท่านอาจารย์อย่างยิ่ง
จากนั้น ฉู่เจียงก็พิจารณาดูนางอย่างละเอียดลออ “ครั้งแรกที่ได้พบกัน ข้าก็สัมผัสได้ถึงพลังของหยกสรรพชีวิตในกายของเจ้าแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะเป็นศิษย์ที่หมิงอ๋องทรงรับเอาไว้ในโลกใบโน้น…..เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน เขาไม่เคยรับศิษย์มาก่อนเลย”
เขาอยากจะรู้จริงๆว่า สาวน้อยผู้นี้มีที่ใดไม่เหมือนกับผู้อื่น ถึงได้สามารถทำให้หมิงอ๋องยอมรับนางเป็นศิษย์ ทั้งยังมอบหยกสรรพชีวิตให้กับนาง
เพราะสิ่งของชิ้นนี้….ตอนที่เง็กเซียนฮ่องเต้เสด็จมาขอด้วยพระองค์เอง หมิงอ๋องแม้ตายก็ไม่ยกให้
แต่กลับยกให้เด็กสาวผู้นี้อย่างง่ายๆ?
ตอนที่ 527 เราก็คิดว่าตนเองเก่งกาจเหม...
“นี่ไม่ใช่ความบังเอิญหรอกหรือ? วาสนาละมั้ง?” ตู๋กูซิงหลันลูบไล้เส้นผม “อาจารย์เห็นเราแล้วถูกชะตา ก็เลยรับเราไว้เป็นศิษย์”
จากนั้นนางก็เปิดหัวข้อสนทนาต่อไป “ตอนนี้อย่าได้พูดเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์อีกเลย เรื่องสำคัญที่ข้าบอกกับเจ้า เจ้าคิดเห็นเช่นไร? ติดตามเราไปก่อการให้เลื่องลือสักครั้ง ภายหน้าย่อมต้องมีผลประโยชน์ให้เจ้าไม่น้อย”
ว่าแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าฉู่เจียง ตบไหล่เขาเบาๆ “พี่น้อง ขุนนางผู้มีคุณูปการฟื้นฟูเผ่าหมิง จะขาดเจ้าได้อย่างไร”
ฉู่เจียง “….” ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังโดนเด็กหญิงตัวน้อยๆหลอกใช้อยู่นะ?
เขาขมวดคิ้วแน่น “ไม่ใช่อะไร แต่ข้าเห็นว่าเจ้ายังอายุน้อย หากแค่จะฟื้นฟูเผ่าหมิง ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปทำสงครามกับแดนสวรรค์ เจ้ามองเรื่องราวทั้งหลายเรียบง่ายไปแล้ว”
“หากว่าแค่คิดก็ยังไม่กล้า เช่นนั้นผู้คนมีชีวิตอยู่ในโลกยังจะมีความหมายใดอีก?”
“ในโลกหล้านี้ไม่มีเทพไท้ ตำนานใดที่ไม่อาจเอาชนะได้ ชาวสวรรค์แม้แข็งแกร่งเพียงไร ก็จะต้องมีจุดอ่อน แค้นของอาจารย์ หากว่าข้าไม่ได้ชำระ คงต้องทุกข์ใจไปชั่วชีวิต”
ร่างของสาวน้อยยืนหยัดอย่างทรนง คำพูดนี้ของนางทำเอาแม้แต่ฉู่เจียงก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
สาวน้อยตรงหน้าผู้นี้ นางพึ่งจะมีอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น
นางต้องผ่านประสบการณ์เช่นไรมากัน ถึงได้สามารถเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาได้?
