ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 515-522
ตอนที่ 515 จิ่วโจว
ประโยคนี้ของเขาเท่ากับสาดน้ำเย็นลงมาบนศีรษะของตู๋กูซิงหลัน
นางสลบไปห้าวัน บาดแผลบนปลายนิ้วประสานกันหมดแล้ว
ความสามารถในการฟื้นตัวของนางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อาการบอบช้ำภายในก็หายจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว
ยามนี้สายตาของนางต้องอึมครึมลงไปกว่าเดิม พลางเอ่ยถามว่า “ในหมู่องครักษ์ลับของจีเฉวียนมีคนกลับมาหรือไม่?”
ตู๋กูจุนถอนหายใจ ค่อยตอบนางตามจริงว่า “ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
พอได้รับคำตอบเช่นนี้ หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็ยุบลงติดพื้น
ตอนที่เกิดเหตุระเบิดที่ก้นทะเลลึกนั้น ด้วยพลังระเบิดที่รุนแรงขนาดนั้น หากไม่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งปกป้องคุ้มครอง แม้แต่ตายก็คงต้องดับสูญชนิดไม่หลงเหลือเถ้ากระดูกใดๆอีก
ชือหลีถูกเยี่ยอิงตัดมือและเท้า ตู๋กูซิงหลันเป็นคนส่งนางให้กับองครักษ์ลับที่จีเฉวียนพามากับมือ หากว่าเหล่าองครักษ์ลับไม่มีผู้ใดเหลือรอดกลับมาละก็….เช่นนั้นชือหลี…..ก็คงจะอับโชคมากกว่ามีวาสนาเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันปิดตาลง หัวใจรู้สึกเหมือนถูกกรีดหนักๆอีกครั้ง
นางไม่เพียงแต่สูญเสียญาติสนิทและคนรัก ทั้งยังต้องสูญเสียสหายรัก
พี่รองได้รับถ่ายทอดพลังกระหายเลือดจากบิดาคนงาม สมควรไม่ตายโดยง่าย…..เพียงแต่เนิ่นนานยังคงไร้ข่าวคราว
เพราะการต่อสู้ของจีเฉวียน นางจึงได้รับชัยชนะมาอย่างสุขสบาย ครอบครองแผ่นดินทั้งหมด แต่ว่านั่นจะมีความหมายอะไร?
ความรุ่งโรจน์ที่ได้ควรมีผู้ร่วมแบ่งปันชื่นชม ก็กลายเป็นความเปลี่ยวเหงาที่เย็นเฉียบเท่านั้น
นางได้แต่แค้นที่ตนเองไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องคุ้มครองคนที่ตนรักได้ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนาง
ตู๋กูจุนเห็นสีหน้าของนางยิ่งทียิ่งเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ ก็เกรงว่านางจะทุกข์ใจจนกระอักเลือดออกมาอีก
จึงเอ่ยว่า “บรรดาบุรุษบำเรอของเจ้าพากันติดตามมาถึงต้าโจวแล้ว เจ้าไปดูเสียหน่อยดีหรือไม่?”
เขาอดไม่ได้ที่จะเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “แต่ว่าน่าเสียดาย ซูเยา บุรุษบำเรอที่เจ้าโปรดปรานที่สุดผู้นั้น นับตั้งแต่ที่เจ้าหายตัวไป เขาก็หายสาบสูญไปเช่นกัน…”
หลี่กงกงที่ฟังอยู่ด้านข้างแทบจะอยากเอาไม้ฟาดเขาสักสองที นี่ยิ่งเท่ากันว่าทิ่มแทงพระทัยของฮ่องเต้หญิงอีกครั้งมิใช่หรือ?
ที่เขาบอกว่า ‘นกน้อยจับคู่อยู่ด้วยกันในป่า แต่ยามภัยร้ายมาก็แยกกันโบยบิน’
ขนาดสามีภรรยายังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับบุรุษคนโปรดเล่า?
คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือฮ่องเต้จีเฉวียนของพวกเขาต่างหากรู้หรือไม่?
พระองค์ถึงขนาดยกทุกสิ่งในแผ่นดินให้กับไทเฮาน้อย ….. สุดท้ายแล้วตนเองกลับต้องหายสาบสูญ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ….ทำจนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ได้รับพระทัยของไทเฮาน้อยมาแม้สักเล็กน้อยอีกหรือ?
มีชีวิตมิสู้บุรุษบำเรอได้เลย
พูดถึงซูเยา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องก้มลงมองดูปลายนิ้วของตนเองอีกครั้งหนึ่ง นิ้วกลางมือซ้ายของนางยังมีแหวนจิ้งจอกสีแดงอยู่ พลังปีศาจที่อยู่ภายในหมุนวนเข้มข้น
จิ้งจอกน้อยยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้…..เขาคนเดียวเพียงลำพังจะไปที่ใดกันนะ?
“น้องเล็ก เจ้าอย่าได้เป็นทุกข์…. ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดินอยู่ในครอบครองของเจ้าแล้ว แค่บุรุษบำเรอหายไปคน ก็ยังมีบุรุษบำเรออีกเป็นพันเป็นหมื่นให้เจ้าได้เลือกเฟ้น ขอเพียงเจ้าพอใจ พี่ใหญ่ก็จะไปจับมาให้เจ้า” ตู๋กูจุนปลอบประโลมนาง
เป็นเพราะจีเฉวียนส่งมอบตำแหน่งฮ่องเต้ต้าโจวให้กับน้องเล็ก ทั้งยังให้แคว้นฉินยอมสยบต่อนาง …..ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีต่อจีเฉวียนในเรื่องฉางซุนอิงไปจนหมดสิ้น
แต่ว่าสุดท้าย ตอนนี้คนก็ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว จะอย่างไรย่อมไม่อาจให้น้องเล็กโดดเดี่ยวไร้คนเคียงข้างไปจนชั่วชีวิตกระมัง?
ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงฮ่องเต้หญิงผู้ครอบครองใต้หล้า …. หากไม่มีวังหลังอยู่บ้างก็ดูออกจะแปลกประหลาดไปซักหน่อย
หลี่กงกง “…..” ฮ่องเต้ของพวกเราทำอันใดผิดไป ถึงได้ถูกท่านไม่เหลียวแลเช่นนี้?
เพื่อไทเฮาน้อย ฝ่าบาทจึงได้ทรงชำระล้างวังหลังทั้งหมด ไทเฮาน้อยแค่ขาดบุรุษบำเรอไปคนสองคน ไม่ถือว่าเท่าไหร่กระมัง?
ตู๋กูซิงหลันโบกมือ นางไหนเลยจะยังมีแก่ใจไปจัดการดูแลบุรุษบำเรออีก
“ส่งออกไปทั้งหมด ให้พวกเขาเป็นอิสระ” ตู๋กูซิงหลันบอกออกไป
พวกเนื้ออ่อนเหล่านั้น ที่ตอนนั้นนางเก็บเอาไว้ข้างกายก็เพียงเพราะแค่ต้องการประชดจีเฉวียนเท่านั้น ก็แค่เอาไว้ยกน้ำร้อนรินน้ำชา ไม่ได้ทำอะไรกันเป็นจริงเป็นจัง
นางคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าสุดท้ายก็จะให้พวกเขาได้มีอิสระ
“ไม่เหลือเอาไว้แม้แต่คนเดียวเลยหรือ?” ตู๋กูจุนออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เนื่องเพราะบุรุษบำเรอเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีชาติตระกูลดี แต่ละคนยังรูปงามประดุจหยก ถือว่าต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้คนนับพัน น้องเล็กอยู่ๆบอกไม่เอา ก็ไม่เอาแล้วจริงๆ?
“ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว” ตู๋กูซิงหลันเบือนหน้าออกไป มองดูต้นฮว๋ายที่อยู่ด้านนอก
วังหลังของนางจะมีเพียงคนเดียว เขาแซ่จี นามว่าเฉวียน
หากว่าไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ เช่นนั้นที่ข้างกายนาง….ก็ไม่ต้องการบุรุษอื่นใดอีกแล้ว
ตู๋กูจุนรั้งอยู่พูดคุยอีกเล็กน้อย จึงค่อยจากไป
พอเขาไปแล้ว ก็เรียกเชียนเชียนให้กลับมาคอยปรนนิบัติตู๋กูซิงหลัน
สาวน้อยผู้นั้นพอได้พบนาง ก็ร่ำไห้จนจมูกแดง ดอกไห่ถังที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกง ผลิบานอยู่ทุกฤดู เชียนเชียนจึงนำพวกมันมาด้วยหลายกิ่ง
กลีบดอกสีแดง ดุจเปลวเพลิง
เช่นเดียวกับชุดกระโปรงของนาง
ตู๋กูซิงหลันมองดูดอกไห่ถังที่ปักอยู่ในแจกันหยกก็อดจะคิดถึงคำพูดของอาจารย์ขึ้นมาไม่ได้
รอจนศิลาโลหิตผลิบาน เขาก็จะกลับมา
หากอาจารย์กลับมาแล้ว …..จีเฉวียนก็จะกลับมาด้วยหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ครุ่นคิดไปเรื่อยๆ
นางนำศิลาโลหิตออกมาจากในอ้อมอก ศิลาโลหิตที่เย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง เกิดจากเลือดที่ผนึกตัวเข้าหากันของอาจารย์ จนกลายเป็นศิลาที่แวววาวประดุจชิ้นหยก
นางสั่งให้เชียนเชียนไปหากระถางดอกไม้มาใบหนึ่ง นางเดินออกไปตักดินที่ใต้ต้นฮว๋ายมาหลายกำด้วยตนเอง
จากนั้นก็ค่อยๆวางศิลาโลหิตที่อาจารย์มอบให้กับนางลงไปปลูกในกระถางดอกไม้อย่างระมัดระวัง
ศิลาที่หลอมขึ้นจากโลหิตจะผลิดอกบานได้หรือ?
คำตอบของมันคืออะไร นางเองก็ไม่รู้
นางรู้แต่ว่า อาจารย์ไม่มีทางโกหกนางอย่างเด็ดขาด
ในเมื่อเขาบอกว่าจะกลับมา ก็ต้องกลับมาอย่างแน่นอน
…………………..
ดินแดนจิ่วโจว (สรวงสวรรค์)
ตั้งอยู่ห่างจากดินแดนของโลกโบราณด้วยระยะทางที่มีทะเลตะวันตกและก้นทะเลไร้บึ้งกางกั้น หากว่านำมาวางลงบนโลกปัจจุบันก็คงห่างกันราวทวีปเอเซียและทวีปอเมริกา
แต่แม้ว่าจะห่างไกลกันจนถึงเพียงนี้ ข่าวสารในดินแดนจิ่วโจวกลับรวดเร็วว่องไวอย่างยิ่ง
แคว้นใหญ่ทั้งห้า ขุมอำนาจใหญ่ทั้งสาม ต่างก็ได้ยินข่าวของดินแดนโบราณแล้ว
ไม่ว่าใครต่างก็นึกไม่ถึงว่าดินแดนที่ผู้คนแย่งชินกันมานานหลายปีสุดท้ายแล้วจะไปตกอยู่ในกำมือของสาวน้อยผู้หนึ่ง?
