ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 512-525
ตอนที่ 512 เข้าสู่บ่อเย็น
โดย
Ink Stone_Fantasy
เกิดเสียงดัง “เปาะแปะๆ!”
แท่งน้ำแข็งจำนวนมากโจมตีลงบนร่มคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเพิ่มพลังเวทเข้าไปมากแค่ไหน ร่มคุ้มกันก็มืดลงอย่างรวดเร็ว และเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง
ที่แย่ที่สุดก็คือ แสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากธงค่ายกลเป็นธาตุน้ำ พอมันเผชิญกับแท่งน้ำแข็งที่มีไอเยือกเย็นเช่นนี้ ก็ถูกความเย็นรุกรานจนค่อยๆ เกาะตัวเป็นน้ำแข็งและร่วงลงมา
“เปรี๊ยะ!” ร่มคุ้มกันแตกออกมาราวกับใยแมงมุม
จินอวี้หวนมีหน้าซีดขาวจนถึงขีดสุด
ขณะนั้นเอง แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา ม่านทรายทองคำร่วงปรากฏอยู่ตรงหน้าหญิงสาว และต้านทานการโจมตีของแท่งน้ำแข็งไว้ได้อย่างกระทันหัน
จากนั้นก็มีเงาร่างปรากฏตรงหน้าหญิงสาวในพริบตา พองอนิ้วออกไป ม่านทรายทองคำก็รวมตัวเป็นมือยักษ์สีทอง หลังจากคว้าออกไปติดต่อกันจนกลายเป็นเงา แท่งน้ำแข็งที่เหลือก็ถูกทำลายลง และตกลงมาเป็นสายฝน
“ขอบคุณศิษย์พี่หลิ่ว!”
พอจินอวี้หวนมองเห็นคนตรงหน้า นางก็รีบกล่าวด้วยความดีใจ
หากหลิ่วหมิงมาไม่ทัน ต่อให้นางจะไม่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่ก็คงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
หลิ่วหมิงไม่ได้ตอบอะไรจินอวี้หวน แต่หลังจากเผยแววตาเฉียบขาดออกมาแล้ว ก็กระตุ้นทรายทองคำร่วงต้านทานฝนน้ำแข็ง ขณะเดียวกัน ก็กระตุ้นเคล็ดกระบี่อยู่ไม่หยุด
กระบี่บินสีแดงกลางอากาศพร่ามัวกลายเป็นสายรุ้งอันน่าสะพรึงก่อนที่จะม้วนตัวออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียว ก็มาอยู่เหนือหัวตัวไหมน้ำแข็ง
แสงสีเขียวเปล่งประกายในแววตาของตัวไหมน้ำแข็ง แสงสีขาวในเมฆวารีที่อยู่บนหัวพวยพุ่ง และพุ่งยิงแท่งน้ำแข็งออกไปจำนวนมาก พอมันสัมผัสกับแสงกระบี่สีแดง ก็พากันระเบิดออกมาทันที และเกาะตัวเป็นชั้นน้ำแข็งแวววาวร่วงลงมาต้านทานแสงกระบี่ไว้
“เร็ว!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตะคอกเสียงออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ มือยักษ์ที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วง ก็พร่ามัวคว้าไปทางตัวไหมน้ำแข็งอย่างโหดเหี้ยม
ภายใต้ความตกใจ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกจากจุดสีดำบนตัวปีศาจอสูร และพ่นลำแสงขนาดใหญ่ออกไปรับมือกับมือยักษ์สีทองที่คว้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เพล้ง!” พอมือยักษ์สีทองสัมผัสกับลำแสง มันก็ระเบิดออกมาเป็นแสงสีทอง และลำแสงสีทองจำนวนมากก็พุ่งยิงใส่ตัวไหมน้ำแข็ง
การโจมตีระยะใกล้เช่นนี้ ต่อให้อสูรตัวนี้จะมีเคล็ดวิชาในการป้องกันลึกลับแค่ไหน ก็ต้านทานแสงสีทองได้ชั่วคราวเท่านั้น
“ฟิ้ว!” “ฟู่!” เลือดสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกจากหัวของตัวไหมน้ำแข็ง คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกแทงจนเกิดรูขนาดเท่านิ้วมือสองสามรู
ปีศาจหนอนส่งเสียงร้องแหลมและส่ายหัวอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกัน เมฆวารีบนหัวก็ดูเหมือนจะพวยพุ่งขานรับกัน และไม่อาจรักษาเสถียรภาพไว้ได้
หลิ่วหมิงชี้นิ้วไปกลางอากาศด้วยแววตาเฉียบขาด
เมฆวารีระเบิดออกมา และพายุเย็นสะท้านที่ปะปนไปด้วยผลึกน้ำแข็ง ก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ
กระบี่บินสีแดงกลายเป็นแสงสีแดงพุ่งลงไป หลังจากเปล่งประกายหนึ่งที มันก็ฟันหัวตัวไหมน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ตัวไหมน้ำแข็งตัวแข็งทื่อ ลูกตาสีเขียวแวววาวไร้ซึ่งชีวิตชีวา จากนั้นก็ล้มโครมลงบนพื้น และไม่อาจกระดิกตัวได้อีก
พอหลิ่วหมิงโบกมือ กระบี่บินสีแดงก็แทงทะลุศพของตัวไหมน้ำแข็ง และกระพริบกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
“ในที่สุด…ในที่สุดก็ฆ่าได้แล้ว! ที่ครั้งนี้สามารถฆ่ามันได้ ล้วนเป็นเพราะความสามารถของศิษย์พี่หลิ่ว!” จินอวี้หวนเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด
ตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงลงมือช่วยนาง จนถึงตอนที่สังหารตัวไหมน้ำแข็งอย่างรวดเร็วนั้น ใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น แม้แต่นางก็ยังไม่ทันเข้าไปช่วยด้วยซ้ำ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้ศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้จะลงมือเพียงคนเดียว ก็สามารถจัดการปีศาจหนอนตัวนี้ได้อย่างง่ายดาย
“แม่นางจินเกรงใจเกินไปแล้ว ในเมื่อข้าลงนามสัญญาเวทแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ” หลิ่วหมิงยิ้มออกมาเล็กน้อย พอสะบัดแขนเสื้อ ทรายทองคำร่วงก็ถูกเก็บเข้าไป
จากนั้น เขาก็ก้าวไปข้างศพตัวไหมน้ำแข็ง และคว้ามือผ่านอากาศ
“ฟิ้ว!” แก่นผลึกขนาดเท่ากำปั้นพุ่งออกมาจากศพ และหล่นลงในมือเขา
หลังจากเขามองดูเล็กน้อยแล้ว ก็เก็บมันเข้าไป จากนั้นก็ควักยันต์เก็บของออกมา และปล่อยพลังออกไป
แสงสีขาวเปล่งประกาย!
ร่างขนาดใหญ่สองสามจั้งของตัวไหมน้ำแข็งรวมตัวถึงไหมบริเวณรอบๆ ตัวมันหายไปพร้อมกัน
ไหมน้ำแข็งฝึกฝนอยู่ในบ่อเย็นมานาน และก็เป็นปีศาจหนอนที่พบเจอได้น้อยมาก ศพของมันย่อมเป็นวัสดุชั้นยอด หลิ่วหมิงจึงเก็บมันอย่างไม่เกรงใจ
จินอวี้หวนไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ในเรื่องนี้
เพราะดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะสังหารตัวไหมน้ำแข็งเพียงคนเดียว พอมันตายไป นางก็สามารถไปเอาสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ได้อย่างราบรื่น
“เอาล่ะ! ข้ากับเจ้าจะลงไปในบ่อเย็นตอนนี้หรือไม่?” หลิ่วหมิงหันหน้ามากล่าว
“ยังต้องให้ศิษย์พี่หลิ่วรอสักครู่ ข้าสูญเสียพลังเวทไปมาก จำต้องฟื้นฟูชั่วเวลาหนึ่ง” จินอวี้หวนกล่าวด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อ
“ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็จะฟื้นได้ฟื้นฟูพลังเวทสักหน่อย” หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นเดินไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่ง และหยิบหินจิตวิญญาณสองก้อนออกมาฟื้นฟูพลังเวท
จินอวี้หวนเห็นเช่นนี้ ก็ตาเป็นประกายอยู่สองสามครั้ง หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็หาพื้นที่มุมหนึ่ง นางควักโอสถมาทานหนึ่งเม็ด และเริ่มหลับตาเข้าฌาน
……
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
บริเวณบ่อเย็น หลิ่วหมิงทั้งสองกำลังนั่งอยู่บริเวณนั้นอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านการพักผ่อนไปหนึ่งรอบ สีหน้าสีซีดขาวของนางก็มีเลือดฝาดขึ้นมา ดวงตาของนางดูตื่นเต้นเล็กน้อย
นางสูดหายใจเข้าไปลึกๆ หลังจากระงับอารมณ์ได้แล้ว ก็กระโดดลงไปทันที
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และกระโดดตามนางลงไปในบ่อ
พอเข้าไปในบ่อเย็น เกราะไล่ความเย็นบนตัวก็เปล่งม่านแสงสีแดงจางๆ ออกมา และกั้นน้ำในบ่อไม่ให้โดนตัว
“หนาวจัง!”
ถึงแม้จะมีเกราะไล่ความเย็นป้องกันอยู่ หลิ่วหมิงยังรับรู้ถึงไอเย็นที่เสียดเข้ากระดูก หลังจากที่รู้สึกตัวสั่นระริก เขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬออกมา ไอดำพวยพุ่งรอบตัว และความหนาวเย็นก็ถูกขับออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง
และจินอวี้หวนที่อยู่ในม่านแสงสีแดงตรงหน้าดำลึกลงไปไม่เท่าไหร่ ก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา พอนางรีบทานโอสถสีแดงไปหนึ่งเม็ด สีหน้าถึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปกันเถอะ!” นางหันมาฝืนยิ้มและชี้ไปด้านหน้า
ทั้งสองกระตุ้นพลังเวท และดำลงไปใต้บ่อทันที
ทั้งสองยิ่งดำลึกลงไป น้ำในบ่อก็ยิ่งเย็นจัดมากขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วหมิงอาศัยพลังเวทอันหนาแน่นกับกายเนื้ออันแข็งแกร่ง จึงพอที่จะต้านทานไว้ได้
จินอวี้หวนทานโอสถติดต่อกันหลายเม็ด และนำยันต์ออกมาไม่น้อย แต่ก็ยังหนาวจนปากสั่น
ทั้งสองยิ่งดำลึกลงไปเรื่อยๆ ไอเย็นในบ่อก็ยิ่งเย็นจัดอย่างแปลกประหลาด
ไอเย็นในบ่อถักทอเป็นรูปตาข่าย และปะทะใส่ทั้งสองอยู่ตลอดเวลา ความเย็นเสียดกระดูกนี้ราวกับจะกลืนกินคนได้
หลังจากดำลึกลงไปสามสิบจั้ง ความหนาแน่นของไอเย็นก็มากกว่าตอนที่กระโดดลงมาหนึ่งเท่ากว่าๆ
เห็นได้ชัดว่าจินอวี้หวนเริ่มจะต้านทานไม่ไหวแล้ว ทันทีที่นางตบลงบนเอว มุกกลมๆ สีแดงเม็ดหนึ่งก็ลอยออกมา
มือทั้งสองของนางกระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างรวดเร็ว ลวดลายสีแดงเปล่งประกายบนผิวมุก และปล่อยแสงทรงกลดสีแดงจางๆ ออกมา ทั้งยังแผ่ไออบอุ่นออกมาด้วย
พอมุกค่อยๆ ลอยมาขึ้นมาถึงบริเวณหน้าอก นางก็รับรู้ได้ถึงไออุ่น ทำให้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็ดำลงไปต่อ
แต่พอดำลึกลงไปห้าสิบจั้ง แม้จะมีมุกอัคคีป้องกันอยู่บริเวณหน้าอก แต่จินอวี้หวนยังคงไม่อาจแบกรับไอเย็นแปลกประหลาดนี้ได้ สีหน้าจึงดูซีดขาวมากยิ่งขึ้น
ส่วนหลิ่วหมิงเดิมทีก็ฝึกฝนวิชาหยินอยู่แล้ว จึงพอจะมีความต้านทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นเล็กน้อย บวกกับพลังเวทอันบริสุทธิ์และกายเนื้อที่แข็งแกร่ง จึงไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด
พอทั้งสองดำลึกลงไปถึงหกสิบกว่าจั้ง สีหน้าของจินอวี้หวนก็เขียวคล้ำขึ้นมา มีน้ำค้างแข็งเกราะอยู่บนแขนขาอย่างชัดเจน ร่างกายค่อยๆ แข็งขึ้นมา ดูเหมือนจะเลยขีดจำกัดของร่างกายแล้ว หากยังฝืนดำลึกลงไปจนไอเย็นเข้าร่างล่ะก็ อย่างเบาก็จะป่วยหนัก และระดับการฝึกฝนลดลง อย่างหนักก็อาจจะเสียชีวิตเลยก็ได้
หลิ่วหมิงมองนางทีหนึ่ง แต่เห็นว่านางไม่มีความคิดที่จะถอยกลับไปเลย ยังคงดำลึกลงไปอย่างเด็ดเดี่ยว
หญิงสาวผู้นี้มีความมุ่งมั่นมาก มันทำให้เขารู้สึกนับถือโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็ค่อยๆ ขยับตัวไปอยู่ข้างๆ นาง พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมา และกระบี่บินสีแดงก็หล่นลงบนมือ
