หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 514-523

 บทที่ 514 ทำไมข้าต้องฆ่าเจ้าด้วย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากวางสายไป หวังเป่าเล่อก็ยิ่งสงสัยหนัก เซี่ยไห่หยางส่งแต้มการรบมาให้โดยไม่มีเหตุผล อีกทั้งยังพูดอะไรกำกวม บอกว่าเดี๋ยวตนก็จะได้รู้เอง…


เหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ นะ หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ความคิดขณะตรวจดูรอบๆ ด้วยสัญชาตญาณ รับรู้ได้ว่าทะเลเพลิงใต้เท้าและแสงเพลิงบนฟ้าต่างไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ชายหนุ่มก็ยังคอยระแวดระวังตัวอยู่ตลอดขณะมุ่งหน้าไปอย่างไม่ลังเลใจหลังจากตรวจดูทิศทางจากแผ่นหยกภารกิจ


ระดับการฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นเผยให้เห็นผ่านความเร็วของชายหนุ่มที่ว่องไวราวสายฟ้า ประกอบกับผลลัพธ์จากการฝึกวิชาอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนย่างเหยียบอยู่บนเส้นอัสนี พุ่งทะยานไปไกลได้ในชั่วพริบตา


จากตำแหน่งที่ระบุในแผ่นหยกภารกิจ หวังเป่าเล่อคิดว่าน่าจะต้องใช้เวลาประมาณสามปีเพื่อที่จะเดินทางจากเกาะเพลิงเขียวไปยังตัวกระบี่ที่ปักอยู่ในดวงอาทิตย์ อย่างไรเสีย กระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นมโหฬารถึงขนาดที่ว่าแค่ตรงด้ามจับเพียงอย่างเดียวก็ใหญ่โตกว่าโลกอยู่มากโข


ดังนั้นเขาจะพึ่งแค่การเหาะเหินเดินอากาศเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้การเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาเพื่อย่นระยะเวลาเพิ่ม จุดเคลื่อนย้ายนั้นตั้งอยู่ตามเกาะต่างๆ ทำให้แม้จะยังมุ่งหน้าไปทางตัวกระบี่ แต่หวังเป่าเล่อก็เลือกตรงไปยังจุดเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งจากจุดเคลื่อนย้ายกว่าสิบจุด ซึ่งเป็นเกาะที่มีชื่อว่าเกาะเนตรละอองฝุ่น


“เคลื่อนย้ายหนึ่งครั้งใช้แต้มการรบร้อยแต้ม…จากที่ภารกิจระบุไว้ ข้าต้องเคลื่อนย้ายห้าครั้ง…หมายความว่าต้องใช้ห้าร้อยแต้ม ขากลับก็ต้องใช้อีกห้าร้อยแต้ม…หน้าเลือดจริงๆ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ หลังจากตรวจสอบตำแหน่งตามที่ระบุในภารกิจแล้ว เขาก็พุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเส้นอัสนี


เวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน ต้องใช้เวลาอีกประมาณสามวันจึงจะถึงเกาะเนตรละอองฝุ่นที่เป็นจุดเคลื่อนย้ายแรก หวังเป่าเล่อเบื่อการเดินทางอยู่กลางอากาศเลยหยิบขนมออกมาอมไว้ในปากหนึ่งชิ้น เขาถอนหายใจ แม้กระบี่สำริดเขียวโบราณจะเป็นสรวงสวรรค์สำหรับการฝึกตนเพราะมีปราณวิญญาณหนาแน่น แต่บนนี้กลับไม่มีขนมขายเลย


ชายหนุ่มแสนเศร้าใจ เขาทำใจกินอาหารทั้งหมดที่ตุนไว้ไม่ได้ ทุกครั้งที่หิว ก็จะหยิบขนมชิ้นหนึ่งมาอมไว้ในปาก ดื่มด่ำกับรสชาติขณะรำลึกถึงบ้านเกิด


ข้าไม่ได้ตะกละ ก็แค่คิดถึงบ้านต่างหาก หลังจากรู้ใจจริงของตนเอง หวังเป่าเล่อก็ส่ายหัวพร้อมกับลูบท้อง ชายหนุ่มสูดหายใจลึก รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมา เขาผุดคิดถึงประโยคหนึ่งที่เคยเห็น หลังจากปรับแต่งประโยคไปนิดหน่อยก็พึมพำออกมา


“ข้าไม่ได้กำลังกัดกินขนม หากแต่กำลังกัดกินความเดียวดาย..” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบขนมอีกชิ้นเข้าปาก ค่อยๆ ดื่มด่ำกับรสชาติ ตอนนั้นเอง เกาะขนาดเล็กเกาะหนึ่งก็เริ่มปรากฏเด่นชัดในสายตา


ไม่มีสัญญาณของผู้ฝึกตนอยู่บนเกาะแห่งนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเกาะทิ้งร้าง ความหนาแน่นของปราณวิญญาณบนเกาะนี้เหมือนกันกับที่อื่นๆ หวังเป่าเล่อเห็นเกาะมามากมายตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขารู้ว่าเกาะส่วนใหญ่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลเลือกมานั้นส่งผลดีต่อการฝึกตน ส่วนเกาะที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนจะถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง


ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ยังคงระแวดระวังตัว เขาตั้งใจจะไม่ทะยานไปสู่เกาะตรงๆ แต่เลือกที่จะอ้อมเอาแทน ทว่าพอเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้และกำลังจะเลี้ยวไปทางขวา พลังแข็งแกร่งจากวงแหวนปราณก็พลันพวยพุ่งออกมาจากเกาะร้างแห่งนี้


พลังจากวงแหวนปราณถูกปล่อยออกมาอย่างปุบปับ ทั้งยังมีแสงจ้าปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน แสงและพลังผสานเข้าหากันกลายเป็นมือแสงยักษ์เข้าคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้


ขณะที่มือเอื้อมเข้ามาจับ ร่างหนึ่งก็ทะยานออกมาจากเกาะร้างพร้อมส่งเสียงหัวเราะชั่วร้าย


“หวังเป่าเล่อ ตกใจไหม เหลียงผู้นี้รอเจ้าอยู่ตั้งนาน!” เสียงนั่นเป็นของเหลียงหลง เจ้าเกาะเพลิงเขียวเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ!


ในฐานะศิษย์คนหนึ่งของเมี่ยเลี่ยจื่อ เหลียงหลงมีหลายอย่างให้ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่เขากลับถูกหวังเป่าเล่อเหยียดหยามถึงสามครั้ง นับรวมเหตุการณ์เมื่อครั้งอยู่ที่ตำหนักปรัศนีสวรรค์ ด้วยนิสัยของชายหนุ่มจึงปล่อยวางเรื่องนี้ไปไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อนั้นเกินจะคาดเดาได้ จึงยอมอดทนรอจนกระทั่งติดตั้งวงแหวนปราณเสร็จ


เหลียงหลงในตอนนี้เต็มไปด้วยความดุดันและคาดดหวัง เขาเชื่อว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไรก็คงไม่สามารถหลุดออกจากวงแหวนปราณที่อุตส่าห์จ่ายไปตั้งแพงได้!


“คุกเข่าลงเสีย!” ชายหนุ่มตะโกนดังลั่นพร้อมตั้งผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นความเร็วของหัตถ์วงแหวนปราณก็เพิ่มพูนขึ้น ส่องแสงสว่างไสว ดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อน


พายุก่อตัวขึ้นปลดปล่อยพลังกดดันเข้าใส่หวังเป่าเล่อในพริบตา หัตถ์ยักษ์กำลังจะเอื้อมเข้ามาจับ พลันดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงเย็นยะเยือก หากไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน คงจะพลาดท่าให้กับการดักซุ่มครั้งนี้ แต่เขาคอยระวังตัวมาตลอดทาง หวังเป่าเล่อแค่นเสียงออกทางจมูก ยกมือขวาขึ้น พลันแสงสามสีก็ฉายออกมาจากกระเป๋าคลังเวท!


แดง เขียว และม่วง!


แสงทั้งสามปล่อยพลังสั่นคลอนทั่วพื้นที่ทันทีที่ปรากฏ พลังกดดันแกร่งกล้าพวยพุ่งออกมาจากลำแสง สัมผัสได้ถึงรังสีสังหารเลือนรางราวกับว่าทวยเทพได้ลงมาจุติ ส่งอัสนีลงทัณฑ์พุ่งเข้าใส่หัตถ์วงแหวนปราณ


การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่นที่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทันทีที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน


เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวจนก่อตัวเป็นพายุปั่นป่วนสั่นคลอนทั่วทั้งพื้นที่ แม้แต่ทะเลลาวาก็สั่นสะเทือนจนก่อตัวเป็นคลื่นสูง หัตถ์วงแหวนปราณไม่สามารถทานทนได้ พลันแตกกระจายเป็นชิ้นๆ


แสงทั้งสามที่มีพลังราวกับจะทลายจักรวาลได้พุ่งทะลุหัตถ์วงแหวนปราณตรงไปยังเกาะร้างตรงจุดที่เหลียงหลงอยู่ ชายหนุ่มตกใจจนเสียงหาย ไม่สามารถกรีดร้องออกมาได้ ลำแสงพิฆาตที่ดูเหมือนจะทลายเกราะได้ทุกรูปแบบพุ่งตรงเข้ามาใกล้ชายหนุ่มขึ้นทุกที


สมบัติเวทอะไรกัน


เหลียงหลงตื่นตกใจกับเหตุวิกฤติเบื้องหน้าจนหัวตื้อไป ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าภายในใจ เขาไม่มีเวลาให้คิดหรือหลบ ชายหนุ่มร้องคำรามตาห้อเลือด หยิบสร้อยหยกตรงคอมาถือไว้และบิดออก ทันใดนั้นม่านแสงรูปร่างเหมือนกระดองเต่าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า


“อีกแล้วหรือ เจ้าคิดว่าข้าล้มสิ่งนั้นไม่ได้หรือ ตอนนั้นมีคนอยู่เยอะ ข้าเลยขังเจ้าเอาไว้แทนต่างหาก” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาไม่ได้โกหก ชายหนุ่มอาจทำลายกระดองเต่าไม่ได้ แต่ก็สามารถโจมตีสุดกำลังจนทำลายการเชื่อมต่อระหว่างเหลียงหลงกับกระดองเต่าได้ แต่จะทำเช่นนั้นตอนอยู่ที่เกาะเพลิงเขียวก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา หากเขาฆ่าเหลียงหลงลงตรงนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อคงจะโกรธจัด


ทว่าสถานการณ์ที่นี่ต่างออกไป ชายหนุ่มหรี่ตา ตั้งผนึกชี้ไปด้านหน้า แสงทั้งสามเผยตัวตนที่แท้จริงให้เห็น เป็นกระบี่บินสามสี!


กระบี่บินสามเล่มนี้เป็นของที่หวังเป่าเล่อได้มาจากหัวหน้าผู้ฝึกตนต่างดาวขั้นกำเนิดแก่นในนั่นเอง!


เมื่อชายหนุ่มตั้งผนึกฝ่ามือ พลังที่แท้จริงของกระบี่บินสามสีก็ปลดปล่อยออกมา เป็นพลังที่น่าเกรงขามกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก กระบี่ทั้งสามพุ่งตรงไปทางกระดองเต่า รวดเร็วเสียจนเข้าไปปะทะได้ในทันที รอยแตกพลันปรากฏบนกระดองเต่าสุดแข็งแกร่งก่อนที่เหลียงหลงจะทันได้ร้องสักแอะ แต่วัตถุชิ้นนี้เป็นของล้ำค่า เพียงครู่เดียวก็เริ่มฟื้นฟูตัวเอง


หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว พุ่งเข้าไปใกล้ในทันใด เขายกมือขวาขึ้น ดอกบัวสีเขียวในกายสั่นไหว แก่นในอัสนี แก่นในหัวใจ และแก่นในแห่งความมืดพลันตื่นพลัง และไหลเวียนเข้าไปรวมอยู่ที่มือขวา ดวงจิตเกินต้านปรากฏขึ้นจากในกายชายหนุ่ม ทันทีที่เข้าประชิดได้ เขาก็ปลดปล่อยระเบิดกำเนิดดวงดาราออกไปพร้อมหมัด!


หมัดที่ชายหนุ่มปล่อยออกไปสั่นสะเทือนทั้งฟ้าดิน ก่อเกิดเป็นหลุมดำที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งขณะที่หมัดทะยานเข้าใส่กระดองเต่าของเหลียงหลง อีกทั้งยังสอดประสานกับพลังของกระบี่บินสามสี เกิดเป็นพลังต้านปะทะเข้ากับกระดองเต่า หากเหลียงหลงมีระดับการฝึกตนสูงพอคงจะรับมือได้ไหว แต่เหมือนว่าเขาจะควบคุมกระดองเต่าไว้ไม่อยู่และไม่สามารถทานแรงต้านได้ เมื่อไร้ซึ่งปราณวิญญาณหล่อเลี้ยง กระดองเต่าก็ถูกผลักถอยหลัง พุ่งเข้าใส่เหลียงหลงอย่างจัง!


พลังเทียบเท่าพายุแผ่พุ่งไปทั่วทุกทิศทาง เหลียงหลงกระอักเลือดออกจากปาก ร่างกายของเขาบาดเจ็บหนัก ล่าถอยไปเหมือนดังว่าวที่ถูกตัดสาย ความหวาดกลัวฉายชัดบนใบหน้า ชายหนุ่มไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะมีพลังมากถึงเพียงนี้


“หวังเป่าเล่อ เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ ข้ามีพลังดึงดูดสิ่งมีชีวิตติดตัว ถ้าฆ่าข้าไปอาจจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มา และอาจารย์ของข้าก็จะสัมผัสได้ในทันที จากนั้นเขาก็จะตามล่าหาตัวคนร้ายเมื่อได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!” เหลียงหลงกล่าวเสียงสั่นขณะถอยหลังหนี


“ฆ่าหรือ ทำไมข้าต้องฆ่าเจ้าด้วย” หวังเป่าเล่อหยิบเชือกออกมาพร้อมผุดรอยยิ้มชั่วร้าย เหลียงหลงเห็นการกระทำและรอยยิ้มเข้าก็หวาดกลัวขึ้นมาจับจิต รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี


“เจ้า…คิดจะทำอะไร”


บทที่ 515 มาร่วมมือกันดีๆ เถอะ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ข้าจะทำอะไร เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ใบหน้าดูชั่วร้ายขึ้นทุกๆ ย่างก้าวที่เข้าไปหาเหลียงหลง


“เจ้า…อย่าเข้ามานะ!” เหลียงหลงตัวสั่นเทิ้ม เสียวสันหลังวาบ อยากจะถอยหนีไป ชายหนุ่มรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อทำตัวเหมือนโรคจิต ขณะเดียวกันก็เสียใจที่ไปแหย่อีกฝ่ายเข้า ตอนนี้หวังเป่าเล่อหยิบเชือกออกมาพร้อมรอยยิ้มน่าขนลุก ทำตัวไม่ต่างกับโรคจิตแม้แต่น้อย


แต่เหลียงหลงก็ช้าเกินไป ขณะที่เขากำลังจะหนี นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็พลันฉายแสงเยือกเย็นพร้อมใช้มือขวาเหวี่ยงเชือก


“มัดเจ้านั่นไว้!”


ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ เชือกก็พุ่งไปในอากาศพลางเรืองแสงสีแดง มันบิดงอไปมาราวกับงู ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง


แต่หากมองดูดีๆ แล้ว เชือกไม่ได้พุ่งเข้าหาเหลียงหลงทันทีที่หลุดจากมือหวังเป่าเล่อ มันดูจะลังเลใจ อยากลอยหนีขึ้นไปในอากาศเพื่อซ่อนตัว


เหลียงหลงไม่รู้ว่าเชือกเส้นนี้มีความพิเศษอย่างไร แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีอยู่แก่ใจ ชายหนุ่มตีสีหน้าแข็งกร้าว กำลังจะด่าทอเจ้าเชือก ตอนนั้นเอง เหลียงหลงซึ่งตื่นกลัวเชือกที่ขยับเคลื่อนย้ายราวกับงู ก็กรีดร้องออกมา พร้อมหนีออกไปจากเกาะอย่างรวดเร็ว


หากเหลียงหลงไม่พยายามหนีคงจะไม่เป็นไร…ทว่าทันทีที่เขาถอยหนี เชือกที่ลังเลใจอยู่ก็สั่นไหวไปมา หากเปรียบเป็นคน ก็คงพูดได้ว่ามันได้ลืมตาตื่นขึ้น เชือกเปลี่ยนทิศทาง พุ่งทะยานไปหยุดอยู่หน้าเหลียงหลงในทันใด ความรวดเร็วของมันทำเอาหวังเป่าเล่อตื่นตกใจ


“อย่าเข้ามา!” เหลียงหลงกรีดร้องลั่น หัวใจสั่นรัว พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่เป็นผล เชือกว่องไวมาก ในพริบตาเดียวก็เข้าพันรอบตัวหลายรอบ รัดชายหนุ่มเอาไว้แน่น…


ทันทีที่มันเข้ารัดเหลียงหลง พลังผนึกก็แผ่ออกมาตัดปราณวิญญาณและผนึกพลังปราณของเหลียงหลงไว้ ชายหนุ่มกลายเป็นคนธรรมดาในชั่วพริบตา ร่างของเขาร่วงลงพื้นดังตุบ


เหลียงหลงหายใจถี่รัว เขากลัวมากจนอยากจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทันใดที่อ้าปาก ปลายเชือกด้านหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอุดปากไว้…


“อื้อ…!” ชายหนุ่มเบิกตากว้าง หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายที่ไร้ซึ่งพลังถูกเชือกอุดปาก ส่งเสียงออกมาไม่ได้แม้แต่น้อย เขาแทบไม่เคยตกอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เช่นนี้ เหลียงหลงมองหวังเป่าเล่อที่กำลังตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายด้วยความหวาดกลัว เขาตัวสั่นเทา พยายามดิ้นรนถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ


แต่ก็ทำได้แค่หวัง ไม่ช้าหวังเป่าเล่อก็เข้ามาขยุ้มผมดึงอีกฝ่ายเข้าไปหา ชายหนุ่มโน้มตัวลงมามองเหลียงหลงที่กำลังสั่นกลัวพร้อมเหยียดยิ้มออกมา


“เหลียงหลง บอกบิดาของเจ้ามาว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมาที่นี่ถึงมาคอยดักซุ่มได้” หวังเป่าเล่อตบหัวอีกฝ่ายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น


ทันทีที่พูดจบ เหลียงหลงก็เบิกตากว้าง ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่เคยรู้ว่าหวังเป่าเล่อมีนิสัยชอบยกตนเป็นบิดาคนไปทั่ว ทว่าปฏิกิริยาของเหลียงหลงฉับไว ชายหนุ่มจ้องอีกฝ่ายตาแข็งเมื่อความรู้สึกถูกเหยียดหยามเข้ามาบดบังความกลัว


“ไม่พูดอย่างนั้นหรือ ดื้อเสียจริง” หวังเป่าเล่อส่ายหัว จากนั้นจึงตั้งผนึกฝ่ามือชี้ไปทางเชือก ทันใดนั้น เชือกก็ส่องแสง เลื้อยรัดไปทั่วร่างเหลียงหลง ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ไม่เชื่อสายตาตนเอง ก่อนจะพยายามดิ้นรนขัดขืน


ไม่เพียงเท่านั้น ปลายเชือกอีกด้านเลื้อยเข้าไปใต้ชุดคลุมมุ่งหน้าไปตรงกางเกง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เหลียงหลงเสียสติ เขาแหกปากร้องลั่นด้วยความกลัว


“อื้อ!”


“ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เตรียมตั้งผนึกฝ่ามืออีกครั้ง เหลียงหลงน้ำตาปริ่มใกล้เสียสติเต็มที ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูด แต่พูดไม่ได้เพราะเชือกอุดปากอยู่ต่างหาก


“ยอมพูดแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พูดแค่ครั้งเดียว เจ้าต้องบอกทุกสิ่งอย่างให้กระจ่างภายในสิบพยางค์!” ชายหนุ่มตบหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเอาเชือกออกจากปาก ทันทีที่เชือกหลุดจากปาก เหลียงหลงก็พูดขึ้นโดยไม่ลังเล


“เซี่ยไห่หยางบอกมา จ่ายไปหนึ่งพันแต้ม”


สิบพยางค์ ไม่ขาดไม่เกิน เห็นได้ชัดว่าเหลียงหลงกลัวหวังเป่าเล่อจับจิต


เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง หยุดคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะโบกมือขวาส่งเชือกเลื้อยกลับไปอุดปากเหลียงหลงอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะดิ้นรนรีบหุบปากลงก็ไม่เป็นผล…


“ใจเย็น ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ที่นี่ช่างสวยงามราวสรวงสวรรค์ ข้าจะปล่อยให้เจ้าฝึกวิชาอยู่นี่แล้วกัน” ชายหนุ่มยิ้มบาง ก่อนจะลุกขึ้นเตะเข้าตรงหว่างขาของเหลียงหลง!


เหลียงหลงสั่นเทิ้ม ตัวขดเป็นกุ้ง ดวงตาห้อเลือด เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวดราวกับว่าจะตายลงตรงนั้น


“จำไว้ อย่ามายั่วโมโหข้า” หวังเป่าเล่อยิ้มและพูดขึ้น ทว่าในสายตาของเหลียงหลง รอยยิ้มนั้นดูน่ากลัวราวกับเป็นรอยยิ้มของปีศาจ ชายหนุ่มเข้าใจดีแล้วว่าหวังเป่าเล่อเป็นพวกวิกลจริต!


ชายหนุ่มเลิกสนใจเหลียงหลง ไม่ได้ปล้นสิ่งของในกระเป๋าคลังเก็บหรือขโมยแต้มการรบแต่อย่างใด เขารู้ดีว่าแค่ไม่ไปฆ่าใครเข้า ก็จะอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณได้อย่างสงบสุข การจะฆ่าใครสักคนนั้นง่ายมาก แต่ปัญหาที่ตามมาทีหลังนั้นแสนจะยุ่งยากวุ่นวาย


ยังไม่ถึงเวลา… คิดดังนั้น สายตาของชายหนุ่มก็ฉายแววเย็นยะเยือกขณะก้าวเหยียบพื้นทะยานขึ้นฟ้า เชือกยังคงรัดเหลียงหลงอยู่แน่น เพราะการลงโทษของเขายังไม่จบลงแค่นั้น


หวังเป่าเล่อมีจิตประสานกับเชือก แค่คิดก็สามารถเรียกมันกลับมาได้ จึงไม่กลัวว่าจะเสียเชือกไป นอกจากนี้ยังพบว่าเชือกนี้เหมาะกับการใช้งานระยะไกลอีกด้วย


พอเห็นหวังเป่าเล่อจากไป เหลียงหลงก็หมดสติไปด้วยความเจ็บปวด กระนั้นตัวก็ยังสั่นเทิ้มแม้จะไร้สติ


สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว การปรากฏตัวของเหลียงหลงเป็นแค่เรื่องไม่คาดคิดเล็กน้อยจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาเปิดดูแต้มการรบของตัวเองขณะทะยานไปยังเกาะเนตรละอองฝุ่น จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหาเซี่ยไห่หยางผ่านแผ่นหยกสื่อสาร


“น้องไห่หยางมีธุรกิจกว้างขวางเสียจริง”


เซี่ยไห่หยางเขินอายเล็กน้อย พยายามจะอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจ


“พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางผู้นี้เป็นนักธุรกิจ เรื่องนี้…”


“ไม่ต้องพูดแล้ว น้องไห่หยาง จำไว้แค่ว่า…เรื่องไม่อันตรายเช่นนี้จะสร้างรายได้ให้ข้าได้มาก จงส่งมาให้เพิ่มอีก! ตอนนี้ข้าจนมาก!” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


เซี่ยไห่หยางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะขึ้นเสียงดัง เขาจบบทสนทนาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“เป่าเล่อ ยินดีที่ได้ร่วมงานกับเจ้า!”


“เช่นกัน!” หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนจะตัดสายไป รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปขณะเงยหน้ามองไปทางเกาะเนตรละอองฝุ่น เขาเปลี่ยนทิศทางและทะยานตรงไปที่เป้าหมาย


หลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็มาถึงเกาะเนตรละอองฝุ่น เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในและมีแต้มการรบเพียงพอจึงสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองมาได้ ครึ่งเดือนผ่านไป หลังจากผ่านจุดเคลื่อนย้ายมาห้าจุด ในที่สุดชายหนุ่มก็ข้ามทะเลเพลิงมาถึงตัวกระบี่!


ทะเลเพลิงตรงหน้าดูสงบนิ่ง แต่อุณหภูมิกลับสูงกว่าบริเวณด้ามจับหลายเท่า พื้นที่โล่งกว้างปกคลุมไปด้วยอุณหภูมิสูง ด้านหน้าปรากฏชั้นป้องกันที่สร้างขึ้นจากเปลวไฟ!


ด้านหลังชั้นป้องกันมีเพียงความสงบเงียบ ภายในนั้นสวรรค์และพื้นพิภพได้มาบรรจบกัน ทะเลเพลิงปั่นป่วน ลาวาไหลหลาก ภูผาและสิ่งปลูกสร้างพังทลายย่อยยับ ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยความโกลาหล!


หากก้าวผ่านชั้นป้องกันไปจะถือว่าได้เข้าไปในตัวกระบี่ หรืออีกนัยหนึ่งคือได้เข้าไปในดวงอาทิตย์!


หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบอยู่หน้าชั้นป้องกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพร้อมแววตามุ่งมั่นก่อนจะก้าวผ่านชั้นป้องกันเข้าไป!


บทที่ 516 เสียงร้องขอความช่วยเหลือ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

หากว่าด้ามจับของกระบี่คือความนุ่มนวลแล้ว ตัวกระบี่ที่ฝังลึกอยู่ในดวงอาทิตย์ก็คงจะเป็นความหนักแน่นและรุนแรงเป็นแน่นแท้!


ในดินแดนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นป้องกันแห่งนี้ ทะเลเพลิงไม่ได้เป็นสีแดงฉานหากแต่เป็นสีดำสนิท อุณหภูมิของทะเลเพลิงสีดำร้อนว่าอุณหภูมิบนด้ามจับมากนัก หวังเป่าเล่อแผ่จิตสัมผัสออกไปไกลกว่าเดิมเล็กน้อยและตื่นตกใจในทันที จากการคาดคะเนของเขาแล้ว…หากเขาไม่พึ่งพาเรือวิญญาณก็คงไม่อาจรอดชีวิตในทะเลเพลิงได้เกินครึ่งชั่วโมง


มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว! หวังเป่าเล่อตกตะลึง ชายหนุ่มรู้ดีว่าร่างกายของตนแข็งแกร่งเพียงใด ขณะที่หวังเป่าเล่อยืนชะงักด้วยความตื่นกลัวอยู่นั้น เขาก็มองเห็นว่าทะเลเพลิงไม่เพียงล้อมรอบเขาอยู่เบื้องล่างเท่านั้น หากแต่มีอยู่บนท้องฟ้าก็เช่นกัน!


แม้จะไม่น่าเกรงขามเท่าทะเลเพลิงเบื้องล่าง ทว่ากระแสธารของลาวาบนท้องฟ้าที่กว้างราวกับเป็นแม่น้ำก็ทำเอาหวังเป่าเล่อหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย ชายหนุ่มจ้องมองออกไปไกล ภายในชั้นป้องกันนี้ ทุกๆ ที่ที่สายตาเขามองเห็น ทั้งบนท้องฟ้าและบนพื้นดิน เปลวไฟลุกลามเต้นเร่าและแพร่กระจายออกไป ราวกับว่าเขามาถึงนรกแล้วก็ไม่ปาน


อีกทั้งยังมีซากปรักหักพังและศิลาแตกหักมากมาย เมื่อตอนที่เดินพ้นแนวชั้นป้องกันเข้ามานั้น หวังเป่าเล่อมองเห็นสิ่งที่ดูคล้ายภูเขาย่อมๆ ซึ่งเต็มไปด้วยตำหนักผุพังได้จากระยะไกล ภูเขานั้นลอยละล่องมาตามลาวา และชนเข้ากับซากรูปปั้นหน้าตาประหลาดด้วยเสียงอันดัง การกระแทกทำให้ทะเลเพลิงกระฉอกออกด้านข้าง คลื่นพลังงานแผ่กระจายออกมาส่งผลให้แผ่นฟ้าและแผ่นดินสั่นสะเทือน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยืนอยู่ห่างออกมาไกล แต่เขาก็ยังรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนจากลาวาที่พวยพุ่งเข้ามาใส่ แถมยังได้กลิ่นไหม้มาจากผมบนหัวด้วยซ้ำ


หวังเป่าเล่อผงะถอยหลังด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มไม่ได้ก้าวออกไปทันทีแต่ยืนอยู่ตรงเส้นเขตแดนขณะกำลังพยายามปรับอุณหภูมิ เขาเฝ้าจับตามองสิ่งรอบข้างอยู่เนืองๆ และไม่ช้า ชายหนุ่มก็เห็นว่าไม่ใช่เพียงซากปรักหักพังของตำหนักเท่านั้น แต่ยังมีซากภูเขาหินและศิลาอีกด้วย ชายหนุ่มเห็นกระทั่งศพจำนวนหนึ่ง!


ศพส่วนมากมักมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหลุดหายไป ในบรรดาศพเหล่านั้นมีทั้งผู้ฝึกตนและเหล่าคนที่เขาเคยเห็นมาก่อนในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ…สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง


หวังเป่าเล่อไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้ แต่ชายหนุ่มก็บอกได้ว่าศพเหล่านี้ไม่มีของมีค่าหลงเหลือติดตัวอยู่อีกแล้ว ร่องรอยการรื้อค้นปรากฏอยู่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยจากสำนักวังเต๋าไพศาลเข้ามาสำรวจบริเวณนี้เช่นกันในหลายปีที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีขั้นพลังปราณสูงส่งด้วยกันทั้งสิ้น และคงมากันเป็นกลุ่ม


หวังเป่าเล่อสำรวจบริเวณนั้นเป็นเวลาราวสองชั่วโมง เมื่อชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าร่างกายได้ปรับอุณหภูมิเข้ากับตัวกระบี่ได้เรียบร้อย เขาจึงรีบเบนความสนใจไปยังสิ่งรอบข้าง และเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังถึงขีดสุด ชายหนุ่มหลบเลี่ยงแม่น้ำลาวาโดยการเดินอ้อมไป พลางจ้องมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบกายอยู่ไม่ขาด ขณะมองหาตราประจำตัวหรือของมีค่าอื่นๆ ไปด้วย


เวลาค่อยๆ ผ่านไป ในไม่ช้าก็เป็นเวลากว่าแปดชั่วโมงแล้วที่หวังเป่าเล่อออกเดินสำรวจ ความสนใจของเขาตอนนี้อยู่ที่การสำรวจตรวจตราอาณาบริเวณโดยรอบและมองหาสิ่งของมีค่าไปพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มยังไม่ได้พบอันตรายใดๆ ที่เกินจะรับมือได้ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้ หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าในทะเลลาวาที่อยู่เบื้องล่างคลาคล่ำไปด้วยตำหนักผุพัง รูปปั้นหักเสียหาย และหินภูเขาแตกๆ


ราวกับว่าทุกๆ สิ่งที่เคยมีอยู่ที่นี่ถูกโศกนาฏกรรมบางอย่างทำให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้ว่าทะเลเพลิงจะมีหลายสิ่งซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่หลักฐานชิ้นใหญ่ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ทำเอาหวังเป่าเล่อรู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย


มีบางบริเวณที่ไร้ซึ่งอันตรายและทะเลเพลิง หวังเป่าเล่อเห็นกับตาตนเองว่ามีเส้นสีดำปรากฏขึ้นบนบริเวณเหล่านั้น มันแบ่งอาณาเขตเหล่านั้นออกเป็นสอง พลางผลักพายุหมุนลมร้อนให้พวยพุ่งออกมาจากรอยแยก


พายุนั้นทรงพลังยิ่ง หากว่าเสียสมาธิและเข้าไปขวางทางมันเข้าคงต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน หวังเป่าเล่ออ้าปากค้าง พลางคิดว่าที่นี่ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน


ชายหนุ่มก้าวย่างไปอย่างระมัดระวัง เขามองเห็นยอดเขาอยู่บนท้องฟ้า ยอดเขาเหล่านั้นลอยเด่นอยู่บนอากาศ พวกมันดูบิดเบี้ยว บ้างก็กลับหัว


บางยอดเขาก็ราบเรียบและไร้สิ่งปกคลุม บ้างก็เต็มไปด้วยหลุมราวกับว่าถูกโจมตีด้วยคาถารุนแรง บ้างก็มีสิ่งปลูกสร้างอยู่บนนั้น ตึกรามเหล่านั้นดูเหมือนถูกรักษาเอาไว้ค่อนข้างดี ทว่าหวังเป่าเล่อก็ไม่อาจหาญจะเข้าไปใกล้ยอดเขาเหล่านั้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสัมผัสได้แม้จะอยู่ไกล ว่าบนยอดเขาที่ดูเรียบร้อยปลอดภัยดีนั้น มีคำสาปรุนแรงที่ทำให้ตาเขากระตุกและหัวใจเต้นแรงอยู่


หวังเป่าเล่อลองพยายามดันศิลาภูเขาขนาดเขื่องเข้าไปใส่เพื่อทดสอบพลังของคำสาป ทันทีที่ศิลานั้นเข้าไปกระทบกับคำสาป มันก็สลายกลายเป็นฝุ่นไปในชั่วพริบตา


หวังเป่าเล่ออดขนลุกไม่ได้ ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่าเหตุใดการหาตราประจำตัวได้ชิ้นหนึ่งจึงมีค่าเท่ากับแต้มการรบหลายแต้มนัก ชัดเจนแล้วว่าการหาตราประจำตัวเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง และโชคก็น่าจะมีส่วนสำคัญไม่น้อย


สิ่งที่เขาได้เห็นมานั้นไม่ใช่ความน่ากลัวที่แท้จริงของตัวกระบี่ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พอสมควร หวังเป่าเล่อก็เดินวนอยู่บริเวณเดิมอีกราวสองชั่วโมง และชายหนุ่มก็ได้เห็นบางอย่างที่ทำเอาสั่นสะท้านไปถึงแก่นวิญญาณ


เขาเห็นมันด้วยตาตนเอง หลังจากที่มีพลังบางอย่างดึงชายหนุ่มให้เข้าไปใกล้ พื้นที่ตรงหน้าที่เคยเป็นทะเลลาวาก็พลันปรากฏเป็นลานกว้างพร่าเลือนราวสามสิบเมตร และวินาทีต่อมา มันก็แปรสภาพกลายเป็นเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเศษศิลาภูเขา


การแปรสภาพนี้ดูเหมือนจะไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ แถมช่วงเวลาในการเกิดก็ไม่อาจทำนายได้ หลังจากที่เฝ้าดูอยู่ซ้ำๆ หวังเป่าเล่อก็ได้ข้อสรุปสองประการ ชายหนุ่มสรุปว่าสิ่งแวดล้อมในบริเวณนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และการแปรสภาพซึ่งดูเหมือนการเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว


ชายหนุ่มยังสรุปได้อีกด้วยว่านอกเหนือจากการแปรสภาพที่ยากจะคาดเดาแล้ว ทะเลเพลิงบนพื้นนั้นยังจะถล่มและไหลบ่าลงไปต่ำด้วย แถมยังมีโอกาสปะทุขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลและไม่มีปี่มีขลุ่ยคล้ายกับเป็นภูเขาไฟ หลังจากการปะทุนั้น สิ่งก่อสร้างและซากปรักหักพังที่อยู่ใต้ลาวาอาจปรากฏขึ้นมา


ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็จะเกิดรอยแยกขึ้นหลายรอยในบริเวณใกล้เคียง บางครั้งพายุหมุนลมร้อนก็จะผุดขึ้นมาจากรอยแยกดังกล่าว ผลสรุปก็คือมีอันตรายแฝงอยู่ในทุกๆ มุมของอาณาเขตนี้!