มุมปากของฉู่เจียงถึงกับกระตุก ชั่วขณะนั้นเอง เขาได้ถูกตู๋กูซิงหลันกระตุ้นเลือดร้อนระอุที่เก็บงำเอาไว้มานานขึ้นมา
เขาถูกกักขังอยู่ที่เขาฝูซางซานมานานถึงพันปีแล้ว เลือดที่ร้อนระอุนั้นในตอนแรกก็เดือดดาลอยู่หรอก แต่พอผ่านเวลาเนิ่นนานเข้า ก็ลายเป็นคนที่เดินสายกลาง ละวางไปนานแล้ว
“น่าเสียดาย…. ตอนนี้ข้าผู้เป็นอ๋องถูกกักอยู่แต่ในเขาฝูซางซาน อย่างมากก็เคลื่อนไหวได้เพียงแค่รอบเขตของกู่เย่ว ถึงแม้มีใจจะช่วยเหลือเจ้า แต่ก็จนใจที่ไร้กำลัง”
คำพูดนี้ไม่ใช่ว่าเขาจงใจสาดน้ำเย็นใส่ตู๋กูซิงหลัน
“ตอนนั้นผู้ที่กักขังเจ้าคือใคร?” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปที่เขา ช่วงเวลาเช่นนี้นางต้องการความช่วยเหลือจากฉู่เจียงจริงๆ
พี่ใหญ่จะใช่ซือหนานหรือไม่ นั่นก็ยังไม่แน่ชัด
นี่เท่ากับว่าอย่างน้อยๆมียมราชอีกเจ็ดคนที่หลบเร้นอยู่ที่ใดก็ไม่รู้ หากว่านางไปตามหาแต่เพียงลำพัง ก็ต้องเสียเวลามากเกินไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะไปตามหาได้ที่ไหน
แต่ฉู่เจียงกลับไม่เหมือนกัน เขาและยมราชคนอื่นๆต่างก็เป็นคนเผ่าหมิงหากให้เขาเป็นคนตามหา เรื่องย่อมง่ายดายกว่ากันมาก
“คนของเผ่าสวรรค์” ฉู่เจียงนวดขมับ ช่วงที่ผ่านมา เขาพึ่งพาการดูดซับไอทิพย์จากเหลียงเซิงเซิง พละกำลังจึงฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่า ทอดเวลานานออกไป สักวันหนึ่งย่อมมีวันที่สามารถไปจากที่นี่ได้
“ตอนที่หมิงอ๋องหายสาบสูญไปนั้น ข้าเดินทางไปทั่วทั้งหกภพภูมิเพื่อตามหาเขา เพราะไม่ทันระวังจึงบังเอิญปะทะเข้ากับเทพสงครามของสวรรค์ ซื่อเป่ย …..เจ้าเคยเจอเขาแล้วนิ คนผู้นี้ไม่สนใจเหตุผล ข้าต่อสู้กับเขา ถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่สามารถฆ่าข้าได้สำเร็จ จึงได้แต่กักขังข้าผู้เป็นอ๋องเอาไว้ในที่นี้ เจ้าว่าคนผู้นั้นชั่วร้ายหรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลัน “ย่อมชั่วร้ายยิ่ง”
ฉู่เจียงตบตักดังฉาด คิดจะร่วมเป็นร่วมตายกับตู๋กูซิงหลันในทันที
คนเราพออารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา ถึงกับลืมไปว่ายังมีสาวน้อยไร้เดียงสาหลับอยู่บนตัก ฝ่ามือนั้นพอฟาดลงมา ก็ตบลงไปบนใบหน้าของเหลียงเซิงเซิง
เสียง ‘ฉาด’ ดังสดใส
ดวงหน้าที่ขาวใสของลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยบวมขึ้นเป็นรอยฝ่ามือห้านิ้วในทันที
ตู๋กูซิงหลัน “อ้ายยะ…”
นี่จะว่าอย่างไรดีนะ?
ที่บอกว่า รักหวานชื่น มักจบเห่เร็ว!
คำพูดนี้ก็คงหมายถึงคนอย่างฉู่เจียงนี่ละ!
ฝ่ามือนี้ไม่เบาเลย! ต่อให้น้องสาวผู้นี้เป็นคนจิตใจดีเพียงไร เกรงว่ารอบนี้ยังไรก็ต้องลุกเป็นเพลิงแน่?
