หมอดูยอดอัจฉริยะ 520-527

 ตอนที่ 520 หยกไขกระดูก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านอา  ท่านอย่าฟังคำเหลวไหลของคนพวกนี้เลย ขนาดของก้อนวัตถุดิบนี่ใหญ่ขนาดนี้ เนื้อหยกที่อยู่ภายในต้องมีไม่น้อยแน่นอน ผมว่า…ท่านตัดลงไปอีกทีเถอะ”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนขมวดคิ้วนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หลิ่วซีกั๋วจึงร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย เขาเคยร่วมงานพนันหินอยู่บ่อยครั้ง รู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนอยากฉวยโอกาสตอนนี้ที่หินดิบยังไม่ได้ถูกผ่าออกจนหมด เพื่อคว้ากำไรก้อนใหญ่เท่านั้น


แน่นอนว่า พวกเขาเองก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสูญเงินจากการเดิมพัน ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นการพนันหินหรือ ในวงการนี้กำไรมีสัดส่วนเท่ากับความเสี่ยงตลอดมา


 “คุณคิดว่าผมจะขายหรือ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา ขับพลังชี่แท้ออกมาเสี้ยวหนึ่ง ร้องว่า “พวกคุณถอยไป ผมยังต้องผ่าหินต่อนะ…”


 เสียงตะโกนที่แฝงด้วยพลังชี่แท้ของเยี่ยเทียน พลันกระตุ้นสมองของผู้คนที่แย่งกันเปิดราคาอยู่ข้างตัวโดยรอบให้ได้สติขึ้นมาทันที อุตส่าห์วุ่นวายอยู่ตรงนี้มาตั้งเนิ่นนาน อีกคนกลับไม่มีความคิดจะขายบ้างเลยหรือ?


“น้องชาย ถ้าหากยังผ่าต่อไปอีกล่ะก็ เกิดแตกขึ้นมาจะไม่เหลือค่าอะไรเลยนะ”


 “นั่นสิ ตัวอย่างแบบนี้พวกเราเห็นมาตั้งเยอะแล้ว ฉวยโอกาสบวกราคาตอนนี้ถึงจะเป็นวิถีแห่งราชา!”


“ใช่แล้ว เธอซื้อมาแค่สามร้อยกว่าดอลลาร์สหรัฐเอง จ่ายให้ยี่สิบล้านหยวนจะยอมยกให้ฉันไหม?”


แม้เยี่ยเทียนบอกว่าจะผ่าหินต่อ แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายไม่พอใจ บ้างก็พยายามโน้มน้าวสารพัด บ้างก็ออกปากข่มขู่ อย่างไรก็ตามวิธีการนับไม่ถ้วนแบบนี้ เป้าหมายของมันก็ไม่นอกเหนือไปจากต้องการให้เยี่ยเทียนปล่อยมือจากหยกพม่าชิ้นนี้


ไม่มีใครหรอกที่โง่ ความล้ำค่าของหยกแดงชั้นสูงนั้นสูสีพอๆ กับหยกจักรพรรดิ ขอเพียงขุดออกมาสักหนึ่งกำปั้นจากหินดิบหนึ่งร้อยชั่งก้อนนี้ ต่อให้มีราคาสูงถึงยี่สิบล้าน พวกเขาก็ยังได้กำไรไม่มีขาดทุน


“ผมว่า…พวกคุณนี่น่ารำคาญจัง?”


เยี่ยเทียนขมวดคิ้วผลักคนที่อยู่ข้างหน้าออก กล่าวว่า “เมื่อครู่ไม่ได้เชียร์ให้ผมพนันขาดทุนกันหรือไง? ทำไมคราวนี้ถึงได้ตื่นเต้นกันล่ะ พอแล้ว ถอยไปให้หมด ผมจะผ่าหินแล้ว!”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเริ่มจะข่มอารมณ์ไม่อยู่ ผู้คนที่เดิมทีโอบล้อมอยู่ข้างเครื่องตัดหินเองจึงได้แต่ถอยออกไปอย่างหงุดหงิด ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะซื้อหินก้อนนี้มาในราคาถูกแค่ไหน สิทธิ์ในของชิ้นนี้ก็เป็นของเยี่ยเทียนโดยไม่ต้องสงสัย ต่อให้พวกเขาตาร้อนอย่างไรก็ไม่มีสิทธิ์ประเมินการตัดสินใจของเยี่ยเทียน


“ให้ตายเถอะ ผ่าหยกออกมาให้เสร็จเร็วๆ จะได้ไปกันเสียที!”


เยี่ยเทียนไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใส่ตัวหรือเป็นจุดเด่น เวลานี้ถูกผู้คนจับตามองก็ออกจะหงุดหงิดแล้ว มองดูหินดิบก้อนนี้เปลี่ยนร่างอย่างฟ้าถล่มดินทลายภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่านาที จึงรู้สึกหวั่นไหวขึ้นภายในใจเล็กน้อย


ถึงอย่างไรตัวเองก็ต้องการหยกพม่าที่อยู่ภายในหินดิบก้อนนี้ เพื่อไปใช้วางค่ายกลรวบรวมวิญญาณเท่านั้น อีกทั้งยังต้องไปขัดเกลาสักรอบ นำมันไปสร้างงานฝีมือเครื่องประดับจี้หยกและกองทัพหุ่นแกะสลักต่างๆ และหยกพม่าภายในหินจะสมบูรณ์หรือไม่  เยี่ยเทียนกลับไม่ได้นึกใส่ใจอะไรนัก


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่ใช้พลังวิญญาณสัมผัสสภาพหินหยกภายในหินดิบอีกต่อไป ตรงไปจับหินดิบขนาดยักษ์ชิ้นนั้นขยับสักหน่อย วางส่วนกลางของมันลงแนวสูงของใบมีดตัดหิน ด้วยคิดจะตัดลงมาตรงกลาง แล้วหลังจากนั้นค่อยแกะหินหยกพม่าออกมาจากทั้งสองฝั่ง


“ท่านอา ท่าน….ท่านจะทำอะไรครับ?”


หลังจากเห็นท่าทีของเยี่ยเทียนแล้ว หลิ่วซีกั๋วก็เอ่ยถามขึ้นก่อนด้วยความสงสัย ล้อเล่นหรือเปล่า? อุตส่าห์หาหยกแดงออกมาได้แล้ว และวิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้เครื่องขัดค่อยๆ แซะเอาผลึกเนื้อหมอกและผิวหินรอบด้านออกไป เพื่อคงความสมบูรณ์ของหยกภายในหินให้ได้มากที่สุด


แต่ถ้าหากเยี่ยเทียนกลับใช้มีดผ่าสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นหยกพม่าชั้นดีสักแค่ไหนก็จะถูกเขาผ่าทำลายมูลค่าของมันลดลงอย่างมหาศาล ที่สำคัญ หยกพม่าชั้นดีแกะสลักเป็นของตกแต่งบ้านหนึ่งชิ้น มูลค่าของมันไม่อาจเอาไปเทียบกับพวกกำไลหยกหรือเครื่องประดับบนตัวพวกนั้นได้เลย


“เจ้าหนู การผ่าหินไม่ได้ผ่าแบบนี้ หินที่พนันได้กำไรจะต้องขัดช้าๆ ถ้าหากเธอไม่รังเกียจ ผู้เฒ่าอย่างฉันช่วยเธอแกะสักด้านเป็นอย่างไร?”


ถังเหล่าเห็นการตัดสินใจของเยี่ยเทียนแล้ว จึงออกปากเตือนขึ้นมาเช่นกัน เขาเทิดทูนหยกพม่ามาตลอดทั้งชีวิต จึงไม่อาจทนเห็นวัตถุดิบดีๆ ชิ้นนี้ถูกเยี่ยเทียนผ่าทิ้งเสียเปล่า ในสายตาของท่านผู้เฒ่า นี่เป็นการดูหมิ่นวัฒนธรรมหินหยกอย่างหนึ่ง


แต่ด้วยกำลังวังชาของถังเหล่า อย่างมากก็สามารถแซะออกมาได้แค่ด้านเดียว อย่างหินดิบก้อนใหญ่ขนาดนี้ที่ปรากฏให้เห็นหยกพม่าคุณภาพดีอยู่ภายใน ต่อให้แกะสักสิบวันหรือครึ่งเดือนยังถือเป็นเรื่องปกติ กระทั่งหลิ่วซีกั๋วยังวางแผนเช่ารถขนส่งหินดิบก้อนนี้ขึ้นเครื่องบินกลับไปยังเกาะฮ่องกงแล้ว


“ไม่จำเป็นครับ ผมซื้อหินก้อนนี้เดิมทีก็เพื่อมาผ่าเล่น ตอนนี้ผ่าได้กำไรแล้ว ก็แค่ตัดอีกหนึ่งที ถึงยังไงขายสักสามร้อยกว่าดอลลาร์สหรัฐก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ?”


เมื่อได้ยินคำพูดและสีหน้าที่จริงใจของถังเหล่า เยี่ยเทียนจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ เป้าหมายที่เขามาร่วมงานประมูลก็คือเพื่อหาหินหยกที่เหมาะสมมาเป็นตัวนำในค่ายกล กระทั่งมูลค่าของหินหยก เดิมทีเยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้นึกถึง


“งั้นก็ได้ ตามใจนายแล้วกัน…” ถังเหล่าส่ายหน้า รู้สึกเสียดายในใจ แต่ว่ามันเป็นของเยี่ยเทียน อย่าว่าแต่เขาบอกจะหั่นกลางครึ่งหนึ่งเลย ต่อให้ผ่าหินดิบชิ้นนี้เป็นแปดเสี่ยง ก็ไม่ใช่เรื่องของคนแถวนี้


“เจ้าหนุ่มคนนี้บ้าไปแล้วหรือ? ทิ้งเงินไม่ยอมเอากำไร แล้วยังจะตัดลงไปอีก?”


“ตัดลงไปอีกทีก็ไม่เท่าไรหรอก แต่คุณดูตำแหน่งที่เขาจะตัดสิ ผ่าจากตรงกลาง นั่นจะไม่พังหมดเหรอ? ต่อให้เป็นหยกดีแค่ไหนก็ถูกเขาทำลายเสียหมด”


ผู้คนที่เดิมทีสงบลงแล้ว เห็นเยี่ยเทียนยืนกรานจะตัดลงอีกครั้ง ก็สงสัยในสติปัญญาของเยี่ยเทียนขึ้นมาอีก หรือเพราะมีเนื้อเพลงเพลงหนึ่งร้องว่า “สวรรค์ชอบเด็กโง่” ไม่ใช่เหรอ? หรือเด็กหนุ่มคนนี้จะปัญญาอ่อนตั้งแต่เกิดจึงได้เลือกก้อนหินดิบที่แม้แต่หมายังเมิน ?


เยี่ยเทียนไม่สนใจเสียงเย้ยหยันและคำโน้มน้าวของผู้คน หลังจากวางหินดิบและรัดมันมั่นคงแล้ว ก็ยื่นมือไปเปิดสวิตช์เครื่องผ่าหิน


เวลานี้ท้องฟ้าแทบจะเป็นสีเหลืองส้ม อาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตกแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ส่องกระทบบนฟันเลื่อยที่หมุนวนอาบทาเป็นสีทองทั้งแผ่น แสบตาผู้คนจนอดหรี่ตาลงไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ในหูของพวกเขาก็ได้ยินเสียงเหล็กและหินกระทบเสียดสีกัน


ผู้คนทั้งหลายต่างเบิ่งตาโตราวกับไม่ห่วงแสงสว่างจะทำให้ตาพร่า จดจ้องมือขวาของเยี่ยเทียนไม่วางตา พวกเขาอยากรู้ว่าภายในหินดิบก้อนนี้กักเก็บหยกพม่าไว้มากน้อยเพียงใด และการกระทำอันโง่เขลานี้ของเยี่ยเทียนจะทำให้เขาสูญเสียมากขึ้นอีกแค่ไหน?


รัศมีของฟันเลื่อยไม่กว้างพอจะผ่าหินดิบก้อนนี้ออกเป็นสองส่วน ขณะที่ฟันเลื่อยตัดลงไปจนถึงตำแหน่งตลับลูกปืน เยี่ยเทียนก็หยุดมือลง ดึงเอาฟันเลื่อยที่ฝังลึกลงไปในหินดิบออกมา


คราวนี้เยี่ยเทียนไม่เห็นแก่หน้าพวกพ่อค้าหินดิบและพ่อค้าอัญมณี กันตัวพวกเขาออกไปอยู่ด้านนอก ร้องเรียกหลิ่วซีกั๋วและอีกสองสามคนให้หมุนหินทั้งก้อนเข้ามา เขาเตรียมตัวจะผ่าจากด้านล่างอีกครั้ง เพื่อแยกหินดิบก้อนนี้ออกจากกันนั่นเอง


ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ไม่เข้าใจ ทั้งสงสัยและโกรธเกรี้ยวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้  เสียงเครื่องผ่าหินก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากเสียง “แกรกๆ” ที่ผ่าเข้าไปภายในก้อนหิน ทุกอย่างภายในลานก็เงียบสงบ ทุกคนล้วนกลั้นลมหายใจ รอคอยผลลัพธ์สุดท้าย


ท่วงท่าการผ่าหินของเยี่ยเทียนไม่ต้องพูดถึงความสุนทรีย์แม้แต่น้อย เขาเหมือนกับพ่อค้าเนื้อที่ถือมีดแล่หมู ขณะทำการผ่าหินดิบก้อนนี้อย่างลวกๆ ระหว่างนั้นถึงขั้นปฏิเสธท่าทีที่คนอื่นจะใช้น้ำฉีดลดอุณหภูมิของฟันเลื่อย เพื่อจะผ่าหินดิบทั้งก้อนให้เป็นสองเสี่ยงในคราวเดียว


ส่วนเรื่องการควบคุมรายละเอียด คนที่สามารถเทียบเท่าเยี่ยเทียนมีจำนวนนับนิ้วได้ แม้จะเป็นการผ่าลงไปจากด้านที่แตกต่างกัน แต่ปลายทั้งสองด้านก็มาบรรจบกันอย่างไร้ที่ติ ราวกับตัดลงไปเพียงครั้งเดียว ไม่มีรอยเบี่ยงเบนเลยแม้แต่น้อย


เพียงแต่ว่าหินดิบก้อนนี้มีขนาดใหญ่ จึงไม่เหมือนกับเวลาคนอื่นผ่าหินเสร็จแล้วที่ครึ่งเล็กกว่าจะตกลงบนพื้นเอง ทว่ายังคงอยู่นิ่งบนเครื่องตัดหินทั้งก้อนอย่างมั่นคงราวกับภูเขาไท่ซาน เหล่าผู้ชมที่ร้อนรนนั้นต่างหยิบไฟฉายขึ้นมาเล็งหินที่ถูกผ่า เพื่ออยากเห็นสภาพภายในอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก


“ถอยไปข้างหลังให้หมดครับ ไม่อย่างนั้นผมจะแจ้งทหารว่าพวกคุณจะขโมย!”


เยี่ยเทียนตวาดขึ้นเสียงหนึ่ง ยับยั้งเหล่าผู้ชมสองสามคนที่กรูกันเข้ามา หันหน้าไปทางถังเหล่าแล้วพูดว่า “รบกวนถังเหล่าช่วยดูหน่อยครับ ว่านี่คือหยกพม่าชนิดไหนกันแน่?”


ขณะที่พูด เยี่ยเทียนก็ออกแรงดันครึ่งหนึ่งของหินดิบลงจากเครื่องผ่าหิน ผิวตัดที่เรียบลื่นและเกลี้ยงเกลานั้น พลันปรากฏต่อสายตาของผู้คนที่อยู่ฝั่งซ้ายของเยี่ยเทียน


ดวงอาทิตย์อัสดงส่องแสงกระทบลงยังผิวหิน รัศมีสีแดงพลันส่องประกาย ราวกับสระน้ำใสสะอาด สะท้อนแสงพระอาทิตย์ยามเย็นบนฟากฟ้าออกมา ลำแสงที่ส่องประกายนั้นสะกดผู้คนให้ตกตะลึง


“สวย สวยมาก!”


“นี่…นี่มันหยกแดงชั้นสูงนี่นา!”


“สวรรค์ ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ มีมูลค่าเท่าไรกันนะ?”


ผ่านไปหนึ่งนาทีเต็มกว่าๆ ท่ามกลางฝูงชนถึงได้มีเสียงเค้นคำรามต่ำดังออกมา กระทั่ง “ราชาหยกพม่า” ผู้ผ่านประสบการณ์มามากมายก็ไม่เว้น จดจ้องตะลึงงันบนผิวหินนั่น โดยที่เท้าไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย


เวลานี้ไม่มีใครพูดว่าเยี่ยเทียนผ่าหินจนเสียของอีกต่อไป เพราะต่อให้เยี่ยเทียนผ่าเสียของ ก็ยังได้มูลค่าระหว่างเก้าสิบล้านถึงร้อยล้านแล้ว และสูญเสียหยกพม่านั่นเพียงเล็กน้อย หากเทียบกับเนื้อหยกที่ขุดออกมาได้อย่างน้อยร้อยชั่งจึงนับว่าไม่ต้องพูดถึง


“ถังเหล่า คุณดูหน่อยสิครับ คุณภาพของหยกแดงนี่เป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าระดับสีตรงนี้กับความโปร่งใสควรจะชัดเจนกว่านี้หน่อย?”


ต้องบอกว่าสถานที่ในตอนนี้มีคนที่ยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ก็คือเยี่ยเทียนคนเดียวเท่านั้น ผลลัพธ์ของหยกแดงภายในหินอยู่ในความคาดหมายของเขานานแล้ว ตอนนี้เยี่ยเทียนเพียงต้องการรู้ให้ชัด ว่าคุณภาพของหยกแดงเหล่านี้เป็นอย่างไร


คุณภาพของหินหยก ตัดสินได้โดยตรงที่ปริมาณและระดับเข้มข้นในการบรรจุพลังวิญญาณฟ้าดิน ภายใต้การสัมผัสด้วยพลังวิญญาณของเยี่ยเทียน เขาสัมผัสว่าภายในหยกพม่าครึ่งนี้ที่อยู่บนเครื่องผ่าหิน ดูเหมือนจะปลดปล่อยพลังวิญญาณได้เข้มข้นสูงสุดกว่าหยกพม่าขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเล็กน้อย


“สีแดงสด ระดับความโปร่งใสดี ผลึกเรียบลื่นชุ่มฉ่ำเท่ากัน หกสิบเปอร์เซ็นต์อาจเป็นถึงระดับ “หยกแดงหงอนไก่ เอ่อ หรือ…หรือนี่คือหยกไขกระดูก?”


