ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 519-542

 ตอนที่ 519 เปิดโปงอู่เยวี่ย


อู่เหมยหันไปมองยังห้องที่อู่เยวี่ยแอบซ่อนตัวอยู่ สีหน้าเย็นชามากกว่าครั้งไหน และเธอได้หันไปมองยังโต๊ะอาหารที่มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ ทั้งหมดเป็นอาหารเช้าหลากหลายอย่างฝีมือคุณย่าอู่ที่ได้ทำเอาไว้ แต่อาหารบนโต๊ะกลับไม่มีการถูกแตะต้องหรือขยับเลยสักนิด เปลี่ยนไปเป็นเย็นชืดจนแข็งหมดแล้ว


ตอนเช้าที่คุณย่าอู่ได้รับบาดเจ็บ คนในครอบครัวต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกินข้าวเช้า ตี๋ชิวเยวี่ยหากินจากข้างนอก อู่เจิ้งซือและอู่เจิ้งต้าวก็หากินพร้อมกันที่โรงพยาบาล ถือเป็นมื้อเที่ยงไปโดยปริยาย และทางอู่เจิ้งหงก็กินพวกเกี๊ยวเข้าไปไม่กี่คำ สำหรับมื้อเที่ยงนั้น แม้แต่คนทำกับข้าวยังได้ล้มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว ทำให้คนในตระกูลต้องออกไปกินที่ร้านอาหาร พอทานเสร็จถึงได้ไปที่โรงละครต่อ


เพราะแบบนี้เลยทำให้อาหารบนโต๊ะมีลักษณะเดียวกันกับช่วงเช้าก่อนจากออกบ้าน อู่เหมยไม่ได้สนใจอะไรคุณย่าเลย เธอเลือกที่จะเดินตรงไปยังโต๊ะอาหาร พบกับนมแก้วหนึ่งที่อู่เยวี่ยเป็นคนส่งให้เธอในตอนเช้า ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่แค่แก้วเปล่า


แต่ยังโชคดีที่แก้วใบนั้นยังไม่ถูกล้าง อู่เหมยรู้สึกใจชื้น อู่เยวี่ยยังถือว่าอ่อนประสบการณ์นัก ทำเรื่องเลวๆ ครั้งแรกแต่กลับลืมที่จะทำลายหลักฐานเสียได้


ทุกคนต่างมองอู่เหมยด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังจะทำอะไร แต่ตี๋ชิวเยวี่ยกลับเข้าใจดี เธอจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ไม่มีเสียง


อู่เยวี่ยที่หลบอยู่ในห้องรู้ดีว่าอู่เหมยต้องการจะทำอะไร ในใจร้อนรุ่มดั่งไฟสุม ทำไมเธอถึงได้นึกไม่ถึงที่จะต้องใช้น้ำล้างทิ้งไปนะ?


ในเวลานี้เธอไม่สามารถทำอะไรได้ หากว่าเธอพุ่งตัวออกไปในตอนนี้ ก็ถือว่าเธอยอมรับว่าเธอทำผิดนะสิ?


ยายโง่เขลานั่น ทำไมถึงได้ฉลาดขึ้นมาในชั่วพริบตาล่ะ?


แก้วนมใบนั้นยังคงมีคราบบางอย่างหลงเหลืออยู่ อู่เหมยหยิบแก้วใบนั้นขึ้นมา จากนั้นได้เติมน้ำลงไปเล็กน้อย เธอเดินไปยืนอยู่ตรงหน้ากรงนกฮวยบี๊ที่คุณปู่อู่เลี้ยงเอาไว้ นกตัวนี้เป็นนกที่เด็กนักเรียนของคุณปู่ให้มา เสียงร้องของมันไพเราะมาก คุณปู่มักจะเห็นมันเป็นดั่งของรักของหวง ทุกๆ วันจะคอยดูแลมันด้วยตัวเขาเอง


อู่เหมยเทน้ำในแก้วที่ผสมเข้ากับนมลงในอ่าง นกฮวยบี๊ได้ส่งเสียงร้องขึ้น จากนั้นมันได้กระโดดลงไปข้างอ่างน้ำเพื่อกินนมที่อยู่ในนั้น มันคงคิดว่าเป็นรสชาติที่ใช้ได้ทีเดียว จึงได้เข้าต่อไปหลายอึก จนกระทั่งกินนมที่อู่เหมยป้อนให้จนหมด


อู่เหมยหันกลับมาแล้วพูดกับทุกคนว่า “พวกคุณคิดว่านกตัวนี้จะเป็นยังไง?”


ในใจของคุณปู่อู่รู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ แต่เขาก็พยายามปลอบใจตัวเอง ก็แค่นมเท่านั้นเอง แต่ก่อนเขาก็มักจะเอานมป้อนมันอยู่บ่อยๆ ต้องไม่มีอะไรแน่นอน


ยายแสบอู่เหมยช่างกล้าสร้างเรื่องหลอกลวงนัก แผนการมากโขเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาประเมินหลานสาวคนนี้ต่ำไปจริงๆ!


“สิ่งที่หนูป้อนให้นกไปคือนม และนมแก้วนั้นอู่เยวี่ยเป็นคนให้หนูในตอนเช้า แต่หนูไม่กล้าดื่ม กลัวว่าในแก้วนี้จะไม่ได้มีแค่นม แต่อาจจะใส่ของดีบางอย่างลงไปด้วย แต่ข้างในนี้จะมีของดีอะไร เชื่อว่าอีกไม่นานทุกคนก็จะได้รู้คำตอบค่ะ!”


อู่เหมยยังพูดได้ไม่ทันขาดคำ นกที่อยู่ในกรงก็ส่งเสียงร้องขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงร้องไม่ได้ไพเราะเสนาะหูเหมือนอย่างเคย แต่กลับแหลมสูงราวกับสามารถบาดแก้วหูได้ สีหน้าของทุกคนจึงเปลี่ยนไป และมองไปยังกรงนกด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อ


นกฮวยบี๊ส่งเสียงร้องออกมาไม่กี่ครั้ง ก็ล้มลงนอนราบไป ส่วนปลายขนที่งดงามนั้นแปดเปื้อนไปด้วยสีเหลืองปนขาวเป็นของที่มีลักษณะเดียวกับขี้นก กระจัดกระจายไปทั่ว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นอาการท้องร่วง


ในเวลานี้มีหรือที่ทุกคนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?


แก้วนมใบนั้นจะต้องใส่ยาถ่ายลงไปไม่น้อยแน่ หากว่าอู่เหมยดื่มมันเข้าไปจริง การแสดงในตอนบ่ายคงได้พังลงอย่างไม่เป็นท่า!


เด็กผู้หญิงอย่างอู่เยวี่ยช่างมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริง!


จ้าวอิงหนานพูดเยาะเย้ยขึ้น “สาดตะปูในวันปีใหม่ ตอนนี้วางยาถ่าย ครอบครัวนักวิชาการอย่างตระกูลอู่นี่มักทำอะไรให้ฉันได้เปิดโลกกว้างเสมอเลยนะ!”


สีหน้าของทุกคนในตระกูลได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง คำพูดของจ้าวอิงหนานยังโหดร้ายเสียยิ่งกว่าการใช้มีดแทงคนอื่น ใบหน้าเหี่ยวแห้งของคุณปู่อู่แดงก่ำขึ้นมา เขานึกอยากจะหาช่องว่างให้เอาหน้ามุดแล้วหนีไปเสีย


อู่เหมยพูดขึ้นอีกครั้ง “อู่เยวี่ยตั้งใจจะทำร้ายหนู แต่ไม่ได้ทำแค่นี้ น้ำแข็งหน้าประตูที่มีอยู่หน้าบ้านในตอนเช้านั้นก็เป็นฝีมือของอู่เยวี่ย แต่น่าเสียดายที่คุณย่าต้องมาบาดเจ็บแทนหนูเสียได้!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 520 พวกคุณสกปรกเสียยิ่งกว่าตงฟู่


แน่นอนว่าคนอย่างคุณย่าอู่ไม่มีทางเชื่อ เธอบอกเพียงแค่อู่เหมยคิดจะจัดการอู่เยวี่ยก่อน ความรู้สึกนึกคิดที่อยากจะปกป้องอู่เยวี่ยที่คุณย่าอู่มีนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าเหอปี้อวิ๋นเลย เธอไม่ได้สนใจความเจ็บปวดใดๆ บนร่างกายตัวเอง เอาแต่ชี้หน้าด่าอู่เหมย


อู่เหมยยิ้มเยาะส่งให้ ในใจเธอไม่มีแม้แต่ความรู้สึก แต่ไหนแต่ไรทุกครั้งเธอถูกดุด่า ไม่ว่าจะเป็นเหอปี้อวิ๋นหรือคุณย่า ต่อให้เธอเลือกที่จะไม่ใส่ใจมากแค่ไหน แต่แล้วความรู้สึกในใจเธอกลับเหมือนได้รับบาดเจ็บ


แต่ในวันนี้เธอไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เธอนิ่งราวกับสายลมที่สงบลง!


อู่เหมยหันไปมองคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเธออย่างพวกเจ้าอิงหัว ความอบอุ่นในใจประดังขึ้นมา และนั่นยิ่งทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น!


นับจากนี้ต่อไปเธอจะไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว เธอก็จะเป็นเหมือนกับอู่เยวี่ย ที่คอยมีแต่คนรักใคร่ห่วงใยโดยไม่มีเหตุผลหรือข้อแม้ใดๆ!


“พวกคุณคิดดีๆ ก็แล้วกัน หลายวันมานี้ฝนไม่ตกเลย แล้วน้ำที่ขังอยู่หน้าบ้านจะมาได้ยังไง? มันชัดเจนมากว่าน้ำแข็งพวกนั้นต้องมีคนเอาน้ำมาสาดทิ้งไว้ในช่วงดึกดื่นค่อนคืน มีใครที่จะกล้าทำเรื่องตลกแบบนี้ได้อีก? นอกเสียจากอู่เยวี่ย ทั้งบ้านมีแค่เธอคนเดียวที่อยากให้ฉันลื่นล้มขาหัก แล้วไม่สามารถขึ้นแสดงบนเวทีงานปีใหม่ได้ หากว่าพวกคุณไม่เชื่อ ก็เรียกอู่เยวี่ยออกมาถามให้รู้ความเลยสิคะ!”


อู่เหมยตะโกนเสียงดังแล้วชี้ไปยังห้องที่อู่เยวี่ยแอบซ่อนตัวอยู่ สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชาเคร่งขรึม


สยงมู่มู่ที่ร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก ได้ออกแรงเช็ดน้ำตาเข้าที่เสื้อคลุมของพ่อสยงอย่างลวกๆ และได้ตะโกนเสียงดัง “ยัยโรคจิตอู่เยวี่ยต้องเป็นคนทำแน่ๆ ขนาดฆ่าคนเธอยังกล้าทำเลย แล้วเรื่องเลวทรามต่ำช้าแค่นี้ทำไมเธอถึงจะไม่กล้าทำล่ะ? เหมยเหมยเธอรีบกลับบ้านไปกับฉันเถอะ อย่าทนอยู่ในบ้านที่มีแต่ความวุ่นวายอีกเลย สกปรกเสียยิ่งกว่าตงฟู่!”


เมื่อถูกเด็กตัวเล็กๆ ด่าต่อหน้าต่อตา เป็นธรรมดาที่คนในตระกูลอู่จะทนไม่ได้ แต่พวกเขายังไม่มีจังหวะที่จะเอาคืนสยงมู่มู่ พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ หากต้องไปถกเถียงกับเด็กเล็กๆ คงจะถือเป็นการลดเกียรติและฐานะตัวเองลง!


อู่เชาเดินเข้าไปหาแล้วออกแรงผลักเอวสยงมู่มู่ ด่าออกไปด้วยความไม่พอใจ “นายพูดถึงอู่เยวี่ยแล้วทำไมต้องลากครอบครัวฉันเข้าไปเกี่ยวด้วย? ยังเห็นว่าเราเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม?”


สยงมู่มู่ลูบหน้าผากตัวเอง แล้วแสร้งโบกมืออย่างเมตตาเห็นใจ “งั้นถือว่านายเป็นรูปปั้นสิงโตสองตัวที่ยืนอยู่หน้าตงฟู่[1]แล้วกัน!”


อู่เชาทำปากตึงราบอย่างนึกขัดใจ เขาไม่ค่อยจะพึงพอใจกับคำตอบของสยงมู่มู่นัก ในใจรู้สึกแปลกๆ กับบางอย่าง แต่ผ่านไปได้พักใหญ่ก็ยังคิดไม่ออก


เหอปี้อวิ๋นที่ถูกจ้าวอิงหนานตบไปจนแทบสลบ ทำให้เธอเกิดอาการมึนงง คำพูดของเหยียนซินหย่าและคนอื่นๆ ไม่ได้ทำให้เธอมีสติขึ้นมาได้เลย จากเดิมที่การประมวลผลของสมองไม่ได้ดีนัก ในเวลานี้สมองกลับยิ่งทื่อราวผงแป้งแช่แข็ง เธอได้ยินเพียงแค่เสียงของคนรอบข้างที่ดังขึ้นไม่หยุด แม้จะฟังได้ชัดเจนทุกคำพูด แต่เธอกลับไม่สามารถนำคำพูดเหล่านั้นมาเรียบเรียงเป็นประโยคได้ และยิ่งไม่เข้าใจว่าคำพูดพวกนั้นหมายถึงอะไร


แต่ยังได้ยินคำพูดบางคำที่เป็นใจความสำคัญ


อู่เหมยไม่ใช่ลูกสาวของเธอ แต่เป็นลูกสาวของเหยียนซินหย่า!


ผ่านไปพักใหญ่ เธอถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เธอมองไปยังอู่เจิ้งซือด้วยความสงสัย แต่กลับเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้างุด ราวกับการกระทำที่แสดงออกถึงการขอโทษและรู้สึกผิดต่อเหยียนซินหย่า


ลางสังหรณ์ของผู้หญิงมักถูกต้องเสมอ นั่นจึงเป็นเหตุให้เธอเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เธอเข้าใจดีแล้วในตอนนี้ ว่าทำไมตั้งแต่อู่เหมยเล็กๆ เธอถึงได้ไม่ถูกชะตานัก


ไม่ใช่เพราะอู่เหมยมีรูปร่างหน้าคล้ายเหยียนซินหย่า!


แต่เป็นเพราะแท้จริงแล้วเธอเป็นลูกสาวของเหยียนซินหย่า!


จึงไม่แปลกเลยที่เธอเห็นหน้ายายเด็กบ้านี่ทีไรก็จะโมโหทุกครั้ง ต่อให้ฝืนตัวเองแค่ไหนก็ไม่สามารถชอบเธอได้เลย ที่แท้อู่เหมยก็ไม่ใช่ลูกของเธอ แล้วเธอจะชอบไปเพื่ออะไร?


แต่ลูกของเธอล่ะ?


ลูกของเธอไปอยู่ที่ไหน?


เหอปี้อวิ๋นเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาอู่เจิ้งซือ จับตัวเขาไว้แล้วถามขึ้นอย่างร้อนใจ “อู่เจิ้งซือ แล้วลูกของฉันล่ะ? ลูกที่คลอดออกมาคุณเอาไปไว้ไหน?”


…………………………………………………………………………………………..


[1] ตงฟู่คือเมืองถงโจวในปัจจุบัน เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความวุ่นวาย


ตอนที่ 521 ความจริงได้เปิดเผยกระจ่างชัด


ทุกคนพากันมองไปทางอู่เจิ้งซือเป็นตาเดียว พวกเขาต่างสงสัยในคำถามเดียวกัน หากว่าอู่เจิ้งซือขโมยลูกของเหยียนซินหย่าไปจริงๆ แล้วลูกของเหอปี้อวิ๋นไปอยู่ที่ไหน?


อู่เจิ้งซือถูกเหอปี้อวิ๋นเขย่าจนเกิดอาการเวียนหัว เขาไม่กล้ามองหน้าเหอปี้อวิ๋น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเหอปี้อวิ๋น แต่ที่เขาทำไปในปีนั้นเพื่อให้เป็นผลดีต่อเหอปี้อวิ๋น เขากลัวว่าเธอจะรับไม่ไหวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และในช่วงนั้นความสัมพันธ์ของเขาและเหอปี้อวิ๋นก็ดีเอามากๆ


“อู่เจิ้งซือ คุณบอกฉันมาสิว่าลูกของเราไปอยู่ที่ไหน? เขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? คุณรีบพูดออกมาสิ!”


รออยู่นานสองนานก็ไม่ได้คำตอบจากปากของอู่เจิ้งซือ ใจของเหอปี้อวิ๋นแทบแตกสลาย


ในใจเธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก แต่เธอก็ไม่พร้อมที่จะคิดอะไรต่อ เธอเข้าใจแค่ว่าตัวเองคิดผิดไป


อู่เจิ้งซือกล้าตอบเสียที่ไหน หากว่าเขาตอบเหอปี้อวิ๋นออกไป นั่นก็เท่ากับว่าเขายอมรับว่าตัวเขาเองได้ทำเรื่องเลวร้ายลงไป แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางยอมรับ อู่เจิ้งซือเข้าใจมาตลอดว่า หากเขากัดความจริงไว้แน่นโดยไม่ปริปากพูดออกไป เรื่องทุกอย่างก็จะผ่านไปเอง!


และเขาจะยังเป็นครูดีเด่นประจำมณฑลที่ทุกคนต่างอิจฉาและเคารพนับถือ อู่เหมยก็ยังคงเป็นลูกสาวของเขา เกียรติยศทุกอย่างก็จะยังคงกลายเป็นของเขา!


จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น!


เหอปี้อวิ๋นเขย่าตัวอู่เจิ้งซือไม่หยุด ท่าทีราวกับหญิงเสียสติ แต่อู่เจิ้งซือกลับไม่ยอมปริปากส่งเสียงพูดแต่อย่างใด แม้ว่าจะเห็นเธอเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว


เหยียนซินหย่ามองไปยังเหอปี้อวิ๋นด้วยสายตาเคียดแค้นและเวทนา เธอไม่รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้เลยสักนิด แต่ขณะเดียวกัน เธอก็มองอู่เจิ้งซือได้อย่างเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม ดูท่าแล้วต้นเหตุเรื่องการขโมยลูกของเธอไปจะเป็นอู่เจิ้งซือคนเดียวที่รู้ เหอปี้อวิ๋นเองก็ถูกหลอกมาเป็นเวลานาน


“เด็กที่เธอคลอดออกมาก็เป็นเด็กผู้หญิง เพียงแต่คลอดออกมาก็ตายไป อู่เจิ้งซือนำลูกของเธอที่ตายไปแล้วมาสับเปลี่ยนกับเหมยเหมย เถ้ากระดูกของลูกสาวเธอ ฉันเป็นคนฝังลงหลุมไปเองกับมือ อยู่ในสุสานสาธารณะบนภูเขาหนาน”


เหยียนซินหย่าพูดออกมาอย่างเย็นชา ในตอนนี้เธอสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปีนั้นได้แล้ว เธอและเหอปี้อวิ๋นน่าจะคลอดลูกในวันเดียวกัน เธอคลอดเหมยเหมยออกมา ส่วนเด็กที่เหอปี้อวิ๋นคลอดออกมาได้ตายไปแล้ว อู่เจิ้งซือจึงได้ทำการสับเปลี่ยนเด็กที่ตายคนนั้น แล้วเอาตัวเหมยเหมยของเธอไป


อู่เจิ้งซือร่างกายสั่นเทิ้ม สิ่งที่เหยียนซินหย่าพูดมาถูกต้องทุกอย่าง เรื่องราวในปีนั้นเป็นเช่นนี้ ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงปล่อยให้ความชั่วเข้าครอบงำได้?


แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทำมันลงไปแล้ว ถ้าจะทำผิดก็ต้องผิดให้ถึงที่สุด เพราะฉะนั้นเขาห้ามยอมรับออกมาเด็ดขาด!


“เรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น เหมยเหมยเป็นลูกของผม เหยียนซินหย่าเธอพูดอะไรไร้สาระ!”


อู่เจิ้งซือพูดขึ้นอย่างเด็ดขาด แต่เหอปี้อวิ๋นกลับไม่เชื่อเขาแม้แต่น้อย เธอเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง ยายเด็กบ้าอู่เหมยต้องไม่ใช่ลูกของเธอแน่นอน!


เธอจ้องหน้าอู่เจิ้งซือแล้วตวาดขึ้น ”เด็กที่ฉันคลอดออกมาตายแล้วเหรอ? เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? รีบตอบฉันมาสิ ตอบมา!”


เหอปี้อวิ๋นแทบจะกลายเป็นบ้า ลูกสาวที่เธอเลี้ยงมาตลอดสิบสองปีกลับเป็นลูกของคนอื่น อีกทั้งยังเป็นลูกของศัตรูหัวใจเธอ!


และแน่นอนว่าเธอไม่ได้สนใจว่าอู่เหมยเป็นลูกของใครกันแน่ แต่เธอเพียงแค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เหยียนซินหย่าพูดเป็นความจริงหรือไม่!


จ้าวอิงหนานพูดเยาะเย้ย “เหอปี้อวิ๋น เธอนี่ช่างโง่เขลาเสียจริง เมื่อสิบสองปีก่อนเธอคลอดลูกที่โรงพยาบาล เกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอแค่ถามจากหมอประจำตัวที่ทำคลอดให้เธอก็รู้ได้ชัดเจนแล้วนี่ อู่เจิ้งซือนายไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ฉันจะให้ทางตำรวจเข้ามาสืบหาเรื่องที่เกิดขึ้นเอง รับรองว่าเรื่องราวทุกอย่างจะกระจ่างแน่นอน”


จ้าวอิงหัวพูดเสริม “และยังมีหมอตำแยคนนั้น เธอจะต้องรู้ความจริงทุกอย่าง อู่เจิ้งซือ สวรรค์มักให้ความยุติธรรมเสมอ คนทำผิดมักได้รับการลงโทษที่สาสม ฉันจะไม่ปล่อยนายไว้แน่!”


อู่เจิ้งซือหน้าซีดขึ้นอย่างฉับพลัน ร่างกายเอาแต่สั่นเทิ้มไม่หยุด แม่แต่ยืนก็ยังยืนได้ไม่มั่นคง!


หากว่าทางตำรวจเข้ามาสืบ จะต้องหาความจริงที่เกิดขึ้นในปีนั้นได้แน่ แล้วเขาจะยังปิดบังต่อไปได้อย่างไร?