เขาใส่พลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่บิน และดีดนิ้วทั้งสิบออกไปเบาๆ จากนั้นกระบี่บินสีแดงก็ลอยอยู่ด้านหลังของหญิงสาว
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา กระบี่บินก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ในน้ำ ลวดลายค่ายกลสีแดงทั้งยี่สิบเส้นดูชัดเจนขึ้นมา และแผ่แสงทรงกลดสีแดงอันน่าตกใจ ทันใดนั้นคลื่นความร้อนก็ทะลักออกมา และขับไล่ไอเย็นบริเวณนั้นออกไปส่วนหนึ่ง
ครู่ต่อมา ใบหน้าซีดขาวของจินอวี้หวนก็ค่อยๆ หายไป พอแสงทรงกลดสีแดงเปล่งประกายออกมา ชั้นน้ำค้างแข็งบนแขนขาก็ละลายไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณศิษย์พี่หลิ่วที่ช่วยเหลืออีกครั้ง” นางหันมามองหลิ่วหมิงเล็กน้อย และส่งเสียงไปให้ด้วยความซาบซึ้งใจ
“แม่นางจินไม่ต้องเกรงใจ รีบลงไปเอาของสิ่งนั้นโดยเร็วเถอะ! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าเองก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน” หลิ่วหมิงมองดูกระบี่บินสีแดง และกล่าวออกมาอย่างสงบ
จินอวี้หวนย่อมพยักหน้าตอบรับ
หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา ภายใต้การระเบิดคลื่นความร้อนของกระบี่บิน ทั้งสองก็ลงไปถึงก้นบ่อที่ลึกร้อยกว่าจั้ง
พอมองออกไป จะเห็นค่ายกลยักษ์สีขาวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ วางอยู่ใจกลางก้นบ่อ มีสัญลักษณ์แปลกประหลาดประทับอยู่บนนั้น ใจกลางค่ายกลมีรอยบุบขนาดฉื่อกว่าๆ
“หรือว่าไอเย็นในบ่อจะเกี่ยวข้องกับค่ายกลนี้?” หลิ่วหมิงสังเกตรอยบุบของค่ายกลตรงหน้าอย่างเงียบๆ และวิจารณ์อยู่ในใจ
ขณะนั้นเอง จินอวี้หวนก็หยิบเศษผลึกแวววาวชิ้นหนึ่งออกมาจากตัว และโบนไปในอากาศ พอกระตุ้นเคล็ดวิชา เศษผลึกก็กลายเป็นแสงสีขาว และลอยเข้าไปในรอยบุบของค่ายกล คิดไม่ถึงว่ามันจะเลี่ยงฝังอยู่กลางค่ายกลได้พอดี
จากนั้นนางก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา และพอชี้ไปออกไป มันก็กลายเป็นหยดโลหิตจำนวนมาก และพุ่งไปยังมุมต่างๆ ของค่ายกล
ครู่ต่อมา สัญลักษณ์แปลกประหลาดบนค่ายกลก็กระพริบหายไป และถูกแทนที่ด้วยลวดลายจิตวิญญาณสีขาวที่ปรากฏขาดๆ หายๆ มันเลื้อยขยุกขยิกเป็นรูปวงแหวนอยู่บนค่ายกลอย่างรวดเร็ว
พอแสงทรงกลดเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา กระบี่สีขาวแวววาวก็พุ่งออกจากใจกลางค่ายกล จากนั้นไอเย็นอันน่าสะพรึงจนถึงขีดสุด ก็ทะลักออกจากด้านล่างของกระบี่เล็ก
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา ยังไม่ทันได้กระตุ้นเคล็ดวิชา ไอเย็นอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ก็ม้วนตัวปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกว่าจั้ง และพวกเขาทั้งสองจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง
ตอนที่ 513 เจออาวุธเวทครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะนี้ กระบี่เล็กสีขาวลอยอยู่เหนือค่ายกลอย่างเงียบๆ ตัวกระบี่โปร่งใสราวกับกระจก แสงทรงกลดสีขาวหมุนวนบนผิวกระบี่อย่างช้าๆ และแผ่ไอเย็นไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง
พอไอเย็นแต่ละสายม้วนออกไปได้ไม่ไกล ก็เกาะตัวเป็นน้ำแข็งไปทั้งแถบ
ไม่นาน ก้นบ่อเย็นก็กลายเป็นโลกน้ำแข็ง
แม้หลิ่วหมิงจะถูกไอแข็งเย็นเกาะผนึกไว้ แต่ด้วยที่ว่ายังมีเกราะหนังกับกายเนื้ออันแข็งแกร่ง จึงไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด แต่ในใจก็อดรู้สึกหวาดผวาไม่ได้
ตั้งแต่กระบี่เล็กสีขาวแผ่กลิ่นไออันน่าตกใจออกมา มันก็ร้ายกาจกว่าโล่เก้ากระโหลกที่มีสามสิบห้าชั้นจำกัดมาก
ที่แท้กระบี่นี้ก็เป็นสุดยอดอาวุธเวทที่แท้จริง
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียง “ฟู่!” ดังมาจากทางด้านจินอวี้หวน
จุดแสงสีทองเปล่งประกายตรงหน้าอก จากนั้นยันต์สีเหลืองก็ปรากฏออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองอันดุเดือด และแสงสีขาวเป็นวงๆ ก็แผ่กระจายไปทั่วทิศ
ขณะที่แสงสีขาวพุ่งยิงเข้ามา น้ำแข็งบริเวณนั้นก็ละลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลิ่วหมิงและหญิงสาวก็กลับสู่สภาพปกติ
หลิ่วหมิงขยับแขนทั้งสองที่หนาวจนชา และปราดตามองจินอววี้หวนอย่างอดไม่ได้
พอนางหลุดออกมาได้ ก็หายวับไปอยู่ตรงหน้ากระบี่เล็กสีขาวอย่างรวดเร็ว และยื่นแขนคว้ามันเอาไว้อย่างรวดเร็ว
กระบี่เล็กสีขาวสั่นไหวราวกับมีชีวิต แสงเย็นสะท้านที่แผ่ออกมาก็ดูแหลมคมเป็นอย่างมาก มันบาดฝ่ามือของนางจนโลหิตไหลออกมา
ดูเหมือนจินอวี้หวนจะไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น นางเริ่มร่ายคาถาออกมา ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง พออ้าปาก เงากระบี่เล็กสีฟ้าก็พุ่งออกมา และภายใต้เสียงที่ดังกังวาน มันก็กระพริบหายไปในกระบี่เล็กสีขาวบนมือของนาง
หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าจะนางจะเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ และดูเหมือนกับว่าสิ่งที่นางพ่นออกมาจะเป็นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ด้วย
ครู่ต่อมา กระบี่เล็กสีขาวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และแสงสีขาวเจิดจ้าก็เปล่งแสงออกมาจนถึงขีดสุด ทั้งยังมีเสียงแผ่วเบาออกมาอยู่รำไร
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้ พออยากจะดูว่ามันเป็นเพราะเหตุใดนั้น แสงสีขาวก็ดับและเงียบลง จนเผยให้เห็นกระบี่เล็กที่อยู่ในนั้นอีกครั้ง
ขณะนี้ บนผิวกระบี่เล็กที่โปร่งใสแวววาว ก็มีอักขระเล็กๆ ปกคลุมอยู่เป็นชั้นๆ และเปล่งจุดแสงแวววาวทะลุน้ำในบ่อ แลดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
หญิงสาวเห็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนเคล็ดวิชาทันที พริบตาเดียวกระบี่เล็กสีขาวก็ลดขนาดลงเหลือแค่ชุ่นกว่าๆ และกระพริบหายไปในระหว่างคิ้วของนาง
พริบตาที่นางเอากระบี่นี้ไป ความเย็นยะเยือกของน้ำใบบ่อก็สลายไปหมดสิ้น
ดูท่าที่บ่อน้ำเย็นยะเยือกถึงเพียงนี้ คงเป็นเพรากระบี่เล็กเล่มนี้แล้ว
“ศิษย์พี่หลิ่ว งานใหญ่ได้สำเร็จลุล่วงลงแล้ว พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” จินอวี้หวนถอนหายใจยาวๆ และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้ว่าเขามโนไปเองหรือเปล่า หลังจากนางได้อาวุธเวทชิ้นนี้แล้ว ดูเหมือนจะมีสีหน้าเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงพยักหน้า และทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็พุ่งขึ้นด้านบน
เมื่อไม่มีไอเย็นคอยโจมตี จินอวี้หวนก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เท้าข้างหนึ่งถีบก้นบ่อเบาๆ จากนั้นก็ตามติดหลิ่วหมิงไป
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายนอกถ้ำ หลิ่วหมิงกำลังถอดเกราะหนังบนตัวคืนให้จินอวี้หวน
“ที่ครั้งนี้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ล้วนเป็นเพราะการช่วยเหลือของศิษย์พี่หลิ่ว” จินอวี้หวนรับเกราะหนังมา และกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่เป็นไร ในเมื่อข้ารับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณของแม่นางมาแล้ว เรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่หลิ่วเองก็เห็นแล้ว ความจริงข้าก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ และที่ตระกูลซาอยากให้ข้าแต่งเป็นคู่รักฝึกฝนของซาทงเทียน ก็เพราะอยากได้สุดยอดกระบี่ที่บรรพบุรุษตระกูลจินได้ทิ้งไว้ แม้กระบี่นี้จะเป็นอาวุธระดับต่ำที่เพิ่งจะหลุดจากเบ้าหลอมมา และจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่อยู่ด้านในก็ไม่มีคนบ่มเพาะมานาน จึงสูญเสียจิตวิญญาณไปไม่น้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลทั่วไปอยากได้มันแล้ว และยังมีผู้อาวุโสยอดเขาที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลจินเล็กน้อยเคยถามถึง ความจริงก็ไม่อาจรักษาอาวุธเวทนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็เปิดเผยความจริงให้หลิ่วหมิงรับรู้
ตอนที่หลิ่วหมิงเห็นกระบี่เล่มนี้ ก็พอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว ตอนนี้จึงแค่พยักหน้า และไม่พูดอะไรออกมา
จินอวี้หวนก็ค่อยๆ เล่าต่อ
“และที่ตระกูลซาอยากให้ข้าเป็นคู่รักฝึกฝนของซาทงเทียน ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะอาวุธเวทที่มีชื่อว่ากระบี่กระจกน้ำแข็งเล่มนี้ ในปีนั้นถูกบรรพบุรุษของข้าวางชั้นจำกัดไว้ จะต้องเป็นสายเลือดระดับของเหลวขึ้นไปของตระกูลจินเท่านั้น ถึงนำมันไปได้ แต่ตระกูลซามีเคล็ดวิชาบางอย่าง ที่อาศัยวิชาคู่รักฝึกฝน แย่งชิงกลิ่นไอสายเลือดของคู่รักมาได้ส่วนหนึ่ง จึงสามารถกระตุ้นกระบี่บินนี้ได้เช่นกัน”
ฟังมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงถึงเข้าใจในทันทีว่าทำไมนางถึงพูดออกมาตามตรง โดยไม่กลัวว่าเขาเห็นอาวุธเวทแล้ว จะมีความคิดอย่างอื่น
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอแสดงความยินดีกับแม่นางด้วย มีอาวุธเวทชิ้นนี้แล้ว คิดว่าการฟื้นฟูอิทธิพลของตระกูลในภายหน้า คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่กันเถอะ เผื่อคนตระกูลซาจะกลับมาที่นี่อีก จะทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
จินอวี้หวนค่อยๆ พยักหน้า พอตบลงบนเอว ก็มีเสียงร้องแหลมดังออกมา จากนั้นอินทรียักษ์ที่มีหมอกเทาปกคลุมสลัวๆ ก็ปรากฏต่อหน้าทั้งสอง
พอทั้งสองกระโดดขึ้นไปบนนั้นแล้ว จินอวี้หวนก็ลูบหัวนกอินทรียักษ์เบาๆ
อินทรียักษ์กระพือปีกส่งเสียงร้องออกมา ทันใดนั้น ก็ก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งไปทางเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
……
สิบวันต่อมา เหนือหุบเขาที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ พลันมีระลอกคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศ จากนั้นอินทรียักษ์สีเทาตัวหนึ่งก็บินออกมา และร่อนลงด้านล่าง
เงาร่างสองเงากระโดดลงจากหลังของมันทันที
พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับจินอวี้หวนที่เดินทางกลับมานั่นเอง!