หวังเป่าเล่อระมัดระวังตัวแจและพยายามจะเรียกแม่นางน้อยให้ออกมา หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากนางเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเริ่มคิดว่าจะกลับออกไป เขาสงสัยว่าควรรวมตัวกับคนอื่นๆ และเข้ามาค้นหาเป็นกลุ่มจะดีกว่าหรือไม่ หวังเป่าเล่อวางแผนจะถอยหลังกลับออกไป ทว่าตอนที่เขาหันหลังกลับ ทันใดนั้น…ทะเลเพลิงที่อยู่ด้านข้างก็ปะทุขึ้นมาอย่างปุบปับ ส่งเอาไอร้อนของลาวาพวยพุ่งขึ้นมาในอากาศ ชายหนุ่มพุ่งตัวหลบทันที เขากำลังจะเดินอ้อมจุดที่ปะทุ แต่สายตากลับส่องประกายเพราะสัมผัสได้ถึงอันตราย หวังเป่าเล่อยกขาขวาขึ้นทันทีและเตะกวาดไปทางด้านหลังอย่างฉับพลัน!


มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นราวสายฟ้าผ่า หวังเป่าเล่อเห็นอสูรรูปร่างคล้ายคนที่ร่างกายปกคลุมด้วยเปลวไฟถูกลูกเตะของเขากระเด็นออกไปไกล


ตัวอะไรกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตา ชายหนุ่มใส่แรงลงไปเต็มที่กับลูกเตะนั้น แต่แม้กระนั้น อสูรรูปร่างคล้ายคนก็ยังเดินโซเซกลับมาได้


ขณะที่หวังเป่าเล่อกวาดตามองผ่าน อสูรมนุษย์ไฟก็อ้าปากเผยให้เห็นฟันแหลมคมด้านใน ดวงตาของมันฉาบเคลือบไปด้วยความรุนแรงและบ้าคลั่ง มันพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มทันที เมื่อมันเข้ามาใกล้ คลื่นความร้อนก็แผ่กระจายออกมาด้วย ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อราวกับเป็นลมพายุคลั่ง


หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ดูไม่ออกเลยว่าอสูรนี้คือตัวอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป ชายหนุ่มโบกสะบัดมือขวาเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมากก่อนจะดึงกระบี่บินสามสีออกมา แล้วแทงเข้าใส่อสูรมนุษย์ไฟก่อนจะฟันมันขาดสะบั้น!


อสูรนั้นระเบิดเสียงดังสนั่น ไม่มีร่องรอยของโลหิตหรือเนื้อหนัง มันแค่สลายกลายเป็นเศษหินสีแดงที่แตกกระจายและร่วงหล่นลงสู่ทะเลเพลิง


หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไม่ได้หยุดเคลื่อนที่แต่อย่างใด เขากระโจนพรวดเดียวข้ามมาถึงทางเดิมที่เข้ามาและเร่งฝีเท้ากลับไป ในช่วงหลายชั่วโมงต่อมา เขาต้องรับมือกับการโจมตีจากอสูรที่หน้าตาคล้ายๆ ตัวก่อนหน้าอยู่สองครั้ง จากนั้นเขาก็มองเห็นชั้นป้องกัน และความสุขสงบอีกด้านหนึ่งอยู่ลิบๆ


แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเร่งฝีเท้าและรีบออกไปให้พ้นๆ นั่นเอง ใบหน้าเขาก็กระตุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน หวังเป่าเล่อดึงแผ่นหยกออกมาจากกำไลคลังเก็บ แผ่นหยกกำลังสั่นอย่างรุนแรง มันเป็นอุปกรณ์สื่อสารสำหรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่ใช้คุยกันผ่านทางเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่


หนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่เป็นตัวแทนของคณะเสนาบดีกำลังขอความช่วยเหลืออยู่ในห้องสนทนากลุ่ม!


“มีใครอยู่ในตัวกระบี่หรือไม่ ข้าติดกับ โปรดช่วยข้าด้วย!”


พันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคนที่เดินทางมายังสำนักวังเต๋าไพศาลรู้ดีว่าพวกเขาต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และพวกเขาก็สามัคคีกันในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นข้อความนั้น เขาจึงหยุดเท้าทันที


เครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ภายในแผ่นหยกมีระยะการสื่อสารที่จำกัด ในทางทฤษฎี หากทุกคนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน พวกเขาจะสามารถเห็นข้อความของกันและกันได้ ทว่าหากมีใครออกจากพื้นที่ไป คนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเท่านั้นจึงจะเห็นข้อความได้


ขณะนี้ในห้องสนทนากลุ่มเงียบกริบ มีเพียงเสียงขอความช่วยเหลือจากพันธุ์กล้าผู้ตกที่นั่งลำบาก เสียงนั้นพูดซ้ำอยู่ไปมา น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง


บทที่ 517 สถานที่ประหลาด!

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสียงร้องขอความช่วยเหลือเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหยุดเดิน ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงต่ำและเปิดเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ในแผ่นหยกขึ้นดูอย่างรอบคอบ เขาจ้องไปที่สัญญาณขอความช่วยเหลือที่ถูกส่งมาไม่หยุดหย่อน


ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงสิ้นหวังจากสัญญาณนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความกระหายอยากจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความตาย เป็นความปรารถนาอันบ้าคลั่งที่จะรอดชีวิต พันธุ์กล้าสหพันธรัฐคนนั้นเริ่มร้องไห้และขอความเมตตาเมื่อหวังเป่าเล่อฟังข้อความเสียงอีกครั้ง เขาเริ่มพ่นพรรณนาคำสัญญาออกมา ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครตอบข้อความสักคนเดียว


เครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่มีระยะจำกัด และเพราะพันธุ์กล้าสหพันธรัฐผู้นี้ติดอยู่ในใจกลางของตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อจึงอาจเป็นพันธุ์กล้าเพียงคนเดียวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง


“นี่มันฟางมู่นี่…” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นในใจเขา หวังเป่าเล่อจำได้ว่าเขาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับคนผู้นี้เท่าใดนั้น พวกเขาเป็นเพียงคนรู้จักที่พยักหน้าให้กันอย่างสุภาพเมื่อเดินสวนกันเท่านั้น อันที่จริงแล้ว ระหว่างการฝึกพิเศษของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ ฟางมู่เองยังรวมหัวกับศิษย์อีกจำนวนหนึ่งเพื่อลอบโจมตีเขาด้วย


หลังจากนั้น ตั้งแต่ที่หวังเป่าเล่อเดินทางไปดาวอังคาร พวกเขาก็ไม่พบกันอีก การปฏิสัมพันธ์กันสั้นๆ เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินทางมายังกระบี่สำริดเขียวโบราณ แต่ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็นึกขึ้นได้ว่าฟางมู่ดูจะสนิทกับหลี่อี้เป็นพิเศษ


ทว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ พวกเขามีหน้าที่ต้องช่วยเหลือกันและกันในต่างแดน หากพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวกระบี่แต่เป็นที่ด้ามจับ หวังเป่าเล่อคงไม่รีรอที่จะเข้าไปช่วยเหลือ แต่…ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ตัวกระบี่ เสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้จึงดูน่าสงสัยอยู่เล็กน้อย


ระดับปราณของฟางมู่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น แล้วเขาเข้ามาในตัวกระบี่ได้อย่างไรกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตา ชายหนุ่มอยู่ที่นี่มาสักพักและรู้ถึงอันตรายของสถานที่แห่งนี้อย่างลึกซึ้ง หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยังไม่มุ่งไปช่วยเหลือในทันที เขาเลือกที่จะตอบกลับข้อความไปแทน


“ฟางมู่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”


ฟางมู่ตอนนี้ดูเหมือนจะสิ้นหวังเต็มที่ เขาตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนพูดตอบกลับมาในห้องสนทนากลุ่ม ชายหนุ่มจึงรีบส่งข้อความตอบกลับเข้าไปในกลุ่มด้วยความตื่นเต้นดีใจ


“เป่าเล่อหรือ มาช่วยข้าที ได้โปรด ช่วยข้าด้วย สหายเต๋าห้าคนกับตัวข้าจากเกาะริมน้ำถูกเจ้าเกาะบังคับให้มาที่นี่เพื่อค้นหาเศษซากปรักหักพัง พวกเราเจอคำสาป เจ้าเกาะคนนั้นช่างชั่วร้ายนัก คนอื่นๆ ถูกฆ่าตาย ส่วนเจ้าเกาะพอได้ตราประจำตัวของศิษย์สำนักในคนหนึ่งก็เผ่นหนีไปแล้ว!”


หวังเป่าเล่อจ้องมองข้อความเสียงในห้องสนทนากลุ่มพลางขมวดคิ้วแน่น สิ่งที่ฟางมู่พูดนั้นไม่ได้ฟังดูผิดแปลก แต่เขาก็ไม่อาจสลัดเอาความรู้สึกสงสัยในใจออกไปได้


มีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่…หวังเป่าเล่อคิดพลางหรี่ตา ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยความชั่งใจที่เขามี แต่กลับบอกให้ฟางมู่ส่งตำแหน่งของตนมา


ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็ได้รับตำแหน่งที่ฟางมู่ส่งมาให้ ชายหนุ่มตรวจดูและเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างเขาออกไปไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร ถือว่าใกล้ทีเดียว ความข้องใจของหวังเป่าเล่อยิ่งฝังลึกขึ้นอีก สถานการณ์นี้อาจจะดูไม่น่าสงสัยมากนักหากพวกเขาอยู่ห่างกันเป็นระยะทางไกล แต่การที่ฟางมู่มาอยู่ใกล้เขา และใกล้เส้นเขตแดนถึงเพียงนี้…


แค่บังเอิญหรือเปล่านะ…ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะนำพาข้าให้ไปหาเขา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขึ้นในวินาทีนั้น ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แทนที่จะมุ่งตรงไปยังตำแหน่งของฟางมู่ เขากลับเหาะตรงไปยังชั้นป้องกัน ตั้งใจว่าจะออกไปจากที่นี่


สำหรับการช่วยเหลือนั้น การที่ฟางมู่มาปรากฏตัวที่ตัวกระบี่ก็น่าสงสัยพอประมาณอยู่แล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะอธิบายสถานการณ์ได้น่าเชื่อถือ แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าตนต้องระมัดระวังตัวเพียงใดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี้ ชายหนุ่มไม่ใช่พระโพธิสัตว์ เขาจะไม่ยอมเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพราะอยากช่วยชีวิตใครสักคนเป็นอันขาด


อาจจะฟังดูโหดร้ายและเลือดเย็น แต่หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจจะเมินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้น เสียงในกลุ่มสนทนากลุ่มยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด


ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่า…เขาหลงทาง!


หวังเป่าเล่อแน่ใจว่าก่อนหน้านี้เขาเห็นชั้นป้องกันอยู่ตรงหน้า ทว่าตอนนี้ เมื่อเขามองตรงไป ชั้นป้องกันนั้นกลับกลายเป็นภาพพร่ามัวแล้วก็หายไป หวังเป่าเล่อเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที เขาเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณนั้น หลังจากที่เดินไปมาอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็หยุดเดิน ก่อนจ้องมองไปทางหมอกที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตรงหน้าพลางขมวดคิ้วอีกครั้ง หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ออกมาและจ้องไปยังตำแหน่งที่ฟางมู่ส่งให้ก่อนหน้านี้


“น่าสนใจดีนี่” หวังเป่าเล่อพึมพำ นัยน์ตาหดเล็กทันทีที่เห็นตำแหน่งดังกล่าว


ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของฟางมู่โดยไม่รู้ตัวแม้ว่าจะตั้งใจกลับออกไปก็ตาม ขณะนี้ เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งของฟางมู่ไม่ถึงสองกิโลเมตร


ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมลงทันที เขาหันหน้ามองไปยังตำแหน่งของฟางมู่ ก่อนจะถอนหายใจและพุ่งตรงไปจ้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเขาก็เข้ามาถึงตำแหน่งที่ฟางมู่ควรจะอยู่


หวังเป่าเล่ออยู่บนพื้นที่ยกสูง แม้แต่ทะเลเพลิงก็ไม่อาจไหลเข้าท่วมบริเวณนี้ได้ แต่ร่องรอยการเคลื่อนย้ายของแผ่นเผลือกโลกยังมีปรากฏให้เห็น แสดงว่าก่อนหน้านี้แผ่นดินตรงนี้ไม่ได้ยกสูง แต่ผ่านการเแปรสภาพอันแปลกประหลาดภายในตัวกระบี่จนมีลักษณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน


พื้นที่ลักษณะคล้ายกันนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไปบนตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อเห็นเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้มาไม่น้อยจึงไม่ได้ตื่นเต้นหรือกังวลเกินไปนัก แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตกใจคือด้วงสีทองอร่ามยาวสามร้อยเมตรที่ฝังตัวอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ยกสูง


บางส่วนของfh;’ถูกฝังอยู่ในดิน ส่วนที่ปรากฏอยู่บนดินแสดงให้เห็นถึงการเปื่อยเน่าที่ดำเนินมาเป็นเวลานาน ปีกของมันปกคลุมด้วยรอยร้าว และมีแผลเปิดราวห้าเมตรปรากฏอยู่ เผยให้เห็นด้านในของด้วง แต่สิ่งที่อยู่ด้านในนั้น…ไม่ใช่เลือดเนื้ออย่างที่สิ่งมีชีวิตควรมี แต่เป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกระท่อมหลังหนึ่ง!


หวังเป่าเล่อเคยเห็นธาราจอมตะกละมาแล้ว ชายหนุ่มมีอยู่ในครอบครองตัวหนึ่งในวัตถุเวทแห่งความมืด จึงรู้ดีว่ามีอาวุธเวทบินได้รูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดมหัศจรรย์อยู่มากมายจากหลากหลายอารยธรรมทั่วจักรวาล ไม่ใช่ทุกที่ที่จะใช้เรือบินเหมือนของสหพันธรัฐ บ้างที่ก็ใช้ธาราจอมตะกละ ส่วนอารยธรรมอื่นๆ ก็ใช้สิ่งมีชีวิตที่รูปร่างแปลกประหลาดต่างๆ กันไป เช่นด้วงตัวนี้เป็นต้น แม้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจ้าสิ่งนี้ แต่หวังเป่าเล่อก็บอกได้ทันทีว่ามันคือเรือบินอวกาศมีชีวิตประเภทหนึ่ง!


แม้ว่าด้วงจะตายไปแล้วและภายในยังเสียหาย แต่มันก็ยังแผ่รัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุดหย่อน หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงรัศมีที่เทียบเท่าระดับจุติวิญญาณ ชายหนุ่มหรี่ตาลง เขาเห็นสิ่งหนึ่งนอนแผ่อยู่ข้างๆ ด้วง…มันคือศพแห้งร่างหนึ่ง!


ศพแห้งนี้สวมเสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล มองเห็นได้รางๆ ว่าร่างนั้นเป็นของฟางมู่ หนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ กลิ่นอายของความตายที่โชยมาจากร่างบ่งบอกว่าเขาเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน


ใบหน้าของศพยังแสดงร่องรอยความทุกข์ทรมานที่ได้ประสบก่อนจะถึงแก่ความตาย ทุกสิ่งเป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจก็คือ ขณะที่เขากำลังยืนจ้องร่างไร้วิญญาณของเฉินมู่ตรงตำแหน่งที่อีกฝ่ายส่งมา เสียงร้องขอความช่วยเหลือของฟางมู่ในห้องสนทนากลุ่มกลับยังดังอยู่เช่นนั้น


หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ ดูจากสีหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของฟางมู่ ใครบางคนจะต้องทรมานเขาเพื่อรีดข้อมูลก่อนที่เขาจะสิ้นใจเป็นแน่


นี่เป็นกับดักสำหรับข้าหรือสำหรับทุกคนกันแน่ หวังเป่าเล่อไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มทำเพียงจ้องมองภาพเบื้องหน้าและเดินถอยหลังออกมา ตั้งใจจะออกไปจากที่นั่น


แต่ทันทีที่หวังเป่าเล่อก้าวถอยหลัง ก็มีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านแก้มเขาไป สายลมนั้นแปลกประหลาดยิ่งเพราะสถานที่แห้งนี้อยู่ในเขตร้อนจัด พื้นที่โดยรอบเงียบสงัดลงทันที


ท้องฟ้าทั้งมืดและอึมครึม แผ่นดินก็พร่าเลือน เสียงร่ำไห้และหัวเราะดังแว่วมาจากทุกทิศทาง เสียงเหล่านั้นดังลอยมาพร้อมสายลมและฟังดูคลุมเครือ


“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว…”


“ท่านแม่ นิ้วท่านรสชาติไม่เอาไหนเลย ข้าหิวเหลือเกิน ข้าอยากกินข้าว…”


“อย่าตีข้า อย่าฆ่าข้า อย่าถลกหนังข้าเลย ท่านแม่ ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…”


เสียงแปลกประหลาดคล้ายเสียงเด็กฟังดูเยียบเย็นไปจนถึงไขสันหลัง เป็นความเย็นที่ทำให้รู้สึกขนหัวลุก เสียงนั้นดังแว่วหวิวอยู่ในอากาศและทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีเด็กจำนวนหนึ่งอยู่รอบๆ เด็กเหล่านั้นจับมือกันและวิ่งเป็นวงกลมล้อมรอบเขา


เด็กคนหนึ่งวิ่งๆ อยู่แล้วจู่ๆ ก็หยุดยืนข้างๆ หวังเป่าเล่อ ก่อนจะฉีกยิ้มส่งมาให้ หวังเป่าเล่อหันศีรษะไปมองตามสัญชาติญาณ และมองเห็นเพียงความว่างเปล่า สายตาของเขากวาดผ่านที่ว่างนั้นไป จู่ๆ ก็มีสตรีผมยาวในชุดสีขาวปรากฏกายขึ้น ผมดำยาวของนางยาวเสียจนปกคลุมใบหน้าไว้มิด ข้างกายนางมีเด็กชายยืนเรียงรายอยู่เจ็ดคน บนใบหน้าของเด็กทั้งเจ็ดปรากฏรอยยิ้มชวนขนลุก ขณะจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อกระตุก วินาทีนั้นเอง สตรีชุดขาวก็ผงกหัวขึ้น เส้นผมดำแหวกออกเผยให้เห็นใบหน้าไร้ดวงตาและจมูก มีเพียงปากสีดำขนาดใหญ่วางแปะอยู่บนใบหน้าน่ารังเกียจ นางออกตัวนำเด็กชายทั้งเจ็ดและพุ่งตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที!


บทที่ 518 ร้องเพลงเดี๋ยวนี้!