ไม่มีใครที่เข้าอกเข้าใจลูกได้ดีเท่ากับคนเป็นพ่อแล้ว แค่เห็นลักษณะท่าทีของอู่เจิ้งซือ คุณปู่อู่จะไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งโกรธเกลียดเคียดแค้น เด็กอย่างอู่เหมยพวกเขาจะเก็บไว้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 522 จากไป


จ้าวอิงหัวไม่อยากเสียเวลากับคนในตระกูลอู่อีกต่อไป แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ภายในประเทศยังไม่มีวิธีการตรวจทางพันธุกรรม ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินเพื่อนพูดว่าที่อเมริกามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เรียกการตรวจทางพันธุกรรมนี้ว่า การตรวจดีเอ็นเอ หากจะหาว่าคนนี้เป็นลูกแท้ๆ หรือไม่ แค่ไปเจาะเลือดตรวจที่โรงพยาบาลก็สามารถรู้ผลได้


แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะร่องรอยและหลักฐานที่อู่เจิ้งซือทิ้งไว้ในปีนั้นมีอยู่มาก เพียงแค่เข้าไปสืบหาจะต้องเจอความจริงแน่ เขาไม่มีทางปล่อยอู่เจิ้งซือไว้แน่นอน!


ไหนจะเหอปี้อวิ๋นอีก แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่รับรู้อะไรด้วย แต่หล่อนทารุณกรรมลูกสาวของเขา ทำให้เหมยเหมยต้องเจ็บปวดทรมาน เขาจะปล่อยเหอปี้อวิ๋นไว้ได้อย่างไร?


และยังมีอู่เยวี่ย สมแล้วที่เด็กคนนี้จะเป็นลูกสาวของทั้งเหอปี้อวิ๋นและอู่เจิ้งซือ รวบรวมความเห็นแก่ตัว เลือดเย็น และชั่วช้าไว้ในตัวเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาจะไม่ยอมปล่อยไว้เช่นกัน!


คนอย่างจ้าวอิงหัวไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ!


“เหมยเหมย กลับไปกับพ่อแม่ดีไหม? เรากลับบ้านของเรากัน บ้านที่ไม่มีใครกล้ารังแกลูก!” จ้าวอิงหัวก้มหน้ามองอู่เหมย ในสายตามีแต่ความอบอุ่น


เหยียนซินหย่าเองก็มองอู่เหมยอย่างมีหวัง ร่างกายเธอเริ่มสั่นเทา กลัวว่าลูกสาวจะพูดปฏิเสธออกมา


ดวงตาอู่เหมยเบิกกว้างและจดจ้องไปยังพ่อแม่ตัวจริงของเธอ ราวกับเวลาได้หยุดหมุนไปชั่วขณะ ทุกคนต่างจ้องมองมายังเธอด้วยความรู้สึกสงสาร เพื่อรอฟังคำตอบของเธอ


เนิ่นนานมาก


นานมากกว่าอู่เหมยจะพยักหน้าเบาๆ พร้อมตอบกลับเสียงเบา “ค่ะ!”


เหยียนซินหย่าน้ำตาไหลลงอาบสองแก้ม นั่นเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ลูกสาวยอมรับเธอแล้ว


จ้าวอิงหัวเองก็มีน้ำตาซึมเล็กน้อย เขาถอดถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการกลับมาเมืองจินครั้งนี้ เขาจะได้รับการเซอร์ไพรส์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ขอบคุณสวรรค์!


จ้าวอิงหนานพูดขึ้นอย่างดีใจ “เรากลับกันตอนนี้เลย มื้อเย็นนี้ฉันเป็นคนเลี้ยงเอง ภัตตาคารจุ้ยเซียน!”


เหยียนซินหย่ายื่นมือออกไปดึงอู่เหมย เธออยากจะอยู่ใกล้กับลูกสาวให้มากกว่านี้ แต่ในจิตใต้สำนึกกลับทำให้เธอถอยห่าง นั่นเป็นเพราะสัญชาตญาณ การได้รับบาดแผลมาทั้งสองภพชาติ ทำให้เธอเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึก และเป็นปกติที่ร่างกายจะปฏิเสธต่อคนแปลกหน้า ไม่ได้เกี่ยวกับความชอบหรือความกลัว!


อู่เหมยมองเหยียนซินหย่าอย่างอึดอัด เธออยากจะบอกออกไปว่าเธอไม่ได้รังเกียจ แต่พออ้าปากได้ไม่ถึงครึ่งกลับพูดไม่ออก ราวกับคำพูดทุกอย่างถูกกักไว้ถึงแค่ส่วนคอ


เหยียนซินหย่ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน เธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด เวลาผ่านมาแล้วสิบสองปี จะให้ย่นเหลือแค่ระยะสั้นๆ ได้ง่ายๆ เหรอ?


ขอแค่เหมยเหมยยอมรับเธอก็เพียงพอแล้ว เพราะเธอมั่นใจว่าจะสามารถแก้ปมที่ฝังลึกอยู่ในใจของอู่เหมยออกได้ เธอต้องทำได้!


สยงมู่มู่ออกแรงดึงอู่เหมย และแอบกระซิบที่ข้างหูเธอ “จากนี้ไปเธอจะต้องเรียกฉันว่าพี่ เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันโดยฉันมีศักดิ์เป็นพี่ชายเธอ ถึงเธอไม่ยอมเรียกก็ไม่อาจขัดต่อกฎของสวรรค์ได้!”


พอได้อยู่เคียงข้างกับสยงมู่มู่ เธอถึงรู้สึกได้ถึงความเป็นตัวของตัวเอง ความร่าเริงสดใสของเธอจึงกลับมาเป็นปกติ เธอหันมองสยงมู่มู่ด้วยความระอาและทำหน้ายักษ์ส่งให้เขา


เธอไม่ยอมเรียกเด็กกะโปโลอย่างเขาว่าพี่หรอก!


จ้าวอิงหัวหันกลับไปพูดกับคนในตระกูลอู่ “เรื่องนี้ยังไม่จบหรอก บัญชีนี้ฉันจะค่อยๆ คิดทีละต้นทีละดอกให้ครบทุกเม็ด!”


พูดจบเขาก็หันกลับไปโอบภรรยาสาวเพื่อพาเดินออกไป อู่เหมยอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองแค่แวบเดียว ไม่ใช่เพราะความอาลัยอาวรณ์ แต่มองเพียงแค่แวบเดียว


จนถึงตอนนี้เธอยังไม่กล้าที่จะเชื่อเลยว่า ความฝันที่ติดอยู่ในใจของเธอมาตลอด จะกลายเป็นจริงได้ในวันนี้ มันคล้ายกับความฝันเสียเหลือเกิน!


คนในตระกูลอู่มองอู่เหมยด้วยสายตาที่สับสนและยากจะคาดเดา พวกเขาอยากเห็นสีหน้าอาลัยอาวรณ์บนใบหน้าของอู่เหมย แต่กลับไม่มีเลย อู่เหมยจากไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีแม้แต่ความลังเล!


อู่เชาพยายามสูดน้ำมูกฟุดฟิด เขาเกิดรู้สึกเบาหวิวขึ้นมาในใจจึงได้วิ่งตามอู่เหมยออกไป และเรียกให้อู่เหมยหยุดเพื่อถามคำถาม “เหมยเหมย ต่อไปนี้เธอจะไม่เล่นกับฉันแล้วใช่ไหม?”


อู่เหมยส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับส่ายหน้า และตอบกลับ “ไม่หรอก ต่อให้นายจะไม่ใช่พี่ชายของฉัน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้”


เจ้าเด็กอ้วนยกยิ้ม เขากลับเข้าบ้านอย่างสบายอกสบายใจ ขอเพียงแค่อู่เหมยยอมเป็นเพื่อนกับเขาก็เพียงพอแล้ว เรื่องของผู้ใหญ่เขาเบื่อที่จะเข้าไปยุ่งแล้ว อีกอย่างถ้าต้องพูดถึงคนโรคจิตอย่างน้าสะใภ้รองกับอู่เยวี่ยนั่น ให้อู่เหมยจากไปยังดีกว่าเสียอีก!


ขณะที่อู่เหมยและทุกคนเดินออกจากประตูใหญ่ กลับเหลือบไปเห็นเหยียนหมิงซุ่นที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น เขาได้ส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับอู่เหมย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 523 วิกฤตกาลแสนสาหัส


อู่เหมยวิ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างตื่นเต้น เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนที่เธออยู่ด้วยสบายใจมากเสียกว่าสยงมู่มู่ หากเหตุการณ์เมื่อครู่มีเหยียนหมิงซุ่นอยู่ด้วย เธอคงสบายใจมากกว่านี้


“พี่หมิงซุ่น ทำไมถึงมาเอาตอนนี้ล่ะคะ?” อู่เหมยถามออกไปอย่างน้อยใจ


แค่ไปหยิบภาพวาดรูปเดียวเท่านั้น ทำไมถึงได้นานขนาดนี้ล่ะ?


แท้จริงตอนอยู่ที่โรงละคร เหยียนหมิงซุ่นได้มาเอากุญแจจากเธอไป บอกว่าจะไปหยิบภาพวาดที่บ้านเพื่อเอามาเปิดให้เหยียนซินหย่าและคนอื่นๆ ได้ดู แบบนั้นถึงจะเป็นการยืนยันได้มากพอถึงความสัมพันธ์ของเธอสองแม่ลูก


เหยียนหมิงซุ่นมองเห็นดวงตาอู่เหมยแดงก่ำ จึงรู้ได้ว่าเธอเพิ่งผ่านการร้องไห้มา และเป็นการร้องไห้ที่แสนเจ็บปวด แต่เมื่อเห็นความปีติผ่านทางหางคิ้ว เขาก็เดาได้ว่าเรื่องราวคงจะจบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“พี่มาถึงนานแล้ว แต่ไม่สะดวกที่จะเข้าไปข้างใน เลยอยู่ด้านนอกรอเธอออกมา” เหยียนหมิงซุ่นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก เพื่อเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้เธอ


การกระทำของเขาดูสนิทชิดเชื้อมาก ทำให้สมองของจ้าวเสวียหลินทำงานอย่างหนัก เส้นประสาททุกเส้นในร่างกายตึงไปหมด เขารีบควักเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และขวางมือเหยียนหมิงซุ่นเอาไว้


“เหมยเหมยใช้ของพี่สิ อย่าใช้ของจากคนนอก”


อู่เหมยเอาแต่คิดว่าพี่ชายของตัวเองมีท่าทีดุดัน ดูท่าเหมือนจะเข้าถึงอยาก แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาของจ้าวเสวียหลินที่มองเธออย่างห่วงใย แต่หากเทียบกันแล้ว เธอรู้สึกสนิทใจกับเหยียนหมิงซุ่นมากกว่าเล็กน้อย


“พี่หมิงซุ่นไม่ใช่คนนอกนะ!”


อู่เหมยทำจมูกฟุดฟิดต่อผ้าเช็ดหน้าของจ้าวเสวียหลิน มีกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ตกค้างอยู่ ยิ่งมองลักษณะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ชายของเธอเก็บมันไว้กับตัวมานานกี่เดือนแล้ว?


ไม่เหมือนกับผ้าเช็ดหน้าของพี่หมิงซุ่น พับไว้อย่างเรียบร้อย และยังมีกลิ่นอ่อนๆ ให้ชวนสัมผัส ผ้าเช็ดหน้าของจ้าวเสวียหลินเสมือนว่าถูกเก็บมาจากถังขยะ


อู่เหมยยอมให้เหยียนหมิงซุ่นเช็ดใบหน้าให้ มองไปด้านข้างที่มีจ้าวเสวียหลินยืนอยู่ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ และเตือนด้วยความหวังดี “ผ้าเช็ดหน้าต้องหมั่นซักหมั่นเปลี่ยน พี่ไม่ซักผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”


จ้าวเสวียหลินก้มมองในมือตัวเองที่ถือผ้าเช็ดหน้าที่มีลักษณะไม่ต่างไปจากผักกาดดองเลย จากนั้นค่อยๆ เหลือบมองไปยังผ้าเช็ดหน้าของเหยียนหมิงซุ่นที่สะอาดขาวราวกับเต้าหู้แผ่น จึงทำให้ไฟร้อนปะทุขึ้นมา และจ้องมองเหยียนหมิงซุ่นแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับอู่เหมย เพียงแต่รอยยิ้มของเขามันดูไม่น่ามองนัก


“พี่ซักบ่อยเปลี่ยนบ่อยอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันกะทันหันน่ะ ครั้งหน้าพี่จะเตรียมผืนที่สะอาดๆ มาก็แล้วกัน”


จ้าวเสวียหลินตกปากรับคำอย่างหนักแน่น ตัดสินใจจะแก้นิสัยแย่ๆ ที่ไม่ชอบซักผ้าเช็ดหน้าออกไป และจะต้องทำให้น้องสาวได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขาให้ได้ เขาจะไม่ยอมให้ชายอื่นที่มีจิตใจคิดไม่ซื่อมาหว่านล้อมน้องสาวเขาได้


อู่เหมยหันไปมองพี่ชายตัวเองอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาจะต้องหนักแน่นและจริงจังขนาดนั้นด้วย แค่เรื่องผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวเท่านั้นเอง!


เธอรู้อะไรเสียที่ไหน จ้าวเสวียหลินที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นมาเป็นพี่ชายเธอ ในเวลานี้รับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างมาก!


น้องสาวสวยขนาดนี้ หมาป่าที่จ้องจะขย้ำมีอยู่ถมไป แบบนั้นจึงทำให้จ้าวเสวียหลินดูมีท่าทีกลุ้มใจ


บุคคลที่กลุ้มใจไม่ต่างจากจ้าวเสวียหลิน ก็คือจ้าวอิงหัว แค่เขาได้เห็นความสนิทชิดเชื้อและความปรองดองที่เหยียนหมิงซุ่นมีต่อลูกสาวของเขา เส้นสมองจึงเรียบตึงขึ้นมาในทันที แน่นอนว่าเขารู้สึกขอบคุณเหยียนหมิงซุ่น เพราะหากว่าไม่มีเด็กคนนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะเอาตัวลูกสาวของเขาคืนกลับมา!


แต่เรื่องทุกอย่างต่างก็ไม่เกี่ยวข้องกัน เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว บุญคุณต้องทดแทนด้วยบุญคุณ แต่ลูกสาวเขาเองก็จะต้องดูแลไว้ให้ดี เขาไม่มีทางใช้ลูกสาวเป็นสิ่งทดแทนบุญคุณแน่!


ต่อไปนี้ต้องหาโอกาสพูดกับอู่เหมยไว้บ้าง ผู้ชายทุกคนคือหมาป่าที่พร้อมจะถลกหนังของเหยื่อตลอดเวลา ไม่ควรจะให้โอกาสพวกผู้ชายมากเกินไป ต้องห่างจากหมาป่าพวกนี้เข้าไว้!


อย่างเช่นเด็กเหยียนหมิงซุ่นนี่!


เหยียนหมิงซุ่นรับรู้ได้ถึงสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรของทั้งคู่ คนแรกคือจ้าวอิงหัวผู้เป็นพ่อ เขาพยายามขมวดคิ้วเล็กน้อยเพื่อส่งยิ้มให้ แต่กลับได้รับสายตาเอือมระอาและรอยยิ้มจากจ้าวอิงหัวที่ดูไม่ได้เต็มใจนัก


เหยียนซินหย่าชักชวนเหยียนหมิงซุ่นให้ไปร่วมทานข้าวพร้อมกันที่ภัตตาคารจุ้ยเซียน เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกยินดีที่จะไปด้วย


หลังจากที่พวกเขาได้เข้ามานั่งในห้องอาหาร เขาจึงล้วงเอาภาพวาดภาพนั้นออกมาจากในเสื้อ และเปิดกางภาพวาดภาพนั้นออกต่อหน้าทุกคน


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 524 เธอคือเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลเรา


ทุกคนต่างพากันตกตะลึงกับภาพวาดนั้น แม้ก่อนหน้านั้นเหยียนหมิงซุ่นจะเคยบอกว่าอู่เหมยได้วาดภาพเหมือนของเหยียนซินหย่าไว้ แต่พวกเขาก็คิดว่าอาจจะมีไม่กี่ส่วนที่จะเหมือน ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้อู่เหมยไม่เคยเจอกับเหยียนซินหย่ามาก่อน ต่อให้เคยเจอกันในฝันมาก่อน แต่จะวาดได้เหมือนทุกประการแบบนี้ได้อย่างไร?


เหยียนหมิงซุ่นพูดออกไปแบบนั้นต้องเป็นเพราะชื่นชมจนเกินจริงแน่


แต่ในตอนนี้


พวกเขาถึงได้รู้ ว่าเหยียนหมิงซุ่นไม่ได้พูดเกินจริงเลย หญิงสาวในรูปนั้นเป็นคนคนเดียวกับเหยียนซินหย่าแน่ ภาพลักษณ์ว่าเหมือนแล้ว อารมณ์ความรู้สึกที่มองยิ่งเหมือน โดยเฉพาะหางคิ้วที่บ่งบอกถึงความทุกข์ระทมนั้น มีความคล้ายคลึงเสียยิ่งกว่าการถ่ายรูปด้วยกล้องถ่ายรูป


“พระเจ้า ทำไมถึงได้เหมือนขนาดนี้? หากว่าฉันไม่รู้ที่มาที่ไปมาก่อน ฉันต้องคิดว่าเหมยเหมยเคยเจอสะใภ้เล็กมาก่อนแน่ๆ!” จ้าวอิงหนานพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น


ความรู้สึกตื่นเต้นที่เหยียนซินหย่ามีในอก ไม่ได้ต่างไปจากจ้าวอิงหนานเลย เธอตื่นเต้นมากจนใช้มือลูบวนซ้ำๆ ที่ภาพวาดนั้น ถือว่าพระเจ้าช่วยเธอไว้ไม่น้อยเลย บ่งชี้เส้นทางให้เธอและลูกสาวได้ชัดเจนมาก ต่อให้เหยียนหมิงซุ่นไม่มาเตือน เธอมั่นใจว่าเธอจะต้องได้เจอกับลูกอย่างแน่นอน


แต่อาจจะต้องเจอกับอุปสรรคที่หนักหนากว่านี้!


“เหมยเหมย ยกภาพวาดนี้ให้กับแม่ได้ไหม?” เหยียนซินหย่าถามอย่างระวัง


อู่เหมยพยักหน้าเบาๆ นั่นจึงทำให้เหยียนซินหย่ายิ้มออกมา หากคนเรามีความสุข ความรู้สึกนึกคิดก็พลอยเต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน สีหน้าท่าทีของเหยียนซินหย่าในตอนนี้ถือว่าดีขึ้น เธอดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ดูจะคล้ายคนป่วย


อาหารค่อยๆ ทยอยเข้ามาเสิร์ฟ จ้าวอิงหนาสั่งแต่เมนูที่อู่เหมยและสยงมู่มู่ชอบกิน เธอเปิดขวดเหล้าเหลืองแล้วพูดออกมายิ้มๆ “วันนี้ถือเป็นวันมงคลของครอบครัวเรา จะต้องดื่มเหล้าสักนิดเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง หลังจากกลับถึงบ้าน พวกเราค่อยโทรหาพ่อกับแม่ พวกท่านจะต้องดีใจจนเสียสติแน่ ในที่สุดตระกูลจ้าวของเราก็มีหลานสาวแล้ว!”


แท้จริงแล้วบรรดาพี่น้องของจ้าวอิงหัวต่างมีแต่ลูกชาย ทำให้ในบ้านมีแต่เพศชาย คุณปู่จ้าวและคุณย่าเองต่างก็นึกเสียใจไม่น้อยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น และนึกเสมอว่าเป็นความผิดครั้งใหญ่ของพวกท่าน ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะช่วยให้หลานสาวเพียงคนเดียวมีชีวิตอยู่ได้


หากว่าเสาหลักทั้งสองของตระกูลจ้าวรับรู้ว่าหลานสาวยังมีชีวิตอยู่ พวกท่านคงดีใจถึงขั้นที่ว่านอนหลับฝันยังหัวเราะออกมาได้


อู่เหมยไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอได้แต่นั่งฟังที่คนอื่นๆ และจ้าวอิงหัวพุดคุยกัน เหยียนซินหย่าและจ้าวอิงหนานตั้งใจที่จะหยิบยกเรื่องราวในตระกูลออกมาพูด โดยเล่าคร่าวๆ ว่าในตระกูลมีใครบ้าง เพื่อเป็นการทำให้เธอได้เริ่มคุ้นชิน


อู่เหมยเข้าใจได้ในทันที เธอมีคุณปู่คุณย่า มีลุงสองคน และมีลูกพี่ลูกน้องชายอีกห้าคน พี่คนโตและคนรองอยู่ในกองทหาร พี่ชายคนที่สามเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ พี่คนที่สี่และห้าเรียนมัธยมปลายอยู่ที่เมืองหลวง และมีพี่ชายแท้ๆ เพิ่มมาอีกหนึ่ง รวมทั้งลูกพี่ลูกน้องชายอีกหนึ่ง


ช่างเป็นครอบครัวใหญ่จริงๆ!


แต่ก็ไม่รู้ว่าคนในครอบครัวใหม่ของเธอจะเป็นอย่างไร?


ไม่รู้ว่าอยู่กันยากไหม?


“เหมยเหมย ต่อไปนี้หนูจะกลายเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลเรา หากใครหน้าไหนกล้ารังแกหนู พี่ชายทุกคนของหนูจะจัดการคนพวกนั้นให้ราบคาบ!” เหยียนซินหย่าพูดกับเธออย่างสุภาพอ่อนโยน


หากเป็นเมื่อก่อนทุกครั้งที่กลับบ้าน เหล่าบรรดาหลานชายทั้งหลายต่างพากันนึกเสียดายที่หน้าสะใภ้ของพวกเขาไม่สามารถมีน้องสาวผู้เลอโฉมและน่าทะนุถนอมให้พวกเขาได้ ทำให้พวกเขาที่เป็นพี่ชายไม่แม้แต่จะมีพื้นที่แสดงถึงความองอาจใดๆ ได้เลย!


แต่ในตอนนี้พวกเขาจะต้องดีใจจนหน้าบานเป็นแน่ เหมยเหมยงดงามขนาดนี้ อีกทั้งยังมีแต่คนรักใคร่เอ็นดู ต่อไปนี้พวกเขาคงจะว้าวุ่นจนแทบไม่ได้หยุดพักแน่นอน!


อู่เหมยมองไปยังจ้าวเสวียหลินแค่แวบเดียว ในหัวของอู่เหมยได้จินตนาการถึงภาพชายหนุ่มร่างกายกำยำอีกห้าคนที่มีพละกำลังเฉกเช่นจ้าวเสวียหลิน ทำหน้าตาดุดันและล้อมรอบตัวเธอไว้ ห้อมล้อมจนแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศเล็ดลอดเข้ามาได้ แต่นั่นเป็นความรู้สึกที่ดีมาก!


“สยงมู่มู่ต่อสู้กับคนอื่นยังไม่ดีเท่าหนูเลย ไม่มีความคล่องตัวเอาเสียเลย!”


อู่เหมยเหลือบมองสยงมู่มู่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องชายอย่างไม่แยแสนัก พี่ชายแบบนี้ มีแต่จะให้เธอคอยปกป้อง!


