หมอดูยอดอัจฉริยะ 514-515
ตอนที่ 514 ประมูลสาธารณะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อาจารย์ พวกเราไปกันหมดแล้ว ท่านจะรั้งอยู่ที่พม่าทำไมล่ะครับ? ถ้ายังไง ผมอยู่กับท่านด้วยแล้วกัน…”
เห็นเยี่ยเทียนไม่ยอมตามเฮลิคอปเตอร์กลับไปยังประเทศจีน โจวเซี่ยวเทียนออกจะเป็นกังวลเล็กน้อย เขาเติบโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นคนตายมากมายเท่าการเดินทางครั้งนี้ จิตใจจึงไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร และเกิดความกลัวว่าจะเกิดเหตุอะไรบางอย่างกับเยี่ยเทียน
“ฉันยังอยู่แน่นอนว่าต้องมีธุระ อีกอย่างรถหุ้มเกราะสองสามคันนี้ต้องส่งคืนใช่ไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะโบกไม้โบกมือ กล่าวว่า “ฉันยังต้องไปดูทางซีกั๋ว บ้านที่ฮ่องกงต้องตกแต่งด้วยหินหยกดีๆ สักหน่อย ฉันเลยจะไปดูว่าสามารถนำออกมาได้บ้างไหม?”
ในใจเยี่ยเทียนรู้อยู่ว่า คนญี่ปุ่นจำนวนมากหายตัวไปในพม่าเช่นนี้ จะต้องก่อให้เกิดเป็นกระแสรุนแรงขึ้นมาไม่น้อย ก่อนที่ข่าวจะเล็ดรอดออกไป เขาต้องนำรถหุ้มเกราะส่งกลับคืนสู่นายพลปอกัง เผื่อวันหลังเกิดมีคนนึกสงสัยขึ้นมา ตัวเองก็บินหายไปไกลแล้ว
ส่วนเรื่องหลิ่วซีกั๋ว เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนฉุกคิดขึ้นมาชั่วขณะ หยกที่จะใช้ในคฤหาสน์ที่ฮ่องกง ไม่จำเป็นต้องสูงค่า แต่ว่าจะต้องมีปริมาณมหาศาล แทนที่จะไปซื้อหาหลังกลับประเทศ ยังไม่สู้อาศัยโอกาสนี้ไปตรวจดูหยกพม่าในงานประมูลสาธารณะ ไม่แน่อาจโชคดีหามาได้จำนวนหนึ่ง
อีกทั้งหยกพม่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของหยกแข็ง ซึ่งรับพลังชีวิตของฟ้าดินไว้มากยิ่งกว่าหยกเหอเถียน เพียงแต่ว่าหยกชนิดนี้ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ จึงไม่เป็นที่รู้จักในวงการสำนักพยากรณ์มาแต่โบราณ กระทั่งในหัวของเยี่ยเทียนก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับหยกพม่า
“เยี่ยเทียน ถ้านายยังไม่กลับล่ะก็ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แล้วนะ!”
เมื่อเห็นอาจารย์และลูกศิษย์สองคนยังคุยกันอยู่ ซ่งเฟยก็ไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป ภารกิจของเขาครั้งนี้มีเวลาจำกัด หากยังรั้งรออยู่ต่อ จะเกินเวลาที่คาดหมายเอาไว้
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตบบ่าโจวเซี่ยวเทียน ชี้ไปยังซ่งเฟยแล้วกล่าว “เอาล่ะ เซี่ยวเทียน ฉันมอบภารกิจสำคัญให้นายอย่างหนึ่ง เขาไปไหนให้นายตามไปที่นั่น เร่งให้พวกเขาเอาทองคำห้าตันนั้นหลอมให้ฉัน ถึงเวลานั้นนายก็คอยดูแลแล้วส่งไปยังเหล่าถังที่เกาะฮ่องกง!”
“ครับ แน่นอน ท่านก็ระวังตัวด้วยนะครับ ผมจะต้องทำงานให้คุณสำเร็จแน่นอน!”
พอได้ยินเยี่ยเทียนยกหน้าที่สำคัญเช่นนี้ให้เขาทำ โจวเซี่ยวเทียนก็พลันมีสีหน้าตื่นเต้น ออกปากรับคำเสียงดัง
“พวกนี้นี่มันยังไงกัน? อายุก็พอๆ กัน คนนึงร้ายกาจอย่างกับปีศาจ อีกคนกลับใสซื่อซะขนาดนั้น!”
ซ่งเฟยมองยังอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองอย่างอึดอัดเล็กน้อย จากสายตาของเขาสามารถมองออกว่าเยี่ยเทียนกำลังหลอกล่อเจ้าหนุ่มนั่น ต่อให้ซ่งเฟยมีกึ๋นกว่านี้อีกร้อยเท่า เขาก็ยังไม่กล้าแตะต้องทองคำเหล่านี้ของเยี่ยเทียน แล้วยังต้องให้คนมาคอยติดตามอีกหรือ?