ตลอดการเดินทาง หญิงสาวพูดคุยมากกว่าตอนไปมาก และพูดคุยเรื่องต่างๆ ในสมัยที่ตระกูลจินยังรุ่งโรจน์
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขอให้นางชี้แนะเกี่ยวกับประสบการณ์การฝึกกระบี่ และเคล็ดลับการหลอมตัวอ่อนกระบี่เล็กน้อย ส่วนเรื่องเกี่ยวกับอาวุธเวทก็สอบถามมาบ้าง
เพราะบรรพบุรุษของนางเคยมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาก่อน ตอนนี้ตระกูลจินได้ล่มสลายลงแล้ว แต่ประสบการณ์ฝึกฝนกระบี่ยังคงสืบทอดอยู่ หากรู้เรื่องเหล่านี้ไว้บ้าง ย่อมลดปัญหาการออกนอกลู่นอกทางของการฝึกฝนในภายหน้าได้
เนื่องจากหลิ่วหมิงช่วยนางไว้หลายครั้ง และยังช่วยนางนำอาวุธเวทของบรรพบุรุษออกมาได้ นางจึงบอกสิ่งที่นางรู้ให้กับหลิ่วหมิง ทำให้หลิ่วหมิงเก็บเกี่ยวความรู้มาได้ไม่น้อย
“แม่นางจิน การทำงานในครั้งนี้สำเร็จลงแล้ว ในเมื่อเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย พวกเราก็จากกันตรงนี้เถอะ หากวันหน้ามีเวลาว่าง คงต้องรบกวนแม่นางชี้แนะเส้นทางการฝึกฝนกระบี่แล้ว” หลิ่วหมิงพูดกับหญิงสาวสองสามประโยค จากนั้นก็กล่าวคำอำลาออกมา
“ไม่มีปัญหา! ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องไปก่อนแล้ว ศิษย์พี่หลิ่วก็ดูแลตัวเองด้วย!” จินอวี้หวนได้ยินก็หัวเราะเบาๆ และกระโดดขึ้นหลังอินทรียักษ์ก่อนพุ่งออกไป
หลิ่วหมิงจ้องมองเงาร่างของหญิงสาวที่จากไป หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งไปอีกทิศทางทันที
……
ขณะเดียวกัน ห้องโถงภายในถ้ำที่พักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเร้นลับแห่งหนึ่งของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
ผู้อาวุโสหน้าเหี่ยวย่นผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หินสีเทา เขาจ้องมองชายหนุ่มชุดผ้าแพรตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และซักถามเบาๆ
“ทงเทียน ทำไมเจ้าถึงไม่ไปจับจินอวี้หวนไว้ แต่กลับให้นางนำกระบี่กระจกน้ำแข็งออกมาได้ ข้าไม่เชื่อว่าด้วยพลังระดับเจ้า จะไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้”
“ท่านลุงสอง กระบี่กระจกน้ำแข็งเล่มนั้นไม่เหมาะสมกับข้า อีกอย่างต่อให้จะใช้เคล็ดวิชาในการฝึกฝนคู่ รับเอาสายเลือดตระกูลจินมาเพื่อควบคุมกระบี่เล่มนี้ ก็ไม่อาจแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้ทั้งหมด จินอวี้หวนก็เช่นกัน แม้จะอาศัยพลังของสายเลือดควบคุมกระบี่บินนี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจเหมือนกับกระบี่บินที่หลอมด้วยตนเอง สุดท้ายก็ไม่อาจกลายเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง ข้าคิดที่จะหลอมกระบี่บินที่เป็นอาวุธเวทของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกระบี่กระจกน้ำแข็งมากนัก ต่อให้จะได้กระบี่นี้มา ก็คิดที่จะใช้เป็นอาวุธสำรองเท่านั้น” ซาทงเทียนตอบด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ราวกับไม่ใส่ใจในเรื่องนี้
“อ๋อ! ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะฝึกฝนสายกระบี่ โดยไม่เล่นเหลี่ยมเช่นนี้ ลุงสองก็ไม่บังคับแล้ว แต่ว่าในตระกูลวางแผนเรื่องนี้มานาน เจ้ามีเวลาก็กลับไปให้ความกระจ่างกับผู้อาวุโสในตระกูลถึงจะได้ นอกจากนี้เจ้ายังตื่นตัวในการฝึกฝนสายกระบี่เช่นนี้ ดูท่าคงจะมีจิตใจที่แน่วแน่มาก เพียงแค่เข้าสู่ระดับผลึกได้ การกลายเป็นศิษย์สายตรง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ผู้อาวุโสระดับผลึกของตระกูลซาผู้นี้ฟังจบก็ไม่ได้รู้สึกโมโห แต่กลับลูบหนวด และกล่าวชมเชยด้วยความดีใจ
“ศิษย์จะพยายามอย่างสุดความสามารถ” ซาทงเทียนประสานมือคารวะด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็ตอบด้วยสีหน้านอบน้อม
ผู้อาวุโสพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ลุกเดินออกไปจากถ้ำแห่งนี้
……
พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำ ก็แขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู และก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องลับ
จากนั้นประตูตรงด้านหลัง ก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ
พอก้าวไปถึงใจกลางห้องลับ เขาก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นโอสถสีดำกับสีฟ้าก็หมุนวนอยู่ในมือไม่หยุด มันก็คือ ‘โอสถผลึกดำ’ กับ ‘โอสถวารีสีฟ้า’ นั่นเอง
เขาสังเกตดูโอสถทั้งสองในมืออย่างละเอียด และแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เขาก็เก็บโอสถทั้งสอง และนำยันต์ทะลวงชีพจรออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน
ขณะนี้ เขาได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว เพียงแค่ฟื้นฟูพลังเวทให้ถึงจุดสูงสุดของระดับของเหลวขั้นกลาง และหาสถานที่ที่มีปราณหยินค่อนข้างหนาแน่น ก็สามารถทะลวงเขตแดนของเหลวขั้นปลายได้แล้ว
หลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจ พอนั่งขัดสมาธิลงพื้น ก็หลับตาเข้าฌานอย่างเงียบๆ
ครั้งนี้เขานั่งนานติดต่อกันสามวัน
เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกสดชื่นมาก พลังจิตของเขาฟื้นคืนกลับมาจนเต็มเปี่ยม
พอเขาลุกขึ้นมาแล้ว ก็จัดระเบียบเล็กน้อย จากนั้นก็ออกไปจากถ้ำ และเหยียบเมฆดำเหาะไปทางหอนานัปการ
ตอนที่ 514 ถ้ำจันทรา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเข้ามาในนิกายยอดบริสุทธิ์ และกลายเป็นศิษย์สายนอกมาได้หนึ่งปีกว่าแล้ว แต้มคุณูปการที่แจกให้ในแต่ละเดือน เขายังไม่เคยรับเลย นับๆ ดูแล้วคงมีหนึ่งพันกว่าแต้มได้
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็เดินออกจากหอนานัปการด้วยสีหน้าสงบ ป้ายบนเอวมีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาหนึ่งพันห้าร้อยแต้ม ทำให้ตอนนี้เขามีแต้มคุณูปการทั้งหมดสี่พันกว่าแต้มแล้ว
“คงจะเพียงพอแล้ว”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำสองสามประโยค จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหยิบแผนที่เขาหมื่นวิญญาณออกมา หลังจากใช้จิตรับรู้กวาดดูแล้วก็เก็บมันเข้าไป และทำท่ามือด้วยมือเดียวขี่เมฆทะยานไปทางถ้ำจันทรา
ก่อนไปหลิ่วหมิงย่อมสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ถ้ำจันทรา’ ไปหนึ่งรอบแล้ว
ถ้ำจันทราที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นถ้ำที่นิกายใช้รวบรวมปราณหยินใต้พิภพโดยเฉพาะ ภายในถ้ำถูกแบ่งเป็นถ้ำหยินเล็กๆ เพื่อให้ผู้ฝึกฝนพลังธาตุหยินในนิกายใช้
เนื่องจากถ้ำจันทรารองรับคนได้จำกัด ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด นอกจากศิษย์สายตรงที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้ว ศิษย์สายในก็จ่ายแต้มคุณูปการเพียงเล็กน้อย ศิษย์สายนอกจ่ายมากขึ้นอีกหน่อย ส่วนศิษย์ธรรมดาต้องจ่ายแต้มคุณูปการจำนวนมาก และต้องรอจนมีถ้ำว่างจำนวนมากถึงจะเข้าไปได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความหนาแน่นของปราณหยินในถ้ำก็มีความแตกต่างกัน มีถ้ำสองสามแห่งที่มีปราณหยินหนาแน่น ซึ่งหนาแน่นกว่าสถานที่อื่นหนึ่งเท่าขึ้นไป และปราณหยินของสถานที่เหล่านี้ มักจะมีสรรพคุณพิเศษบางอย่าง ที่มีผลดีต่อบางด้านของต่อผู้ฝึกฝน
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หลิ่วหมิงสามารถคิดได้ในตอนนี้ เพราะโดยทั่วไปสถานเหล่านี้ล้วนให้ศิษย์สายในใช้ฝึกฝน
แต่หากเขาอาศัยสถานที่แห่งนี้ทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายล่ะก็ ย่อมได้ผลเป็นอย่างมาก
ครึ่งวันผ่านไป หน้าหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสีเขียวสองลูก
หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าหุบเขา ชุดคลุมสีเขียวปลิวสะบัดตามแรงลม เขาหรี่ตาทั้งคู่ลงและสังเกตดูด้านหน้า
จะเห็นว่ามีประตูหินสีเทาสูงสองสามจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ราบกว้างตรงหน้า หน้าประตูถ้ำมีหินยักษ์สีเทาก้อนหนึ่งที่มีอักขระสีเงินสลักอยู่บนนั้น ‘ถ้ำจันทรา’
หลิ่งหมิงค่อยๆ เดินไปหน้าประตู และนำป้ายบนเอวโบกไปทางประตู พอแสงสีเขียวจมหายไปในประตู ก็เกิดเสียงดังโครมคราม และประตูยักษ์ก็ค่อยๆ เปิดออกมา
เขาเดินเข้าประตูถ้ำด้วยสีหน้าสงบ สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือห้องโถงเล็กๆ ที่มีพื้นที่แค่ยี่สิบถึงสามสิบจั้ง บนเพดานมีหินแสงจันทราขนาดเท่ากำปั้นที่เปล่งแสงทรงกลดสีขาวอยู่ มันส่องแสงจนห้องโถงเล็กๆ สว่างขึ้นมา และนอกจากจะมีโต๊ะเก้าอี้หินสองสามตัวแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นๆ อยู่อีก เห็นได้ชัดว่ามันว่างเปล่ามันเป็นอย่างมาก
ด้านหลังของห้องโถง มีระเบียงทางเดินแคบๆ ที่กว้างครึ่งจั้งอยู่สายหนึ่ง หลิ่วหมิงยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เดินตรงไประเบียงทางเดินทันที
ระเบียงยาวแค่สิบกว่าจั้ง ปลายสุดของทางเดิน เชื่อมต่อกับห้องหินขนาดสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง
ใจกลางห้องหินเป็นค่ายกลสีฟ้าที่มีขนาดจั้งกว่าๆ รอบด้านค่ายกลมีผลึกหินธาตุหยินสีฟ้าจางๆ เลี่ยมฝังอยู่หลายก้อน มันคงเป็นค่ายกลส่งตัว
ตรงหน้าค่ายกล มีผู้อาวุโสชุดเหลืองกำลังนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ
“ผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงไม่รับรู้ถึงระดับการฝึกฝนของผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย เขาประสานมือคารวะ และกล่าวด้วยใจที่เย็นสะท้าน
“เจ้าเป็นศิษย์สาขาใด คงรู้กฎแล้วใช่ไหม?” ผู้อาวุโสไม่ลืมตาขึ้นมา เพียงแค่เอ่ยปากออกมาอย่างราบเรียบเท่านั้น
“เรียนผู้อาวุโส ข้าน้อยเป็นศิษย์สาขาห่านฟ้า แต้มคุณูปการได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ดีมาก! ศิษย์สายนอกที่จะเข้าไปฝึกฝนในถ้ำจันทรา ต้องชำระแต้มคุณูปการวันละหนึ่งร้อยแต้ม เจ้าจะอยู่นานเท่าใด?” ผู้อาวุโสค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่แล้วถามออกมา
“ข้าน้อยต้องการอยู่สี่สิบวัน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็ยื่นป้ายไปให้ผู้อาวุโส
เวลานานเช่นนี้ เพียงพอที่เขาจะทำระดับการฝึกฝนให้มั่นคงในถ้ำจันทราได้ อีกอย่างปราณหยินในถ้ำก็เพียงพอ ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนชั้นยอดสำหรับแมงป่องกระดูกด้วยเช่นกัน
ผู้อาวุโสได้ยิน ก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พู่กันหยกด้ามหนึ่งแตะลงบนป้ายเบาๆ พอแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา แต้มคุณูปการบนป้ายก็เหลือแต่หนึ่งร้อยกว่าแต้มเท่านั้น
ผู้อาวุโสเก็บพู่กันหยกเข้าไป และโยนป้ายคืนให้หลิ่วหมิงเบาๆ
“เอาล่ะ! เจ้าเข้าไปได้แล้ว พอถึงเวลาที่กำหนด เจ้าจะถูกส่งตัวกลับมาที่นี่เอง”
หลิ่วหมิงรับแผ่นป้ายไปไว้บนเอว หลังจากโค้งตัวคารวะแล้ว ก็เดินเข้าไปใจกลางค่ายกล
พอผู้อาวุโสคิ้วเหลืองพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ป้ายสีดำวาวก็ปรากฏออกมา มืออีกข้างก็ปล่อยพลังใส่ค่ายกลตรงกลางห้องหิน จากนั้นก็ร่ายคาถาออกมาเบาๆ
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าพื้นดินค่อยๆ สั่นไหว ค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ ทั้งยังมีแสงสีฟ้าจางๆ เปล่งประกายรอบด้าน และกระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้อาวุโสหลับตาลงอีกครั้ง
……
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีแสงสีฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ตรงหน้า พอหลับตาแล้วลืมขึ้นมาอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองมาอยู่ภายในถ้ำหินที่มีขนาดครึ่งหมู่
ไอเย็นเสียดกระดูกม้วนตัวเข้ามาจากรอบด้าน รู้สึกว่าพลังฟ้าดินบนอากาศบริเวณนี้เบาบางเป็นอย่างมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยพลังความเย็นอันหนาแน่น
ปราณหยินในนี้หนาแน่นกว่าถ้ำหยินของนิกายปีศาจหลายเท่า สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก
นิกายยอดบริสุทธิ์สมกับเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ เพียงแค่ถ้ำที่มีปราณหยินโดยทั่วไปของนิกาย ก็ยากที่นิกายทั่วไปจะเทียบได้
หลิ่วหมิงสังเกตดูทุกอย่างภายในถ้ำอย่างไม่รีบร้อน
ในนี้นอกจากจะมีหินราบเรียบขนาดใหญ่ตรงมุมที่มีเบาะกลมๆ สีขาววางอยู่อันหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีกเลย
มุมหนึ่งของเพดานถ้ำกลับมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำปกคลุมอยู่จำนวนมาก และเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด บนลวดลายมีไอหมอกสีเทาลอยวนอยู่ ดูเหมือนจะเป็นชั้นจำกัดบางอย่าง
และผนังรอบด้านก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีดำง่ายๆ อยู่จำนวนหนึ่ง คิดว่าคงเป็นชั้นจำกัดป้องกันทั่วไป
พอหลิ่วหมิงตบลงบนเอว ไอดำก็ม้วนตัวออกจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ และกลายเป็นแมงป่องเงินขนาดเล็กที่ยาวไม่กี่ชุ่น
“นายท่าน……” พอแมงป่องน้อยสีเงินปรากฏตัวออกมา มันก็โบกก้ามยักษ์ทั้งสองด้วยความดีใจ
ที่นี่ปราณหยินหนาแน่นมาก คงเป็นสถานที่ที่เจ้าชอบ ไปฝึกฝนที่มุมนั้นเถอะ หากข้าไม่ได้สั่ง ก็อย่ามารบกวนข้า” หลิ่วหมิงชี้ไปยังมุมหนึ่งของถ้ำ และสั่งออกมา
“ทราบ…นายท่าน…” แมงป่องกระดูกพร่ามัวไปอยู่อีกมุมของถ้ำ หลังจากโบกหางให้หลิ่วหมิงแล้ว ก็อ้าปากดูดซับปราณหยิน
หลิ่วหมิงก้าวไปยังมุมถ้ำ และนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะ พอเขาหลับตาลงก็นึกถึงภาพตั้งแต่ตอนที่ต่อสู้กับราชาปีศาจสมุทรจนเข้ามาในนิกายยอดบริสุทธิ์
ตอนนี้มีเวลาหนึ่งเดือนกว่าในการทะลวงคอขวด เขาไม่อยากให้จิตใจที่ไม่สงบส่งผลกระทบต่อตัวเขา
หนึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ตอนนี้ในใจเขาไม่มีความคิดฟุ้งซ่านแล้ว พลังเวทก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
“ได้เวลาแล้ว”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็หยิบโอสถสีดำกับสีฟ้าออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน และยังนำยันต์ทะลวงเส้นลมปราณออกมาวางไว้ด้านข้าง
เขาใช้นิ้วคีบ ‘โอสถผลึกดำ’ ขึ้นมา หลังจากตรวจสอบดูแล้ว ก็กลืนมันลงไป
พอโอสถนี้เข้าไปในปาก มันก็ลื่นเป็นพิเศษ และกลายเป็นปราณโลหิตสีดำไหลลงลำคอ ครู่ต่อมาก็มีไอเย็นสบายพุ่งขึ้นจากจุดตันเถียน และไหลวนไปตามเส้นลมปรานทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเส้นลมปราณทั่วร่างทะลุปรุโปร่งไปหมด และรู้สึกสบายตัวมาก
หลังจากเขาปรับลมหายใจเล็กน้อยแล้ว ก็คีบ ‘โอสถวารีสีฟ้า’ ขึ้นมา พอกวาดสายตาดูเล็กน้อยแล้ว ก็กลืนมันลงไป
ไม่นาน ไอเย็นยะเยือกก็แผ่กระจายเต็มปาก จากนั้นมันก็กลายเป็นไอเย็นสะท้านสีฟ้าพวยพุ่งอยู่ในเส้นลมปราณของเขา
มือทั้งสองของหลิ่วหมิงทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ไอเย็นสะท้านสีฟ้ากับปราณโลหิตสีดำปะทะกันอยู่ในเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ผสมผสานกันเป็นไอสีดำฟ้าไหลไปตามเส้นลมปราณอย่างรวดเร็ว
เขาใช้จิตกวาดดูภายในร่าง ของเหลวสีเงินจางๆ ในทะเลจิตวิญญาณหนาแน่นกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย ของเหลวเหล่านี้ดูดซับไอเย็นสะท้านที่พุ่งเข้ามาจากจุดต่างๆ อยู่ไม่หยุด มันพวยพุ่งอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ และปล่อยคลื่นพลังเวทอันน่าตกใจออกมา
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และหลับตากลั่นพลังของโอสถอย่างเงียบๆ
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน ในระหว่างเวลานี้หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูสถานการณ์ในทะเลจิตวิญญาณอยู่ตลอดเวลา และรอคอยอย่างเงียบๆ ให้คลื่นพลังเวทอยู่ในระดับที่สูงสุด และไอสีฟ้าดำที่ถักทอเข้าด้วยกันนั้น ก็ยังไหลไปตามเส้นลมปราณอย่างรวดเร็ว
วันนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทในร่างได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว คลื่นพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณก็ไม่อาจสูงไปได้มากกว่านี้แล้ว ทันใดนั้น เขาก็หยิบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณขึ้นมาขยี้ และแปะไว้ที่หน้าอก
ทันใดนั้น แสงสีเขียวก็เปล่งประกาย และม้วนตัวออกมาปกคลุมร่างของเขาไว้ และซึมเข้าไปในร่างอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงรู้สึกถึงปราณจิตวิญญาณอันดุเดือดที่แทรกซึมเข้าไปในเส้นลมปราณทั่วร่าง จากนั้นความรู้สึกชาก็โจมตีเข้ามา เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ! ภายในร่าง เส้นลมปราณทั่วร่างถูกกระตุ้นจนขยายใหญ่ขึ้นมา
ขณะที่รับรู้ถึงพลังเวทอันเต็มเปี่ยมพุ่งชนอยู่ในร่าง ดวงตาของเขาก็เผยแววประหลาดใจออกมา
ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก
ขณะที่ปราณจิตวิญญาณอันดุเดือดทะลวงอยู่ภายในร่างไม่หยุดนั้น ของเหลวสีเงินที่ปล่อยพลังเวทจนถึงจุดสูงสุด ก็เริ่มพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง พลังเวทบริสุทธิ์ทะลักออกจากทะเลจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และละลายเข้าไปในเส้นลมปราณ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา เขาตะโกนออกมาทันที มือทั้งสองประกบกัน และแยกออกไปทางด้านล่าง บนตัวมีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! และร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นมาฉื่อกว่าๆ ขณะเดียวกัน ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นหมอกดำอันพวยพุ่งปกคลุมเขาไว้
ต่อมา เขาก็เริ่มร่ายเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬออกมา และค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลงอีกครั้ง
ตอนที่ 515 วิวัฒนาการของหัวบิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
พริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว
วันนี้ มีพายุเย็นพัดกระหน่ำอยู่เหนือถ้ำจันทรา และแผดร้องอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็มีปราณหยินพวยพุ่งใต้ชั้นจำกัดบนหลังคาถ้ำ และเกาะตัวเป็นเมฆหมอกสีเทา
ครู่ต่อมา มีเสียงดังโครมครามออกจากภูเขา มังกรหมอกดำที่ดูราวกับมีชีวิตและพยัคฆ์หมอกดำพุ่งขึ้นด้านบน และเริ่มหมุนวนสลับกันไปมา เสียงแผดร้องของมังกรพยัคฆ์ดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ด้านบนถ้ำที่หลิ่วหมิงอยู่ พลันมีลวดลายจิตวิญญาณสีเทาแปลกประหลาดปรากฏออกมา มันเปล่งประกายไม่กี่ทีก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ไอเย็นจำนวนมากรวมตัวเข้าด้วยกันบริเวณนี้ และค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นยักษ์อยู่บนเพดานถ้ำ
อากาศบริเวณรอบๆ ระลอกคลื่นดูบิดเบี้ยวขึ้นมา จากนั้นแรงกดดันจิตวิญญาณที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึกก็พุ่งขึ้นด้านบนตามติดมังกรพยัคฆ์มาติดๆ และหายไปในระลอกคลื่น
“โครมคราม!”
ระลอกคลื่นที่เกิดจากปราณหยินหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็สลายไป และปรานหยินก็ม้วนตัวไปทั่วทิศ
หลังจากเหตุการณ์ดำเนินไปได้ราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
แม้ว่าถ้ำแต่ละแห่งจะมีชั้นจำกัดปิดกั้นไว้ แต่ศิษย์ที่ฝึกฝนอยู่ในถ้ำบริเวณนั้นยังคงรับรู้ได้ถึงปราณหยินในถ้ำที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกัน ห้องหินภายในถ้ำจันทรา ผู้อาวุโสชุดเหลืองที่นั่งอยู่ตรงหน้าค่ายกลค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“แค่ทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายเท่านั้น ทำไมถึงมีการเคลื่อนไหวรุนแรงเช่นนี้ แม้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้จะดุดันเล็กน้อย วิธีการฝึกฝนก็ไม่เข้าตาใครบางคน แต่ก็ไม่เสียทีที่เป็นวิชาระดับสูงของนิกาย ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ปีแล้วที่ไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้” ผู้อาวุโสพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็หลับตาลงด้วยสีหน้าสงบ
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ในฉับพลัน มือทั้งสองทำท่ามือขึ้นมา หมอกดำรอบตัวที่กลายเป็นมังกรพยัคฆ์ได้รวมกันเป็นหนึ่ง และกลายเป็นไอดำอันเข้มข้น จากนั้นก็หมุนหนึ่งรอบก่อนหายไปในศีรษะของเขา
“ยินดี…นายท่าน…ทะ…ทะลวง…ของเหลวขั้นปลาย” ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงติดอ่างของเด็กสาวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยิ้มให้แมงป่องกระดูกเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นมา และยื่นแขนทั้งสองออกไป ทันใดนั้น กระดูกทั่วร่างก็ส่งเสียงดังราวกับจุดประทัด
พอเขากำหมัด แขนก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว ลวดลายสีดำปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่บนผิวหนัง จากนั้นก็หันไปทุบก้อนหินยักษ์โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ตู๊ม!”
ก้อนหินยักษ์แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินกระเด็นไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และเผยสีหน้าพอใจออกมา การโจมตีนี้ใช้พลังแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
เขาชี้มือข้างหนึ่งไปยังผนังหินที่อยู่ห่างออกไปสองสามจั้งเบาๆ หมอกดำเกาะตัวบนปลายนิ้วทันที จากนั้นก็พุ่งยิงใส่ผนังหิน
ครู่ต่อมา อากาศตรงหน้าผนังหินก็สั่นสะเทือน เกิดโพรงขนาดใหญ่ฉื่อกว่าๆ บนผิวผนัง ฝุ่นหินสีเทาร่วงหล่นลงพื้น
หลิ่วหมิงชี้ไปยังผนังหินติดต่อกันอีกสองสามครั้ง หลังจากนั้นถึงหยุดลงด้วยสีหน้าพอใจ
ขณะนี้ แม้ว่ายันต์ทะลวงเส้นลมปราณจะสูญเสียประสิทธิภาพไปแล้ว แต่เส้นลมปราณภายในร่าง ก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย พอกระตุ้นเบาๆ พลังเวทในเส้นลมปราณทั่วร่าง ก็ไหลพุ่งราวกับกระแสน้ำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้อานุภาพของเคล็ดวิชาที่กระตุ้น ก็เพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง
และพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณของเขา ก็ดูเหมือนจะหนียวเหมือนกาว ความหนาแน่นของพลังเวทคงเข้าใกล้ระดับผลึกขั้นต้นแล้ว และพลังเวทก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่ากว่าๆ คงเพียงพอที่จะรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทของฟองอากาศลี้ลับในครั้งหน้า
และพลังเวทที่เพิ่มทวีอย่างดุเดือด ภายใต้การกระทำของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นถึงสามส่วน
ด้วยเหตุนี้ กายเนื้อของเขาไม่เพียงแต่จะเทียบได้กับผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไป เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกร่างระดับผลึกเลยแม้แต่น้อย
และระยะเวลาในตอนนี้ ก็อยู่ห่างจากตอนที่เข้าถ้ำแค่ยี่สิบกว่าวันเท่านั้น เขายังมีเวลาสิบกว่าวันในการทำเขตแดนให้มั่นคงได้อย่างสบายใจ
เขาโยนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบกับถุงหนังอีกใบลงพื้น และทำท่ามือชี้ออกไปเบาๆ ลวดลายบนถุงทั้งสามใบเปล่งประกายเล็กน้อย และทำการดูดซับปราณหยินบริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด
ตอนนี้ได้ทะลวงเข้าสู่เขตแดนของเหลวขั้นปลายแล้ว ย่อมให้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณดูดซับปรานหยินอันเข้มข้นได้อย่างสบายใจ
เขาสื่อสารกับแมงป่องกระดูกอย่างง่ายๆ สองสามประโยค จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิเข้าฌาน เพื่อเตรียมทำเขตแดนให้มั่นคง
หลังจากเขาหลับตาทั้งคู่ลง ก็มีแสงเปล่งประกายในทะเลจิตรับรู้ คัมภีร์สีดำที่มีไอดำลอยวนปรากฏออกมา มันคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั่นเอง!
หลายวันมานี้ เขาศึกษาขั้นที่สามของวิชานี้อย่างละเอียด ตามที่บรรยายไว้ในนั้น หลังจากทะลวงของเหลวขั้นปลายแล้ว ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรทมิฬขั้นที่สามได้
แต่ว่าขั้นที่สามค่อนข้างลึกล้ำจนยากที่จะเข้าใจได้ เขาก็เพิ่งจะเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดูท่าหากจะทำความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน
พอนึกถึงจุดนี้ คัมภีร์ในทะเลจิตรับรู้ก็เริ่มพลิกไปทีละหน้า
แวบเดียวก็ผ่านไปสองสามวันแล้ว
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังใช้ความสามารถหนึ่งจิตสองพลังอยู่ ด้านหนึ่งปรับสภาพพลังเวท ทำให้ระดับการฝึกฝนมั่นคง อีกด้านหนึ่งใช้พลังจิตทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามอย่างละเอียด
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกจากถุงหนังใบหนึ่งที่อยู่บนพื้น!
หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ! และหยุดการฝึกฝนลง จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังถุงหนัง
ดูเหมือนว่าถุงหนังใบนี้ จะเป็นใบที่มีหัวบินอยู่!