เหยียนซินหย่าที่ได้ฟังน้ำเสียงหวานแหววแสนน่ารักของอู่เหมย ในใจรู้สึกหวานเสียยิ่งกว่าการได้ดื่มน้ำผึ้ง แม้ในตอนนี้อู่เหมยจะยังไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่ แต่อย่างน้อยเธอก็ยอมพูดคุยกับคนเป็นแม่อย่างเธอแล้ว


อีกไม่นานเหมยเหมยของเธอจะต้องเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ที่มักจะชอบเข้ามาออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกของเธอ วันนั้นจะต้องมาถึงในสักวัน!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 525 ความกลัวของตระกูลอู่


สยงมู่มู่รู้สึกโกรธเคืองกับคำพูดของอู่เหมย เขาจึงยื่นมือออกไปเพื่อหวังจะดึงผมของอู่เหมยด้วยความเคยชิน ทว่า…


“อึ้มม?”


จ้าวเสวียหลินกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง สยงมู่มู่รู้สึกเสียวสันหลังอย่างฉับพลัน และรีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว เขาหันไปส่งยิ้มให้พี่ชายเพื่อญาติดีด้วย ใครมันจะกล้าดึงผมอู่เหมยได้อีก?


ข้าน้อยเจ็บปวดใจยิ่งนัก!


หลังจากนี้ยายตัวแสบจะมีพี่เสวียหลินคอยปกป้อง อีกหน่อยเธอคงจะปีนเกลียวเป็นว่าเล่น และต่อไปนี้เธอคงจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีก!


เหยียนหมิงซุ่นเอาแต่สังเกตการณ์คนในครอบครัวของอู่เหมยโดยไม่พูดไม่จาใดๆ ดูๆ แล้วในตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลว แต่เกิดอะไรขึ้นในปีนั้น ไว้ค่อยหาจังหวะคุยกับยายตัวแสบก็แล้วกัน!


ฝั่งตระกูลจ้าวเริ่มดื่มด่ำกับอารมณ์แห่งความสุข ส่วนบรรยากาศทางฝั่งตระกูลอู่กลับอึมครึมราวกับมีเมฆฝน แม้แต่มื้อเย็นยังไม่มีอารมณ์จะนั่งกินได้


หลังจากที่จ้าวอิงหัวกลับไป คุณปู่อู่ที่ฝืนทนมาตลอด เพียงแค่ยืนเฉยๆ ยังแทบทรงตัวไม่อยู่ ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำจนม่วง ความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของเขา ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดอะไร


คุณปู่อู่เดินไปหาอู่เจิ้งซือที่ยังนั่งก้มหน้าอยู่ที่เดิม เขาตบหน้าอู่เจิ้งซืออย่างรุนแรง โดยใช้แรงกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ อู่เจิ้งซือจึงเกิดอาการมึนจากแรงตบ


โตจนป่านนี้แล้ว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คุณปู่อู่ตบตีเขา!


“โง่เง่าสิ้นดี ฉันให้กำเนิดคนโง่ๆ อย่างแกออกมาได้ยังไง แกทำให้เราต้องลำบากไปทั้งตระกูล!” คุณปู่อู่ก่นด่าด้วยความเคียดแค้น


ขโมยลูกสาวของคนอื่นมา แล้วยังให้เมียหน้าโง่ทารุณกรรมเด็กอีก จะไม่ให้จ้าวอิงหัวโกรธได้หรือ?


หากว่าจ้าวอิงหัวเป็นแค่สามัญชนคนธรรมดา คุณปู่คงไม่กังวลมากถึงเพียงนี้ อย่างมากก็แค่เสียเงินให้สักเล็กน้อย เขามีร้อยพันวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่ตามเอาเรื่องกับเหตุการณ์นี้อีก และเขายังมีความมั่นใจมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะทำให้อู่เหมยอยู่กับเขาต่อไป


คนเก่งมักจะหาทางเลือกและโอกาสที่เหมาะสมให้กับตัวเองอยู่เสมอ และตระกูลเขาก็ถือเป็นนักวิชาการที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาพอสมควร หากอู่เหมยมีสมองพอ เธอจะรู้ดีว่าควรเลือกที่จะอยู่กับตระกูลไหน


ส่วนอู่เหมยจะเป็นเชื้อสายของตระกูลอู่หรือไม่นั้น คุณปู่อู่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แค่หลานสาวคนเดียวก็เท่านั้น อีกทั้งเธอยังมีรูปร่างหน้าตาสะสวย ร้องเล่นเต้นรำได้ และยังเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถในด้านการวาดรูป หลานสาวดีๆ แบบนี้เขาเต็มใจและพร้อมที่จะเลี้ยงดูอย่างดี เมื่อพวกเธอเติบโตขึ้นมาก็จะกลายเป็นกำลังหนุนของเขา!


แต่ในตอนนี้จ้าวอิงหัวกลับไม่ได้เป็นเพียงแค่สามัญชนคนธรรมดา แต่เขาเป็นถึงบุคคลที่แม้แต่หัวหน้าเลขาธิการยังไม่กล้าเมินเฉยได้ ขณะที่ตระกูลอู่อย่างพวกเขากลับไม่มีตัวตนใดๆ ต่อหน้าคนประเภทเขาเลย ทำได้เพียงทำตาปริบๆ จ้องมองหลานสาวที่เลี้ยงดูมาเป็นเวลาสิบสองปี แต่กลับถูกคนพวกนั้นพากลับไปโดยไม่สามารถขัดอะไรได้แม้แต่คำเดียว!


เขาอึดอัดใจเพียงไหน!


แต่สิ่งที่ทำให้เขากลัวที่สุดคือ การเอาคืนของจ้าวอิงหัว คนในตระกูลของเขาไม่สามารถคัดค้านอะไรได้เลย ทำได้แค่ขอพรเพื่อให้พวกเขาเห็นใจบ้าง และขอให้พวกเขาได้มีหนทางอยู่รอด


แต่นั่นจะเป็นไปได้หรือ?


ความแค้นที่ถูกขโมยลูกไป ใครจะยอมอภัยให้ได้อย่างง่ายดาย!


อู่เจิ้งต้าวรู้สึกผิดหวังกับน้องชายตัวเองมาก ที่ทำความผิดพลาดอย่างมหันต์ แต่กลับไม่บอกกล่าวใดๆ ให้รับรู้เลย หากว่าอู่เจิ้งซือบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของอู่เหมยตั้งแต่แรก จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างนั้นหรือ?


ตอนนี้ใกล้จะถึงช่วงเข้าร่วมคัดเลือกครูดีเด่น แต่ดันเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในช่วงจังหวะสำคัญแบบนี้ โถ่ๆ น้องชายเขาคงจะสู้ไม่ไหวแล้วล่ะ!


“พ่อคะ โกรธไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร พวกเราทำได้แค่ภาวนาไม่ให้พ่อแท้ๆ ของอู่เหมยกำจัดพวกเราทั้งตระกูลก็เพียงพอแล้ว ฉันคิดว่าพ่อแม่แท้ๆ ของอู่เหมยไม่ใช่คนไร้เหตุผล พรุ่งนี้ฉันจะลองไปพูดคุยกับพวกเขาดู!” เว่ยชิวเยวี่ยพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง


แท้จริงเธอตั้งใจจะไปพบเหมยเหมย เพราะเหมยเหมยกับอู่เชาสนิทกันมาก พรุ่งนี้เธอจะพาอู่เชาไปด้วย แค่หวังว่าเด็กคนนั้นจะยอมช่วยพูดอะไรดีๆ ให้บ้าง จ้าวอิงหัวจะจัดการกับอู่เจิ้งซืออย่างไรเธอไม่ได้ห่วงเลย แค่หวังว่าเขาจะไม่ฉุดดึงครอบครัวของเธอเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยก็พอ


อีกอย่างคืออู่เจิ้งซือรนหาที่ตายเอง ต่อให้จ้าวอิงหัวแก้แค้นมากน้อยแค่ไหนก็ดูจะไม่เกินไปสำหรับเรื่องนี้!


เธอไม่เห็นใจคนอย่างเขาเลยสักนิด!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 526 ภัยมาถึงตัวควรทางใครทางมัน


เว่ยชิวเยวี่ยได้เปลี่ยนไป จากเดิมที่คุ้นชินกับการพูดครึ่งเก็บครึ่ง ตอนนี้กลับพูดทุกอย่างออกมาชัดเจน ทุกคนในตระกูลอู่เข้าใจดี พวกเขาต้องกำจัดอู่เจิ้งซือออกไปเพื่อปกป้องทั้งตระกูลไว้


อู่เจิ้งซือจิตใจห่อเหี่ยวจมดิ่งลง เขาทำได้แค่เงยหน้ามองคุณปู่อู่ ตอนนี้หวังเพียงว่าคุณปู่อู่จะเห็นใจเขาในฐานะลูกชาย และหาทางช่วยเหลือเขา!


คุณย่ากลับร้อนใจยิ่งกว่าเดิม หลานคนโตและลูกชายคนเล็ก เธอรักใคร่อู่เจิ้งซือมากแต่กลับรักใคร่อู่เยวี่ยมากกว่า จนถึงตอนนี้เธอเข้าใจความหมายของคำว่าหลักเหตุและผลแล้ว ที่แท้อู่เหมยก็ไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของเธอ


คุณย่าไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใด นับตั้งแต่ที่เธอได้เห็นหน้าอู่เหมยเป็นครั้งแรกก็รู้สึกชอบไม่ลงแล้ว เวลาอุ้มอู่เหมยมาไว้ในอ้อมกอดให้ความรู้สึกที่ต่างไปกับอู่เยวี่ยทุกอย่าง แน่นอนว่าเธอต้องนึกโทษโกรธเคืองต่ออู่เจิ้งซือที่ทำเรื่องวุ่นวายนี้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร อย่างไรเสียทุกอย่างเป็นเพราะเธอไม่รู้จักจ้าวอิงหัวพอ เธอเข้าใจว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป


“ตาแก่ อย่าไปฟังที่แม่ของเสี่ยวเชาพูดในสิ่งที่ร้ายแรงกว่าเหตุเลย ลูกรองทำเรื่องที่ผิดก็จริง แต่พวกเราก็ช่วยกันเลี้ยงดูเด็กคนนั้นมาตั้งสิบสองปี แล้วพวกเขามีสิทธิ์อะไรมาโทษพวกเรา?”


เว่ยชิวเยวี่ยหัวเราะเยาะและมองคุณย่าอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แม่ผัวของเธอภายนอกดูเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แต่แท้จริงแล้วในใจกลับเป็นดั่งน้ำผึ้งอาบยาพิษ หลายปีมานี้เธอทนมามากพอแล้ว และในตอนนี้ตระกูลอู่ก็มีภัยมาถึงตัว แล้วเธอจะทนทำให้ตัวเองอึดอัดใจต่อไปทำไม?


“แม่คะ ดูเหมือนว่าความรู้สึกนึกคิดของแม่จะดีไปหน่อยนะคะ คนในตระกูลจ้าวได้ฝากให้เราช่วยดูแลลูกเขาเหรอคะ? แม่คิดให้ดีนะคะ นี่เหมยเหมยถูกน้องรองขโมยมาจากตระกูลเขา ไม่ได้ฝากให้ตระกูลเราเลี้ยงดู อีกอย่างถ้าตระกูลเราอบรมเลี้ยงดูอู่เหมยเป็นอย่างดี ตระกูลจ้าวคงไม่กล่าวโทษพวกเราหรอก แต่ทุกวันที่อู่เหมยอยู่ที่นี่เธอใช้ชีวิตยังไงล่ะ ตระกูลจ้าวจะไม่โกรธได้เหรอ?”


คุณย่าไม่พึงพอใจกับท่าทีของสะใภ้ใหญ่เป็นอย่างมาก เธอทำหน้านิ่งขรึมพลางบ่นตำหนิ “ตระกูลเราทำอะไรกับอู่เหมยเหรอ? ทำให้เธอขาดแคลนด้านอาหารการกินและเสื้อผ้าหรือไง ลูกหลานของคนบ้านอื่น แค่เลี้ยงให้โตมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ตระกูลจ้าวจะทำไมเหรอ? คิดว่าตัวเองเป็นดั่งไท่โฮของฮ่องเต้[1]หรือไง!”


เว่ยชิวเยวี่ยไม่อยากได้ยินที่คุณย่าเอาแต่พูดกับตัวเองอยู่แบบนั้น ตระกูลจ้าวขาดแคลนด้านอาหารการกินหรือ?


หากว่าเหมยเหมยไม่ถูกอู่เจิ้งซือขโมยมา ป่านนี้เธอคงเป็นดั่งเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวไปแล้ว เธอจะต้องมากลายเป็นหนอนตัวน้อยที่ไม่เคยกินอิ่มไม่เคยใส่เสื้อผ้าดีๆ อีกทั้งยังโดนดุด่าทุบตีแบบนั้นอยู่อีกหรือ?


ในตอนนี้เว่ยชิวเยวี่ยเองก็นึกเสียใจ เมื่อก่อนเธอนึกถึงแต่การอยู่อย่างสงบเพื่อปกป้องตัวเองไว้ เธอไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของบ้านอื่น เธอทำเป็นหลับหูหลับตาไปกับเรื่องที่อู่เหมยถูกเหอปี้อวิ๋นทารุณกรรม หากว่าก่อนหน้านั้นเธอทำดีกับอู่เหมย ในตอนนี้เธอคงไม่ต้องมากังวลอยู่แบบนี้หรอก!


จี้เจี้ยนโปรู้สึกว่าคำพูดของคุณย่าไม่เข้าหู ในเวลานี้เขามีความคิดเห็นเดียวกับเว่ยชิวเยวี่ย เมื่อภัยมาถึงตัวก็ควรทางใครทางมัน เขาไม่มีทางโชคร้ายไปพร้อมกับตระกูลอู่แน่


“คุณย่า ผมว่าตัวคุณย่าต่างหากที่คิดว่าตัวเองเป็นไท่โฮของฮ่องเต้ การที่น้องรองขโมยลูกของคนอื่นมาเป็นสิ่งที่ผิด แต่ขโมยมาแล้วก็ไม่ดูแลเด็กคนนั้นให้ดี ไหนจะถูกสะใภ้รองทารุณกรรมอีก พอพูดแบบนี้แล้ว แต่ก่อนตัวคุณย่าเองก็ไม่เคยทำดีกับเหมยเหมยเลย ฐานะของเหมยเหมยกับเยวี่ยเยวี่ยในบ้านหลังนี้ เป็นดั่งฟ้ากับเหว คงแปลกอยู่หรอกถ้าอู่เหมยจะไม่แค้นใจ ตอนนี้ก็ดีนะครับ เพราะเย็นนี้เธอคงจะได้เล่าเรื่องราวร้ายๆ ที่เธอเคยเผชิญให้กับพ่อแม่แท้ๆ ของเธอฟังอย่างแน่นอน เฮ้อ ตระกูลเราช่างโชคร้ายนัก เหวินฮุ่ย เหวินเฟิง กลับบ้านเรากันเถอะ!”


จี้เจียนโปเรียกหาลูกชายและลูกสาวของเขาเพื่อกลับบ้าน เขาคิดดีแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปพบอู่เหมย อู่เหมยใจอ่อนง่าย เพียงแค่เขาพูดจาดีด้วยไม่กี่ประโยค เขาก็คงจะไม่ได้โชคร้ายตามคนบ้านนี้ไปด้วย


ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะได้พึ่งบารมีที่พวกเขามีด้วย!


ตระกูลจ้าวเก่งกว่าตระกูลอู่เป็นไหนๆ!


คุณปู่อู่สีหน้าขาวซีด พวกคนไร้จริยธรรม ตระกูลอู่ยังไม่ได้พังทลาย ดูก็รู้ว่าคนชั่วอย่างเขาต้องการจะตัดขาดความสัมพันธ์


เว่ยชิวเยวี่ยมองคุณย่าที่ยังไม่ทันรับรู้เรื่องราวใดๆ เธอจงใจพูดขึ้น “แม้ว่าตระกูลจ้าวจะไม่เป็นดั่งไท่โฮของฮ่องเต้ แต่หากว่าตระกูลนั้นต้องการจะฆ่าตระกูลเรา มันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายเสียยิ่งกว่าการฆ่ามดสักหนึ่งตัว แม่ควรจะเข้าใจได้แล้วนะคะ!”


เลือดฝาดบนใบหน้าของคุณย่าจางหายไปอย่างฉับพลัน ตาลีตาเหลือกจนทนไม่ได้และเป็นลมล้มพับไปทันที


…………………………………………………………………………………………..


[1] มีอำนาจบาตรใหญ่


ตอนที่ 527 ตีแกให้ตายยัยมารผจญ


อู่เจิ้งซือกลับยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม ในเวลานี้เขาไม่ต้องการตำแหน่งครูดีเด่นอะไรทั้งนั้น เขาแค่ไม่ต้องการเข้าไปกินข้าวแดงในคุก เมื่อครู่จ้าวอิงหัวพูดไว้ว่าจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสืบหาหลักฐาน หากว่าทางตำรวจสืบหาเจอว่าเขาเป็นคนขโมยลูกของเขาไป เขาจะถูกจับติดคุกหรือเปล่า?


แค่นึกถึงการที่เขาถูกจับเข้าไปในห้องขัง และยังถูกขังรวมไว้กับพวกอาชญากรหรือพวกก่อการร้าย อู่เจิ้งซือก็รู้สึกขนหัวลุกชัน


“พ่อ พี่ใหญ่ ทุกคนต้องช่วยผมนะ ผมไม่อยากติดคุก!”


นิสัยขี้ขลาดของอู่เจิ้งซือ ในเวลานี้ได้แสดงออกมาอย่างไม่มีการปิดบัง เขาหมอบลงกับพื้นโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์แต่อย่างใด น้ำหูน้ำตาไหลพรากบนใบหน้า เว่ยชิวเยวี่ยจึงมองเขาด้วยความชิงชัง


รู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้แล้วยังเลือกที่จะทำอีก!


คุณปู่อู่ยังคงใจอ่อนบ้าง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา เขาจะมองดูความพ่ายแพ้และชื่อเสียงของลูกชายที่ถูกทำลายอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร?


ต่อให้ยากแค่ไหน เขาก็จะหาวิธีช่วยลูกชายของเขาให้ได้


คุณปู่อู่หันไปมองอู่เจิ้งต้าว ลูกชายคนโตอันเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่มาก บางทีเขาอาจจะมีวิธีช่วยอยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันที่คุณปู่จะอ้าปากพูด เว่ยชิวเยวี่ยก็พูดตัดบทเสียก่อน “พ่อคะ ตอนเย็นจะมีแขกมาที่บ้าน พวกเราขอตัวกลับก่อนนะคะ พ่ออย่าคิดมากเกินล่ะ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ยังไงทางออกย่อมมีเสมอค่ะ”


อู่เจิ้งต้าวรู้สึกทนไม่ไหว เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งวันได้ผ่านไป แต่พ่อเขากลับแก่ลงไปมาก คนเป็นลูกอย่างเขา จะวางมือแล้วไม่สนใจได้อย่างไร?


เว่ยชิวเยวี่ยออกแรงหยิกเขาไปทีหนึ่ง สายตาเย็นชาถูกสาดส่องออกมา คำพูดประโยคนั้นของอู่เจิ้งต้าวติดอยู่ตรงมุมปาก ‘ผมจะลองไปหาคนที่มีความสัมพันธ์อันดีด้วย’ ได้กลืนลงไปเรียบร้อย


“พ่อครับ พวกเราขอตัวกลับก่อนนะ พ่อพักผ่อนเยอะๆ นะครับ”


อู่เจิ้งต้าวไม่กล้าขัดใจภรรยา และเขาก็ไม่กล้ามองหน้าคุณปู่ จึงทำได้เพียงก้มหน้าแล้วเดินคอตกออกไป เขารู้สึกละอายใจมาก


“พ่อ จะว่าไปที่อู่เหมยเกลียดแค้นตระกูลเรา หลักๆ เลยก็เป็นเพราะน้องรอง น้องสะใภ้ แล้วก็อู่เยวี่ย น้องรองและน้องสะใภ้หนูจะไม่พูดถึงก็แล้วกันนะ แต่สำหรับเด็กอย่างอู่เยวี่ยฉันนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีจิตใจชั่วร้ายได้เพียงนี้ และนี่เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนสัมผัสได้เองด้วย เมื่อก่อนไม่รู้เลยว่าเธอทำอะไรไม่ดีต่ออู่เหมยไว้มากแค่ไหน!”


เว่ยชิวเยวี่ยเดินไปถึงปากประตู แล้วหันหน้ากลับมาพูดเตือนคุณปู่ เธอเป็นเพียงผู้ชมคนหนึ่ง ในบ้านหลังนี้ คนที่อู่เหมยแค้นที่สุดอันดับแรกคือสองแม่ลูกอย่างอู่เยวี่ยและเหอปี้อวิ๋น!


รองลงมาก็คืออู่เจิ้งซือ!


พวกเธอเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น อู่เหมยเป็นเด็กจิตใจดี ครอบครัวของพวกเธอคงจะไม่ได้รับผลกระทบหรอก!


ตระกูลอู่ที่เดิมทีเคยคึกครื้น แต่เพียงชั่วข้ามคืนก็ได้เปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ในตอนนี้คุณย่านั่งพิงอยู่บนโซฟา เหอปี้อวิ๋นนั่งอยู่บนพื้นด้วยอาการเหม่อลอย ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองคลอดลูกแล้วตาย เธอก็มีลักษณะท่าทางอย่างที่เป็น


อู่เจิ้งซือมีอาการหวาดระแวงไปเสียทุกอย่าง ราวกับเขาเป็นหุ่นไล่กาที่เอาแต่จ้องมองคุณปู่ไม่วางตา ในเวลานี้ เหลือคุณปู่อู่เพียงคนเดียวที่จะเป็นคนช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นไปได้!


คำพูดของเว่ยชิวเยวี่ยได้เตือนสติคุณปู่อู่ไว้ เขาจึงหันไปมองยังห้องที่อู่เยวี่ยหลบซ่อนอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึงและเยือกเย็น


ทั้งหมดเป็นเพราะยายมารผจญที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี!


ความโกรธในใจคุณปู่ปะทุขึ้น เขาเลือกเดินเข้าไปยังห้องที่อู่เยวี่ยแอบซ่อนอยู่ อู่เยวี่ยรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะในตอนนี้คุณปู่ได้ถีบประตูให้เปิดออก และตะโกนขึ้นเสียงดังอย่างเดือนดาล


“นังมารผจญ!”


คุณปู่ออกแรงตบหน้าเธอไปหนึ่งฉาดโดยไม่คิดเลยสักนิด ไฟโกรธที่ปะทุขึ้นได้ไปกองรวมกันอยู่บนใบหน้าของเธอเป็นที่เรียบร้อย แม้อายุจะมากแต่พละกำลังกลับเต็มเปี่ยม แรงที่ใช้ตบนั้นไม่ใช่น้อยเลย


อู่เยวี่ยถูกตบจนหน้าหันคลุกอยู่กับพื้น เกิดเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นในใบหูด้านซ้าย ส่วนแก้มด้านขวาระบมจนบวมเป่ง เธอถูกตบจนมุมปากแตกและมีเลือดไหลซึมออกมา


“คุณปู่!”