เมื่อมองยังเฮลิคอปเตอร์หลายลำส่งเสียงกระหึ่มทั่วฟ้า ค่อยๆ บินขึ้นและจากไป จากนั้นเยี่ยเทียนมองยังพวกมาลาไกย์ พลางหัวเราะพูด “เหล่าหม่า ลำบากพวกพี่อีกรอบนะ ช่วยตามผมนำรถหุ้มเกราะพวกนี้กลับไปคืนได้ไหม?”
“ไม่ลำบากๆ หัวหน้า นั่นเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
พอติดตามคลุกคลีอยู่กับพวกอู่เฉินมาหลายวัน มาลาไกย์เริ่มเรียนรู้สำเนียงปักกิ่งสองสามประโยค เพียงแต่ใช้สำเนียงอเมริกันพูดภาษาจีนแบบเขาแล้ว เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมา
“จริงสิ หัวหน้า ท่านจะจัดการกับชาวญี่ปุ่นพวกนั้นอย่างไรครับ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนอารมณ์ดี มาราไกย์ยกมือวาดที่ลำคอตนเองครั้งหนึ่ง ในฐานะทหารรับจ้างที่ท่องไปยังเขตแดนระหว่างความเป็นความตายบ่อยครั้ง ดาบสุดท้ายนี้ เหล่าหม่ายังไม่ละอายที่จะถามออกมา ถึงอย่างไรหากมีความสามารถพิเศษ บางครั้งอาจมีความหวังรอดชีวิตบ้าง
“เรื่องนี้ คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ?” เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองยังมาราไกย์อย่างไม่เชื่อสายตา แค่นหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง กล่าวว่า “เหล่าหม่า หยิบการตั้งท่าป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณออกมา!”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน มาราไกย์ก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว สองขายืนมั่นวางเป็นอักษรเลขแปด สองมือข้างหนึ่งอยู่บนข้างหนึ่งอยู่ล่าง แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่มวยตะวันตกแต่เป็นเจี๋ยฉวนเต้าของบรูซลี ป้องกันจุดอันตรายบนร่างกายได้อย่างรัดกุม
“ดูให้ดี!” เยี่ยเทียนเอ่ยเสียงเตือนเขาหนึ่งประโยค มือซ้ายยื่นออกมาดัง “ฟุ่บ” หนึ่งเสียง คว้าไปยังลำคอของมาราไกย์
ว่าไปแล้วก็แปลก แม้มาราไกย์เห็นท่วงท่าของเยี่ยเทียนได้อย่างชัดเจน กระทั่งทิศทางที่เขาออกหมัดยังเห็นอย่างชัดแจ้ง แต่ไม่รู้เพราะอะไร ขณะที่มือซ้ายตรงหน้าอกเขายกขึ้นมาจะปัดป้อง กลับรู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอ กลายเป็นว่าถูกเยี่ยเทียนคว้าลำคอไว้แล้ว
แม้รู้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ลงมือสังหาร มาราไกย์ยังตกใจจนหน้าซีดเผือด เมื่อเผชิญหน้ากับคนอย่างเยี่ยเทียน ในใจเขานอกจากความรู้สึกหมดหนทางอย่างล้ำลึก ส่วนที่เหลือคือความหวาดกลัวทั้งสิ้น เขาสาบานกับตัวเองว่าชาตินี้จะไม่ขอพบพานคู่ต่อสู้แบบนี้
“วิทยายุทธ์ของจีนให้ความสำคัญจากภายในสู่ภายนอก ต้องเรียนพื้นฐานตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้กระดูกนายเข้ารูปแล้ว ไม่อาจฝึกได้สำเร็จ”
เห็นสายตาวอนขอชีวิตของมาราไกย์ เยี่ยเทียนก็ยิ้มคลายมือออก ชาวต่างชาติมีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือนับถือผู้แข็งแรงกว่า ขอเพียงตัวเองกำราบพวกเขาได้ คนพวกนี้ก็ไม่มีใจเป็นอื่น
ภายใต้การจู่โจมของเยี่ยเทียนครั้งนี้ พวกมาราไกย์กลับกลายเป็นเชื่อฟังอย่างน่าประหลาด หลังนำรถออฟโรดสองสามคันนั้นที่ขนย้ายทองคำออกจนว่างเปล่าไปยังหุบเขาเพลิงผลาญแล้ว สี่คนก็ขับรถหุ้มเกราะสามคัน กลับสู่ย่างกุ้งในสองวันถัดมา
ระหว่างเส้นทางกลับไปเยี่ยเทียนนับว่าล่าเสือได้ตัวหนึ่งได้จริงๆ ภายใต้หนังเสือที่ห่อหุ้มอยู่นั้น รองนายพลปอกังผู้มารับรถกลับไม่เคยนึกสงสัยแม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้เยี่ยเทียนกลับเดินทางข้ามครึ่งประเทศพม่า ก่อเรื่องยิ่งใหญ่สะเทือนเลื่อนลั่นโลกาได้ขนาดนั้น
แน่นอนว่า นอกจากซากรถออฟโรดเหล่านั้น ชาวญี่ปุ่นกว่าร้อยคนนั่นล้วนถูกกำจัดออกไปจากโลกนี้ คิดจะขุดศพจากอุโมงค์ที่ถูกระเบิดออกมา นับว่าไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ เลย
หลังจากส่งมอบรถหุ้มเกราะแล้ว พวกมาราไกย์ก็ใช้ช่องทางของตัวเอง ส่งยุทโธปกรณ์ที่เหลือออกไปจากพม่า นัดแนะเวลาพบกันที่เมืองหลวงกับเยี่ยเทียนเสร็จแล้วก็จากไป ส่วนเยี่ยเทียนกลับไปยังโรงแรมที่พักตอนแรกที่มาถึงพม่า ภายใต้การคุ้มกันของรถทหารคันหนึ่ง
“ท่านอา ท่านกลับมาแล้ว!”