ว่าแล้ว เหลียงเซิงเซิงก็ยู่หน้า สีหน้าเจ็บช้ำ นางกำลังจะเอ่ยปากขึ้นมาก็เห็นฉู่เจียงยื่นมือออกไป พลิกฝ่ามือเป็นสันดาบสับหลังคอนางจนสลบลงไป
เหลียงเซิงเซิงยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรสักคำ ก็ถูกเขาซัดจนสลบ นอนตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ท่าทางเหมือนตายไปแล้ว
ท่าทางที่ร้อนรนจนมือเท้าสับสนของฉู่เจียงเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันล้วนเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด
นางกอดอกขึ้นมา ด้วยท่าทางของผู้ชมดูด้านข้างที่เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน เอ่ยช้าๆว่า “เอาชนะเมียไป ก็ย่ามใจได้เพียงชั่วคราว พริบตาที่ต้องงอนง้อ ยาวนานถึงเผาผี”
ฉู่เจียง “พูดจาไร้สาระอันใด ข้าเป็นถึงยมราช ย่อมไม่มีทางหวั่นไหวใจเพราะสตรีนางหนึ่งอยู่แล้ว”
เขาโอบกอดเหลียงเซิงเซิงเอาไว้ในอก เหมือนกับกลัวว่าตนเองจะทำคนหล่นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อครู่….ก็แค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายลูกตบเมื่อครู่ให้นางฟังอย่างไรดีเท่านั้น ก็เลยปล่อยเลยตามเลยตบให้สลบไปเสียดีกว่า
สตรี ช่างเป็นตัวยุ่งยาก
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาปากแข็งไม่ยอมรับ ทำขึงขังกลบเกลื่อนไปเรื่อยได้อีกก็ทำเป็นมองข้ามเรื่องไป “เช่นนั้นพวกเราก็กลับมาที่หัวข้อสำคัญ”
ว่าแล้ว นางก็มองออกไปที่นอกหน้าต่าง “เขตเมืองกู่เย่วและภูเขาฝูซางซานล้วนดูปกติดี เช่นนี้อาคมของซือเป่ยคงต้องอยู่กับตัวเจ้าแล้ว ให้ข้าตรวจสอบดูสักหน่อย”
ว่าแล้ว นางก็ไม่รอให้ฉู่เจียงได้ตอบตกลง ชิงวางฝ่ามือลงสัมผัสลงบนหน้าผากของเขา
พอปิดตาลง ใช้ดวงจิตสัมผัสดูก็พบว่ามีข่ายอาคมสายหนึ่งอยู่ภายในร่างกายของเขา
พอตรวจสอบลึกลงไป ก็พบว่าเป็นยันต์แผ่นหนึ่ง ยันต์ที่มีความสลับซับซ้อน โยงใยกันอยู่ภายในร่างกายจนกลายเป็นอักษรคำว่า ‘ผนึก’
“นี่เป็นอาคมกักขังที่ซือเป่ยสกัดกัดเจ้าเอาไว้?” ตู๋กูซิงหลันใช้พลังจิตตรวจสอบดูอย่างละเอียด
“เป็นสิ่งนี้เอง” ฉู่เจียงไม่ได้ผลักไสนางออกไป เขาเองก็เป็นถึงยมราช ย่อมมีความแข็งแกร่งและเก่งกาจอยู่แล้ว ในร่างกายของตนเองมีสิ่งใดอยู่ ตนเองย่อมกระจ่างดี
“ผนึกอาคมนี้ชาวสวรรค์เป็นผู้ลงมือ จึงต้องให้ชาวสวรรค์เป็นผู้ถอดถอน สาวน้อยอย่างเจ้าไม่มีทางที่จะถอน….”