อู่เยวี่ยส่งเสียงขอร้องอ้อนวอน แต่ใจของคุณปู่อู่ในตอนนี้มีแม้กระทั่งความคิดที่อยากจะฆ่าเธอ จะเอาความรู้สึกสงสารเห็นใจมาจากไหน?


“ยายสัตว์ชั้นต่ำ ตระกูลอู่ของฉันไม่มีหลานสาวที่จิตใจเลวทรามต่ำช้าแบบนี้!”


คุณปู่อู่ออกแรงตบหน้าเธออีกหนึ่งครั้ง และยังคงเป็นแก้มด้านขวาเช่นเดิม อู่เยวี่ยเริ่มรู้สึกว่าเสียงวิ้งในหูเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมียุงจำนวนมากบินวนอยู่ข้างใน ผสานรวมกับเสียงดุด่าของคุณปู่


เธอลอบมองคุณปู่อู่อย่างฉงน แต่กลับฟังไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียวว่าเขาพูดอะไร!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 528 พ่อเลี้ยงตูดไก่เอง


บรรยากาศในห้องอาหารแห่งภัตตาคารจุ้ยเซียนดูอบอุ่นราวกับอากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เหยียนซินหย่าไม่ได้สนใจที่จะกินอะไร เธอเอาแต่แกะกุ้งและคีบอาหารส่งให้อู่เหมย มองดูลูกสาวกินอาหารที่เธอคีบให้ เธอรู้สึกว่ามันดูอร่อยกว่าการที่เธอกินเองเสียอีก


“คุณก็ทานเนื้อด้วยสิคะ!”


อู่เหมยเกิดรู้สึกเกรงใจ ความจริงคือเธอรู้สึกไม่คุ้นชินกับการมีใครจ้องมองเวลากินข้าว เธอจึงคีบน่องไก่ตุ๋นชิ้นหนึ่งวางไว้ในจานของเหยียนซินหย่า จ้าวอิงหัวผู้เป็นพ่อมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขากำลังจะอ้าปากพูดว่าเหยียนซินหย่ากินมังสวิรัติ แต่เหยียนซินหย่ากลับคีบน่องไก่ขึ้นมาโดยไม่มีความลังเลใดๆ เธอยิ้มตาหยีและกัดกินน่องไก่ชิ้นนั้นด้วยท่าทีอิ่มอกอิ่มใจ


“น่องไก่ชิ้นนี้อร่อยจัง ขอบใจจ้ะเหมยเหมย”


สิบสองปีมานี้เหยียนซินหย่าไม่ได้กินเนื้อเลย เพื่อเป็นการชดใช้ความผิด แต่ในตอนนี้ลูกสาวของเธอกลับมาแล้ว เธอจะต้องดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองให้ดี กลิ่นหอมของเนื้อไก่ทำให้ความอยากอาหารของเธอมีมากขึ้น จนกระทั่งเลือกตักซุปปลาขึ้นมาดื่มด้วยตัวเอง และยังตักเผื่อให้อู่เหมยอีกหนึ่งถ้วย


“เหมยเหมยลองซุปปลานี่สิ ซุปปลาของที่นี่เป็นรสชาติต้นตำรับเลยนะ เด็กผู้หญิงทานปลาเยอะๆ จะได้สวยขึ้น”


อู่เหมยหันไปมองหน้าหญิงสาวผู้มีความงดงามตรงหน้า หากเธอไม่ผอมเกินไป ไม่ดูโทรมเกินไป เธอจะต้องเป็นหญิงสาวที่มีความงดงามมาก!


“คุณก็ต้องทานเยอะๆ คุณดูผอมมาก ต้องทานเนื้อเยอะๆ นะคะ!” อู่เหมยคีบเนื้อไก่อีกหนึ่งชิ้นวางไว้ในจานของเหยียนซินหย่า โดยไม่ทันได้สังเกตถึงท่าทีและอาการที่แปลกไปของจ้าวอิงหัวและทุกๆ คน


“อื้ม พวกเรากินด้วยกัน”


แม้แต่ดวงตาของเหยียนซินหย่ายังต้องยิ้มตาม อาหารพวกนี้ลูกสาวของเธอเป็นคนคีบให้เองกับมือ ไม่ว่าอย่างไรเธอจะต้องกินให้หมด


อู่เหมยยกยิ้มกว้าง และก้มหน้าเพื่อยกน้ำซุปขึ้นซด พลางนึกขึ้นได้ว่าเธอคีบอาหารให้เหยียนซินหย่าคนเดียวคงจะดูไม่ดีนัก เธอจึงยืดตัวขึ้นเพื่อเอื้อมไปคีบเนื้อชิ้นโตๆ ขึ้นมาโดยไม่ได้มองละเอียดนัก จากนั้นวางไว้ในจานของจ้าวอิงหัว


“คุณก็กินเนื้อด้วยสิคะ!”


พอพูดจบเธอจึงนั่งลงและซดน้ำซุปต่อ หากพูดตามความจริง เธอรู้สึกว่าพ่อของเธอนั้นดูมีท่าทีเคร่งขรึม จนเธอไม่กล้าพูดคุยหรือแหย่เล่น ไม่ให้ความรู้สึกสนิทใจเลยสักนิด!


จ้าวอิงหัวรู้สึกดีเอามากต่อการแสดงความกตัญญูของลูกสาว ไม่แปลกที่หลายคนต่างบอกว่าลูกสาวเป็นดั่งเสี่ยวเหมียนอ๋าว[1]ตัวโปรด ช่างรู้ใจเขาจริงๆ!


แต่ปัญหามันอยู่ที่เสี่ยวเหมียนอ๋าวของเขาคงจะไม่ค่อยมีแววตานัก!


คีบเอาตูดไก่มาให้เขามันหมายความว่าอย่างไร?


จ้าวยิงหัวมองตูดไก่ในจานตัวเองที่มีแต่ความมันเยิ้ม ในใจมีแต่ความอึดอัด สวรรค์ได้โปรดเมตตาเขาที ส่วนที่เขาไม่ชอบกินที่สุดบนตัวไก่นั่นคือตูดไก่!


และแน่นอนว่าเหยียนซินหย่ารู้ถึงนิสัยด้านการกินของสามีเป็นอย่างดี เขาไม่กินอาหารจำพวกเครื่องในสัตว์ ไม่กินหัวไก่ เท้าไก่รวมไปถึงตูดไก่ ตั้งแต่เด็กเขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแปลกๆ ตูดไก่ชิ้นนี้ที่อู่เหมยคีบมาให้ช่างมีความหมายเสียจริง!


เธอไม่ได้เลือกที่จะเตือนอู่เหมย นานทีจะได้เห็นสามีกินอย่างหดหู่!


เหยียนซินหย่าจึงนึกอยากช่วยสามีกินตูดไก่แทน แต่จ้าวอิงหัวจะกล้าทำแบบนั้นได้อย่างไร ความกตัญญูของลูกสาว ต่อให้เป็นตูดของสัตว์อะไร เขาจะต้องกินมัน!


จ้าวอิงหัวคีบตูดไก่ส่งเข้าปาก เขาฝืนทนอดกลั้นอย่างสะอิดสะเอียน จากนั้นเคี้ยวไม่กี่ครั้งก็ฝืนกลืนตูดไก่ลงไป เขาแทบไม่เคี้ยวมันเลยด้วยซ้ำ เลี่ยนจนทำให้เขาต้องทำตากลับกลอกไปมา แต่นั่นกลับทำให้จ้าวอิงหนานมีความสุขเป็นอย่างมาก!


เหยียนซินหย่าเองก็ปิดปากกลั้นขำไว้ไม่อยู่ การที่ลูกสาวกลับมามันดีมากจริงๆ นานแค่ไหนแล้วที่ในบ้านไม่ได้มีความสุขขนาดนี้!


“เอ๊ะ ฉันลืมพาฉิวฉิวมาด้วย ฉันจะต้องกลับไปหาฉิวฉิว!”


อู่เหมยที่เพิ่งทานซุปปลาเสร็จ จึงร้องขึ้นเสียงดังและเตรียมก้าวขาวิ่งออกไปด้านนอก เหยียนหมิงซุ่นจึงรีบดึงตัวเธอไว้ และชี้ไปยังกระเป๋าที่วางอยู่กับเขาอย่างยิ้มๆ และพูดขึ้น “ฉิวฉิวอยู่กับพี่ตรงนี้!”


พูดยังไม่ทันจบ คุณชายฉิวที่อดทนอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็มุดตัวออกมาอย่างทนไม่ไหว ราวกับเทพตัวน้อย จากเดิมที่เหยียนหมิงซุ่นทำได้เพียงส่งกระดูกให้มันกินเล็กน้อย แต่ยังไม่ยอมให้มันออกมาสูดอากาศ มันหิวจนแทบทนไม่ได้อยู่แล้ว!


“ขอบคุณค่ะพี่หมิงซุ่น ขอโทษแกด้วยนะฉิวฉิว ที่พี่ลืมแกไปเลย รีบมากินน่องไก่สิ พี่ตั้งใจเก็บไว้ให้แกเลยนะ”


อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวด้วยท่าทางยิ้มแย้มดีใจ ของทุกอย่างที่เธอทิ้งไว้ที่บ้านตระกูลอู่ เธอไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อย แต่ฉิวฉิวคือสิ่งเดียวที่เธอจะต้องพามันออกมาด้วย!


และในความรู้สึกของเธอมันบอก จ้าวอิงหัวและคนอื่นๆ ไม่มีทางคัดค้านที่เธอเลี้ยงฉิวฉิวแน่นอน!


ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางแน่นอน!


…………………………………………………………………………………………..


[1] แจ็คเก็ตผ้าฝ้ายตัวจิ๋ว เปรียบเทียบลูกสาวว่ามีความละเอียดรอบครอบและคอยดูแลเอาใจใส่


ตอนที่ 529 ในบ้านเราลูกจะเลี้ยงอะไรได้ตามใจเลย


เหยียนซินหย่ามองฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมกอดของอู่เหมยอย่างตกตะลึง และถามขึ้น “เหมยเหมย มันเป็นสัตว์เลี้ยงของลูกเหรอ?”


“ค่ะ มันชื่อว่าฉิวฉิว เป็นเพื่อนสนิทของหนู” อู่เหมยหันไปมองเธอด้วยความกังวล เธอกลัวว่าจะได้ยินคำพูดปฏิเสธจากปากเหยียนซินหย่า


เหยียนซินหย่ามองฉิวฉิวด้วยความตื่นเต้น มันยกน่องไก่ขึ้นกินด้วยเท้าหน้าทั้งสองอย่างไร้เดียงสา “แม่ขอลูบตัวมันได้ไหม?”


“ได้สิคะ ฉิวฉิวเป็นเด็กดี มันไม่เคยกัดใครมาก่อน” อู่เหมยยิ้มขึ้นอย่างสบายใจ จากนั้นขยับตัวเพื่อให้เหยียนซินหย่าได้ลูบตัวฉิวฉิว


คุณชายฉิวเอียงคอเพื่อมองสำรวจเหยียนซินหย่า อื้มเธอมีกลิ่นเหมือนกับเจ้าหญิงตัวน้อยของมัน รูปร่างหน้าตาก็ดีใช้ได้ สำหรับคนสวยๆ คุณชายฉิวมักจะใจดีด้วยเสมอ มันจึงหมอบตัวลงเพื่อให้เหยียนซินหย่าได้ลูบตัวมันได้ถนัด


“ขนนุ่มนิ่มมากเลย ลูบสัมผัสแล้วสบายมือมาก แถมยังเชื่อฟังด้วย เจ้ากระรอกน้อยที่เหมยเหมยเลี้ยงน่ารักมากจริงๆ” เหยียนซินหย่าพูดชมอย่างออกนอกหน้า


สำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีขนปุกปุย พวกผู้หญิงมักจะพ่ายแพ้ให้กับความน่ารักของพวกมัน เหยียนซินหย่าก็เป็นหนึ่งในนั้น จ้าวอิงหัวเองก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาทำเหมือนกับเหยียนซินหย่าที่ลุกมาหาแล้วต่างนวดตัวให้คุณชายฉิว จนไม่ยอมกินข้าว


“เหมยเหมยเลี้ยงฉิวฉิวตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมแม่ไม่เคยได้ยินหนูพูดถึงเลย” จ้าวอิงหนานรู้สึกสับสนปนสงสัย


สยงมู่มู่จึงรีบแย่งอธิบาย “เรื่องนี้ผมรู้ เหมยเหมยเลี้ยงมานานแล้ว แต่พ่อของเธอ…ไม่ใช่สิ ครูอู่ไม่ชอบสัตว์ที่มีขน เหมยเหมยจึงแอบเลี้ยงมันไว้ ผมเองก็ช่วยเลี้ยงมันด้วย!”


เมื่อได้ยินชื่ออู่เจิ้งซือในสายตาทุกคนกลับเปล่งประกายความเคียดแค้น สิ่งของที่มีจิตใจต่ำราวกับสัตว์!


เหยียนซินหย่ารู้สึกเจ็บปวดต่อสิ่งที่อู่เหมยได้เจอมาก เธอจึงส่งยิ้มให้และพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ในบ้านของเราอู่เหมยเลี้ยงได้ตามสบายเลย แม่จะช่วยหนูเลี้ยงเอง เราทำห้องเล็กๆ สวยๆ ให้ฉิวฉิวดีไหม?”


อู่เหมยพยักหน้าอย่างดีใจ ในที่สุดเธอก็ไม่ต้องทำให้ฉิวฉิวอึดอัดอีกแล้ว ดีจริงๆ!


ทุกคนในครอบครัวอิ่มหนำสำราญไปกับอาหารหรูหรามื้อนี้ และเตรียมแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อู่เหมยเกิดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน คืนนี้เธอไม่ต้องกลับไปที่บ้านตระกูลอู่อีกแล้วใช่ไหม?


“เหมยเหมย ช่วงนี้ลูกอดทนพักที่บ้านรับรองก่อนนะ ไว้รอให้พ่อเขาจัดการหาที่พักได้ เราค่อยย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ด้วยกัน” เหยียนซินหย่าจูงมืออู่เหมยไว้ตลอด คำพูดแสนอ่อนโยนได้ทำให้ใจของอู่เหมยสงบลง


“ค่ะ แต่หนูต้องกลับไปที่นั่นเพื่อเอาเสื้อผ้า”


แท้จริงแล้วอู่เหมยต้องการจะกลับไปเอาของที่เธอเก็บไว้ที่บ้านตระกูลอู่ นั่นคือเงินไม่กี่ร้อยหยวน แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยใส่ใจของภายนอกพวกนั้นสักเท่าไร แต่เธอไม่อยากมองอู่เยวี่ยและเหอปี้อวิ๋นต่ำเกินไป


เหยียนหมิงซุ่นเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของอู่เหมยเป็นอย่างดี เขาจึงก้มหน้าลงเพื่อกระซิบที่ข้างหูเธอ “พี่เอาเงินออกมาให้เธอแล้ว ไว้วันหลังค่อยคืนให้เธอ ของอย่างอื่นถ้าจะไม่เอาก็ไม่เป็นไรหรอก ไว้เราค่อยหาซื้อใหม่เอานะ”


อู่เหมยมองหน้าเขาอย่างแปลกใจปนดีใจ เธอแค่รู้สึกว่าหัวหน้าใหญ่ในอนาคตเป็นดั่งพยาธิตัวกลมที่อยู่ในท้องของเธอ เพราะเธอไม่ต้องพูดอะไรออกมา เขาก็สามารถทำเรื่องทุกอย่างแทนเธอได้เป็นอย่างดี คิดอะไรก็ได้แบบนั้น


เหยียนหมิงซุ่นรับรู้ได้ถึงสายตาขอบคุณและศรัทธาจากเจ้าเด็กแสบ จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบหัวเธอ และเขาก็ได้รับสายตาอาฆาตจากทั้งสองคนอีกครั้ง


แต่กลับถูกหัวหน้าใหญ่ในอนาคตอย่างเขาทำเมินใส่ และไม่ใส่ใจเลยสักนิด


ช่วงเวลาที่เขาและอู่เหมยรู้จักกัน มันนานเสียยิ่งกว่าจ้าวเสวียหลินมาก เด็กคนนี้ทำอะไรเขาไม่ได้


อู่เหมยกลับไปที่บ้านรับรองประจำเมืองของรัฐบาลพร้อมๆ กับจ้าวอิงหัว ทางจ้าวอิงหนานและคนอื่นๆ ก็ตามมาด้วย เป็นอะไรที่ดูตื่นเต้นมาก มีอีกหลายสิ่งอย่างที่ยังไม่ทันได้พูดจบด้วยซ้ำ!


เหยียนหมิงซุ่นและจ้าวอิงหนานต่างตกลงกันแล้วว่าวันพรุ่งนี้หลังจากที่ตรวจอาการเสร็จ ก็จะขอตัวกลับ


จ้าวอิงหนานอดใจรอไม่ไหวที่จะโทรศัพท์ไปหาทางบ้าน และคนที่กดรับสายเป็นคุณย่าจ้าว เธอเป็นวีรสตรีที่เก่งไม่แพ้คุณปู่จ้าวเลย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 530 ต่อไปต้องเรียกเธอว่าจ้าวเหมย


“แม่คะ หนูมีข่าวดีที่สุดในโลกมาบอก แม่กับพ่อต้องทำใจดีๆ ไว้นะคะ” จ้าวอิงหนานพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม


คุณย่าจ้าวไม่ได้ใส่ใจต่อคำพูดของจ้าวอิงหนานสักเท่าไหร่ คำพูดของลูกสาวคนนี้มักจะดูมีเรื่องตื่นเต้นอยู่เสมอ เรื่องแต่ละอย่างของเธอคงถือเอาเป็นจริงไม่ได้นัก


“แม่คะ เป็นข่าวดีที่สุดในโลกจริงๆ แม่ได้หลานสาวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เป็นหลานสาวแท้ๆ ที่ฟ้าประทานให้เลยค่ะ!”


น้ำเสียงของคุณย่าจ้าวยังคงสงบนิ่ง “ไม่ใช่ลูกสาวบุญธรรมที่เธอเพิ่งรับมาเหรอ เด็กผู้หญิงที่มีความสามารถด้านการร้องเพลง เต้น แถมยังวาดรูปเก่งอีกด้วย แล้วเมื่อไหร่เธอจะพาแม่สาวน้อยคนนั้นกลับบ้านมาเจอกับทุกคนล่ะ?”


สำหรับเรื่องที่จ้าวอิงหนานรับลูกสาวบุญธรรมนั้น คุณย่าจ้าวไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก หลานบุญธรรมจะดีแค่ไหนก็ถือว่าเป็นลูกของคนอื่น จะให้ดีเท่าหลานแท้ๆ ได้อย่างไร!


จ้าวอิงหนานหัวเราะอย่างซุกซน เรียกน้ำย่อยคุณย่ามามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงแล้ว!


“ปัง!”


มีเสียงไมค์ขยายเสียงกระทบลงกับโต๊ะดังออกมาจากโทรศัพท์ ทำให้รู้ได้เลยว่าคุณย่าจ้าวตื่นเต้นมากแค่ไหน


“เธอพูดว่าอะไรนะ? รีบบอกแม่มาอีกทีสิ? ลูกแท้ๆ หรือลูกบุญธรรมกันแน่? ทำไมแม่ยิ่งฟังยิ่งสับสน!” คุณย่าผู้น่าสงสารที่ในตอนนี้สมองไม่สามารถประมวลผลได้ เธอเริ่มสับสนกับคำว่าลูกแท้ๆ และลูกบุญธรรม!


“จ้าวอิงหนาน ถ้าแกมีเรื่องอะไรรีบบอกตาเฒ่าอย่างข้ามาให้หมดนะ!”


มีเสียงเคร่งขรึมดังออกมาจากโทรศัพท์ เสาหลักของตระกูลจ้าวอย่างคุณปู่จ้าว เขาได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ แต่ยังไม่แน่ใจนัก ด้วยนิสัยใจร้อนของคุณปู่เกือบทำให้ไมค์ขยายเสียงที่โยนทุบโต๊ะนั้นแตกได้


จ้าวยิงหนานมัวแต่แลบลิ้นปลิ้นตา แต่ก็ไม่กล้ารั้นต่อคุณปู่จ้าว จึงจำต้องบอกถึงที่มาที่ไปของเรื่องทุกอย่างออกไปให้พวกท่านได้รู้อย่างแน่ชัด


“ปัง!”


เป็นอีกครั้งที่มีเสียงดังลั่นกลับมา อู่เหมยลูบอกตัวเองไปพลางๆ สองเฒ่าบ้านนี้ช่างอารมณ์ขันนัก!


“แกจะมัวพูดไร้สาระไปทำไมตั้งเยอะแยะ รีบพาหลานสาวกลับบ้านเร็ว ไม่สิ รีบเรียกหลานสาวปู่มาคุยด้วยหน่อย เร็วเข้าสิ!”


คุณปู่จ้าวพูดขึ้นอย่างรีบร้อน คุณย่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอาแต่รบเร้าไม่หยุด ทั้งคู่ต่างไม่อยากพูดไร้สาระกับจ้าวอิงหนาน  แต่กลับอยากพูดคุยกับหลานสาว


อู่เหมยจับไมค์ขยายเสียงอย่างเป็นกังวลใจ ยังไม่ทันทีเธอจะได้เปล่งเสียงพูด อีกฝั่งกลับมีเสียงอึกทึกตื่นเต้นส่งกลับมาก่อน อึกทึกเสียจนอู่เหมยรู้สึกแสบหู


“ฮัลโหล หลานสาวของปู่ใช่ไหม? ฉันคือปู่ของหนู ชื่อว่า จ้าวหวายซาน ส่วนคุณย่าชื่อว่า ช่างกวนจินเยี่ยน แล้วหลานมีชื่อว่าอะไรหรือ?”


คุณปู่จ้าวคิดอยู่นานสองนานว่าควรจะพูดอะไรกับหลานสาวดี ตะกุกตะกักก่อนจะพูดออกไป เขาจึงตัดสินใจแนะนำชื่อจริงของตัวเองให้เธอรู้ บอกชื่อจริงออกไปในครั้งแรกที่ได้คุยกันก็ไม่ได้ถือว่าแย่นัก


อู่เหมยรู้สึกว่าคุณปู่ที่ถือสายอยู่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าเธอเสียอีก ราวกับเด็กนักเรียนที่ท่องตำราเรียนมาพูด ปู่ของเธอต้องเป็นคนแก่ที่น่ารักมากๆ แน่นอน!


แม่สาวน้อย นั่นเป็นเพราะเธอยังไม่รู้ชื่อเสียงอันเลื่องลือของคุณปู่ ฆ่าคนไม่เลือกหน้า จิตใจอำมหิต เลือดเย็นไร้ซึ่งความรู้สึก…ทั้งหมดคือจ้าวหวายซาน สัญลักษณ์ประจำตัวเขา สิ่งเดียวที่ไม่มีอยู่นั่นคือความน่ารัก!