หลิ่วซีกั๋วไม่มีความรู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ เยี่ยเทียนก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้า เขารู้ว่าชายหนุ่มผู้มากอาวุโสล้วนมีความสามารถบางอย่างที่ไม่อาจล่วงรู้เช่นเดียวกับพ่อตาของเขา จึงไม่อาจใช้สายตาที่มองคนธรรมดามามองพวกเขาได้
แต่ถ้าหากหลิ่วซีกั๋วรู้เรื่องที่เยี่ยเทียนทำลงไปในสองสามวันนี้ เกรงว่าจะถึงกับอ้าปากค้างเลยหรือเปล่า?
เยี่ยเทียนมองซ้ายมองขวา แล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “ซีกั๋ว ติ้งติ้งล่ะ?”
ตอนสุดท้ายที่จากย่างกุ้งไป เยี่ยเทียนยังออกคำสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่อนุญาตให้หลิ่วติ้งติ้งร่วมเดินทางไปกับเขาครั้งนี้ ตอนนั้นเด็กนั่นโกรธจนแทบร้องไห้ออกมา แต่เยี่ยเทียนถือสิทธิ์ของเจ้าสำนัก สุดท้ายจึงได้แต่รับคำอย่างทำอะไรไม่ได้
“เธอไม่ชอบการพนันหิน เลยไปเมืองหลวงหาคุณตาแล้วครับ” หลิ่วซีกั๋วเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับลูกสาวคนนี้ แม้จะโตมาสะสวย แต่ก้าวร้าวเกเรมาแต่เด็ก จนถึงตอนนี้กระทั่งแฟนหนุ่มก็ยังไม่มี แต่เมื่อมองเธอกับลูกศิษย์ของเยี่ยเทียนคนนั้น กลับดูน่าสนใจไม่น้อย
“พวกคุณเตรียมจะไปกันเมื่อไหร่ครับ? แล้วยังจะไปที่พนันหินกันหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานพนันหินที่พม่า หากอยากเข้าไปยังเขตหยกพม่าสาธารณะ ต้องอาศัยนามของบริษัทหลิ่วซีกั๋วถึงจะทำได้
หลิ่วซีกั๋วตอบว่า “ท่านอา พวกเราเลือกซื้อหินวัตถุดิบได้พอสมควรแล้ว บ่ายนี้ไปกันสักรอบ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับฮ่องกง!”
“งั้นก็ดี ผมจะไปเปิดหูเปิดตากับพวกคุณ ถ้าหากมีวัตถุดิบไหนที่ผมสนใจ จดบัญชีให้พวกคุณซื้อหน่อยได้ไหม?”