โดย

Ink Stone_Fantasy

หากเป็นคนอื่นที่ขี้ขลาดและกลัวผี คงจะตัวสั่นงันงกจนทำอะไรไม่ถูก หรืออาจจะหวีดร้องและวิ่งหนีอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว ทว่า…ทั้งสตรีในชุดขาวและเด็กชายทั้งเจ็ดข้างกายนางหารู้ไม่ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาขณะนี้เป็นผู้ที่ไม่กลัวเรื่องเหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเริ่มมีท่าทีหงุดหงิดขึ้นมา


ขณะที่บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวเข้าปกคลุมพื้นที่ และวิญญาณสตรีในชุดขาวพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็ยกขาขวาขึ้นเตะออกไปอย่างไม่รอช้า เกิดเป็นเสียงกัมปนาทดังสนั่น


ลูกเตะนั้นปะทะเข้ากับวิญญาณสตรีอย่างจัง ดูเหมือนว่ามันจะทะลุผ่านร่างวิญญาณของนางและเข้าไปปะทะกับร่างจริง วิญญาณสตรีส่งเสียงร้องแหลมก่อนจะปลิวกระเด็นออกไปร่วมสามสิบเมตร


“เจ้ากล้าทำท่าขู่ข้าทั้งที่ฝีมืออ่อนด้อยเพียงนี้หรือ” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นแล้วใช้วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ ใบหน้าจำนวนมากปรากฏขึ้นบนมือของเขา และซ้อนทับกันไปมาหน้าแล้วหน้าเล่าจนกระทั่งรวมตัวกันเป็นมือผีตายซากสีดำสนิทดูน่าสะพรึงกลัว ความเย็นยะเยือกในบรรยากาศยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกหลังจากที่มือนั้นปรากฏออกมา หากสายลมที่ปรากฏขึ้นพร้อมวิญญาณสตรีเป็นปีศาจร้ายน่าสะพรึง สายลมที่ปะทุขึ้นจากกายของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็ยิ่งกว่าเจ้านรกเสียอีก!


หัตถ์สื่อวิญญาณของหวังเป่าเล่อกระตุกครั้งหนึ่ง และเครื่องหน้าของวิญญาณสตรีก็กลับมาปรากฏบนใบหน้านางอีกครั้ง ใบหน้านั้นแสดงอาการตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณสตรีส่งเสียงกรีดร้องและหันหลังจะหนี แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ในชั่วพริบตาเดียว นางก็ถูกหัตถ์สื่อวิญญาณของหวังเป่าเล่อจับไว้


วิญญาณสตรีในกายมายาไม่อาจจะขัดขืนดิ้นรนได้ หวังเป่าเล่อกำรอบคอนางและลากตัวนางมาตรงหน้าเขา


“การจะแต่งตัวเป็นผีสางเล่นมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร แต่จะมาทำเช่นนั้นต่อหน้าคนอย่างข้าน่ะหรือ” หวังเป่าเล่อจ้องหน้านางเขม็ง ก่อนจะยกร่างของวิญญาณสตรีลอยขึ้นในอากาศ และฟาดลงกระแทกพื้นอย่างแรง แต่ดูเหมือนว่าเท่านั้นยังไม่เยงพอ หวังเป่าเล่อยกเท้าขึ้นเตะวิญญาณสตรีอยู่ซ้ำๆ เสียงร้องที่วิญญาณสตรีเปล่งออกมาน่าเวทนาขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ถูกเตะ


พลังปราณของนางเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว นางกลับบอบบางราวกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจปลดปล่อยพลังออกมาได้แม้แต่น้อย!


รัศมีที่นางแผ่ออกมาควรจะส่งความกลัวเข้าไปจับขั้วหัวใจทุกสรรพชีวิต แต่มันกลับไม่มีผลต่อหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เพราะแน่นอนว่า…ในฐานะบุตรแห่งความมืด หวังเป่าเล่อได้เผชิญกับวิญญาณมาแล้วนับล้านในนิมิตมืด ในหมู่วิญญาณเหล่านั้นมีไม่น้อยที่น่าสะพรึงกลัวกว่าวิญญาณสตรีนางนี้มากนัก บางตนมีพลังมากพอจะถล่มโลกนี้ได้ทั้งใบ แต่พวกเขากลับเคารพและเชื่อฟังหวังเป่าเล่อ ไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาให้


เพราะอย่างไรเสีย…สำนักแห่งความมืดก็เป็นองค์กรทรงอำนาจที่มีหน้าที่นำทางวิญญาณ ในฐานะบุตรแห่งความมืด หากหวังเป่าเล่อกลัววิญญาณไร้ค่าดวงนี้ เขาเชื่อว่าบรรพบุรุษของสำนักแห่งความมืดที่สิ้นชีพไปแล้วต้องโมโหเสียจนฟื้นขึ้นมาจากหลุมแน่


ยิ่งหวังเป่าเล่อซ้อมวิญญาณสตรีมากขึ้นเท่าใด เสียงร้องไห้ของนางก็ยิ่งน่าเวทนาขึ้นเท่านั้น นางพยายามร้องขอชีวิตแต่ก็ไร้ผล ตัวตนที่ก่อนหน้านี้ยังน่าสะพรึงกลัวของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จนทำให้ลูกๆ ทั้งเจ็ดของนางสับสน มีสองคนที่กลัวเสียจนเริ่มร้องไห้


คราวนี้พวกเขาร้องไห้จริงๆ ไม่ใช่การเปล่งเสียงน่าขนลุกที่แสร้งทำก่อนหน้านี้ เสียงนั้นฟังดูน่าสยดสยองไม่น้อย หวังเป่าเล่อจ้องเด็กสองคนเขม็ง


“หุบปากเสีย! ไม่เช่นนั้นข้าจะกินเจ้าเสีย ร้องเพลงเดี๋ยวนี้!”


เด็กทั้งสองตัวสั่นเมื่อได้ยินตะโกนของหวังเป่าเล่อและหยุดร้องไห้ทันที แต่ยังคงตัวสั่นต่อไป แม้จะอยากร้องไห้แต่ก็ต้องอดทนไว้ แม้จะอยากวิ่งหนีแต่ก็ก้าวขาไม่ออก ทำได้แต่เพียงมองดูมารดาถูกหวังเป่าเล่อเตะต่อยต่อไป นางถูกซ้อมเสียจนวิญญาณอาจจะสลายกลายเป็นผุยผงไปเมื่อใดก็ได้


เด็กๆ เริ่มร้องเพลงด้วยร่างกายที่สั่นเทา


“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว…”


“ท่านแม่ นิ้วท่านรสชาติไม่เอาไหนเลย ข้าหิวเหลือเกิน ข้าอยากกินข้าว…”


“อย่าตีข้า อย่าฆ่าข้า อย่าถลกหนังข้าเลย ท่านแม่ ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…” น้ำเสียงอันสั่นเครือของเด็กๆ ลอยล่องสะท้อนไปในอากาศ เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกตัวว่าเสียงของตนน่ากลัวเพียงใด ขนาดพวกเขาเองยังรู้สึกกลัวเมื่อได้ยินเลย


หวังเป่าเล่อเริ่มจะเบื่อเสียงเพลง เมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก เด็กทั้งเจ็ดจึงรีบถอยหลังและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน จิตใจอันอ่อนเยาว์ของพวกเขาจดจำหวังเป่าเล่อในฐานะเจ้านรกที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากที่เด็กๆ หนีไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็เตะวิญญาณสตรีต่อไปกระทั่งนางหมดสติ กายของนางพร้อมที่จะสลายเป็นฝุ่นได้ทุกวินาที ชายหนุ่มจับผมอีกฝ่ายและลากมาตรงหน้า เขาจ้องมองนางตาแทบถลน


“นี่เป็นครั้งแรกที่วิญญาณอ่อนแอเช่นเจ้ากล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า ได้ ข้าขอคิดวิธีกินเจ้าก่อนก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเยือกเย็น ในนิมิตมืด ชายหนุ่มเคยเห็นศิษย์สำนักแห่งความมืดจำนวนหนึ่งแอบกินวิญญาณ สำนักแห่งความมืดนั้นกว้างใหญ่ไพศาล หากมีศิษย์บางคนแอบกินวิญญาณเป็นครั้งคราวก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น หรือหากมีใครเห็นก็ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย อย่างไรเสีย สำนักแห่งความมืดก็มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมบรรดาวิญญาณอยู่แล้ว


หวังเป่าเล่อไม่เคยกินวิญญาณมาก่อน แต่ก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร และเพราะช่วงนี้เขาขาดแคลนขนม จึงต้องตื่นกลางดึกเพราะความหิวอยู่บ่อยครั้ง เขากลืนน้ำลายและเลียริมฝีปากพลางจ้องมองไปยังวิญญาณสตรีร่างนั้น


ทว่าหวังเป่าเล่อก็หยุดตัวเองไว้ไม่ให้กินวิญญาณเข้าไป ชายหนุ่มคิดว่าต้องตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ให้ละเอียดเสียก่อน เขาจึงขังวิญญาณเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาศพของฟางมู่ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าบิดเบี้ยวหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย


ตามความรู้เรื่องวิญญาณของสำนักแห่งความมืด หวังเป่าเล่อตรวจสอบศพและลงความเห็นว่าฟางมู่ไม่ได้ถูกวิญญาณสังหาร แต่เสียชีวิตจากการถูกค้นวิญญาณ ไม่มีร่องรอยบาดแผลอื่นใดบนร่างกาย เขาถูกใครบางคนโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และวิญญาณก็ถูกรื้อค้น จนกระทั่งสมองไม่อาจทนรับการรื้นค้นได้จึงยุบตัวลง จากนั้นวิญญาณของฟางมู่จึงสลายกลายเป็นเถ้าไป


ช่างเป็นวิธีการสังหารที่โหดร้ายนัก หวังเป่าเล่อเงียบกริบ หลังจากตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงเก็บศพของฟางมู่ขึ้น อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเหมือนกัน เมื่อสหายเสียชีวิตลง หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจทิ้งศพอีกฝ่ายเอาไว้ในต่างแดนได้


หวังเป่าเล่อเริ่มหงุดหงิดใจท่ามกลางความเงียบสงัด แม้ว่าทุกคนจะเตรียมใจมารับมือกับความเลวร้ายแสนสาหัสเมื่อขึ้นมาถึงกระบี่สำริดเขียวโบราณ แต่ชายหนุ่มก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้เมื่อได้มาเห็นความตายด้วยตาตนเอง


ไม่นานนักเขาก็ควบคุมอารมณ์ได้ ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้นจ้องมองไปยังแมลงปีกแข็งสีทอง หวังเป่าเล่อกระโจนทีเดียวไปถึงรอยแยกบนตัวมัน และพบอีกสองศพอยู่ด้านใน


หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคน เขาสวมเสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ขาดวิ่นและเสียหาย ร่างนี้เสียชีวิตมานานแล้วและปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายออกมาเข้มข้น แม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วแต่พลังวิญญาณถึงแผ่ออกมาจากร่างก็ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับหรี่ตา


อีกร่างหนึ่งที่เสียชีวิตอยู่ข้างๆ กันไม่ใช่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล ร่างนั้นมีสามศีรษะหกแขน…เป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง!


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดก่อนจะสิ้นใจไปพร้อมๆ กัน ด้วงสีทองน่าจะเป็นเรือบินของใครสักคนในนี้ หลังจากที่พวกเขาตาย ด้วงก็ตายตามไปด้วย และถูกฝังอยู่ในดินบนพื้นที่ยกสูง


ผืนแผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงนับแต่นั้น ทะเลเพลิงท่วมสูง ในอนาคตอันใกล้ทุกสิ่งในที่นี้ก็คงจะอันตรธานหายไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนสภาพของผืนแผ่นดิน


สิ่งของมีค่าในกระเป๋าคลังเก็บของพวกเขาหายไปจนหมด อีกทั้งยังไม่มีตราประจำตัว หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าสิ่งของเหล่านั้นถูกทำลาย แต่น่าจะมีใครขโมยไปมากกว่า


เป็นไปได้ว่าผู้ที่ขโมยสิ่งเหล่านั้นไปจะเป็นฆาตกรสังหารฟางมู่


พวกเขาสังหารฟางมู่และวางกับดักเอาไว้ที่นี่… หวังเป่าเล่อไม่พบอะไรอีกจากการค้นหา ชายหนุ่มผละออกมาจากด้วงสีทองและปล่อยตัววิญญาณสตรี ก่อนจะจับคอนางเขย่าอย่างรุนแรง เมื่อเห็นหน้าหวังเป่าเล่อนางก็ส่งเสียงกรีดร้องและเริ่มดิ้นพราดราวกับเป็นใบไม้ต้องลม


“ถ้าไม่หุบปาก ข้าจะกินเจ้าเสีย!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเยือกเย็น


วิญญาณสตรีเงียบเสียงลงทันที นางยังคงตัวสั่นเทา แต่ไม่กล้าส่งเสียงอีกแม้แต่คำเดียว


“บอกข้าเสีย เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน” หวังเป่าเล่อจ้องหน้าดวงวิญญาณในชุดคลุมสีขาวและถามอย่างแช่มช้าด้วยน้ำเสียงสงบ ทว่าหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา วิญญาณสตรีก็เริ่มตัวสั่นอีกครั้ง นางไม่กล้าปิดบังความจริงจากหวังเป่าเล่อ จึงพูดด้วยสติที่เลือนลาง


“ตระกูลไม่รู้สิ้น…ครอบงำ…ล่อเจ้ามาที่นี่…เพื่อสังหาร…”


“ว่าอย่างไรนะ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน ชายหนุ่มทำผนึกฝ่ามือหลายอันก่อนจะส่งเปลวไฟสีดำพุ่งตรงเข้าไปในหน้าผากของวิญญาณ และดึงกลับมาในเวลาเพียงชั่วครู่ คาถานี้หวังเป่าเล่อเรียนมาเมื่อครั้งอยู่ที่สำนักแห่งความมืด เป็นวิธีดูว่าวิญญาณพูดความจริงหรือไม่ เขาเริ่มถามคำถามนางชนิดลงรายละเอียด ผ่านไปครู่ใหญ่ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ดำคล้ำขึ้น ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งได้ควบคุมวิญญาณตนนี้และพานางมาที่นี่ ด้วยความตั้งใจจะสังหารหวังเป่าเล่อ


เห็นได้ชัดว่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นี้ไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืด สิ่งเดียวที่เขาไม่กลัวก็คือวิญญาณ


ความคิดนับไม่ถ้วนพุ่งตัวผ่านศีรษะของหวังเป่าเล่อ เบาะแสเดียวที่ชายหนุ่มมีคือคำบอกเล่าของวิญญาณสตรีที่สติไม่อยู่กับร่องกับรอย อย่างไรเสีย เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความลับอันล้ำลึกที่แฝงตัวอยู่ภายใต้สำนักวังเต๋าไพศาลและกระบี่สำริดเขียวโบราณ


ยังมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่มีชีวิตอยู่อีกหรือ หวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึงไป ชายหนุ่มตัดสินใจว่า เขาต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และตอนที่เขากำลังจะจัดการกับวิญญาณสตรีนั่นเอง…


วิญญาณน้อยทั้งเจ็ดตนที่หนีไปก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งหมดตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว


บทที่ 519 ชุดขาวแทนคุณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกรงกลัวหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ วิญญาณสี่ตนร้องไห้ด้วยความกลัว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าบุรุษผู้น่ากลัวไม่ชอบเสียงร้องไห้ จึงรีบพากันยกมือปิดปากในทันที


มีเพียงตนเดียวเท่านั้น ที่แม้จะเกรงกลัวไม่ต่างกัน แต่ก็รวบรวมความกล้าและก้าวออกมาข้างหน้า วิญญาณตนนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าและหมอบกราบ ก่อนจะดึงขวดโอสถที่ส่งกลิ่นเน่าเปื่อยแต่ยังอยู่ในสภาพดีออกมาวางลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ และหมอบกราบลงอีกครั้ง เสียงพร่าเลือนลอยออกมาจากร่างวิญญาณนั้น


“โปรด…คืนแม่…ให้พวกเรา…”


หวังเป่าเล่อตื่นตะลึง ชายหนุ่มจ้องมองไปที่วิญญาณน้อยและวิญญาณเด็กๆ ด้านหลังที่ยืนตัวสั่นแต่ไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ออกมา เขาหยิบขวดโอสถขึ้นมองและเปิดออกดูด้านใน ก่อนจะชะงักไปชั่วขณะ


โอสถจักรวาลหรือ หวังเป่าเล่อไม่ค่อยได้เห็นสมบัติล้ำค่าบ่อยนักตั้งแต่มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ศึกษาหาความรู้มาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องโอสถและวัตถุดิบ เพราะเป็นด้านที่เขาสมใจ


ชายหนุ่มไม่เคยเห็นโอสถจักรวาลมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าโอสถนี้มีคุณสมบัติพิเศษ แม้จะส่องแสงออกทึมๆ ในเวลากลางวัน แต่ในช่วงกลางคืน มันจะเรืองแสงราวลูกปัดสีสดใส


โอสถจักรวาลเป็นหนึ่งในโอสถเสริมกำลังที่ช่วยผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในให้บรรลุไปยังขั้นจุติวิญญาณได้ การแลกโอสถหนึ่งเม็ดจากสำนักต้องใช้ราวๆ ห้าหมื่นแต้มการรบ


หวังเป่าเล่อทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น ชายหนุ่มไม่อาจแน่ใจได้ว่าโอสถในขวดคือโอสถจักรวาลจริงๆ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ มันก็ดูน่าพึงใจพอสมควร เขาพึงพอใจมาก หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปจับวิญญาณสตรีและโยนนางออกไปให้พ้นทาง


หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นควบคุมวิญญาณได้อย่างไร เขาใช้ผนึกฝ่ามือจำนวนหนึ่งเรียกเปลวไฟสีดำแปดดวงออกมาเผาทำลายเศษคาถาที่ควบคุมวิญญาณเหล่านี้ไว้


ระหว่างกระบวนการนั้น เหล่าวิญญาณกลัวจนหัวหดจนไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว เปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกสำหรับวิญญาณเหล่านี้ น่ากลัวน้อยกว่าตัวหวังเป่าเล่อเพียงนิดเดียวเท่านั้น


“เอาละ ไปเสีย อย่าไปเที่ยวหลอกใครเขาอีกเล่า เข้าใจไหม” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นโบกไล่และเลิกสนใจพวกวิญญาณ ชายหนุ่มเริ่มหันมาเพ่งมองโอสถจักรวาลอย่างพินิจพิเคราะห์