“หนูชื่อว่า อู่เหมยค่ะ ไม่สิ ตอนนี้หนูไม่ได้ชื่ออู่เหมยแล้ว”


อู่เหมยพูดชื่อตัวเองออกมา แต่กลับรู้ตัวทันทีว่าเธอไม่ได้ชื่ออู่เหมยอีกต่อไป แอบเหลือบไปมองทางจ้าวอิงหัว สังเกตว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจหรือเปล่า?


จ้าวอิงหัวก้มมองลูกสาวตัวเอง ราวกับสายตาของลูกกวางตัวน้อย เขาจะไม่พอใจเธอได้อย่างไรล่ะ ใจอ่อนเสียยิ่งกว่าอะไรดี


“หนูยังชื่อเหมยเหมยเหมือนเดิม ชื่อนี้เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้ตั้งแต่ที่หนูยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก แต่ต่อไปนี้หนูมีชื่อว่า ‘จ้าวเหมย’ พรุ่งนี้พ่อจะทำเรื่องย้ายลูกออกมาจากทะเบียนบ้านหลังนั้น”


อู่เหมยรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่เธอไม่ต้องเปลี่ยนชื่อ เพราะถึงอย่างไรเธอก็รู้สึกชอบชื่อ ‘เหมยเหมย’ อยู่ดี


คุณปู่ได้ฟังเสียงนุ่มนวลเสนาะหูที่ทำให้คนฟังใจชื้นดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ กระดูกแทบกรอบ ราวกับใจถูกหลอมจนละลายกลายเป็นน้ำ ในที่สุดคนอย่าง ‘จ้าวหวายซาน’ ก็มีหลานสาวกับเขาเสียที!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 531 คุณปู่คุณย่าที่น่ารัก


เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากมาก ที่จะเห็นว่าคุณปู่จ้าวและคุณย่าคุยโทรศัพท์กับหลานสาวได้เนิ่นนานแบบนี้ นั่นเป็นเรื่องที่เจ้าอิงหัวบอกถึงสาเหตุและความเป็นมาอย่างชัดเจน จนคุณปู่ด่าออกมาด้วยความเดือดดาล “ไสหัวไปให้หมดไอ้พวกของเล่นชั้นต่ำ ขโมยหลานสาวข้าไป ยังจะรังแกและทำร้ายเธออีก เสี่ยวซาน ไอ้พวกคนตระกูลอู่อย่าคิดว่าคนอย่างพ่อจะเห็นใจ บอกให้พวกมันรอการต้อนรับที่ดีจากพ่อก็แล้วกัน!”


มุมปากของอู่เหมยกระตุกยิ้ม เธอพยายามฝืนแรงอย่างมากเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะ เสี่ยวซาน?


ชื่อของพ่อเธอทำไมน่ารักได้ถึงเพียงนี้!


จ้าวอิงหัวพูดอย่างอ่อนน้อม “ครับพ่อ วางใจได้เลย ผมไม่มีทางปล่อยพวกมันไว้เด็ดขาด!”


คุณปู่อู่ค่อยวางใจได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “รีบจัดการเรื่องทางนั้นให้เสร็จโดยเร็ว แล้วพาหลานสาวของข้ากลับมา พ่อกับแม่รอจนร้อนใจแทบแย่แล้ว!”


คุณปู่ยังคอยย้ำกับจ้าวอิงหัวอีกว่า “ทะเบียนบ้านของหลานสาวย้ายมาให้พ่อที่นี่ พรุ่งนี้พ่อจะเข้าไปจัดการเรื่องนี้เอง แกไม่ต้องยุ่งหรอก”


เจ้าอิงหัวพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง “พ่อครับ เหมยเหมยเรียนหนังสือที่เมืองจิน ทะเบียนบ้านจะต้องขึ้นกับที่เมืองจิน ย้ายไปที่บ้านของพ่อจะได้อะไรล่ะครับ!”


“แกไม่ต้องยุ่งน่า หลานสาวพ่อก็ต้องย้ายมาไว้ที่นี่ เรื่องนี้ถือว่าเอาตามนี้แหละ!”


คุณปู่อู่พูดไม่กี่คำก็ตัดปัญหาเรื่องทะเบียนบ้านของอู่เหมยไป จ้าวอิงหัวแย้งเขาไม่ได้ จึงทำได้แค่ทำตามที่เขาพูด ส่วนอู่เหมยไม่ได้ติดอะไร อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน อีกอย่างค่าเงินตามทะเบียนในเมืองหลวงก็แพงมากด้วย ไม่กี่ปีข้างหน้า คงจะหาซื้อทะเบียนบ้านในเมืองหลวงได้ยาก!


คนแก่ทั้งสองยังคงถามสารทุกข์สุขดิบกับอู่เหมยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่นานสองนาน กว่าจะยอมวางสายได้ เธออยากจะเจอกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านมาก สงสัยวันนี้คงจะนอนไม่หลับแน่ๆ


“พี่อิงหัว พี่คิดจะจัดการกับตระกูลอู่ยังไงเหรอ?” จ้าวอิงหนานถาม


อู่เหมยนั่งขดตัวดูหนังอยู่บนโซฟากับสยงมู่มู่ เธอในตอนนี้ใจเต้นระรัว ทำหูผึ่งเพื่อตั้งใจฟังประโยคที่จ้าวอิงหัวจะพูด


“ฉันไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่ เรื่องนี้ฉันมีวิธีจัดการอยู่แล้ว พาเหมยเหมยกลับไปถึงเมืองหลวงก่อนค่อยว่ากัน” จ้าวอิงหัวมีท่าทีเคร่งขรึม


เหยียนซินหย่าพูดขึ้นอย่างโกรธแค้น “อู่เจิ้งซือ เหอปี้อวิ๋น สองคนนี้ฉันแทบอยากจะฉีกเนื้อพวกมันออกมากินให้ได้”


จ้าวอิงหัวตบไหล่ของภรรยาเบาๆ และพูดปลอบใจ “วางใจเถอะ ผมไม่มีทางปล่อยให้พวกมันได้อยู่เป็นสุข เหมยเหมยต้องเจ็บปวดทุกข์ทนอยู่ในบ้านหลังนั้น ผมจะต้องให้พวกนั้นชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า”


จ้าวอิงหนานพูดเตือนสติ “แต่ที่น่าโมโหที่สุดคืออู่เยวี่ย เหมยเหมยต้องเจ็บปวดทรมานอยู่ในกำมือเธอมาไม่น้อย เรื่องราวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะอู่เยวี่ย”


จ้าวอิงหัวยิ้มเยาะและพูด “ขนาดพ่อแม่ยังไม่มีอะไรดีเลย แล้วลูกสาวอย่างเธอจะมีอะไรดีได้ล่ะ? คนที่กล้ารังแกลูกสาวของฉัน ยังไงก็จบไม่สวยแน่!”


เหมยเหมยรู้สึกวางใจขึ้นมา อย่างน้อยพ่อแม่ของเธอก็สนับสนุนเต็มที่ ต่อไปนี้เธอจะมีแต่ความสุข ชีวิตคงหวานกว่าน้ำผึ้งเป็นไหนๆ!


ในตอนกลางวันได้เกิดเรื่องขึ้นเยอะแยะมากมาย เหมยเหมยจึงเข้านอนให้เร็วขึ้น แม้จะนอนอยู่บนเตียงต่างที่ แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกถึงความต่าง นอนลงได้ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ไม่นานความฝันอันแสนหวานๆ ก็ได้เดินทางเข้ามา


ในฝันนั้นเธอสวมใส่กระโปรงเจ้าหญิง รอบตัวเธอมีชายร่างกำยำดูมีภูมิฐานยืนอยู่ ทุกคนต่างมีท่าทีที่พร้อมปรนนิบัติรับใช้เธอ มีตั้งแต่เสิร์ฟน้ำชา รินน้ำ ปอกองุ่น จัดเตรียมของอย่างขะมักเขม้น เพียงแต่…


ทำไมพี่หมิงซุ่นถึงถูกพวกเขากันท่าให้ออกไปอยู่ด้านนอกล่ะ?


“น้องเล็ก ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านนอกไม่ใช่คนดี มีแต่พวกพี่ๆ ที่เป็นคนดี” ชายร่างกำยำแต่ละคนพูดขึ้นอย่างจริงจัง พร้อมกับผลักเหยียนหมิงซุ่นออกไปอย่างไม่ไยดี


อู่เหมยร้อนรนและวิ่งตามเหยียนหมิงซุ่นออกไป แต่ไม่ว่าจะวิ่งยังไงก็ตามเขาไปไม่ได้ เพราะถูกชายร่างกำยำด้านหลังฉุดดึงเอาไว้


เหยียนซินหย่าและจ้าวอิงหัวค่อยๆ ย่องเดินเข้าไปในห้องนอน จับเอาชายผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ พร้อมกับนั่งมองอู่เหมยด้วยความอ่อนโยน มองอย่างไรก็เหมือนยังมองไม่พอ


“เอ๊ะ เหมยเหมยกำลังฝันร้ายอยู่หรือเปล่า? ดูเหงื่อผุดเต็มหน้าผากเลย ลูกสาวผู้น่าสงสาร!” เหยียนซินหย่าเช็ดเหงื่อออกให้อู่เหมย เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก และรู้สึกโกรธเกลียดต่อตระกูลอู่ยิ่งกว่าเดิม เธอคิดว่าช่วงที่อู่เหมยต้องอยู่ที่บ้านตระกูลอู่ เธอได้รับความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานมากเกินไป แม้แต่ตอนนอนยังหลับไม่สนิท!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 532 ไม่ใช่โรคร้ายแรงอย่างที่คิด


จ้าวอิงหัวและเหยียนหมิงซุ่นนัดตรวจกับคุณหมอในช่วงเช้าตอนเก้าโมงครึ่ง สูตินรีแพทย์ท่านนี้พักอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนใต้ ไม่ไกลจากตลาดหนานสุ่ยนัก และเธอก็มีความสนิทสนมกับลุงหมิงพอสมควร


“หมอกู้มีนิสัยที่ดูแปลกไปบ้าง คำพูดคำจาก็ไม่ค่อยน่าฟังนัก ลุงจ้าวกับป้าเหยียนก็อย่าใสใจนักเลยนะครับ” เหยียนหมิงซุ่นพูดเตือนล่วงหน้า


เหยียนซินหย่าพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะส่วนใหญ่ต่างก็อารมณ์แปรปรวนกันทั้งนั้น พวกเราจะไม่คิดมาก เสี่ยวเหยียนวางใจเถอะ”


เหมยเหมยคิดว่าหมอกู้เป็นคนมีอายุ มีผมขาวเต็มหัว แต่ที่ไหนได้หมอกู้ไม่ได้อายุมากแต่อย่างใด อย่างมากก็คงราวๆสี่สิบปี รูปร่างผอมเพรียว ดูมีสง่าราศี ราวกับมีกลิ่นหนอนหนังสือกระจายออกมาจากตัวเธอ


เหยียนหมิงซุ่นแนะนำเธอให้กับเหยียนซินหย่าและคนอื่นๆ หมอกู้มีท่าทีเฉยเมย และไม่ได้ทักทายอะไรพวกเขา แม้แต่หันมามองพวกเขายังไม่มองเลย สั่งแค่ให้เหยียนซินหย่ายื่นแขนออกไปเพื่อวัดชีพจร


“สภาพจิตใจอ่อนแออย่างมาก เรื่องปัญหาในใจหนักหนาเกินไป ต่อไปพยายามเลือกคิดให้น้อยลง ยิ้มให้มาก กินให้เยอะและพักผ่อนให้มากขึ้น ฉันจะจัดยาสองอย่างให้ไปกิน พอกินไปแล้วค่อยกลับมาตรวจอีกครั้งนะ”


น้ำเสียงการพูดจาของหมอกู้ไพเราะมาก ราวกับเสียงกระแสน้ำพัดไหลในลำธารมิปาน สดใสไพเราะเสนาะหู หากให้ฟังแค่เสียงโดยไม่เห็นหน้า คงจะคิดว่าอีกผ่ายมีอายุเพียงสามสิบกว่าปีเท่านั้น!


จ้าวอิงหัวมีแววตาเกลี้ยงเกลาปรากฏ คำพูดคำจาของหมอกู้ต่างกับหมอคนก่อนๆ ลิบลับ ที่ทำราวกับไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับอาการป่วยของเหยียนซินหย่าสักนิด น้ำเสียงที่ดูเชื่องช้าแต่เหมือนไม่ได้ใส่ใจ ทำให้ในใจของจ้าวอิงหัวแอบมีความหวัง


“หมอครับ อาการภายในของโรคร้ายแรงไหม?” เขาถามขึ้นอย่างเลียบเคียง


หมอกู้ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาเลย เธอก้มหน้าเพื่อสั่งจ่ายยา และค่อยๆ พูดถึงเหตุผล “แค่สภาพร่างกายอ่อนแอเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอาการป่วยไข้ใดๆ จะรุนแรงได้ยังไง ลองกินยาไปก่อน ไม่ต้องกินมังสวิรัติหรอก ไม่ใช่นักบวชสักหน่อย จะกินมังสวิรัติไปทำไม!”


อู่เหมยที่ได้ยินคำตอบของหมอได้แต่อ้าปากค้าง เมื่อก่อนเคยได้ยินสยงมู่มู่พูดประจำว่าอาสะใภ้ของเขาร่างกายอ่อนแอ อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เธอเองก็นึกเป็นกังวลตั้งแต่เมื่อวาน!


เธอเพิ่งจะได้แม่คืนกลับมา เธอไม่ยอมเด็ดขาดที่จะเสียแม่ไปทั้งที่อยู่ด้วยกันได้เพียงไม่กี่ปี!


ตอนนี้ได้ฟังคำพูดของหมอกู้ เหยียนซินหย่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงนี่!


หมอที่เธอเคยไปตรวจสมัยก่อนต้องเป็นนักต้มตุ๋นแน่นอน อาการอ่อนแอเธอเองก็รู้จัก แต่นั่นก็เป็นอาการปกติทั่วไปของผู้หญิง แค่ปรับสมดุลในร่างกายก็ดีขึ้นได้แล้ว ทำไมจะรักษาไม่หายล่ะ?


เหมยเหมยกลับไม่รู้มาก่อน หมอที่เหยียนซินหย่าเคยไปหามาแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียง แต่ถึงยังไงก็ถือได้ว่าเป็นหมอที่มีความสามารถ ซึ่งพวกเขาไม่ได้พูดอะไรผิดไป ก่อนหน้านี้เหยียนซินหย่ามีอาการที่เรียกได้ว่ามีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน แต่ในตอนนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง


ตามหาลูกสาวเจอ ฝันร้ายในช่วงสิบสองปีที่ผ่านมาของเหยียนซินหย่าได้สิ้นสุดลงแล้ว เธอตามหายารักษาใจเจอแล้ว อาการป่วยของใจจึงหายได้ เหยียนซินหย่ายังอยากเติบโตไปพร้อมกับลูกสาว และอยากจะสวมใส่ชุดแต่งงานให้ลูกสาวด้วยตัวเธอเอง!


เธอจะยอมตายง่ายๆ ได้อย่างไร?


แม้จะต้องแย่งชิงกับเหยียนหลัวหวัง[1]ก็ตาม เธอจะต้องแย่งช่วงเวลาหลายสิบปีมาเพื่อให้เธอมีอายุยืนยาวกว่าเดิม!


อู่เหมยที่หายกังวลใจแล้ว จึงนั่งลงภายในห้องรับแขกและนับจำนวนรูปที่แขวนอยู่บนผนังด้วยความเบื่อหน่าย แม้ว่าบ้านของหมอกู้จะเป็นเพียงแค่บ้านสวนขนาดเล็ก แต่ยังถือว่าเธอได้คงความโบราณเอาไว้ ในบริเวณสวนปลูกยาสมุนไพรไว้เป็นจำนวนมาก ส่วนบนผนังในห้องรับแขกมีภาพวาดแขวนไว้จำนวนไม่น้อย และนั่นจึงทำให้บ้านสวนหลังเล็กๆ นี้ดูมีสไตล์ขึ้นมามากกว่าเดิม


เดิมทีอู่เหมยแค่สำรวจบ้านอย่างผ่านๆ ตา แต่พอได้มองภาพวาดไม่กี่ภาพก็ทำให้เธอเกิดหลงใหล ภาพวาดพวกนี้ต้องเป็นคนคนเดียวกันที่วาดเป็นแน่ ลายเส้นและลักษณะการวาดไม่ต่างกันมากนัก หากมองแบบผ่านๆ อย่างไม่ใส่ใจนักจะคิดว่าภาพวาดพวกนี้ไม่มีความโดดเด่น แต่หากตั้งใจมอง จะรู้สึกได้ว่าภาพวาดมีความน่าสนใจ เหมยเหมยมองภาพวาดไปด้วยพร้อมกับยกมือขึ้นทาบใบหน้า จนทำให้ลืมความเป็นตัวเองไปโดยสิ้นเชิง


เหยียนหมิงซุ่นที่ยืนมองท่าทีของยัยตัวแสบกลับไม่ได้รู้สึกน่าขำขัน แต่เขาเลือกที่จะเดินเข้าไปหาเพื่อดูว่าเป็นภาพวาดอะไร ถึงทำให้ตัวแสบของเขาเกิดความหลงใหลได้ถึงเพียงนี้


…………………………………………………………………………………………..


[1] พระยม ผู้เป็นเจ้าแห่งนรก เขาคือหัวหน้านรกทั้งสิบขุม และทำหน้าที่คุมนรกขุมที่ห้าด้วยตัวเอง


ตอนที่ 533 หมอกู้ดูแปลกๆ


แม้ว่าจะสัมผัสคุ้นชินกับวัตถุโบราณมามาก แต่เหยียนหมิงซุ่นก็ถือได้ว่ามีความเข้าใจต่อภาพวาดพอสมควร เขาแค่มองแวบเดียวก็รู้ได้ จึงพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ “ภาพวาดพวกนี้เป็นของปลอมที่ลอกเลียนแบบอาจารย์เหยียน แต่คนที่วาดเลียนแบบถือว่ามีฝีมือในการวาดสูงมาก พี่ขอดูหน่อยว่าเป็นศิลปินท่านไหนวาด!”


เหยียนหมิงซุ่นเองก็เริ่มให้ความสนใจ เขาเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเพื่อดูนามปากกาตรงมุมล่างของภาพวาด เมื่อครู่อู่เหมยยืนมองอยู่นานสองนานก็ยังไม่เข้าใจ ตัวอักษรพวกนี้เป็นตัวเขียนที่ตวัดเกินไป


“อุบาสิกอ้ายเหลียน? นี่เป็นศิลปินคนไหนกัน? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน?” เหยียนหมิงซุ่นพูดขึ้นกับตัวเอง แม้จะเป็นน้ำเสียงที่เบาแต่กลับดังก้องไปทั่วห้องที่เงียบสงัดแห่งนี้


เหยียนซินหย่ามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเดินไปทางที่เหมยเหมยยืนอยู่ เธอเองก็อยากเห็นภาพวาดของอุบาสิกอ้ายเหลียนท่านนี้เหมือนกัน!


ลอกเลียนแบบภาพวาดของแม่เธอ และยังใช้ชื่อของแม่เธออีก คนคนนี้มีเหตุจูงใจอะไรกันแน่?


ตั้งแต่เล็กเธอคอยอยู่ข้างๆ เหยียนตานชิงจนคุ้นหูไปด้วย เหยียนซินหย่ารอบรู้เรื่องภาพวาดดีกว่าเหยียนหมิงซุ่นเอามาก เธอมองแค่แวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าอุบาสิกอ้ายเหลียนท่านนี้มีฝีมือในด้านการวาดภาพเป็นอย่างมาก และเธอก็ไม่ได้เลียนแบบภาพวาดของแม่เธอไปทั้งหมด การวาดมีความเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก คนภายนอกมักจะดูไม่ออก แต่คนภายในอย่างเธอนั้นแค่มองก็รู้ได้ดีกว่าใคร


“เสี่ยวเหยียนพูดผิดแล้วล่ะ เขาไม่ได้เลียนแบบคุณเหยียน แต่เป็นการวาดที่มีเอกลักษณ์ของเขาเอง เพียงแต่ชื่ออุบาสกอ้ายเหลียนฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน เมืองจินมีนามปากกาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ชื่อนี้มันช่าง…”


เหยียนซินหย่ารู้ดีว่าเธอไม่อาจยุ่งกับการตั้งชื่อของคนอื่นได้ แต่ชื่อเสียงของแม่เธอกลับถูกคนแปลกหน้าใช้ และนั่นจึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ


อู่เหมยรู้สึกว่าเริ่มเธอไม่พอใจ จึงถามออกไปเกี่ยวกับปัญหาของชื่อนี้ เหยียนซินหย่าทำได้เพียงถอนหายใจและอธิบายออกไป “แม่ของฉันเอง ซึ่งก็คือยายของหนู ชื่อของเธอคือ อ้ายเหลียน เหออ้ายเหลียน”


“ชื่อของคุณยายไพเราะมาก”


เมื่อก่อนอู่เหมยเคยแอบได้ยินสยงมู่มู่พูดถึงเรื่องครอบครัวของเหยียนซินหย่า แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้ถามอะไรถึงเรื่องนี้ต่อ กลังว่าจะพาดพิงเรื่องในอดีตแล้วทำให้เหยียนซินหย่าต้องเสียใจ เธอจึงเลือกเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที


พวกเขากลับไม่ได้สังเกตเห็นหมอกู้ที่เขียนใบสั่งยาอยู่ มือไม้ของเธอสั่นเอามาก หลังจากที่เธอได้ฟังคำพูดของเหยียนซินหย่า จากตอนแรกที่บรรจงเขียนอักษรข่ายอย่างเป็นระเบียบ พอมือเธอสั่นกลับกลายเป็นจุดด่างเสมือนลูกอ๊อดตัวสีดำ มองดูแล้วช่างขัดหูขัดตา


ในจังหวะนั้นหมอกู้ถึงได้เริ่มพิจารณามองเหยียนซินหย่าและจ้าวเหมย สำหรับเหยียนซินหย่าเธอไม่ได้คิดอะไร แต่รูปร่างหน้าตาของเหมยเหมยทำให้เธอรู้สึกกลัว


ยายตัวแสบช่างมีลักษณะท่าทางเหมือนกับเธอมาก!


และไหนจะคุณยายของยายตัวแสบยังชื่อว่า ‘เหออ้ายเหลียน’ อีก หรือว่าจะเป็นหลานสาวของเธอหรือ?


หมอกู้มองอู่เหมยอยู่นานสองนาน ในสายตาเต็มไปด้วยความสับสน เธอฉีกใบสั่งยาที่เขียนขึ้นก่อนหน้าทิ้งไป และเริ่มเขียนใบใหม่ จากนั้นจึงยื่นให้กับจ้าวอิวหัว


“นี่เป็นจำนวนยาสำหรับห้าวัน หากกินเข้าไปแล้วรู้สึกว่าดีขึ้น เดือนถัดไปค่อยกลับมาตรวจอาการต่อ แต่หากกินแล้วไม่มีผลดีอะไร ก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก พวกคุณไปหาหมอคนที่มีฝีมือเถอะ!”