คำว่า ‘ได้’ ยังไม่ทันจะพูดออกมา เขาก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันไหลผ่านฝ่ามือพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วไปแล้ว
จากนั้นอาคมผนึกชิ้นนั้นก็ถูกจิตของนางโอบล้อมเอาไว้ และเผาทำลายทิ้งไปในชั่วพริบตา
เพียงชั่วแวบเดียว ก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านจนหมดสิ้น
คราวนี้ ฉู่เจียงถึงกับตกตะลึงอยู่กับที่ไปแล้ว
อาคมผนึกในร่างกายถูกเผาทำลาย ทั่วร่างของเขาพลันรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมา
ที่ผ่านมาเขารู้สึกเหมือนร่างกายมีภูเขาทับอยู่มาโดยตลอด ตอนนี้ภูเขาก้อนนั้นได้สลายกลายเป็นหมู่เมฆไปแล้ว
ตอนนี้เขาแทบอยากจะโบยบินไปทั่วโลก ให้คนทั้งใต้หล้าได้รู้ว่าเขา ฉู่เจียง เป็นอิสระแล้ว!
อาคมที่กักขังมานานถึงพันปี ….อยู่ๆก็ถูกแม่ตุ๊กตาตัวน้อยผู้นี้ถอนออกไป?
ที่ยิ่งกว่าความยินดีนั้น ฉู่เจียงพลันรู้สึกประหลาดใจมากกว่า
สายตาเขาหันกลับมาที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน แทบจะอยากมองดูนางให้ทะลุ แต่มิว่าจะมองซ้ายมองขวาอย่างไร ก็ไม่รู้สึกว่าแม่ตุ๊กตาผู้นี้จะมีส่วนใดที่เหมือนกับชาวสวรรค์เลยสักนิด
นางมีไอหยินเข้มข้น ตลอดร่างเปี่ยมไปด้วยไอหยินจากหยกสรรพชีวิต แม้แต่พลังจิตที่ใช้ส่งผ่านเข้าไปในร่างของเขาเมื่อครู่ ก็ยังเย็นเฉียบ แล้วเมื่อครู่นางสามารถถอนอาคมในร่างของตนได้อย่างไร?
ฉู่เจียงรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
มือของตู๋กูซิงหลันยังคงวางอยู่บนหน้าผากของเขา
พอเห็นสายตาที่สับสนของฉู่เจียง นางก็ลูบคลำปลายคางตนเอง “อย่าได้มองดูเราเช่นนั้น มันจะทำให้เรารู้สึกว่าตนเองเก่งกาจเกินไปแล้ว”
นี่เรียกว่าอะไรนะ แมวตาบอดเจอหนูตาย….เดิมทีนางแค่คิดจะลองดู
เพราะเดิมทีนางก็มีความรู้เรื่องยันต์และคำสาปมาอยู่บ้าง
ตอนที่ 528 การประลองสามฝ่าย
อาคมกักขังที่ซือเป่ยผนึกเอาไว้ในร่างของฉู่เจียงเดิมทีก็มิได้ซับซ้อมมาจนเกินไป ยังพอคลี่คลายได้อยู่
เพียงแต่พลังที่ใช้ในการคลี่คล้ายนี้จำต้องพิเศษอยู่บ้าง นางได้แต่ใช้พลังจิตของตนเองทดลองดู
คิดไม่ถึงว่ากลับพบกับความสำเร็จ
สายตาของตู๋กูซิงหลันทอประกายวับวาว รอให้ฉู่เจียงมากราบกรานขอบคุณนาง
ฉู่เจียงเหลือบตามองดูนางแวบหนึ่ง ขณะที่คิดจะชมนางว่ามีฝีมือเก่งกาจออกมา คำพูดที่มาถึงริมฝีปากก็กลืนกลับลงไปเสียอย่างนั้น
ท่าทางเช่นนั้น มันโอ้อวดเกินไปแล้ว ราวกับกลัวว่าจะไม่มีใครรู้ว่านางเก่งถึงเพียงไหน
เขาหันศีรษะไปทางอื่น กล่าวเสียงต่ำคำหนึ่ง “ขอบใจ”
ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าว่าอะไรนะ ลมพัดแรงเกินไปแล้วข้าไม่ได้ยินเลย”
ว่าแล้วนางก็ยกมือขึ้นมาป้องหู ทำท่าทางรอคอยอย่างตั้งใจ
ฉู่เจียงรู้แต่แรกแล้วว่านางไม่ใช่เจ้านายที่วางตัวรักษาธรรมเนียม แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นหนักถึงเพียงนี้
เขาได้แต่ยกมือขึ้นมานวดขมับที่ปวดตุ๊บๆ ทำสีหน้าชิงชังรังเกียจ
พอก้มหน้าลงมองดูเจ้าตัวไร้เดียงสาที่อยู่ในอ้อมแขน อืม อยู่ๆก็รู้สึกว่าเจ้าตัวไร้เดียงสานี้เรียบร้อยน่าเอ็นดูกว่าเยอะเลย
เชื่อฟังวาจาดีมาก
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับไม่ยอมปล่อยเขา ยังคงทำท่าทางน่ารังเกียจนั้นต่อไป “พูดอีกครั้งสิ?”