ถังเหล่าใส่แว่นตาผู้สูงอายุถือไฟฉายตรวจดูอยู่สักพัก สายตาของเขาก็สังเกตเห็นตรงจุดที่เยี่ยเทียนชี้ จึงนิ่งงันไปสักครู่ก่อน จากนั้นน้ำเสียงจึงแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมา


…………………


ตอนที่ 521 รุมแย่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนชี้ มีหินหยกขนาดเท่ากำปั้น สีสันไม่ค่อยคล้ายคลึงกับบริเวณโดยรอบ มันมีสีแดงสดใสกว่าเล็กน้อย อีกทั้งมีความโปร่งใสอย่างยิ่ง เมื่อใช้ไฟฉายกำลังสูงจ่อจากด้านบน ลำแสงราวกับสามารถส่องทะลุตลอด


คุณสมบัติของหยกพม่าอันยอดเยี่ยมที่สุดจนถูกเรียกขานว่าเป็นชนิดกระจกแก้ว จะต้องมีประสิทธิภาพโปร่งใสเช่นนี้โดยไม่ต้องสงสัย คุณสมบัติของหยกพม่าสีแดงสดชิ้นนี้ ถึงระดับขั้นกระจกแก้วได้แน่นอน ทั้งยังมีคุณภาพสูงกว่าหินหยกข้างๆเหล่านั้นมากนัก


“ถังเหล่า หยกไขกระดูกนี่คืออะไรหรือครับ? เป็นหยกพม่าเหมือนกันหรือเปล่า?”


เมื่อเห็นถังเหล่าตื่นเต้นอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าหายากในนิยายกำลังภายในอยู่บ้าง แต่ระหว่างที่เยี่ยเทียนใช้พลังวิญญาณสัมผัส สิ่งนี้ก็น่าจะเป็นเพียงหินหยกชนิดหนึ่ง เพียงแต่ประสิทธิภาพของพลังวิญญาณที่กักเก็บอยู่ด้านในดีกว่าชิ้นอื่นๆ เท่านั้นเอง


“หึๆ คนแก่อย่างฉันขอเสียมารยาทแล้วนะ ของชิ้นนี้อาจเรียกว่าหยกไขกระดูก และสามารถเรียกว่าเป็นหยกแดงประเภทกระจกแก้วได้เช่นกัน!”


หลังจากที่ถังเหล่าใช้แว่นขยายและไฟฉายแรงสูงตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว จึงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวว่า “ความจริงหยกไขกระดูกเป็นชื่อเรียกรวมๆ ชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มหยกอ่อนเหอเถียนหรือว่าหยกแข็งพม่า ล้วนสามารถเกิดหยกไขกระดูกทั้งนั้น เป็นประเภทที่พบได้บ่อยในโลกแห่งแร่ธาตุ


แต่ว่าในสายตาคนเล่นหินหยกอย่างพวกเรา หยกไขกระดูกที่แท้จริง คือหัวใจสำคัญภายในหยก คือส่วนที่มีแก่นอยู่ หล่อหลอมขึ้นมาจากพลังวิญญาณของฟ้าดินรวมกัน มีเพียงหินหยกชั้นเลิศชนิดนี้เท่านั้นที่พวกเราจะเรียกว่าหยกไขกระดูก”


ความจริงหินเลือดไก่และอาเกต ล้วนเป็นหยกไขกระดูกชนิดหนึ่ง เป็นความหลากหลายทั่วไปของผลึกควอตซ์ กำเนิดขึ้นโดยผ่านเงื่อนไขกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ทว่าหยกไขกระดูกที่ถังเหล่าพูดถึง กลับมีความหมายเป็นหัวใจหยก สื่อถึงตำแหน่งแก่นกลางหยกหนึ่งชิ้น


“ท่านผู้เฒ่าครับ ของชิ้นนี้เทียบกับหยกเขียวจักรพรรดิแล้วเป็นยังไงบ้างครับ?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย หยกแดงภายในหินดิบชิ้นนี้ที่สามารถนำมาใช้วางค่ายกล มีน้ำหนักกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม ใช้จัดวางค่ายกลรวบรวมวิญญาณได้เหลือเฟือ อีกทั้งหยกแดงขนาดใหญ่เท่ากำปั้นชิ้นนี้ เยี่ยเทียนยังสามารถเก็บไว้ใช้เจียระไนเป็นหัวแหวนหรือกำไรก็ได้ทั้งนั้น ผู้หญิงในตระกูลเยี่ยมีไม่น้อย มอบให้เป็นของขวัญเพื่อเอาอกเอาใจก็ยังได้


“ไม่เหมือนกันนัก ต่างมีเอกลักษณ์ของมันเอง”


ถังเหล่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “หยกเขียวมีราคา หยกแดงน่าเทิดทูนบูชา เมื่อทั้งสองสีนี้ล้วนมีความบริสุทธิ์ถึงขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าดีหรือร้าย พวกมันล้วนเป็นของล้ำค่าหาได้ยากเช่นเดียวกัน”


ได้เห็นหินหยกแดงสดไร้มลทินเจือปน ถังเหล่าก็ร้องขึ้น “น้องชาย ความสามารถในการผ่าหินนี้ของนาย ฉันยังละอายใจที่ไม่อาจเทียบเท่า หากว่าขยับพลาดไปเล็กน้อย หยกแดงชั้นเลิศชิ้นนี้อาจแตกเสียหาย ถ้าเป็นเช่นนั้นคงเจียระไนได้เพียงแค่หัวแหวน แต่ไม่อาจเจียระไนเป็นกำไลสูงค่าราคาแพงได้”


“ผม…ผมก็แค่ผ่าตามใจเท่านั้นเองครับ!”


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะหน้าหนาไม่ธรรมดา ถูกเหล่าถังชื่นชมด้วยคำพูดนี้ยังหน้าแดงไปถึงหู สวรรค์เมตตา ตอนที่เยี่ยเทียนผ่าออกมาตอนนั้นเมื่อครู่ ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณโกงตอนผ่าแม้แต่น้อย และยังตัดด้วยความเร่งรีบพอสมควร


แต่ด้วยความบังเอิญ การผ่าลงไปครั้งนี้ของเยี่ยเทียน กลับไม่ทำให้หยกแดงล้ำค่าชิ้นนี้เป็นแผลแม้เพียงเสี้ยว ด้วยน้ำหนักและขนาดของหยกแดงชิ้นนี้ จะแกะเป็นกำไลสักสองสามชิ้นหรือหัวแหวนสิบกว่าชิ้นก็ไม่เป็นปัญหาแน่นอน


 “น้องชายถ่อมตัวเกินไปแล้ว”


ถังเหล่าได้ยินเข้าก็ยิ้ม แต่กลับไม่เชื่อในคำพูดของเยี่ยเทียน ในสายตาของเขา เยี่ยเทียนจะต้องมีความรู้ความสามารถด้านแร่หินที่โดดเด่นแน่นอน เพียงแต่ไม่อยากเปิดเผยกับตัวเองเท่านั้น เขาเองก็ไม่โทษเยี่ยเทียนหรอก คงไม่มีใครยอมเปิดเผยทักษะที่แท้จริงของตัวเองต่อหน้าสาธารณะชนจำนวนมากเช่นนี้


“ถ่อมตัว? ผมยังไม่รู้เลยครับว่าอะไรคือการถ่อมตัว…” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วถึงกับพูดไม่ออกเล็กน้อย นานๆ เขาจะพูดความจริง แต่กลับถูกคนเข้าใจผิดว่าถ่อมตัว


“เอาเถอะ น้องชาย วัตถุดิบชิ้นนี้นอกจากมีความล้ำเลิศถึงขั้นเป็นหยกแดงชนิดกระจกแก้วแล้ว คุณภาพของส่วนอื่นล้วนใกล้เคียงชนิดน้ำแข็งทั้งหมด และได้เนื้อหยกออกมามากที่สุดจากประสบการณ์การผ่าหินห้าสิบปีของฉันเลย แล้วยังเป็นหยกดิบที่มีมูลค่าสูงที่สุด!”


หลังจากที่ถังเหล่าคุยโวอยู่กับหินหยกที่ถูกผ่าเป็นสองเสี่ยงแล้ว ก็เปลี่ยนประเด็นกล่าวว่า “ฉันเปิดบริษัทขายหยก   แบรนด์หนึ่งอยู่ในประเทศจีน ไม่รู้ว่าน้องชายสนใจจะร่วมงานกับฉัน เอาหยกแดงพวกนี้ไปพัฒนาร่วมกันไหม?”


สุภาษิตว่าความร่ำรวยสั่นคลอนใจคน เมื่อเผชิญหน้ากับหยกแดงมูลค่ามหาศาลเหล่านี้ ต่อให้เป็นคนอย่างถังเหล่า ก็ยังอดเอ่ยปากขอไม่ได้ เขาเชื่อว่า หากหยกแดงเหล่านี้ถูกแกะสลักเป็นเครื่องประดับอันวิจิตรทั้งหมด หรือว่าทำเป็นของตกแต่งออกสู่ตลาดแล้ว จะต้องเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมหาศาลแน่นอน


“อ้าว ถังเหล่า เยี่ยเทียนเป็นอาของผมนะครับ ของชิ้นนี้ต่อให้ต้องขาย ก็ต้องขายให้กับตระกูลจั่วค้าอัญมณีเท่านั้นสิ?”


เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ หลิ่วซีกั๋วที่อยู่ด้านข้างกลับหงุดหงิดซะแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนในวงการหยกพม่า ใครๆ ก็รู้ราคาของหยกพม่าเหล่านี้


มันไม่ได้แสดงถึงเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงชื่อเสียง หากว่าใครสามารถนำวัตถุดิบชิ้นนี้ใส่กระเป๋าได้ จะได้ยกระดับแนวทางเครื่องประดับหยกแดง จากนั้นไม่แน่ว่าอาจสามารถกำหนดตำแหน่งบริษัทค้าอัญมณีในวงการของตัวเองก็เป็นได้


ต้องรู้ว่า หยกพม่าในฐานะเครื่องประดับ ถึงแม้จะรุ่งเรืองในสมัยซูสีไทเฮาและสามสุภาพสตรีตระกูลซ่งที่เคยเรืองอำนาจ แต่ก็มีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงทวีปเอเชียกลางและตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ทางฝั่งยุโรปและอเมริการู้จักเพียงเพชรและทองคำ ไม่มีความสนใจต่อหยกพม่าเท่าไรนัก และก็ไม่ยอมรับสถานะของมันในวงการอัญมณีอีกด้วย


ดังนั้นในช่วงเวลาอันยาวนานในยุคสถาปนาประเทศ จึงไม่มีการผลักดันจากผู้บริโภคในประเทศจีน ทำให้ธุรกิจขายหยกพม่าล้วนหยุดนิ่งอยู่กับที่ จวบจนกระทั่งปีที่ 80 ในศตวรรษนี้ หยกพม่าจึงได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนอีกครั้ง จากการผลักดันของคนภายในประเทศ จึงค่อยๆ เป็นที่ชื่นชอบในทวีปตะวันออกเฉียงใต้กับผู้คนทางยุโรปและสหรัฐอเมริกา


อาจะพูดได้อย่างไม่เป็นการโอ้อวดว่า ตลาดการค้าหยกในประเทศจีน เป็นดั่งกังหันลมของตลาดค้าหยกนานาชาติ


ด้วยสาเหตุที่เครื่องประดับหยกพม่ารุ่งเรืองไม่นานนัก ปัจจุบันภายในวงการนี้ จึงยังไม่มีผู้นำที่แน่ชัด มีเพียงธุรกิจอัญมณีเก่าแก่ที่พึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง ครอบครองพื้นที่กว่าครึ่งประเทศ


แต่หากพูดตามความจริง ในมือของบริษัทเก่าแก่เหล่านี้ ก็ไม่มีสินค้าอะไรสามารถนำออกไปแข่งขันได้อย่างบริษัทตระกูลจั่วค้าอัญมณี ซึ่งเบื้องหลังพุ่งเป้าไปยังการพัฒนาตลาดหยกพม่า และแอบมีความคิดในการก้าวเป็นผู้นำอีกด้วย


เครื่องประดับหยกจักรพรรดิเหล่านั้นของเยี่ยเทียนก่อนหน้านี้ ปลุกเร้าให้หยกพม่าเฟื่องฟูขึ้นมาบนเกาะฮ่องกง ทำให้บริษัทของจั่วเจียจวิ้นได้เป็นผู้นำกระแสอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ปัจจุบันมีชาวฮ่องกงมากมายเลือกซื้อหยกพม่า โดยเริ่มต้นเลือกจากตระกูลจั่วค้าอัญมณี ซึ่งนี่ก็คือผลลัพธ์มาจากหยกพม่าชั้นยอดนั่นเอง


หยกแดงเดิมทีสวยงามหายาก เหมาะสมให้สตรีสวมใส่ หากเลือกนำวัตถุดิบชิ้นนี้ไปผลิตเป็นเครื่องประดับล่ะก็ เชื่อว่าจะทำให้สุภาพสตรีคนดังชาวฮ่องกงล้วนแข่งกันเพื่อช่วงชิงให้ได้มา ยังจะสามารถยกระดับแบรนด์อัญมณีตระกูลจั่วให้สูงขึ้นอีกด้วย


ดังนั้นเมื่อเห็นเยี่ยเทียนผ่าหยกแดงชั้นเลิศนี้ได้ มีหรือที่หลิ่วซีกั๋วจะไม่หวั่นไหว? ถึงขั้นไม่เห็นแก่หน้าถังเหล่า เอ่ยปากยื้อแย่งออกมาตรงๆ ในสายตาของหลิ่วซีกั๋ว จึงนับว่านี่เป็นโอกาสในการขยับขยายตระกูลจั่วอัญมณีอีกครั้งหนึ่ง


ได้ยินคำพูดของหลิ่วซีกั๋วแล้ว ถังเหล่าก็ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม กล่าวว่า “เสี่ยวหลิ่ว คุณพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก วัตถุดิบชิ้นนี้ตระกูลจั่วอัญมณีของคุณจะกินหมดเลยหรือ?”


ทุกคนล้วนเป็นคนในวงการ ต่างรู้กำลังความสามารถของแต่ละบริษัทเป็นอย่างดี หยกพม่าภายในหินดิบสองก้อนนี้ของเยี่ยเทียน มีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านหยวนขึ้นไป ถังหล่ารู้ว่าเงินทุนหมุนเวียนในมือของตระกูลจั่วค้าอัญมณีไม่ได้มีมากมายอย่างนั้น


“นั่นสิ ประธานหลิ่ว ก็ต้องแบ่งให้กับทุกคนหรือเปล่า? หยกแดงพวกนี้ พวกเราขอหนึ่งในสามเป็นอย่างไร?” ทันทีที่เสียงของถังเหล่าเงียบลง เจิ้งต้าจวินก็กระโจนขึ้นมาบ้าง โอกาสทางธุรกิจอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครยอมปล่อยไปหรอก ไม่อย่างนั้นเขาเองก็คงไม่ใช่ผู้รับผิดชอบธุรกิจค้าหยกของตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีแล้ว


“น้องชาย พวกเราเองก็อยากซื้อบ้างเหมือนกัน ราคาให้น้องเปิดตามใจชอบ!”


“วัตถุดิบชนิดกระจกแก้วนั้นผมไม่ต้องการ หยกแดงชนิดน้ำแข็งนั่นแบ่งให้ผมสักสองชั่งก็แล้วกัน? น้องชาย ผมให้ห้าล้าน!”


“จริงด้วย จะให้พวกคุณได้เปรียบกันหมดได้ยังไง? ประธานหลิ่ว ประธานเจิ้ง ก็ต้องเหลือแบ่งให้บริษัทเล็กๆ อย่างพวกเรากินบ้างสิ?”


เห็นว่าหลิ่วซีกั๋ว ถังเหล่าอีกทั้งเจิ้งต้าจวินล้วนแสดงเจตนาว่าต้องการซื้อ พ่อค้าหินดิบที่ล้อมดูพวกนั้นกับประธานบริษัทอัญมณีก็อดรนทนไม่ได้เช่นกัน จดจ้องหินดิบสองชิ้นตาร้อนผ่าว ต่างคนต่างเร่งให้เยี่ยเทียนตัดสินใจ


ตอนนี้ตลาดหยกพม่ายังไม่สุกงอมเท่าไร บริษัทหยกหรูชั้นนำยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น พวกเขาจึงยังพอแทรกตัวอยู่ได้ ถ้าหากตลาดถูกรวมตัวกันเมื่อไร หากบริษัทเล็กๆ เหล่านี้ไม่มีของดีอะไรอยู่ในมือเลย ก็จะถูกเขี่ยทิ้งไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว


ในลานมีคนร้องเปิดราคาออกมาแล้ว ตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีผู้ร่ำรวยทรงอำนาจย่อมไม่อยากเป็นรองใคร หลังจากเจิ้งต้าจวินกดโทรศัพท์คุยสั้นๆ สองสามประโยคแล้ว ก็เดินมาอยู่หน้าเยี่ยเทียน กล่าวว่า “น้องเยี่ยครับ หยกแดงชั้นเลิศชิ้นนั้นและวัตถุดิบชนิดน้ำแข็งทั้งหมด ผมต้องการหนึ่งในสามส่วน น้องว่าราคาแปดสิบล้านเหรียญฮ่องกงเป็นยังไง?”


“หนึ่งในสาม? แปดสิบล้าน?!”