เยี่ยเทียนพอใจแผนการเดินทางของหลิ่วซีกั๋วมาก ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่พม่า เขาเองก็ไม่อยากรั้งอยู่นานนัก ตอนบ่ายไปดูงานประมูลสาธารณะ ถ้าหากพบหยกที่เหมาะสมก็จะดีมาก แต่ถ้าหากไม่พบ เขาก็จะจากไปวันพรุ่งนี้
“ไม่มีปัญหาครับ ท่านอา บัญชีของพวกเรายังมีเหลือใช้ยามฉุกเฉินอีกสามล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังพอสามารถซื้อวัตถุดิบดีๆ ได้บ้าง”
หลิ่วซีกั๋วรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยเทียนกับพ่อตา จึงรับปากลงไปทันที งานประมูลสาธารณะในพม่าครั้งนี้ ไม่โด่งดังเทียบเท่าสมัยก่อน วัตถุดิบที่ราคาสูงกว่าสิบล้านหยวนล้วนเป็นวัตถุดิบที่ยังไม่ได้เจียระไน สามล้านดอลลาร์สหรัฐจึงนับว่าไม่ใช่เงินทุนที่หรูหรานัก
พอเรียกรถบัสเล็กของโรงแรมมาแล้ว หลิ่วซีกั๋วกับภรรยาและปรมาจารย์พนันหินที่พวกเขาเชิญมา ก็พาเยี่ยเทียนมาถึงตลาดศูนย์กลางค้าหยกแห่งชาติในชานเมืองย่างกุ้ง
ปัจจุบันที่แห่งนี้ไม่มีขอบเขตอย่างเมื่อสมัยอดีต เป็นเพียงพื้นที่โล่งกว้างตรงกลางก่อกำแพงขึ้น กำแพงสี่ทิศล้อมรอบไปด้วยทหารพม่าพกอาวุธกระสุนจริงยืนคุ้มกัน นักธุรกิจคนใดก็ตามที่เข้าร่วมงานประมูลหยกพม่าสาธารณะไม่สามารถเข้าใกล้กำแพงที่ล้อมรอบได้ และสามารถเข้าออกทางประตูของทางการเท่านั้น
“พวก….พวกนี้เป็นหยกพม่าหมดเลยหรือครับ?”
หลังจากแสดงบัตรยืนยันแล้ว เยี่ยเทียนก็เข้ามายังภายในตลาดประมูลหยกพม่า มองยังพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดพันกว่าตารางเมตรอันอุดมไปด้วยหินหยกมากมายหลายชนิด เยี่ยเทียนยังอดตกตะลึงไม่ได้
“ท่านอา พูดให้ถูกต้องควรจะบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นหินดิบ ข้างในมีหยกพม่าหรือไม่นั้น ยังไม่อาจบอกได้ครับ” พอเห็นเยี่ยเทียนตกตะลึงอย่างนั้น หลิ่วซีกั๋วยังอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมงานประมูลสาธารณะ ยังแสดงออกไม่เท่าเยี่ยเทียนเลย
“ทำไมคนถึงน้อยอย่างนี้ล่ะ?” เยี่ยเทียนพบว่าเมื่อเทียบกับห้องประชุมแบบเปิดโล่งแล้ว คนที่เดินไปมาภายในนี้ยังน้อยกว่ามาก มีเพียงไม่กี่เขตเท่านั้นที่มีผู้คนยืนตรวจสอบ
“ท่านอา สถานการณ์ช่วงนี้ของพม่าไม่ค่อยสงบ ดังนั้นคนที่เข้าร่วมประมูลจึงมีไม่มาก นอกจากนั้นงานประมูลก็ใกล้จะจบแล้ว บางคนจึงพักอยู่ที่โรงแรมครับ!”
นับตั้งแต่การยอมจำนนของคุนซาปีนี้ สถานการณ์ในพม่ากลับยิ่งวุ่นวายมากขึ้น มีกองกำลังท้องถิ่นมากมายลักพาตัวพ่อค้าหยกจากนานาประเทศในทวีปตะวันออกเฉียงใต้ที่มายังพม่า เรียกร้องค่าไถ่เป็นจำนวนสูงลิ่ว เป็นเหตุให้เหล่าพ่อค้าหยกพม่าต่างหวาดระแวง
ดังนั้นบริษัทที่ไม่มีกองทหารหนุนหลังมั่นคง จึงได้แต่สังเกตการณ์การประมูลสาธารณะในครั้งนี้ เหล่าพ่อค้าปลีกยิ่งรั้งรอ และยังส่งผลให้การประมูลครั้งนี้เงียบเหงาอย่างน่าประหลาด ปริมาณการค้าหินดิบก็ต่ำลงจากงานประมูลในอดีตลงมาก
แต่ว่าการจัดงานประมูลสาธารณะของพม่าจะดีหรือเลวนั้น ไม่เกี่ยวกับเงินของเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย หลังจากได้ยินหลิ่วซีกั๋วอธิบายแล้ว เขาก็เอ่ยถามตรงๆ ว่า “ซีกั๋ว ทางไหนคือพนันผ่าหินดิบครับ?”