ได้ยินว่า เหล่าราษฏร์ทั้วทั้งแผ่นดินต่างก็ให้ความเคารพนบนอบนาง
หากเปรียบเทียบกับดินแดนโบราณนั่นแล้ว พลังวิญญาณในจิ่วโจวสมบูรณ์กว่ามาก เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรก็มีมากมาย
หากจะบอกว่าที่ดินแดนโบราณนานครั้งถึงจะมีภูติผีปีศาจโผล่ออกมาบ้าง ที่จิ่วโจวนั้นกลับมีจิตวิญญาณอยู่ดาษดื่นไปหมด
ผู้คนต่างมุ่งมั่นอยู่ที่การบำเพ็ญเพียรด้วยถือเป็นความรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะผู้คนในจิ่วโจวต่างก็เคยได้เห็นผู้ที่ฝึกฝนจนเกิดผลสำเร็จ กลายเป็นเทพเซียนที่เหาะเหินเดินอากาศได้
เรื่องที่เกิดขึ้นในก้นทะเลลึกไร้บึ้ง สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งจิ่วโจว
หลังจากที่เกิดเหตุระเบิดอย่างอึกทึกครึกโครมเช่นนั้นแล้ว เขตอาคมที่ปิดกั้นก้นทะเลลึกก็ถูกทำลายลง จนทำให้เกิดสมบัติวิเศษและโอกาสต่างๆไม่น้อย ที่จริงมีผู้บำเพ็ญตนในจิ่วโจวจำนวนไม่น้อยที่บุกไปที่นั้นเพื่อเสาะหาโชค
ข่าวคราวของแผ่นดินโบราณ ก็เป็นพวกเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้เดินทางไปยังก้นทะเลลึกนำกลับมา
สำหรับฮ่องเต้หญิงที่อายุเพียงสิบแปดปีก็ได้ครอบครองแผ่นดินนั้น เหล่าขุมอำนาจและแคว้นต่างๆในจิ่วโจวต่างก็แสดงความสนอกสนใจออกมาอย่างเต็มที่
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ได้ต้อนรับการมาเยือนจากสำนักหงเหมิงในดินแดนจิ่วโจว
ผู้มาเยือน ก็คือเทพบุตรของเจ้าสำนักหงเหมิง และเหล่านักพรตที่เป็นผู้ติดตามอีกกลุ่มใหญ่
ตู๋กูซิงหลันอนุญาตให้ผู้ถือสารของพวกเขามาเข้าเฝ้าที่พระตำหนักจิ่นซิ่วกง
ตอนที่ 516 เทวบุตรจากสำนักหงเหมิง
สำนักหงเหมินเป็นรองก็แต่เพียงวังตันติ่งกง สถานฝึกฝนวิชาเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวเท่านั้น
รองจากวังตันติ่งกงมีสามสำนักใหญ่ ในบรรดานั้น สำนักหงเหมิงถือว่าอ่อนแอที่สุด
ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอที่สุด แต่เหล่านักพรตที่พวกเขานำมาก็ยังแข็งแกร่งกว่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิงซานในดินแดนนี้มากมายนัก
ตู๋กูซิงหลันสวมฉลองพระองค์สีแดงตลอดร่าง บนเศียรสวมกว้านเยี่ยงฮ่องเต้หญิง ลูกปัดหยกแดงบนพระมาลายาวถึงบ่า ผิวพรรณขาวดุจหิมะแรก ดวงเนตรเย็นชาเสมือนทะเลสาบน้ำแข็ง
หลังผ่านประสบการณ์มาช่วงหนึ่ง นางก็เพิ่มพูนความเย็นชาในตัว ลดทอนความอ่อนประสบการณ์ออกไป
ยามประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ เพียงกวาดพระเนตรมองออกไป ก็เปี่ยมล้นไปด้วยบารมีสูงส่ง
ในตำหนักจิ่นซิ่วมีเหล่าขุนนางมาร่วมเข้าเฝ้าอยู่ไม่น้อย แม้แต่นักพรตอู๋เจินและอู๋ซื่อจากอารามเทียนเก๋อกวนก็ยังถูกเชิญมาร่วมเข้าเฝ้าในวัง
เทวบุตรของสำนักหงเหมิงและเหล่านักพรตทั้งหลายได้รับประทานอนุญาตจากตู๋กูซิงหลันให้นั่งลงได้ ตำแหน่งที่พวกเขานั่งลงอยู่กึ่งกลางของตำหนักจิ่นซิ่ว
ยามนี้ แต่ละคนต่างก็จับจ้องมาที่ตู๋กูซิงหลัน
“ยามอยู่ที่จิ่วโจว เคยได้ยินมาว่าฮ่องเต้หญิงทรงพระสิริโฉมดุจเทพธิดา วันนี้ได้มาพบ นับว่าชื่อเสียงที่เลื่องลือนั้นจริงแท้” เทวบุตรสำนักหงเหมิงลุกขึ้นยืน ในมือถือจอกสุราใบหนึ่ง ยกขึ้นไปทางตู๋กูซิงหลันด้วยความเคารพ “กระหม่อมคือ เซียวเฉิน ขอบพระทัยฮ่องเต้หญิงที่ทรงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น กระหม่อมขอดื่มถวายพระพรหนึ่งจอก”
บุรุษผู้นี้มองดูเหมือนจะอายุไม่เกินยี่สิบ ท่าทางสุขุมสุภาพ ในร่างเหมือนมีพลังวิญญาณกำจายออกมาอยู่ตลอดเวลา ยามยกมือวางเท้าก็ดูดีมีราศีเหมือนดั่งผู้ที่มาจากสกุลใหญ่โต
“ท่านไม่จำเป็นต้องมากมารยาท” ตู๋กูซิงหลันประคองจอกสุราในมือยกขึ้นช้าๆ เงาสุราในจอกก็ถูกจิบหายไปจนหมด
ดวงเนตรดอกท้อคู่นั้นหรี่ลง ขนตาหนาเป็นแพแต่ละเส้นทั้งยาวและคมชัดจนงอนงาม
แค่กริยาตอบรับเพียงเล็กน้อย ก็ทำเอาเซียวเฉินถึงกับไม่อาจละสายตาจากไปได้เลย
โฉมงามในดินแดนจิ่วโจวมีอยู่มากมายดุจก้อนเมฆ แต่กับไม่มีผู้ใดที่ดูเจิดจ้าบาดตาเช่นนี้
เดิมทีเขาคิดว่าข่าวลือเรื่องรูปโฉมของตู๋กูซิงหลันนั้นออกจะเกินจริงไปบ้าง คิดไม่ถึงว่าวินาทีที่ได้เห็นด้วยตาของตนเองนั้น เขาจะถูกดึงดูดจนถึงกับวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว
สายตาของเขาไม่อาจละจากร่างของตู๋กูซิงหลันได้เลย เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ในที่นี้ มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นผู้ภักดีที่จีเฉวียนทิ้งไว้ให้ แต่ละคนล้วนเป็นบุรุษที่มีเลือดเนื้อ พอได้เห็นสายตาของเซียวเฉิงต่างก็พากันรู้สึกไม่พอใจ
เทวบุตรผู้สูงส่งในที่ใด เห็นได้ชัดว่าเขามีประสงค์ไม่ดีต่อฮ่องเต้หญิงอยู่ชัดๆ
ท่านผู้เฒ่าตู๋กูก็อยากจะลุกขึ้นไปคว้าไม้กวาดประจำตัวมาอยู่เหมือนกัน เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะ ยังจะกล้ามาทำท่าสนใจหลานสาวของเขาอีกหรือ?
สายตาเช่นนั้น ต้องถือว่าบังอาจเกินไปแล้ว!
สีหน้าของตู๋กูจุนเองก็ไม่ดีสักเท่าไร น้องสาวของตนกลายเป็นฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินแล้ว ฝีมือในการปกครองแว่นแคว้นของนางต้องนับว่าสูงส่งกว่าบรรดาฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์ทั้งหลาย เหล่าขุนนางในราชสำนักลดทอนเรื่องขัดแย้ง ปวงประชาสงบสุข ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็ให้ความเคารพนาง
ถึงแม้ว่าอาจจะมีผู้ที่ริษยาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดที่กล้าจ้องมองดูนางด้วยแววตาที่ดูจงใจเช่นนี้
สายตานั่นช่างทำให้ผู้คนรู้สึกหงุดหงิดเสียจริง
ยามที่ตู๋กูซิงหลันกลับมานั้น ก็ได้ส่งมอบดาบยักษ์คืนให้กับพี่ใหญ่ไปแล้ว เพียงแต่กลางตัวดาบชำรุดเป็นรู รูหนึ่ง ยังไม่ทันได้ซ่อมแซมให้ดี
แต่ว่านั่นก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการพกพาดาบเอาไว้กับตัวของตู๋กูจุนอยู่แล้ว
ยามนี้เขาก็เป็นเช่นเดียวกับท่านตา คิดจะฉวยดาบขึ้นมาบ้าง
บรรยายกาศในตำหนักจิ่นซิ่วเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นมา
สีพระพักตร์ของตู๋กูซิงหลันยังคงสงบนิ่ง นางยกจอกเหล่าขึ้นช้าๆ จิบน้อยๆคำหนึ่ง เสมือนมิได้รู้สึกถึงประกายตาที่เร่าร้อนของเซียวเฉินเลยสักนิด ครู่ต่อมานางค่อยเงยพระพักตร์ขึ้น กวาดเนตรไปทางเขาแวบหนึ่ง
นางรู้สึกว่า จิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาช่างดูคุ้นเคย แต่ก็ไม่ใช่แบบที่นางชื่นชอบ
จิตวิญญาณคล้ายกับซ่งเจียงเสวี่ย…..หรือปีศาจที่ไม่มีผิวหนังตนนั้น
วิธีการฝึกฝนจิตวิญญาณของพวกเขา น่าจะมีที่มาจากพื้นเพเดียวกัน
พอนางหันไปมอง หัวใจของเซียวเฉินก็ระทึกขึ้นมาอีก
เขาวางจอกสุราในมือลง ถวายคำนับตู๋กูซิงหลันอีกครั้งเอ่ยว่า “ที่ข้ามาในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องจะทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาท”
“หืม” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงรับอย่างไม่หนาวไม่ร้อนครั้งหนึ่ง
เซียวเฉินรู้สึกเหมือนดั่งได้รับการตอบรับแล้ว แม้แต่ด้วยตาก็ยังฉายแววยินดีอย่างปิดไม่มิด
เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ก็เห็นบรรดาเหล่านักพรตที่ติดตามเขามาต่างสำแดงวิชาเวทย์ออกมา เพียงพริบตาเดียวก็ปรากฏ**บบรรจุทรัพย์สินล้ำค่าออกมามากมาย ทั้งยังนำสมบัติที่ส่องประกายแวววาวออกมาให้ชม
มีทั้งไข่มุก หินโมรา ปะการังโบราณอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
ทันทีที่เปิด**บออกมา ก็ทำให้ตำหนักจิ่นซิ่วเรืองรองไปด้วยแสงสว่างขึ้นมา
หากว่าเป็นเมื่อสองปีก่อน ยามที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ สายตาของตู๋กูซิงหลันจะต้องลุกวาว เป็นประกายขึ้นมาแล้ว แต่ว่าในตอนนี้ดวงตาของนางกลับสงบนิ่ง ทั้งยังไม่ได้เหลือบแลสมบัติเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ
ในเมื่อเป็นถึงฮ่องเต้หญิงแห่งแผ่นดินโบราณทั้งหมด นางยังจะขาดสมบัติพัสถานใดอีก?
เซียงเฉินเห็นนางไม่ได้สนใจในสมบัติเหล่านั้นแม้แต่น้อย ก็เอ่ยปากท่องคาถาบางอย่างออกมา ทันใดนั้นก็เห็นร่างกายของเขาปรากฏแสงสว่างงดงาม ผีเสื้อเจ็ดสีตัวหนึ่งบินออกมาจากด้านหลังของเขา
ผีเสื้อตัวนั้นยามสะบัดปีก ก็มีระยะกว้างถึงสองเมตร บนร่างของมันมีลวดลายสายรุ้งเจ็ดสี เกิดเป็นแสงสว่างที่ทำให้ผู้คนต้องหลงใหลจนตาพร่า
ในร่างของมันยังมีจิตวิญญาณที่เข้มข้นกำจายออกมา
“นี่คือผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสี สามารถสร้างบรรยาศอันงดงามได้เล็กน้อย เป็นสัตว์วิญญาณระดับสาม มีแต่สิ่งที่สวยงามเช่นนี้ จึงจะคู่ควรกับฮ่องเต้หญิง” สายรุ้งของเซียวเฉินเปล่งประกายออกมา น้ำเสียงของเขาพึ่งจะขาดหาย ฝ่ามือขยับเล็กน้อย ก็เห็นผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสีตัวนั้นขยับปีก บินช้าๆไปที่ตู๋กูซิงหลัน
ยามที่ผีเสื้อตัวนี้โบยบินผ่านไปผู้คนรอบด้านพลันได้กลิ่นหอมของบุปผาที่เข้มข้น
ชั่วขณะนั้นสายตาของทุกผู้คนจับจ้องอยู่ที่ร่างของมัน
สัตว์วิญญาณ ผู้คนในดินแดนนี้ต่างเคยได้ยินมาบ้างแต่ว่าน้อยคนนักที่จะเคยเห็นสัตว์วิญญาณจริงๆ
ผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสีเช่นนี้ ไม่เพียงแต่งดงาม ทั้งยังเป็นถึงสัตว์วิญญาณระดับสาม นับว่าหายากอย่างยิ่ง
อู๋เจินและอู๋ซื่อต่างก็หรี่ดวงตาลง สัตว์วิญญาณแบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงห้า ระดับหนึ่งนั้นดีที่สุด ระดับห้านับว่าต่ำสุด ในแผ่นดินโบราณนี้ นานครั้งจึงจะได้เห็นระดับห้าสักตัว แต่ระดับสามนี้นับว่าหาได้ยากจริงๆ
นอกจากเจ้าสัตว์อสูรที่ออกมาอาละวาดจนพลิกกลับท้องทะเลของทะเลตะวันตกเท่านั้น…..
พวกเขาก็แทบจะไม่เคยเห็นระดับสามขึ้นไปมาก่อนเลย
เมื่อผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสีโบยบิน ก็ดึงดูดทุกสายตาเอาไว้บนร่างของมัน ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเซียวเฉินกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงของฮ่องเต้หญิงมาเนิ่นนานแล้ว ปักใจต่อท่าน วันนี้ที่นำสมบัติล้ำค่าและสัตว์วิญญาณระดับสาม เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา หวังว่าจะได้รับการเหลียวแลจากฮ่องเต้หญิง ขอฝ่าบาททรงอภิเษกสมรสให้กับข้า”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ทั่วทั้งตำหนักก็ตกตะลึงไป
เขาว่าอะไรนะ?
จะขอฮ่องเต้หญิงอภิเษก?
“เจ้าบังอาจล้อเล่นอะไรกัน!”
พี่ใหญ่ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก เขาแทบจะควงดาบยักษ์ของตนออกไปสับเซียวเฉินเป็นชิ้นๆแล้ว
แค่หอบสมบัติกองหนึ่งกับสัตว์วิญญาณมาตัวหนึ่ง ก็คิดจะมาขอน้องเล็กแต่งงาน?