หมอกู้พูดออกไปอย่างไม่เกรงใจ แม้แต่สายตายังไม่มองจ้าวอิงหัวเลย เพราะสายตาเธอเอาแต่จับจ้องไปทางเหมยเหมย


จ้าวอิงหัวที่เห็นดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจ หมอคนนี้มองภรรยาเขาทำไม?


หรือเธอจะเป็นคู่อริเก่า?


จังหวะที่จ้าวอิงหัวจะถามอย่างไม่เกรงใจ แต่หมอกู้กลับพูดขึ้นก่อน เธอชี้ไปทางอู่เหมยพลางถามขึ้น “เด็กคนนั้นเป็นลูกคุณเหรอ?”


“แน่นอนสิ ลูกสาวคนสนิทเลยล่ะ” จ้าวอิงหัวรู้สึกโล่งใจ ที่แท้คนที่เธอมองคือลูกสาวของเขา เล่นทำเอาเขาตกอกตกใจไปหมด


“แล้วแม่ยายของคุณทำงานอะไร? ใช่นักเต้นไหม?” หมอกู้เปลี่ยนเรื่องอย่างไว ไวจนสมองจ้าวอิงหัวประมวลผลตามไม่ทัน


ถามถึงลูกสาวเขาไม่ใช่หรือ?


ทำไมถึงเปลี่ยนมาถามถึงแม่ยายเสียได้?


จ้าวอิงหัวมองหมอกู้อย่างไม่ไว้ใจนัก เขาถามอย่างระมัดระวังคำพูด “ใช่ครับ แม่ยายผมเธอเป็นนักเต้นมืออาชีพที่เก่งมากๆ เพียงแต่ตอนนี้ท่านได้จากไปเสียก่อน!”


ความหมายของประโยคนี้คือบ่งบอกว่าเธอเสียชีวิตแล้ว พวกเราควรจะพูดถึงคนที่ยังมีชีวิตอยู่ดีกว่า อย่างเช่นพูดถึง เสี่ยวเหมียนอ๋าวของเขา แบบนั้นเขาจะยินดีมาก!


แต่หมอกู้กลับไม่ได้สนใจต่อเสี่ยวเหมียนอ๋าวนัก เธอกลับถามต่ออย่างไม่ยอมให้คนตายได้หยุดพัก “พ่อตาของคุณคือเหยียนตานชิงหรือเปล่า?”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 534 สายลมในฤดูใบไม้ผลิได้พัดกระทบเข้าสู่ห้วงใจ


ไม่เพียงแต่จ้าวอิงหนานที่ตกใจ ทุกๆ คน รวมทั้งเหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่น เหยียนตานชิงชื่อนี้มีชื่อเสียงเรียงนามที่ไม่ธรรมดา คนที่เรียนวาดภาพหากไม่รู้จักเหยียนตานชิง นั่นเปรียบเสมือนเด็กมัธยมไม่รู้จักนิวตัน แล้วมักจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้


เหยียนหมิงซุ่นรู้จักเขาได้เพราะงาน เหยียนตานชิงเสียชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่ม ภาพวาดที่เขาทิ้งไว้มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มนักสะสมมักจะกวาดซื้อภาพวาดของเหยียนตานชิงด้วยเม็ดเงินมหาศาลเพื่อเก็บเอาไว้


แต่น่าเสียดายที่ภาพวาดส่วนใหญ่ของเหยีนตานชิงอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายนั่น จึงทำให้ภาพวาดถูกเผาไปจนหมด หลงเหลืออยู่ไม่มาก ที่เหลือเพียงไม่กี่ภาพนั้นกลับถูกตีค่าอย่างวุ่นวาย ราคาพุ่งสูงจนทะลุเป้าราคา


เหยียนซินหย่าถามขึ้นด้วยความสงสัย “หมอกู้รู้จักพ่อฉันเหรอ?”


เหมยเหมยรู้สึกเหมือนตัวหดเล็กลง ใจเธอเต้นราวกับจะกระเด็นออกมาเสียให้ได้ ใจช่วยสงบทีเถอะ!


เหยียนตานชิงที่โด่งดังไปทั่วโลกเป็นคุณตาของเธอ?


เป็นคุณตาแท้ๆ ด้วย?


เหมยเหมยรู้สึกราวกับตัวเธอกำลังขี่ก้อนเมฆแล้วล่องลอยอยู่ในอากาศ ลอยไปลอยมา ราวกับเธอกำลังฝันอีกแล้ว!


“พี่หมิงซุ่น ส่งมือพี่มาให้ฉันกัดที” เหมยเหมยเอาแต่พูดอุบอิบคนเดียว เหยียนหมิงซุ่นที่ตกใจไม่แพ้กัน เขาหันไปมองท่าทีของยายตัวแสบก็รู้ได้เลยว่า ยายแสบต้องกำลังคิดว่าตัวเองฝันอยู่แน่ๆ


เขาจึงเต็มใจยื่นมือออกไปหาเธอ อู่เหมยจึงออกแรงกัดที่มือเขาในทันที ลิ้นร้อนๆ นุ่มนิ่มของเธอสัมผัสเข้ากับหลังมือใหญ่ๆ ของเขา ให้ความรู้สึกนิ่มนวลและจักจี้ ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิได้พัดกระทบเข้าสู่ห้วงใจเขา ที่พัดเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า


เหยียนหมิงซุ่นรีบหันหน้าหลบอู่เหมยทันที ในตอนนี้เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับอู่เหมย เพราะเขา…


ใจเต้น!


แต่เขาไม่อยากจะดึงมือกลับ เขารู้สึกโลภต่อความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนิ่มและจักจี้นี้ เขาชอบให้ตัวแสบกัด เหมือนกับตอนเด็กที่คุณตาเขาเลี้ยงอาฮวาไว้ แล้วมันชอบเลียมือของเขา


ไม่ ความรู้สึกที่อู่เหมยกัดมันดีกว่ามาก ทำให้เขาอบอุ่นหัวใจ!


ตอนเช้าหลังจากที่กินน้ำเต้าหู้เข้าไปเยอะอย่างจ้าวเสวียหลินพึ่งเดินออกจากห้องน้ำมา แต่แค่เดินผ่านคานประตูมาได้ก็ต้องโกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ เอาสิ เขาออกไปไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ ไอ้เลวนี่กลับกล้าเข้ามาวอแวน้องสาวของเขา


ฝ่ามือที่ยื่นเข้าไปในปากของน้องสาวเขาหมายความว่าไง?


จ้าวเสวียหลินค่อยๆ เดินเข้าไปทีละก้าวทีละก้าว เขากำลังจะผลักมือเหยียนหมิงซุ่นออกจากปากน้องสาวตัวเอง แต่ในจังหวะที่เข้าจะพุ่งเข้าไป เหยียนหมิงซุ่นกลับดึงมือกลับ อีกทั้งยังหันมาส่งยิ้มให้กับเขา รอยยิ้มไร้เดียงสานี่ช่างน่าโมโหนัก


“เหอะ”


จ้าวเสวียหลินยืนกั้นตรงกลางระหว่างเหยียนหมิงซุ่นและอู่เหมยอย่างโมโห เขาจะไม่ยอมให้ไอ้เลวนี่ได้ปีนป่ายขึ้นมาหาน้องสาวเขาเด็ดขาด ในจังหวะนั้นอู่เหมยเรียกสติกลับมาได้ แต่เธอกลับไม่ได้สังเกตสถานการณ์ความดุเดือดตรงหน้าระหว่างพี่ชายเธอและเหยียนหมิงซุ่น


ใจของเธอยังคงเต้นแรงไม่หยุด ชื่อของคุณปู่มีชื่อเสียงเรียงนามมากนัก เธอไม่อยากจะเชื่อเลย!


“พี่คะ ฉันขอถามอะไรพี่หน่อยสิ” อู่เหมยถามเสียงเบา


จ้าวเสวียหลินตกใจจนนิ่งงัน แต่ก็แสดงออกว่าดีใจมาก น้องเรียกเขาว่าพี่แล้ว!


ฮ่าๆๆๆ!


พ่อแม่ต้องอิจฉาเขามากแน่ๆ!


“เหมยเหมยถามมาเลย พี่รู้ทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องทั่วไป” จ้าวเสวียหลินตอบอู่เหมยอย่างจริงจัง มั่นใจเปี่ยมล้น แม้เขาจะไม่พูดว่าไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ แต่ก็มีความหมายใกล้เคียงกัน เขาต้องใจกว้างเพื่อรับมือกับเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างน้องสาว!


เหมยเหมยอบอุ่นใจที่เห้นท่าทีตื่นเต้นของจ้าวเสวียหลิน เธอจึงส่งยิ้มให้และถาม “คุณตาของพวกเราคือเหยียนตานชิงใช่ไหมคะ?”


จ้าวเสวียหลินตอบอย่างทันควัน “ใช่แล้วล่ะ แม่บอกกับเธอเหรอ?”


เหมยเหมยส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เธอชี้ไปยังหมอกู้ที่กำลังพูดคุยกับเหยียนซินหย่าอยู่


หมอกู้มองเหยียนซินหย่าแวบเดียว พูดขึ้นอย่างไม่แยแส “ไม่ถึงกับเรียกว่ารู้จัก แค่เคยได้ยินมาบ้าง สั่งยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกคุณกลับไปได้แล้ว”


มีหรือที่เหยียนซินหย่าจะเชื่อ เธออยากถามต่อ แต่จ้าวอิงหัวส่ายหน้าให้กับเธอ เหยียนซินหย่าจึงทำได้เพียงอดทนไว้ แล้วตัดใจบอกลาหมอกู้


หลังจากที่เหมยเหมยกลับออกไป หมอกู้ถึงมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นเจ็บปวด เธอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 535 ความสงบสุขครั้งสุดท้าย


ระหว่างทางอู่เหมยอดไม่ได้ที่จะถามจ้าวเสวียหลินถึงเรื่องคุณตา


“ในปีนั้นคุณตาคุณยายน่าสงสารมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นความเจ็บปวดในใจของแม่ ต่อไปนี้เหมยเหมยต้องพยายามพูดถึงให้น้อยที่สุดนะ” จ้าวเสวียหลินกำชับเสียงเบา


อู่เหมยพยักหน้าหงึกๆ บ่งบอกว่าเธอเข้าใจ


ความรู้สึกในใจของเหยียนหมิงซุ่นดูสลับซับซ้อนไม่น้อย เขารู้จักชายที่ชื่อเหยียนตานชิง เขาคืออาจารย์ที่มากล้นด้วยความสามารถ และยังมีภรรยาแสนสวยของเขาอีก แต่พวกเขากลับต้องตายอย่างอนาถ!


สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม!


ที่แท้เหมยเหมยคือหลานสาวของอาจารย์เหยียน!


ไม่แปลกเลยที่เหมยเหมยจะมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปและพรสวรรค์ด้านการเต้น ที่แท้พรสวรรค์จากพระผู้เป็นเจ้าของเธอก็คือคุณตาคุณยาย!


มื้อเที่ยงพวกเขาได้ไปทานที่บ้านของจ้าวอิงหนาน พ่อสยงได้เตรียมกับข้าวอันโอชะมื้อนี้และจัดวางเต็มโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบแปด อีกสองวันก็จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว


“น้องเล็ก พรุ่งนี้เราเตรียมตัวกันเถอะ ฉันฝากคนอื่นไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้แล้ว พรุ่งนี้เช้าช่วงสิบโมงครึ่ง ถึงเมืองหลวงคงทันได้ทานมื้อเที่ยงพอดี!” จ้าวอิงหนานพูดขึ้น


เหมยเหมยใจเต้นระส่ำ ต้องไปเมืองหลวงพรุ่งนี้แล้วหรือ?


แอบกังวลจัง!


“ก็ดีเหมือนกันที่จะเดินทางพรุ่งนี้ แต่ผมต้องไปสวัสดีปีใหม่เลขาธิการหูที่บ้านเสียหน่อย ต้องเดินผ่านหลายบ้านเลย ขอผมยืมจักรยานเธอหน่อยสิ!”


แววตาของจ้าวอิงหัวปรากฏความเย็นชา จากตอนแรกตั้งใจจะฉลองปีใหม่อย่างสงบสุข ไม่อยากก้าวก่ายกับใครหน้าไหน แต่ใครใช้ให้ตระกูลอู่มาสะกิดเข้าที่หางของเขาล่ะ!


ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ตระกูลอู่จะได้เผชิญหน้าและเฉลิมฉลองอย่างสงบสุข!


เหยียนซินหย่าพูดขึ้นบ้าง “ถ้างั้นช่วงบ่ายฉันจะพาเหมยเหมยออกไปชอปปิ้ง หาซื้อของฝากจากเมืองจินด้วย แล้วก็จะได้ซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้เหมยเหมยสักหน่อย”


“ฉันจะไปด้วย เราจะต้องแต่งตัวให้เจ้าหญิงของเรางดงามที่สุด” จ้าวอิงหนานเกิดรู้สึกให้ความสนใจในทันที เธอชอบที่สุดกับการแต่งตัวให้กับเด็กผู้หญิง


แต่ก่อนในบ้านไม่มีเด็กผู้หญิงเลย มีแต่ชายชาตรีทั้งหลาย แต่ตอนนี้มันดีมาก!


จ้าวอิงหัวทานมื้อเที่ยงเสร็จจึงออกไปทำธุระต่อ เหยียนซินหย่าและจ้าวอิงหนานต่างพากันนอนกลางวัน รอให้พวกเธอตื่นค่อยออกไปเดินชอปปิ้ง เหมยเหมย สยงมู่มู่ และจ้าวเสวียหลินนั่งดูทีวีอยู่ด้วยกัน โดยมีฉิวฉิวนอนหมอบอยู่บนอกเธอ เจ้าตัวเล็กไม่ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ในห้องอีกต่อไปแล้ว


เสียงเคาะประตูดังขึ้น สยงมู่มู่จึงรีบวิ่งออกไปเปิด เป็นเว่ยชิวเยวี่ยกับอู่เชาสองแม่ลูกที่หิ้วกระเป๋าใบใหญ่มา ซึ่งด้านในยัดของมาด้วยสารพัดอย่าง


“เหมยเหมย ฉันเอาเสื้อผ้ามาส่งให้” อู่เชาส่งยิ้มให้เหมยเหมยพร้อมกับโบกไม้โบกมือ เหมยเหมยจึงส่งยิ้มคืนให้เขาอย่างที่เคยทำ เว่ยชิวเยวี่ยจึงรู้สึกวางใจขึ้น


“เหมยเหมย เธอยังมีเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นบางอย่างทิ้งไว้ที่บ้าน ป้ากับอู่เซาเลยแวะเอามาให้น่ะ” เว่ยชิวเยวี่ยยิ้มอ่อนๆ และพูด


สยงมู่มู่จึงต้องให้พวกเขาเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ จริงๆ แล้วสยงมู่มู่ไม่ค่อยชอบเว่ยชิวเยวี่ยสักเท่าไหร่ แต่ใครใช้ให้เขาต้องเป็นเพื่อนกับอู่เชาล่ะ!


การปฏิเสธเพื่อนให้ออกไปอยู่นอกบ้านก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย!


พอเว่ยชิวเยวี่ยเข้าบ้านไป สยงมู่มู่จึงด่าเขาเสียงเบา “นายมาคนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องพาแม่นายมาด้วยล่ะ?”


อู่เชาลูบจมูกตัวเองอย่างกล้ำกลืน “ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่เธอเป็นแม่ของฉัน ฉันเลยทำอะไรไม่ได้ แต่แม่ของฉันต่างกับอารอง เธอเป็นคนดีนะ”


สยงมู่มู่สบถออกไปทีหนึ่ง “แม่ของนายเอาแต่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง เมื่อก่อนที่อู่เหมยถูกทารุณกรรม ไม่เห็นว่าเธอจะออกมาปกป้องอะไรเลย!”


อู่เชายิ้มอย่างละอายใจ เจ้าเด็กอ้วนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แน่นอนว่าเข้ารู้จักนิสัยของแม่ตัวเองดี แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าจะให้เขาตัดความสัมพันธ์กับพ่อแม่!


สยงมู่มู่เห็นท่าทีอึดอัดใจของเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาปลีกตัวเข้าไปเรียกพ่อสยงออกมา การให้ผู้ใหญ่ออกมาต้อนรับน่าจะเหมาะสมกว่า เขาแค่ต้อนรับเด็กๆ ก็เพียงพอแล้ว


เว่ยชิวเยวี่ยไม่เห็นจ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่า จึงแอบผิดหวังเล็กน้อย แต่จำต้องพูดออกไป “น้องชายของเราทำผิดขนาดนี้ ฉันรู้สึกผิดต่อครอบครัวของพวกคุณจริงๆ ฉันต้องขอโทษแทนเขาด้วย!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 536 จะต้องเข้าใจและหาลำดับความสำคัญ


พ่อสยงก็รู้สึกไม่พอใจต่อการกระทำของตระกูลอู่เป็นอย่างมาก แต่คงจะไม่ดีนักหากเขาจะโมโหต่อหน้าผู้หญิงอย่างเว่ยชิวเยวี่ย อีกอย่างคือใครเป็นคนก่อหนี้ไว้ ก็ให้คนนั้นมาชดใช้เอง คนที่ทำผิดคืออู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋น แม้ว่าเว่ยชิวเยวี่ยจะมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้างก็ตาม สำหรับบ้านหลังนั้นเธอก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ทำดีต่อเหมยเหมย


“ศาสตราจารย์เว่ยก็พูดเกินไปครับ เหมยเหมยเคยพูดไว้ ว่าคุณเป็นคนเดียวในบ้านหลังนั้นที่คอยช่วยเหลือเธอ ตรงส่วนนี้พวกเราซาบซึ้งใจมาก แต่คนที่ควรจะรับผิดควรจะเป็นอู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นมากกว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศาสตราจารย์เว่ยเลย”


เว่ยชิวเยวี่ยได้ฟังจากคำพูดและน้ำเสียงของพ่อสยง ก็รู้ได้ในทันทีว่าตระกูลจ้าวคงไม่ทำอะไรให้ครอบครัวเธอต้องลำบากแน่นอน นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ แต่ยังคงมีสีหน้าละอายใจอยู่


ถึงอย่างไรเธอก็เคยออกมาช่วยพูดเพียงไม่กี่ประโยค แค่บางครั้งที่เหอปี้อวิ๋นทำเกินไปก็เท่านั้น แต่กลับไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเหมยเหมยอย่างจริงๆ จังๆ แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้กลับจดจำความรู้สึกอบอุ่นนี้ไว้ในใจ


ในใจของเว่ยชิวเยวี่ยไม่ได้รู้สึกดีเลย เธอทั้งรู้สึกเสียใจและละอายใจ รอยยิ้มยิ่งเปลี่ยนเป็นละอายใจยิ่งกว่าเดิม จากที่เคยพูดจาฉะฉานลื่นไหลราวน้ำกลิ้งบนใบบอน ในตอนนี้กลับใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ตรงหน้าแม้แต่เสี้ยวเดียว


“ฉันรู้สึกเสียใจจนไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไปดี เฮ้อ คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ!” เว่ยชิวเยวี่ยพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก


“ถ้างั้นไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ใครที่ดีกับลูกสาวฉัน หรือใครที่ร้ายกับลูกสาวฉัน พวกเราทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ และจะตอบแทนกลับอย่างสาสม”


เหยียนซินหย่าที่ตื่นขึ้นมาจากเสียงรบกวน เดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าบึ้งตึงและเย็นชา เว่ยชิวเยวี่ยจึงยิ้มอย่างละอายใจอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าทุกคนไม่ได้ยินดีกับการมาของเธอนัก ดูเหมือนว่าตระกูลจ้าวจะไม่ได้มีท่าทีที่จะอ่อนข้อให้เลย ขอแค่ไม่ทำให้เธอต้องเดือดร้อนไปด้วยก็พอแล้ว แม้แต่อู่เจิ้งต้าวเธอก็ไม่อาจคุ้มหัวได้


สามีภรรยาเป็นดั่งนกคู่ที่อาศัยอยู่กลางป่าไพร เมื่อมีภัยก็จำต้องบินแยกทาง!


บนโลกนี้จะมีสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันอยู่สักกี่คู่ หรืออาจเป็นเพราะพวกเขายังไม่เจอกับขวากหนามที่แท้จริงเท่านั้นเอง!


เว่ยชิวเยวี่ยพูดจาเกรงอกเกรงใจไปได้ไม่กี่ประโยค จำต้องขอตัวกลับก่อน แต่อู่เชาไม่ยอมกลับ ก้นของเขานั่งลงยังไม่ทันได้ร้อนเลย!


เหมยเหมยจึงพูดช่วยในทันที “ป้าจ้าวคะ หนูกับอู่เชาเป็นเพื่อนสนิทกัน ให้เขาอยู่เล่นที่นี่ต่ออีกสักหน่อยนะคะ”


เว่ยชิวเยวี่ยคิดในใจอย่างมีความสุข ฐานะของอู่เหมยในวันข้างหน้า ใช่ว่าคนธรรมดาหรือใครหน้าไหนจะสามารถเป็นเพื่อนกับเธอได้ง่ายๆ ความเป็นเพื่อนของเด็กคือมิตรภาพที่แท้จริง ขอแค่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ต่อไป โตขึ้นพวกเขาก็จะยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อู่เชามีเพื่อนอย่างเหมยเหมย เรื่องหน้าที่การงานในอนาคตของเขาคงไม่มีอะไรย่ำแย่


เห็นแบบนี้แล้ว ครอบครัวของเธอดูจะเป็นเหมือนโชคดีในความโชคร้าย!


เว่ยชิวเยวี่ยจึงรับปากอย่างยินดี และจากไปพร้อมกับความดีใจ ก่อนไปเธอยังพูดเตือนสติพวกเขาทิ้งท้าย “สภาพจิตใจของเหอปี้อวิ๋นไม่ปกตินัก ตอนนี้ในบ้านก็ไม่มีใครดูแลเธอ พวกคุณระวังตัวด้วยล่ะ”


“ขอบคุณที่เตือน!” เหยียนซินหย่าพยักหน้ารับ เธอเองก็นึกสงสัยในใจ ทำไมเหอปี้อวิ๋นถึงได้มีปัญหาทางจิตล่ะ?


เธอไม่รู้เลย ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของลูกสาวสุดที่รักของเธอ!


อู่เชาพูดขึ้นอย่างเกินเหตุ “เหมยเหมยเธอไม่รู้เหรอว่าเมื่อวานอาสะใภ้รองน่ะทำทุกคนตกใจแค่ไหน เธอเกือบจะฆ่าคุณปู่ไปแล้ว โชคดีที่อารองหยุดเธอไว้ได้”


อู่เหมยรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก จึงเร่งให้เจ้าเด็กอ้วนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ที่แท้เมื่อวานคุณปู่อู่โมโหมากจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เลยสั่งสอนอู่เยวี่ยไปฉาดใหญ่ ซึ่งนั่นถือเป็นการแหย่เข้าที่ปลายขนของเหอปี้อวิ๋น เธอหยิบมีดทำกับข้าวในห้องครัวออกมาเพื่อหวังจะฆ่าคุณปู่อู่ แต่โชคดีที่อู่เจิ้งซือไหวตัวทัน ยับยั้งการกระทำที่ไร้สติของเหอปี้อวิ๋นไว้ได้ มิเช่นนั้นคุณปู่อู่คงไม่ได้มีชีวิตรอดมาเห็นแสงตะวันของวันใหม่ได้หรอก!