ฉู่เจียง “…..”
หากมิใช่เพราะว่านางทำลายผนึกในร่างกายเขาออกไปแล้วจริงๆ ดูสิว่าเขาจะตีนางตายได้ไหม!
เขาฮึดฮัดอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ค่อยเอ่ยปากขึ้นมา อย่างอึกๆอักๆ “ขะ ขอบคุณ”
“หา แค่คำว่าขอบคุณอย่างเดียวไม่ได้นะ เจ้าจะตอบแทนเราอย่างไร?” ตู๋กูซิงหลันเป็นพวกที่ได้คืบต้องเอาศอกอยู่แล้ว นางกำลังไล่บี้เพื่อทดสอบขีดจำกัดของฉู่เจียง
แต่ว่าฉู่เจียงกลับไม่อาจทำอย่างไรกับนางได้ทั้งสิ้น
ลูกศิษย์ของหมิงอ๋อง ฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณ ด้วยสองฐานะนี้….มิว่าอันไหนเขาก็ไม่อาจล่วงเกินได้ทั้งนั้น
อ๋อ เขายังไม่รู้สินะว่า ฮ่องเต้หญิงที่ไม่ทรงรักษาพระพักตร์ของตนเองพระองค์นี้ พึ่งจะกลายเป็นผู้ปกครองแดนมังกรองค์ใหม่ของเผ่ามังกรทมิฬอีกด้วย
“ในเมื่อได้รับบุญคุณจากเจ้า ข้าผู้เป็นอ๋องย่อมจะต้องตอบแทน” ฉู่เจียงเองก็เป็นชายชาติบุรุษ และถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสิบยมราช ในแก่นกระดูกยังมีเลือดของเผ่าหมิงไหลเวียนอยู่
ในเมื่อตอนนี้ได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง แล้วไยจะไม่ไปแก้แค้นกันเล่า?
พอเขาพูดจบ สีหน้าที่ล้อเลียนของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังขึ้นมาในทันที
“สำหรับอีกเจ็ดยมราช เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด?” นางสอบถาม
“พวกเราต่างก็เป็นยมราชของเผ่าหมิง ย่อมต้องมีวิธีติดต่อกันเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ว่าอย่างไรก็สามารถติดต่อกันได้” ฉู่เจียงว่าต่อไป “หน้าที่ที่เจ้าต้องการมอบหมายให้ข้าทำ ก็คือตามหายมราชคนอื่นๆใช่หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน “ข้าอยากเสาะหาพวกเขาให้พบเร็วๆ เจ้ามีความมั่นใจไหม?”
ฉู่เจียงทำสีหน้ายุ่งยาก “ข้าไม่อาจยืนยันได้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่…. สงครามเผ่าสวรรค์และเผ่าหมิงในตอนนั้น ซือหนานตายใต้คมดาบ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย แม้แต่หมิงอ๋องก็ยังบาดเจ็บสาหัส”
ว่าแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ยื่นมือออกมาตบหนักๆลงไปบนบ่าของเขา
“เจ้าน้องชาย ภาระหนักหนทางยาวไกล ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
ฉู่เจียง “….” เจ้าต่างหากเป็นน้องชาย ทั้งครอบครัวเจ้าสิเป็นน้องชาย!