เมื่อเขากุมดาบขึ้นมา เหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังของเสียวเฉินก็พากันขุ่นเคืองขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ละคนสาดสายตาเปี่ยมไอสังหารออกมา ว่าตามจริงแล้ว ผู้ที่เป็นถึงบุตรของเจ้าสำนักหงเหมิน เดินทางไกลนับพันลี้มาขออภิเษกสมรส ก็ต้องถือว่าเป็นการให้เกียรติฮ่องเต้หญิงผู้นี้มากแล้ว ทำไม ยังจะกล้าไม่พอใจอีกหรือ?
นางคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน!
ในดินแดนจิ่วโจว มีสตรีตั้งมากมายต่างก็วาดหวังว่าจะได้แต่งให้กับเขาทั้งนั้น!
ตอนที่ 517 หลงใหลในรูปโฉมของนาง
“ต้องขออภัยด้วยแล้ว ฝ่าบาทของพวกเราไม่ได้พอพระทัยในตัวท่านจริงๆ” ท่านผู้เฒ่ายืนขึ้นมา ในมือของเขาถือไม้กวาดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
เขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้ร่วมก่อตั้งแคว้นต้าโจว ย่อมต้องมีประสบการณ์เคยพบเห็นสิ่งต่างๆมามากมาย เรื่องของดินแดนจิ่วโจวนั้น แม้ว่าจะไม่เคยไป แต่ก็เคยได้ยินมาอยู่
ดินแดนที่มีผู้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมากมายเป็นกองทัพ เป็นดินแดนสำหรับผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง
หากจะเปรียบเทียบกันแล้วพลังวิญญาณในดินแดนโบราณช่างเป็นสิ่งล้ำค่าอันหาได้ยาก ในขณะที่ในจิ่วโจวนั้นกลับแข็งแกร่งกว่ามาก
ในดินแดนจิ่วโจวมิว่าที่ใดก็สามารถเสาะหาพรรคเล็กพรรคน้อยได้ทั้งนั้น ทั้งยังมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าแค้นใหญ่ในดินแดนโบราณอีกด้วย
สำนักหงเหมิน คือสำนักเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวรองจากวังตันติ่งกง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดา
แต่แล้วจะอย่างไร?
คิดจะมาขอหลานสาวที่ล้ำค่าของเขาแต่งงานน่ะหรือ ฝันไปเถอะ!
ตู๋กูถิงถือเป็นขิงแก่ในหมู่ผู้คนทั้งหลาย ให้เขาใช้ฝ่าเท้าคิดแทนศีรษะก็ยังรู้เลยว่า เทวบุตรหน้าเหม็นผู้นี้ ย่อมมิได้เป็นเพราะหลงรักหลันหลันจึงได้คิดจะแต่งงานกับนาง
คนผู้นี้รูปลักษณ์ราศีก็มิได้ดูดีสักเท่าไหร่ มันย่อมต้องมีแผนอื่นอยู่ในใจเป็นแน่
ท่านผู้เฒ่าถือไม้กวาดเอาไว้ในมือ ไอสังหารกำจายออกมาจากร่าง ดวงตาเปล่งประกายคล้ายจะทะลวงเข้าไปจนเห็นถึงภายในของผู้คน
หลงเซียวเองก็ชังจะทนไม่ไหวแล้ว รอบนอกของตำหนักจิ่นซิ่วกงมีองครักษ์ลับแฝงตัวรอคำสั่งของเขาอยู่ไม่น้อย
ผู้ที่กล้าลบหลู่ฮ่องเต้หญิง มิว่าจะเป็นผู้ใด ล้วนสมควรสับเป็นหมื่นชิ้น
นี่เป็นราชโองการก่อนจากไปของฮ่องเต้จีเฉวียน พวกเขาเป็นเหล่าองครักษ์ลับที่จีเฉวียนฝึกฝนมากับมือ พระองค์ไม่เพียงแต่ยกดินแดนทั้งหมดให้กับนาง แต่ว่ายังส่งมอบองครักษ์ลับที่ทรงฝึกฝนขึ้นมาด้วยพระองค์เองให้กับนางอีกด้วย
เพราะความห่วงใยว่าจะมีผู้ใดในใต้หล้ากล้ามาแตะต้องนาง
สีหน้าที่เตรียมมาแต่แรกเพื่อเชื่อมสัมพันธ์อันดีของเซียวเฉินตอนนี้ก็ชักจะแขวนเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
หมัดในแขนเสื้อกำแน่นเข้าหากัน เขาหันไปมองตู๋กูซิงหลัน
“ฝ่าบาท ข้ามาด้วยความจริงใจ ไม่ย่อท้อต่อทนทางไกล มิใช่มาเพื่อทนฟังผู้ใต้บัญชาของพระองค์หยามหมิ่น”
ตู๋กูซิงหลันพิงร่างลงบนบัลลังก์ ขนพระเนตรที่หนาเป็นแพปกปิดประกายในดวงเนตรของนางเอาไว้เกือบจะทั้งหมด ปลายดรรชนีเคาะลงไปบนโต๊ะเตี้ยเบาๆ ริมโอษฐ์เผยรอยแย้มสรวลเย็นชาออกมา
“พี่ใหญ่และท่านตามิได้ดูหมิ่นท่าน” นางตรัสอย่างเรื่อยเฉื่อย “พวกเขาเพียงแต่พูดไปตามความจริง …. เรามิได้ถูกใจท่านจริงๆ”
“ท่าน!” เซียวเฉินแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาในทันที
นางพูดว่าอะไรนะ? ไม่ถูกใจเขา?
“ท่านรู้หรือไม่ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของท่านนี้ก็คือเทวบุตรของสำนักหงเหมิน! คือผู้ที่จะสืบทอดสำนักหงเหมินคนต่อไป!” เหล่านักพรตที่ติดตามเซียวเฉินมาโกรธเคืองเสียงจนตัวสั่นผมชี้แล้ว
ฮ่องเต้หญิงเยาว์วัยผู้นี้ จะต้องไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของดินแดนจิ่วโจว ถึงได้กล้ากำแหงได้ถึงเพียงนี้!
“สำนักหงเหมินของพวกเราคือสำนักเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจว เป็นสำนักที่อยู่ใต้บัญชาของวังตันติ่งกง แม้แต่วังตันติ่งกงเองก็ยังต้องให้ความสำคัญกับเทวบุตรของพวกเรา หากกล้าขัดแย้งกับสำนักหงเหมิน ก็เท่ากับขัดแย้งกับวังตันติ่งกง ท่านไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้หญิงอีกต่อไปแล้วหรือ?”
เหล่านักพรตทั้งหลายต่างก็ช่วยกันบีบคั้นคน ด้วยท่าทางที่มิได้เห็นตู๋กูซิงหลันอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
พวกเขาเคยได้ยินมาว่า ฮ่องเต้หญิงผู้นี้………ตอนแรกก็ใช้ความงามกำจัดอดีตฮ่องเต้ของต้าโจวจนสิ้นพระชนม์ จนนางได้กลายเป็นไทเฮาน้อย หลังจากนั้นก็ยังใช้ความงามของตนเอง มาล่อลวงบุตรเลี้ยง นี่มิใช่ว่า ทำให้ฮ่องเต้เฉวียนของต้าโจวหลงใหลจนยอมมอบแผ่นดินทั้งหมดให้กับนางหรอกหรือ?
ว่ากันตามจริงแล้ว …… สตรีผู้นี้มีความสามารถใดกัน? ก็แค่เกิดมางดงาม อืม…..เป็นพวกที่งดงาดเท่านั้น
นอกจากมีรูปโฉมแล้ว นางก็ทำอะไรไม่เป็นทั้งสิ้น ก็เหมือนกับแจกันดอกไม้ที่สวยงามแต่ก็ไม่อาจใช้ประโยชน์อันใดได้
เทวบุตรยินยอมสู่ขอนาง ก็ต้องนับว่าเป็นบุญที่นางสะสมมาแล้วแปดชาติแท้ๆ
“โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ ดูเหมือนว่พวกท่านจะเอะกันมากเกินไปแล้ว!” นักพรตอู๋เจินลากนักพรตอู๋ซื่อให้ลุกขึ้นมาด้วยกัน “วิ่งมาถึงดินแดนของพวกเราแล้วแท้ๆยังจะกล้าอวดเก่ง ใครมอบความกล้าหาญเช่นนี้ให้กับท่านกัน?”
ท่านนักพรตอู๋ซื่อเองก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ข้านักพรตขอเอ่ยความจริงบางประการ พวกท่านทั้งหลายกำลังบังคับผู้คนสมรสแล้ว …..ความจริงใจในการสู่ขอก็ไม่ได้มีเลยสักนิด ฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินเรา ย่อมไม่มีทางอภิเษกให้กับเทวบุตรที่มีกริยามารยาทไม่เหมือนผู้คนกับเขาหรอก”
“จริงด้วย! หากว่าเจ้ารักใคร่หลงใหลในองค์ฮ่องเต้หญิงของพวกเราจริงๆ เช่นนั้นก็จงรีบกลับไปอาบน้ำให้สะอาด สมัครเข้ามาอยู่ในวังหลังขององค์ฮ่องเต้หญิง พาพวกสำนักอะไรของเจ้าเข้ามาเป็นบุรุษบำเรอก็ได้ไม่ใช่หรือ?” ประโยคนี้ย่อมเป็นหยวนเมิ่งพูดออกมา
นับตั้งแต่ที่จีเฉวียนทรงชำระล้างวังหลัง นางก็เอาแต่ติดตามตู๋กูจุนแล้ว ยามที่ตู๋กูซิงหลันกลับมานั้น ก็มอบหมายในนางเป็นขุนนางหญิงอยู่ในวัง ติดตามใกล้ชิดอยู่ข้างกาย
ตุ๊กตาหญิงตัวน้อยผู้นี้ปากคอเราะร้ายอย่างที่สุด มักยั่วโทสะผู้คนจนระเบิดตาย
ตู๋กูซิงหลันในยามนี้คือดวงจันทร์ที่ทุกคนถนอมเอาไว้ในฝ่ามือ มีผู้คนนับหมื่นปกป้อง หากใครกล้ามาแหย่แม้แต่น้อย แค่แต่ละคนถ่มน้ำลายลงมาก็มากพอจะทำให้มันจมน้ำตายได้แล้ว
หัวใจของเซียวเฉินมีควันคุกรุ่นขึ้นมา สถานการณ์พลิกไปไม่ใช่อย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้
เดิมทีเขาคิดว่า ต่อให้เป็นตู๋กูซิงหลัน ก็ต้องแสดงความเคารพนอบน้อมต่อเขาออกมา
เพราะว่าเขามาจากจิ่วโจว ทั้งยังเป็นถึงเทวบุตรของสำนักหงเหมิน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนธรรมดาเหล่านี้สมควรเป็นดั่งเทพเซียนในสายตาของพวกเขา……
แต่ว่าดูจากตอนนี้ คนเหล่านี้ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
พวกเขาจะต้องไม่รู้เป็นแน่ว่าสำนักหงเหมินนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงไร
ที่เขาเดินทางมาถึงแผ่นดินโบราณแห่งนี้ ก็เพื่อชิงนำหน้าผู้อื่น คิดจะควบคุมฮ่องเต้หญิงเอาไว้ ขอเพียงควบคุมนางได้ ทรัพยากรทั้งหมดในแผ่นดินนี้จะยังไม่ใช่ของเขาอีกหรือ?
เขาแต่งกับนางแล้ว เห็นแก่รูปโฉมที่งดงามของนางก็จะดีกับนางไม่น้อย
หากว่าเมื่อไหร่เบื่อแล้ว ก็ค่อยถีบส่งไป
อย่างน้อยตอนแรกๆเขาก็เคยรักนางไม่ใช่หรือ?
รักในรูปโฉมของนางไง
“ฮ่องเต้หญิง ท่านคิดจะเป็นศัตรูกับข้าหรือ?” เซียวเฉินจดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน เขาเชิดคางขึ้นสูง ดวงตาสาดประกายเย็นชาออกมา เหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังของเขาพากันขยับตัว ตระเตรียมจะดับชีวิตผู้คนที่อยู่ในพระตำหนักจิ่นซิ่วกงนี้ให้หมดสิ้น
สำหรับคนธรรมดาของแผ่นดินแห่งนี้ หากนักพรตที่สูงส่งเช่นพวกเขาเปิดฉากฆ่าฟันขึ้นมา มันจะต่างอะไรกับการบดขยี้พวกมดปลวกกัน?