พอได้ยินราคานี้แล้ว ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นล้วนสูดลมหายใจเฮือก เนื่องจากที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เมื่อครู่ หยกพม่าที่อยู่ตรงกลางหินดิบสองชิ้นนี้ รวมราคากันแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยล้านหยวน เมื่อเจิ้งต้าจวินเปิดราคาทำให้บริษัทเล็กๆ ที่มีทุนทรัพย์ไม่พอถูกคัดทิ้งออกจากเกมนี้


ถังเหล่าที่แสดงออกว่าไม่ปรารถนาในเรื่องทางโลก ยังแอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ เขามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแท้จริง แต่ความมั่งคั่งกลับห่างไกลจากเจิ้งต้าจวินนัก ดูท่าคราวนี้ตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีเตรียมตัวเพื่อมารวบรวมตลาดหยกอย่างแท้จริง แล้วจึงค่อยๆ เริ่มกำหนดมาตรฐานธุรกิจทีละน้อย


“ท่านอา พ่อขอให้คุณรับโทรศัพท์ครับ!” ขณะที่ผู้คนในลานล้วนหวนคิดถึงราคาที่ตระกูลเจิ้งเปิด หลิ่วซีกั๋วก็เหงื่อแตกเต็มหน้าเบียดแทรกตัวเข้ามาจากด้านนอกสู่ภายในฝูงชน ในมือชูโทรศัพท์มือถือขึ้นสูง


เป็นอย่างที่ถังเหล่าว่า เงินทุนตระกูลจั่วค้าอัญมณีไม่เพียงพอจะซื้อหยกเหล่านี้ทั้งหมด แต่ว่าหลิ่วซีกั๋วมีไพ่ตาย จึงออกไปโทรศัพท์หาพ่อตาเดี๋ยวนั้น บางครั้งมีคนรู้จักนับว่ามีประโยชน์ยิ่งกว่าเงินทอง


“โทรศัพท์ของศิษย์พี่หรือ?”


เห็นสีหน้าตื่นเต้นของหลิ่วซีกั๋วและผู้คนที่ล้อมมุงดู ในใจเยี่ยเทียนรู้สึกอยากจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออกจริง ๆ


ตั้งแต่ผ่าหยกออกมาจนถึงตอนนี้ เขายังไม่มีโอกาสพูดเลยสักประโยค หินดิบสองชิ้นนั้นที่เป็นของเขาดูเหมือนจะถูกผู้คนจัดสรรปันส่วนกันแล้ว ไม่มีใครถามเยี่ยเทียนสักคำว่าจะยอมขายหรือไม่


………………….


ตอนที่ 522 จุดประสงค์อื่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เอ้อ ศิษย์พี่ พรุ่งนี้ฉันจะไปถึงฮ่องกง พี่จะพาศิษย์พี่ไปด้วยเลยมั้ย?”


ค่ายกลรวมวิญญาณในบ้านซื่อเหอย่วนเมืองปักกิ่งของเยี่ยเทียนตั้งขึ้นมาได้สักพักแล้ว ถึงแม้พระราชวังต้องห้ามจะรวมพลังพิฆาตกับพลังวิญญาณของเส้นเลือดมังกรอยู่ไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดพลังลมปราณวิญญาณในเรือนก็ถือว่าลดลงและจางลงกว่าเดิม


บวกกับโก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้น โจวเซี่ยวเทียน และหูหงเต๋อต่างก็พักอาศัยที่นั่นเป็นเวลานาน ทำให้ความเสียหายของพลังลมปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


ถ้าเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคำนวณไว้ ใช้เวลามากที่สุดแค่หนึ่งปีครึ่งก็สามารถทำลายพลังลมปราณวิญญาณ ไม่ถึงกับทั้งหมด แต่ผลสัมฤทธิ์มากที่สุดคือสุขภาพแข็งแรง เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่เหมาะแก่การฝึกวรยุทธของพวกเขาอีกต่อไป


ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงรีบร้อนอยากจัดการบ้านที่เกาะฮ่องกงให้เสร็จ แม้ว่าตัวเองยังไม่เข้าไปอยู่ แต่ก็สามารถให้ศิษย์พี่ไปอยู่ได้ เพราะเมื่อนานมาแล้วเส้นลมปราณครึ่งหนึ่งของโก่วซินเจียถูกทำลาย และเขาต้องใช้สถานที่ที่มีพลังลมปราณวิญญาณเพียงพอมาปรับสภาพร่างกาย


“เยี่ยเทียน ได้ข่าวว่าเพิ่งได้หยกมาชิ้นนึงเหรอ?”


จั่วเจียจวิ้นไม่สนใจยุ่งเรื่องนี้ของเยี่ยเทียน เครื่องประดับเพชรพลอยของตระกูจั่วถูกสร้างขึ้นจากมือของเขา หากมีโอกาสได้เห็นเครื่องประดับของตระกูลจั่วเจริญรุ่งเรืองในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มันเป็นหนึ่งในความปรารถนาของจั่วเจียจวิ้น ไม่แน่ตอนนี้เขาต้องขอความเห็นใจจากศิษย์น้องซะหน่อย


“ใช่ครับศิษย์พี่ หยกชิ้นนี้ไม่เลว ซื้อมาในราคาสามร้อยกว่าดอลล่าร์เอง ฮ่าๆ!”


พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เยี่ยเทียนก็อดขำไม่ได้ เพราะครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทุกคนที่อยู่เหตุการณ์มีท่าทีหัวเราะเยาะเย้ยเขา ตอนนี้แต่ละคนเปลี่ยนท่าทีถึงขั้นเหมือนอยากจะยกลูกสาวของตัวเองมาแต่งงานกับเขา แต่ก็ต้องดูว่าตัวเขานั้นจะตอบตกลงหรือไม่ตกลง


ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ใช่คนหน้าบาง แต่การเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังทำให้เขารู้สึกดีมาก นี่ก็เหมือนกับนวนิยายเรื่อง “Officialdom Unmasked” และได้แสดงชีวิตเป็นๆ เวอร์ชั่นปัจจุบันในรายการ “The Mall Unmasked”


“ศิษย์น้อง ครั้งนี้น้องต้องให้หน้าพี่บ้างนะ”


เพราะเป็นคนกันเอง จั่วเจียจวิ้นจึงไม่พูดไร้สาระกับเยี่ยเทียนและพูดอย่างตรงไปตรงมา “เอาหยกที่นายได้มาให้พี่ พี่รับผิดชอบเจียระไนเป็นสินค้าสำเร็จรูป เรื่องโปรโมทและช่องทางการขายก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ หลังจากที่ขายออกและได้เงินกลับมาแล้ว ก็แบ่งยี่สิบส่วนกับแปดสิบส่วน พี่ยี่สิบส่วน นายแปดสิบส่วน นายคิดว่ายังไง?”


โบราณกล่าวว่าพี่น้องเคลียเงินกันตรงๆ เงื่อนไขที่จั่วเจียจวิ้นให้กับเยี่ยเทียนนั้นถือว่าเยอะมาก สามารถพูดได้เลยว่าทำงานให้ฟรีๆ สัดส่วนยี่สิบกับแปดสิบ สุดท้ายแล้วร้านของตระกูลจั่วก็ไม่มีกำไรเลย


ต้องรู้ว่าการเจียระไนหยกเป็นงานระเอียด จะต้องเชิญอาจารย์แกะสลักที่มีทักษะสูง และค่าเชิญอาจารย์ก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว บวกกับการโปรโมทผ่านร้านที่จะต้องมีต้นทุนกับค่าแรงก่อนที่จะขายออกไปอีก จั่วเจียจวิ้นแบ่งไปแค่ยี่สิบส่วน ไม่แน่เขาอาจจะต้องควักเงินส่วนตัวเพิ่มบางส่วนก็เป็นได้


แน่นอน เมื่ออยู่ในธุรกิจก็จะคุยกันแบบธุรกิจ จั่วเจียจวิ้นเองก็ไม่ได้ขาดทุน ถ้าหากตระกูลจั่วออกสินค้าเครื่องประดับเพชรพลอยของเจียระไนหยกที่ไม่ซ้ำใคร เชื่อว่าวงการหยกของเกาฮ่องกงจะลุกฮืออีกครั้ง และผลของการโฆษณาแบบนี้จะใช้เงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้


การมีกิจกรรมแบบนี้หนึ่งครั้ง การมุ่งเม้นพัฒนาธุรกิจเครื่องประดับเพชรพลอย เป็นไปได้ที่จะพึ่งการขายด้วยการเปลี่ยนจากทองเป็นหยกหยกแทน และในตอนนี้ผู้คนเริ่มรู้จักหยก ถ้าสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้มันเพียงพอแล้วสำหรับร้านเครื่องประดับเพชรพลอยของตระกูลจั่วที่จะเข้าสู่ช่วงการพัฒนาอย่างรวดเร็ว


“ศิษย์พี่ พี่อย่าสนใจหยกล็อตนี้เลย ผมมีจุดประสงค์การใช้อย่างอื่น ไม่ขายให้พี่หรอก และไม่ขายให้ใครด้วย!”


เยี่ยเทียนตอบกลับจั่วจวิ้นตรงๆ และมองเห็นสายตาของคนรอบตัวที่กำลังจ้องมาที่ตัวเอง ที่แสดงสีหน้าดีใจออกมาแต่คำพูดต่อจากนั้นของเยี่ยเทียนนี้ ทำให้พวกเขาใจคอเหี่ยวแห้งไปทีเดียว เพราะว่าถ้าร้านเครื่องประดับเพชรพลอยของตระกูลจั่วไม่ได้ พวกเขาก็คงไม่ได้เช่นกัน


“เยี่ยเทียน นายจะเอาหยกเยอะแยะขนาดนั้นไว้ทำไม?”


ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นนึกว่าเยี่ยเทียนจะไว้หน้าตัวเองสักหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะถูกปฎิเสธ เสียงในโทรศัพท์ก็ชัดเจนเลยว่าไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ เพราะตัวเขาเองไม่เคยเอ่ยปากขอศิษย์น้องเลย หรือแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังขอไม่ได้เลยงั้นเหรอ?


เยี่ยเทียนรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองเมื่อสักครู่แข็งไปบ้าง จึงรีบพูดต่อว่า “ศิษย์พี่รอง เรื่องนี้พวกเราค่อยคุยกันอีกทีนะ ถ้าถึงตอนนั้นพี่ยังอยากได้อยู่ ผมให้พี่ฟรีๆ ก็ยังได้เลย!”


“โอเค งั้นเจอหน้ากันค่อยคุยกันอีกที…” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นรู้ว่าตัวเองเข้าใจศิษย์น้องเล็กผิดไป เมื่อคิดไปคิดมาก็ถูก ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของพวกเขาจะทำร้ายกันลงเพียงเพราะของพวกนี้ได้ยังไงกัน?


“คุณ…คุณเยี่ย ไม่ทราบว่ามกรตเหล่านี้ของคุณ มีจุดประสงค์ที่จะขายหรือไม่ครับ?”


เห็นเยี่ยเทียนวางสายไป เจิ้งต้าจวินจึงถามอย่างระมัดระวัง เพราะเขาฟังออกว่าสายที่เยี่ยเทียนพูดด้วยนั้นคือท่านอาจารย์จั่ว และในเกาะฮ่องกงคนที่สามารถใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับจั่วเจียจวิ้นได้นั้น แม้แต่การตบหน้าหนึ่งฉาดก็ยังสามารถนับครั้งได้ ดังนั้นท่าทีของท่านประธานเจิ้งที่มีต่อเยี่ยเทียนจึงอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่บ้าง


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเงียบและไม่ตอบ เจิ้งต้าจวินนึกว่าราคาของเขาต่ำเกินไป จึงรีบพูดต่อว่า “คุณเยี่ยครับ คุณสบายใจได้ ขอแค่คุณยินยอมที่จะขาย เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาเลยครับ ผมสามารถรับซื้อเพิ่มจากพื้นฐานของการคาดการณ์หนึ่งในสามส่วนของแปดสิบล้าน บวกเพิ่มอีกสี่สิบล้านดอลลาร์ฮ่องกง!”


สินทรัพย์รวมของเจิ้งกรุ๊ปมีมูลค่าสูงถึงหมื่นล้านดอลล่าร์ฮ่องกง การเป็นบริษัทเครื่องประดับของเจิ้งกรุ๊ปถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุด และก่อนที่จะมาการประมูลสาธารณะที่พม่าในครั้งนี้ บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์ทิศทางการพัฒนาของบริษัทเอาไว้แล้ว นั่นก็คือเจาะกลุ่มตลาดของหยก


ดังนั้นหลังจากที่เจิ้งต้าจวินได้เสนอกับผู้บริหารแล้วนั้น เขาได้รับอนุมัติให้ใช้สินทรัพย์พันล้านมารับซื้อหหินก้อนนี้ และแผนของพวกเขาไม่ได้ต่างไปจากจั่วเจียจวิ้น ถึงจะขาดทุนแต่ก็ต้องแย่งโอกาสธุรกิจครั้งนี้มาให้ได้


“ท่านประธานเจิ้งครับ คุณทานเนื้อ ก็ต้องเหลือน้ำซุปให้พวกเราบ้างสิครับ!”


“นั่นสิ ท่านประธานเจิ้ง เจิ้งกรุ๊ปของพวกคุณรวยมาก แล้วคุณเปิดราคานี้ออกมา พวกเรายังจะทำมาหากินต่อไปได้ยังไงครับ?”


“คุณเยี่ย พวกเราให้ราคาสูงแบบท่านประธานเจิ้งไม่ได้ แต่พวกเรามีความจริงใจนะ ถ้าคุณยอมขายหยกแดงเหล่านี้ พวกเรายังคุยกันได้อีกนะครับ!”


เจิ้งต้าจวินมัวแต่สนใจความรู้สึกของเยี่ยเทียน กลับนึกไม่ถึงว่า คำพูดของเขานำมาซึ่งความไม่พอใจของคนในที่สาธารณะ เดิมทีราคาแปดสิบล้านก็ทำให้พ่อค้าเครื่องประดับเหล่านี้ไม่พอใจอยู่แล้ว ตอนนี้กลับอัพราคาขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ คิดจะบีบบังคับให้จนมุมเลยสินะ


ต้องรู้ว่า ผู้บริโภคหยกในตลาดส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับกลางถึงล่าง ปกติการขายหยกราคาจะอยู่ที่สิบหยวนถึงหนึ่งหมื่นหยวนประมาณนี้ ราคาหนึ่งแสนขึ้นมีไม่มาก สิ่งนี้ทำให้เหล่าพ่อค้าต้องแบกรับเงินหลายสิบล้านดอลลาร์เพื่อซื้อวัตถุดิบ


ดังนั้นราคาที่เจิ้งต้าจวินเปิด เท่ากับว่าราคาวัตถุดิบหยกในตลาดถูกดึงขึ้นไปโดยปริยาย และที่สำคัญความห่างนี้ค่อนข้างกว้าง


ถึงแม้ขนแกะจะออกบนตัวแกะ พ่อค้าเครื่องประดับสามารถใช้วิธียกระดับราคาการขายมาเติมเต็มส่วนต่างในส่วนนี้ แต่ราคาหยกในตลาดปัจจุบันเป็นอย่างไรนั้น ในใจของพวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจเท่าไร และถ้าพิจารณาผิดพลาด เงินหลายสิบล้านนี้ก็จะเสียฟรีไม่มีประโยชน์


“ทุกท่านครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พวกคุณเข้าใจผิด” คำตำหนิของผู้คนทำให้เจิ้งต้าจวินทำอะไรไม่ถูก เครื่องประดับของบริษัทเจิ้งกรุ๊ปนั้นรวยจริง แต่ถ้าสร้างความร้าวฉานในวงการเดียวกัน ในอนาคตพวกเขาก็จะอยู่ยากเช่นกัน


“เฮ้ ผมว่าพวกคุณเริ่มพูดออกไปไกลอีกแล้วนะ? ผมพูดตอนไหนว่าจะขายหยกแดงพวกนี้?”


เมื่อมองเห็นคนเหล่านี้เริ่มแก่งแย่งกันขึ้นมา เยี่ยเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ทำเหมือนกับว่าตัวเองมีรูปร่างหน้าตาที่ยากจนมากถึงขนาดจะขายหยกแดกนี้ให้ได้ถึงจะมีข้าวกินอย่างนั้นเหรอ?


“ไม่ขาย แล้ว…แล้วมาพนันหินทำไม? ”


“นั่นสิ อย่าบอกนะว่ารู้สึกราคาต่ำไป?”


“เป็นไปไม่ได้ ราคาที่ท่านประธานเจิ้งเสนอไม่ต่ำแล้วนะ ถึงจะทำเป็นเครื่องประดับสำเร็จรูป กำไรก็เกือบจะไม่เหลือแล้ว ”


คำพูดของเยี่ยเทียนเหมือนสาดน้ำเย็นลงในหม้อน้ำมัน ระเบิดขึ้นมาทันที พวกเขาเสียเวลาคุยเรื่องนี้กันเกือบครึ่งวัน ไม่คิดเลยว่าเจ้าของไม่มีเจตนาจะขายหยกแดงเหล่านี้ตั้งแต่แรก แบบนี้พวกเขาก็คิดไปเองฝ่ายเดียวงั้นเรอะ?


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนปฏิเสธราคาที่ตนชัวเองเสนอออกไป เจิ้งต้าจวินไม่มีเวลาสนใจพ่อค้าเครื่องประดับรายย่อยเหล่านั้น และรีบพูดว่า “คุณเยี่ย คุณลองพิจารณาอีกครั้งดีไหม? เรื่องราคา พวกเรายังคุยกันได้นะครับ“


“ท่านประธานเจิ้งครับ ผมดูเป็นคนขาดแคลนเงินเหรอครับ?”


เยี่ยเทียนมองไปที่เจิ้งต้าจวินทำเหมือนยิ้มและไม่ได้ยิ้ม พูดต่อว่า “หยกเหล่านี้ผมจะเก็บไว้ใช้เองครับ ไม่อย่างนั้นผมก็คงจะให้ศิษย์พี่จั่วแล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ขายครับ คุณอย่านึกถึงมันอีกเลยนะครับ“


“คุณ ก็ได้ คุณเยี่ย หวังว่าพวกเราจะได้ทำงานร่วมกันในภายหลัง!”