และตั้งแต่หัวบินกลืนกินร่างผลึกกับกระดูกของหัวปีศาจยักษ์ไปไม่น้อย มันก็หลับอยู่ในถุงหนังมาจนถึงวันนี้ โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย
หลังจากแมงป่องกระดูกฟื้นขึ้นมาในก่อนหน้านั้น พลังของมันก็เพิ่มขึ้นมามาก ทั้งยังมีความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้นไม่น้อย สิ่งนี้ทำให้หลิวหมิงยิ่งคาดหวังถึงความก้าวหน้าของหัวปีศาจมากยิ่งขึ้น
หลังจากเขาคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว ก็ปล่อยพลังลงบนถุงหนัง
ไอดำราวกับหมึกพุ่งออกจากถุงหนัง มีเสียงร้องแปลกประหลาดท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่ง และหลังจากไอดำหมุนตัวติ้วๆ แล้ว ก็เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของหัวบิน
หลับลึกอยู่ในถุงหนังมานานขนาดนี้ ผมสีเขียวเต็มศีรษะของหัวบินดูสวยสดงดงามเป็นอย่างมาก หัวเล็กๆ ทั้งสองที่อยู่ด้านข้างก็โตขึ้นเล็กน้อย และมีชั้นสีเทาดำปรากฏอยู่ลางๆ ไอดำบนตัวก็หนาแน่นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
แต่ที่หลิ่วหมิงรู้สึกผิดหวังไปหน่อยก็คือ กลิ่นไอของหัวบินกลับเพิ่มขึ้นมาไม่เท่าไหร่ ดูเหมือนว่าจะยังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง
เขาเชื่อมจิตกับหัวบินทันที
ใครจะรู้เล่าว่า หัวบินไม่สนใจจิตของหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นดวงตาสีแดงเพลิงก็เผยแววละโมบออกมา มันเริ่มอ้าปากดูดกลืนปราณหยินบริเวณรอบๆ อย่างละโมบ
หัวสีขาวที่มีขนาดเล็กสองใบ ก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดด้วยความตื่นเต้น และอ้าปากทำเช่นเดียวกัน
ผ่านไปสองสามอึดใจ รอบๆ ตัวมันก็กลายเป็นระลอกคลื่น ปราณหยินในถ้ำพากันทะลักเข้าไปในปากของมัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกายเล็กน้อย และไม่ได้ทำท่าทางห้ามปรามแต่อย่างใด เพียงแค่มองดูอย่างเงียบๆ เท่านั้น
“แกว๊กๆ!……” มีเสียงร้องแหลมแปลกประหลาด และไม่รู้ว่าแมงป่องกระดูกมาหมอบอยู่ข้างเท้าเขาตั้งแต่เมื่อใด
“นายท่าน……เกิด…….เกิดอะไรขึ้น……” แมงป่องกระดูกชูก้ามยักษ์ขึ้นมา และส่งเสียงร้องไปทางระลอกคลื่นปราณหยิน ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอใจที่ถูกแย่งปราณหยินในถ้ำไป
“ไม่เป็นไร หัวบินกำลังดูดซับปราณหยินอยู่” หลิ่วหมิงลูบตัวแมงป่องกระดูกแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าจะเป็นแมงป่องกระดูกหรือว่าหัวบิน สำหรับพวกมันแล้ว ปราณหยินบริสุทธิ์ของที่นี่ล้วนส่งผลดีต่อพวกมันมาก
หลิ่วหมิงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากหัวบินดูดกลืนปราณหยินในนี้เข้าไปแล้ว กลิ่นไอบนตัวก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ครึ่งชั่วยามต่อมา หัวบินถึงหยุดการกลืนกินลงราวกับไม่เต็มใจมากนัก
ขณะนี้ ปราณหยินหนาแน่นภายในถ้ำ ก็ดูเบาบางลงเล็กน้อย พื้นที่ภายในถ้ำที่มีไอดำปกคลุมอยู่ ก็ดูแจ่มชัดขึ้นมา เผยให้เห็นผนังหินขนาดใหญ่
หินสีดำเหล่านี้เป็นหินพลังหยิน มันมีพลังในการดูดรับปราณหยินจากใต้พิภพ และทำให้เกิดเป็นปราณหยินบริสุทธิ์ แต่ว่าปราณหยินในที่นี่ถูกกวาดไปเกือบหมด เกรงว่าต้องรออีกหลายเดือน ถ้ำแห่งนี้ถึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ขณะนี้ ไอดำที่พวยพุ่งรอบตัวหัวบินหนาแน่นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย กลิ่นไอก็แข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย ดูเหมือนว่าจะเข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว
“แคล็กๆ!”
เสียงกระดูกเสียดสีกันดังออกมาจากไอหมอกดำ หัวบินส่งเสียงร้องแหลมแปลกประหลาดอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
แมงป่องกระดูกที่อยู่ข้างๆ ก็ขยับตัวอย่างกระวนกระวาย และส่งเสียงร้องแกว๊กๆ อยู่ครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และปล่อยจิตออกไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาสามารถสื่อสารกับหัวบินได้แล้ว จากการตอบกลับของมันทำให้ทราบว่า ก่อนหน้านั้นมันกลืนกินเลือดและกระดูกของหัวปีซาจยักษ์ไปมาก แต่กลับขาดปราณหยินในการบ่มเพาะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่บรรลุขั้น
หลังจากฟื้นขึ้นมาในครั้งนี้ จึงดูดซับปราณหยินไปจำนวนมาก ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
ขณะที่ไอดำที่ลอยวนรอบตัวหัวบินพวยพุ่งอย่างรุนแรง ก็พลันมีแสงสีม่วงพุ่งออกจากไอดำ
เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องกันราวๆ ครึ่งชั่วยาม ภายใต้การประสานกันของแสงสีม่วง มันก็ก่อตัวเป็นม่านแสงสีม่วงปกคลุมหัวบินไว้ด้านใน
ท่ามกลางม่านแสง ไอดำพวยพุ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นมันก็หมุนวนขึ้นมา และถูกหัวบินดูดเข้าไปในทีเดียว
ขณะนี้ หัวบินได้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว!
หัวเล็กๆ ทั้งสองข้างสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง อักขระสีเขียวบนผิวกระพริบผ่านไป จากนั้นมันก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ และภายในเบ้าตาสีดำ ก็มีแสงสีเขียวแวววาว
จากนั้นหัวทั้งสามก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาพร้อมกัน ผิวหนังของหัวเล็กทั้งสองสั่นไหว และต่างก็มีก้อนเนื้อนูนออกมาสามก้อน ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังลอกคราบออกมา ทำให้หัวบินดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก
แต่ก้อนเนื้อเหล่านี้เพียงแค่ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าปากถ้วย จากนั้นก็หยุดลง
หัวทั้งสามของหัวบินหันไปสังเกตตัวเองสองสามที จากนั้นถึงแสดงสีหน้าพอใจออกมาพร้อมกัน หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ลอยมาอยู่ห่างจากตรงหน้าหลิ่วหมิงเพียงแค่ลัดมือเดียว และส่งเสียงร้องประจบหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และยื่นมือข้างหนึ่งไปลูบหัวที่อยู่ตรงกลาง พริบตานั้น ในใจเขาก็นึกถึงคัมภีร์ในนิกายปีศาจ ที่เขาเคยอ่านเจอตำนานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเป็นหัวเก้าทารกของหัวบิน
หัวบินในตอนนี้ได้กลายเป็นหัวปีศาจระดับหกแล้ว กลิ่นไอก็บรรลุถึงระดับของเหลวขึ้นปลาย รูปร่างของมันก็กลายเป็นหัวเก้าทารกตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์แล้ว
ตอนที่ 516 วัสดุ
โดย
Ink Stone_Fantasy
การบรรลุขั้นของหัวบินกับแมงป่องกระดูกในครั้งก่อน ต่างก็ต้องผ่านด่านเคราะห์สายฟ้า แต่ครั้งนี้กลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หรือว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ในนั้น?
พอหลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ ก็รู้สึกฉงนเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังขึ้นข้างหู
“นายท่าน!” หัวบินตรงหน้าอ้าปากและหุบลง เสียงที่ส่งออกมากลับไม่ใช่เสียงที่ดังแคล็กๆ แต่กลับเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย
“เจ้าก็พูดได้แล้ว?” แม้หลิ่วหมิงจะพอคาดเดาได้อยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้
สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แสดงว่าหัวบินไม่ใช่หัวปีศาจที่โง่เขลาอีก แต่กลับเป็นเหมือนแมงป่องกระดูก ที่ได้เปิดสติปัญญาขั้นต้นแล้ว
“ใช่แล้ว! นายท่าน ข้านอนยาวมาก หลังจากฟื้นขึ้นมา สมองก็ปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก” ระหว่างที่หัวบินขยับปาก ก็มีน้ำเสียงเด็กน้อยดังออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้า ฝ่ามือที่กดอยู่บนหัวบินมีไอดำลอยออกมาสองสามสาย และค่อยๆ ซึมเข้าไป
หัวบินดิ้นรนด้วยความไม่สบายใจ แต่ไม่นานก็กลับมาสงบดังเดิม
หลิ่วหมิงหดแขนกลับมาด้วนสีหน้าผ่อนคลาย
อักขระสัญญาโลหิตที่เขาฝังไว้ด้านใน ไม่ได้อ่อนแอลงเพราะหัวบินเกิดการรับรู้ด้วยตนเอง
“หัวบิน ให้ข้าดูความสามารถของเจ้าในตอนนี้หน่อย” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยปากสั่ง
หัวบินได้ยินก็หมุนตัวและบินไปยังผนังด้านหนึ่ง แสงสีแดงเป็นประกายในดวงตา แสงสีเขียวจางๆ ลอยออกมาบนพื้นผิว ขณะเดียวกัน ไอดำที่พวยพุ่งอยู่ก็หดตัวลง
พอมันสะบัดผมสีเขียวบนศีรษะ เส้นผมจำนวนมากก็พุ่งยิงใส่ผนังถ้ำจนเกิดเสียงดังก้อง
หลังจากมีเสียงดังราวกับเสียงฝนกระทบต้นกล้วย หินพลังหยินสีดำก็เกิดรูเล็กๆ จำนวนมาก
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา หินพลังหยินนี้ไม่ใช่หินธรรมดา มันดูดรับปราณหยินตลอดปีเป็นจำนวนมาก ความแข็งแกร่งมันอยู่ใต้อาวุธทั่วไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกเส้นผมสีเขียวของหัวบินแทงทะลุ
หัวบินส่งเสียงแคล็กๆ! เส้นผมที่สยายรวบเข้าด้วยกัน จากนั้นก็กรีดใส่ผนังถ้ำอีกครั้ง
แสงสีเขียวเปล่งประกาย!
เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!”
เกิดร่องยาวแคบๆ ลึกฉื่อกว่าๆ บนผนังสีดำราวกับหมึกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
การโจมตีระดับนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระดับของเหลวขั้นปลายอย่างเต็มที่
ดูเหมือนหัวบินจะยังติดใจอยู่ มันอ้าปากพ่นเปลวไฟสีเขียวมรกตใส่ผนังตรงหน้า
พอเปลวไฟสีเขียวสัมผัสกับผนังหินสีดำ มันก็ลุกไหม้ขึ้นมาอย่างดุเดือด และส่องสะท้อนจนภายในถ้ำกลายเป็นสีเขียวไปทั้งแถบ
“ตู๊ม!”