เซียวเฉินเองก็กำหมัดขึ้นมา เตรียมตัวจะลงมือเช่นกัน
แต่ว่าเขายังไม่ทันได้ออกคำสั่ง ก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่เดิมนั่งอยู่บนบัลลังก์พุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าเขาในพริบตาเดียว
ตอนที่ 518 Bug ในเกมชัดๆ
ด้วยการฝึกฝนที่ผ่านมาของเซียวเฉิน ย่อมต้องมีกระดูกแข็งประดุจกำแพงเหล็ก แต่ว่าตู๋กูซิงหลันเหมือนไม่ได้ใช้กำลังใดๆด้วยซ้ำ ก็ทำเอาเขาซี่โครงหักไปแล้ว
เซียวเฉิน ถูกนางเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า จะขยับอย่างไรก็ขยับไม่ได้
นางขยับร่างไหววูบ เพิ่มกำลังเพียงเล็กน้อย เซียวเฉินก็แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
เขาเงยศีรษะขึ้นมา ก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่มีสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง แววเนตรอหังการของนางเปี่ยมไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เหล่านักพรตที่ติดตามเซียวเฉินมาต่างก็ตกตะลึงจนบ้าใบ้ไปแล้ว ฮ่องเต้หญิงเยาว์วัยผู้นี้ใช้หมัดเดียวก็ต่อยเทวบุตรของพวกเขาจนกระเด็นได้แล้ว?
แถมเมื่อกระทืบลงไปเท้าเดียว คนก็ถึงกับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้?
เทวบุตรของพวกเขา….คงไม่ใช่ว่าจงใจแกล้งยอมแพ้เพื่อเอาใจโฉมสคราญหรอกนะ?
ผู้คนทั้วทั้งพระตำหนักจิ่นซิ่วกงต่างก็งุนงงกันไปหมดแล้ว ฮ่องเต้หญิงทรง?
มีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง?
ไม่เสียทีที่ตระกูลตู๋กูเลี้ยงดูขึ้นมา พลังที่ออกมาจากหมัดนี้ต้องเรียกว่าสามารถเปรียบเทียบกับท่านแม่ทัพผู้พิชิตได้อย่างสูสีเลย!
เทวบุตรหน้าเหม็นอันใดกัน ช่างโอ้อวดเกินจริงนัก สมควรสั่งสอนเขาสักทีแต่แรกแล้ว!
ตู๋กูจุนกับตู๋กูถิงพุ่งออกมาขวางหน้าเอาไว้ กันพวกนักพรตเหล่านั้นเอาไว้ด้านหลัง ไม่เปิดโอกาสให้พวกทำร้ายตู๋กูซิงหลันได้
ยอดดวงใจของพวกเขาคิดจะสั่งสอนผู้คน เช่นนั้นย่อมต้องส่งดาบให้กับนาง หากผู้อื่นคิดจะกรุ้มรุมเข้ามา อย่าได้หวังว่าจะมีโอกาสเลย
อู๋เจินและอู๋ซื่อเองก็รีบขยับเข้ามา ตระเตรียมจะประมือกับเหล่านักพรตเช่นกัน
ที่นี่คือถิ่นฐานของตนเอง ไหนเลยจะถึงรอบให้พวกที่มาจากจิ่วโจวมาก่อนความวุ่นวายได้กัน
ก่อนที่ฮ่องเต้จีเฉวียนจะเสด็จจากไป ก็เคยมีพระบัญชาเอาไว้แล้ว ทรงมีพระประสงค์ให้พวกเขาทุ่มเท พละกำลังทั้งหมดเพื่อปกป้องไทเฮาน้อย
อีกด้านหนึ่ง เซียวเฉินก็ถูกตู๋กูซิงหลันเหยียบอกจนกระอักเลือดออกมาเรื่อยๆ
เขารีบปรับลมหายในภายในร่างกาย สายตาจับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน ขณะที่มือข้างหนึ่งก็กดทรวงอกเอาไว้ “ฮ่องเต้หญิง ท่านทำกับข้าเช่นนี้ ไม่กลัวตายจริงๆใช่หรือไม่?”
“สำนักหงเหมินของข้า…..วังตันติ่งกงจะต้อง….”
ทันทีที่เขาเอ่ยปากขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็สะบัดฝ่ามือตบลงไปหนึ่งฝ่ามือเต็มๆ
เสียงตบฉาดดังชัด
โดนตบไปครั้ง ฟันกรามของเซียวเฉินถึงกับร่วงลงมา
“มาถึงดินแดนของเราก็คิดจะก่อเรื่องเสพสุขรักสบาย หากเราไม่จัดการเจ้า ใต้หล้าจะไม่เห็นว่าเรารังแกได้ง่ายๆหรอกหรือ?”
นางยังคงเหยียนเซียวเฉินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งยังฉวยโอกาสนี้ตรวจสอบพลังภายในของเซียวเฉิง ชัดเจนเลยว่า….มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับพลังของตัวประหลดซ่งเจียงซู่นั่นอย่างยิ่ง
เบาะแสที่ส่งมาถึงหน้าประตู…..
ไม่ตรวจสอบดูก็เสียเปล่าแล้ว
“วังตันติ่งกงคือตำหนักเซียนอันดับหนึ่งของจิ่วโจว เจ้าที่เป็นเพียงฮ่องเต้หญิงตัวเล็กๆในดินแดนนี้ คิดหรือว่าจะสามารถต่อกรกับวังตันติ่งกงได้?” เซียวเฉินประคองเครื่องในและตับไตที่ช้ำเลือดจนแทบจะพลิกกลับ มองดูนาง
ก่อนหน้านี้เขาดูเบาฮ่องเต้หญิงผู้นี้ไปแล้ว นางพอจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ทำให้เขาที่ไม่ทันได้ระวังตัวถูกนางต่อยใส่ไปหมัดหนึ่ง….แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเขาจะอ่อนด้อยกว่านาง
นางเห็นว่าตนเองมีเปรียบอยู่บ้าง ก็คิดว่าตนเองไม่จำเป็นจะต้องเห็นวังตันติ่งกงอยู่ในสายตาได้แล้วหรือ?
ตู๋กูซิงหลันคร้านจะสนใจเขา เท้าของนางกระทืบลงไปก็หักกระดูกของเซียวเฉินป่นจนแตกละเอียด
นางคือธิดาของราชาเผ่ามังกรทมิฬ สืบทอดพลังทมิฬอยู่ในร่าง นับตั้งแต่ที่กลับมายังดินแดนโบราณแห่งนี้ นางก็ไม่เคยจะหยุดพักการฝึกฝนเลยสักช่วงเวลา เพื่อที่จะให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งจนสามารถขึ้นไปสังหารผู้คนบนสวรรค์ได้ แข็งแกร่งจนสามารถที่จะปกป้องเหล่าคนที่นางรักทั้งหมดได้
บางทีอาจเป็นเพราะหัวใจของนางรั้นจนเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะนางมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนมาแต่กำเนิด เพียงช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งเดือน พลังของนางก็รุดหน้าขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
พอดีเชียว เทวบุตรหงเหมินที่ไม่รักชีวิตผู้นี้ก็มาให้นางซ้อมมือถึงที่
คนที่สมควรโดนอัดขนาดนี้ หากนางไม่สั่งสอนมันเสียบ้าง จิตใจจะสบายได้อย่างไร
พอเท้านี้กระทืบลงไปเซียวเฉินก็ถึงกับสลบไปแล้ว เขายังไม่ทันได้แสดงฝีมือเลยสักครั้ง
เหล่านักพรตเห็นดังนั้น ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ละคนนำอาวุธออกมากระชับไว้ในมือ พุ่งเข้าใส่ตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันทรงฉลองพระองค์ฮ่องเต้หญิงสีแดงทั้งร่าง ประทับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ในมือของนางมีแสงสีเงินเข้มสว่างวาบขึ้นมา ขณะที่นักพรตเหล่านั้นบุกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง ก็เห็นว่าท่ามกลางแสงสีเงินยวงกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันนั้น พลันปรากฏไม้คฑาสีดำมะเมื่อมรูปทรงโบราณขึ้นมาด้ามหนึ่ง
ไม้คฑานี้ใช้งานอย่างไร ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด
นางรู้สึกเพียงว่าไม้คฑานี้ยังแข็งแกร่งกว่าดาบยักษ์ของพี่ใหญ่อยู่หลายส่วน แต่ว่านอกจากอักขระที่ซับซ้อนสับสนบนด้ามแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะพิเศษที่ตรงไหน
นางจึงได้แต่ทดลองใช่มันเป็นอาวุธดู
ทันทีที่กำลังภายในและพลังหยินในร่างขับเคลื่อนเข้าสู่ไม้คฑาพร้อมกัน ไม้คฑานี้ก็เปล่งเสียงที่ดังกึกก้องไปทั้งตำหนักตันติ่งกงออกมา
ชั่วพริบตาเดียว ก็เหมือนเกิดแรงระเบิดขึ้นขุมหนึ่ง นักพรตที่สูงส่งเหล่านั้นถูกลมหอบพัดกระจายกันออกไปดุจใบไม้ร่วง แต่ละคนถูกกระแทกจนตัวปลิว
และขณะที่ลอยออกไปนั้นต่างก็พากันกระอักเลือดออกมาคำโต
ภาพที่เลือดสดๆพุ่งเป็นสายอยู่กลางอากาศ กลายเป็นฉากอันหน้าประหลาดใจ
ไม่ต้องให้พี่ใหญ่ ท่านตา หลงเซียวและพวกอู๋เจินลงมือเลยด้วยซ้ำ………….
พวกเขากลายเป็นฉากหลังที่ไร้ประโยชน์ใดๆไปเสียแล้วหรือ?
เมื่อตู๋กูซิงหลันดึงไม้คฑากลับมา ก็อดจะมองดูให้ดีไม่ได้ เมื่อครู่นี้ นางเหมือนจะเห็นว่าอักขระบนไม้คฑาบังเกิดความเคลื่อนไหว
คลื่นพลังที่ระเบิดออกมา…..คล้ายจะเกิดจากการใช้กำลังภายในและพลังจิตวิญญาณของนางอย่างพร้อมเพรียงกัน
ดีทีเดียว เดิมทีนางคิดจะใช้มันเป็นไม้กระบอง แทนที่ดาบยักษ์ คิดไม่ถึงว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าที่ตนเองคาดคิดเอาไว้มากนัก?
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันดึงไม้คฑากลับมานั้น เหล่านักพรตก็ตกลงกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง แต่ละคนประคองทรวงอกด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่สุด
ทั้งยังเห็นว่า พลังจิตในร่างของพวกเขาถูกไม้คฑาในมือของตู๋กูซิงหลันดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
พลังทั้งหมดไหลไปรวมกันที่ไม้คฑา….ในมือของตู๋กูซิงหลัน
เพียงพริบตาเดียวไม้คฑานี้ก็ดูดกลืนพลังจิตของพวกเขาจนเกลี้ยงเกลาหมดจด!
นักพรตเหล่านี้กลับกลายเป็นแก่เฒ่าลงไปอีกยี่สิบปีในทันที แต่ละคนกลายเป็นคนผมขาวทั่วศีรษะ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ช่างแปลกประหลาดนัก
ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงเนตรลง มองด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
นางรู้สึกได้ถึงขุมพลังที่ไม้คฑาพึ่งจะดึงดูดออกมา รวมกันอยู่ที่ใจกลางฝ่ามือของนาง จากนั้นก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างไม่มีหลงเหลือ ชำระไขกระดูกทั่วทั้งร่าง
ไม้คฑานี่มัน….
สายตาของตู๋กูซิงหลันเข้มข้นขึ้นมา อดที่จะมองดูมันอีกหลายๆครั้งไม่ได้
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยค้นพบมาก่อนว่าเจ้าสิ่งนี้มีความสามารถในการดึงดูดจิตวิญญาณของศัตรู เพื่อนำมาปรับใช้
ความสามารถเช่นนี้….หากพูดออกไปก็คงไม่ค่อยมีหน้ามีตาสักเท่าไหร่
มันก็เหมือนมีBugอยู่ในเกมอย่างไรอย่างนั้น
พลังที่ผู้อื่นลำบากฝึกฝนมานานหลายร้อยปี กลับถูกนางดูดซับไปจนหมดสิ้นในไม่กี่ลมหายใจ….