แม้นิสัยของเจิ้งต้าจวินจะดีแค่ไหน แต่ก็ยังรู้สึกโกรธเพราะคำพูดของเยี่ยเทียน เอามือประสานตรงอกเสร็จก็เดินออกไปจากกลุ่มผู้คน การเริ่มต้นธุรกิจของตระกูลเจิ้งไม่ได้ขาวสะอาดและเดินทางตรงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขายังมีอำนาจใต้ดินอยู่บ้าง เจิ้งต้าจวินกำลังกลับไปขอความช่วยเหลือจากคนในตระกูล และดูว่ามีช่องทางไหนที่จะสร้างความกดดันให้เยี่ยเทียนได้บ้าง


แต่หลังจากที่เจิ้งต้าจวินนำความคิดของตัวเองแสดงเจตจำนงต่อคนในครอบครัวเสร็จ เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มีหนึ่งสายโทรเข้ามา และคนนั้นก็คือท่านผู้เฒ่าที่ใกล้จะลงโลงแล้วโทรมาด่าเขาไปหนึ่งชุด แล้วสั่งให้เขารีบกลับเกาะฮ่องกงภายในคืนนั้น กระทั่งกลับเร็วกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก


“หยกแดงเหล่านี้ไม่ขายทั้งนั้น ขอให้ทุกคนหลบหน่อยครับ ผมจะผ่าหิน”


เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจเจิ้งต้าจวินเลยสักนิด  เขามองซ้ายมองขวาเสร็จและเดินตรงไปข้างๆ เครื่องตัดหินและเปิดเครื่องตัด จากนั้นก็เริ่มตัดหยกหายากชิ้นนี้


แต่การผ่าหินที่เยี่ยเทียนทำอยู่กลับถูกผู้คนด่าอยู่ในใจ เพราะนอกจากเขานายเยี่ยที่ควักหยกแดงผลึกใสชิ้นนั้นออกมาอย่างระมัดระวังแล้ว หยกชิ้นอื่นๆ ไม่ว่าคุณภาพดีหรือไม่ดี เขาก็ใช้มีดตัดฉับลงไปทั้งหมด


ต้องรู้ว่าความหนาของเลื่อยเครื่องตัดหิน ขณะที่กำลังตัดอยู่นั้นมีผลกระทบต่อเนื้อหยกเป็นอย่างมาก ในส่วนที่เยี่ยเทียนตัดลงไปอย่างมั่วๆ ทำให้สูญเสียหยกไปกว่าหกกิโลกรัม ถ้าคิดเป็นเงินก็ประมาณหนึ่งแสนที่หายไปแล้ว


พอเป็นเช่นนี้ ความเร็วในการตัดหินของเยี่ยเทียนกลับเร็วขึ้นมาก เขาใช้เวลาตัดไปเพียงเจ็ดแปดนาที หินสองชิ้นนั้นมีน้ำหนักรวมแล้วหนักว่าห้าสิบกิโลกรัม แต่กลับถูกเขาตัดออกหมดแล้ว


…….


ตอนที่ 523 พันล้าน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ลูกไม่เอาไหน นี่ลูกของใครกัน?”


“นั่นสิ หยกดีดีทั้งชิ้นถูกทำลายหมดแล้ว นี่สูญเสียของดีไปเท่าไรแล้ว?”


การกระทำของเยี่ยเทียน ทำให้คนที่มุงดูเหล่านั้นเริ่มด่าเงียบๆ อยู่ในใจ นี่มันลูกหลานขายที่นาของบรรพบุรุษอย่างไม่เสียดายจริงๆ หยกดีขนาดนี้กลับถูกเขาตัดเป็นเจ็ดส่วนแปดส่วนซะงั้น


แม้แต่เหล่าถังที่พบเจออะไรมาเยอะ ตอนนี้มุมปากของเขาก็กำลังกระตุก คนที่เล่นหยกมาตลอดทั้งชีวิตอย่างเขา แถมยังมีความรู้สึกต่อสิ่งนั้นแล้วด้วยซ้ำ ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุดกับการกระทำของเยี่ยเทียน


แต่ว่าแม้จะเป็นเหล่าถัง ก็ไม่พบว่าหยกแดงที่เยี่ยเทียนทำเสียหายและสูญเสียไปตอนที่ตัดเนื้อหยกนั้น เป็นพราะสาเหตุของเลื่อยเครื่องตัด และในตอนที่เปิดผิวหินทำความสะอาดเศษต่างๆ เยี่ยเทียนได้ตัดลงไปอย่างแม่นยำ ทำให้หยกไม่ได้ถูกทำลายเลยสักนิด


ของก็เป็นของเยี่ยเทียน เขาอยากจะทำอย่างไรคนอื่นไม่มีสิทธิมา ยุ่ง และเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดแปดนาที หินหนักห้าสิบกิโลกรัมสองชิ้นก็ถูกปลอกเปลือกจนหมด หินหยกสี่ก้อนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนักราวสิบห้ายี่สิบกิโลกรัมก็ปรากฏต่อหน้าผู้คน


ถึงแม้ไม่ได้ผ่านกระบวนการแกะสลักขัดเงา แต่หินสี่ชิ้นนี้ก็ยังแสดงสีแดงเงางามน่าดึงดูดที่สุดออกมาให้เห็น ภายใต้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา กระจายพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ทำให้บริเวณใกล้เครื่องตัดสิบกว่าเมตรถูกย้อมเป็นดั่งทะเลสีแดง


ทุกคนหลงใหลอยู่ในสีแดงนี้ เบื้องหน้าของพวกเขามีสีเพียงสีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกับตา พวกเขาไม่มีวันเชื่อว่าสีสดแบบนี้จะนำความน่าตะลึงมาให้กับพวกเขาได้


“สวย สวยมากจริงๆ!” ในใจของทุกคนมีความคิดนี้เกิดขึ้นเช่นกัน


เพียงแต่พริบตาเดียวเท่านั้น ความชื่นชมในความสวยกับสิ่งนี้ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เพราะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนไปหากระสอบมาจากที่ไหน หลังจากที่เขานำหยกแดงเหล่านี้แบ่งและห่อเสร็จแล้ว ก็นำหยกทั้งหมดยัดเข้าไปในกระสอบ


ถึงแม้จะมองผ่านกระสอบแต่ก็ยังเห็นสีแดงอยู่ลางๆ และภาพความตะลึงของคนเมื่อสักครู่ก็หายไปหมดแล้ว ทำให้ผู้คนตรงนั้นรู้สึกเสียดายขึ้นมาในใจ


ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิวซีกั๋วเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ถามเยี่ยเทียนที่ถือกระสอบด้วยมือเดียวว่า “ท่านอา หินชิ้นนี้จะตัดอีกมั้ย?”


เมื่อมองดูสายตาดุจจิ้งจอกผู้หิวโหยเหล่านั้น เยี่ยเทียนจึงส่ายหัวตอบว่า “ไม่ตัดแล้ว เอากลับฮ่องกงเลย!”


เยี่ยเทียนไม่ได้กลัวว่าคนเหล่านี้จะมีเจตนาร้าย คิดไม่ดีกับหยกแดงที่อยู่ในมือของเขา เพียงแต่ว่าเมื่อหลายวันก่อนสิ่งที่เยี่ยเทียนทำไว้ที่ภูเขาปีศาจมันน่าตกใจมาก ถ้าถูกตรวจสอบขึ้นมาละก็ เป็นเรื่องใหญ่โตแน่นอน ดังนั้นเยี่ยเทียนไม่ต้องการให้เรื่องบานปลาย หวังเพียงว่าจะไปจากพม่าได้เร็วที่สุด


เนื้อหยกหลายชิ้นนี้ถ้ารวมกันแล้วมีน้ำหนักประมาณห้าสิบกิโลกรัม เยี่ยเทียนหนึ่งคนสามารถยกไหว ส่วนหินอีกหนึ่งชิ้นที่ยังไม่ถูกตัดมีน้ำหนักเพียงเจ็ดแปดสิบกิโลกรัมเท่านั้น มีคนสองคนก็สามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมดแล้ว


“ครับ ท่านอา ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ”


หลิวซีกั๋วมองคนวงการเดียวกันด้วยความรู้สึกดีใจ ถึงแม้จะรับซื้อหยกแดงไม่ได้ แต่ในภายหลังถ้าเยี่ยเทียนคิดจะขาย โอกาสของเขามีมากกว่าคนอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย หมายความว่าร้านเครื่องประดับของตระกูลจั่วก็ยังไม่หมดหวัง


เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ออกจากเหมืองหินต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย ขึ้นไปกับรถที่สมาคมจัดไว้ให้ และกลับไปยังโรงแรม


เนื่องจากวัสดุที่มีมูลค่าสูงกว่าร้อยล้านในมือของเยี่ยเทียน ในใจหลิวซีกั๋วมีความตื่นเต้นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เมื่อกลับถึงโรงแรมก็เก็บของอย่างง่าย จากนั้นก็ตรงไปยังสนามบินย่างกุ้งที่ใช้สำหรับทหารใช้เฉพาะ


การสนับสนุนจากถังเหวินหย่วนที่มีให้กับเยี่ยเทียน ไม่มีผลกระทบใดๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่ที่เยี่ยเทียนมาถึงพม่าเกือบครึ่งเดือนกว่านี้ เครื่องบินส่วนตัวลำนี้ก็จอดนิ่งอยู่ที่สนามบินแห่งนี้มาโดยตลอด เพื่อรอให้เยี่ยเทียนนั่งโดยเฉพาะ


หลังจากคุยเรื่องเส้นทางการบินเสร็จ เยี่ยเทียนกับคนอื่นๆ ก็นั่งอยู่ในเครื่องบินประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า แล้วเครื่องบินลำนี้ก็เริ่มวิ่งเข้าสู่เส้นวิ่งและบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อมองทะลุจากหน้าต่าง จึงมองเห็นวัตถุที่อยู่บนพื้นดินค่อยๆ เล็กลง


“มันจบแล้ว หวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะไม่โทษผมนะครับ?”


มองดูเมืองย่างกุ้งที่ค่อยๆ เล็กลง ในใจของเยี่ยเทียนก็เริ่มรู้เหนื่อยล้าเล็กน้อย สิ่งที่พบเจอในภูเขาปีศาจนั้นเกินความคาดหมายของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะงูสองหัวแปลกประหลาดนั่นโผล่มา เยี่ยเทียนก็อาจจะไม่สามารถทำลายตระกูลคิตะมิยะกว่าร้อยคนนั้นได้


และการอยู่ของงูสองหัวประหลาดนั่น ทำให้ในใจของเยี่ยเทียนได้สติอีกครั้ง บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่เกินความคาดหมายของคนอีกมากมายอยู่ตามมุมต่างๆ ที่ผู้คนยังไม่รู้


ทุกครั้งที่เยี่ยเทียนคิดถึงงูสองหัวกับเฮยเจียวที่ภูเขาฉางไป๋ซาน ในสมองจะเกิดภาพลวงตาขึ้น หรือนี่จะเป็นตัวตนของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่เขาเคยได้ยิน? ถ้าเป็นเช่นนั้น เซียนเทพต่างๆ ในตำนานอยู่ที่ไหนกันล่ะ?


เยี่ยเทียนยิ้มและส่ายหัว กำจัดความคิดไร้สาระพวกนั้นออกจากสมอง แล้วค่อยๆ หลับตาพักผ่อน การออกจากพม่าเท่ากับว่าเรื่องราวที่ภูเขาปีศาจก็จบลงแล้ว และนี่ก็ทำให้ความตึงเครียดของเส้นประสาทของเยี่ยเทียนได้คลายลงสักที


สองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินค่อยๆ ลงจอดในสนามบินนานาชาติฮ่องกง หลังเดินออกจากภายในตัวเครื่องบินแล้ว เยี่ยเทียนกลับพบบางอย่างอย่างคิดไม่ถึง ครั้งนี้เป็นอาติงกับถังเสวี่ยเสวี่ยมารอรับตัวเอง แต่ถังเหวินหย่วนกลับไม่ปรากฏตัว


เยี่ยเทียนสอบถามถังเสวี่ยเสวี่ยเสร็จเพิ่งจะรู้ว่า ปีใหม่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ในฐานะของหัวหน้าธุรกิจของตระกูลถัง ถังเหวินหย่วนจะต้องไปเยี่ยมเยี่ยนธุรกิจต่างๆ แม้สุขภาพจะแข็งแรงแต่ว่าอายุเยอะแล้ว หลายวันมานี้จึงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน


“ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว…”


มองดูรอยยิ้มดุจดอกไม้ของถังเสวี่ยเสวี่ย ความคิดของเยี่ยเทียนล่องลอยไปบ้าง พริบตาเดียวตัวเองก็อายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีแล้ว ถึงปีที่ต้องเปลี่ยนทศวรรษอีกแล้ว และตัวเองก็ต้องสร้างครอบครัวแล้ว


เมื่อนึกถึงอวี๋ชิงหย่าที่อยู่ปักกิ่ง เยี่ยเทียนจึงรู้สึกผิดต่อเธออย่างห้ามไม่ได้ หลายปีมานี้เขาไปนู่นไปนี่แทบจะไม่ได้อยู่บ้าน ไม่ค่อยได้สนใจอวี๋ชิงหย่าเลย คิดๆ ดูแล้วในอนาคตจะต้องหาอะไรทำที่ปักกิ่งแล้วล่ะ จะได้รู้สึกไม่สบายใจแบบนี้


หลังจากปฏิเสธคำเชิญถังเสวี่ยเสวี่ยให้ไปอยู่ที่บ้านตระกูลถังแล้ว เยี่ยเทียนจึงสั่งให้รถส่งพวกเขาไปที่บ้านของจั่วเจียจวิ้น เมื่อมาถึงฮ่องกงแล้วไม่ไปอยู่บ้านศิษย์พี่ เดี๋ยวก็โดนดุอีก เยี่ยเทียนก็รับไม่ไหวเหมือนกัน



“ศิษย์น้องเล็ก นายได้ทองคำมาก็ไม่เป็นไร แต่หยกแดงนั่นต้องแบ่งให้พี่บ้างนะ!”


พอถึงช่วงกลางวันของวันถัดไป จั่วเจียจวิ้นกับโก่วซินเจียเพิ่งถึงคฤหาสน์ คำพูดแรกก็เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ เยี่ยเทียนที่ได้ยินจึงรู้สึกขนลุกขึ้นมา


“เจียจวิ้น เวลาศิษย์น้องเล็กทำอะไร เขามีเหตุผลของเขา ให้เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่พม่าก่อนเถอะ”


โก่วซินเจียช่วยเยี่ยเทียนพูด เขาไม่ได้สนใจหยกแดงหยกเขียวอะไรนั่น แต่สนใจเรื่องที่เยี่ยเทียนพบเจอที่ภูเขาปีศาจมากกว่า ตอนนั้นเขาพาคนเข้าไปยังภูขานั่นทำให้สูญเสียพี่น้องไปหลายคน ไม่คิดเลยว่าเยี่ยเทียนจะสามารถเอาทองออกมาได้อย่างราบรื่น


กับสองท่านนี้ เยี่ยเทียนไม่ได้จะปิดบังอะไร จึงเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ คิตะมิยะ ฮิเดโอะถูกตัดหัวประหารชีวิตแล้ว คนตระกูลคิตะมิยะถูกฆ่าหมดไปกว่าร้อยกว่าคน!”


“อะไรนะ?”


แม้พลังการฝึกของโก่วซินเจียถึงระดับสูงสุดแล้ว แต่ก็ยังตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียจนกระโดดขึ้นโซฟา ถึงแม้โก่วซินเจียจะรู้สึกอยู่ในใจตลอดเวลา แต่ก็ไม่คิดว่าตระกูลคิตะมิยะจะใจกล้าไปพม่าถึงร้อยกว่าคน


“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมโชคดีด้วยแหละ ไม่คิดว่าจะเจอสัตว์ประหลาดที่ภูเขาปีศาจ…”


เยี่ยเทียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้สองคนนี้ฟังอย่างละเอียด สองคนที่ฟังแสดงสีหน้าที่ตกใจออกมาทั้งคู่ โดยเฉพาะตอนที่เล่าถึงงูสองหัวประหลาดตัวนั้น สองคนนั้นยิ่งรู้สึกตะลึงขึ้นไปอีก


หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เยี่ยเทียนแบมือออกพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ ถึงแม้ผมจะมีใจไว้ชีวิตคิตะมิยะ ฮิเดโอะ แต่ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ…”


“เหอะๆ”


โก่วซินเจียเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน น้องเล็กอยากจะส่งคิตะมิยะ ฮิเดโอะให้ตัวเองจัดการ จึงยิ้มและพูดว่า “คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร เยี่ยเทียน ฉันไม่คิดว่านายจะใส่ใจขนาดนั้น คิตะมิยะ ฮิเดโอะไม่สามารถทำให้ฉันเกิดความชั่วในใจได้หรอก”


ตอนนั้นถึงแม้จะสูญเสียแขนไปหนึ่งข้าง แต่เวลาผ่านไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ ในใจของโก่วซินเจียได้สงบนิ่งหมดแล้ว แต่ถ้าจะพูดให้จริงจังมากหน่อย ก็คือเงินทองและความร่ำรวยเหล่านี้ตระกูลคิตะมิยะก็ขูดรีดได้มาทั้งนั้น พวกเขานั่นแหละที่เป็นเสือแย่งอาหารคน


“อ้อใช่ เยี่ยเทียน ทองคำเหล่านั้นส่งกลับไปยังประเทศจีนแล้ว นี่คือสิ่งที่น้องเหวินซวนบอกให้ฉันเอาให้นาย”


โก่วซินเจียหยิบสมุดบัญชีเงินฝากออกมาจากระเป๋า ยื่นให้กับเยี่ยเทียนเสร็จ ก็พูดต่อว่า “เหวินซวนบอกฉันให้บอกนายว่า ทองคำที่นายเก็บไว้ต้องเอากลับเข้าเตาหล่อใหม่ หลังจากสามวันค่อยส่งกลับมาให้นายที่นี่ ให้นายอย่าเพิ่งใจร้อน”


“ผมไม่ได้ใจร้อน เขารึเปล่าที่ใจร้อน?”


เยี่ยเทียนเปิดสมุดบัญชีเงินฝาก ไม่คิดว่าซ่งเฮ่าเทียนจะทำงานมีประสิทธิภาพดีขนาดนี้ โจวเซี่ยวเทียนและคนอื่นๆกลับประเทศจีนแค่สามวัน เขากลับนำทองคำแปรเป็นเงินเรียบร้อย และยังให้โก่วซินเจียเอามาให้ตัวเองอีก


“หนึ่งพันล้าน?”