“น่าเสียดาย!”


อู่เหมยยักไหล่อย่างเสียดาย คุณปู่อู่ไม่ใช่คนดีอะไรนัก ถูกเหอปี้อวิ๋นแทงคงจะดีมาก โถ่ เสียดายที่เขาไม่โดนแทง!


อู่เชาจ้องอู่เหมยด้วยความไม่พอใจ เขาคนนั้นเป็นถึงปู่แท้ๆ ของเขา เลิกพูดจาอะไรแบบนี้ต่อหน้าเขาไม่ได้หรือไง?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 537 ดึงดันที่จะกลับบ้าน


เหยียนซินหย่าขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนว่าอาการทางจิตของเหอปิอวิ๋นจะรุนแรงมาก!


“อาสะใภ้รองยังอยู่ที่บ้านพวกนายเหรอ?” อู่เหมยถาม


“แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ เมื่อคืนคุณปู่โทรไปหาพ่อของอาสะใภ้รองเพื่อให้มารับตัวเธอกลับไป”


เหยียนซินหย่ามีสีหน้าที่เปลี่ยนไป คนดีๆ อย่างน้าชายและน้าสาวทั้งสองของเธอ!


สิบสองปีแล้วที่ไม่ได้พบเจอกัน ตอนแรกตั้งใจจะมองเป็นแค่คนร่วมทางกัน แต่ในตอนนี้เธอกลับไม่คิดแบบนั้น!


ครอบครัวเขาทำผิดต่อครอบครัวเธอ ทำผิดต่อเธอ และทำผิดต่อลูกสาวของเธอ!


เธอไม่มีทางปล่อยคนพวกนี้ไปง่ายๆ แน่ เหยียนซินหย่าใจกระตุก และถามขึ้น “เหมยเหมย พ่อแม่ของเหอปี้อวิ๋นยังอาศัยอยู่ที่ถนนหมายเลข 27 ในชนบทใช่ไหม?”


เหมยเหมยพยักหน้าตอบ “ยังอยู่ที่นั่นค่ะ”


แม้ว่าจะบอกว่าบ้านของตระกูลเหอจะมีระยะห่างจากเขตตัวเมืองไกลพอสมควร แต่บ้านหลังนั้นถือว่าไม่ได้แย่เลย เป็นบ้านสวนที่มีทางเข้าออกอยู่สามฝั่ง สวนด้านหลังมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ โดยมีเนื้อที่ราวๆ ครึ่งหมู่[1] สวนด้านหน้าก็ไม่ได้เล็กมากนัก สมาชิกในบ้านอยู่รวมกันสิบกว่าคนก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด


เธอรู้สึกแปลกใจตั้งแต่เด็กๆ คุณตาเหอเป็นแค่คุณครูชั้นประถม ส่วนคุณยายเหอก็ไม่ได้มีรายได้ นอกจากจะเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัวแล้ว บางครั้งจะต้องออกไปทำงานในไร่เพื่อเลี้ยงชีพอยู่บ่อยๆ ชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวันของตระกูลเหอไม่ได้ดีนัก แต่เอาเงินจากไหนมาซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้?


เหยียนซินหย่ายิ้มเยาะในใจ “พวกเขายังมีหน้าจะอยู่ตรงนั้นได้อีกนะนี่!”


เหมยเหมยรู้สึกแปลกใจที่ได้ยิน เหมือนกับมีอะไรแฝงอยู่ในคำพูดนี้!


หรือจะเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้นกับบ้านหลังนั้น?


เหยียนซินหย่าลูบหัวเธอเบา แล้วอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ “บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นบ้านของคุณตาหนู ในปีนั้นพวกเขาไม่มีที่อยู่อาศัย แต่คุณตาของหนูท่านเป็นคนจิตใจดี จึงอนุญาตให้พวกเขาพักอยู่ในพื้นที่ว่างในบ้านหลังนั้น”


เหมยเหมยนึกไม่ถึงว่าบ้านหลังนั้นจะเป็นของตระกูลเธอ พอนึกไปถึงช่วงที่พวกเขาขับไล่หญิงมีครรภ์อย่างเหยียนซินหย่าออกจากบ้านไป ไฟโทสะที่มีจึงปะทุขึ้น พร้อมกับก่นด่า “คนในตระกูลนี้ช่างหน้าไม่อาย ความผิดชอบชั่วดีในใจพวกเขาถูกหมากัดกินไปหมดหรือไง ไม่ต้องให้พวกเขาอยู่ต่อแล้ว แม่รีบไปเอาบ้านหลังนั้นคืนมาเลยค่ะ!”


ในสถานการณ์ว้าวุ่นใจนี้ ทำให้เธอเผลอตัวหลุดเรียกคำว่า ‘แม่’ ออกมา เหยียนซินหย่าจ้องมองเธอด้วยความดีใจ ได้เห็นท่าทีเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของลูกสาวตัวน้อย ทำให้เธอหุบยิ้มไม่ได้ และนัยน์ตายังมีน้ำตาเอ่อคลออยู่


ในที่สุดลูกก็ยอมเรียกเธอว่าแม่แล้ว เรื่องเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เหยียนซินหย่ารู้สึกราวกับได้กลืนกินยาวิเศษเข้าไป พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และเป็นเหตุการณ์ที่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก!


จากที่ได้ยินลูกเรียกตัวเองว่าแม่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางปล่อยคนใจดำอำมหิตในตระกูลนั้นไว้แน่!


เหมยเหมยเห็นท่าทีลังเลสับสนของเธอ จึงเข้าใจว่าเธอคงใจอ่อน จึงจงใจพูดขึ้น “ตอนเด็กหนูเคยไปที่นั่น แต่ลูกชายของเหอปี้สือไม่ยอมให้หนูเข้าบ้าน บอกว่าที่นั่นเป็นบ้านของเขา ไม่อนุญาตให้หนูเข้าไปกินข้าวข้างใน เพราะอย่างนั้นทุกครั้งหนูจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ที่สวนด้านนอก”


เรื่องนี้เหมยเหมยไม่ได้พูดโกหก แต่เธอกลับไม่เคยรู้ว่าลูกชายของเหอปี้สือสนิทสนมกับอู่เยวี่ย และเขามักจะเชื่อฟังคำพูดของอู่เยวี่ยเสมอ คำพูดพวกนั้นอู่เยวี่ยเป็นคนสอนเขาพูดเอง และอู่เยวี่ยยังสอนให้เขาตบตีเหมยเหมยอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เหมยเหมยถึงกลัวที่จะไปเหยียบที่บ้านตระกูลเหอ เพราะทุกครั้งที่ไปเธอจะโดนทำร้ายเสมอ


ความรู้สึกของเหยียนซินหย่าทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธเคือง แล้วเราจะได้เห็นดีกันตระกูลเหอ ไล่เธอออกมาจากบ้านไม่พอ ยังไล่ลูกสาวของเธอออกมาอีก!


เหอะ ในปีนั้นเธอไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ จึงทำให้กลับไปที่บ้านไม่ได้ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับที่ผ่านมาแล้วล่ะ เธอจะต้องเอาบ้านหลังนั้นคืนกลับมาให้ได้ โชคดีที่ในปีนั้นแม่ของเธอแค่วางมือ และให้คนในตระกูลเหอได้พักอยู่ที่นั่น แต่โฉนดที่ดินทุกอย่างยังคงเป็นชื่อของพ่อเธอ ในตอนนี้คงต้องกลายเป็นของเธอแล้วล่ะ!


ชั่วชีวิตของครอบครัวเธอต้องทุกข์ทรมานมาถึงสามรุ่นแล้ว วันนี้เธอจะทวงคืนทุกอย่าง!


อีกสองวันจะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ให้คนเนรคุณอย่างพวกเขาไปฉลองกันที่ข้างถนนก็แล้วกัน!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 538 แม่ผู้เสแสร้งแกล้งทำ


เหมยเหมยอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะได้ดูละครฉากเด็ดของตระกูลเหอ เธอจึงบอกไปว่าไม่อยากซื้อเสื้อผ้าใหม่แล้ว บอกเพียงว่ากลับไปถึงเมืองหลวงค่อยไปหาซื้อก็ไม่สาย การเอาบ้านคืนต่างหากคืองานราชงานหลวง


แม้ว่าบ้านหลังนั้นที่ตระกูลเหออาศัยอยู่จะไกลไปบ้าง แต่อีกยี่สิบปีข้างหน้า ที่นั่นจะกลายเป็นเขตพื้นที่ใหม่ของเมืองจิน บ้านหลังนั้นจะต้องถูกรื้อถอน และแลกเป็นเงินค่ารื้อถอนด้วยราคามหาศาล และยังถูกแยกออกเป็นห้องชุดถึงห้าห้อง


คุณยายเหอนี่ฉลาดนัก ครอบครัวตัวเองอาศัยอยู่แค่หนึ่งห้อง เหลืออีกสี่ห้องจึงปล่อยออกให้คนมาเช่าอยู่ ทุกเดือนทำแค่เก็บเงินค่าเช่าก็มีเงินให้ใช้จ่ายอย่างล้นเหลือ มีฐานะที่ดีขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน


ของพวกนี้เป็นของแม่เธอตั้งแต่แรกแล้ว พวกเนรคุณใจดำอำมหิตเลวทรามต่ำช้านั่นมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้?


อู่เหมยรู้สึกแปลกใจมาก เมื่อชาติที่แล้วทำไมเหยียนซินหย่าถึงไม่เอาบ้านหลังนั้นคืนล่ะ!


เหยียนซินหย่าเห็นท่าทีร้อนใจจนเท้าไม่ติดพื้นของลูกจึงอดขำไม่ได้ แต่เธอยิ่งรู้สึกโกรธแค้นต่อตระกูลเหอเป็นอย่างมาก ตอนลูกสาวเธออยู่ที่นั่นจะต้องได้รับความไม่เป็นธรรมต่างๆ นานาอย่างแน่นอน เธอถึงได้รีบร้อนขนาดนี้ แม้แต่เสื้อผ้าใหม่เธอยังไม่ต้องการเลย!


ช่างเป็นความเข้าใจผิดที่งดงามเหลือเกิน!


“งั้นเอาตามที่เหมยเหมยต้องการละกัน แต่เราต้องกลับไปเอาของบางอย่างที่บ้านหลังเก่าของแม่ก่อน” เหยียนซินหย่าพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ


อู่เหมยกลอกตาไปมา ได้ยินแบบนี้หมายความว่าคุณตาของเธอยังมีบ้านอยู่ในเมืองจินอีก?


แต่เมื่อคิดแบบผ่านๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คุณตาของเธอ เหยียนตานชิง เขาเองก็มีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคสาธารณรัฐ นอกจากการวาดภาพแล้ว เหยียนตานชิงยังมีตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย และเขาก็เป็นถึงจิตรกรและล่ามที่มีค่าตัวสูงลิ่ว เป็นธรรมดาที่ฐานะทางบ้านต้องไม่ธรรมดา เขาสามารถซื้อบ้านหลายๆ หลังในเขตเมืองจินได้ถือว่าไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไร


อีกอย่างเธอเคยได้ยินมาว่าเหยียนตานชิงเป็นถึงทายาทของมหาเศรษฐี มิเช่นนั้นจะเอาเงินจากไหนมาส่งเสียตัวเองให้ไปเรียนถึงต่างประเทศ?


ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ออกไปเล่าเรียนไกลถึงต่างประเทศมักจะมีฐานะ คนจนไม่มีเงินพอ และไม่มีเวลาว่างจากงาน!


จ้าวอิงหนานจึงขอตามไปด้วย พ่อสยงก็ไม่ค่อยวางใจพวกผู้หญิงสักเท่าไหร่ จึงได้ตามไปกับพวกเธอด้วย พวกเขาเดินไปทางถนนฮวายไห่ด้วยกัน


“คุณตาไม่ค่อยชอบซื้อบ้านสักเท่าไหร่ ท่านซื้อบ้านในเมืองจินไว้เพียงสามแห่ง ที่แรกเลยเป็นบ้านที่ตระกูลเหออาศัยอยู่ อีกที่อยู่ที่ถนนฮวายไห่ ที่นั่นเป็นบ้านที่คุณตาชอบที่สุด ส่วนใหญ่ท่านจะอาศัยอยู่ที่นั่น ส่วนบ้านอีกหลังอยู่ที่เขตจิ้งอัน ที่นั่นมีวิวทิวทัศน์สวยงาม ด้านหน้าด้านหลังมีแม่น้ำรายล้อม เอาไว้ช่วงหน้าร้อนเราค่อยไปพักผ่อนที่นั่นกัน”


เหยียนซินหย่าแนะนำบ้านให้เธอได้ฟังด้วยเสียงอันเบา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดถึงเลย เพราะมันทำให้เธอเจ็บปวด!


แต่ในตอนนี้เธอสามารถพูดถึงมันได้ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แม้ว่าในใจจะยังรู้สึกเป็นทุกข์ แต่เธอยังมีความหวัง ต่อให้ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานถึงเพียงไหน เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ มีชีวิตอยู่แทนพ่อและแม่ของเธอ


เหมยเหมยได้ฟังยิ่งเกิดอาการหอบ โอ้แม่เจ้า ซื้อบ้านไว้สามหลังแต่ยังบอกว่าไม่ชอบที่จะซื้อบ้าน แม่ของเธอช่างเป็นคนที่ความสามารถสูงด้านการแสดงเสียจริง!


รอให้เข้าไปถึงบ้านในเขตถนนฮวายไห่ที่คุณตาเธอรักที่สุด อู่เหมยจะต้องตกตะลึงมากกว่านี้ และจะต้องรู้สึกศรัทธาต่อแม่ตัวเองยิ่งกว่าเดิม!


มีบ้านหลังใหญ่น่าอยู่ขนาดนี้แต่ไม่ยอมอยู่ เธอกลับเลือกที่จะไปอาศัยอยู่ที่บ้านรับรอง ช่างเป็น…


บ้านของตระกูลเหยียนเป็นบ้านสวนสไตล์ยุโรป เป็นบ้านสองชั้นเล็กๆ พื้นที่ไม่ได้กว้างมาก แต่หากอยู่รวมกันหกคนก็ยังคงพอมีพื้นที่เหลือให้ใช้สอย และที่นี่มีวิวทิวทัศน์ดีมาก สวนด้านหน้ามีสระน้ำที่ไม่ถึงกับเล็กมาก ในสระยังมีเศษซากของใบบัวที่เหี่ยวแห้งหลงเหลืออยู่


พอลองจินตนาการ หากช่วงฤดูร้อนมาถึง เมื่อเปิดประตูหน้าต่างจากด้านบนของตึก ก็จะเห็นใบบัวเขียวขจีกำลังเบ่งบานขึ้นเต็มสระ และยังได้เห็นถึงความงดงามของดอกบัวที่เบ่งบานปะทะกับสายลมในช่วงฤดูร้อน เมื่อได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามตรงหน้า ความรู้สึกนึกคิดรวมทั้งความกังวลภายในใจจะถูกพัดพาให้หายไปพร้อมกับสายลม!


นอกจากสระบัวแล้ว ยังมีสนามหญ้าและสวนดอกไม้ ส่วนบริเวณสวนด้านหลังเป็นสวนดอกเหมยขนาดย่อม ที่ได้ปลูกเหมยแดง เหมยขาว และเหมยเหลืองเอาไว้รวมถึงเหมยสีอื่นๆ ด้วย สีสันผสมผสานละลานตา กลิ่นหอมครุกรุ่นทั่วทั้งสวน ทำให้คนเรารู้สึกผ่อนคลายสบายใจและมีความสุขได้จริงๆ


เหมยเหมยสูดหายใจเข้าแรงๆ และเคลิบเคลิ้มไปกับสิ่งนั้น สถานที่ดีๆ แบบนี้ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะไม่ยอมอยู่!


…………………………………………………………………………………………..


 [1] หนึ่งหมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร


ตอนที่ 539 เรียกแม่ด้วยความรู้สึกจากใจจริง


แม้ว่าบ้านหลังนี้จะสวยงามก็จริง แต่กลับเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง มีบานประตูบางบานหลุดออกไป เหมยเหมยไม่ต้องรอให้เหยียนซินหย่าอธิบายก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณตาคุณยายของเธอเคยถูกโจมตีมาก่อน บ้านดีๆ แบบนี้แน่นอนว่าต้องรักษาไว้ได้ยาก


เหมือนว่าบ้านแบบนี้ถูกเรียกเก็บไป ในช่วงนั้นคนที่อยู่อาศัยได้ส่วนใหญ่จะต้องมีฐานะดีและมีชาติตระกูลเท่านั้น หากว่าครอบครัวที่มีพื้นฐานเดิมดีอยู่แล้วก็ถือว่าเป็นความโชคดีไป แต่หากครอบครัวที่มีพื้นฐานแย่นั้น บ้านหลังนั้นๆ อาจจะต้องถูกรื้อถอนไปเลย


ดูเหมือนว่าครอบครัวเธอจะไม่ได้โชคดีเท่าไรนัก บานประตูถูกรื้ออกไปเสียหมด ไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นเอาบานประตูไปแล้วทำอะไรได้!


และยังมีลายมือไก่เขี่ยที่ติดอยู่บนกำแพงนั่นอีก หากอีกหน่อยขุดลอกปูนขาวออก คงจะเป็นไปไม่ได้หากทุกคนจะไม่พูดถึงเจ้าของบ้านหลังนี้ ว่าเขานั้นไม่รักบ้านหลังนี้เอาเสียเลย!


บ้านหลังนี้ต้องได้รับการซ่อมแซมที่ดีก่อน มิเช่นนั้นคงจะอยู่อาศัยไม่ได้ อีกหน่อยต้องหาโอกาสคุยกับเหยียนซินหย่า เพื่อซ่อมแซมบ้านหลังนี้ให้ดี แล้วพวกเธอก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ บ้านดีๆ แบบนี้ ถ้าไม่อยู่คงเสียดายแทน!


“บ้านหลังนี้ได้คืนกลับมาเมื่อห้าปีก่อนเอง ฉันไม่เคยกลับมาทำความสะอาดเลย แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ วันหลังค่อยหาช่างเข้ามาซ่อมแซมแล้ว” เหยียนซินหย่ามองสำรวจบ้านที่ถูกรื้อด้วยความเจ็บปวด และเอาแต่โทษตัวเอง


สิบสองปีที่ผ่านมาเธอมีชีวิตอยู่ราวกับคนตายที่ยังหายใจ ไม่ได้รับผิดชอบถึงหน้าที่ของภรรยา แม่ ลูกสาว ลูกสะใภ้เลย นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง!


จ้าวอิงหนานจงใจพูดขึ้น “สะใภ้รอง ต่อไปนี้เธอต้องลุกขึ้นสู้ เหมยเหมยยังรอที่จะให้เธอปกป้องนะ!”


“ฉันรู้ค่ะ เมื่อก่อนเป็นเพราะฉันคิดไม่ได้เอง ต่อไปฉันจะไม่เป็นแบบนั้นอีก ฉันจะต้องใช้ชีวิตในทุกๆ วันให้ดีที่สุด” ดวงตาของเหยียนซินหย่าส่อแววถึงความตั้งใจและหนักแน่นเป็นไหนๆ


เธอได้เดินนำทุกคนเข้ามายังห้องหนังสือ ภายในห้องรกรุงรังเป็นอย่างมาก ด้านในหลงเหลืออยู่เพียงแค่โต๊ะหนังสือตัวเดียว ส่วนด้านหลังของห้องมีตู้หนังสือที่ตั้งติดกับตัวผนังห้อง เหยียนซินหย่าสั่งให้จ้าวเสวียหลินผลักตู้ตัวนั้นออก ทำให้ปรากฏช่องว่างเล็กๆ ขึ้น


“ตรงนี้เป็นที่ที่คุณตามักจะซ่อนของมีค่าเอาไว้ เมื่อห้าปีก่อนที่ได้บ้านหลังนี้คืนมา แม่ได้ให้พ่อของลูกๆ นำเอาโฉนดที่ดินต่างๆ มาเก็บไว้ที่นี่ แม่ไม่อยากเจ็บปวดเพราะได้เห็นของพวกนี้”


ที่แท้ช่องเล็กๆ นี่คือตู้เซฟนิรภัยขนาดเล็ก เหยียนซินหย่าจึงใช้กุญแจไขเพื่อเปิดเซฟออก ด้านในมีซองจดหมายราชการวางอยู่หนึ่งซอง ด้านในเก็บโฉนดของบ้านทั้งสามหลังไว้ เหยียนซินหย่าหยิบโฉนดของบ้านตระกูลเหอออกมา และวางโฉนดอีกสองใบกลับไว้ตามเดิม


“พวกเราไปที่บ้านตระกูลเหอกัน เหมยเหมย ตอนนั้นพวกเขาไม่ให้ลูกเข้าไปกินข้าวในบ้าน แต่ตอนนี้แม่จะทำให้พวกเขาต้องไปกินข้าวฉลองปีใหม่ที่ข้างถนน” เหยียนซินหย่าเยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า


อู่เหมยเผยรอยยิ้มออกมาอย่างดีใจ และรีบพูดขึ้นอีกครั้ง “ขอบคุณค่ะแม่!”


ครั้งนี้เธอรู้สึกตัวทุกอย่าง ในวันนี้เธอเรียกแม่ออกไปถึงสองครั้ง!