แถมเมื่อไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายของนาง พลังจิตเหล่านี้ยังผ่านการชำระล้างจากไม้คฑามาแล้วรอบหนึ่ง กลายเป็นเหมาะสมกับร่างกายของนางอย่างที่สุด ไม่มีที่ใดอึดอัดติดขัดแม้แต่น้อย มีแต่จะทำให้นางรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างมีพลังไหลเวียนท่วมท้นไม่ขาดสาย
ตอนที่ 519 รีบขยับเข้ามาให้บิดากอด
ไม้คฑาด้ามนี้ …..ไม่รู้ว่าเป็นเทพเซียนบรรพกาลท่านใดสร้างเอาไว้ ดูผิวเผินช่างธรรมดาเหลือเกิน
แต่ว่าเมื่อตู๋กูซิงหลันได้ใช้ กลับรู้สึกทั้งเหมาะมือและพอใจอย่างยิ่ง
ตอนนี้นาง…..กำลังต้องการพลังจริงๆ
แต่ว่าขุนศึกต้องการพลัง ย่อมเพราะมีจุดประสงค์ เมื่อมีไม้คฑาสุดโกงอยู่ในมือ นางย่อมไม่สมควรใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
ที่มันแสดงพลังออกมาในวันนี้ ถือว่าเป็นเหตุบังเอิญ
หากว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจริงๆ นางจะไม่ใช่ไม้คฑานี้ไปดูดซับพลังจิตของผู้อื่นมาโดยเด็ดขาด
เพราะถึงอย่างไร….มันก็ไม่สง่างามอยู่ดี
จากนั้น นางจึงค่อยๆเก็บคฑากลับไปอย่างช้าๆ ดวงเนตรสาดประกายเย็นชาลงไปบนร่างของเซียวเฉินและเหล่ายอดนักพรตเหล่านั้น
จากนั้นก็หันกลับไปบัญชาคน ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้คนทั้งหลาย “หลงเซียว จับตัวพวกมันเอาไว้ สอบสวนอย่างละเอียด ข้าต้องการรู้รายละเอียดทุกอย่างในดินแดนจิ่วโจว”หลงเซียวคือหัวหน้าของเหล่าองครักษ์ลับที่แข็งแกร่งที่สุดของจีเฉวียน เมื่อจีเฉวียนไม่อยู่แล้ว เขาก็หันมารับคำสั่งของตู๋กูซิงหลันทุกประการ
เขารีบให้คนนำตัวผู้คนจากจิ่วโจวทั้งหมดจากไปในทันที
เรื่องการสอบปากคำนั้น เขาทำได้อย่างคล่องมือที่สุดแล้ว
ขอเพียงเขาลงมือ ก็ไม่มีคำถามใดที่สืบไม่ได้ ไม่มีข้อมูลใดที่หาไม่พบ
พอพวกของเซียวเฉินถูกนำตัวออกไปแล้ว ทั่วทั้งตำหนักจิ่นซิ่วก็เงียบสงบลงไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันกลับไปนั่งบนบัลลังก์อีกครั้ง นางประคองจอกสุราที่ยังดื่มไม่หมดขึ้นมา พลางมองดูเหล่าขุนนางของตนเองที่ยังคงตื่นตะลึงไม่สร่าง ริมโอษฐ์สีแดงก็ขยับน้อยๆ “วันนี้มีแพะอ้วนพีส่งมาถึงประตู เรารู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีจริงๆ ขุนนางที่รักทั้งหลายจงดื่มให้มากๆ เรื่องในค่ำคืนนี้ ก็ให้มันสลายอยู่ในท้องไป ดีไหม?”
นางหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเหน็บหนาว กระดูกสันหลังเย็นจนแข็งวาบขึ้นมาในทันที
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยได้ยินข่าวมาบ้าง…..คล้ายจะเป็นว่าฮ่องเต้หญิงทรงขี่สัตว์เทพที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกรไปต่อสู้กับสัตว์อสูรยักษ์ที่พ่นไฟได้ด้วยพระองค์เอง แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ผู้ที่เคยเป็นไทเฮาน้อยของต้าโจว จะแข็งแกร่งจนถึงขั้นน่าพิศดารขนาดนี้!
เหล่าผู้มีฝีมือในราชสำนักยังไม่ทันจะถึงรอบลงมือ แค่ฮ่องเต้หญิงเพียงพระองค์เดียว ก็สามารถสังหารเหล่านักพรตผู้สูงส่งจากดินแดนจิ่วโจวได้โดยไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
คราวนี้ สายตาที่ทั้งหมดมองดูตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบขึ้นมาในทันที
ราวกับว่านางคือเทพเซียนที่ฟ้าประทานลงมา
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหล่าขุนนางหลายคนสงสัยในตัวพระองค์ แต่ว่าหลังจากนี้ไป ทั้งหมดล้วนต้องหุบปากเอาไว้
ดินแดนแห่งนี้พึ่งจะรวมตัวกันได้สำเร็จไม่นาน หากว่าสามารถมีคนที่แข็งแกร่งเฉกเช่นฮ่องเต้หญิง จึงจะสามารถสร้างสันติสุขได้อย่างยาวนาน
พี่ใหญ่และท่านตาต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง….พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวล้ำค่าของที่บ้านจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้
ตอนที่หายสาบสูญไปในทะเลตะวันตก….นางได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์ใดมากัน?
ท่านผู้เฒ่าชักจะสงสัยเสียแล้ว ….เขาสงสัยว่านางจะได้รับสืบทอดพลังที่ฮูหยินเก็บงำเอาไว้
เจียงเย่วคือองค์หญิงของแคว้นกู่เย่ว คือเทพธิดาผู้พิทักษ์รักษาหยกสรรพชีวิต หลังจากที่นางตายแล้ว ชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตชิ้นนั้นก็ถูกฝังไปพร้อมๆกับนาง
ก่อนที่นางจะตาย ได้สั่งเสียเขาเอาไว้ว่า รอจนหลันหลันอายุได้สิบหกปี ค่อยมอบกุญแจของสุสานให้กับนาง….
เกรงว่าตอนที่หลันหลันเข้าไปในสุสานของฮูหยินก่อนหน้านี้ คงจะได้รับหยกสรรพชีวิตชิ้นนั้นมาแล้วกระมัง?
แต่ว่าแค่พลังของหยกสรรพชีวิตเพียงชิ้นเดียว ก็แข็งแกร่งจนถึงขนาดนี้เลยหรือ?
ตอนนั้นที่ปฐมฮ่องเต้ทุ่มเทกำลังปราบปรามแคว้นกู่เย่ว ก็เพราะคิดจะครอบครองหยกสรรพชีวิตนี้เช่นกัน…
หลายปีมานี้ ท่านผู้เฒ่ายังไม่อาจทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า หยกสรรพชีวิตที่จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่
ยามนี้เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองดูหลานสาวของตนเองบนบัลลังก์ ในใจทั้งปลาบปลื้มและปวดร้าว
นางพึ่งจะอายุสิบแปดปีเท่านั้น….เดิมทีนางสมควรจะเป็นแค่สาวน้อยนางหนึ่ง ที่เติบโตภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพวกพี่ชายและท่านตา เฝ้ารอคอยที่จะได้เจอบุรุษคู่ชีวิต จากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อบอุ่นปลอดภัยไปชั่วชีวิตเท่านั้นก็พอแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ นางกลับต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบของแผ่นดินทั้งหมดเอาไว้บนบ่า
สำหรับเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบแปดปีแล้ว ถือว่าหนักหนาเกินไปจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันจิบสุราช้าๆ ค่อยๆดื่มลงไปจนหมดจอก
งานเลี้ยงพึ่งจะเลิกรา ทางด้านเซียวหลงก็มีผลตอบรับกลับมาพอดี
ทุกวันนี้ดินแดนจิ่วโจวมิได้สงบสุขอีกต่อไปแล้ว สามขุมอำนาจใหญ่และห้าแคว้นแกร่งต่อสู้แย่งชิงกันตลอดเวลา
มีขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยหมายตาแผ่นดินแห่งนี้เอาไว้แต่แรกแล้ว ต่างก็คิดจะมาหาประโยชน์จากที่นี่ด้วยกันทั้งนั้น
การเดินทางของเทวบุตรหงเหมินในครั้งนี้ ก็เพราะได้รับคำสั่งจากวังตันติ่งกง พวกเขาคิดจะอาศัยการแต่งงานกับนาง เพื่อยึดครองแผ่นดินโบราณแห่งนี้ทั้งหมด ให้กลายเป็นของสำนักหงเหมินและวังตันติ่งกงทั้งหมด
นอกจากสำนักหงเหมินแล้ว ก็ยังมีขุมกำลังอื่นๆที่กำลังจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาอีกมากมาย
นี่ก็เหมือนดังคำโบราณที่ว่า แม้ไม่ได้ออกไปหาความยุ่งยาก แต่เรื่องยุ่งยากกลับมาถึงประตูบ้าน
สถานการณ์ของตู๋กูซิงหลันในยามนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง
“มีแต่ต้องสืบทราบเรื่องราวและสภาวะทั้งหลายให้ชัดเจน รู้เขารู้เราเช่นนี้จึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา นางนั่งลงที่ข้างโต๊ะเตี้ย บนโต๊ะมีหมากขาวดำกระดานหนึ่ง ในมือของนางถือหมากสีดำเอาไว้ สีหน้าเก็บงำความคิดเหมือนดั่งจีเฉวียนและซื่อมั่ว
นางยังคิดจะสังหารชาวสวรรค์เพื่อแก้แค้นให้อาจารย์และจีเฉวียน …..แต่กลับมีเรื่องยุ่งยากมาแทรกแซงเสียนี่
“เพี้ยะ….”เสียงกระแทกเม็ดหมากลงไปบนกระดาน หมากดำของตู๋กูซิงหลันกลืนกินหมากขาวเข้าไป ปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบจนเป็นสีซีด
ข้างกระดานหมาก มีกระถางดอกไม้จากหยกใสใบหนึ่งวางอยู่ ในกระถางดอกไม้มีดินดำที่อุดมสมบูรณ์ แม้ว่าวันนี้จะรดมันด้วยน้ำค้างรุ่งอรุณ แต่ว่าก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ศิลาโลหิตของอาจารย์ ไม่เพียงไม่ผลิดอกออกมา แม้แต่ต้นกล้าก็ยังไม่งอกเงย มันจะสามารถ….ผลิบานได้จริงๆหรือ?
ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะเบาๆ นางปิดตาลง ทันทีที่นางหลับตาลง ในสมองก็เห็นภาพก่อนตายของอาจารย์และจีเฉวียน จนหัวใจของนางปวดร้าว
ท่ามกลางราตรีที่คล้อยดึกมากแล้ว นางมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สายตาทอดยาวออกไปไกลถึงทิศที่ทะเลลึกไร้ก้นตั้งอยู่
………………..
ณ หุบเหวไร้บึ้ง ในก้นทะเลลึก ตู๋กูซิงหลันกระโดดลงมาเป็นครั้งที่สอง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ พอพึ่งจะกระโดดลงไป ต้นไม้โบราณต้นนั้นก็ยื่นกิ่งก้านออกมารองรับนางไว้และส่งไปยังต้นไม้ใหญ่ด้านล่าง
เยี่ยจ้านได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เส้มผมสีเงินทั่วศีรษะพลิ้วออกไป ขณะที่เขาเดินมาทางนาง
จากนั้นก็ตรงเข้าไปกอดกิ่งก้านของต้นไม้ที่อยู่ข้างกายนางอย่างแนบแน่น
“บุตรสาวสุดที่รักของข้า ในที่สุดเจ้าก็มีเวลามาหาบิดาแล้ว…..บิดาโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังช่าวเปลี่ยวเหงา….”
ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูต้นไม้ที่อยู่ข้างๆแวบหนึ่ง “…..”
กิ่งของต้นไม้นั้นบิดตัวไปมา ราวกับสาวน้อยที่เขินอาย
“บุตรสาวที่รัก เจ้าถูกสิ่งใดสาปมาหรือไม่ ทำไมถึงได้ตัวแห้งแข็งเป็นดั่งต้นไม้เช่นนี้?” กอดอยู่ได้พักใหญ่ เยี่ยจ้านจึงค่อยคลายมือออก ทั้งยังมีสีหน้าประหลาดใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตู๋กูซิงหลัน “ท่านพ่อ อย่าได้ล้อเล่นแล้ว”
“อ้ายย่าห์ บุตรสาวที่แสนล้ำค่า เจ้าอยู่ตรงนี้เอง…” เยี่ยจ้านกางวงแขนออก เปลี่ยนทิศทาง คิดจะหันมากอดนาง
ตู๋กูซิงหลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทำให้เขาคว้าได้แต่ความว่างเปล่า
เขาทำหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง ใช้มือถูกจมูกไม่หยุด “บุตรสาวคนดี บิดาไม่ได้พบหน้าเจ้ามาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงได้รังเกียจบิดาเช่นนี้เล่า?”
“รีบขยับเข้ามา ให้บิดากอดเร็วๆ” เขากางแขนออกมาอีกครั้ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เพียงแต่สีหน้าที่แสดงออกมาจากดวงหน้าหล่อเหลาดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถือได้เลยจริงๆ
ดูไปแล้วกลับเหมือนลุงประหลาดที่ชอบหลอกเด็กสาวตัวน้อยมากกว่า
มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงกับกระตุกขึ้นมา “บิดา ข้ามาเพื่อคุยเรื่องสำคัญกับท่าน”
ตอนที่ 520 หึงหวง
“บิดาเดาว่า เรื่องสำคัญที่เจ้าต้องการพูดคุย จะต้องเป็นเพราะว่า คิดถึงบิดาอย่างแน่นอน” สีหน้าของเยี่ยจ้านเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ไม่เช่นนั้นจะจะยอมเดินทางไกลจากโลกใบโน้นกลับมาหาบิดาหรือ?”