วิญญาณสตรีตนนั้นไม่กล้าอ้อยอิ่งอยู่ นางรีบวิ่งเข้าไปรวบรวมลูกๆ และหนีไปทันที…


จากนั้นครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็เก็บโอสถจักรวาลไป ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะนำกลับไปศึกษาต่อเมื่อกลับถึงที่ปลอดภัยแล้ว หากมันเป็นโอสถจักรวาลจริง ก็ถือว่าเขาทำกำไรจากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ได้มากโข แต่หากว่าเป็นของปลอม…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายเย็นยะเยือก เขาจะกลับมาที่นี่และถามวิญญาณเหล่านั้นว่าทำไมจึงต้องโกหกกัน


ชายหนุ่มหันไปมองด้วงยักษ์สีทอง หลังจากครุ่นคิดอยู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจเอามันและศพที่อยู่ภายในไปด้วย


ไม่ว่าข้าจะขายมันได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ เอากลับไปก่อนและค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมันต่อไป แล้วถ้าข้าอยากขายค่อยขายทีหลังก็ยังทัน…ข้าไม่มีทางเลือก ข้าจนเหลือเกิน หวังเป่าเล่อสะท้อนใจ ชายหนุ่มพูดได้เพียงว่าเขาค่อนข้างพอใจกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้


หากโอสถเป็นของจริงก็ถือว่ายอดเยี่ยม หาไม่แล้ว การเดินทางครั้งนี้ก็คงขาดทุน ค่าเคลื่อนย้ายมาที่นี่ราคาตั้งหนึ่งพันแต้มการรบ แถมเขายังเสียเวลาไปมากโขด้วย


ข้าจะถือเสียว่าการเดินทางมารอบนี้เป็นการมาดูลาดเลาก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ ชายหนุ่มหันหลังออกมา ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนอากาศมุ่งหน้าไปยังชั้นป้องกัน ทันใดนั้นเอง วิญญาณสตรีในชุดคลุมสีขาวก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้งกลางอากาศ


หวังเป่าเล่อจ้องมองนางวิญญาณที่กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเขม็ง ชายหนุ่มกำลังจะตะเบ็งเสียงใส่ แต่นางวิญญาณกลับรีบทำความเคารพเขาด้วยตัวสั่นเทา ดูเหมือนจะกลัวหวังเป่าเล่อเข้าใจเจตนาของนางผิด นางจึงรีบแสดงท่าทีมีสติให้เขารับรู้


“เจ้าจะมาขอบคุณข้าที่ช่วยปล่อยเจ้าออกจากคาถาเช่นนั้นสินะ” หวังเป่าเล่อเพิ่งเข้าใจเจตนาของนางหลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยจึงทำผนึกฝ่ามือจำนวนมากปลุกแก่นในแห่งความมืดในกายขึ้นมา เปลวไฟสีดำพวยพุ่งจากร่างเข้าไปยังหน้าผากของนาง ก่อนจะกลับมาบนฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ เขาจ้องมองมันอย่างละเอียดก่อนจะรู้ได้ว่านางตั้งใจมาตอบแทนคุณจริงๆ


หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อก็สรุปว่ากำไรจากการเดินทางรอบนี้ยังไม่ถึงเป้าดีนัก จึงยกมือเป็นเชิงให้วิญญาณสตรีนำทางไป เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อยอมคล้อยตาม นางผีสาวก็ดูตื่นเต้นยินดี นางลอยนำหน้าหวังเป่าเล่อทิ้งห่างไประยะหนึ่ง


การเดินทางใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาเดินผ่านระยะทางมาร่วมเกือบสองร้อยกิโลเมตร หวังเป่าเล่อระวังตัวแจตลอดทางและตามวิญญาณสตรีไปถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนเพิ่งจะปรากฏขึ้นได้ไม่นาน


ท่ามกลางทะเลเพลิงนั้นมียอดเขาเอียงกะเทเร่อยู่ยอดหนึ่ง มันดูเหมือนเคลื่อนที่ไม่ได้ และมีลาวาไหลบ่าผ่านสองข้างทางไป ยอดเขานั้นดูไม่สมบูรณ์ คล้ายกับว่าหายไปครึ่งลูก


แม้จะเป็นเพียงยอดเขาครึ่งลูกแต่ขนาดนั้นก็ใหญ่โตมโหฬารทีเดียว ขนาดของมันไล่เลี่ยกับตำหนักบนยอดเขาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บนยอดเขามีตำหนักและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อยู่ไม่น้อย ส่วนมากเสียหายและพุพังไปแล้ว แต่บางส่วนก็ยังมีสภาพดี เหมือนไม่ได้รับความเสียหายมากนัก


สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือซากศพสิบร่างทั้งชายและหญิงที่นอนอยู่บนยอดเขานั้น นอกจากบาดแผลจากการสังหารแล้ว สภาพศพโดยรวมอยู่ในสภาพดี หวังเป่าเล่อเห็นกระทั่งกระเป๋าคลังเก็บบนร่างของศพเหล่านั้น!


ชายหนุ่มตาเบิกโพลงเมื่อได้เห็น แต่ไม่ได้เข้าไปสำรวจยอดเขาในทันที เขารีบสำรวจบริเวณรอบๆ พลางดึงอาวุธเวทออกมาอย่างระแวดระวัง เมื่อหวังเป่าเล่อตรวจสอบบริเวณรอบข้างไปพักใหญ่และยืนยันได้ว่าไม่มีอันตราย เขาจึงปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นจึงเริ่มเดินเข้าไปใกล้ยอดเขาอย่างระมัดระวัง ตาของชายหนุ่มร้อนผ่าวเพราะความละโมบ


หลังจากที่นำหวังเป่าเล่อมาถึงจุดนี้ วิญญาณสตรีในชุดคลุมสีขาวก็ก้มโค้งคำนับต่ำก่อนจะลอยหายไป นางมาตอบแทนหวังเป่าเล่อที่ไว้ชีวิตและปลดปล่อยคำสาปให้จริงๆ นางค้นพบสถานที่นี้เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ก็ไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ทว่า สัญชาติญาณก็บอกนางว่าคนภายนอกที่เข้ามาที่นี่มักจะต่อสู้แย่งชิงสิ่งของที่พบในสถานที่เช่นนี้อยู่เสมอ


เป็นเหตุให้นางพาหวังเป่าเล่อมาที่นี่เพื่อตอบแทนเขา


นับเป็นการค้นพบที่หวังเป่าเล่อพึงพอใจยิ่ง หลังจากที่ตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย ชายหนุ่มก็รีบรุดไปยังยอดเขาอย่างตื่นเต้น พอได้เห็นใกล้ๆ ใจของเขาก็เต้นระรัว ความร้อนผะผ่าวปกคลุมอยู่ในดวงตา


ไม่ผิดแน่ ไม่เคยมีใครมาที่นี่มาก่อน!


จากการดูคร่าวๆ น่าจะมีศพราวสามสิบศพ…ทุกศพมีกระเป๋าคลังเก็บ จะต้องมีตราประจำตัวและของมีค่าอยู่เป็นแน่!


ถ้าข้าเข้าไปได้ต้องรวยแน่นอน! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะรู้สึกโลภโมโทสันเพียงใด เขาก็ไม่ได้ประมาท ชายหนุ่มเคยเห็นสถานที่คล้ายๆ กันนี้มาก่อนแล้วบนตัวกระบี่ แม้จะไม่ได้เป็นที่ที่สะดุดตานัก แต่ก็เป็นไปได้ว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่


ทว่ามีคำสาปปกคลุมสถานที่นั้นเอาไว้ มันปกป้องดินแดนนั้นจากทะเลเพลิงและสกัดกั้นไม่ให้หวังเป่าเล่อเข้าไป ชายหนุ่มทำได้เพียงจ้องมองและทอดถอนใจ ก่อนจะเดินคอตกออกมาอย่างยอมจำนน


แต่บนยอดเขาแห่งนี้ดูเหมือนไม่ได้มีคาถาป้องกันอยู่ เหมือนว่าเขาจะสามารถเข้าไปได้ง่ายๆ แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนวู่วาม ชายหนุ่มสังเกตดูบริเวณโดยรอบอย่างดีก่อนจะดึงหุ่นเชิดออกมาตัวหนึ่ง เขาควบคุมหุ่นเชิดและส่งมันกระโจนนำหน้าไป


หุ่นเชิดนั้นมีรูปทรงคล้ายวานรเพชร มันพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโจน ทันทีที่มันเข้าใกล้ยอดเขาและกำลังจะลงแตะพื้น ก็มีแสงสีดำปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันพุ่งผ่านวานรเพชรไป หุ่นเชิดวานรเพชรชะงักนิ่งก่อนจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และระเบิดเป็นเสี่ยงในพริบตา


กะไว้แล้วเชียว มีคำสาปอยู่จริงๆ…หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจ ชายหนุ่มยืนนิ่งคิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงโบกมือและเรียกหุ่นเชิดออกมานับสิบ และส่งพวกมันพุ่งตรงไปล้อมยอดเขาไว้ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปพร้อมกัน


ทันทีที่พวกมันย่างกรายเข้าไป แสงสีดำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันกวาดผ่านทั่วทั้งบริเวณในพริบตา เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นก่อนที่หุ่นเชิดทั้งหมดจะถูกทำลายในชั่ววินาที


หวังเป่าเล่อไม่ใคร่จะใส่ใจในความสูญเสียนัก นัยน์ตาของชายหนุ่มบัดนี้ส่องสว่างไปด้วยความตื่นเต้น เขาโบกมืออีกครั้งและเรียกหุ่นเชิดออกมาห้าสิบตัว!


คำสาปนี้…มีช่องโหว่!


บทที่ 520 ทลายคำสาป!

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่มาสามวันและใช้หุ่นเชิดไปร่วมห้าพันตัวแล้ว ชายหนุ่มสะสมหุ่นเชิดเหล่านี้มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่เขตนครพิเศษดาวอังคาร ทุกครั้งที่ความรู้ด้านการหลอมวัตถุเวทของเขาพัฒนาขึ้น เขาจะติดนิสัยเสริมพลังหุ่นเชิดอยู่เสมอ


ทำให้แม้หุ่นเชิดที่อ่อนแอที่สุดของเขาก็ยังอยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ และยังมีหุ่นเชิดอีกนับร้อยที่อาจต่อกรกับผู้ฝึกในขั้นรากฐานตั้งมั่นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ สิ่งที่น่าตื่นตาที่สุดคือหุ่นเชิดชุดพิเศษที่เขาหลอมขึ้นในคราวแรก ที่มีเหลือเพียงสองตัวเท่านั้น พวกมันมีพลังเทียบเท่าขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์แถมยังปริ่มๆ จะถึงขั้นกำเนิดแก่นในอีกด้วย


พอระดับปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มสูงขึ้น หุ่นเชิดเหล่านี้จึงหมดความจำเป็นไป เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงมีหุ่นเชิดเหลืออยู่มากมายนัก และในตอนนี้ประโยชน์ของพวกมันคือเป็นเหยื่อทดสอบอำนาจของคำสาป


การทดสอบนั้น…ทั้งครบถ้วนและลึกซึ้ง ทำให้หวังเป่าเล่อระบุช่องโหว่ของคาถาโดยใช้เวลาไปเพียงสามวัน!


มีช่องโหว่เล็กๆ อยู่สามจุด…หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมหนึ่งขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังยอดเขาตรงหน้าเขม็ง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดพื้นที่แห่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง แต่เขารู้ดีว่ามีเวลาเหลือไม่มากนัก จึงจำเป็นต้องทำการอย่างรวดเร็ว


ทว่าเขาจะรีบร้อนเกินไปไม่ได้ จากการคาดคะเน ด้วยพลังปราณและพลังกายในตอนนี้ หวังเป่าเล่อยังไม่สามารถทนต่อการโจมตีของแสงสีดำได้ หากชายหนุ่มเข้าไปปะทะโดยตรง ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้ร่างกายและจิตใจของเขาถูกทำลายได้


ข้าแค่อยากได้แต้มการรบบ้างก็เท่านั้นเอง ช่างลำบากอะไรอย่างนี้…หวังเป่าเล่อถอนหายใจขณะที่จ้องมองไปยังซากศพและตำหนักบนภูเขา ความมุ่งมั่นฉายผ่านดวงตา ชายหนุ่มไม่มีทางเลือก ความปรารถนาในกระเป๋าคลังเก็บบนร่างของศพเหล่านั้นปกคลุมจิตใจเขาไปจนหมด


หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาส่องประกายแวววาวขณะที่จับจ้องยังยอดเขาตรงหน้า ชายหนุ่มคำนวณช่วงเวลาเอาไว้หมดแล้ว ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เขาจะโยนหุ่นเชิดเข้าไปและเพิ่มจำนวนขึ้นทุกครั้งที่โยน ทุกครั้งที่หุ่นเชิดพยายามจะฝ่าดงคำสาปเข้าไป มันจะถูกแสงสีดำหั่นเป็นชิ้นๆ


แปดชั่วโมงผ่านไป ขณะที่หวังเป่าเล่อโยนหุ่นเชิดอีกตัวเข้าไปสู่ยอดเขา แสงสีดำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ แสงนั้นชะงักไปชั่ววินาทีหนึ่ง


นั่นอย่างไรเล่าช่องโหว่! ราวกับว่าชายหนุ่มได้ทำนายถึงวินาทีนี้และเตรียมพร้อมมาก่อนล่วงหน้า ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววกล้าเมื่อเห็นอาการหยุดชะงักนั้น เขาพุ่งตัวออกไปราวสายฟ้าที่ผ่าลงมาในชั่วอึดใจ ชายหนุ่มใช้ผนึกฝ่ามือปลุกพลังปราณในร่างให้หมุนวนอย่างรุนแรง ชายหนุ่มโบกมืออีกหนึ่งครั้ง จากนั้นสมบัติเวทจำนวนมหาศาลก็ปรากฏขึ้นรายล้อมกายเขาไว้และกระจายตัวออกไป ในหมู่สมบัติเวทเหล่านั้นมีอาวุธเวทปะปนอยู่ด้วย แถบผ้าสีสดใสโบกสะบัดและล้อมรอบกายเขาไว้ เกิดเป็นเกราะกำบังที่แข็งแกร่ง


หวังเป่าเล่อวางแผนมาแล้วทุกขั้นตอน ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ร่างของชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วราวดาวตก มุ่งหน้าตรงดิ่งเข้าไปหายอดเขาที่เป็นเป้าหมาย


ในพริบตาเดียวนั้น เขาก็เข้ามาอยู่ตรงจุดซึ่งมีคำสาปที่มองไม่เห็ แสงสีดำที่ควรจะปรากฏขึ้นทันทีแต่กลับชะงักไปชั่วขณะตอนที่โจมตีใส่หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน มาบัดนี้ก็ชะงักไปอีกครั้งหนึ่ง!


การชะงักไปเพียงชั่ววินาทีทำให้หวังเป่าเล่อผ่านเกราะกำบังเข้าไปยังยอดเขาได้ในที่สุด ชายหนุ่มไม่ได้ทำลายคำสาปลงแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะเข้ามาบนยอดเขาได้สำเร็จ แต่สัมผัสของอันตรายก็ยังคงแรงกล้า คลื่นความอันตรายไหลบ่าเข้าท่วมกายหวังเป่าเล่อราวกับเป็นคลื่นยักษ์


ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่หวังเป่าเล่อจะมัวพะวงกับเรื่องนี้ ทันทีที่ชายหนุ่มผ่านคำสาปเข้ามาได้และมาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขา เขาก็ยกมือขวาขึ้นและทำท่าหยิบกระเป๋าคลังเก็บจากศพที่อยู่ห่างไประยะหนึ่งผ่านอากาศ


กระเป๋าคลังเก็บสี่ใบลอยละล่องมาหา หวังเป่าเล่อรับเอาไว้ หลังจากพยายามต่อสู้กับความโลภในใจ ชายหนุ่มก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนที่จากไปด้วยความเร็วราวสายฟ้า เร็วพอๆ กับเมื่อขาเข้ามา เขาเคลื่อนที่ราวสายน้ำไหล เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อทบทวนแผนการการเคลื่อนไหวนี้หลายต่อหลายครั้งในช่วงสามวันที่ผ่านมา


ในขณะที่เขากำลังจะล่าถอยออกไปจากบริเวณ ทันใดนั้นเอง แสงสีดำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จังหวะของช่องโหว่ดูเหมือนจะผ่านพ้นไปเสียแล้ว แสงนั้นกำลังจะพาดผ่านกายของหวังเป่าเล่อ


แสงสีดำที่ปรากฏขึ้นในครั้งนี้เคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าหวังเป่าเล่อมาก เป็นความเร็วในระดับที่เรียกได้ว่าเหลือเชื่อ แต่ชายหนุ่มเตรียมพร้อมมาแล้ว ทันทีที่แสงสีดำปรากฏขึ้น สมบัติเวทรอบกายเขาก็พุ่งเข้าขวางระหว่างตัวเขาและแสงสีดำที่กำลังพุ่งเข้ามา


สมบัติเวทเหล่านั้นปะทะกับแสงสีดำโดยตรง ก่อนจะถูกตัดอย่างง่ายดายและไร้เสียงราวกับเป็นเพียงกระดาษ สมบัติเวทเหล่านั้นอ่อนพลังลงลและถูกแสงสีดำตัดขาดเป็นสองท่อน


โชคยังดีที่แถบผ้าสีสดใสมีพลังมาก มันม้วนตัวรอบกายหวังเป่าเล่อและแปรสภาพเป็นพายุหมุน อาวุธเวทอื่นๆ ของหวังเป่าเล่อก็ปล่อยพลังออกมาเช่นกัน พวกมันก่อตัวกันขึ้นเป็นเกราะกำบังป้องกันเขาจากแสงสีดำ เสียงกัมปนาทดังสนั่นเลื่อนลั่นในอากาศ และตอนที่ทั้งแถบผ้าและบรรดาอาวุธเวทใกล้จะต้านทานการโจมตีของแสงสีดำไว้ไม่ไหวนั่นเอง หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกมาจากอาณาเขตต้องสาปได้ทันท่วงที