หลังจากพาเยี่ยเทียนมายังเขตพนันผ่าหินดิบซึ่งตัดให้เห็นบางส่วนแล้ว หลิ่วซีกั๋วก็กล่าวเตือนอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอา ปีนี้ราคาตลาดหยกพม่าหล่นลงมานิดหน่อย ท่านอย่าเล่นสูงมากนักนะ”
……………
ตอนที่ 515 หินอัปลักษณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอ๋? การขาดแคลนวัตถุดิบ น่าจะกระตุ้นให้ตลาดสินค้าแปรรูปครึกครื้นไม่ใช่หรือครับ? พวกคุณไม่ต้องเติมของในคลังเหรอ?” หลังจากได้ยินหลิ่วซีกั๋วพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลิ่วซีกั๋วแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง กล่าวว่า “ก็ด้วยเหตุผลนี้แหละครับ ทำให้ตลาดหยกพม่าช่วงนี้ไม่ค่อยมั่นคง ผู้คนมากมายตอนนี้ล้วนเอาแต่สังเกตการณ์…”
ที่แท้ เมื่อมีสถานการณ์ไม่แน่นอนในพม่า ราคาของวัตถุดิบหยกพม่าก็พุ่งขึ้นสูง พอต้นทุนสูง ก็ส่งผลให้ราคาซื้อขายหยกพม่าแปรรูปในตลาดขยับขึ้นตามด้วยสาเหตุนี้ ของที่เดิมเคยราคาไม่กี่พันหยวน ตอนนี้ขายได้นับหลายหมื่น อัตราที่เพิ่มขึ้นสูงจนทำให้ผู้คนตกตะลึงจนพูดไม่ออก
งานประชุมครั้งนี้ในปี 1998 ตลาดหยกพม่ายังไม่สุกงอมมากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกค้าระดับกลางค่อนไปทางต่ำ ร้านที่รับซื้อจำนวนมากยังไม่ลงตลาด ด้วยสาเหตุนี้ราคาขายหยกพม่าที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ผู้คนมากมายได้แต่มองแล้วเดินจากไป
แม้ผู้คนมากมายจะเข้าใจว่านี่คือช่วงเวลาปรับเปลี่ยน แต่เมื่อไม่มีลูกค้าระดับสูงเข้ามาร่วมด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ราคาสูงก็จะขายไม่ออก และก่อให้เกิดภาวะเงียบเหงาในตลาดหยกพม่า ส่งผลกระทบให้การประมูลหยกพม่าสาธารณะครั้งนี้แทบร้างผู้คน
หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลิ่วซีกั๋วแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะ “ซีกั๋ว ถ้าหากเป็นไปได้ คุณเอาเงินทุนทั้งหมดลงในตลาดวัตถุดิบเถอะ รับรองว่าไม่สูญแน่!”
“ท่านอา คุณตรวจดูตลาดนี้ดีแล้วหรือ?” หลิ่วซีกั๋วมองเยี่ยเทียนด้วยความประหลาดใจ นึกสงสัยว่าปรมาจารย์น้อยผู้นี้ดูเหมือนจะยังไม่เคยค้าขายหยกมาก่อนนี่?
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า กล่าวว่า “หยกเหอเถียนจากซินเจียงกำลังจะถูกเลือกออกมาแล้ว ราคาสูงกว่าสิบปีก่อนถึงสิบกว่าเท่า คุณถือโอกาสนี้เข้าร่วมสักหน่อย คงไม่น่าเสียหายหรอกมั้ง?”
เยี่ยเทียนไม่ได้รู้เรื่องการค้าเครื่องประดับอัญมณี แต่ว่าเขาเข้าใจอยู่หลักการหนึ่ง หยกพม่าและทองคำอีกรวมทั้งหินหยกต่างก็เหมือนกัน พวกมันล้วนเป็นทรัพยากรประเภทที่ไม่อาจเกิดขึ้นใหม่ เมื่อถูกขุดออกมาแล้ว สินค้าที่ถูกเก็บไว้ในมือ จะสามารถกักตุนเพื่อเพิ่มมูลค่าภายหลังได้
“ท่านอาพูดถูก ผมจะติดต่อพ่อสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน”
หลักการที่เยี่ยเทียนพูดไปไม่ได้ลึกซึ้ง ผู้คนมากมายล้วนเข้าใจได้ แต่ว่าบนโลกนี้มีคนเข้าใจมาก ทว่าคนที่สามารถหาเงินนั้น กลับมีเพียงคนกลุ่มเดียวอันน้อยนิด คนพวกนี้ไม่เพียงสายตาเฉียบคม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือต้องกล้าลงมือ และนี่ก็คือหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของคนที่ประสบความสำเร็จ
หลิ่วซีกั๋วรู้อย่างแน่นอนว่าพ่อตาของเขาให้ความเคารพเยี่ยเทียนมาก มักชื่นชมไม่ขาดปาก ดังนั้นคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนเขาจึงไม่กล้ามองข้าม หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรหาจั่วเจียจวิ้น
“หึๆ ศิษย์พี่เองยังให้คำแนะนำเรื่องนี้นายไม่ได้หรอก”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้มไม่พูดอะไรอีก จั่วเจียจวิ้นแม้จะเก่งกาจด้านทำนายทายทัก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเอง จึงมองเห็นได้ไม่หมด อย่างมากก็แค่สามารถบอกฮวงจุ้ยเรียกทรัพย์เท่านั้น
อีกทั้งการเสี่ยงทายเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง เป็นการทำนายที่ยากที่สุด ไม่อย่างนั้นหมอดูฮวงจุ้ยทั้งหลายจะยังใช้การทำนายดวงชะตาให้ผู้คนทั่วสารทิศหรือ ทั้งที่ทำนายจากตลาดหุ้นก็กอบโกยได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว?