มุมปากของตู๋กูซิงหลันกระตุกไม่ยอมหยุด หากนับย้อนไปดู นางก็พึ่งจะได้รู้จักบิดาเมื่อไม่นานมานี้เอง ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับเขาตามลำพังก็ไม่ถึงครึ่งเดือน ถึงแม้ว่าระหว่างทั้งสองจะมีความผูกพันทางสายเลือด แต่ว่าเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกลับน้อยนิด หากจะบอกว่าคิดถึง ก็ยากจะพูดออกมาได้จริงๆ
นิสัยใจคอของตู๋กูซิงหลันก็เป็นคนที่ยากจะคุ้นเคยกับใครโดยง่าย ยิ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ฉันบิดาและบุตรสาว ยิ่งต้องใช้เวลาสะสม
“อาจารย์หายสาบสูญไปแล้ว” ตู๋กูซิงหลันไม่อ้อมค้อม หากแต่บอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมา
“หายไปแล้ว?” เยี่ยจ้านขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยเขาใจว่า คำว่าหายสาบสูญไปของนางนั้นหมายความว่าอะไร
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันพูดออกมานั้น ก็หันไปเหลือบมองดูรอบด้านของหุบเหวไร้ก้นแวบหนึ่ง ใต้ต้นไม้มังกรขนาดมโหฬารต้นนี้ คือสายน้ำสีดำอันคดเคี้ยว ในสายน้ำสีดำมีหลุมลึกเรียงรายอยู่มากมาย ก้อนหินที่อยู่ในหลุมเหล่านั้นดูคล้ายกับหินภูเขาไฟที่ผนึกตัวแล้ว แต่ละก้อนมีลวดลายแปลกประหลาดพิเศษเฉพาะ
ครั้งก่อนที่นางมา ตอนนั้นที่ก้นทะเลลึกเกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ จนทำให้เมืองของเผ่ามังกรทมิฬกลายเป็นซากปรักหักพังไปทั้งแถบ หากเปรียบเทียบกันแล้ว ที่หุบเหวไร้ก้นแห่งนี้นับว่ายังมีสภาพที่ดีกว่ากันมาก
อย่างน้อยสีหน้าของบิดาคนงามก็ยังดูสบายดีอยู่บ้าง
ว่าแล้วตู๋กูซิงหลันก็กล่าวต่อไปอีกว่า “อาจารย์ปะทะกับเทพจากเผ่าสวรรค์ซือเป่ย ถูกกรงเล็บของปักษายักษ์ทะลวงร่าง ร่างกายถูกแผดเผาจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว”
“หืม?” เยี่ยจ้านขมวดคิ้วแนบแน่นกว่าเดิม เห็นเขากำหมัดจนแแน่น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่
ผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน เขาค่อยเอ่ยว่า “ซื่อมั่วในยามนี้อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้แต่ซื่อเป่ยของจิ่วโจวก็ยังเอาชนะไม่ได้?”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ประเด็นหลักของบิดาออกจะผิดแปลกไปหรือไม่?
“แก่นวิญญาณของท่านอาจารย์ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ยามมาที่ทะเลไร้ก้นแล้ว ถึงได้ถูกซือเป่ยและปักษายักษ์ฉวยโอกาสลงมือจนเป็นผลสำเร็จ” ตู๋กูซิงหลันเสริมอีกประโยค
พูดแล้ว นางก็เห็นเยี่ยจ้านทำสีหน้าซับซ้อนสับสนกว่าเดิม
ศีรษะของเขาหันมาทางตู๋กูซิงหลัน ดวงตานั้นปิดสนิท มีเพียงขนตากระพริบเบาๆ
“บุตรสาวคนดี บิดาย่อมรู้ดี ด้วยพลังการฝึกฝนของซื่อมั่วจะต้องไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ซือเป่ยเป็นแน่ เจ้ารีบร้อนอธิบายเพราะอะไร?”
เขาลดเสียงเบาลง “ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เสียหน่อยว่าพลังของซื่อมั่วแข็งแกร่งจนพิศดารถึงเพียงไหน”
ในใจของบิดาคนงามออกจะผิดหวังอยู่บ้าง บุตรสาวที่ตนเองให้กำเนิดขึ้นมาแท้ๆ กล่าววาจาปกป้องไอ้แก่นั่นถึงเพียงนี้ แต่ทีกับเขาที่เป็นบิดากลับไม่ยอมให้กอดเลยสักครั้ง
ในใจของเยี่ยจ้านชักจะอิจฉาอยู่บ้าง พูดไปพูดมาก็ปวดใจจนพาลจะน้ำตาไหล
หากว่าตอนนั้นเขาเลี้ยงดูนางขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่แน่ว่าเจ้าตัวน่ารักน้อยๆนี้อาจจะให้ความเคารพรักและเชื่อถือในตัวเขาเช่นเดียวกับที่ให้ซื่อมั่วก็เป็นได้
ยังดีที่ถึงอย่างไรเยี่ยจ้านก็เป็นคนที่รู้จักความหนักเบา ครู่หนึ่งจิตใจของเขาก็ค่อยๆควบคุมความรู้สึกอิจฉานั้นได้
จากนั้นก็กล่าวว่า “จะว่าไป……ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ซื่อมั่วใช้พละกำลังของตนเองผนึกอสุรกายโลกันตร์กลับลงไปอีกครั้ง พลังที่สั่นสะเทือนฟ้าดินในตอนนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง แน่นอนว่าย่อมต้องทำให้เหล่าเทพเซียนบนสวรรค์ตื่นตระหนก บิดาเพียงคิดไม่ถึงว่า…..คนของสวรรค์จะสามารถไล่ตามไปถึงโลกมิติโน้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งยังสามารถทำลายร่างเนื้อของเขาได้อีกด้วย”
ปักษายักษ์ตัวนั้น….เป็นสัตว์อสูรที่อยู่รอดมาแต่ยุคบรรพกาล แข็งแกร่งอย่างยิ่ง และเพราะตอนนั้นเขารับบาดเจ็บสาหัส จึงสามารถทำลายร่างเนื้อของเขาได้ พูดไปแล้วก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่ แต่เยี่ยจ้านก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ดี
ต่อให้ซื่อมั่วร่ายกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่สมควรจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เพราะแต่เดิมที ในหกภพภูมินั้นเขาก็คือเทพผู้ไร้พ่าย ผู้ที่จะสามารถเอาชนะเขาได้ จะมีก็แต่ตัวเขาเองมากกว่าละมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันนำกระถางต้นไม้ที่ฝังศิลาโลหิตของซื่อมั่วเอาไว้ออกมา นางหลุบตาลงมองอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอาจารย์ทิ้งไว้แต่เพียงศิลาโลหิตเท่านั้น เขาบอกว่ารอจนเมื่อศิลาโลหิตผลิบาน เขาก็จะกลับมา”
เยี่ยจ้าน “พอเถอะ เลือดที่ผนึกตัวเป็นก้อนศิลายังจะผลิบานได้อีกหรือ….เรื่องหลอกเด็กเสียมากกว่า…”
พูดจบแล้ว เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าพูดผิดไปแล้ว สองสามคำหลังจึงเบาเสียงลง เพราะว่าสำหรับบุตรีสุดที่รักแล้ว เกรงว่าซื่อมั่วคงจะใกล้ชิดสนิทสนมกับนางยิ่งกว่าบิดาแท้ๆเสียอีก
“แต่นั่นก็ไม่แน่….เพราะว่าเขาคือซื่อมั่ว หากเขาบอกว่าก้อนหินจะผลิบานได้ นั่นก็แสดงว่าจะต้องผลิบานอย่างแน่นอน”
จากนั้น เยี่ยจ้านก็เอ่ยปากปลอบประโลมนางอีกประโยคหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้มีปฏิกริยาใดๆ นางเพียงแต่อุ้มกระถางดอกไม้เอาไว้ นั่งลงบนกิ่งของต้นไม้ สายตาก็ทอดมองลงไปบนกระถางดอกไม้ที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆแม้แต่น้อย “บิดา ท่านเล่าเรื่องในอดีตของอาจารย์ให้ข้าฟังสักหน่อยเถอะ”
นางรู้แต่เพียงผิวเผินว่าอาจารย์คือหมิงอ๋อง เมื่อหมื่นปีก่อนเคยทำสงครามกับชาวสวรรค์ไปรอบหนึ่ง และเพราะเขาไม่ทันได้ระวังเพียงพอจึงทำให้เผ่าหมิงล่มสลายไป แค่นั้น
ส่วนเรื่องอื่นๆ นางไม่เคยได้ยินอาจารย์กล่าวถึงมาก่อนเลยสักครั้ง
บิดาคนงามเป็นสหายของท่านอาจารย์ เรื่องที่เกี่ยวข้อกับอาจารย์ จะมากจะน้อยเขาควรจะรู้อยู่บ้างกระมัง
ตู๋กูซิงหลันอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นให้มากกว่าเดิม ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้สืบเสาะ ก็เป็นเพราะว่านางพึ่งจะกลายเป็นฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินโบราณ ทั้งยังฝึกฝนตนเองอย่างหักโหม จนทำให้ลืมบิดาคนงามของตนไปเสียแล้ว
“อาจารย์ของเจ้านะรึ…..” เยี่ยจ้านขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆนาง หากสามารถใกล้ชิดบุตรสาวสุดที่รักอีกสักหน่อย เขาย่อมต้องหาวิธีอยู่แล้ว
เส้นผมสีเงินของเขาพลิ้วออกไปในสายลม ตลอดร่างปราศจากกลิ่นอายชั่วร้าย ราวกับว่าเขานี่แหละคือเทพเซียนจากสรวงสวรรค์ตัวจริง
เยี่ยจ้านครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าทอประกายเงินยวงงดงามราวภาพจากความฝัน
“นับตั้งแต่ที่บิดาจำความได้ ก็ได้ยินชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว …..ตอนนั้น ผู้คนทั้งใต้หล้าต่างก็เรียกเขาว่าหมิงอ๋อง ผู้เป็นตำนานไร้พ่ายของหกภพภูมิ ตอนที่เขาเป็นหมิงอ๋อง ใต้หล้าไม่มีปีศาจตนใดกล้าทำเรื่องชั่วช้า ใต้หล้าสงบสุขอย่างยิ่ง ทั้งหกภพภูมิต่างก็ให้ความเคารพต่อเขา
“บิดากับเขารู้จักกัน ตอนที่แดนเซียนจัดงานเลี้ยงสวนท้อ ใครจะไปนึกว่าหมิงอ๋องที่มีชื่อเสียงเกริกไกร ก็จะแอบมากินลูกท้อในสวนกับเขาด้วยเหมือนกัน”
“พอดีว่า พวกเราทั้งสองคนต่างหมายตาลูกท้อผลเดียวกัน จึงเกิดการประมือ สุดท้ายบิดาแพ้ยับเยิน….”
พอพูดคำนั้นออกมา เยี่ยจ้านก็สะดุดไปเล็กน้อย เปลี่ยนคำพูดใหม่เป็นว่า “บิดายอมแพ้ต่อเขา ….ถือเป็นไม่ต่อยตีไม่รู้จักละกัน จากนั้นก็มักจะไปที่ดินแดนหมิงอยู่เสมอ เสาะหาเขาดื่มสุรา ไปๆมาๆ เราสองก็คุ้นเคยกัน จนกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน”
เยี่ยจ้านไม่มีทางบอกบุตรสาวสุดที่รักของตนเองหรอกว่า ตอนนั้นที่เขาพ่ายแพ้ต่อซื่อมั่วอย่างอเนจอนาถอยู่กี่ครั้งกี่หน สุดท้ายถึงได้กลายเป็น ‘พี่น้อง’ กับซื่อมั่ว
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงราชามังกรแห่งเผ่ามังกรทมิฬ ที่ทรงเกียรติภูมิอยู่ในหกภพภูมิเหมือนกัน
ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่อาจเสียหน้าต่อหน้าบุตรสาวได้กระมัง?
“ราวหลายหมื่นปีก่อน หกภพภูมิสงบสุข มาตลอด แต่กระทั่งเมื่อหมื่นปีก่อน เพราะเรื่องบางประการทำให้บิดาสร้างความขุ่นเคืองให้กับเง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่ของแดนสวรรค์ จนทำให้สองเผ่าพันธุ์เกิดสงครามขึ้นมา สุดท้ายพวกเราพ่ายแพ้ ทั้งเผ่าจึงถูกกักขังอยู่ใต้ก้นทะเล”
“ตอนที่สองเผ่าต่อสู้กัน ซื่อมั่วก็ช่วยเหลือข้าเอาไว้ไม่น้อย มิเช่นนั้นจุดจบของเผ่ามังกรทมิฬตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนก็คงจะมิใช่แค่การถูกผนึกกักขังเอาไว้เท่านั้น หากแต่เป็นการดับสูญทั้งเผ่าพันธุ์มากกว่า”
“จากนั้นประมาณสิบปี เผ่าสวรรค์กับเผ่าหมิงก็ทำสงครามกันเช่นกัน….การสู้รบในครั้งนั้นทำให้บาดเจ็บล้มตายกันไปมากมาย….”
ตอนที่ 521 ตี้เสีย
“แม้แต่เผ่าของบิดาที่ถูกกักขังเอาไว้ใต้ก้นทะเลลึกกันทั้งหมด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงคลื่นลมที่รุนแรงโลหิตหลั่งรินราวสายฝน ในสงครามครั้งนั้น ซากศพที่ถูกโยนลงมาในทะเลมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน….ทุกๆวันมีศพมากมายเกินจะนับได้จมลงสู้ก้นทะเล แม้แต่น้ำในทะเลก็ยังถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงฉาน”
“อืม เรื่องราวหลังจากนั้น เจ้าก็คงจะรู้ชัดอยู่แล้ว …..เผ่าหมิงดับสูญ ซื่อมั่วไปซ่อนตัวอยู่ในโลกปัจจุบัน ….เอ้ย หลังจากที่ซื่อมั่วไปที่โลกปัจจุบันใบนั้น เขาก็เปลี่ยนชื่อใหม่ให้กับตนเอง”
ตู๋กูซิงหลัน “อ๋อ?”
อาจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย มิน่าเล่า….ผู้คนที่รู้จักวิชาคุณไสยและคาถาในโลกต่างก็รู้ว่ามีซื่อมั่วอยู่ แต่ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าเขาคืออดีตหมิงอ๋อง
ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันก็เคยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆอยู่เหมือนกัน
ที่แท้ซื่อมั่ว….ไม่ใช่นามเดิมของท่านอาจารย์นั่นเอง?
“ถ้าเช่นนั้นนามเดิมของเขาคืออะไร?” ตู๋กูซิงหลันถามต่อไป
เยี่ยจ้านเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีสีหน้าเคอะเขิน หากเขาบอกว่า เขาเองก็ไม่เคยรู้ว่าตอนที่ซื่อมั่วเป็นหมิงอ๋องนั้นเคยมีชื่อว่าอะไร บุตรสาวสุดที่รักใช่จะดูถูกเขาหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันรออยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา ดังนั้นจึงหันไปจ้องมองเยี่ยจ้านอยู่ครู่หนึ่ง “บิดา อย่าบอกนะว่าแม้แต่ท่านก็ยังไม่รู้?”
“พวกท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยจ้าน “ระหว่างพี่น้องก็อาจจะมีความลับเล็กๆน้อยๆบ้างก็ได้นิ?”
ตู๋กูซิงหลัน “ก็แค่ชื่อ ไม่ถือเป็นความลับอันใดกระมั้ง?”
นางชักจะรู้สึกว่าความเป็น ‘พี่น้อง’ ของบิดากับอาจารย์นี้ช่างน่าสงสัยเข้าไปใหญ่แล้ว มีอย่างที่ไหนสาบานกันเป็นพี่เป็นน้องแต่แค่ชื่ออะไรก็ยังไม่รู้จัก?
“เขาไม่ยอมบอก บิดาก็ไม่มีหนทางอื่น….” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ “สำหรับคนอย่างซื่อมั่ว นามนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่อาจบอกกับผู้อื่นได้โดยง่าย หากไม่ระมัดระวังก็อาจจะกลายเป็นภัยถึงแก่ชีวิตได้เลย”
ตู๋กูซิงหลัน “เช่นนั้นก็แปลว่าอาจารย์ไม่เชื่อถือท่านสักเท่าไหร่สินะ?”
เยี่ยจ้านถูกจี้ใจดำ สีหน้าเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งในทันที เขารู้แล้วว่าความสามารถด้านการทิ่มแทงผู้คนของบุตรสาวสุดที่รักนั้นได้รับสืบทอดมาจากเขาไปอย่างสมบูรณ์แบบ
อืม…..สมแล้วที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา
“หากว่าเขาไม่ได้เชื่อถือบิดา แล้วยังจะรับปากเลี้ยงดูเจ้าอีกหรือ?” เยี่ยจ้านถามกลับไป “ถึงบิดาจะมองไม่เห็นเจ้า แต่แค่ใช้มือคลำดูก็รู้แล้วว่า ซื่อมั่วเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี จนขาวนุ่มถึงเพียงนี้”
“ตู๋กูซิงหลัน “นั่นมันเป็นเพราะบิดาท่านเชื่อใจอาจารย์ ถึงได้มอบข้าให้เขาเลี้ยงดูต่างหาก”
เยี่ยจ้าน “….” บุตรสาวเอ่ย หากเจ้าแม้ได้พูดจาทิ่มแทงออกมา จะรู้สึกไม่สบายตัวใช่หรือไม่?
สองพ่อลูกพากันเงียบงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเยี่ยจ้านก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ ลูกเอ๋ย บิดาว่าพวกเราคงจะคุยกันต่อไม่ไหวแล้ว”
ทันทีที่พูดออกมาก็เห็นเขายกมือขึ้นมากดทรวงอกเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “บิดารู้สึกเจ็บหัวใจมากเลย บุตรสาวของตนเองแท้ๆ แต่ว่ากลับไม่มีความเชื่อใจบิดาเลยแม้แต่น้อย”ในตอนนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้ว่าความสามารถด้านการแสดงของตนเองที่จริงแล้วได้รับมาจากผู้ใดกัน
นี่ยังไม่ใช่เพราะ….มีบิดาคนงามที่เป็นจอมแสดงตัวฉกาจหรอกหรือ
นางเองก็กดลงไปที่ทรวงอก ด้วยท่าทางที่ทรมานเช่นกัน “บิดา หัวใจของข้าก็ปวดมากๆเลย อุตส่าห์ลำบากเดินทางมาตั้งไกล แต่ว่าข่าวสารที่ได้มากลับไม่มีประโยชน์ใดๆเลยสักนิด ภาพลักษณ์ของบิดาที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในหัวใจของข้า ตอนนี้กลับค่อยๆถล่มทลายลงมา”
เยี่ยจ้าน “….”
อืม ขอยืนยันอีกสักครั้ง นี่คือบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน ไม่มีทางผิดตัวไปได้อย่างเด็ดขาด
เขาคลายมือออกจากอก สีหน้าคืนสู่ยามปกติ
“พูดถึงที่สุดแล้ว ซื่อมั่วก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ย่อมต้องถูกพวกชาวสวรรค์หวาดระแวงเป็นธรรมดา วันนี้พวกมันสามารถทำลายร่างเนื้อของเขาได้แล้ว ต่อไปจะกลับคืนมาได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าลูกเอ๋ย เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก สิ่งที่พวกชาวสวรรค์ทำฟังดูเหมือนเป็นฝ่ายถูกต้อง แต่ว่าความเป็นจริงคือไม่ยอมให้ผู้อื่นคัดค้าน และไม่มีผู้ใดกล้าวิพากย์วิจารณ์”
ครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า เป็นเรื่องของเง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่”
หากยึดตามที่อาจารย์บอก ตอนนั้นเป็นช่วงที่ท่านอาจารย์ครบกำหนดหมื่นปีที่จะต้องแบ่งภาคมาจุติ แต่ว่ากลับมีคนบุกเข้าไปแย่งชิงหยกสรรพชีวิตในเผ่าหมิง และคนผู้นั้นก็คือ เง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่
กับเรื่องของเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้นี้ อาจารย์กลับเล่าข้ามไปเสียเฉยๆ จะช้าหรือเร็วนางก็ต้องบุกขึ้นไปบนสวรรค์ การได้รู้เรื่องของเง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับนาง
พอพูดถึงเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแดนสวรรค์ มุมปากของเยี่ยจ้านก็เบ้ไปอีกหลายส่วน
ดวงหน้าหล่อเหลาของเขาทั้งซับซ้อนและน่ากลัวขึ้นมาอีกหลายส่วน
“คนผู้นี่มีนามว่า ตี้เสีย เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ที่พระชนมายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่มีมาในประวัติศาสตร์”
“ตี้เสีย …..” ตู๋กูซิงหลันทบทวนชื่อสองคำนี้ในใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกเอาไว้ในโลกปัจจุบัน ก็มีบันทึกถึงเง็กเซียนฮ่องเต้องค์หนึ่งที่มีนามว่า ตี้จุน เอาไว้ว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งสองต่างมีแซ่ตี้เหมือน ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
“ว่าไปแล้วก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ ที่นามของเขา เหมือนกับนามของเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์แรก”
เง็กเซียนฮ่องเต้ พระองค์แรก….นั่นเป็นเรื่องที่เนิ่นนานมาขนาดไหนแล้ว
“ตอนที่สวรรค์และแผ่นดินแยกออกจากกันนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งบรรพกาลมาแล้ว ตอนนั้นหกภพภูมิได้ให้กำเนิดเทพบรรพกาลขึ้นมามากมาย เง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์แรกตี้เสียก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน”
“เรื่องนี้จะว่าไป เง็กเซียนฮ่องเต้ประองค์ใหม่ในปัจจุบันก็ว่ากันว่ามีรูปโฉมที่คล้ายคลึงกับเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์แรกอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงเป็นไท่จื่อของเผ่าสวรรค์ ก็ได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทพเซียนทั้งหลายแล้ว”
“ตี้เสียพระองค์นี้ จิตใจทะเยอทะยาน พอขึ้นครองราชย์ก็ควงดาบเปิดฉากนองเลือดไปทั่วทั้งหกภพภูมิ เผ่าแรกที่ถูกสังหารจนสิ้นซากไปก็คือเผ่ามาร ที่ทั้งเผ่าพันธุ์ถึงกับดับสูญ”
นับแต่โบราณกาลมาทั้งเทพและมารก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาโดยตลอด การที่ตี้เสียที่ทรงเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เมื่อขึ้นครองราชย์ก็ใช้พวกมารมาสังเวยคมดาบ นี่ยังนับว่าพอเข้าใจได้อยู่
เนื่องเพราะพวกมารนั้น…..หากว่ากันตามจริงแล้ว ก็เป็นพวกดื้อด้านอยู่แล้ว
“ตอนนั้นกองทัพสวรรค์หนึ่งแสนบุกแดนมารจนราบคาบ แม้แต่จอมมารก็ยังถูกเง็กเซียนฮ่องเต้จับขังอยู่ใต้จิ๋วเยาซาน นับแต่นั้นเป็นต้นมาทุกวันและคืนต้องถูกไฟนรกเผาผลาญทนทรมานอย่างที่สุด และไม่อาจหลุดพ้นได้ตลอดกาล”
“ตอนนั้นบิดาไม่อาจทนดู จึงได้กล่าวทัดทานเขาออกไปประโยคหนึ่ง แต่ผลที่ตามมาของการห้ามปรามช่างโหดร้าย ถึงกับนำมาซึ่งเภทภัยต่อเผ่ามังกรทมิฬทั้งหมด กลายเป็นว่าเป้าสังหารต่อไปของตี้เสียถึงกับเจาะจงลงมาที่เผ่ามังกรทมิฬ กลายเป็นการเปิดฉากสงคามที่โหดร้ายอีกครั้ง”
“ยังโชคดีที่ซื่อมั่วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ มิเช่นนั้นเผ่ามังกรทมิฬก็คงต้องมีจุดจบเช่นเดียวกันกับเผ่ามาร”
ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงตี้เสียขึ้นมา ทั่วร่างของเยี่ยจ้านก็แผ่ไอสังหารออกมา
เปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงจะไม่มีผู้ใดที่ยอมให้อภัยผู้ที่กักขังเผ่าพันธุ์ทั้งหมดของเขาเอาไว้ได้ง่ายๆหรอกกระมั้ง?
“เขาได้เป็นถึงเง็กเซียนฮ่องเต้บนสรวงสวรรค์แล้ว หากเพื่อจะส่งเสริมเกียรติคุณความดีของตน การปราบปรามเผ่ามาร ก็ต้องถือว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูพอแล้ว ทำไมยังจะต้องลงมือกับเผ่ามังกรทมิฬของบิดาและอาจารย์อีก?”
“ราวกับว่าต้องการสร้างศัตรูไปทั่วหกภพภูมิอย่างไรอย่างนั้น”
ตู๋กูซิงหลันแสดงความเห็นของตนเองออกมา นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจพฤติกรรมของเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้นี้ โดยเฉพาะทั้งๆที่ผ่านมาตั้งนานถึงหมื่นปีแล้ว แต่ทันทีที่เขาเสาะหาอาจารย์พบ ก็สั่งให้ลงมือสังหารอาจารย์ในทันที
เพราะเพื่อต้องการจะกำจัดเผ่าหมิงให้สิ้นซากแค่นั้นนะหรือ?
หรือว่าเขาเกรงกลัวว่าอาจารย์จะไปแก้แค้น?
หรือว่า….ยังจะมีเหตุผลอื่นอยู่อีก?
เพราะว่าด้วยฝีมือของท่านอาจารย์ หากว่าเขาต้องการจะแก้แค้นละก็ สมควรลงมือไปตั้งนานแล้ว ไม่มีทางถ่วงรั้งมานานจนถึงวันนี้หรอก
ในสมองของตู๋กูซิงหลันมีแต่ข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด นางรอให้บิดาคนงามบอกคำตอบออกมา
แต่ว่าที่สุดแล้ว แม้แต่เยี่ยจ้านก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร
“บางที…..อาจเป็นเพราะว่าจิตใจของเขาทะเยอทะยานมากเกินไป คิดจะรวบรวมทั้งหกภพภูมิให้เป็นหนึ่งเดียวกระมัง”
ตอนที่ 522 เจ้าใหญ่และเจ้ารอง
ว่าตามจริงแล้ว เยี่ยจ้านเองก็ไม่กล้ารับรอง
ตี้เสีย คนผู้นั้น….ค่อนข้างซับซ้อน
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาเองก็ไม่ทราบสายสนกลในที่ชัดเจน จึงมิได้ไล่บี้ไต่ถามอีก
“ในหกภพภูมิ มีสิ่งใดที่เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงหวาดกลัวบ้างหรือไม่?” ผ่านไปอีกพักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ถามออกมาอีกประโยคหนึ่ง
เพราะด้วยการฝึกฝนของนางในตอนนี้ ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถสังหารชาวสวรรค์ได้ เพราะขนาดแค่ซือเป่ยนางก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป…..