เขาโตมาจนป่านนี้แล้ว ยังไม่เคยมีใครเรียกเป็นน้องชายมาก่อนเลย ฮ่องเต้หญิงเยาว์วัยผู้นี้กลับกล้านัก
พูดแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ล้วงเอายันต์สีเหลืองออกมาสิบกว่าใบมอบให้เขาไป “นี่เป็นยันต์ถ่ายทอดสำเนียง พวกเราจะได้สามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา”
จากนั้น นางก็สอนวิธีใช้และคาถากำกับให้กับฉู่เจียงด้วยตนเอง
ของสิ่งนี้เมื่อสื่อสารกันรอบหนึ่งก็ต้องใช้ยันต์หนึ่งใบ ย่อมไม่สะดวกเท่ากับโทรศัพท์มือถือแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่อยากนำมือถือมาใช้ในโลกนี้ ประเด็นสำคัญก็คือเอามาก็ไร้ประโยชน์เปล่า ….ไม่มีสัญญาณจะทำอะไรได้?
ฉู่เจียงรับยันต์ถ่ายทอดสำเนียงไปโดยไม่พูดอะไร ว่ากันตามจริง เขาแทบจะไม่อยากติดต่อกับนางเลย
ฮ่องเต้หญิงที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะมีแผนการใดกับเขาแน่
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับเหมือนอ่านใจเขาออกจนหมดสิ้น นางหัวเราะฮาฮา บอกว่า “เจ้าวางใจเถอะ ลูกพี่ลูกน้องข้าอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ในภายหน้าเจ้าก็ต้องเป็นน้องเขยของข้าไม่ใช่หรือ? ครอบครัวเดียวกันยังจะวางแผนอะไรกับเจ้าอีก?”
คราวนี้ ฉู่เจียงถึงกับฉงนสงสัย
น้องเขยน่ะหรือ? เหลียงเซิงเซิงคือเครื่องมือในร่างมนุษย์ที่เขาเอาไว้สำหรับดูดกลืนไอทิพย์และพลังจิตเพื่อเพิ่มพูนการฝึกฝนเท่านั้น …..เขาเป็นถึงอ๋องฉู่เจียง จะไปหลงรักเด็กสาวชาวมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไร?
เขาได้แต่แอบกรอกตาขาว ที่ไม่ได้เหมาะกับใบหน้าอันงดงามของเขาเลย
เจ้าสุนัขสีขาวตัวโตตัวนั้นนั่งลงอย่างเรียบร้อยอยู่ข้างกายฉู่เจียง มันมองดูเหลียงเซิงเซิงที่สลบตายไปแล้วด้วยความสงสาร มันยังใช้จมูกสีดำอันใหญ่คอยดุนมือของฉู่เจียงอยู่ตลอดเวลา
กลายเป็นว่าฉู่เจียงมือหนึ่งโอบกอดเหลียงเซิงเซิง อีกมือหนึ่งก็ต้องคอยลูบไล้สุนัข
ครู่ต่อมาเขาค่อยสอบถามตู๋กูซิงหลันบ้าง
“เจ้าล่ะ จะไปที่ใดอีก?” เขามันคนปากแข็งแต่ใจอ่อน ถึงอย่างไรก็เห็นแก่ที่นางคือศิษย์ของหมิงอ๋อง ย่อมต้องห่วงใยกว่าเดิม
“ย่อมต้องไปจัดการเรื่องบางประการ”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้บอกรายละเอียด รอจนเหลียงเซิงเซิงตื่นขึ้นมา กินข้าวกับทั้งสองแล้ว นางก็ค่อยไปจากเขาฝูซางซาน
…………………………
ยามที่กลับไปถึงต้าโจวนั้น ก็ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว
ในคุกหลวง กลุ่มของเทพบุตรหงเหมินทั้งหมด ที่สมควรบอกก็บอกออกไปแล้ว ที่ไม่สมควรสารภาพก็ล้วนสารภาพออกไปแล้วเช่นกัน
หลงเซียวรวบรวมข่าวสารที่เป็นประโยชน์เรียบร้อยแล้ว ก็ทำเป็นสมุดเล่มเล็กมอบให้กับตู๋กูซิงหลัน