มองดูเลขศูนย์เก้าตัวหลังตัวเลขหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว ถึงเงินนี้จะน้อยกว่าที่เขาคิด แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วก็ถือว่าพอแล้ว เขาเชื่อว่าซ่งเฮ่าเทียนทำได้ถึงขนาดนี้ก็คงใช้แรงไปไม่น้อยเช่นกัน


เยี่ยเทียนเดาไว้ไม่มีผิด ราคาขายทองคำในตลาดสากล ทุกกรัมจะอยู่ที่ประมาณแปดสิบหยวน ถ้าขายให้กับประเทศราคาจะถูกว่านิดหน่อย ทองคำสิบห้าตันของเยี่ยเทียนได้มาหนึ่งพันล้าน จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะผลของความสามารถของซ่งเฮ่าเทียน


เยี่ยเทียนถือสมุดบัญชีเงินฝากไว้และคิดไปคิดมา พลางแบ่งสัดส่วนเงินเหล่านี้อยู่ในใจ มองไปที่โก่วซินเจียและพูดว่า “ศิษย์พี่ ผมจะเอาเงินออกมาสักสองร้อยล้าน ที่เหลืออีกแปดร้อยล้าน จะทำเป็นกองทุนเฉพาะของสำนักเสื้อป่านของพวกเรา ศิษย์พี่ทั้งสองคนสามารถหาคนมาลงทุนได้เลย พี่คิดว่ายังไงครับ?”


………


ตอนที่ 524 ฮวงจุ้ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นายเป็นคนหาทองคำนี้กลับมา มันไม่เกี่ยวข้องกับฉันเลย ศิษย์น้องเล็ก เงินส่วนนี้นายจะใช้ยังไงก็ใช้ไปเถอะ ไม่ต้องมาถามความเห็นจากฉันหรอก!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็ยิ้มออกมา เขารู้ว่าศิษย์น้องเล็กไม่อยากเอาเปรียบตัวเอง ก็เลยจะเอาเงินที่ขายได้จากทองคำมาเข้าเป็นเงินทุนของสำนักเสื้อป่าน


แต่โก่วซินเจียอายุใกล้จะเก้าสิบแล้ว เขาไม่มีเรื่องที่ต้องพะวงหลังอีกต่อไป ส่วนเงินทองและชื่อเสียงยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่คิดจะจับต้องอีก ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะเอาเงินไปทำอะไร เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่ง


“ศิษย์พี่ งั้นก็ตามนี้นะครับ”


เยี่ยเทียนยิ้มใหญ่ พูดต่อว่า “สองร้อยล้านนั้นผมจะใช้ซ่อมแซมบ้านที่ฮ่องกงกับตั้งค่ายกล ถ้าสามารถตั้งค่ายกลรวมพลังลมปราณหลิงที่นี่สำเร็จ ในอนาคตก็สามารถใช้บ้านหลังนี้เป็นที่อยู่ของสำนักเสื้อป่านของพวกเรา และพลังชี่ฟ้าดินก็จะไม่ขาดแคลนอีกต่อไป…”


“อืม เยี่ยเทียน นี่เป็นสาเหตุที่นายเรียกฉันกับเจียจวิ้นมาที่ฮ่องกงใช่ไหม?”


โก่วซินเจียได้ยินดังนั้น ก็ตาสว่างทันที คนที่มีพลังถึงระดับนี้อย่างเขา ถึงจะสัมผัสได้ถึงข้อดีของพลังจักรวาลที่มีต่อร่างกายของคน


คนโบราณค้นหาแม่น้ำสายใหญ่ซ่อนตัวป่าลึก เข้าป่าจำศีล ก็เพื่อเสาะหาสถานที่ที่อุดมไปด้วยพลังลมปราณเพื่อฝึกฝนวรยุทธให้เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะไม่สามารถอยู่ยงคงกระพัน แต่มันก็ดีต่อสุขภาพร่างกายของคนมากๆ สามารถมีอายุยืนถึงร้อยปีก็ไม่ใช่ปัญหา


ก็เหมือนกับพรตเฒ่าหลี่ซั่นหยวน ตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่ถูกเปรอะเปื้อนจากอุตสาหกรรมใดๆ พลังชี่ดั้งเดิมทั้งหมดจึงบริสุทธ์เป็นที่สุด พอถึงบั้นปลายชีวิตก็เก็บตัวจำศีลอยู่ที่ภูเขาเหมาซาน อายุของเขาจึงยืนยาวถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี นี่แหละคือข้อดีของพลังจักรวาลที่หล่อเลี้ยงร่างกายของคนเรา


“เอ้อ ศิษย์พี่ใหญ่ ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับการตั้งค่ายกลมาบ้าง พลังลมปราณบนทะเลถึงแม้จะเพียงพอก็ตาม แต่ยากที่จะนำมาที่นี่ พวกเราสามพี่น้องร่วมมือกันตั้งค่ายกลด้วยกัน ผมคิดว่าจะทำให้ค่ายกลสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นครับ”


ค่ายกลรวมพลังวิญญาณที่เยี่ยเทียนตั้งไว้ในเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่ง ที่จริงก็ใช้เทคนิคนิดหน่อย โดยใช้ตำแหน่งประตูผีของที่นั่นดึงดูดพลังพิฆาตสะสมร้อยปีของพระราชวังต้องห้ามออกมา ในเวลาเดียวกันก็กระตุ้นพลังวิญญาณที่เหลืออยู่ของเส้นเลือดมังกร เมื่อสองสิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงทำให้ค่ายกลนั่นเริ่มทำงานขึ้นมา


แต่การตั้งค่ายกลที่เมืองหลินไฮ่ จะต้องใช้เวลาเตรียมงานล่วงหน้าเป็นระยะเวลาที่นาน เพราะทะเลคือน้ำ ความมั่นคงของพลังวิญญาณในทะเลไม่เท่าภูเขา นี่จึงเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมคนสมัยโบราณถึงเร้นกายแถวทะเลน้อยกว่า


อยากจะตั้งค่ายกลที่นี่ อันดับแรกเยี่ยเทียนจะต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างบางอย่างกั้นระหว่างคฤหาสน์กับทะเล เพื่อไม่ให้พลังวิญญาณบ้าคลั่งในทะเลพุ่งตรงมายังตัวบ้านจนทำให้คนที่อาศัยไม่สามารถยอมรับได้ นอกจากนี้ยังต้องตั้งค่ายกลการหมุนเปลี่ยน ให้พลังวิญญาณเหล่านั้นหมุนเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถนำมาเพื่อฝึกฝนได้ ความยากของที่นี่มากกว่าค่ายกลรวมพลังวิญญาณที่ปักกิ่งหลายเท่า


และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลังจากเยี่ยเทียนรับคฤหาสน์กงเสี่ยวเสี่ยวมาแล้วไม่ติดตั้งค่ายกล นอกจากความซับซ้อนของค่ายกลแล้ว ยังต้องใช้เงินทุนที่มหาศาล ถ้าไม่ใช่เพราะได้เงินจากทองคำ เยี่ยเทียนก็คงไม่สามารถปรับแก้คฤหาสน์หลังนี้ได้เลย


“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเล็ก ครั้งนี้น้องเป็นคนตัดสินใจ ฉันกับศิษย์น้องรองจะช่วยงานแรงงานให้นายเอง!”


โก่วซินเจียใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตศึกษาการตั้งค่ายกล ตอนนี้สามารถตั้งค่ายกลพร้อมกับศิษย์น้องทั้งสองคน เขาจึงรู้สึกร้อนวิชาอยู่บ้าง จึงเอ่ยปากพูดว่า “พวกเราจะเริ่มตั้งค่ายกลเมื่อไรดี? ศิษย์น้องเล็กจะใช้วัสดุอะไรบ้าง รีบให้เจียจวิ้นไปจัดเตรียมสิ!”


“นั่นสิเยี่ยเทียน ต้องใช้อะไรบ้าง เดี๋ยวฉันให้คนรีบไปจัดการ” จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า เดิมทีเขาไม่มีความหวังการฝึกให้ถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต แต่ตั้งแต่ที่รู้จักเยี่ยเทียน กำลังภายในของเขากลับพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเห็นโลกที่ตอนแรกไม่อาจะเอื้อมถึงเลยแม้แต่นิดเดียว


“ศิษย์พี่ ตอนนี้ไม่คิดถึงหยกแดงแล้วเหรอ?”


เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา การอ่านหนังสือคือการฝึกใจ การฝึกกำลังคือการฝึกกาย ทั้งสองสิ่งมีความลึกลับของมันเอง แต่ขอแค่ชำนาญด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะหลุดเข้าไปอย่างไม่อาจขึ้นมาได้อีก จั่วเจียจวิ้นแอบดูหลอมปราณสู่จิตช่วงแรก เขามีความรีบร้อนมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย


“หยกแดง? นั่นสิเยี่ยเทียน นายจะเอาของเหล่านั้นใช้ในค่ายกลใช่มั้ย?”


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเรื่องนี้ จั่วเจียจวิ้นเพิ่งรู้สึกตัว เขารู้ว่าการตั้งค่ายกลจะต้องใช้หินหยกจำนวนมาก แต่ไม่เคยคิดว่าหยกสามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน


“ฮ่าๆ ศิษย์พี่รอง ถ้าไม่ใช่เพราะหยกแดงเหล่านั้นใช้ตั้งค่ายกลได้ละก็ ฉันจะไม่ไว้หน้าพี่ได้ยังล่ะ?”


เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา ยื่นมือหยิบกระสอบที่อยู่ในห้องรับแขกมา พูดว่า “ศิษย์พี่รอง ในนี้มีหยกทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบแปดกิโลกรัม เมื่อคืนผมวาดแบบออกมาแล้ว พี่รองช่วยหาอาจารย์เจียระไนหยกที่ชำนาญหน่อยทำตามแบบที่ผมวาด และขนาดจะต้องตรงตามนี้นะ”


ระหว่างที่พูด เยี่ยเทียนยื่นแบบเจ็ดแปดใบที่วาดไว้ให้กับจั่วเจียจวิ้น ในกระดาษเขียนขนาด สัดส่วนของจี้หยก แหวนหยก เสาหยกและเครื่องประดับอีกมายมากเอาไว้ แต่ลายเส้นค่อนข้างเรียบง่าย เชื่อว่าอาจารย์หยกทั่วไปก็สามารถรับงานนี้ได้อย่างแน่นอน


ที่จริงแล้วยังมีเครื่องประดับหยกที่ซับซ้อนกว่านี้ เยี่ยเทียนคิดจะเจียระไนเอง เพราะว่าหยกเหล่านั้นจะต้องใช้ในตำแหน่งของดวงตาค่ายกล ก่อนทำจะต้องป้อนพลังชี่ดั้งเดิมเข้าไปด้วย เพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของค่ายกลอันใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจารย์หยกทำไม่ได้


จั่วเจียจวิ้นมีความสามารถเรื่องการเจียระไนหยกอยู่บ้าง พอมองดูแบบในกระดาษเสร็จ จึงพูดว่า “ไม่มีปัญหา แบบไม่ซับซ้อนมาก เดี๋ยวฉันหาช่างคนอื่นมาทำ ภายในห้าวันก็คงจะเสร็จแล้ว”


จั่วเจียจวิ้นมีโรงงานเจียระไนหยกอยู่แล้ว บวกกับมีคนรู้จักกว้างขวาง บริษัทเครื่องประดับมากมายหรือโรงงานยังต้องให้หน้าเขาอยู่บ้าง เวลาห้าวันเป็นเพียงเวลาโดยประมาณที่ปลอดภัย ถ้าเร็วจริงๆ สามวันก็สามารถทำให้เสร็จได้


“นั่นสิ ศิษย์น้องเล็ก ครั้งนี้นายไปพนันหิน สิ่งที่ได้รับคงไม่ได้มีแค่หยกเหล่านี้หรอกมั้ง?”


จั่วเจียจวิ้นค้นวัสดุหยกแดงในกระสอบไปสักพัก มองเยี่ยเทียนเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มและพูดว่า “ยังมีหยกแดงคุณภาพดีเยี่ยมอีกหนึ่งชิ้น? นายคงไม่ได้เอาหยกนั่นมาใช้เป็นตัวนำทางค่ายกลหรอกมั้ง? มันจะรุนแรงต่อสิ่งล้ำค่าไปหรือเปล่า ”


อย่าว่าแต่เครื่องประดับคุณภาพสูงเลย เพียงแค่ชิ้นเดียว ก็สามารถเพิ่มระดับและชื่อเสียงให้กับร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยได้เลย ดังนั้นจั่วเจียจวิ้นไม่ได้นำความสนใจไปไว้ที่หยกแดงเหล่านั้น กลับเปลี่ยนสายตาไปที่วัสดุดุจแก้วพวกนั้นแทน


แต่จั่วเจียจวิ้นไม่พบของชิ้นนั้นในถุงกระสอบ เยี่ยเทียนน่าจะเก็บเอาไว้แล้ว


“ศิษย์พี่รอง พี่สนใจของชิ้นนั้นของผมอีกแล้วเหรอ?”


เยี่ยเทียนหัวเราะขมขื่น พูดว่า “น้องเล็กของพี่จะแต่งงานปีหน้าแล้ว ของชิ้นนั้นตอนแรกอยากจะทำเป็นกำไลคู่ ถึงเวลานั้นจะให้ภรรยาครับ พี่คงไม่คิดจะแย่งแม้แต่ของของน้องสะใภ้หรอกมั้ง?”


ตอนนี้ในมือของเยี่ยเทียนตอนนี้ มีกำไลหยกเขียวทรงฮ่องเต้กับตุ้มหูหยกสีอ่อนและเครื่องประดับอื่นๆ แต่ปกติอวี๋ชิงหย่าจะชอบสีแดงมากกว่า ดังนั้นตอนที่เพิ่งเห็นหยกแดงชิ้นนั้น เยี่ยเทียนคิดแล้วว่าจะทำเครื่องประดับออกมาและมอบให้กับอวี๋ชิงหย่า


“นายนี่มันคิดรอบคอบจริงๆ…”


หลังจากได้ยินคำอธิบายของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นคิดไปคิดมาพูดว่า “อย่างนี้ละกัน กำไลฉันขัดให้ กฎเหมือนเดิม ของฉันไม่เอา แต่ต้องโชว์ที่ร้านฉันครึ่งปี รอนายใกล้แต่งงานแล้วฉันจะส่งไปให้ ถือซะว่าช่วยศิษย์พี่หน่อยละกันนะ!”


“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”


ได้ยินจั่วเจียจวิ้นพูดดังนั้น เยี่ยเทียนก็รีบตอบตกลงทันที การเจียระไนกำไลกับอย่างอื่นไม่เหมือนกัน จะต้องใช้เครื่องมือพิเศษบางอย่าง และการเสนอแนะของจั่วเจียจวิ้นก็เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนต้องการอยู่แล้ว


“โอเค ศิษย์น้องรอง อายุของนายก็ไม่น้อยแล้ว วันหลังไม่ต้องไปวิ่งเรื่องแบบนี้แล้ว…”


โก่วซินเจียที่ฟังจนเบื่อแล้ว มองเห็นทั้งสองคนตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย จึงลุกขึ้นและพูดว่า “ไปกัน พวกเราไปดูบ้านของเยี่ยเทียนกันหน่อย ไปดูกันให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากันอีกที! ”


“โอเคครับ ถึงยังไงก็ไม่ไกลจากที่นี่ พวกเราไปกันเลยดีกว่า”


เยี่ยเทียนก็อยากตั้งค่ายกลให้เสร็จเร็วๆ รอพลังลมปราณวิญญาณที่เรือนสี่ประสานปักกิ่งอ่อนแอลง ทุกคนก็จะสามารถย้ายจากบ้านเก่าเข้าไปอยู่ได้แล้ว ส่วนที่นี่ก็ถือซะว่าเป็นสถานที่ฝึกตนของศิษย์พี่ทั้งสองแทน และเยี่ยเทียนก็สามารถวิ่งไปมาทั้งสองที่ได้


ทั้งสามคนไม่มีใครเรียกคนขับรถ จั่วเจียจวิ้นเป็นคนขับเอง จากนั้นก็ขับไปยังทิศทางของแหล่งฮวงจุ้ยในเกาะฮ่องกงแห่งนั้น ตอนที่ผ่านสถานที่มากมายจะสามารถมองเห็นคฤหาสน์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบไม้ที่หนาแน่น และที่แห่งนั้นกลับเป็นที่อยู่อาศัยของคนใหญ่คนโตของฮ่องกง


รถของจั่วเจียจวิ้นสามารถผ่านทางระหว่างภูเขากับย่านคฤหาสน์หรูหราได้ หลังจากผ่านยามที่เฝ้ารักษาการณ์สองสามที่แล้ว เขาก็ขับรถไปยังเส้นทางที่มีต้นไม้เรียงรายอยู่ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นอู๋ถง ส่วนผนังทั้งสองข้างสร้างจากหินเขาที่มีขนาดเท่ากัน ข้างบนปกคลุมด้วยไปด้วยมอส ทำให้ผู้คนรู้สึกความสงบและสง่างาม


“ถึงแล้ว เยี่ยเทียน ที่นี่แหละ!” รถยนต์ขับเข้าไปข้างในกว่าสามร้อยเมตร จอดทิ้งไว้หน้าประตูเหล็กอันหนึ่ง จั่วเจียจวิ้นถือกุญแจไฟฟ้าหนึ่งอันและเดินไปเปิดประตูเหล็กนั้นออก แล้วคฤหาสน์ทั้งหลังก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน


คฤหาสน์หลังนี้เป็นสไตล์ยุโรปสี่ชั้น กำแพงด้านนอกเนื่องจากไม่ได้ซ่อมแซมเป็นเวลานาน ผนังกำแพงเริ่มหลุดหลอก แต่ดอกไม้ที่อยู่ในสวนและอื่นๆ กลับถูกตัดแต่งไว้อย่างสวยงาม แม้แต่ประตูก็ถูกเช็ดจนไม่มีแม้แต่ฝุ่นเกาะ น่าจะมีคนมาทำความสะอาดเป็นประจำ


ที่จริงถ้าเป็นไปตามความหมายของกงเสี่ยวเสี่ยว เธออยากเชิญบริษัทติดตั้งและซ่อมแซมระดับโลกมารีโนเวทคฤหาสน์หลังนี้ใหม่ทั้งหมด แล้วค่อยส่งมอบให้เยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนมีความคิดของตัวเอง เขาจึงไม่ได้ตอบตกลง ดังนั้นคฤหาสน์นี้จึงทิ้งไว้ที่นี่ตลอดเรื่อยมา


“โอเค ฮวงจุ้ยของคฤหาสน์หลังนี้ดีกว่าของเหล่าถังหลังนั้น ระยะห่างจากทะเลก็ใกล้กว่านิดนึง!”