เห็นหลิ่วซีกั๋วเดินไปอีกทางเพื่อคุยโทรศัพท์ เยี่ยเทียนก็ก้าวอย่างมั่นใจทางเขตพนันผ่าหินดิบ ความไม่รู้ในตลาดหยกพม่านับเป็นโอกาสสำหรับเยี่ยเทียน นั่นหมายความว่าเยี่ยเทียนสามารถเอ่ยราคาต่ำซื้อวัตถุดิบที่เขาต้องการได้
“หินดิบมากมายอย่างนี้ ถ้าหากข้างในเป็นหยกพม่าล้วน ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใช้หินหยกวางค่ายอาคมแล้ว”
เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางพื้นที่อันเต็มไปด้วยหยกพม่าดิบ เยี่ยเทียนก็อดจินตนาการขึ้นมาไม่หยุด คนอย่างเขาจะขาด “ทรัพย์สิน คู่ครอง หลักการ ที่ดิน” อย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนจำเป็นต้องมีเงินทุนมหาศาลเกื้อหนุน
แม้ว่าเยี่ยเทียนเพิ่งจะได้ลาภก้อนใหญ่ แต่ว่าทองคำเหล่านั้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่แอบซ่อนเอาไว้ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกละอายหากจะเอาทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง ไม่แน่ถึงเวลาอาจต้องนำเงินทุนส่วนใหญ่ไปเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน ไม่อย่างนั้นจิตใจของเขาคงไม่เป็นสุข อันจะเป็นผลร้ายต่อการฝึกฝนวรยุทธของเขาเป็นอย่างมาก
“หืม? พนันผ่าหินครั้งนี้ มีหินดิบไม่น้อยนี่นา?”
หลังจากเข้าไปยังเขตพนันผ่าหินแล้ว เยี่ยเทียนยังอดตกใจไม่ได้ ผู้คนส่วนใหญ่ในสถานประชุมนี้ ที่แท้ก็มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้เอง และกำลังวิจารณ์ภาพลักษณ์ของหินดิบพวกนั้นที่แง้มหรือแกะออกมาบางส่วน
เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาละอ่อนอย่างเยี่ยเทียนเดินเข้ามา พ่อค้าหินดิบเหล่านั้นเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก ต่างทำอย่างกับเป็นน้องหรือลูกชายของใครสักคนที่พามาเปิดหูเปิดตา
“คิดว่าหยกพม่าภายในหินพวกนี้ ต้องมีมากกว่าที่เกาะฮ่องกงครั้งนั้นหลายเท่าสินะ?”
เมื่อมองไปยังหินดิบสำหรับผ่าพนันเหล่านี้ที่ถูกปิดมิดชิดหรือเผยเลือนราง หรือไม่ก็ปิดบังเพียงเนื้อหยกพม่าบางส่วน ในใจเยี่ยเทียนจึงอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ เขาสามารถสัมผัสถึงการขับเคลื่อนพลังชี่อันเป็นเอกลักษณ์ของพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน และยังเป็นอาวุธทรงพลังที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน
เนื่องด้วยคราวนี้ต้องการหินหยกในปริมาณมาก เยี่ยเทียนจึงเดินตรงไปยังหินทรงวงรีชิ้นหนึ่ง ร่างหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าหินดิบขนาดใหญ่น้ำหนักประมาณสามสี่ร้อยชั่ง พื้นผิวหินดิบชิ้นนี้เผยให้เห็นสีเขียวเลือนราว ตรงกลางชิ้นมีรอยผ่าออกขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ
ด้านหน้าหินวัตถุดิบในเวลานี้ มีชายวัยกลางคนสองคนนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น กำลังใช้ไฟฉายแรงสูงส่องลงบนผิวหินไม่เลิก ดวงตาเบิกกว้าง ราวกับจะมองทะลุพื้นผิวหินให้เห็นเนื้อใน
เยี่ยเทียนเองก็ไม่รีบร้อน ยืนรอสองคนตรวจดูหินดิบอยู่ด้านข้างอย่างสงบ หลังจากห้าหกนาทีผ่านไป คนหนึ่งในนั้นก็ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เหล่าอู๋ คุณเห็นว่ายังไง? รอยบากนี่เผยให้เห็นเนื้อจางๆ แล้ว ข้างในต้องมีหยกพม่าอยู่แน่นอน แต่คุณภาพและปริมาณนั้นยากจะตัดสินเหลือเกิน”
ชายวัยกลางคนผู้ถูกเรียกว่าเหล่าอู๋คนนั้นพยักหน้ากล่าว “เนื้อหมอกสิบส่วน หยกเก้าส่วน เถ้าแก่ครับ ผมตรวจชิ้นนี้เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองแล้ว ใบหน้าเยี่ยเทียนก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ คำกล่าวที่ว่า “เทพเซียนยังยากตัดสินหยกหนึ่งชิ้น” นี้เป็นจริงดังคาด หินดิบชิ้นนี้ที่ทั้งสองคนตรวจดู ความจริงแล้วข้างในมีเพียงหยกพม่ากระจัดกระจายบางส่วน ระดับความบริสุทธิ์พลังวิญญาณของมันจึงไม่สูงมากนัก
“เจ้าหนู ทำไมหรือ? มีอะไรไม่เห็นด้วยหรือไง?”