แม้จะออกมาได้แล้ว แต่แรงสะท้อนกลับของคำสาปก็รุนแรงเหลือประมาณ หวังเป่าเล่อสำรอกเอาโลหิตสดๆ ออกมาจากปาก สายตาเริ่มพร่ามัว เขาถึงกับเดินเซเมื่อลงมาบนพื้นเรียบร้อย ชายหนุ่มพ่นเอาโลหิตออกมาอีกหนึ่งกองใหญ่ อาการบาดเจ็บรุนแรงนี้ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมแถบผ้าและอาวุธเวทอื่นๆ ทั้งหมด พวกมันพากันร่วงกราวลงมาบนพื้น


หลังจากที่เดินโซเซไปอีกสองสามก้าว โลหิตก็เริ่มไหลซึมออกมาจากอกของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มล้มลงฟาดพื้น อาการบาดเจ็บดูเหมือนจะรุนแรงยิ่ง เขาหมดสติไป


กระเป๋าคลังเก็บที่ชิงมาได้ร่วงลงจากมือหลังจากที่เขาหมดสติ แสงสีดำส่องประกายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสลายหายไป ความเงียบเข้าปกคลุมอาณาบริเวณโดยรอบอีกครั้ง


ความเงียบสงัดปกคลุมอยู่นับชั่วโมง ภายในช่วงเวลานั้น ไม่มีความเคลื่อนไหวหรือเสียงใดๆ แม้แต่น้อย มีเพียงหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนอนทอดกายไม่ไหวติงอยู่บนพื้นเพราะบาดเจ็บสาหัส เป็นเป้านิ่งสำหรับการโจมตีเพราะไม่อาจจะป้องกันตัวได้ ผู้ที่ไม่หวังดีสามารถสังหารเขาได้ในทันที


บรรดาอาวุธเวทและกระเป๋าคลังเก็บที่รายล้อมกายชายหนุ่มอยู่เพียงพอที่จะชักชวนให้ผู้มีจิตโลภโมโทสันมาขโมยและสังหารหวังเป่าเล่อเสีย…แต่ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างหวังเป่าเล่อ หรืออาจจะต้องพูดว่าโชคเข้าข้างคนอื่นๆ มากกว่า …ในชั่วโมงนั้น ไม่มีใครมาปรากฏกาย แม้แต่วิญญาณสตรีในชุดคลุมสีขาวเองก็ด้วย


ชั่วโมงหนึ่งผ่านไป หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่มีร่องรอยของความง่วงงุนหรือสับสนอยู่ในดวงตาเขาแม้แต่น้อย กลับกันในตาของชายหนุ่มตอนนี้ปกคลุมไปด้วยแสงประหลาดที่ยากจะหยั่งถึง


ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่แถวนี้จริงๆ…วิญญาณสตรีนางนั้นพยายามตอบแทนคุณข้าจริงๆ เสียด้วย เพราะเมื่อครู่ข้าแสดงได้สมจริงเสียจนหากมีผู้ไม่หวังดีอยู่ใกล้ๆ เขาย่อมต้องลงมือเป็นแน่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที อาการบาดเจ็บทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น


ใช่แล้ว ความระแวดระวังของหวังเป่าเล่อไม่ได้ลดน้อยลงเมื่อเห็นยอดเขา ชายหนุ่มกังวลว่ามันจะเป็นกับดัก จึงแสร้งทำเป็นบาดเจ็บเพื่อล่อให้ผู้ที่อาจจะซุ่มรออยู่ออกมาจู่โจม อาวุธเวทที่กองอยู่รอบกายเขาอาจดูเหมือนระเกะระกะ แต่อาวุธเวทเหล่านั้นเขาเป็นคนหลอมมาเองกับมือ และเขาจะใช้พลังของพวกมันเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ


ข้าจะไม่เสียเวลาอีกแล้ว เพราะไหนๆ ก็ไม่มีใครอยู่ที่นี่! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นโบกและเก็บวัตถุเวทรอบกายขึ้นจนหมด ดวงตาของชายหนุ่มส่องประกายแรงกล้าขณะที่เพ่งมองไปยังยอดเขา แก่นในอัคนีของเขาปะทุขึ้น สายฟ้าปรากฏขึ้นในอากาศรอบกายและเปลวไฟเย็นยะเยือกก็แผ่ออกมาจากกาย มีเสียงแตกเปรียะดังออกมาจากร่างของเขาเมื่อชายหนุ่มปลดปล่อยพลังสูงสุด


ยังไม่เพียงเท่านั้น แถบผ้าหลากสีและกระบี่สามสี บินวนไปรอบตัวเขาอย่างคล่องแคล่ว คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากกายเขาขณะนี้ทรงพลังเกินกว่าที่เขาเคยปล่อยมาก่อน หลังจากที่เตรียมตัวเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็รออีกครึ่งชั่วโมง จากนั้นชายหนุ่มจึงโยนหุ่นเชิดออกไปอีกสิบตัว ก่อนจะก้าวขาและพุ่งตรงเข้าไปยังอาณาเขตต้องสาปพร้อมๆ กับหุ่นเชิดเหล่านั้น


หวังเป่าเล่อเคลื่อนที่เร็วขึ้นเกือบสองเท่าในครั้งนี้ ชายหนุ่มใช้ประโยชน์จากการปรากฏขึ้นของช่องโหว่และผ่านทะลุแนวป้องกันของคำสาปเข้าไป เมล็ดดูดกลืนในกายเริ่มทำงานทันที เมื่อเสียงกัมปนาทดังสะเทือนขึ้น กระเป๋าคลังเก็บของศพนับสิบตรงหน้าก็พุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มราวกับถูกดึงด้วยมือที่มองไม่เห็น!


ทุกสิ่งเป็นไปตามแผน หากชายหนุ่มออกไปตอนนี้ เขาก็จะออกไปได้โดยบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าขณะที่เขากำลังจะหนีออกไปนั่นเอง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลงขึ้น เขาจ้องขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดบนยอดเขา  ตอนที่อยู่นอกวงคำสาปทัศนวิสัยของเขาไม่ค่อยดีเท่าไร แต่มาบัดนี้ เมื่อชายหนุ่มอยู่ด้านใน เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า…บนนั้นมีถ้ำที่พักอยู่แห่งหนึ่ง!


ภายในถ้ำที่พักมีศพซึ่งแต่งกายหรูหรานั่งขัดสมาธิอยู่…บนตักของศพมีตราประจำตัวสีม่วงวางสงบนิ่ง!


ตราประจำตัวศิษย์สืบทอด!


บทที่ 521 ขุนพลอักขระเวทโบราณ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้หวังเป่าเล่อจะมีความสามารถในการควบคุมตนเองสูงเหมือนปราการเหล็กกล้า แต่ภาพศพพร้อมตราประจำตัวตรงหน้าก็ยังไม่วายทำให้เขาตัวสั่น ลมหายใจของชายหนุ่มหอบถี่ด้วยความตื่นเต้น เขาไม่มีเวลาคิด เนื่องจากรับรู้ได้ถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ตัว


หวังเป่าเล่อถอยหนีทันทีที่สัมผัสได้ถึงภัยร้าย แต่ด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นตราประจำตัว เขาจึงหลบช้าไปก้าวหนึ่ง ด้วยเหตุนี้แผนการการหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้โดยบาดเจ็บให้น้อยที่สุดจึงพังลงในทันที


ลำแสงสีดำพุ่งเข้ามาอย่างฉับพลัน มันส่งเสียงกึกก้องเหมือนสายฟ้าฟาด เมื่อปะทะเข้ากับกระบีบินสามสี กระบี่ทั้งสามก็สั่นเทาจากแรงกระแทกรุนแรง ตอนนั้นเองลำแสงสีดำก็แตกออกเป็นสิบสาย พุ่งฉวัดเฉวียนเข้าใส่หวังเป่าเล่อจากทุกทิศทาง หมายเฉือนเขาให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ชายหนุ่มคำรามก้องก่อนสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อเอาตัวรอด กระบี่บินสามสีและแถบผ้าทอแสงจ้า อาวุธเวทของเขาปล่อยพลังออกมาตามๆ กันอย่างไม่ขาดสาย แก่นในแห่งความมืดภายในกายหวังเป่าเล่อปล่อยเปลวไฟสีดำให้พวยพุ่งไปทั่วบริเวณจนกินวงกว้าง นอกจากนี้ชายหนุ่มยังปล่อยพลังของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงเช่นกัน ปราณโลหิตพุ่งขึ้นเสียดฟ้า ในขณะที่ร่างของเขาทำหน้าที่เป็นฐานเพื่อส่งพลังทั้งหมดออกไปภายนอก ในที่สุดชายหนุ่มก็หนีออกจากพื้นที่ต้องสาปนั้นได้ก่อนที่จะโดนลำแสงสีดำนับสิบหั่นเป็นชิ้นๆ !


แม้จะหนีออกมาได้ แต่ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ต้านทานการปล่อยพลังพร้อมกันในคราวเดียวไม่ไหว เลือดสดๆ ทะลักออกจากปากของชายหนุ่ม ส่วนอวัยวะภายในก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน


ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้อาจทำให้คนอื่นหมดสติลงให้ฉับพลัน แต่หวังเป่าเล่อเป็นคนอำมหิตโดยธรรมชาติ และยิ่งโหดเหี้ยมกับตนเองมากกว่าใครเพื่อน เขากล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดไว้และไม่หยุดหนีจนกว่าจะปลอดภัย ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย จนเกิดเป็นเส้นสายรุ้งพุ่งตรงไปยังท้องฟ้า


หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าแม้เขาจะตรวจสอบให้มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดีหากจะอยู่ในตัวกระบี่ต่อไป ทางที่ดีที่สุดคือต้องหนีออกจากพื้นที่นี้ไปยังส่วนด้ามจับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!


ชายหนุ่มระเบิดความเร็วอีกครั้งและมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ชั้นป้องกันที่กั้นระหว่างตัวกระบี่กับด้ามจับอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น วิสัยทัศน์ของเขาปลอดโปร่งไร้ซึ่งเมฆหมอกบดบัง หวังเป่าเล่อเคลื่อนตัวเหมือนคันธนูยาวที่พุ่งตัดอากาศด้วยความเร็ว เขาเข้าใกล้ชั้นป้องกันเข้าไปทุกที วินาทีต่อมา… ชายหนุ่มก็กระโจนทะลุผ่านชั้นป้องกันนั้นไป!


ทันทีที่ทะลุผ่านชั้นป้องกันออกไปได้ หวังเป่าเล่อก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก แต่ก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิรอบตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกของอากาศเย็นที่สัมผัสผิวกายทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้น ราวกับได้ก้าวออกจากฤดูร้อนอันแสนระอุ เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย


แน่นอนว่าความรู้สึกของหวังเป่าเล่อเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบสองสิ่งเข้าด้วยกันเท่านั้น อุณหภูมิที่ด้ามจับยังคงสูงเสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อเทียบกับบริเวณตัวกระบี่แล้ว ก็กลับเย็นสบายเหมือนฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ


ชายหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อความร้อนราวนรกอเวจีหายไป แต่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด ตลอดการเดินทาง หวังเป่าเล่อเฝ้าสำรวจรอบกายอย่างระมัดระวังตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามเขามาหรือดักซุ่มโจมตี ในที่สุดชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ด้วยความที่อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสพอสมควร หวังเป่าเล่อจึงหาเกาะร้างเพื่อพักฟื้นร่างกายชั่วคราว เขาสร้างถ้ำที่พักอย่างง่ายขึ้นมา เข้าไปนั่ง และหยิบโอสถออกมาเคี้ยว ก่อนทำสมาธิเพื่อรักษาตัว


เจ็ดวันผ่านไป ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาอีกครั้งพร้อมประกายวาววับ อาการบาดเจ็บหายไปเกือบหมดแล้ว ร่างกายใกล้กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ดังเดิม


คำสาปนั้นทรงพลังเกินไป… นับว่าข้าโชคดีที่เจอช่องโหว่เข้า หากไม่มีช่องโหว่แล้วละก็… จะเข้าไปหยิบอะไรในนั้นมา คงต้องเสียอาวุธเวทไปเพื่อแลกกับการเอาตัวรอด เห็นทีแบบนั้นข้าจะขาดทุนเสียมากกว่า ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงคำสาปที่ตนเองเจอบนยอดเขา ร่างกายก็พาลสั่นสะท้าน แต่ก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนเองได้รับมา จึงหยิบสิ่งของทั้งหมดออกมาตรวจดู


หวังเป่าเล่อออกมาทันทีที่หยิบกระเป๋าคลังเก็บได้ เมื่อหนีมาจนถึงเกาะร้างแห่งนี้เขาก็เริ่มกระบวนการเยียวยาบาดแผลของตนเอง จนไม่มีเวลาได้ตรวจดูว่าได้สิ่งใดมาบ้าง ชายหนุ่มหยิบสิ่งของที่ได้มาออกมาทีละชิ้นเพื่อนับดู ดวงตาเป็นประกายสว่างไสว


ข้าได้กระเป๋าคลังเก็บมาสามสิบเก้าใบ! เขาคิดด้วยความตื่นเต้น รู้สึกราวกับตนเองโชคดีถูกรางวัลที่หนึ่ง ชายหนุ่มมองสิ่งของที่กองอยู่ตรงหน้าด้วยความคาดหวัง เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมาหนึ่งใบเพื่อสำรวจดูโดยใช้จิตสัมผัสวิญญาณ นัยน์ตาทอแสงวาบอีกครั้ง เขาพลิกมือหยิบตราประจำตัวสีเทาขึ้นมาดู


ตรานั้นเย็นเมื่อได้สัมผัส และดูเหมือนว่าสร้างมาจากวัสดุที่มีลักษณะเย็นโดยธรรมชาติ รังสีกดดันแผ่ออกจากตรานั้น แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่วัตถุธรรมดาสามัญทั่วไป ด้านหน้ามีชื่อสลักอยู่ ส่วนด้านหลังก็มีตัวอักษรอยู่สองตัวเช่นกัน


หวังเป่าเล่อไม่ได้มีปัญหาเรื่องตัวอักษรที่ใช้กันในสำนักวังเต๋าไพศาลแต่อย่างใด เนื่องจากภาษานั้นใช้อย่างแพร่หลายที่สหพันธรัฐเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านั้นไม่รู้กันว่า ระบบภาษานี้มีต้นกำเนิดมาจากสำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้นเอง


อย่างไรเสีย กระบวนเวทมากมายที่สหพันธรัฐครอบครองก็ถือกำเนิดมาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณนี้ นอกจากนี้พวกเขายังมีโมเกาจื่อเป็นตัวเชื่อม จึงทำให้หวังเป่าเล่ออ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนตราประจำตัวออก ภาษานั้นเป็นภาษาที่ผู้ฝึกตนทุกคนต้องเรียนรู้ให้ได้อย่างถ่องแท้ เมื่อเริ่มเป็นผู้ฝึกตนใหม่ๆ


“ซุนเยี่ยน แห่งสำนักนอก!” หวังเป่าเล่อถือตราประจำตัวไว้ในมือ ก่อนอ่านอักขระที่ด้านหน้าและด้านหลังตรานั้น


เทา แดง ม่วง ดำ ทั้งสี่สีนี้เป็นสีตราประจำตัวของศิษย์สำนักนอก ศิษย์สำนักใน ศิษย์สืบทอด และผู้อาวุโส ตามลำดับ ส่วนตราของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นไม่ได้มีสีประจำตัว… หวังเป่าเล่อจำรายละเอียดที่เขียนอยู่บนแผ่นหินรับภารกิจได้ เขามั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองถืออยู่ในมือตอนนี้คือตราประจำตัวของศิษย์จากสำนักนอก มีมูลค่าหนึ่งร้อยแต้มการรบ


ชายหนุ่มวางตรานั้นไว้ข้างกาย ก่อนสำรวจดูสิ่งของในกระเป๋าของซุนเยี่ยนต่อ กระเป๋าของซุนเยี่ยนไม่ได้มีของมากมายนัก และส่วนใหญ่เป็นของที่พังแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีโอสถอยู่มากเช่นกัน ดูเหมือนซุนเยี่ยนจะไม่ใช่ศิษย์สำนักนอกผู้มากทรัพย์


แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม เขาหยิบกระเป๋าคลังเก็บใบที่สองออกมาเปิดดูด้วยความตื่นเต้น ในกระเป๋านั้นมีตราประจำตัวของศิษย์สำนักนอกเช่นกัน รวมถึงขวดโอสถด้วย หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าโอสถนั้นมีฤทธิ์อย่างไร แต่ดูจากขวดแล้วน่าจะมีค่าอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เขาเปิดขวดโอสถออกดู แล้วก็หายใจสะดุดด้วยความตกใจ


โอสถนี้… เพียงแค่ดม พลังปราณในกายข้าก็ปั่นป่วนไปหมดแล้ว นี่มันของล้ำค่าชัดๆ! หวังเป่าเล่อเก็บขวดโอสถด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเปลี่ยนไปสำรวจกระเป๋าใบถัดไป


ชายหนุ่มอุทานเป็นพักๆ เมื่อเห็นสิ่งของในกระเป๋าใบแล้วใบเล่า ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เมื่อมาถึงใบสุดท้าย สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด


ตราประจำตัวและสิ่งของที่อยู่ข้างในกระเป๋าใบนี้แตกต่างจากสามสิบใบก่อนหน้ามากนัก ตราของกระเป๋าใบที่สามสิบเอ็ดนี้เป็นสีแดง!


ตราประจำตัวของศิษย์สำนักใน!


หวังเป่าเล่อพยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ก่อนค่อยๆ สำรวจดูสิ่งของภายในกระเป๋าของศิษย์สำนักในอย่างละเอียด เขาเจอศิลาสีขาวหลายพันก้อนที่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าใช้ทำอะไร นอกจากนี้ยังมีเหรียญทองแดงอยู่ห้าเหรียญ!


เหรียญทองแดงแต่ละเหรียญมีขนาดเท่าฝ่ามือเขา ด้านหนึ่งมีรูปปีศาจร้ายน่ากลัวสลักอยู่ ส่วนอีกด้านเป็นตัวอักษรจารึก…


“วิญญาณแห่งขุนเขา เทพเจ้าแห่งสายฟ้า จงสังหารผีสางวิญญาณเหล่านี้ให้คุกเข่ายอมจำนน ทำลายปีศาจร้ายและปัดเป่าทมิฬมารให้สิ้นซาก ปกป้องเทพไท้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีชีวิตนิรันดร์!”