และไม่ได้เป็นการเรียกเพื่อผลประโยชน์ใดๆ แต่เป็นการเรียกที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ น่าจะเป็นเพราะเกิดจากความรู้สึกจริงๆ ในใจ เพราะเหยียนซินหย่าดีต่อเธอขนาดนี้ ทำให้เธอที่อยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองด้วยความรักของคนเป็นแม่ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเองโดยไม่ต้องให้ใครบอก


มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง พอมีครั้งที่สองก็จะต้องมีครั้งที่สาม และก็จะค่อยๆ ข้ามผ่านสิ่งที่ยากที่สุดไปได้ เมื่อเหมยเหมยเรียกเธอว่าแม่ครั้งหนึ่ง ก็ไม่ได้รู้สึกขัดเคืองอีกต่อไป สามารถเรียกออกมาได้อย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติที่สุด


บรรยากาศในบ้านตระกูลเหอตอนนี้ไม่ค่อยยดีนัก เหอปี้อวิ๋นพาอู่เยวี่ยกลับมาที่บ้านด้วย ทั้งคู่ใบหน้าซีดเซียว พวกเธอพกเสื้อผ้าที่เหมาะแก่การสับเปลี่ยนใส่ซักแค่ไม่กี่ชุด รอยฟกช้ำบนใบหน้าบ่งบอกได้ว่าได้ผ่านการถูกทำร้ายมา


คุณยายเหอไม่ได้มีอารมณ์มาสนใจว่าลูกสาวจะถูกทิ้งหรือไม่ เมื่อเธอได้ฟังที่เหอปี้อวิ๋นพูดว่าเหยียนซินหย่าได้กลับมาแล้วพลันรู้สึกตื่นตกใจ ความหวาดกลัวในใจได้คลืบคลานตามมา


“ตาแก่ เอ็งรีบเอาเหล้าสักสองขวดไปให้กับผู้ใหญ่บ้านทีสิ แล้วขอให้เขาช่วยเซ็นเป็นพยานให้ ว่าบ้านหลังนี้เป็นของเรา พวกเราไม่ระวังจึงทำโฉนดบ้านหาย รีบไปตอนที่ยังมีคนทำงานอยู่ แล้วแจ้งทำเรื่องออกโฉนดให้เราใหม่ด้วย”


คุณยายเหอเอาแต่เร่งคุณตาเหอ เธอร้อนใจดั่งถูกเปลวไฟเผาไหม้ และไม่ได้สนใจต่อสองแม่ลูกอย่างเหอปี้อวิ๋นเลย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 540 ความเสียใจของคุณยาย


คุณยายเหอรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหลานสาวคนเล็กจะเป็นลูกสาวของเหยียนซินหย่าที่ถูกลูกเขยของเธอขโมยมา ไม่แปลกเลยที่หลานสาวคนเล็กมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกับลูกสาวเธอเลย แต่กลับมีหน้าตาคล้ายเหยียนซินหย่าราวกับตีพิมพ์ออกมา


คนในบ้านเธอทำกับเหยียนซินหย่าอย่างไร คุณยายเหอรู้ดีอยู่แก่ใจ ตระกูลเธอได้ทำผิดไว้กับตระกูลเหยียน หากคนไม่รักตัวเอง ฟ้าดินย่อมประหัดประหาร[1] เธอไม่เคยรู้สึกผิดเลยสักนิด แต่ก่อนเข้าใจว่าเหยียนซินหย่าได้ตายไปแล้ว ใครจะรู้ว่าเธอยังไม่ตาย กลับกันในตอนนี้ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ซ้ำยังได้สามีที่เป็นดั่งขุนนางใหญ่


และนี่ถือเป็นสิ่งที่เธอกลัวมากที่สุด!


สามัญชนไม่อาจสู้กับขุนนางได้ ครอบครัวของเธอเป็นเพียงแค่สามัญชนคนธรรมดา หากเจอกับคนที่มีฐานะราวขุนนางก็ไม่อาจนั่งให้ตัวตรงได้แล้ว ใครจะเอาความกล้าจากไหนมาสู้กับพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ล่ะ!


ถือว่าคุณยายเหอเข้าใจความรู้สึกของเหยียนซินหย่าพอสมควร หลานสาวของลูกพี่ลูกน้องเธอไม่ได้เป็นคนเห็นแก่วัตถุสิ่งของแต่อย่างใด หากไม่มีเรื่องของเหมยเหมยเกิดขึ้น บางทีเธออาจจะไม่นึกถึงบ้านหลังนี้เลยก็ได้


แต่ในตอนนี้ลูกเขยตัวดีของเธอได้ขโมยลูกสาวของคนอื่นมา ไม่เพียงปฏิบัติกับเด็กได้ย่ำแย่เท่านั้น แต่เขายังยอมให้ลูกสาวของเธอทารุณกรรมเด็กคนนี้อีกด้วย จะมีพ่อแม่คนไหนที่จะไม่โกรธแค้นต่อคนที่ทำร้ายลูกตัวเองแบบนี้?


ครั้งนี้ต้องจบจริงๆ แน่ เหยียนซินหย่าคงได้เอาบัญชีเก่าและบัญชีใหม่มาคิดทบรวมกันแล้วจัดการทีเดียวแน่ เธอจะต้องกลับมาทวงคืนบ้านหลังเป็นแน่!


คุณยายเหอรู้สึกเสียใจและหวาดกลัวจนซีดเผือดไปทั้งลำไส้ ในช่วงก่อนหน้านั้นผู้ใหญ่บ้านแค่แสดงออกว่าอยากจะช่วย หากเธอยอมติดสินบนเขาด้วยเหล้าเหมาไถ เขาก็จะช่วยเป็นพยานให้ ขอแค่มีพยาน เธอก็จะสามารถแจ้งเรื่องออกโฉนดใหม่ได้ และบ้านหลังนี้ก็จะกลายเป็นของเธอได้โดยชอบธรรม


แต่ในตอนนั้นเธอรู้สึกเสียดายเหล้าเหมาไถสองขวดนั้น คิดเพียงว่าถึงอย่างไรเหยียนซินหย่าก็ได้ตายไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็ไร้เจ้าของไป มีหรือไม่มีโฉนดก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะคนที่อาศัยอยู่ก็จะเป็นเจ้าของไปโดยปริยาย ทำไมจะต้องเอาเหล้าดีๆ ไปแลกกับคนอย่างผู้ใหญ่บ้านด้วย?


คุณยายเหอจ้องมองเหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกด้วยความดุดัน ทั้งหมดเป็นเพราะตัวปัญหาทั้งสองนี่แท้ๆ รอให้จัดการเรื่องบ้านเสร็จ ค่อยกลับมาจัดการยายพวกนี้!


“ตาแก่ ทำอะไรให้ไวกว่านี้หน่อยเถอะ รีบเอาเหล้าเหมาไถสองขวดนี้ไปให้ผู้ใหญ่บ้านแล้วเอาพยานหลักฐานกลับมาด้วย ช่วงบ่ายเราต้องไปแจ้งทำเรื่องออกโฉนดใหม่นะ!”


คุณยายเหอเข้าไปหยิบเหล้าเหมาไถสองขวดจากในห้องออกมา และเร่งรัดให้คุณตาอู่ไปจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ เธอต้องรีบจัดการเรื่องบ้านให้เสร็จก่อนที่เหยียนซินหย่าจะนึกได้แล้วกลับมาทวงคืน ขอแค่มีบ้านให้อยู่ เธอก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว!


คุณตาเหอเกิดความรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากทำเรื่องนี้เพราะเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่เขาก็กลัวว่าจะต้องได้ไปนอนเร่ร่อนข้างถนน ด้วยนิสัยเห็นแก่ตัวและอ่อนแอของเขา สุดท้ายจึงเลือกที่จะทำ ตัวเขาเองพยายามหาเหตุผลให้ตัวเอง


นั่นคือภรรยาของเขาดุ เขาไม่อาจค้านอะไรเธอได้


ระหว่างที่จะไปพบผู้ใหญ่บ้านถือว่าเป็นอะไรที่สบายมาก เขารับเอาเหล้าเหมาไถทั้งสองขวดไป และเซ็นหลักฐานการเป็นพยานให้ในทันที ทั้งยังปั๊มตราประทับราชการให้ด้วย พอหลักฐานถึงมือคุณยายเหอ เธอก็รู้สึกวางใจได้ครึ่งหนึ่ง


“รีบกินข้าวสิ กินเสร็จจะได้รีบเข้าเมืองเพื่อไปทำเรื่อง เฮ้อ! ขอแค่แม่ทำเรื่องออกโฉนดบ้านได้ คนมีอำนาจบาตรใหญ่มาจากไหนก็ไม่กลัวทั้งนั้น!”


คุณยายเหอรู้สึกมั่นใจเป็นอย่างมาก เธอตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียด เธอต้มบะหมี่เพิ่มเล็กน้อย กินเสร็จจึงได้เตรียมตัวเข้าเมืองเพื่อไปทำเรื่อง หากว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาพักกลางวัน เธอคงจะรีบไปโดยไม่แม้แต่จะกินข้าว


แต่คุณยายเหอดีใจเร็วเกิน แม้ว่าแผนกจัดการที่เกี่ยวข้องจะรับเรื่องและเก็บเอกสารทุกอย่างไว้ แต่เขาบอกเพียงแค่ว่าต้องผ่านการตรวจสอบจากเบื้องบน โดยทำตามขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับ และอาจจะยืดเยื้อไปถึงปลายปี


ไม่ว่าคุณยายเหอจะขอร้องด้วยวิธีไหน เจ้าหน้าที่ในแผนกต่างก็ให้คำตอบเช่นเดิม โดยสำนักงานยุติธรรมจะไม่สามารถพูดหรือทำด้วยความเห็นใจใดๆ ได้ คุณยายเหอจึงต้องกลับบ้านมาอย่างคอตก เธอร้องอธิษฐานในใจ เหยียนซินหย่าคงไม่ได้กลับมาเร็วขนาดนั้น ถ้าจะให้ดีขอให้เธอมาช้ากว่ากำหนด ค่อยโผล่หน้ามาในช่วงที่ทำเรื่องออกโฉนดเสร็จสิ้นก็ยังดี!


คุณตาเหยียนรีบร้อนเกินไปจึงไม่ได้สนใจอะไรเธอมาก คุณตาเหอและคุณยายเหอยังไม่ทันก้าวขาหน้าเดินเข้าประตูบ้านได้ เหยียนซินหย่าและคนอื่นๆ ก็ตามมาจากด้านหลัง


“คุณลุง คุณป้า ไม่เจอกันตั้งสิบสองปี ดูเหมือนพวกคุณจะสบายดีนะคะ!” เหยียนซินหย่าเอ่ยทักทายขึ้นพลางจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา


…………………………………………………………………………………………..


[1] คนที่ไม่คิดอ่านการกระทำ ย่อมประสบหายนะ


ตอนที่ 541 โยนของออกไปทิ้งให้หมด


ฮูหยินผู้เฒ่าเหอสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเหยียนซินหย่า ด้านท่านผู้เฒ่าเหอดวงตาพลันฉายแววดีใจแวบหนึ่ง ดูท่าทางหลานสาวจะมีชีวิตที่ดีไม่น้อย เฮ้อ ใจเขารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ!


“ซินหย่ามาแล้วเหรอ เมื่อกี้ฉันยังคุยกับคุณน้าเธออยู่เลยว่าจะเชิญครอบครัวพวกเธอมาทานข้าวเย็นที่บ้าน กำลังจะโทรไปเชียว!”


หลังฮูหยินผู้เฒ่าลนลานชั่วขณะ แต่ไม่นานก็กลับไปใจเย็นเหมือนเดิม ยิ้มรับด้วยใบหน้าปลื้มปีติ ทำให้คนคิดไม่ถึงเลยว่ายายแก่คนนี้เมื่อสักครู่ยังคิดจะฮุบบ้านคนอื่นอยู่ด้วยซ้ำไป


ท่านผู้เฒ่าเหอเองก็พูดคล้อยตามเสียงอ่อน “ซินหย่ารีบเข้ามานั่งเร็ว ข้างนอกหนาว อย่าทำให้เด็กต้องไม่สบาย!”


เหยียนซินหย่าคอยมองทั้งสองคนที่กำลังปั้นหน้าเสแสร้งด้วยแววตาฉายแววเย็นชา ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยรู้ว่าคุณน้าชายและน้าสะใภ้ที่แสนดีของเธอเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยมได้เช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อตอนที่ทั้งคู่ทำท่าน่าสงสารเพื่อหลอกความเห็นใจจากพ่อแม่ของเธอ


ตอนนั้นพวกเขาก็พูดจาปากหวานกับตัวเองเหมือนอย่างตอนนี้ ปากพูดดีแต่ในใจกลับคิดชั่วดั่งอสรพิษ พอพ่อแม่เกิดเรื่องพวกเขาก็พลิกหน้าไวยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ เลือดเย็นอำมหิตที่สุด!


“นี่เป็นบ้านของเราเอง ฉันจะเข้าเมื่อไหร่ก็เรื่องของฉัน ต้องรอให้พวกคุณมาต้อนรับตั้งแต่เมื่อไหร่?”


เหมยเหมยยืนอยู่ข้างเหยียนซินหย่าและมองคุณแม่แท้ๆ ของตัวเองอย่างชื่นชม ไม่คิดว่าภายนอกแม่แท้ๆ ของเธอที่ดูอ่อนแอไม่สู้คน พอได้แผลงฤทธิ์ก็แสบจริงๆ!


ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเหอเริ่มดำดิ่งและรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี อย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด ยายนี่มาคิดบัญชีแล้ว!


ท่านผู้เฒ่าเหอรู้สึกขายหน้าจนไม่กล้าเงยหน้า ไม่มีหน้าจะเผชิญเหยียนซินหย่า ก้มหน้างุดไม่ส่งเสียงใดๆ แต่กลับโอดครวญในใจเล็กน้อย


อีกสองวันก็ใกล้วันสิ้นปีแล้ว ทำไมหลานสาวไม่ให้ครอบครัวเขาได้ใช้เวลาช่วงปีใหม่ที่แสนสงบบ้าง?


ต้องมาหาเรื่องเวลานี้ให้ได้เลยหรือ?


ทนมาได้ตั้งสิบกว่าปี ทนอีกแค่ไม่กี่วันไม่ได้หรืออย่างไร?


ท่านผู้เฒ่าเหอเค้นใบหน้าขึ้นมายิ้มและมองเหมยเหมยที่วันนี้ต่างไปจากเดิม นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่เธอได้ประเมินโฉมหน้าเหมยเหมยในระยะประชิด เห็นดวงหน้าเหมยเหมยที่คล้ายคลึงเหยียนซินหย่า ฮูหยินผู้เฒ่าเหอก็ลอบด่าลูกสาวว่าโง่ในใจ


ดวงหน้าที่ชัดเจนขนาดนี้ต่อให้เป็นหมูก็ต้องคิดสักหน่อย แต่เหอปี้อวิ๋นกลับไม่คิดอะไรสักนิด ฮูหยินผู้เฒ่าเหอด่ากราดเหอปี้อวิ๋นในใจจนไม่เหลือชิ้นดี


“หน้าตาเหมยเหมยเหมือนซินหย่าตอนเด็กเป๊ะเลยนะ ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าเหมยเหมยเป็นลูกสาวของเธอนี่เองซินหย่า ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ต้องฉลองสักหน่อย คุณคะ รีบไปจุดประทัดเร็ว จุดอันที่เสียงดังที่สุดเลยนะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าเหอทำท่าเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เหยียนซินหย่าพูดไว้ก่อนหน้า คอยพูดชมว่าเหมยเหมยหน้าตาดีไม่หยุด พูดดีเอาอกเอาใจชุดใหญ่ รอยยิ้มบนใบหน้าแสนจะจริงใจที่ดูก็เหมือนเป็นคุณยายใจดีคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเหมยเหมยเคยโดนฮูหยินผู้เฒ่าเหอชักสีหน้าและดุด่าใส่อย่างร้ายกาจ ไม่แน่เธออาจซาบซึ้งใจไปแล้วก็ได้!


ท่านผู้เฒ่าเหอหมุนตัวกลับเข้าบ้านไปจุดประทัดด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม มองดูทั้งคู่แล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมยเหมยในเวลานี้รู้สึกเพียงแค่เหมือนได้เปิดโลก ทำไมโลกนี้ถึงมีคนหน้าไม่อายขนาดนี้?


“พี่คะ เข้าไปเอาของพวกเขาโยนทิ้งให้หมดเลยนะ ไม่ต้องเสียเวลาคุยแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยสิ!” เหมยเหมยตะโกนใส่จ้าวเสวียหลิน


น้องสาวคนเล็กออกคำสั่งเช่นนี้ จ้าวเสวียหลินก็ไม่กล้าฝืนคำสั่ง!


จ้าวเสวียหลินก้าวขายาวขวางท่านผู้เฒ่าเหอไว้นอกประตู เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีที่ตัวสูงกว่าท่านผู้เฒ่าเหอกว่าคืบ ก้มมองตาแก่ที่แต่เดิมควรเรียกว่าตาเล็กด้วยสายตาเย็นชาและทำหน้ารังเกียจ


“แม่ของฉันใจดีให้ครอบครัวใจทรามอย่างพวกคุณพักอาศัยที่นี่ฟรีๆ หลายปีแล้ว แต่ฉันไม่เห็นด้วยนะ เห็นแก่ว่าพวกคุณแก่กันทั้งคู่แล้ว ฉันจะถือว่าที่ผ่านมาได้ทำความดีบ้าง ก็เลยจะช่วยย้ายกองขยะที่อยู่ข้างในของพวกคุณออกมาให้แล้วกัน”


……………………


ตอนที่ 542 คิดบัญชีเก่าและใหม่พร้อมกัน


จ้าวเสวียหลินคิดอยากจะสั่งสอนญาติเหล่านี้ของแม่มาตั้งนานแล้ว แค่เสียดายว่าเมื่อก่อนเขาอยู่ทางใต้ไม่สามารถมาแก้แค้นแทนคุณแม่ของเขาได้ แต่ตอนนี้ถือว่าได้ทำในสิ่งที่หวังแล้ว!


สยงมู่มู่เป็นลูกหมาตามติดก้นจ้าวเสวียหลินต้อยๆ มาแต่เด็ก เห็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองออกโรงก็รู้สึกฮึกเหิมพลันเข้ามาร่วมวงอีกคน แค่รอจ้าวเสวียหลินลงมือเขาจะตามทันที


เหยียนซินหย่าพูดเสียงเย็นชา “เสวียหลิน เอาของข้างในโยนออกมาให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว!”


“ได้ แม่รอดูเถอะ!”


จ้าวเสวียหลินได้รับคำอนุญาตถูฝ่ามือพุ่งเข้าไปข้างใน เห็นเสื้อผ้าหลากหลายสีสันที่ตากอยู่ในหน้าบ้านพลางพูดสั่งสยงมู่มู่ “นายไปเอาเศษผ้าพวกนั้นทิ้งซะ!”


สายตาของเขาแวววับเห็นแต่ไกลว่าเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ใหญ่ เขาเป็นถึงลูกผู้ชายจะไปทิ้งเสื้อผ้าของผู้หญิงได้อย่างไร?


งานแบบนี้ย่อมต้องให้น้องชายเป็นคนทำ ในเมื่อน้องชายถูกเลี้ยงเยี่ยงหญิงสาวมาแต่เด็ก ไม่สะเทือนหรอก!


รอสยงมู่มู่มุ่งมาตรงหน้าเสื้อผ้าก็ยืนตาค้าง รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายต้องไม่หวังดี เขาเองก็เป็นถึงลูกผู้ชาย ไม่มีทางแตะต้องเสื้อผ้าของพวกผู้หญิงแน่ๆ ไม่อย่างนั้นยายเหมยเหมยต้องหัวเราะเยาะเขาแน่!


เหมยเหมยเห็นแล้วก็รู้สึกขันก่อนจะวิ่งไปกวาดเสื้อผ้าให้เป็นกองเดียว ยู่ปากเข้าไปในบ้านก่อนจะบอกกับสยงมู่มู่ว่า “นายเข้าไปช่วยพี่ชายฉันเถอะ ข้างนอกฉันทำเอง!”


“วางใจได้ รับรองว่าไม่เหลือของพวกเขาสักชิ้นแน่!” สยงมู่มู่ตาเป็นประกาย สิ่งที่ชอบทำมากที่สุดก็คือพังบ้าน ครั้งนี้เขาได้รับสารจากเบื้องบนให้ทำได้ตามสบาย!


อู่เหมยยกเสื้อผ้ากองใหญ่วิ่งไปนอกประตูบ้านก่อนจะทิ้งมันทั้งหมดแล้ววิ่งกลับไป เห็นหน้าบ้านมีของอะไรที่ถือไหวยกไหวล้วนถูกเธอยกไปวางไว้ข้างนอกทั้งหมด เจ้าตัวอารมณ์ดีแทบระเบิด


ยึดบ้านของเธอดีนัก!


รังแกแม่ของเธอดีนัก!


เลี้ยงสัตว์เดรัจฉานอย่างเหอปี้อวิ๋นให้มาทรมานเธอดีนัก!


บัญชีเก่าและใหม่ทั้งหมดต้องสะสางให้สิ้น แค่ไล่ออกไปยังน้อยไปสำหรับครอบครัวที่ไม่สำนึกบุญคุณนี้ด้วยซ้ำ!


เทียบกับความทุกข์ยากที่เหยียนซินหย่าได้รับเมื่อครั้งนั้น เทียบกับชะตากรรมชีวิตแสนหดหู่เมื่อชาติที่แล้วของเธอ ไล่ออกไปจะเทียบอะไรได้?


“หยุดนะ ไอ้เด็กสวะหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องของของฉัน!”


ฮูหยินผู้เฒ่าเหอเห็นเหยียนซินหย่าเอาจริง เธอก็คร้านจะแสร้งเป็นมิตรด้วย วิ่งไปเก็บของที่ถูกโยนออกไปอย่างเคืองโกรธ ทั้งอยากกลับไปกระชากพวกเหมยเหมยไว้ อยากจะแยกร่างได้หลายๆ ร่างให้รู้แล้วรู้รอด!


“เหอเป่าจู้ คุณตายไปแล้วหรือไง ยังไม่รีบไปลากพวกเด็กแสบออกมาอีก เหอปี้อวิ๋นเธอสองแม่ลูกหูหนวกหรือยังไง โจรขึ้นบ้านแล้วยังไม่ออกมาช่วยอีก!”


ฮูหยินผู้เฒ่าเหอสมกับเป็นนักเลงครองหมู่บ้านในอดีต ไฟลุกโชนเต็มพิกัดทั้งยังไม่ลืมสั่งคนในบ้าน แล้วให้หลานชายวัยสิบสามปีไปตามสองสามีภรรยาเหอปี้สือกลับมา เห็นท่าทางเหยียนซินหย่าไม่แน่อาจจะต้องต่อสู้กันสักยก คนเยอะเข้าไว้ไม่เสียหาย!


คุณพ่อสยงขวางท่านผู้เฒ่าเหอที่เตรียมเข้าบ้านไว้ กล่าวเสียงเย็น “เด็กบ้านฉันค้นของบ้านตัวเอง ท่านผู้เฒ่าอยู่เฉยๆ จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าว่าฉันไม่เตือน!”


ท่านผู้เฒ่าเหอกวาดมองร่างบึกบึนแข็งแรงของคุณพ่อสยงก็ขี้ขลาดตาขาวตัวหดยิ่งกว่าลูกไก่ตัวหนึ่ง จะกล้ามาแข็งข้อเสียที่ไหนล่ะ สุดท้ายก็ทำหน้าเจื่อนหลบไปตรงมุมกำแพงแล้วถอนหายใจยาว


เหอปี้อวิ๋นที่ได้ยินเสียงเรียกของฮูหยินผู้เฒ่าเหอก็ตื่นจากภวังค์ เธอกับอู่เยวี่ยพุ่งออกมา เห็นเหยียนซินหย่าก็ตาแดงก่ำ เหอปี้อวิ๋นโถมตัวเข้าไปหาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวพร้อมปากที่ร้องเสียงดัง


“เหยียนซินหย่านังแพศยา คืนลูกชายฉันมานะ แกกับอู่เจิ้งซือชายโฉดหญิงชั่วสมคบคิดทำร้ายลูกชายของฉัน ฉันจะฆ่าแก!”


………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)