เกรงว่าพึ่งจะขึ้นไปถึงแดนสวรรค์ ก็อาจจะถูกพวกเทพสับจนเป็นเศษเนื้อก็เป็นได้
“บุตรสาวที่รัก เจ้ามีแผนการอันใดเกี่ยวข้องกับตี้เสียหรือ?” เยี่ยจ้านเองก็มิได้โง่เง่า บุตรสาวตนเองมาสอบถามข่าวคราวของแดนสวรรค์ แสดงว่าต้องคิดจะก่อการเคลื่อนไหวบางประการ
จะอย่างไรเสียนางก็คือบุตรของตนเอง เยี่ยจ้านย่อมพอจะคาดเดาความคิดของนางได้อยู่บ้าง
“ลูกเอ๋ย ฟังบิดาเสียบ้างเถอะ อยู่ให้ห่างจากจิ่วโจว…..” ว่าแล้วเขาก็กล่าวต่อไปว่า “โดยเฉพาะตี้เสียผู้นั้น…..เขาไม่ใช่คนดีอะไร”
“บิดากลัวเขาหรือ?”
“ก็ไม่เชิงว่ากลัวเขา…” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ “แต่ว่านะ คนผู้นี้จิตใจลึกล้ำ ฝีมือก็ร้ายกาจ ศักดิ์ฐานะสูงล้ำเป็นถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ แต่ว่าก็ไม่ใช่ตัวดีอะไร หากไปหาเรื่องเขา ย่อมไม่มีจุดจบที่ดี อย่าว่าแต่เจ้าพึ่งจะอายุเท่าไหร่เอง?”
“ถึงแม้ว่าจะได้รับสืบทอดพลังมังกรทมิฬของบิดาไปแล้ว เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่มือของตี้เสีย เพราะว่า….ตอนนั้นบิดาก็สู้เขาไม่ได้เช่นกัน”
เยี่ยจ้านไม่ได้ล้อเล่น เรื่องที่จะปล่อยให้บุตรสาวไปเสี่ยงอันตรายนั้น เขาไม่อาจวางใจได้จริงๆ
“บิดา นี่ต้องเรียกว่าน้ำเงินเกิดจากสีฟ้า เรื่องที่ตอนนั้นท่านไม่อาจทำได้ ข้าอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้” ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกมาตบใส่บ่าของเขา”
บิดาคนงามมิว่าอะไรๆก็ดีไปหมด เสียแต่ใจอ่อนไม่เด็ดขาดไปเสียหน่อย กับเรื่องของมารดาก็เช่นกัน
ตี้เสียเกือบจะทำลายเผ่ามังกรทมิฬจนดับสูญ หากว่าเปลี่ยนเป็นนางละก็ มิว่าอย่างไรก็จะต้องบุกไปฆ่าฟันถึงบนแดนสวรรค์ให้จงได้
เยี่ยจ้านถูกประโยคนี้ของนางทำเอาสำลัก เขากระพริบตาถี่ๆ มือข้างหนึ่งกุมทรวงอกเอาไว้ “ลูกเอ๋ย เจ้าพูดเช่นนี้ ช่างทำร้ายจิตใจของบิดาเหลือเกิน…..”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
พูดพึ่งจะจบคำ เขาก็ล้วงเอาป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ บนป้ายหยกมีกลิ่นอายของพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ ทั้งยังมีพลังของเหล่าเทพ….ที่เหมือนกับบนร่างของซือเป่ยอยู่ด้วย
ท่ามกลางแสงสว่างเลือดลาง ก็เห็นแต่ว่าบนป้ายหยกมีอักขระซับซ้อน บนนั้นคล้ายจะเขียนอักษรบางอย่าง แต่ว่านั่นดูไม่เหมือนกับอักษรของโลกปัจจุบัน ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่รู้จัก
“ป้ายหยกนี้เจ้าเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี บางทีสักวันหนึ่ง เมื่อเจ้าต้องการไปแดนสวรรค์ มันอาจจะมีประโยชน์ต่อเจ้า”
ตู๋กูซิงหลันรับป้ายหยกมา ลูบคลำตัวอักษรอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง มองอยู่พักใหญ่ ก็รู้สึกคลับคล้ายว่าจะมีคำว่า ‘ตี้’ อยู่บนนั้น
“เป็นสิ่งของของตี้เสียหรือเจ้าคะ?” นางถามออกไปประโยคหนึ่ง
“สิ่งของที่สืบทอดมาในตระกูลตี้ ไม่ใช่ของเขา เมื่อมีป้ายหยกนี้ คิดจะเข้าไปในแดนสวรรค์ก็นับว่าง่ายดาย” เยี่ยจ้านว่าต่อไป
เขาย่อมต้องไม่บอกกับตู๋กูซิงหลัน ว่าป้ายหยกชิ้นนี้เป็นของหวาชางสุ่ย ตอนนั้นฮวาชางสุ่ยอยู่ในเผ่าเทพ ตระกูลหวาทำงานรับใช้แดนสวรรค์นับว่ามีผลงาน ดังนั้นอดีตเง็กเซียนฮ่องเต้จึงทรงพระราชทานป้ายหยกให้แก่ตระกูลหวา ให้พวกเขาสามารถเขาออกแดนสวรรค์ได้เป็นพิเศษ
เพียงแต่ว่าต่อมาภายหลัง ตระกูลหวาทำความผิด ถูกแดนสวรรค์ขับไล่ออกมา เขาไม่มีใจผูกพันกับหวาชางสุ่ย เพียงแต่บิดาจัดการงานแต่งงานให้ ตระกูลหวาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาเองก็มิได้คัดค้านคำสัญญาที่บิดาเคยตกลงเอาไว้….จึงสู่ขอหวาชางสุ่ยที่ไร้หนทางมาเป็นภรรยา
ป้ายหยกชิ้นนี้ คือของหมั้นหมายที่หวาชางสุ่ยมอบให้กับเขา
แน่นอนว่า ป้ายหยกเช่นนี้ ตระกูลอื่นๆในสวรรค์ต่างก็มีอยู่เช่นกัน และมิได้มีอยู่เพียงชิ้นเดียว ดังนั้นต่อให้นางนำป้ายหยกนี้ขึ้นไปบนแดนสวรรค์ ขอเพียงฐานะมิได้ถูกเปิดเผยออกมา ก็จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนหรอก
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ปฏิเสธ เก็บป้ายหยกชิ้นนั้นลงไปในถุงเฉียนคุน เรื่องของอาจารย์และตี้เสียนางก็ไม่คิดจะสอบถามต่อไปแล้ว แดนสวรรค์เป็นอย่างไร วังหลังขึ้นไปสักรอบหนึ่งแล้วย่อมเข้าใจได้เอง
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “ก่อนหน้านี้พี่รองเองก็ถูกเยี่ยเฉิงและเยี่ยอิงจับมาที่ก้นทะเลลึก ท่ามกลางการระเบิดที่รุนแรงในครั้งนั้น….พี่รองหายสาบสูญไปเสียแล้ว บิดารู้หรือไม่ว่าเขาไปอยู่ที่ใด?”
เยี่ยจ้านอย่างไรก็เป็นถึงราชามังกรทมิฬผู้แข็งแกร่ง สมควรสัมผัสได้ว่าบุตรตนเองเคยมาปรกาฏตัวที่นี่แล้ว
“พลังกระหายโลหิตในร่างของพี่รองตื่นขึ้นมาแล้ว เขากลายเป็นคนที่ไม่อาจจะควบคุมตนเองได้…..”
ตู๋กูซิงหลันเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
เยี่ยจ้านได้ยินแล้ว หัวคิ้วก็ขมวดน้อยๆ ตอนนั้นที่ซื่อมั่วใช้พลังของจิตวิญญาณตนเองสยบอสุรกายโลกันตร์เอาไว้อีกครั้ง แม้แต่ตัวเขาที่อยู่ใต้หุบเหวไร้บึ้งก็ยังพลอยรู้สึกถึงผลกระทบไปด้วย
ในตอนนั้น เขาเองก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังของพลังกระหายเลือดอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตัวเขาติดอยู่ใต้หุบเหวไร้ก้น
“พลังกระหายเลือดของเจ้ารองตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน เช่นนั้นสมควรไม่ตายไปได้” เขาใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง “เจ้าลูกคนนั้น ผิวเนื้อด้านหนา อย่างมากก็คงกระดูกหักไปหลายท่อน หนังลอกไปชั้นหนึ่ง…..”
ตู๋กูซิงหลันได้ยินคำเหล่านั้นแล้ว ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าพี่รองไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขาอย่างไรอย่างนั้น?
มุมปากของนางกระตุกถี่ๆ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเอ่ยคำ ก็ได้ยินเยี่ยจ้านพูดว่า “ก้นทะเลลึกเชื่อมต่อระหว่างดินแดนของโลกโบราณและดินแดนสวรรค์จิ่วโจว หากว่าเขาไม่ได้อยู่ในแดนมนุษย์ เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะถูกผลักกระเด็นไปจนถึงแดนสวรรค์โน่น ส่งคนไปที่นั้นตามหาดู ไม่แน่ว่าอาจจะเจอก็ได้”
เยี่ยจ้านเหมือนมิได้กังวลใจเลยว่าตู๋กูเจวี๋ยจะอยู่หรือตาย
ตู๋กูซิงหลันถามอีกวา “บิดามั่นใจว่าพี่รองยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“บุตรมังกรของเราราชามังกร….จะตายง่ายๆได้อย่างไร?” เยี่ยจ้านถามกลับมาคำหนึ่ง ด้วยท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ
“บุรุษนั้นสมควรผ่านประสบการณ์ให้มากๆ นับแต่ครั้งโบราณมา มีเทพองค์ใดไม่ต้องเฉียดผ่านความเป็นความตายกัน ต่างก็ต้องรับทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น เจ้ารองทั้งอ่อนแอและใจเสาะมาแต่เล็ก สมควรต้องฝึกฝนให้มากเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นจะมีหญิงสาวบ้านใดถูกใจเขากัน?”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
ทำไมดูๆไปแล้วถึงได้รู้สึกว่าบิดานั้นเชื่อถือไม่ได้เอาเสียเลย ทำเอานางได้แต่สงสารพี่รองอย่างเงียบๆ
แต่ว่าเมื่อได้ยินจากบิดาว่าพี่รองสมควรยังไม่ตาย ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
จากนั้นนางก็เปลี่ยนหัวข้อจากเรื่องของพี่รองไปเรื่องของพี่ใหญ่ต่อไป “ตอนที่บิดาไปจากบ้าน พี่ใหญ่พึ่งจะสิบกว่าขวบ ท่านยังจดจำรูปลักษณ์ของพี่ใหญ่ได้หรือไม่?”
เยี่ยจ้านพยักหน้า “เจ้าใหญ่ตั้งแต่เล็กก็รูปร่างแข็งแกร่งบึกบึน เป็นบุรุษที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยพึ่งพาได้”
“บิดาเคยพบเทพสงครามของแดนสวรรค์ ซือเป่ย หรือไม่เจ้าคะ?”
“แน่นอนว่าเคยพบ”
“รูปลักษณ์ของพี่ใหญ่ กับซือเป่ยคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง”
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของเยี่ยจ้านก็เคร่งขรึมลงไปอีกหลายส่วน
ผ่านไปอีกครึ่งวัน เขาถึงได้เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “บุตรของเราเยี่ยจ้าน หน้าตาไม่คล้ายเรา แต่กลับไปคล้ายไอ้ลูกเต่าซือเป่ยนั่นนะหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “เอ่อ…..”
ทำไมการจับประเด็นของบิดามักจะหลุดออกนอกกรอบไปไกลอยู่เรื่อย?
หรือจะเป็นเพราะว่าคำพูดของนางมีอะไรไม่ถูกต้องชัดเจนพอ?
“ยามที่ชิงชิงอยู่กับเรา นางยังเป็นกุลสตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่องงดงาม ไม่มีทางมีอะไรเกี่ยวข้องกับไอ้ลูกเต่าซือเป่ยนั่นแม้แต่น้อย” สองมือของเยี่ยจ้านเท้าอยู่บนบั้นเอว
เส้นผมสีเงินยวงโบยบินขึ้นไปตามสายลมอย่างรุนแรง จนแทบจะชี้ขึ้นไปตั้งฉากอยู่แล้ว
จากที่ตอนแรกยังสงบนิ่งดุจเทพเซียน ยามนี้กลับคุกรุ่นจนใกล้จะระเบิด ราวกับพบว่าซือเป่ยเคยจับท่านแม่มาทำเรื่องมิดีมิร้ายอะไรเข้า
ตู๋กูซิงหลันเคยชินกับการจับประเด็นผิดไปของเขาเสียแล้ว จึงกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ข้าได้ยินซือเป่ยพูดออกมาว่า เขามีพี่ชายแท้ๆอยู่ผู้หนึ่ง ชื่อว่าซือหนาน”
“ข้าอยากจะถามบิดาว่า พี่ใหญ่กับซือหนานมีอะไรเกี่ยวข้องกันบ้างหรือไม่?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น