หวังเป่าเล่อมองเหรียญทองแดงด้วยสายตางุนงง เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเหรียญพวกนี้มีไว้ทำสิ่งใด แต่ก็สัมผัสได้ถึงไอของสมบัติเวทที่เอ่อล้นออกมา ชายหนุ่มวางเหรียญทั้งห้าไว้ข้างกาย ตั้งใจว่าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อกลับไปถึงสำนัก


นอกจากนี้ยังมีสิ่งของอื่นๆ มากมายอยู่ในกระเป๋า สิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบออกมาคือแผ่นหยกสีขาวที่เตะตาเขาเป็นอันมาก ชายหนุ่มส่งจิตสัมผัสวิญญาณออกจากกายเพื่อสำรวจดูแผ่นหยกสีขาวนี้ และแทบต้องหยุดหายใจ เขาหยิบเหรียญทองแดงข้างกายขึ้นมาอีกครั้ง และหันกลับไปจ้องแผ่นหยกเขม็ง ไม่นานนักก็พึมพำออกมา


“ขุนพลอักขระเวทโบราณหรือ”


แผ่นหยกนั้นบันทึกวิธีการหลอมและควบคุมขุนพลอักขระเวทโบราณ อันเป็นสมบัติเวทชนิดพิเศษที่ทรงพลังพอสมควร เหรียญทองแดงทั้งห้าคือขุนพลอักขระเวทโบราณประเภทหนึ่ง


หลังจากที่อ่านอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็รับรู้ได้ว่า ความรู้ที่บันทึกอยู่ในแผ่นหยกนั้นมากมายมหาศาลจนไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ภายในชั่วอึดใจ เขาวางแผ่นหยกลงด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบต่อไปขึ้นมาสำรวจดู หลังจากที่ค้นกระเป๋าครบหมดแล้ว เขาก็มองสิ่งของที่เก็บกลับมาได้ตรงหน้า หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น


หากนับเพียงตราประจำตัวที่เก็บมาได้ ตราของศิษย์สำนักนอกสามสิบแปดตราและตราของศิษย์สำนักในหนึ่งตรานั้นหมายถึงแต้มการรบจำนวนมาก นอกจากนี้เขายังเจอโอสถมากมายหลายชนิด รวมถึงสมบัติเวทที่สภาพไม่สมบูรณ์อีกด้วย เนื่องจากยังไม่ได้นำไปตีราคาจึงยังบอกมูลค่าของสิ่งของเหล่านี้ไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าของทั้งหมดนี้จะแลกเปลี่ยนเป็นแต้มการรบจำนวนมากได้เช่นกัน


ภารกิจของหวังเป่าเล่อที่ตัวกระบี่รอบนี้ทำกำไรให้เขามากโข อันจะนำมาซึ่งความอิจฉาริษยาเป็นแน่หากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูใคร


แถมยังมีโอสถที่หน้าตาเหมือนโอสถจักรวาลอีก…


นี่ยังไม่รวมถึง… ตราประจำตัวสีม่วงที่เขาเห็น! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายแรงกล้า ขณะคิดถึงตรานั้น เขาไม่มีทางลืมได้เลยว่าอาการบาดเจ็บทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร มันเป็นเพราะว่าเขาตกใจที่เห็นตราประจำตัวสีม่วงนั้นอยู่ตรงหน้า จึงหนีออกมาไม่ทันท่วงที!


สีม่วงคือสีประจำตัวศิษย์สืบทอด มีมูลค่าสองหมื่นแต้มการรบ!


หวังเป่าเล่อไม่ลืมเช่นกันว่าบนยอดเขานั้นมีตำหนักที่สภาพสมบูรณ์ครบถ้วนตั้งอยู่ นอกจากนี้ยังมี… ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำที่พักบนจุดสูงสุดของยอดเขา!


หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ภูเขานั้น… ต้องเป็นถ้ำที่พักของศิษย์สืบทอดจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงเป็นแน่!


ถ้ำที่พักซึ่งเป็นของศิษย์สืบทอดที่ยังไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน แค่คิดว่าสิ่งของในถ้ำนั้นมีมูลค่าเท่าใด ดวงตาของชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความปรารถนา


บทที่ 522 ขึ้นเงิน!

Ink Stone_Fantasy

กระเป๋าคลังเก็บของศิษย์สำนักนอกว่ามีสิ่งของเยอะแล้ว แต่กระเป๋าของศิษย์สำนักในกลับมีเยอะกว่านั้น หากตรรกะนี้ถูกต้อง แปลว่ากระเป๋าของศิษย์สืบทอดในถ้ำที่พักนั้นจะต้องเป็นหีบสมบัติเลยทีเดียว! ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกาย หัวใจเต้นเร็วด้วยความตื่นเต้น เขาสังเกตว่าแม้จะเจอสิ่งของมีค่ามากมายในกระเป๋าเหล่านี้ แต่กลับไม่มีกระบวนเวทอยู่เลยแม้แต่วิชาเดียว


หวังเป่าเล่อตกใจกับเรื่องนี้เป็นอันมาก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และสรุปได้เพียงว่ากระเป๋าคลังเก็บที่เขาได้มานั้นเป็นของศิษย์ที่มีระดับไม่สูงนักจึงไม่มีกระบวนเวทไว้ในครอบครอง แต่ข้อสรุปนั้นก็ดูไม่สมเหตุสมผลเพียงพอ


ศิษย์สืบทอดต้องมีกระบวนเวทติดตัวอยู่เป็นแน่ หากไม่มีแปลว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว… ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ก่อนสลัดความคิดนี้ทิ้งไป กระนั้นเขาก็ยังทำใจปล่อยขุมทรัพย์ที่ตนเองเจอบนยอดเขาไปไม่ได้ เขารู้ดีว่าดินแดนตรงตัวกระบี่นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นยอดเขาที่ว่าจึงอาจเปลี่ยนที่ไปได้ทุกเมื่อ หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเสียดายเป็นอันมาก เขาอาจหายอดเขานั้นไม่เจออีกแล้วในอนาคต หวังเป่าเล่อทนไม่ได้หากทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นจะหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดเมื่อคิดถึงคำสาปอันทรงพลังที่ปกป้องยอดเขาเอาไว้ ความรู้สึกเหมือนไร้ทางสู้นี้ ทำให้เขาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า


อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดูเหมือนว่าข้าคงจะไม่มีบุญได้ของเหล่านั้นมาครอบครอง… เขาถอนใจอีกครั้ง ก่อนสำรวจอาการบาดเจ็บตนเองเพื่อยืนยันว่าการรักษาเป็นไปได้ด้วยดี จากนั้นเขาก็ออกจากเกาะร้างเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล


อย่างน้อยของที่ข้าได้มาก็ถือว่าไม่เลว เขาเริ่มปลอบใจตนเองขณะเดินทางกลับ หวังเป่าเล่อเดินหน้าเข้าสูงจุดเคลื่อนย้ายห้าครั้ง จนกลับมาถึงสำนักในที่สุด


ขากลับนั้นเป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีอันตรายใดๆ อารมณ์ของหวังเป่าเล่อดีขึ้นเมื่อเห็นเกาะสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่ตรงหน้า เขาเดินหน้าเร็วขึ้นอีกจนร่างทั้งร่างกลายเป็นลำแสงที่พุ่งตรงเข้าไปในสำนักวังเต๋าไพศาลทันที


ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะกลับไปที่เกาะเพลิงเขียวก่อน แต่ก็ตระหนักได้ว่าต้องนำสิ่งของมากมายในกระเป๋าไปตีราคา ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจมาที่เกาะสำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อเริ่มกังวลเรื่องกระบวนการการตีราคา เนื่องจากทรัพย์สินจำนวนมากอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นผู้ผิดได้ หากจากการประเมิน สิ่งที่เขามีไม่ได้มีค่ามากมายเขาคงไม่กังวลใจนัก แต่ถ้าในบรรดาของที่หามาได้นี้มีสิ่งล้ำค่าติดมาด้วย ชายหนุ่มคงไม่วายตกอยู่ในอันตรายแน่นอน


ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้เรียกตัวใครมาช่วยตีราคาสิ่งของในทันที หากแต่มุ่งหน้าไปที่หอตำราเพื่อสืบค้นดูด้วยตนเองก่อน แม้จะไม่ได้เป็นทางเลือกที่ดีเท่าการให้ผู้เชี่ยวชาญมาตีราคาให้ แต่ก็เป็นการแก้สถานการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เขานึกออกในตอนนี้


ชายหนุ่มใช้เวลาหมกตัวอยู่ในหอตำราสองสัปดาห์ ดวงตาเต็มไปด้วยความปีติและตื่นเต้นขณะกำลังเดินออกจากหอ แม้เขาจะไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าโอสถที่วิญญาณเด็กทั้งเจ็ดมอบให้นั้นมีไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ แต่หลังจากที่ลองตรวจค้นวัตถุดิบดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่า โอสถนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นโอสถจักรวาล!


ข้าต้องเก็บไว้กับตัว มันน่าจะเป็นโอสถเสริมกำลังที่ดีที่สุดในการบรรลุขั้นปราณจากกำเนิดแก่นในไปเป็นจุติวิญญาณ!


ส่วนขุนพลอักขระเวทโบราณนั้น… เหรียญทองแดงทั้งห้าคือขุนพลจริงๆ เสียด้วย แม้จะไม่มีข้อมูลบันทึกเรื่องนี้เอาไว้มาก แต่จากที่อ่านดูในแผ่นหยกสีขาวในกระเป๋าศิษย์สำนักใน หากข้าปลดปล่อยพลังของทั้งห้าเหรียญออกมาได้ ขุนพลแต่ละตนจะมีปราณเทียบเท่าขั้นจุติวิญญาณเลยทีเดียว! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากที่สุด เขาตั้งใจว่าจะต้องศึกษาเรื่องขุนพลอักขระเวทโบราณในเบื้องลึกให้ได้


นอกจากนี้ชายหนุ่มยังอ่านเรื่องอื่นมาด้วยเช่นกัน เขาตัดสินใจว่าจะไม่บอกใครเกี่ยวกับทรัพย์สินที่หามาได้นี้ หวังเป่าเล่ออ่านเรื่องโอสถหลายชนิดมาคร่าวๆ เขาไม่แน่ใจว่าโอสถส่วนมากมีไว้ใช้ทำอะไร แต่มีสามขวดที่แน่ใจว่าเป็นโอสถสะกดปราณ ที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในดูดซึมได้!


โอสถเม็ดหนึ่งมีราคาราวสองพันแต้มการรบ และใช้ได้ผลเป็นอย่างดีกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน หวังเป่าเล่ออ่านมาจากหนังสือสักเล่มว่าหากกินโอสถสะกดปราณนี้พร้อมโอสถชนิดอื่นเพื่อสะกดผลข้างเคียง จะช่วยรักษาร่างกายให้ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในได้มากทีเดียว


เมื่อคำนวณดูแล้ว เขาพบว่าตอนนี้ตนมีโอสถสะกดปราณราวหกเม็ดอยู่ในครอบครอง ชายหนุ่มกดความต้องการที่จะนำตราประจำตัวไปขึ้นเงินเอาไว้ในใจ ก่อนจะออกจากเกาะสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยไฟแรงกล้า


ยังไม่จำเป็นต้องรีบแลกแต้มในตอนนี้ ข้าเพิ่งกลับมาถึงเอง ควรจัดการเรื่องส่วนตัวสักพักก่อน แล้วค่อยไปขึ้นเงินหลังจากนี้ก็ยังได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็รีบออกจากเกาะหลักเพื่อกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว


ไม่นานนักภาพของเกาะเพลิงเขียวก็เข้ามาอยู่ในระยะสายตา เมื่อหวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณเข้มข้นที่แผ่ออกจากเกาะของเขา หัวใจก็เอ่อท้นด้วยความสุข เขากลับไปยังถ้ำที่พักของตนเองทันที ก่อนจะปลุกพลังของวงแหวนปราณขึ้นและปิดประตูสนิท หวังเป่าเล่อเข้าไปยังห้องที่เอาไว้ใช้ถือสันโดษ ก่อนหยิบเหรียญทองแดงห้าเหรียญออกมา


ขณะที่กำลังพิจารณาเหรียญทองแดง ประกายประหลาดก็ฉายวาบออกจากแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาหยิบแผ่นหยกที่บันทึกเรื่องราวของขุนพลอักขระเวทโบราณออกมาศึกษาดู สามวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็วางแผ่นหยกลงพร้อมอาการปวดศีรษะตุบ เขาไม่คุ้นเคยกับข้อมูลของขุนพลเหล่านี้ จึงทำให้ต้องใช้เวลาศึกษาอยู่พักใหญ่


ขุนพลอักขระเวทโบราณมีสามรูปแบบการใช้งานด้วยกัน อย่างแรกคือใช้เป็นสมบัติเวท อย่างที่สองคือเปลี่ยนเป็นทหารเอาไว้ช่วยในการรบแบบเดียวกับหุ่นเชิด อย่างสุดท้ายคือ… รวมขุนพลทุกตนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างวงแหวนปราณที่มีพลานุภาพมหาศาล!


ต้องใช้เหรียญทองแดงครบทั้งห้าเพื่อสร้างวงแหวนปราณที่สมบูรณ์ หวังเป่าเล่อก้มหน้าลงมองเหรียญทองแดง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความปรารถนา แต่สามวันที่ผ่านมาเขาพยายามหลายต่อหลายครั้งเพื่อปลุกอำนาจของเหรียญทองแดงดู ทว่าก็ไม่เป็นผล อย่างมากก็ทำให้เหรียญหนึ่งเหรียญบินวนรอบกายเหมือนสมบัติเวทเท่านั้น


นี่ไม่ใช่เพราะขั้นปราณของชายหนุ่มไม่สูงพอ แต่เป็นเพราะเขายังไม่เข้าใจธรรมชาติของขุนพลอักขระเวทโบราณอย่างถ่องแท้ แผ่นหยกนี้ระบุไว้ชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกคนจะปลุกพลังอำนาจของขุนพลได้ ต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์และความเชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างเพียงพอเท่านั้น


ต่อให้ข้าควบคุมพลังรูปแบบแรกได้ พลังของมันก็ยัง… หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาใช้ผนึกฝ่ามือเพื่อปลุกเหรียญให้เหาะขึ้นมา ก่อนชะลอตัวลงและบินวนรอบกายเขา ชายหนุ่มโบกมือขวาเพื่อเรียกหุ่นเชิดออกมายืนอยู่เบื้องหน้า ดวงตาของหุ่นเชิดทอแสงวาบ ก่อนพุ่งหมัดตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ


ทันทีที่หมัดนั้นเข้ามาใกล้ เหรียญทองแดงก็บินตรงเข้าไปพยายามสกัดหมัดทันที พวกมันปะทะกัน แสงสายฟ้าสว่างวาบออกจากเหรียญ หุ่นเชิดตัวสั่นเทาก่อนแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและมลายกลายเป็นผุยผงในทันที


ภาพนั้นทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นแรง เขามองเหรียญทองแดงเบื้องหน้า ดวงตาร้อนผ่าวแดงก่ำ เขาคาดหวังว่าวันหนึ่งตนเองจะควบคุมขุนพลอักขระเวทโบราณได้ทุกรูปแบบ และใช้พลังอำนาจของมันได้อย่างเต็มที่


ในยามที่ข้าเข้าใจขุนพลอักขระเวทโบราณมากขึ้น ข้าก็จะควบคุมเหรียญได้ครบทั้งห้าเหรียญ เมื่อนั้นข้าก็จะปลุกพลังแบบที่สองและสามของมันได้! แม้ตอนนี้จะยังรู้สึกผิดหวังที่ทำไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพอใจในตนเองอยู่พอตัว เขารู้ว่าเรื่องเช่นนี้เร่งรีบกันไม่ได้ ชายหนุ่มเก็บเหรียญกลับไปก่อนหยิบโอสถสะกดปราณออกมาแทน เขามองมันอยู่ชั่วครู่ ก่อนหยิบมากลืนลงไปหนึ่งเม็ด


จากข้อมูลที่อ่านมา โอสถสะกดปราณนี้มีฤทธิ์เยียวยาที่ทรงพลัง โดยปกติแล้วมักใช้ตัวยานี้คู่กับของเหลววิญญาณบางประเภทเพื่อความปลอดภัย แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจ เขาเคยกินโอสถที่ใช้สำหรับผู้มีปราณขั้นจุติวิญญาณเข้าไปแต่ก็รอดมาได้ แค่โอสถสำหรับผู้มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในย่อมไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาแน่นอน แล้วก็เป็นจริงเสียด้วย ฤทธิ์ยาอาจทำให้คนอื่นเสียศูนย์ แต่หวังเป่าเล่อมีร่างกายแข็งแกร่งทนทาน มีแก่นในแห่งความมืดและแก่นในอัสนีอยู่ในตัว ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีระเบิดความร้อนปะทุอยู่ในกายทันทีที่ยาตกถึงท้อง แต่พลังงานมหาศาลนั้นก็ดูดซึมเข้าร่างของเขาไปอย่างรวดเร็ว


สิ่งที่ตามมาคือความก้าวหน้าเล็กน้อยในขั้นปราณ หลายชั่วโมงหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง และรู้สึกได้ว่าขั้นปราณของตนพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน


ชายหนุ่มรีบกลืนยาเม็ดที่สองและสามด้วยความตื่นเต้น สองวันต่อมา ตอนที่หวังเป่าเล่อดูดซึมยาเม็ดสุดท้ายเข้าไปเรียบร้อย ระเบิดสายฟ้าก็ดังกึกก้องสะท้อนออกจากเนื้อตัว สายฟ้าที่เป็นผลจากการฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างรอบกาย และทวีความทรงพลังขึ้นอีก สายฟ้านั้นเลื้อยเกี่ยวทั่วร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มดูเหมือนสร้างด้วยสายฟ้า อันเป็นภาพที่ตื่นตกใจอย่างยิ่ง


ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็บรรลุปราณกำเนิดแก่นในขั้นต้นชั้นสมบูรณ์ อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะก้าวไปสู่ขั้นกลาง!