หลังจากที่เข้าไปยังสวนดอกไม้ เยี่ยเทียนตรงไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ มองไปยังจุดไกลสุดของทะเล ดวงตาก็สว่างขึ้นอย่างไม่ทันตั้งใจ สถานที่ที่หันหลังให้กับทะเลนี้ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว


เมื่อจับนิ้วขึ้นนับ เยี่ยเทียนเริ่มเดินตามตำแหน่งเจ็ดดาวแปดรูปลักษณ์ ตอนที่เขามาถึงด้านขวาของคฤหาสน์ ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ช่วยหาคนให้ช่วยหน่อยได้ไหม ปากทางตรงนั้นแปดร้อยเมตร สร้างเสา ฮวงจุ้ยข้างในวงกลมข้างนอกเหลี่ยมหนึ่งอัน?”


……………….


ตอนที่ 525 เตรียมงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หืม? ศิษย์น้องเล็ก นายดูออกเหรอ?”


จั่วเจียจวิ้นมองตามที่เยี่ยเทียนชี้ และยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งตัว “ถึงแม้ว่าฮ่องกงจะมีแหล่งฮวงจุ้ยดีๆ มากมาย แต่ก็มีบางแห่งที่ไม่เป็นไปอย่างใจหวัง ศิษย์น้องเล็ก ตำแหน่งที่น้องกำลังชี้อยู่ก็คือเสาแดง เป็นสถานที่ที่รวบรวมพลังหยินทั้งหมดของเกาะฮ่องกง”


เมืองต่างๆ ของภาคใต้ โดยเฉพาะตึกอาคารในเขตพื้นที่ที่ติดทะเล จะมีความเกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ย ฮ่องกงเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน สมัยที่อังกฤษปกครอง มีซินแซหลายท่านมาดูฮวงจุ้ยของผังเมืองเกาะฮ่องกงแล้ว


เนื่องจากจุดที่เสาแดงตั้งอยู่มีพลังหยินค่อนข้างแรง ดังนั้นที่ตรงนั้นจึงถูกก่อตั้งให้เป็นเรือนจำ ในขณะที่หลายพื้นที่ในฮ่องกงเป็นแหล่งธุรกิจ แต่ที่ตรงนี้กลับเป็นพื้นที่ที่คนเข้ามาวุ่นวายน้อยที่สุด และพลังพิฆาตที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้เมื่อสักครู่ก็มาจากเสาแดงนั่นแหละ


“ศิษย์พี่ ค่ายกลของผมไม่จำเป็นต้องให้หยินหยางเสมอกัน ถ้าพลังพิฆาตอันนั้นไม่แตกสลาย อาจมีผลต่อการทำงานของค่ายกลได้ พี่คิดว่าพี่สามารถสร้างเสาฮวงจุ้ยที่นั่นได้มั้ย?”


ข้อเสียของบ้านกงเสี่ยวเสี่ยวหลังนี้เพียงข้อเดียวก็คือด้านขวาอยู่ตรงข้ามกับเสาแดงคือเรือนจำ ถึงแม้ระยะห่างจะไกลกันมาก แต่มันก็มีผลกระทบอยู่บ้าง ถ้าอยู่อาศัยทั่วไป คงไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไร แต่ถ้าเป็นค่ายกลรวมพลังวิญญาณที่เยี่ยเทียนจะตั้งขึ้น เขาจะต้องกำจัดตัวปัญหานี้ออกไปก่อน


จุดที่เยี่ยเทียนกำลังชี้เป็นวิวชายทะเลที่ต้องผ่านอยู่แล้ว ถนนตรงนั้นเป็นทางตรง ถ้าอยากทำฮวงจุ้ยตรงนั้น เยี่ยเทียนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำได้


จั่วเจียจวิ้นมองจุดที่เยี่ยเทียนชี้สักพักใหญ่ พูดพึมพำว่า “ที่ตรงนั้นปกติไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไร การไปมาของนักท่องเที่ยวก็ไม่เยอะ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ว่า น้องเล็ก ค่าใช้จ่ายนี้เราอาจจะต้องรับผิดชอบเองทั้งหมดนะ อืม ฉันขอหาวิธีดูก่อน อาจจะดึงคนมาลงทุนด้วยกันก็ได้!”


จั่วเจียจวิ้นเคยเข้าร่วมการดูฮวงจุ้ยสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของฮ่องกงมาก่อน และยังเป็นที่ปรึกษาฮวงจุ้ยของฮ่องกงอีกด้วย คำพูดของเขามีผลในสังคมชั้นสูงของฮ่องกง


ดังนั้นถ้าจั่วเจียจวิ้นไปชี้ว่าที่ตรงนั้นฮวงจุ้ยไม่ดี มีผลต่อฮวงจุ้ยของคฤหาสน์ฝั่งนี้ เชื่อว่าเพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยมีเงินแต่มีตำแหน่งสูงจะกังวลกว่าใครๆ ด้วยชื่อเสียงในสังคมของพวกเขา การที่จะกระตุ้นให้รัฐบาลสร้างถนนใหม่หนึ่งเส้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่


“ศิษย์พี่ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เงินทุนสองร้อยล้านนั่นก็เตรียมไว้เพื่องานนี้แหละ”


หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว เยี่ยเทียนก็พยักหน้า และพูดต่อว่า “ตรงกลางของถนนตรงนั้น เพื่อให้มีพลังลมปราณของคน ต้องสร้างฐานทรงกลมขึ้นมาก่อนหนึ่งอัน วางหินคริสตัลฮวงจุ้ยหนึ่งอันตรงกลาง เข้าซ้ายออกขวา ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็คงใช้ไม่เยอะหรอก”


“โอเค! ศิษย์น้องเล็ก นายเก่ง…เก่งจริงๆ!”


เยี่ยเทียนเพิ่งพูดจบ โก่วซินเจียก็ชมน้องยกใหญ่ ส่วนจั่วเจียจวิ้นที่ได้ยินก็อึ้งไปเลยทีเดียว การที่เยี่ยเทียนจะตั้งค่ายกลรวมพลัง คงไม่ถึงขั้นต้องช่วยรัฐบาลฮ่องกงกระตุ้นจุดชมวิวตรงนั้นให้คึกคักมากยิ่งขึ้นหรอกมั้ง?


คนกันเองทั้งนั้น จั่วเจียจวิ้นจึงไม่ทำตัวไม่เข้าใจแต่แกล้งเข้าใจหรอก เขาจึงพูดคำถามที่สงสัยออกมาเดี๋ยวนั้นเลย “ศิษย์พี่ใหญ่ ไหนศิษย์น้องเล็กบอกว่าจะสร้างเสาฮวงจุ้ยไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมกลายเป็นหินฮวงจุ้ยล่ะ?”


“เจียจวิ้น สร้างหินฮวงจุ้ยตรงกลางถนนเส้นนั้น เข้าซ้ายออกขวา ยังไงก็ต้องอ้อมหินฮวงจุ้ยถึงจะเข้ามาได้ เวลาไปคือหยาง เวลากลับคือหยิน หยินหยางหมุนอย่างไม่หยุด สามารถหล่อเลี้ยงให้มีพลังมงคล ก็เท่ากับว่าด้านขวาได้สร้างประตูเพื่อใช้บังพลังพิฆาตของเสาแดงตรงนั้นให้อยู่แค่ข้างนอกไงล่ะ”


โก่วซินเจียเรียนรู้ค่ายกลมาเป็นเวลานับสิบปีไม่ได้เรียนเสียเปล่า ค่ายกลโบราณนับพันปีที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน เขาก็ได้ศึกษาไปหมดแล้ว ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เขาจึงเข้าใจจุดประสงค์ของเยี่ยเทียนทันที


ค่ายกลทั่วไปที่ใช้หินฮวงจุ้ย เป็นค่ายกลดาวเจ็ดดวง ซึ่งก็คือดาวเจ็ดดวงรอบทิศ เพื่อให้หยินและหยางผสานกัน จึงใช้หินฮวงจุ้ยเป็นดวงตาของค่าย จากนั้นก็จะแก้ฮวงจุ้ยได้ แต่เยี่ยเทียนไม่ใช้ค่ายกลดาวเจ็ดดวง เขากลับคิดสร้างหินฮวงจุ้ยขึ้นมาแทน ทำให้จั่วเจียจวิ้นไม่เข้าใจความคิดของเยี่ยเทียนในตอนแรก


หลังจากที่เข้าใจความคิดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก แค่สร้างหินฮวงจุ้ยอย่างเดียวนั้นง่ายมาก”


ถ้าเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนพูด ถ้าหากสร้างทางอ้อมซ้ายขวาเป็นทรงกลม ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขผังเมืองหรอก ด้วยความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในสังคม แค่ให้มหาเศรษฐีต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในไหล่เขาออกหน้าหน่อยก็ทำได้แล้ว


“ไม่ เสาฮวงจุ้ยก็ยังต้องสร้างนะ แต่สร้างตรงตีนเขาก็ได้”


ตำแหน่งคฤหาสน์ของเยี่ยเทียน ด้านหลังทางซ้ายล้อมด้วยภูเขา ด้านหน้าทางขวาใกล้ทะเล ตรงที่น้ำลึกแปดพันเมตร มีเกาะอยู่หนึ่งเกาะ เหมือนดั่งวิญญาณมังกรซิงแก้ว ด้านขวาตรงกับเสาแดงมีช่องโหว่และเป็นจุดดึงพลังพิฆาต แม้จะติดตั้งหินฮวงจุ้ยเอาไว้ แต่ก็ยากที่จะปิดจุดด้อยส่วนนี้ ดังนั้นยังต้องสร้างเสาฮวงจุ้ยขึ้นมา


“โอเค เร็วที่สุดสามวัน ช้าที่สุดครึ่งเดือน เพื่อเริ่มงานให้เร็ววันฉันจะให้รัฐบาลเปิดการประชุมรับฟังข้อมูลนี้!”


หลายปีมานี้ถึงแม้จั่วเจียจวิ้นจะช่วยมหาเศรษฐีของเกาะฮ่องกงดูฮวงจุ้ยบ้าง แต่ก็เทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้จริงๆ เพราะมีเงินมากกว่า ทำให้ในใจของเขาก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย


ต้องรู้ว่า สิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังจะทำไม่ใช่การปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยของคฤหาสน์อย่างง่ายๆ แล้ว แต่เขากำลังจะตั้งค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณขนาดใหญ่ เพื่อรวบรวมพลังจากพื้นดินและทะเลรอบๆ และทำการกระตุ้นพลัง ซึ่งค่ายกลเช่นนี้มันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของจั่วเจียจวิ้นแล้ว


โบราณเคยกล่าวไว้ว่ากำลังความสามารถอยู่นอกกาย สิ่งสำคัญการตั้งค่ายกลให้สำเร็จ ไม่เกี่ยวกับการติดตั้งบ้านพักอาศัยของมนุษย์ แต่ต้องผสานกับปัจจัยภายนอกหลายสิ่ง บวกกับทองคำและหินหยกที่เยี่ยเทียนจะใช้ก็ยังส่งมาไม่ถึง ในระยะสิบวันถึงครึ่งเดือน คฤหาสน์หลังนี้ก็คงไม่สามารถเริ่มทำอะไรได้


เยี่ยเทียนสำรวจบ้านอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งรอบ ใช้เข็มทิศกำหนดตำแหน่งเสร็จก็จากไปพร้อมกับศิษย์พี่สองคน ส่วนตัวเจียจวิ้นส่งทั้งสองคนกลับไปและกลับมาถึงบ้านตัวเองแล้ว จากนั้นก็ขับออกไปคนเดียวอีกครั้ง เพราะการที่อยากทำอะไรกับเกาะที่ราคาคืบหนึ่งดั่งทองแห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย


จั่วเจียจวิ้นออกจากบ้านแต่เช้าและกลับดึกติดต่อกันหลายวัน บางวันก็ใส่ชุดนักพรตปากว้า ชื่อเสียงของ “ซินแซจั่ว”ไม่ใช่เล็กๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ รัฐบาลฮ่องกงก็เริ่มรวบรวมและรับฟังโครงการปรับแก้ทางถนน และอีกฝากหนึ่งของเกาะจะสร้างจุดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งจุด


และเมื่อสามวันก่อน ทองคำหนักห้าตันก็ถูกส่งมาถึงฮ่องกง เยี่ยเทียนไปรับของมาอย่างเงียบๆ คนที่ส่งทองคำก็คือพันโทซ่งเฟย ท่าทีของพันโทครั้งนี้เคารพนอบน้อมกว่าครั้งก่อนมาก


นอกจากทองคำแล้ว หลิ่วซีกั๋วยังส่งเครื่องประดับหยกแดงกว่าพันชิ้นมาด้วย ดูเหมือนแผ่นหยกจะเยอะที่สุด ดังนั้นหลายวันมานี้งานที่เยี่ยเทียนทำหลักๆ ก็คือการสลักหยกเหล่านี้ เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเก็บพลัง


“เยี่ยเทียน เป็นยังไง? ในส่วนของรัฐบาลฉันจัดการให้นายเสร็จแล้วนะ แต่เสาฮวงจุ้ยนายอาจจะต้องออกแบบเองนะ”


วันนี้จั่วเจียจวิ้นกลับถึงบ้านรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แม้อยู่ไกล แต่ก็ยังได้กลิ่นเหล้าจากปากของเขา แม้ว่าตำแหน่งจะแกร่งกว่าใคร แต่ถ้าต้องการให้คนช่วยทำอะไร ยังไงก็ต้องวางมาดลงบ้าง และไปทำในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่เต็มใจเท่าไร


“ศิษย์พี่ ผมเตรียมเสร็จตั้งนานแล้ว พี่เริ่มทำงานตามนี่ได้เลยครับ”


หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นเสร็จ เยี่ยเทียนวางมีดและหยกลง หยิบกระดาษยื่นให้จั่วเจียจวิ้นหนึ่งแผ่น ชี้ไปแบบพูดว่า “เสาแท่งนี้จะต้องสร้างให้เป็นทรงกลมอยู่ข้างใน ข้างนอกเหลี่ยม เมื่อพูดในมุมมองของฮวงจุ้ย กลมคือฟ้า เหลี่ยมคือพื้นดิน พื้นดินต้องใหญ่กว่าฟ้า!”


นอกจากนี้สถานที่ตรงนี้ต้องแกะสลักมังกรหงส์กับกิเลน วงกลมด้านล่างสามวงล้อมรอบ วงในสูงสามเมตร และตำแหน่งทั้งสี่ด้านประกอบด้วย หงส์แดงเทพแห่งทิศใต้ เต่าดำเทพแห่งทิศเหนือ มังกรฟ้าเทพแห่งทิศตะวันออก เสือขาวเทพแห่งทิศตะวันตก ไม่ว่าทิศไหนก็ห้ามมีข้อผิดพลาด


วงที่สองสูงหนึ่งเมตร ตำแหน่งปากว้า สี่ปราชญ์อันได้แก่ฝูซีเปิดฟ้าดิน หนี่วากำเนิดโลก โฮ่วอี้ผู้ยิงตะวันและต้าอวี่ปราบอุทกภัยต้องแกะสลักไว้ข้างบนด้วย ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด


วงนอกต้องสูงจากระดับพื้นดินยี่สิบเซ็นติเมตร รวมสิบสองตำแหน่ง ตำแหน่งตรงนี้สำหรับเทพเจ้าแห่งลมฝนฟ้าร้องและฟ้าผ่า มีทั้งหมดสามรอบ และเป็นที่ที่สำคัญที่สุดของเสาฮวงจุ้ย ศิษย์พี่ พี่ต้องควบคุมการสร้างเองทั้งหมดนะครับ”


เยี่ยเทียนพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก ชี้ไปยังรูปเสาฮวงจุ้ยและพูดว่า “สิ่งที่ล้อมรอบเสาฮวงจุ้ย เป็นรูปไท่จี๋ หน้าหยินหลังหยาง พอเป็นแบบนี้ จะสามารถบังพลังพิฆาตทั้งหมดของตำแหน่งนี้ไว้ด้านนอกได้ ในระยะร้อยลี้ก็จะเป็นเขตกำเนิดอัจฉริยะบุรุษ และมีเงินทองไหลมาเทมา ”


แน่นอนว่า มีอีกหนึ่งคำพูดที่เยี่ยเทียนยังไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือหลังจากสร้างเสาฮวงจุ้ยเสร็จแล้ว ความสูงของมันจะต่ำกว่าคฤหาสน์อยู่เล็กน้อย ไม่เพียงแต่เกิดประโยชน์กั้นพลังพิฆาตเอาไว้ ยังสามารถรับพลังจากทะเลเข้าสู่ค่ายกลได้อีกด้วย ผลสัมฤทธิ์ของมันยังไม่พอที่จะเล่าให้คนนอกฟัง


แน่นอนว่า ค่ายกลอันนี้จะต้องใช้เงินมหาศาลจนน่าตกใจ ภายในของเสาฮวงจุ้ย จะต้องล้อบรอบด้วยหินอ่อนสีขาวที่ผลิตโดยฝางซานของเมืองปักกิ่ง แค่หินอ่อนนี้ จะต้องใช้เงินเกือบสี่สิบล้าน


และใต้ดินของดวงตาค่ายกลหยินหยาง ยิ่งต้องใช้หยกที่ถูกสลักค่ายกลโดยเฉพาะกว่าร้อยชิ้นฝังไว้ใต้ดิน หยกเหล่านี้ถูกเยี่ยเทียนเพิ่มยันต์คาถาเข้าไปพิเศษ ถึงแม้ผลสัมฤทธิ์จะสู้ของขลังไม่ได้ แต่ก็แกร่งกว่าสิ่งของป้องกันตัวทั่วไปอย่างแน่นอน ถ้าเขาอยากขายจริงๆ ราคาสิบล้านก็ขายออกได้ไม่ยาก


หลังจากอธิบายค่ายกลอย่างละเอียดให้จั่วเจียจวิ้นเสร็จ เยี่ยเทียนจึงกำชับอีกครั้ง “ศิษย์พี่รอง ค่ายลกลอันนี้จะต้องใช้งานได้อย่างน้อยหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ดังนั้นสิ่งของที่ใช้จะต้องมีคุณภาพที่ดีที่สุด เรื่องนี้พี่รองต้องเป็นคนควบคุมนะครับ”


เว่ยหงจวินทำก่อสร้างที่ปักกิ่ง แต่เยี่ยเทียนก็พอรู้การทำงานลวกๆ อยู่บ้าง เขาไม่อยากให้เสาฮวงจุ้ยนี้สร้างขึ้นไม่กี่ปี ก็พังทลายเพราะคุณภาพการสร้างไม่ดีหรือการทำงานที่ไม่ดี


“สบายใจเถอะ เรื่องคุณภาพฉันรับประกัน ที่นี่ไม่ใช่ประเทศจีน” จั่วเจียจวิ้นหัวเราะ


“’งั้นก็ดีเลยครับ…” เยี่ยเทียนยิ้มและพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพูดต่อ มือถือที่อยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น “รอเดี๋ยวนะครับพี่รอง ผมรับโทรศัพท์ก่อน”


“ไอ้ลูกบ้า เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกพอแล้วมั้ง กลับบ้านได้แล้ว!”