ประเด็นหลักก็คือขุมกำลังต่างๆของดินแดนจิ่วโจวในตอนนี้ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน
ห้าแคว้นใหญ่ สามขุมกำลังหลัก และสำนักเล็กๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน รวมกันเป็นดินแดนสวรรค์จิ่วโจว ทุกคนมุ่งหมายไปที่การบำเพ็ญเพียรเป็นสำคัญ
ห้าแคว้นหลักนี้ แบ่งเป็น แคว้นทอง พฤกษา วารี พสุธา และอัคคี
ชื่อของแต่ละแคว้นบ่งบอกลักษณะความโดดเด่นของทรัพยากรที่แว่นแคว้นครอบครองอยู่
อย่างเช่นแคว้นทอง ภายในแคว้นก็เต็มไปด้วยเหมืองทองคำ สามารถพูดได้ว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวยที่สุดในดินแดนจิ่วโจว ในแคว้นนี้เปี่ยมไปด้วยพลังธาตุทองเข้มข้น
แคว้นพฤกษา ตั้งอยู่กลางพื้นที่ของป่ากว้าง ทั่วแคว้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังของธาตุไม้
แคว้นวารี ตั้งอยู่ในผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนส่วนใหญ่ในแคว้นเป็นชาวเงือก คนในแคว้นยังไม่ถือว่าเก่งในการบำเพ็ญเพียรเท่าไรนัก
แคว้นอัคคี ทั่วทั้งแคว้นแทบจะมีสภาพเป็นภูเขาไฟเป็นต้นกำเนิดของธาตุอัคคีในดินแดนจิ่วโจวทั้งหมด
สามขุมอำนาจใหญ่ นั้นได้แก่ สำนักเซียนอันดับหนึ่ง วังตันติ่งกง ตำหนักลึกลับซิวหลัวเตี้ยน และสำนักสายสมดุล สำนักหยินหยาง
วังตันติ่งกงมุ่งเน้นการฝึกฝนเป็นเซียนและหลอมยาตัน ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนค่อนข้างลี้ลับ แม้แต่เจ้าตำหนักคือผู้ใดก็ไม่มีใครรู้
สำนักหยินหยางนั้น ผู้ก่อตั้งเป็นนักพรตสายหยินหยาง เมื่อหลายปีก่อนต้องถือว่าอ่อนแอมาก แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ อยู่ๆสำนักหยินหยางได้เปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่
พอดีกับที่ช่วงนี้ครบกำหนดที่ทุกสิบปีทั้งห้าแคว้นและสามขุมอำนาจจะมีการแข่งขันสุดยอดการประลองสามฝ่าย
เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยิงหยางสามารถเอาชนะตัวแทนจากทั้งหมดได้ภายในรอบเดียว
ทั้งห้าแคว้นใหญ่ วังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ถึงกลับถูกเจ้าสำนักหยินหยางผู้นี้ทำเอาหัวใจสลายแทบจะกระอักเลือดออกมา
ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การแข่งขันสุดยอดการประลองสามฝ่ายในทุกสิบปี ผู้ได้รับชัยชนะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวังตันติ่งกงกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสลับกันไป สำหนักหยินหยางเป็นเพียงตัวประกอบ
แต่ว่าตอนนี้เจ้าวังของวังตันติ่งกงกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างก็ถูกเหยียบย่ำจนราบคาบไปแล้ว!
นี่ต้องเรียกว่าบาดเจ็บจนชอกช้ำถลอกปอกเปิกไปทั้งเนื้อทั้งตัว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น