พัฒนาการอันรวดเร็วเช่นนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยในสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อบรรลุปราณจากขั้นรากฐานตั้งมั่นมาเป็นขั้นกำเนิดแก่นในในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ชายหนุ่มชื่นชมความก้าวหน้าของตนเองอย่างมาก  ก่อนจะถอนหายใจยาว


ข้าเชื่อมาตลอดว่าตนเองได้รับพรจากเทพีแห่งโชคลาภตอนที่อยู่บนดาวโลก แต่เมื่อข้าไปถึงดาวอังคาร จึงรู้ว่าตนเองนั้นคิดผิดไป ความจริงแล้วเทพีแห่งโชคลาภมอบพรแห่งความเจริญรุ่งเรืองให้ข้าบนดาวอังคารต่างหาก แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าตนเองคิดผิดมาตลอดชีวิต ข้าเป็นบุตรแห่งโชคลาภบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนี้ต่างหากเล่า! ชายหนุ่มกำลังอิ่มเอมใจกับความยอดเยี่ยมของตน เขาหยิบโอสถที่เหลือมาสำรวจดูว่าตนเองกินเม็ดไหนอีกได้บ้าง แต่ก็เหลือบไปเห็นศพหนึ่งในกระเป๋าเสียก่อน อารมณ์ดีของเขาดิ่งวูบลงทันที สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


มีพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเสียชีวิต หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว ก่อนเงียบอยู่เป็นเวลานาน เขาหยิบแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ออกมา คิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจแจ้งข่าวให้ทุกคนในห้องสนทนากลุ่มทราบ


“ถึงสหายเต๋าจากสหพันธรัฐทุกคน ฟางมู่… เสียชีวิตแล้ว ข้าจะเขียนรายงานส่งสหพันธรัฐด้วยตนเอง ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวและรักษาตนให้อยู่รอดปลอดภัยด้วย”


ประกาศของหวังเป่าเล่อทำให้ห้องสนทนากลุ่มที่มีชีวิตชีวาอยู่เสมอเงียบกริบลงด้วยข่าวแห่งความตาย ไม่มีใครพูดคุยกันต่อ เนื่องจากกำลังตกใจกับข่าวร้ายอันไม่คาดคิด ความเงียบงันเข้าเกาะกุมจิตใจและร่างกายของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคน


บทที่ 523 กลุ่มคนหน้าตาดีขั้นเทพ!

Ink Stone_Fantasy

การที่ศิษย์ร้อยคนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐได้ แปลว่าพวกเขาแข็งแกร่งกว่าใครหลายๆ คนทั้งในด้านจิตใจและอารมณ์ ไม่มีใครฟูมฟายเรื่องความตายของฟางมู่ ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดีกับภารกิจในครั้งนี้ การจากไปของฟางมู่เป็นเครื่องเตือนใจให้พวกเขาระวังตัวมากขึ้นไปอีก


แม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไร เขาไม่ได้รู้จักฟางมู่ดีขนาดนั้น ทั้งยังพบเจอความตายมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้ชายหนุ่มจะยังไม่ตายด้าน แต่ก็เข้าใจดีว่าความตายคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้บนเส้นทางของการฝึกตน


เส้นทางแห่งการฝึกตนนั้นยาวไกลและเต็มไปด้วยขวากหนาม ความตายย่อมมาเยือนไม่ช้าก็เร็ว ในเมื่อหวังเป่าเล่อเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองแล้ว เขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะปลงกับธรรมชาติของทางที่ตนเองก้าวเดิน


แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่ได้รับผลกระทบจากความตายของฟางมู่ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น


หากคนที่เสียชีวิตในคราวนี้เป็นจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง หรือแม้กระทั่งกงเต๋า หวังเป่าเล่อคงโศกเศร้ามากกว่านี้หลายเท่า ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงส่งข้อความแยกไปหาสหายทั้งสาม เพื่อเตือนให้พวกเขาระวังตัวด้วย จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงปลอดภัยดี เนื่องจากไม่ได้ออกจากเกาะที่ตัวเองถูกส่งไปประจำการเลย แต่กงเต๋ากำลังออกปฏิบัติภารกิจกับผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เขาผูกมิตรด้วย เมื่อได้รับข้อความของหวังเป่าเล่อ กงเต๋าก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีก


แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กังวลเรื่องกงเต๋ามากนัก เนื่องจากรู้ดีว่าชายหนุ่มเกิดในทะเลอสูร และยังไปใช้ชีวิตอยู่ที่ดาวอังคารตั้งแต่เมื่อยังเป็นเด็กไม่ประสา และรอดชีวิตมาได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง กงเต๋ามีสัญชาตญาณและความสามารถในการเอาตัวรอดที่คนอื่นไม่มี นอกจากนี้ยังเป็นคนอำมหิต ที่ก่อนหน้านี้ความโหดเหี้ยมของกงเต๋าดูไม่โดดเด่นเป็นเพราะถูกหวังเป่าเล่อบดบังเท่านั้นเอง


ความจริงแล้วหวังเป่าเล่อประเมินไว้ว่า ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่จะบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในคนต่อไป น่าจะเป็นกงเต๋า หรือไม่ก็เจ้าเยี่ยเหมิง!


ในที่สุดจิตใจของชายหนุ่มก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง หลังจากแจ้งข่าวเรื่องการจากไปของฟางมู่ให้ทุกคนทราบ เขาจัดข้าวของที่เพิ่งได้มาให้เข้าที่ ใจไม่วายวนเวียนกลับไปหาตราประจำตัวสีม่วงที่ได้เห็นก่อนหน้าในถ้ำบนยอดเขาต้องสาป


ตราประจำตัวของศิษย์สืบทอด มูลค่าสองหมื่นแต้มการรบ! ความปรารถนาและความโลภเข้าเกาะกุมจิตใจของเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มคิดอยู่นาน นับแต้มเกือบแปดพันแต้มที่ตนเองมีอยู่ในตอนนี้ ดวงตาแรงกล้าด้วยความมุ่งมั่น


ข้าต้องออกไปทำภารกิจอีกครั้ง ยังยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องนำโอสถเยียวยาติดตัวไปเยอะๆ! เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็หยิบตราประจำตัวที่เขาสะสมเอาไว้ออกมา แววตาเป็นประกาย เขาติดต่อหาเซี่ยไห่หยางเพื่อสอบถามราคาโอสถเยียวยา ก่อนจะวนเข้าเรื่องการนำตราประจำตัวไปขึ้นเงิน


“ตราประจำตัวน่ะหรือ หากเป็นตราของศิษย์สืบทอด ทางสำนักจะต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นของศิษย์สำนักนอกก็ไม่มีใครสนใจหรอก ข้าจำได้ว่าจำนวนสูงสุดที่มีคนเคยส่งมอบนั้นมากกว่าแปดสิบตราเลยทีเดียว


“และสำนักจะต้องใส่ใจแน่ หากมีใครส่งมอบตราของศิษย์สำนักในเกินสิบตรา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมักส่งแยกเป็นรอบๆ เอา เพื่อให้ไม่เกิดเรื่อง นั่นเพราะ… ทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ด้วยกันทั้งนั้น”


เซี่ยไห่หยางเป็นพ่อค้าที่มีจิตหยั่งรู้แม่นยำราวเทพเจ้า เขาเดาได้ทันทีเมื่อหวังเป่าเล่อถามเรื่องนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่ตนเองเคยทำงานร่วมกับหวังเป่าเล่อมามากมาย และตัดสินใจบอกสิ่งที่ตนเองรู้กับอีกฝ่าย


ท้ายที่สุดแล้ว เซี่ยไห่หยางก็หัวเราะออกมา ก่อนเสนอให้หวังเป่าเล่อนำตราประจำตัวที่หามาได้มาแลกโอสถและสิ่งอื่นๆ ที่มูลค่าพอกันได้ที่เขา เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ


หวังเป่าเล่อวางสายหลังจากที่ได้ยินข้อเสนอนั้น ก่อนโทรหาอวิ๋นเพียวจื่อต่อหลังจากนั่งคิดอยู่สักพัก อวิ๋นเพียวจื่อรู้สึกเหมือนตนเองยังติดหนี้หวังเป่าเล่ออยู่ จึงบอกข้อมูลที่ตนรู้ให้ชายหนุ่มฟังเช่นกัน ข้อมูลนั้นตรงกับสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดไม่มีผิด


ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเบาใจลง เขาลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากถ้ำที่พักของตนเอง มุ่งหน้าไปยังแผ่นหินรับภารกิจบนเกาะสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง เพื่อนำตราประจำตัวไปแลกแต้ม


ลานรับภารกิจยังคลาคล่ำด้วยผู้คนเหมือนเช่นเคย สำนักวังเต๋าไพศาลจัดการออกแบบวิธีการแลกแต้มให้มีความเป็นส่วนตัวสูงสุด ไม่มีใครรู้ว่าผู้อื่นแลกแต้มการรบไปเท่าใดนอกจากผู้ที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง


หวังเป่าเล่อรออยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปแลกตราประจำตัวศิษย์สำนักนอกสิบห้าตรา เป็นแต้มหนึ่งพันห้าร้อยแต้ม หลังจากรออีกสักพัก เขาก็เดินเข้าไปแลกอีกสิบห้าตรา และได้แต้มการรบสามพันแต้มมาครองในที่สุด ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปแลกต่อ แต่ออกมาเสียก่อนพร้อมส่งข้อความไปขอบคุณเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อแลกตราที่เหลือเป็นโอสถจำนวนมากกับเซี่ยไห่หยาง รวมถึงตราประจำตัวของศิษย์สำนักในด้วย


หวังเป่าเล่าแลกเปลี่ยนไปราวสองพันแต้มกับการนี้ ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่มีมูลค่ามากสำหรับเซี่ยไห่หยาง ด้วยเหตุนี้เซี่ยไห่หยางจึงใจดีกับหวังเป่าเล่อเป็นพิเศษ และยังมอบส่วนลดให้ด้วย


เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ หวังเป่าเล่อมีแต้มการรบเหลืออยู่มากกว่าหมื่นแต้ม แถมมีสิ่งของอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เอาไปแลกด้วย นอกจากนี้เขายังมีเรือวิญญาณที่กำลังเอาออกขายทอดตลาด อวิ๋นเพียวจื่อบอกชายหนุ่มว่าขณะนี้กำลังปิดการขายเรื่องเรือวิญญาณ และจะแจ้งผลให้เขาทราบในเร็ววัน


หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมากกับสินทรัพย์ที่ตนเองมีหลังจากที่คำนวณทุกสิ่งเสร็จเรียบร้อย


ข้ารวยเอาเรื่องโดยไม่รู้ตัวเลยนะนี่! หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ อารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น เขาตั้งใจว่าจะยังไม่ส่งกระบวนเวทกลับสหพันธรัฐ แต่จะหาแต้มการรบให้ได้มากกว่านี้ก่อน และส่งทั้งหมดกลับไปในคราวเดียว วิธีการนี้น่าจะทำให้สหพันธรัฐทึ่งกับความยอดเยี่ยมของเขามากกว่า


แรงกระเพื่อมทางสังคมนี้จะช่วยปูทางให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นประธานสหพันธรัฐคนใหม่ได้ง่ายขึ้น


ดูเหมือนข้าจะต้องกลับไปเยี่ยมตัวกระบี่อีกแล้ว เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตั้งตัวได้! หวังเป่าเล่อยืนยันกับตนเอง ก่อนหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา ตั้งใจว่าจะหาสมาชิกร่วมการเดินทางเพิ่ม


ชายหนุ่มรู้ดีว่าลำพังตัวเขาคนเดียวไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ เขาต้องร่วมมือกับสหายที่ไว้ใจได้ และมีความสามารถมากพอ จึงจะได้ผลตอบแทนมากที่สุดจากดินแดนบริเวณตัวกระบี่ที่อันตรายยิ่ง!


เขาไม่ต้องนั่งคิดเลยว่าใครที่ทั้งไว้ใจได้และมีความสามารถ ชายหนุ่มโทรหาเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นคนแรกในทันที


เจ้าเยี่ยเหมิงตีตนออกห่างหวังเป่าเล่อตั้งแต่เจอกันบนดาวพุธ แต่นางก็ยังต้านทานความเซ้าซี้ของชายหนุ่มไม่ไหว หวังเป่าเล่อเล่าเรื่องขุมทรัพย์ที่เขาไปเจอมาที่ตัวกระบี่ รวมถึงเรื่องถ้ำที่พักบนยอดเขาให้นางฟัง แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะเป็นคนใจเย็นเหมือนน้ำแข็ง แต่ก็ยังแสดงความตื่นเต้นออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง


“ถ้ำที่พักของศิษย์สืบทอดที่ยังไม่เคยมีใครเจอมาก่อนหรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงคงไม่เชื่อแน่นอนหากคนที่นำข่าวมาบอกนางเป็นคนอื่น แต่นี่เป็นหวังเป่าเล่อ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก นางก็ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกลุ่มทำภารกิจกับเขา


คำสาปนั้นเป็นวงแหวนปราณชนิดหนึ่ง พรสวรรค์ด้านวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงน่าจะช่วยในการทลายคำสาปได้มาก ข้ายังต้องการคนมาช่วยระวังหลังอีกหนึ่งคน… หวังเป่าเล่อโทรหาจั่วอี้ฟานในทันที แม้เขาจะรู้ว่าพลังปราณของจั่วอี้ฟานยังแข็งแกร่งไม่พอ แต่ความเชื่อใจได้สำคัญกว่าขั้นปราณมากนัก


จั่วอี้ฟานตอบรับข้อเสนอของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย พวกเขาตกลงเวลาที่จะนัดเจอกัน หลังจากคิดอยู่อีกสักพัก หวังเป่าเล่อก็ติดต่อกงเต๋าไปด้วยเช่นกัน


ทว่าน่าเสียดายที่กงเต๋าอยู่นอกพื้นที่รับสัญญาณของเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ จึงทำให้เขาติดต่อชายหนุ่มไม่ได้ ดูเหมือนว่าพิกัดที่กงเต๋าอยู่ในปัจจุบันจะห่างจากหวังเป่าเล่อมาก


ช่วยไม่ได้ สามคนก็เพียงพอแล้ว! หวังเป่าเล่อวางแผ่นหยกสื่อสารลง เขาคิดอยู่อีกสักพักก่อนจะโอนแต้มการรบสองพันแต้มให้เจ้าเยี่ยเหมิง


“เยี่ยเหมิง เราต้องแก้ปัญหาเรื่องวงแหวนปราณกัน เจ้าช่วยไปหาข้อมูลและเตรียมสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มาได้หรือไม่”


เจ้าเยี่ยเหมิงใช้แต้มการรบที่ได้มาอย่างไม่ออมมือ นางเริ่มตระเตรียมสิ่งที่ต้องทำในทันที หวังเป่าเล่อไม่ได้ส่งแต้มการรบให้จั่วอี้ฟาน แต่ส่งโอสถที่ตนเองหามาได้ไปให้แทน เขาบอกจั่วอี้ฟานว่าโอสถแต่ละชนิดเอาไว้ทำอะไรบ้าง ก่อนกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว เพื่อเฝ้ารอวันที่พวกเขานัดออกเดินทางกัน


ไม่นานนักห้าวันก็ผ่านไป วันที่พวกเขาต้องมาพบกันก็มาถึง ในห้าวันที่ผ่านมานี้ หวังเป่าเล่อฝึกปราณอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายและพลังปราณของตนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้เขายังคำนวณแต้มการรบทั้งหมดที่ตนเองใช้ในการปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย


ค่าโอสถสองพันแต้ม และค่าเตรียมตัวของเจ้าเยี่ยเหมิงอีกสองพันแต้ม นอกจากนี้ยังมีค่าเคลื่อนย้ายอีกสามพันแต้มสำหรับสามคน รวมแล้วเขาใช้แต้มการรบไปทั้งหมดเจ็ดพันแต้มเพื่อการนี้!


แต่ก็คุ้มค่า เพราะแค่ตราประจำตัวของศิษย์สืบทอดก็มูลค่าสองหมื่นแล้ว นี่ยังไม่รวมสิ่งของอื่นๆ ในถ้ำอีก หวังว่า… ยอดเขาแห่งนั้นจะยังไม่ย้ายที่ไปไหนนะ หวังเป่าเล่อคิดอย่างกระวนกระวาย เขาค้นคว้าหาข้อมูลมากมายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงบริเวณตัวกระบี่อาจเกิดขึ้นภายในสามถึงห้าวัน หรืออาจเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปหลายเดือนก็ได้เช่นกัน


แม้ชายหนุ่มจะนั่งไม่ติด แต่ก็รู้ดีว่ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดทนรออย่างใจเย็น จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างคนต่างเดินทางมาถึงเกาะเพลิงเขียวในเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสามไม่พูดพร่ำทำเพลง พลันพุ่งทะยานออกไปยังจุดเคลื่อนย้ายที่ใกล้ที่สุดทันที


หวังเป่าเล่อจำทางได้ขึ้นใจ เขาเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นอีก ระหว่างทางชายหนุ่มเล่าสิ่งที่ตนเองประสบมาให้เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานฟัง ทั้งสองตกใจมากกับเรื่องที่ได้ยิน และเข้าใจอุปนิสัยความกล้าได้กล้าเสียรวมถึงความใจเด็ดของหวังเป่าเล่อมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังเข้าใจสภาพภูมิประเทศของตัวกระบี่มากขึ้น เนื่องจากทั้งสองไม่เคยไปเยือนมาก่อน


ทั้งสามพูดคุยกันไปตลอดทาง หลังจากที่ผ่านการเคลื่อนย้ายมาครบห้ารอบ พวกเขาก็มาถึง… ชั้นป้องกันที่เชื่อมระหว่างด้ามกระบี่และตัวกระบี่ไว้!


“มาถึงแล้ว ถ้าจะเข้าไปยังตัวกระบี่ต้องเข้าทางนี้ ยอดเขาที่ข้าเจอมาอยู่ห่างไปราวยี่สิบกิโลเมตร หวังว่าจะไม่มีใครมาเจอเราเข้า และยอดเขานั้นจะยังไม่ย้ายที่ไปไหน ไม่เช่นนั้นเราคงต้องออกตามหากันใหม่อีกรอบ!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา จ้องมองไปยังชั้นป้องกันที่กั้นเขตแดนทั้งสองส่วนออกจากกัน


เส้นเขตแดนนั้นดูเหมือนเหวลึกเมื่อมองจากระยะไกล เหวที่ว่าทอดยาวเป็นแนวไปจรดขอบฟ้า ชั้นป้องกันตั้งตระหง่านอยู่เหนือเหว โดยจะเดินเข้าฝั่งตัวกระบี่จากจุดใดของชั้นป้องกันก็ได้ ทำให้หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกกังวลมากนัก หากมีใครรู้ว่าพวกเขาเข้าไปในตัวกระบี่


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)