ปราณหยินในถ้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ผนังหินที่แข็งแกร่งถูกเผาไหม้จนกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่ และหมอกควันสีเขียวก็พวยพุ่งขึ้นมา
“หยุดเถอะ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็ ถ้ำจันทราแห่งนี้อาจจะถูกเจ้าทำพังได้ พอถึงเวลานั้น เจ้าพวกหอคุมกฎอาจจะให้ข้าชดใช้เป็นแต้มคุณูปการจำนวนมากก็ได้” หลิ่วหมิงรีบโบกมือยับยั้งหัวบินไว้
การโจมตีของเส้นผมกับเปลวไฟสีเขียวของหัวบิน มีอานุภาพเหนือกว่าก่อนหน้านั้นมาก ซึ่งแตกต่างกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไปไม่มากแล้ว
เมื่อรวมกับแมงป่องกระดูกแล้ว ตอนนี้เขามีตัวช่วยที่ทรงพลังถึงสองตัว ต่อให้จะเผชิญกับศัตรูแข็งแกร่งระดับผลึก ก็สามารถต่อสู้ซึ่งๆ หน้าได้
หัวบินหัวเราะแคล็กๆ! ไอดำรอบตัวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็พร่ามัว และปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่กลางไอหมอก
ครู่ต่อมา ขณะที่ไอดำสลายไป พลันมีหัวบินเก้าหัวแยกออกมา
“วิชาแบ่งร่าง!” ครั้งนี้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจจริงๆ แล้ว
ที่เขาเห็นเป็นหัวบินทั้งเก้าที่แท้จริง ไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงา และใจกลางสุดนั้น ก็เป็นร่างของหัวบิน มันแผ่กลิ่นไอระดับของเหลวขั้นปลายออกมา ส่วนอีกแปดหัวก็มีพลังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย ซึ่งอยู่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น
แต่ไม่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแบ่งร่างจากหนึ่งเป็นเก้า ยังคงดูร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
คาดว่าต่อให้เป็นราชาอัคคีจิตวิญญาณระดับผลึกขั้นต้นในก่อนหน้า หากถูกมันตรึงไว้ ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้
พอนึกมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็มีแววตาเร่าร้อนขึ้นมา
เวลาต่อมา เป็นเพราะว่าปราณหยินในถ้ำถูกหัวบินกวาดไปเกือบหมด หลิ่วหมิงจึงเก็บเจ้าสองตัวนี้เข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิเข้าฌานต่อ
แม้ปราณหยินในนี้ดูเหมือนจะถูกหัวบินกวาดไปจนหมด แต่ก็ยังดีกว่าโลกภายนอกมาก เขาไม่ยอมปล่อยมันเสียเปล่าอย่างแน่นอน
หลายวันต่อมา หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็รู้สึกว่าพื้นสั่นสะเทือนเบาๆ ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกมา และค่ายกลสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นใต้ร่าง จากนั้นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็พร่ามัว และตัวเขาก็มายืนอยู่ใจกลางค่ายกลในห้องหิน
ผู้อาวุโสชุดเหลืองในก่อนหน้านั้น ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ ตรงหน้าค่ายกล ราวกับว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
“หลายวันก่อน ปราณหยินของถ้ำหมายเลขห้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คงเป็นเจ้าที่ทำมันสินะ” ผู้อาวุโสชุดเหลืองถามอย่างราบเรียบโดยไม่ลืมตาขึ้นมา
“เรียนท่านผู้อาวุโส เป็นข้าน้อยเอง” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อม”
“อายุน้อยเช่นนี้ก็ก้าวมาถึงระดับนี้แล้ว นับว่ามีคุณสมบัติไม่เลว เจ้าไปได้แล้วล่ะ!” ผู้อาวุโสชุดเหลืองโบกมือ และไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลิ่วหมิงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก หลังจากคารวะผู้อาวุโสแล้ว ก็รีบไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที
“สาขาห่านฟ้าได้ต้นกล้าที่ดีมาต้นหนึ่ง” หลังจากหลิ่วหมิงเดินไปไกลแล้ว ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็พูดพึมพำออกมา จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อ
พอหลิ่วหมิงไปจากหุบเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำจันทรา เขาก็ขี่เมฆทะยานฟ้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง ไม่นานก็กลับถึงถ้ำที่พักของตนเอง
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงนั่งเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง รอจนจิตใจสงบลงแล้ว ถึงกระตุ้นพลังจิตเข้าไปในทะเลจิตรับรู้
ภายในทะเลจิตรับรู้ ศิลาหุนเทียนสีขาวดำยังคงลอยอยู่เงียบๆ แต่ว่าเม็ดทรายสีเงินใกล้จะเต็มนาฬิกาทรายสีทองส่วนล่างแล้ว ดูท่าคงจะห่างจากการดูดกลืนพลังเวทครั้งหน้ามากสุดก็แค่หนึ่งถึงสองเดือนเท่านั้น
ตามกฎของศิลาหุนเทียนแล้ว พลังเวทภายในร่างของเขาจะถูกทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง นอกจากนี้ยังต้องอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับนานเจ็ดแปดปี
จากประสบการณ์ในครั้งก่อน ในระหว่างเวลานี้ ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนวิชาหรือฝึกวิชาปรุงโอสถ ล้วนได้ผลเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะวิชาปรุงโอสถ ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาเรื่องวัตถุดิบเลย สามารถฝึกฝนได้ตามใจ สิ่งนี้ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้ใด ก็ล้วนฝันอยากได้เช่นนี้ และเขาก็รอคอยมานานเช่นกัน
อีกอย่าง ครั้งนี้หลิ่วหมิงกะจะพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับฟองอากาศกับหลัวโหวให้มากๆ
หลังจากเขาตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เวลาที่เหลือย่อมต้องไปเตรียมการสำหรับเรื่องนี้ให้พร้อม
หลิ่วหมิงนำศพตัวไหมน้ำแข็งออกจากยันต์เก็บของ และวางไว้บนพื้น
ปีศาจหนอนที่พบเห็นได้น้อยชนิดนี้ วัสดุบนตัวล้วนมีค่ามาก นับว่าเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงกรีดท้องของศพ และนำรังไหมสีขาวที่มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าออกมา ด้านในล้วนเป็นเส้นไหมสีขาวเงินชนิดนั้น
สำหรับเส้นไหมนี้ หลิ่วหมิงจดจำมันได้ดี มันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสูงก็ไม่อาจตัดมันขาดได้ จะต้องเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณอย่างแน่นอน
เขาเก็บเส้นไหมเข้าไปอย่างฉับไว และจัดการวัสดุส่วนอื่นๆ อย่างง่ายๆ
หลายวันต่อมา เขานั่งฝึกฝนอยู่ภายในถ้ำ หลังจากทำเขตแดนให้มั่นคงเล็กน้อย และฟื้นฟูพลังเวทไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากถ้ำ
……
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่ทางเข้าตลาดนิกายยอดบริสุทธิ์อักครั้ง
เขาแหงนหน้ามองกลุ่มสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ตรงหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา และเดินไปด้านหน้า
ตั้งแต่เข้านิกายยอดบริสุทธิ์มา เขาเข้าตลาดนี้อยู่บ่อยครั้ง และค่อยๆ คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้แล้ว
ลานหินสีดำที่อยู่ใจกลางตลาด เป็นสถานที่ที่ให้ศิษย์ในนิกายมาวางแผงได้ชั่วคราว และก็เป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุด สิ่งของที่ขายก็ผสมปนเปกันไป โดยพื้นฐานแล้วมีหมดทุกอย่าง
ผู้ที่มีความรู้กว้างไกล และเชื่อมั่นสายตาตนเอง อาจจะมาเสี่ยงดวงทำการซื้อขายที่นี่ได้
ส่วนถนนสี่สายที่เชื่อมกับลานกว้าง ก็เป็นร้านค้าที่เปิดต้อนรับลูกค้าเป็นหลัก มีร้านค้ามากมายที่ศิษย์สายนอกสายในจ้างให้คนมาเปิด และก็มีจำนวนหนึ่งที่อาศัยคนของตระกูลในนิกายมาทำการค้าอยู่ที่นี่ แต่ว่าสิ่งของของร้านค้าในถนนแต่ละสายต่างก็มีจุดสนใจเช่นกัน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางถนนด้านตะวันตก
ร้านค้าสองข้างทางมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจะมีคนเยอะกว่าสองครั้งในก่อนหน้านั้นมาก ในนั้นมีศิษย์สายนอกจำนวนไม่น้อย
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ร้านค้าแถวนี้ต่างก็มีวัสดุจำพวกกระดูกอสูร หนังอสูรจำนวนหนึ่ง บางร้านก็แขวนตัวอย่างของปีศาจอสูรไว้หน้าประตู
หลิ่วหมิงเดินวนไปหนึ่งรอบอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง
ชายวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปี สวมชุดสีขาว กำลังนั่งอยู่หลังตู้สินค้า ในมือถือตำราหนาๆ เล่มหนึ่งอยู่ และกำลังอ่านอย่างออกรส
พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ชายคนนี้ก็รีบลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลูกค้าท่านนี้ มีวัสดุปีศาจอสูรมาขายหรือ?”
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่กู่ ท่านนี่ลืมง่ายจริงๆ ลืมข้าได้เร็วเช่นนี้เลยหรือ?”
”ท่านคือ……อ้อ! ที่แท้ก็คือพี่หลิ่ว! แต่นี่เพิ่งไม่กี่วันเอง พลังของท่านรุดหน้าไปมาก คิดไม่ถึงว่าจะทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ” ชายวัยกลางคนได้ยินก็อึ้งไปทันที หลังจากสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็กล่าวออกมา
ชายวัยกลางคนมีชื่อว่ากู่เจี้ยเทียน วัสดุอัคคีจิตวิญญาณที่ได้จากแดนอบอ้าวในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงขายให้คนผู้นี้ไปส่วนหนึ่ง
กู่เจี้ยเทียนเป็นหนอนหนังสือ แต่ยังนับว่ามีความนอบน้อมและเกรงใจ ดูเหมือนเขาจะรู้จักปีศาจอสูรเกือบทุกชนิด ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงประทับใจเขาไม่น้อย
“ที่ข้ามาตลาดเมื่อครั้งก่อน ก็เพื่อซื้อโอสถจำนวนหนึ่ง ตอนนี้ถึงโชคดีทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นที่พี่หลิ่วมาในครั้งนี้ เพราะมีวัสดุปีศาจอสูรมาขายใช่หรือไม่?” กู่เจี้ยเทียนหัวเราะ และถามอย่างอดใจไม่ไหว สีหน้าเต็มไปด้วยการรอคอย
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกาย เขาหันไปสั่งคนในร้านให้ดูหน้าร้านไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในกับหลิ่วหมิงด้วยความดีใจ
ตอนที่ 517 โอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายห้องรับรองแขกของร้าน
หลิ่วหมิงหยิบยันต์เก็บของออกจากเอว และปล่อยพลังเข้าไป จากนั้นยันต์เก็บของก็เปล่งประกาย และพ่นแสงสีขาวออกมา หลังจากม้วนตัวลงพื้นอย่างรวดเร็วแล้ว บนพื้นก็เต็มไปด้วยวัสดุของตัวไหมน้ำแข็ง
“นี่คือ?”
กู่เจี้ยเทียนหยิบหนังของตัวไหมน้ำแข็งขึ้นมา หลังจากจ้องมองอย่างละเอียด ก็พลันนึกขึ้นมาได้
“ตัวไหมน้ำแข็งกระดูกหยิน! นี่คือวัสดุทั้งตัวของตัวไหมน้ำแข็งกระดูกหยิน!” กู่เจี้ยเทียนเงยหน้ากล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ที่แท้ไหมน้ำแข็งตัวนั้น ก็มีชื่อเรียกเช่นนี้เองหรอกหรือ? ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นวัสดุบนตัวปีศาจตัวไหมน้ำแข็งตัวหนึ่งจริงๆ” หลิ่วหมิงมองคนผู้นี้ทีหนึ่ง และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“สหายหลิ่วมีพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก ดูจากพลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในวัสดุเหล่านี้ มันคงเป็นตัวไหมน้ำแข็งกระดูกหยินระดับของเหลวขั้นปลายสินะ ปีศาจหนอนชนิดนี้เล่ห์เลี่ยมแพรวพราว ไม่สามารถเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันได้โดยง่าย แต่ท่านกลับสังหารมันได้…….” กู่เจี้ยเทียนทำเสียงจุ๊ๆ! จากนั้นก็ก้มมองวัสดุเหล่านี้อย่างละเอียด