ตอนที่ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มไม่คล้อยตามนั้น เป็นจังหวะที่เหล่าอู๋เงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญมีชื่อในวงการพนันหิน จึงเอ่ยถามขึ้นมาในทันที
เยี่ยเทียนรู้ว่ารอยยิ้มของตัวเองทำให้คนอื่นเข้าใจผิด จึงรีบพูดว่า “เปล่าครับ ผมไม่รู้เรื่องการพนันหิน เพียงแค่ได้ยินคุณอาพูดกันน่าสนใจก็เลยยิ้มออกมา ไม่ได้มีความหมายอื่นจริงๆ ครับ”
แม้ว่าหลายปีมานี้เยี่ยเทียนจะคบหากับชนชั้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าวิชาการตีสีหน้าของเขาเรียนรู้มาจากสมัยติดตามหลี่ซั่นหยวนไปขึ้นเหนือล่องใต้ เวลาขอโทษจึงแสดงออกได้อย่างจริงใจเป็นพิเศษ จนสีหน้าของเหล่าอู๋อ่อนโยนขึ้นโดยฉับพลัน
“หึๆ เจ้าหนุ่ม มากับใครหรือ?”
ภาษิตว่าเงื้อมือแต่ไม่ตบใบหน้ายิ้ม เยี่ยเทียนขอโทษตามมารยาทแล้ว เหล่าอู๋จึงไม่ถือสาเช่นกัน ความถ่อมตนของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างมาก
เยี่ยเทียนยิ้ม ชี้มือไปยังหลิ่วซีกั๋วที่อยู่ห่างออกไป กล่าวว่า “ผมมากับพ่อค้าอัญมณีตระกูลจั่วจากเกาะฮ่องกงครับ”
“อ้อ เหล่าหลิ่วนี่เอง งั้นก็ไม่ใช่คนนอกน่ะสิ ฉันเห็นเธอไม่ค่อยรู้เรื่องหยกพม่า จะตามมาฟังจากฉันดูไหมล่ะ?”
เหล่าอู๋มีนิสัยเป็นครูชอบสอนคน จึงหันหน้าไปยังชายวัยกลางคนนั้นที่อยู่ข้างกายเขา กล่าวว่า “ประธานเจิ้งครับ เป็นคนของทางปรมาจารย์จั่ว ให้ตามพวกเราไปไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หากเป็นการวิจารณ์หินดิบท่ามกลางสาธารณชนในห้องโถงใหญ่ คงไม่กลัวคนแอบได้ยิน แต่ว่าเวลานี้เป็นบริษัทค้าอัญมณีมาเลือกซื้อหินวัตถุดิบแบบส่วนตัว การที่จะให้คนนอกเข้าใกล้ถือเป็นเรื่องต้องห้าม อย่างไรเสียคนวงการเดียวกันก็คือคู่แข่ง
“คนของปรมาจารย์จั่วหรือ?”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นพิจารณาเยี่ยเทียนอย่างละเอียด สีหน้าเผยแววเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ยิ้มตอบ “สวัสดีครับ ผมชื่อเจิ้งต้าจวิน รับผิดชอบการเลือกซื้อวัตถุดิบอัญมณีของตระกูลเจิ้งบนเกาะฮ่องกง หากว่าน้องชายไม่มีธุระ ก็สามารถติดตามอาจารย์อู๋เพื่อฟังเขาอธิบายเรื่องหยกพม่าก็ไม่เลวเหมือนกัน”
เทียบกับบริษัทอัญมณีของจั่วเจียจวิ้นแล้ว ตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีนับว่าเป็นบริษัทชั้นนำบนเกาะฮ่องกงอย่างไม่ต้องสงสัย การกระทำของพวกเขาล้วนเป็นแนวทางของธุรกิจค้าอัญมณีทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มาตลอด ผู้มีความรับผิดชอบซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทค้าอัญมณีตระกูลเจิ้งเหล่านี้ จึงมีสถานะเหนือคนทั่วไปในวงการ