หลังจากรับสาย เสียงของเยี่ยตงผิงก็ดังออกมาจากลำโพง แต่เยี่ยเทียนฟังดูแล้วเหมือนเสียงนั้นจะมีความดีใจปนอยู่ด้วย


………………


ตอนที่ 526 แม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนกำลังพูดคุยเรื่องฮวงจุ้ยของคฤหาสน์กับศิษย์พี่สองคนอยู่ เขาไม่มีอารมณ์ไปเดาความคิดของพ่อ และพูดออกไปอย่างนิ่งเฉยๆ ว่า “พ่อ ผมมีเรื่องต้องจัดการที่ฮ่องกงหน่อย คิดว่าจะได้กลับไปก่อนต้นปีครับ”


คฤหาสน์ของกงเสี่ยวเสี่ยวหลังนี้ก็ซื้อมาระยะนึงแล้ว เดิมทีเธออยากย้ายเข้ามาอยู่พร้อมกับสามี แต่ใครจะรู้ว่าตอนที่กำลังรีโนเวท สามีของเขากลับเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนช่วย ป่านนี้ก็ยังหากระดูกไม่เจอ


ดังนั้นคฤหาสน์หลังนี้จึงปล่อยไว้เรื่อยมา ถ้าเยี่ยเทียนจะย้ายเข้าอยู่ละก็ ไม่เพียงแต่ต้องตั้งค่ายกลรวมพลัง แม้แต่ตัวบ้านทั้งหลัง ก็ยังต้องซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ทั้งหมด อย่างน้อบก็ต้องใช้เวลา 3-5 เดือน


ระหว่างนี้เยี่ยเทียนยังต้องคอยตรวจสอบการสร้างเสาฮวงจุ้ยและลูกบอลฮวงจุ้ย ดังนั้นเขากลับไปฉลองปีใหม่เสร็จ ก็ต้องรีบกลับฮ่องกงทันที


แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึง เขาเพิ่งพูดจบ เสียงจากอีกฝากของโทรศัพท์ก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟขึ้นมา “ไอ้ลูกนี่ แข็งกล้าเหรอเดี๋ยวนี้ คนแก่อย่างฉันเรียกกลับก็ไม่มีผลแล้วใช่มั้ย? รีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันจะหักขาแก!”


“พ่อ……พ่อเป็นพ่อแท้ๆผมรึเปล่าเนี่ย? ผมว่านะ ตอนพ่อแก่ลงทำไมเป็นห่วงผมขนาดนี้ล่ะ?”


เยี่ยเทียนที่ถูกพ่อด่ายังไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่ ตั้งแต่อายุ10ขวบเขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มักจะออกไปข้างนอกกับเหล่าเต้า ออกไปหนึ่งครั้งก็ 2-3 เดือน ตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ ก็ไม่เห็นพ่อจะกังวลขนาดนี้เลย?


เยี่ยตงผิงหน้าแดงเพราะคำพูดของลูกชาย แม้ที่ปากจะไม่ยอมรับ พูดเสียงดังว่า “อย่าพูดมาก ให้แกกลับมาก็คือต้องกลับมา ถ้าพรุ่งนี้ตอนเช้าไม่เห็นแก…….”


“ตงผิง คุณพูดดีๆกับลูกชายหน่อยไม่ได้เหรอ?”


ตอนที่เยี่ยตงผิงกำลังข่มขู่เยี่ยเทียนอยู่ มีเสียงนุ่มนวลน่าฟังดังขึ้น เป็นสำเนียงของคนปักกิ่งแท้ๆ แต่พูดออกมาจากปากของผู้หญิงคนนึง ซึ่งเสียงนั้นยังปะปนสำเนียงอ่อนหวานของสาวเจียงหนานอยู่บ้าง


“แค่กๆ……..”


เยี่ยตงผิงที่พูดจาแรงๆเพียงภายนอกอยู่นั้น ถูกบล็อกด้วยเสียงนั้นทันที หลังจากไอไปไม่กี่ทีเสร็จ ก็ใช้มือขวาปิดไมโครโฟน หันไปพูดว่า “เวยหลัน คุณไม่รู้ เด็กคนนี้ร้ายนัก ถ้าคุณเอาไม้ไผ่ให้เขาหนึ่งอัน เขาก็สามารถปีนไต่ขึ้นไปถึงฟ้าเลยนะ”


เยี่ยตงผิงทำอะไรเยี่ยเทียนไม่ได้ตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กก็ตีอยู่ไม่น้อย แต่เยี่ยเทียนที่ถูกหลี่ซั่นหยวนปกป้องไว้ไม่เคยจริงจังกับอะไรเลย ชักชวนให้ล่าเรียนยิ่งไม่ได้ผล เขาจะยิ่งใช้ตำรานู่นนี่มาอ้างอิงจนบางทีคุณพูดอะไรไม่ออกเหมือนคนใบ้ สิ่งที่เยี่ยตงผิงทำได้ก็เหลือแค่การตะโกนเสียงดังให้ลูกชายรู้สึกกลัว


“ตงผิง ห้ามว่าลูกชายของเราแบบนี้นะ เขาเก่งที่สุด เชื่อ…….เชื่อฟังที่สุด”


ซ่งเวยหลานอยากชมลูกชายอีกสักหน่อย แต่พอคิดถึงซ่งเฮ่าเทียนผู้เป็นพ่อที่น่าเกรงขามเสมอมาก็ยังถูกเจ้าลูกชายคนนี้จัดการจนไม่เหลือ คำชมจึงไม่สามารถพูดต่อไปได้ และหัวเราะขึ้นมาอยู่ที่โซฟา เยี่ยตงผิงที่มองอยู่ยังเผลอเอามือที่ปิดไมค์โทรศัพท์ออก


“พ่อ ฮัลโหล พ่อ พูดสิ ผมไม่ว่างจริงๆ นะ รอปีใหม่ ตอนปีใหม่ผมจะหาของดีไปให้พ่อดีมั้ย?”


คำข่มขู่ของพ่อไม่มีผลต่อเยี่ยเทียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากที่พูดเฉไฉไปไม่กี่คำเสร็จ กำลังเตรียมจะวางสายก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา จนอึ้งไปครู่นึง


“ฮัลโหล พ่อ นั่นใครหัวเราะอยู่? ฟังจากเสียงของผู้หญิงแล้วอายุยังไม่เยอะใช่มั้ย?”


น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของเยี่ยเทียนพูดกับพ่อว่า “ผมว่านะพ่อ แม่จะกลับจากต่างประเทศแล้ว พ่อ……พ่อกล้าเลี้ยงเมียน้อยที่บ้าน อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจกับพ่อตอนผมกลับไปที่บ้านเลยนะ!”


ความสามารถการฟังของเยี่ยเทียนเป็นยังไงกัน? เขามั่นใจได้ว่าเสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงของผู้หญิงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือถ้าพูดอีกอย่าง ก็คือผู้หญิงที่อยู่กับพ่อตอนนี้ เขาไม่รู้จัก!


“ไอ้ลูกนี่ พ่อแกเป็นคนแบบนั้นเหรอ? แม่แกไม่ใช่ใกล้จะกลับมา แต่กลับมาถึงแล้วต่างหาก แกจะกลับหรือไม่กลับก็แล้วแต่!”


เยี่ยตงผิงถูกลูกชายพูดจนจะร้องไห้ก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่เชิง วางสายไปอย่างโมโห พูดว่า “เวยหลัน ลูกชายคุณชมว่าเสียงคุณสาวหน่ะ”


“อะไรนะ? ลูกชายชมฉัน? ตงผิง คุณ….คุณดูฉันที่ไม่ได้แต่งหน้าสิ!”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยตงผิง ท่าทางขี้เกียจของซ่งเวยหลันเด้งตังขึ้นมานั่งตรงทันที หยิบกระจกที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเริ่มส่อง ท่าทางดูเหมือนจะลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย เหมือนกับว่าเยี่ยเทียนยืนอยู่ตรงหน้าซะอย่างนั้น


สำหรับลูกชายคนนี้ ซ่งเวยหลันรู้สึกผิดเสมอมา ทำให้เขาที่ติดตามชีวิตของเยี่ยเทียนมาเป็นสิบปี จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่กล้าโทรศัพท์หาลูกชายเลยสักครั้ง เขากลัวจะรับคำตำหนิของลูกชายไม่ได้ กลัวว่าความหวัง 20 กว่าปีของตัวเองจะกลายเป็นว่างเปล่า


ดังนั้นเยี่ยตงผิงพูดว่าลูกชายชมเธอเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น ทำให้คนที่ทำให้ห้างแตกได้อย่างซ่งเวยหลันกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง ส่องกระจกไปถามเยี่ยตงผิงไปว่าตนเองมีตรงไหนไม่โอเคบ้าง?


“เวยหลัน คุณไม่แต่งหน้าก็ยังสวยกว่าดาราที่สวยที่สุดเลย!”


เยี่ยตงผิงวางโทรศัพท์ลงและเดินไปอยู่ข้างภรรยา ปกติที่ท่าทางเข้มครึม ดวงตาอันลึกซึ้งคู่นั้นกลับทำให้ซ่งเวยหลันรู้สึกเคอะเขินจนหน้าแดงขึ้นมา และหลบสายตาของเยี่ยตงผิง


“พูดเป็นเล่น อายุ 40-50 อย่างฉัน สวยตรงไหน?”


พูดถึงก็แปลก คนเก่งมากมายที่จีบซ่งเวยหลันมาตลอด20ปี คำพูดคำชมมากมายที่บางทีฟังจนน่าขนลุก แต่คนที่ทำให้เขินจนต้องหลบหน้ากลับเป็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ต่างหาก บางทีนี่คงเป็นตำนานดีเกลือผลิตเต้าหู้……ของสิ่งหนึ่งสร้างอีกสิ่งหนึ่งมั้ง?


“เวยหลัน ในใจของฉัน คุณเป็นหญิงสาวตัวน้อยที่ถักผมเปียคนนั้นอยู่เสมอ ตลอดไป……”


เยี่ยตงผิงได้ปล่อยคำพูดที่ไม่เคยได้พูดตลอด 20 ปีออกมา ตอนนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเลี่ยน ความแตกต่างเรื่องฐานะและตำแหน่งอะไรก็ตาม มันไม่มีอยู่แล้ว คู่รักสองคนแยกจากกันด้วยเหตุผลต่างนานากว่า 20 ปี ตอนนี้ใจของทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันสักที


“ตงผิง ไม่ได้ ขอเวลาฉันอีกหน่อย รอเจอลูกชายก่อนค่อยว่ากันนะ!”


ขณะที่ร่างกายของทั้งคู่เข้าใกล้กันมากยิ่งขึ้น ซ่งเวยหลันรู้สึกทำอะไรไม่ถูก จึงผลักเยี่ยตงผิงออกไป และวิ่งกลับไปห้องนอนของตัวเองอย่างเร่งรีบ 20 ปีนี้ ซ่งเวยหลันปิดความรู้สึกของตัวเองมาตลอด แม้ว่าเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ แต่เธอก็ไม่สามารถปรับได้ในทันที


“เห้ ฉัน……ฉันเป็นสามีคุณนะ!”


มองดูแผ่นหลังจางๆ ของภรรยา เยี่นตงผิงรู้สึกเสียดายจึงตะโกนออกไป เขาพูดไม่ผิด ในตู้เซฟที่ซ่อนของสำคัญชิ้นเล็กหนึ่งชิ้นเอาไว้ ยังมีใบสำคัญการสมรสอีกหนึ่งใบที่มีขึ้นสมัยเกิดกองทัพ พอพูดขึ้นแล้ว เขาสองคนถือว่าเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย


“ไอ้เด็กนี่ ถ้าแกทำให้ฉันกับแม่แกคืนดีกันไม่ได้ คอยดูว่าฉันจะจัดการแกยังไง!”


เยี่ยตงผิงที่ไม่ได้ดั่งใจหวัง กลับนำอารมณ์ไปใส่ไว้บนตัวลูกชายแทน เพราะช่วงนี้ภรรยามักจะใช้ลูกชายเป็นเกาะกำบัง แต่นี่กลับทำให้เยี่ยตงผิงทำอะไรไม่ได้เลย


……-


“เมื่อกี้เสียงหัวเราะของแม่เหรอ? ฟัง……ฟังผิดหรือเปล่า?”


เยี่ยเทียนได้ยินประโยคสุดท้ายของพ่อเสร็จ ก็นิ่งไปทั้งตัว แม้แต่เสียงที่ดังจากไมค์ก็ไม่ได้ทำให้เขาสนใจมากกว่าเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเมื่อสักครู่


ถ้าเป็นไปอย่างที่เยี่ยตงผิงพูดจริงๆ ซ่งเวยหลันน่าจะกลับมาปักกิ่งช่วงก่อนปีใหม่ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่ได้เตรียมใจไว้ แม่ผู้หายไปจากที่บ้านกว่า 20 ปีจู่ๆ ก็กลับถึงบ้าน ในใจของเขาได้รับผลกระทบแค่ไหนก็คงรู้กันอยู่


“ศิษย์น้องเล็ก เป็นอะไร? ที่บ้านมีเรื่องอะไรรึเปล่า?”


โก่วซินเจียเห็นเยี่ยเทียนรับโทรศัพท์เสร็จมีอาการเหม่อลอยไม่มีสติเล็กน้อย พูดต่อว่า “ถ้ามีธุระ กลับไปก่อนก็ได้ ค่ายกลติดตั้งไม่เสร็จในวันสองวันนี้ ไม่ต้องทำให้เสร็จในทันทีหรอก แบบที่นายวาดก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด เดี๋ยวฉันช่วยดูให้!”


ด้วยความรู้เกี่ยวกับค่ายกลของโก่วซินเจีย เขาเข้าใจความคิดของเยี่ยเทียนตั้งแต่ที่เขาเริ่มพูดแนวคิดออกมาแล้ว ดังนั้นโก่วซินเจียสามารถดูแลเรื่องการสร้างเสาฮวงจุ้ยได้อย่างแน่นอน


“ศิษย์พี่ใหญ่ เกรงว่าต้องให้พี่ช่วยดูจริงๆ……” เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “มีพี่คอยดูให้ผมก็สบายใจ ส่วนการจัดการของบ้าน รอผมกลับมาค่อยว่ากันอีกทีครับ”


สิ่งที่เสาฮวงจุ้ยเปลี่ยนแปลงก็คือพลังชี่ของดินโดยรอบของคฤหาสน์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขภายนอกที่มีประโยชน์ต่อการสร้างค่ายกลรวมพลังวิญญาณ


แต่ค่ายกลรวมพลังนี้จะสำเร็จหรือไม่ ผลสัมฤทธิ์ในตอนท้ายจะเป็นอย่างไร สิ่งที่อยู่ภายในคฤหาสน์ก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่จุดย่อยต่างๆ เยี่ยเทียนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เขาจึงพูดได้เพียงเท่านี้และรอให้เขากลับจากปักกิ่งก่อนค่อยทำอีกที


“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ที่นี่มีศิษย์พี่ใหญ่ช่วยดูให้ ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย?”


จั่วเจียจวิ้นถามเพราะเขาไม่ค่อยรู้เรื่องค่ายกลเท่าโก่วซินเจีย ในส่วนของการประสานงานกับฝ่ายต่างๆดำเนินการเสร็จแล้ว ในภายหลังจะทำอะไรบ้างเขาคงไม่สามารถช่วยได้จริงๆ


สองคนที่อยู่ข้างหน้าเป็นเหมือนคนในครอบครัว เยี่ยเทียนไม่คิดจะปิดบัง พูดอย่างขมขื่นว่า “พี่รอง ไม่เป็นไรครับ เรื่องที่บ้าน คือ……คือว่าแม่กลับมาแล้ว!”


โก่วซินเจียได้ยินดังนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบที่ท้ายทอยของเยี่ยเทียน หัวเราะและด่าว่า “ไอ้เด็กนี่ ท้องสิบเดือนคลอดในวันเดียว พ่อแม่จะทำผิดแค่ไหน ก็เป็นคนคลอดนายออกมา มีอะไรต้องคิดอีก รีบกลับไปเถอะ!”


“ใช่ ใช่ ผมกำลังจะไปหาเหล่าถังและบินกลับทันที!”


เยี่ยเทียนก็ทำตัวชั่งน้ำหนักไม่ถูก รีบพยักหน้าและกำลังจะเดินออกไป จั่วเจียจวิ้นจับเอาไว้ “นายไม่ดูเลยเหรอว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว? เดี๋ยวฉันจองตั๋วเครื่องบินของพรุ่งนี้เช้าให้ นายไปตอนนี้ จะให้แม่พักผ่อนหรือเปล่า?”


“ครับ ศิษย์พี่จัดการให้ทีครับ ผม……ผมไปนอนแล้วก็ได้?”