“ข้าคนเดียวจะทำได้อย่างไรกัน เพียงแค่รวมพลังกับสหายสองสามคนสังหารมันเท่านั้น” หลิ่วหมิงหัวเราะและกล่าวออกมา
กู่เจี้ยเทียนขานรับ “อืม!” โดยที่สายตาไม่ละจากวัสดุบนพื้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากพลิกดูอยู่พักใหญ่ๆ ถึงเงยหน้าขึ้นมา
“วัสดุเหล่านี้สดใหม่มาก พลังจิตวิญญาณก็ยังไม่ได้สูญเสียไป หากขายให้ร้านเล็กๆ ของข้า ข้าจะเสนอราคานี้” กู่เจี้ยเทียนชูนิ้วแสดงราคา
“ห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ……” หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และพูดพึมพำออกมา
“ในเมื่อพี่หลิ่วเป็นลูกค้าเก่าแก่ของเรา ข้าจะไม่บอกราคาเท็จอย่างแน่นอน ตัวไหมน้ำแข็งตัวนี้อยู่ระดับของเหลวขั้นปลายไม่มีผิด แต่ของที่มีมูลค่าที่สุดอย่างแก่นบริสุทธิ์ของปีศาจหนอนตัวนี้ไม่มีอยู่แล้ว ราคานี้จึงนับว่ายุติธรรมมากแล้ว เชื่อว่าพี่หลิ่วไปร้านอื่นก็คงได้ราคามากสุดเท่านี้” กู่เจี้ยเทียนยิ้มซื่อๆ แล้วกล่าวออกมา
เส้นไหมกับแก่นผลึกของตัวไหมน้ำแข็งตัวนี้ หลิ่งหมิงยังได้ใช้ประโยชน์จากมัน เขาย่อมไม่ขายมันออกไปอย่างแน่นอน มิใช่นั้นคงแลกหินจิตวิญญาณมาได้ไม่น้อย
“เอาเถอะ!” เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
กู่เจี้ยเทียนเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา และหยิบยันต์เก็บของออกมาผืนหนึ่ง หลังจากกวาดไปบนพื้น แสงสีขาวก็กระพริบผ่านไป หลังจากวัสดุเหล่านี้ถูกเก็บเข้าไปในยันต์เก็บของแล้ว เขาก็โบกแขนเสื้อหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงยื่นให้หลิ่วหมิง
“สหายหลิ่วมาตลาดในครั้งนี้ คงไม่ได้มาขายวัสดุเหล่านี้เพียงอย่างเดียว หากมีอย่างอื่นที่ต้องการ ข้าก็นับว่าคุ้นเคยกับที่นี่มาก บางทีอาจจะแนะนำให้สหายได้” พอการค้าของพวกเขาสิ้นสุดอย่างรวดเร็วเช่นนี้ กู่เจี้ยเทียนก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา
เขามาตลาดในวันนี้ นอกจากจะขายวัสดุตัวไหมน้ำแข็งแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คืออยากหาตำราโอสถที่เหมาะสมมาสองอย่าง เพื่อที่จะได้ไปฝึกฝนปรุงโอสถในห้องว่างเปล่าลึกลับ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่งหมิงก็เดินออกจากร้านด้วยสีหน้าเบิกบานใจ และเดินตรงไปยังถนนทางด้านเหนือ
สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือโอสถที่สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนและฟื้นฟูพลังได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของเขา ตำราโอสถที่เพิ่มระดับการฝึกฝนพลังเวท จะต้องสามารถรวบรวมวัสดุที่จำเป็นได้ไม่ยาก อีกอย่างผลลัพธ์ของโอสถชนิดนี้ต้องแข็งแกร่งพอ และตอบสนองความต้องการของการฝึกฝนในระดับผลึกขั้นปลายได้
และโอสถที่ฟื้นฟูพลังเวท ผลลัพธ์จะต้องดีพอ สามารถฟื้นพลังเวทในได้ระยะเวลาสั้นๆ ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงไม่ต้องคำนึงมากนัก เพราะโอสถชนิดนี้จะใช้แค่ในตอนต่อสู้เท่านั้น จำนวนที่ต้องการจึงไม่ค่อยมาก
หอนานัปการก็มีตำราโอสถขายหลากหลายชนิด และที่เหมาะสำหรับใช้ในแต่ละเขตแดนก็ล้วนมีหมด
หลายวันก่อนเขาก็เคยไปดูมาแล้ว แต่ต้องใช้แต้มคุณูปการจำนวนมหาศาล เขาจึงละความคิดที่จะซื้อจากที่นั่นไปเลย
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงก็ได้แต่หาตำราโอสถที่เหมาะสมจากในตลาดแล้ว
และแม้กู่เจี้ยเทียนผู้นี้จะดูเป็นหนอนหนังสือไปหน่อย แต่ค่อนข้างคุ้นเคยกับตลาดเป็นอย่างดี พอรู้ความต้องการของหลิ่วหมิง เขาก็บอกชื่อร้านค้าหลายแห่ง และทำสีหน้าลึกลับในขณะที่พูดออกมา “ไปแล้วจะรู้เอง”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็เดินออกจากร้านตรงถนนทางทิศเหนือที่มีชื่อว่า ‘เรือนจวี้หยวน’ ด้วยสีหน้าจนปัญญา
เรือนจวี้หยวนนี้ เป็นร้านที่ห้าที่เขาเข้าไปแล้ว
ร้านเหล่านี้มีตำราโอสถจำนวนไม่น้อย แต่ส่วนมากล้วนเป็นโอสถถอนพิษ รักษาอาการบาดเจ็บ และใช้ในขณะทะลวงคอขวด แม้จะมีตำราหลายชุดที่สอดคล้องกับที่ต้องกัน แต่วัตถุดิบกลับหาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
“ตำราโอสถที่เหมาะสมกับตนเองช่างหาได้ยากจริงๆ ช่างเถอะ! มีเวลาหงุดหงิด ไม่สู้ไปหาร้านอื่นดีกว่า……” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาไม่กี่ประโยค จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปร้านโอสถที่อยู่ข้างๆ
หนึ่งเค่อต่อมา เขาก็เดินออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ร้านต่อไป……”
……
ด้านในห้องโถงของร้านที่มีชื่อว่า ‘เรือนไผ่หยก’ หลิ่วหมิงกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสผมขาวคนหนึ่ง
“ตำราโอสถที่สหายต้องการ อย่าหาว่าข้าชมตนเองเลย ข้าศึกษาโอสถมาทั้งชีวิต ตำราโอสถที่ข้ารวบรวมมาก็มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยแปดสิบอย่างแล้ว” ผู้อาวุโสผมขาวส่ายหน้า และกล่าวออกมา
“ตำราโอสถเพิ่มพลังเวท จะต้องตรงกับความต้องการของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“ได้ สหายรอสักครู่” ผู้อาวุโสกดยันต์เก็บของบนเอวอยู่ครู่หนึ่ง พอแสงสีขาวเปล่งประกาย ก็มีแผ่นหยกสีขาวปรากฏอยู่ในมือ
หลิ่วหมิงยื่นมือรับแผ่นหยกสีขาวมาแปะไว้บนหน้าผาก และหลับตาอย่างเงียบๆ
ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ เขาก็ค่อยๆ นำแผ่นหยกออก และส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
“ไม่มีหรือ? ไม่ต้องกังวลไป สหายลองดูอันนี้” ผู้อาวุโสยื่นแผ่นหยกอีกชิ้นให้
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิ่วหมิงก็ส่ายหน้าด้วยความผิดหวังอีกครั้ง
ไม่นาน ก็มีแผ่นหยกวางอยู่บนโต๊ะเจ็ดแปดชิ้น
หลิ่วหมิงมองดูผู้อาวุโสผมขาวที่หยิบแผ่นหยกสีแดงออกมาอีกชิ้น จนเขาอดรู้สึกเลื่อมใสไม่ได้
แม้ผู้อาวุโสจะพูดจาโอ้อวดเล็กน้อย แต่ตำราโอสถที่เขารวบรวมมามีมากจริงๆ ผลลัพธ์ของโอสถก็ไม่เลว เพียงแต่ยังห่างจากโอสถที่หลิ่วหมิงต้องการไปหน่อย
“ตำราโอสถข้างในแผ่นหยกนี้ ล้วนเป็นตำราโอสถระดับสูงจำนวนหนึ่งที่ข้ารวบรวมมาอย่างยากลำบาก บ้างก็เป็นตำราคุณภาพสูงในสมัยโบราณ” สีหน้ายิ้มแย้มในของผู้อาวุโสในก่อนหน้านั้นหายไป และเขาก็ยื่นแผ่นหยกให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า และนำแผ่นหยกมาวางไว้บนหน้าผาก
เขาปล่อยจิตรับรู้ไปตรวจดูเนื้อหาด้านในอย่างละเอียด
หลังจากดูตำราในส่วนแรกแล้ว ล้วนเป็นสุดยอดตำราโอสถจำนวนหนึ่ง เพียงแต่วัตถุดิบส่วนมากล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน คิดว่ากว่าจะค้นหามาได้หนึ่งชุดคงไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าพูดว่าจะเตรียมไว้หลายๆ ชุดเลย
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ และสำรวจดูไปเรื่อยๆ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่านั้น คิ้วของเขาก็ค่อยๆ ขยับ ดวงตาเปล่งประกายความดีใจออกมา
หลังจากผ่านไปอีกซักพัก เขาก็นำแผ่นหยกคืนให้ผู้อาวุโส
“เอา ‘โอสถผลึกเย็น’ กับ ‘โอสถจินหยวน’ ก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล
นับว่าเวลาไม่เคยติดค้างผู้มีความตั้งใจ หลังจากเขาหามาครึ่งวัน ในที่สุดก็หาตำราโอสถที่เหมาะสมกับความต้องการของเขาได้
“ตำราโอสถเหล่านี้เป็นโอสถที่ไม่นิยมกัน การปรุงก็ไม่ง่าย” ผู้อาวุโสมองดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจ และพูดเตือนขึ้นมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน ข้าจะเอาตำราโอสถสองอย่างนี้” หลิ่วหมิงยืนยันอย่างหนักแน่น
โอสถผลึกเย็นนี้เป็นโอสถเพิ่มพลังเวทธาตุหยิน วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการปรุงคือพืชจิตวิญญาณที่มีชื่อว่าผลผลึกเขียว และต้องมีอายุสองร้อยปีขึ้นไปถึงจะเข้าโอสถได้
ในนิกายยอดบริสุทธิ์มีพืชจิตวิญญาณอย่างผลผลึกเขียวนี้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีการนำมันมาปรุงโอสถผลึกเย็น ส่วนมากใช้ทำอย่างอื่นมากกว่า
ไม่ใช่ว่าผลลัพธ์ของโอสถผลึกเย็นไม่ดี ในตรงกันข้ามโอสถชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายมาก ที่ไม่มีคนปรุงโอสถชนิดนี้เป็นเพราะว่า อัตราการปรุงสำเร็จต่ำมาก ต่อให้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็ปรุงโอสถถึงสิบเตาถึงจะสำเร็จหนึ่งครั้ง
ส่วนผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนอื่นๆ ย่อมมีอัตราความสำเร็จต่ำอย่างน่าสงสาร
และแม้ว่าผลผลึกเขียวจะหาซื้อได้ในนิกาย แต่ราคาของมันในช่วงสองร้อยปีมานี้ยังคงน่าตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครก็ไม่มีหินจิตวิญญาณและกำลังทรัพย์มากพอ ที่จะซื้อพืชจิตวิญญาณจำนวนมากที่ปลูกมาเป็นร้อยปี เพื่อฝึกปรุงโอสถผลึกเย็น
ด้วยเหตุนี้ ตำราโอสถชนิดนี้ย่อมเป็นเหมือนซี่โครงไก่ที่ไม่มีรสชาติน่ากินอะไร
ส่วน ‘โอสถจินหยวน’ คือการนำแก่นบริสุทธิ์ของอสูรจินหยวนระดับของเหลวมาเป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงโอสถฟื้นฟูพลังเวท
โอสถชนิดนี้ก็มีอัตราการปรุงสำเร็จค่อนข้างต่ำ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถโดยทั่วไป ก็ไม่เปิดเตาปรุงโอสถชนิดนี้โดยง่าย
หลังจากต่อรองราคากันแล้ว เนื่องจากตำราโอสถผลึกเย็นไม่ค่อยเป็นที่นิยม จึงได้มาในราคาไม่กี่พันหินจิตวิญญาณเท่านั้น
ส่วนโอสถจินหยวน แม้จะมีอัตราการปรุงสำเร็จต่ำ แต่เนื่องจากมีผลลัพธ์ไม่เลว ยังคงมีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถจำนวนมากศึกษาอยู่ ด้วยเหตุนี้ราคาของมันจึงไม่ใช่ถูกๆ
“ตกลง! ห้าหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ” ในที่สุดผู้อาวุโสก็หรี่ตากล่าวออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้า และหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงกับระดับกลางยื่นให้ผู้อาวุโสอย่างละห้าก้อน และลงนามในสัญญาเวทว่าห้ามแพร่งพรายให้กับผู้อื่น
ขณะนี้ผู้อาวุโสก็ไม่พูดอะไรมาก เขาหยิบแผ่นหยกเปล่าๆ ออกมา และเริ่มลอกเนื้อหาเข้าไป เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งถ้วยชา เขาก็โยนแผ่นหยกให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือไปรับแผ่นหยก และปล่อยจิตกวาดดูด้านในเล็กน้อย หลังจากมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดแล้ว ก็กล่าวลากับผู้อาวุโส
หลังจากซื้อตำราโอสถมาได้แล้ว ความรู้สึกหนักอึ้งในใจหลิ่วหมิงก็หายไป ทันใดนั้น เขาก็เดินวนในตลาดอีกครึ่งวัน ในที่สุดก็รวบรวมวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนมาได้สองสามชุด
เพื่อวัตถุดิบเหล่านี้แล้ว เขาใช้หินจิตวิญญาณบนตัวจนเกือบหมดเกลี้ยง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลิ่วหมิงก็ไม่อยู่ในตลาดนานอีก เขารีบออกไปก่อนฟ้าจะมืด และกลับไปเก็บตัวในถ้ำของตนเองอย่างรวดเร็ว แต่ละวันก็เอาแต่นั่งสมาธิฝึกปราณ และรอคอยการมาปรากฏตัวของฟองอากาศลึกลับอย่างเงียบๆ
จนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน
วันนี้ เมื่อเม็ดทรายเม็ดสุดท้ายในรูปนาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงร่วงลงไป ทะเลจิตวิญญาณของเขาก็ค่อยๆ สั่นสะท้าน จุดแสงแวววาวเปล่งประกายออกมา ฟองอากาศโปร่งใสขนาดเท่าเม็ดถั่วปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็นำจิตส่วนหนึ่งไปแตะมันเบาๆ
“เพล้ง!”