แต่ว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ บริษัทค้าอัญมณีตระกูลจั่วแห่งเกาะฮ่องกง กลับออกเครื่องประดับหยกจักรพรรดิชั้นเลิศหลายรุ่นอย่างกะทันหัน ส่งผลให้สถานะบริษัทค้าขายเครื่องประดับหยกพม่าอันมั่นคงของพวกเขาในวงการเกิดสั่นคลอนอย่างใหญ่หลวง
เจิ้งต้าจวินเองก็เคยได้ยินเรื่องที่มาของหยกจักรพรรดิเหล่านั้น รู้ว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งได้มาจากการพนันหิน ในใจจึงเกิดความสงสัยและประหลาดใจ จึงไม่กล้าแสดงตัวว่าเป็นบริษัทยิ่งใหญ่ต่อเยี่ยเทียน
เหล่าอู๋เองก็เคยพบจั่วเจียจวิ้นครั้งหนึ่ง จึงเสนอการเชิญชวนเยี่ยเทียนด้วยความอาวุโสของตน แต่ว่าความกระตือรือร้นของเจิ้งต้าจวิน ทำให้ปรมาจารย์อู๋จ้องมองเยี่ยเทียนอยู่หลายรอบ เพราะเขารู้ว่าปกติแล้วประธานเจิ้งเป็นคนถือตัวสูงส่งมาก
“ขอบคุณทั้งสองท่านครับ ผมมาเพื่อหาความตื่นตาตื่นใจเท่านั้น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการพนันหินเลย เชิญท่านทั้งสองทำธุระต่อเถอะครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้มส่ายหน้า ปฏิเสธเจตนาดีของฝ่ายตรงข้ามอย่างสุภาพ บังเอิญเดินผ่านหินดิบขนาดไม่ต่างจากชิ้นก่อนหน้านั้นเข้าพอดี จึงหยุดเท้ากล่าวว่า “หินดิบชิ้นนี้น่าเกลียดจัง ขอผมดูก่อนนะ เชิญท่านทั้งสองครับ!”
หินดิบหยกพม่าชิ้นนั้นที่ปรากฎตรงหน้าเยี่ยเทียน รูปร่างสีสันออกแดงทึบ ส่วนฐานคลับคล้ายหินโม่ ด้านบนของมันกลับเป็นชั้นซ้อนทับกันสามชั้น เมื่อมองแวบแรกช่างราวกับก้อนอึที่ถูกขยายใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่เยี่ยเทียนบอกว่ารูปร่างของมันอัปลักษณ์
ด้านข้างของหินดิบก้อนนี้ ถูกผ่าเรียบเป็นแนวตั้ง จึงทำให้รูปร่างของมันดูไม่เหมือนอะไรสักอย่างเข้าไปใหญ่
“เจ้าหนู วัตถุดิบชิ้นนี้เป็นของไร้ค่า เจ้าของเหมืองใจดำพวกนั้นวางไว้ตรงนี้เพื่อหลอกคน ไม่ต้องไปเสียเวลาครุ่นคิดกับมันหรอก” เห็นเยี่ยเทียนหยุดอยู่ข้างหินดิบก้อนนั้น เหล่าอู๋จึงเตือนขึ้นด้วยความหวังดี
ในฐานะปรมาจารย์พนันหินผู้มีประสบการณ์มาเนิ่นนาน เป็นธรรมดาที่เหล่าอู๋จะไม่วิจารณ์จากความชอบหรือรูปร่างของหินดิบ เพราะกุญแจสำคัญคือด้านที่ผ่าหินดิบก้อนนี้เผยออกมาน้อยเกินไป อย่าว่าแต่เนื้อขุ่นมัว กระทั่งผลึกควอตซ์พื้นฐานยังไม่ปรากฎให้เห็น จึงไม่มีเงื่อนไขที่จะกลายเป็นหยกพม่าอย่างสิ้นเชิง
“หึๆ ผมเองก็ดูไปเรื่อยๆ แหละครับ”
เดิมทีเยี่ยเทียนไม่ได้นึกสนใจหินดิบก้อนนี้เท่าไหร่ เขาเพียงหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาจากสองคนนี้เท่านั้น แต่เมื่อเห็นสองคนนั้นเองก็หยุดฝีเท้า เยี่ยเทียนจึงปลดปล่อยการขับเคลื่อนพลังชี่ออกมา เพื่อสัมผัสปฏิกิริยาภายในด้านที่ถูกตัดของหินดิบ
…………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น