เยี่ยเทียนทำอะไรไม่ถูก เขานึกว่าการฝึกฝนของเขาก็เก่งระดับนึงแล้วเหมือนกัน แต่พอเจอเรื่องนี้เข้า กลับทำอะไรไม่ถูกไปหมด อยากจะไปปักกิ่งไปเจอผู้หญิงที่ทั้งรักทั้งเกลียดมาเป็น 20 ปีซะเดี๋ยวนี้เลย


หลังจากกลับมาถึงห้องนอน คนที่ใช้การนั่งสมาธิแทนการนอนอย่างเยี่ยเทียน น้อยมากที่ไม่สามารถนิ่งได้ ในสมองเต็มไปด้วยคำว่าแม่เต็มไปหมด


……………


ตอนที่ 527 ได้พบกัน (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อาจารย์ ท่านไม่ได้บอกว่าจะกลับมาก่อนปีใหม่เหรอ? ที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรรีบด่วนนิ?”


ช่วงเช้าเวลา 8:00 น. ตอนที่เครื่องบินไฟล์ทแรกของวัน บินจากฮ่องกงถึงปักกิ่งลดระดับสู่พื้น แลนด์โรเวอร์ที่ขับโดยโจวเซี่ยวเทียนก็ได้จอดอยู่ด้านสนามบินเพื่อรอรับแล้ว


โจวเซี่ยวเทียนกับหูหงเต๋อกลับถึงปักกิ่งก่อนเยี่ยเทียนเสียอีก เพียงแต่ว่าเยี่ยตงผิงปิดข่าวได้ดีมาก เรื่องที่ภรรยากลับมาประเทศจีนมีเพียงพี่สาวน้องสาวไม่กี่คนที่รู้เท่านั้น


“เอาเถอะ ขับรถเถอะ”


เยี่ยเทียนนวดตรงหัวคิ้วในระหว่างที่นั่งพิงเบาะนั่ง การที่เขาไม่ได้หลับทั้งคืนก็ไม่น่าเป็นถึงขนาดนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของเยี่ยเทียนจึงรู้สึกตื่นเต้น แม้แต่สุขภาพจิตของเขาก็ยังดูเหนื่อย


พักผ่อนไปสักพักนึง เยี่ยเทียนเปิดตาและถามว่า “ว่าแต่ พวกอู่เฉิน นายจัดการเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”


ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้แล้วว่าทางญี่ปุ่นกำลังตรวจสอบเรื่องที่คิตะฮิเดโอะและคนอื่นๆหายตัวไป แต่เขามั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ที่เทือกเขาปีศาจ แม้คนญี่ปุ่นจะพบนายพลปอกาง ก็ทำได้แค่สงสัยว่าตนเป็นคนทำเท่านั้น แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ


สิ่งเดียวที่อาจทำให้เรื่องนี้หลุดออกไปก็คือพวกอู่เฉิน ถ้าหากฝั่งพม่ายอมให้ข้อมูลการเข้าเขตแดนของตอนนั้นไป มีความเป็นไปได้ที่จะหาพวกอู่เฉินเจอ


ดังนั้นเยี่ยเทียนเคยสั่งโจวเซี่ยวเทียนกับหูหงเต๋อเอาไว้ หลังจากเกิดเรื่องก็โทรศัพท์ไปหาชิวเหวินตง ให้ส่งพวกนั้นออกจากปักกิ่งไปก่อน อย่างน้อยให้เรื่องนี้ซาลงแล้วค่อยว่ากันใหม่


“อาจารย์ วางใจได้ พวกเขายังไม่ได้กลับมาปักกิ่งเลย ตรงไปที่ชางโจวศิษย์พี่เฟิงเหิงยวี่ที่นั่นเลย คนญี่ปุ่นหาไม่เจอหรอก”


โจวเซี่ยวเทียนขับรถไปหัวเราะไป “เมื่อวานผมเพิ่งไปที่นั่นมา ให้ทองคำแท่งพวกเขาไปคนละ1แท่ง แต่ว่าอาจารย์ 1ล้านนั่นจะให้พวกเขาเมื่อไหร่เหรอ?”


พูดตามตรง พวกอู่เฉินได้ยินว่าห้ามกลับปักกิ่ง ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในเทือกเขาปีศาจ สภาพเหตุการณ์ค่อนข้างใหญ่ เหมือนสงครามด้วยซ้ำ


บวกกับทองคำมหาศาลพวกนี้ ยิ่งทำให้พวกเขากลัว กลัวว่าจะถูกเยี่ยเทียนปิดปากและฆ่าทิ้ง เมื่อวาน ถ้าไม่ใช่เพราะโจวเซี่ยวเทียนนำทองคำไปส่งให้ ไม่แน่ คนใจเสาะพวกนี้น่าจะแอบหนีไปแล้ว


หลังจากได้ยินคำพูดของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนนิ่งไปครู่นึง พูดว่า “กลับไปเดี๋ยวฉันโอน10ล้านเขาบัญชีนาย วันนี้นายเอาไปให้พวกเขาเลยนะ ที่เกินออกมา 2 ล้าน นายเก็บไว้ใช้!”


เยี่ยเทียนรู้ว่า โจวเซี่ยวเทียนทำงานกับพ่อและอาเขยที่ร้านขายของเก่า ทำงานแบบรับเงินเดือนมาโดยตลอด ปกติประมาณ 1,000-2,000 หยวน แม้จะกินอิ่มอยู่สบาย แต่เงินก็ไม่ค่อยพอใช้


แม้โจวเซี่ยวเทียนจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แต่เยี่ยเทียนก็ใจแคบไม่ได้ คนอื่นยังให้1ล้าน ถ้าเป็นลูกศิษย์ก็ต้องมากกว่านิดหน่อย


โจวเซี่ยวเทียนที่กำลังขับรถอยู่ หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด สองมือก็สั่นอย่างบังคับไม่ได้ จึงรีบจับพวงมาลัยให้แน่น พูดว่า “อาจารย์ ผม……ผมไม่เอา ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แล้ว…..แล้วอีกอย่าง ผมจะเอาเงินมากมายเหล่านั้นไปทำอะไรล่ะ?”


ที่จริงเยี่ยตงผิงพูดไว้ตั้งนานแล้วว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้โจวเซี่ยวเทียน แต่คุณแม่โจวไม่เห็นด้วยมาตลอด ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่ค่อยมีเงิน ตอนวันเกิดของแม่ก็ซื้อเพียงตุ้มหูทองที่ถูกที่สุดหนึ่งคู่


“ให้เงินนายเอาไว้ใช้ไง…….”


เยี่ยเทียนชะงักไปครู่นึง พูดว่า “เซี่ยวเทียน เมื่อก่อน มีคนในฉีเหมินเดินผิดเพราะเงินทอง สุดท้ายก็มีไม่กี่คนที่รอดอยู่ เพราะฉะนั้นถ้านายไม่มีเงิน นายมาขอกับอาจารย์ อย่าไปทำเรื่องไม่ดีพวกนั้นเด็ดขาด!”


คนในฉีเหมินก็ต้องกินต้องใช้ บวกกับความสามารถที่มีอยู่ในตัว คนที่ความคิดไม่แน่วแน่ มักจะหลงผิดไปทำเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรม


ก็เหมือนกับ “เยี่ยนจื่อหลี่ซัน”โจรมีชื่อเสียงสมัยก่อนเปิดประเทศ เขาเป็นคนในยุทธภพฉีเหมิน แต่คนๆนี้ชอบผู้หญิง ชอบสูบฝิ่นเป็นที่สุด สุดท้ายก็ถูกคร่าชีวิตด้วยของสองสิ่งนี้


ตอนนี้หลี่ซันขโมยของของคนตำแหน่งสูงในพรรค ถูกล้อมอยู่ในหอนางโลม เดิมทีสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แต่ตอนที่กระโดดเข้าห้อง อาการอยากสูบฝิ่นก็กำเริบ สุดท้ายจึงถูกจับ


ตอนแรกเยี่ยเทียนก็ไม่รู้เรื่องนี้ มารู้ตอนที่พูดคุยกับศิษย์พี่ใหญ่


ในปีนั้นโก่วซินเจียมีความคิดที่จะปล่อยหลี่ซันไป เพื่อให้เขามารับใช้ตน แต่คิดไม่ถึงว่านายคนนี้จะติดฝิ่นและกระอักตายในคุก ไม่ได้เป็นไปตามตำนานี่เขาลือกันว่าถูกยิงตาย


แม้เยี่ยเทียนจะสังเกตเห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนเป็นคนซื่อตรง โจรกรรมสุสานในปีนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ทำก็ไม่ได้ แต่สุภาษิตได้กล่าวไว้ว่า เงินทองทำให้วีรบุรุษพ่ายแพ้ เมื่อไม่บีบรัดมากนัก ยังไงก็ไม่ใช้วิธีทางลัดอย่างคนเลวเหล่านั้น


“อาจารย์ งั้นรอผมไม่มีเงินก่อนแล้วผมค่อยขอละกันครับ ตอนนี้ไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลย”


โจวเซี่ยวเทียนส่ายหัว และไม่ตอบตกลงสักที เพราะเขาไม่รู้จะอธิบายเรื่องเงินก้อนนี้กับแม่อย่างไร ถ้าถึงตอนนั้นอาจจะโดนด่าและยังต้องเอาเงินคืนกลับไปอีก


“ให้นายเอาไว้ ก็เอาไว้เถอะ นายอยากคบกับติ้งติ้งเด็กสาวคนนั้นไม่ใช่เหรอ? จะทำตัวไม่มีเงินได้ยังไ?” เยี่ยเทียนมองโจวเซี่ยวเทียนและพูดต่อว่า “แม่นาย เดี๋ยวฉันไปพูดให้เอง แกไม่ด่านายหรอก”


พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงหลิ่วติ้งติ้ง โจวเซี่ยนเทียนหน้าแดงทันที แต่ไม่กล้าปฏิเสธอีก ตั้งแต่กลับมาจากพม่า เขาอยู่กับหลิ่นติ้งติ้งตลอดเวลา นอกจากการสัมผัสร่างกายจากการฝึกซ้อมการต่อสู้แล้ว ตอนนี้ก็เริ่มจับมือได้บ้างแล้ว


แต่ก็เหมือนกับที่เยี่ยเทียนพูดเอาไว้ โจวเซี่ยวเทียนไม่ยอมไปเดินเที่ยวกับหลิ่วติ้งติ้ง เพราะทุกครั้งที่ออกไปเที่ยวเด็กสาวคนนั้นจะซื้อเสื้อผ้าและสิ่งของมากมาย ในนั้นก็มีไม่น้อยที่เป็นของโจวเซี่ยวเทียนกับคุณแม่โจว


หลิ่วติ้งติ้งไม่เคยลำบากเรื่องเงินทองตั้งแต่เด็กๆ ซื้อเสื้ผ้าหนึ่งครั้งอย่างน้อยก็10,000ขึ้น ฉะนั้นทุกคนที่จ่ายเงิน โจวเซี่ยวเทียนจะรู้สึกไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน สายตาของพนักงานบริการเหล่านั้นที่เหมือนดั่งเข็มทิ่มแทงยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่


“ไป ฉันไปโอนเงินให้นายที่ธนาคาร” เห็นธนาคาร Bank of Chinaอยู่ข้างถนน เยี่ยเทียนให้หูหงเต๋อจอดรถ


แม้ว่าตอนนี้ภายในประเทศยังไม่มีมาตรการแขก VIP แต่ถ้าดูจากจำนวนเงินที่เยี่ยเทียนฝากไว้แล้ว ยังไงก็ไม่ต้องต่อแถว


จากการบริการจากผู้จัดการคนหนึ่ง บัตรATMทั้งหมด8ใบ ใบละ1ล้านก็ทำจนเสร็จ นอกจากนี้เยี่ยเทียนฝากเงินเข้าไปในบัญชีของโจวเซี่ยวเทียนเพิ่มอีก2ล้าน ตามที่เขาได้ให้คำสัญญาไว้


เดินจากธนาคารกลับไปถึงที่รถ เยี่ยเทียนมองดูโจวเซี่ยวเทียนที่ดีใจ พูดเตือนว่า “เงินที่ต้องใช้ ก็ใช้ซะ แต่ห้ามเล่นพนัน ห้ามเล่นยาเสพติดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจารย์จะไม่เกรงใจนะ?”


“อาจารย์ วางใจได้ครับ ผมไม่ได้ชอบพวกนั้น!” โจวเซี่ยนเทียนเริ่มออกรถ พยักหน้าอย่างหนักแน่น และจำคำของเยี่ยเทียนไว้ในใจ


ทั้งคู่พูดคุยกันตลอดทาง ระยะทางห่างจากบ้านไม่ไกลมากแล้ว ตอนที่ผ่านทางถนนหนึ่งอัน โจวเซี่ยวเทียนชินกับการเลี้ยวไปทางขวา เยี่ยเทียนตะโกน “เห้ อย่าเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้ายสิ!”


“อาจารย์ พวกเรากลับไปที่บ้านไม่ใช่เหรอ?” รถได้เลี้ยวเข้าไปแล้ว โจวเซี่ยวเทียนรีบมุนพวงมาลัยและจอดรถไว้ข้างทาง


“ฉัน……ฉันพูดเหรอว่ากลับบ้าน?”


เยี่ยเทียนเห็นว่าจะกลับรถก็ไม่ได้ สะบัดพูดว่า “กลับเถอะ กลับไปเอาของที่บ้านฉันก่อน บอกคุณป้าเขาว่าฉันจะกลับดึกหน่อย!”


แม้ว่าซ่งเวยหลันจะกลับมาถึงปักกิ่งแล้ว แต่เธอกลับไม่ไปอยู่กับพ่อ และไม่ได้พักที่บ้านของเยี่ยตงผิง แต่พักที่โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างเรือนสี่ประสานของพ่อกับเยี่ยตงผิง


ตอนแรกเยี่ยเทียนอยากตรงไปหาแม่ แต่พอโจวเซี่ยวเทียนไปผิดทางเขารู้สึกไม่กล้าขึ้นมาเล็กน้อย บวกกับสองมือที่ว่างเปล่า ดังนั้นจึงตัดสินใจกลับไปบ้านเก่าก่อน


“เยี่ยเทียน ทำไมกลับมาแล้วล่ะ?” พอเดินเข้าบ้าน ก็พบหูหงเต๋อที่กำลังฝึกลมปราณอยู่ในกลางเรือน


โก่วซินเจียถ่ายทอดพลังภายในให้กับหูหงเต๋อ ผสานกับพลังชี่ฟ้าดินที่หนาแน่นในเรือนแห่งนี้ ทำให้อาการป่วยที่ได้มาจากการฝึกกำลังเมื่อหลายปีก่อน เริ่มทุเลาลงไปได้7-8ส่วนแล้ว หูเสี่ยวเซียนเคยโทรศัพท์ตามคุณตากลับบ้านอยู่หลายครั้ง แต่หูหงเต๋อก็อดใจไม่ได้ที่จะจากที่นี่ไป


หลังจากเก็บมัดมวยเสร็จ หูหงเต๋อก็พูดกับเยี่ยเทียนตามหลังว่า “เยี่ยเทียน ฉันว่านายหน้าแดงเต็มหน้า หรือว่ามีเรื่องดีๆเกิดขึ้น?”


“เหล่าหู ความสามารถแค่นี้ของนาย ยังกล้าโชว์ต่อหน้าฉันอีกเหรอ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ ใบหน้าของเยี่ยเทียนจะยิ้มก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่ใช่ หลายวันมานี้เขาพักผ่อนไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ แม้กระทั่งการฝึกช่วงเช้ายังหยุดไปถึงหนึ่งวัน จะหน้าแดงเต็มอิ่มได้ยังไงกัน?


“ตามฉันทำไม?”


เยี่ยเทียนจ้องหูหงเต๋อและพูดว่า “นายกับเซี่ยวเทียนขับรถไปชางโจวหน่อย ไปเตือนพวกนั้นให้อยู่ที่ชางโจวสักครึ่งปีอย่ากลับมาที่ปักกิ่ง!”


หูหงเต๋อพยักหน้า พูดว่า “สบายใจได้ ไอ้พวกนั้นไม่กล้าพูดอะไรออกไปหรอก ส่วนฝั่งชิวเหวินตงผมไปบอกไว้แล้ว”


“แล้วยังตามฉันอยู่ทำไม?” เยี่ยเทียนหันกลับไปจ้องอีกครั้ง มองจนหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนออกไปจาเรือน


หลังจากกลับถึงห้องด้านข้างของด้านหลังเรือน เยี่ยเทียนขยับตู้หนังสือออก และหยิบของสิ่งนึงที่ห่อด้วยผ้าสีแดงจากตู้เซฟซึ่งวางอยู่ข้างหลังออกมา หลังจากเปิดออก ด้านในมีกำไลสีเขียวหยกหยดน้ำสวยงามสองอัน


นี่คือวัสดุหยกสีเขียวราชาชิ้นนั้นที่เยี่ยเทียนได้มาจากพนันหินที่ฮ่องกงและทำกำไลนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ หลังจากวางโชว์ไว้ที่ร้านกว่าครึ่งปี ก็ถูกเขาเอากลับมาไว้ที่บ้าน แม้แต่อวี๋ชิงหย่าก็ไม่เคยเห็น


ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนใจแคบหรอก แต่เขาอยากเซอร์ไพร์สอวี๋ชิงหย่าตอนที่แต่งงาน แต่ตอนนี้แม่มาหา เยี่ยเทียนคิดว่าจะนำหยกหนึ่งข้างมอบให้แก่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเขา


ยังดีที่เครื่องประดับกำไลไม่เหมือนพวกตุ้มหู สามารถให้แค่ข้างเดียวได้ ยังมีกำไลหยกแดงที่จั่วเจียจวิ้นกำลังทำอยู่อีกหลายชิ้น ฉะนั้นของที่เยี่ยเทียนสามารถเอาออกมาได้มีอีกหลายชิ้น


หลังจากเก็บกำไลหยกสีเขียวราชาเสร็จ เยี่ยเทียนครุ่นคิดไปครู่นึง ก็หยิบสิ่งของรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกห่อด้วยกระดาษดีบุกออกมาจากตู้เย็นในห้องนอน และนำมันใส่ในกระเป๋าออกจากเรือนไป โดยเรียกรถไปยังโรงแรม


……………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)