ฟองอากาศระเบิดออกมาทันที แรงดึงดูดที่บอกไม่ถูกทะลักออกมา
พลังเวทในร่างพวยพุ่งขึ้นมาในพริบตา และทะลักไปยังทะเลจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ลางๆ บริเวณจุดตันเถียน
“ในที่สุดก็เริ่มแล้ว” หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ และพูดพึมพำออกมา
ตอนที่ 518 โอสถระดับสูง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงรับรู้ถึงพลังเวทที่ไหลภายในร่างอย่างรวดเร็ว สีหน้าดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
สำหรับเวลานี้ เขารอคอยมานานแล้ว พอตบถุงหนังสีดำสองใบบนเอว หมอกดำสองกลุ่มก็ม้วนตัวออกมา มันค่อยๆ รวมตัวกันเป็นแมงป่องกระดูกสีเงินกับหัวบินหน้าอัปลักษณ์
“นายท่าน!” มีเสียงเด็กสาวกับเด็กชายดังขึ้นข้างหู
หลิ่วหมิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองพวกมันทีหนึ่ง จากนั้นก็ใช้จิตสั่งพวกมันอย่างง่ายๆ
ครู่ต่อมา แมงป่องกระดูกก็ใช้ก้ามทั้งสองเกาะขาหลิ่วหมิงไว้ และหิวบินก็ปล่อยผมยาวออกมารัดพันแขนของหลิ่วหมิงไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย และตรวจสอบวัตถุดิบที่อยู่ในหอยสังข์ย่อส่วนกับยันต์เก็บของไปหนึ่งรอบ หลังจากค้นพบว่าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เขาก็ทำท่ามือและหลับตาทั้งคู่ลง จากนั้นก็เริ่มควบคุมการเคลื่อนไหวของพลังเวทภายในร่าง และรอคอยให้พลังเวทถูกดูดกลืนจนหมด เพื่อที่จะได้เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ
ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าที่มีเลือดฝาดของเขา ก็ค่อยๆ ซีดขาวขึ้นมา ไอหมอกดำที่พวยพุ่งรอบตัว ก็เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
พอพลังเวทถูกดูดไปแปดถึงเก้าในสิบส่วน แรงดึงดูดในจุดตันเถียนก็หยุดชะงักลง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย สุดท้ายเขายังไม่ทันได้คิดอะไร ก็มีเสียงดัง “หวึ่ง!” จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง
เมื่อเขาเห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชัดเจน ร่างของเขาก็มาอยู่ในห้องว่างเปล่าสีเทาแล้ว
ห้องว่างเปล่าในขณะนี้มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ มีพื้นที่มากขึ้นกว่าครั้งก่อนไม่น้อย
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูหัวบินกับแมงป่องกระดูกที่อยู่ด้านข้าง พวกมันทั้งสองถูกนำเข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับอย่างปลอดภัยเช่นกัน
“เอาล่ะ! สิ่งที่มีในตอนนี้ก็คือเวลา พวกเจ้าทั้งสองไปฝึกฝนเถอะ!” หลิ่วหมิงโบกมือและกล่าวออกมาเบาๆ
“ทราบ…นายท่าน…”
แมงป่องกระดูกโบกก้ามทั้งคู่ และกระโดดลงไปอย่างรวดเร็ว มันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็ไปปรากฏตัวหน้ากำแพงหมอกที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกัน หางตะขอก็ปักใส่ผนังหมอกอย่างบ้าคลั่ง
หัวบินก็ไม่ยอมน้อยหน้า พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเงาเก้าเงา และพุ่งไปยังกำแพงหมอกอีกด้านหนึ่ง
พอเห็นว่าอสูรเลี้ยงแสนรักของตนเริ่มฝึกฝนแล้ว หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตาไปรอบด้าน และตะโกนออกมา
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ผู้น้อยมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะเล็กน้อย ขอท่านปรากฏตัวด้วย”
เสียงดังก้องอยู่ในห้องว่างเปล่า หนึ่งเค่อผ่านไปก็ยังไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา
หลิ่วหมิงตะโกนเรียกเช่นนี้อีกสองสามรอบ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะปรากฏตัวออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ส่ายหน้าด้วยความจนใจ
ดูท่าหลัวโหวคงไม่ยอมปรากฏตัวในตอนนี้ หรือไม่ก็หลับลึกอีกแล้ว
เขานั่งขัดสมาธิลงไปทันที และเริ่มนึกถึงเนื้อหาในคัมภีร์ของหอนานัปการ ที่แนะนำเกี่ยวกับระบบและประเภทโอสถในแผ่นดินจงเทียนอย่างเงียบๆ
ตามที่บันทึกไว้ แดนบำเพ็ญเซียนในแผ่นดินจงเทียนแบ่งโอสถละเอียดมาก และได้กลายเป็นระบบใหญ่ในโลกการฝึกฝนแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แผ่นดินอวิ๋นชวนจะสามารถเปรียบเทียบได้
แม้ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปจะใช้โอสถที่เหมาะสมกับระดับการฝึกฝนมาแบ่งประเภทเป็นระดับศิษย์จิตวิญญาณ ระดับของเหลว ระดับผลึก จนกระทั่งระดับแก่นแท้ขึ้นไป และเรียกโอสถระดับต่ำหรือโอสถระดับสูงตามความยากง่ายในการปรุง
แต่ความจริงแล้วโอสถของแต่ละระดับ สามารถแบ่งได้ตามระดับความบริสุทธิ์ของโอสถ คือโอสถระดับต่ำ โอสถระดับกลาง และโอสถระดับสูง
โอสถแต่ละชนิดที่ปรุงออกมา ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งเจือปนที่ไม่มีประโยชน์กับผู้ทานได้ และอาศัยวิธีการต่างๆ ในการประเมินค่าของมันได้โดยง่าย
โอสถระดับต่ำ คือโอสถที่มีสิ่งเจือปนเกินห้าส่วนขึ้นไป ซึ่งมีความบริสุทธิ์น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
โอสถระดับกลาง คือโอสถที่มีความบริสุทธิ์ห้าถึงเจ็ดส่วน
โอสถระดับสูง เป็นโอสถที่มีความบริสุทธิ์เจ็ดส่วนขึ้นไป และโอสถที่มีความบริสุทธิ์เจ็ดถึงแปดส่วน เรียกว่าโอสถธรรมดา โอสถที่มีความบริสุทธิ์แปดถึงเก้าส่วน เรียกว่าโอสถพสุธา และโอสถที่มีความบริสุทธิ์เก้าส่วนขึ้นไป ก็เป็นโอสถสวรรค์ตามที่เล่าลือกันแล้ว
และพอโอสถเข้าสู่ระดับสูงแล้ว ก็จะมีลายเส้นจิตวิญญาณปรากฏบนพื้นผิว และลายเส้นยิ่งมาก คุณภาพของโอสถก็ยิ่งสูง และลายเส้นจิตวิญญาณเหล่านี้ ก็ถูกเรียกกันว่าลายโอสถ ด้วยเหตุนี้ต่อให้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ก็สามารถแยกแยะคุณภาพของโอสถผ่านลายโอสถได้อย่างง่ายดาย
โดยทั่วไปแล้ว โอสถที่มีลายสามเส้นลงไปจะเป็นโอสถธรรมดา สามเส้นถึงหกเส้นจะเป็นโอสถพสุธา และหกเส้นขึ้นไปย่อมเป็นโอสถสวรรค์แล้ว
และพอโอสถเข้าสู่ระดับสูงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าหรือราคาของมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่โอสถระดับกลางจะสามารถเทียบได้ เพราะโอสถที่มีความบริสุทธิ์สูง ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์หรืออาการต่อต้านโอสถล้วนแตกต่างกันยิ่งนัก
แม้กระทั่งโอสถที่มีผลกระทบพิเศษบางอย่าง หากมีความบริสุทธิ์แตกต่างกันหนึ่งถึงห้าส่วน ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ในการทานแตกต่างกันราวฟ้ากับดินก็เป็นได้
และในแผ่นดินจงเทียน มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรุงโอสถระดับสูงได้เท่านั้น ถึงจะเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริงได้
พอหลิ่วหมิงนึกถึงโอสถชิงซ่านที่ฟางเหยาปรุงให้เขาในทะเลหนานไห่ ดูเหมือนว่าจะมีลายโอสถอยู่สองเส้น ดังนั้นจึงนับว่าเขาพอจะคู่ควรกับคำว่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถได้
แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่สามารถปรุงโอสถระดับสูงของระดับศิษย์จิตวิญญาณ ระดับของเหลว และระดับผลึกได้ ย่อมแตกต่างกันมาก
เพราะอย่างแรกยังต้องอาศัยทรัพยากรของนิกายหรือตระกูลเป็นจำนวนมาก แต่อย่างหลังต้องพึ่งพรสวรรค์การปรุงโอสถของตัวเองจริงๆ
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ในใจ และนึกถึงตอนที่เข้าห้องว่างเปล่าลึกลับในเมืองเสวียนจิงของแผ่นดินอวิ๋นชวน เขาเคยปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณแบบเดียวกันเป็นจำนวนมาก และปรุงโอสถธรรมดาที่มีลายโอสถหนึ่งเส้น
และในโลกของผู้ฝึกฝน ต่างก็เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนที่มีระดับการฝึกฝนยิ่งสูง ก็ยิ่งหาผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่เหมาะสมกับระดับการฝึกฝนของตนเองได้ยากยิ่งนัก
พอหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ เขาก็หยิบกล่องหยกใส่โอสถสีเงินที่มีเปลวไฟสามสีปกคลุมอยู่ออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน หลังจากเปิดฝาออก ก็ใช้นิ้วคีบมันขึ้นมาสังเกตดู
เมื่อมองทะลุเปลวไฟสามสีไป และมั่นใจว่าบนนั้นมีลายโอสถอยู่สามเส้นแล้ว แววตาหลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าและเก็บโอสถเข้าไป
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากโอสถผลึกเย็นเถอะ!”
เขาพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็หยิบตำราโอสถออกจากแขนเสื้อมาแผ่นหนึ่ง และศึกษาอย่างละเอียด
ครึ่งวันผ่านไป หลังจากพินิจพิเคราะห์ไปรอบหนึ่งแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อทันที เตาหลอมสามขาเล็กๆ ที่มีสีเงินจางๆ พุ่งออกมา จากนั้นก็พร่ามัวยืดตัวสูงขึ้นหลายฉื่อ และค่อยๆ ร่วงลงพื้นอย่างมั่นคง
เขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง และควักยันต์สีเหลืองจางๆ ออกมา
ลายเส้นจิตวิญญาณสีเงินปกคลุมอยู่บนผิวยันต์เป็นจำนวนมาก มันคือยันต์เก็บของธรรมดาที่ใส่วัตถุดิบปรุงโอสถนั่นเอง
พอเขาขยี้ยันต์จนแตกกระจาย แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นวัตถุดิบปรุงโอสถก็กองอยู่บนพื้น
วัตถุดิบเหล่านี้ เขาได้จัดสัดส่วนสำหรับปรุงโอสถผลึกเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว มันเพียงพอที่จะใช้ในหนึ่งวัน
เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถภายในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้ จะไม่สูญสลายไปอย่างแท้จริง ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้ว เขาเพียงแค่เตรียมวัตถุดิบไว้หนึ่งชุด ก็สามารถปรุงโอสถได้อย่างไม่จำกัด แต่ผู้ที่มีความรอบคอบอย่างเขา ยังคงเตรียมมาห้าชุดด้วยกัน
หลิ่วหมิงปล่อยพลังใส่เตาหลอมสีเงินด้วยตาที่เป็นประกาย
ลายเส้นจิตวิญญาณบนผิวเตาหลอมเปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงดังโครมคราม และฝาเตาก็ค่อยๆ เปิดออกมา
พอเขายกแขนเสื้อขึ้น ก็มีพายุพัดผ่าน จากนั้นวัตถุดิบปรุงโอสถก็ม้วนตัวเข้าไปในเตาหลอมทันที
พอเขาโบกแขนเสื้อเบาๆ ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิลงไป และร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองก็ดีดออกไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อปล่อยพลังเข้าไปในเตาหลอมสีเงิน
เตาหลอมค่อยๆ สั่นสะท้าน เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นมา และปกคลุมเตาหลอมสีเงินไว้
วันที่สอง
มีเสียงดังระเบิดดัง “ตู๊ม!” ในเตาหลอม จากนั้นกลิ่นเหม็นไหม้ก็ลอยออกมา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และหยุดทำท่ามือ หลังจากนำเศษวัตถุดิบสีดำออกมาแล้ว เขาก็หยิบยันต์สีเหลืองจางๆ ออกจากแขนเสื้อมาหนึ่งผืน จากนั้นก็ขยี้ยันต์ และเทวัตถุดิบลงในเตาหลอม และเริ่มปรุงโอสถเป็นครั้งที่สอง
……
หนึ่งเดือนต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงหยิบเศษสีดำออกจากเตาหลอมอีกครั้งนั้น เขาก็ต้องขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
เขาปรุงโอสถผลึกเย็นเป็นครั้งที่สามสิบแล้ว สามสิบครั้งในก่อนหน้าไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง แม้แต่โอสถที่มีความบริสุทธิ์ต่ำสุดก็ยังไม่เคยปรุงสำเร็จเลยซักเม็ด
เดิมทีคิดว่าตนเองพอจะมีประสบการณ์การปรุงโอสถอยู่บ้าง ตอนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ดูท่าโอสถระดับของเหลวนี้ จะปรุงยากกว่าระดับศิษย์จิตวิญญาณไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เขาลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายไปหนึ่งรอบ และสำรวจดูการฝึกฝนของแมงป่องกระดูกกับหัวบิน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิปรุงโอสถต่อ
……
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หลิ่วหมิงยังคงนั่งอยู่หน้าเตาหลอม และตั้งใจกระตุ้นพลังควบคุมเตาหลอม มีเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดออกมาเต็มหน้าผาก
สามเดือนต่อมา หลิ่วหมิงจ้องมองโอสถไหม้เกรียมในเตาหลอม และยิ้มอย่างขมขื่น
หกเดือนผ่านไป……
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
ภายในห้องว่างเปล่าลึกลับ หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมสีเงิน และจ้องมองโอสถสีเงินแวววาวเม็ดหนึ่งตรงหน้า ในที่สุดเขาก็เผยสีหน้าเบิกบานใจออกมา
โอสถผลึกเย็นเม็ดนี้ เป็นความสำเร็จหนึ่งเดียวหลังจากลองผิดลองถูกมาหนึ่งปี นี่ยังถือว่าโชคดีที่เขาพอจะมีประสบการณ์ปรุงโอสถอยู่บ้าง
หลังจากประเมินค่าง่ายๆ จากบันทึกในคัมภีร์แล้ว ความบริสุทธิ์ของโอสถผลึกเย็นนี้มีความบริสุทธิ์แค่สามส่วน พอจะนับได้ว่าเป็นโอสถระดับต่ำเท่านั้น
แม้จะบอกว่าเป็นโอสถที่มีความบริสุทธิ์แค่สามส่วน แต่กลับเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับหลิ่วหมิงมาก
อย่างที่รู้ว่า คนธรรมดาไม่ต้องพูดถึงการล้มเหลวหลายร้อยครั้ง เพียงแค่เผชิญกับความล้มเหลวแค่หลายสิบหรือสิบครั้ง ก็หมดความเชื่อมั่น และละทิ้งไปตั้งนานแล้ว
เขานำโอสถใส่กล่องหยกที่เตรียมมา จากนั้นก็ขยี้ยันต์อีกผืน พอใส่วัตถุดิบเข้าไปในเตาหลอมสีเงินตรงหน้าแล้ว ก็จดจ่ออยู่กับการปรุงโอสถต่อ
ในเมื่อมีความสำเร็จแรกเกิดขึ้น หลิ่วหมิงเชื่อว่าโอสถที่จะหลอมสำเร็จในครั้งหน้า จะต้องใช้เวลาไม่นานมากนัก
ตอนที่ 519 ต่อสู้กับหลานสี่อีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองปีผ่านไป
ขณะที่หลิ่วหมิงนำโอสถผลึกเย็นที่มีลายโอสถสีเงินจางๆ อยู่บนพื้นผิวสองเส้นออกจากเตาหลอมนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ
นี่คือโอสถผลึกเย็นระดับสูงเม็ดแรกที่เขาปรุงออกมาได้ในสองปีมานี้ แม้จะเป็นแค่โอสถธรรมดาเม็ดหนึ่งที่มีลายโอสถแค่หนึ่งเส้น แต่เทียบกับโอสถระดับกลางความบริสุทธิ์ต่ำ ที่ปรุงขึ้นมาในสองปีที่ผ่านมาแล้ว ถือว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก
แต่อัตราความสำเร็จในหลอมโอสถผลึกเย็นยังคงไม่ถึงสามในสิบส่วน
สามปีต่อมา หลังผ่านการปรุงโอสถอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดอัตราความสำเร็จในการหลอมโอสถผลึกเย็น ก็สูงขึ้นเจ็ดส่วนขึ้นไป ทั้งยังโชคดีปรุงโอสถพสุธาที่มีความบริสุทธิ์แปดส่วนขึ้นไปได้เป็นบางครั้ง
การปรุงโอสถที่มีอัตราความสำเร็จสูงเช่นนี้ หากอยู่ในโลกภายนอก เกรงว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถจำนวนมาก คงจะรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดอย่างแน่นอน
เพราะมีไม่กี่คนที่ยอมเสียทรัพยากรจำนวนมากเพื่อฝึกปรุงโอสถชนิดนี้ ต่อให้มีก็ไม่สามารถราบรวมวัตถุดิบมาได้มากขนาดนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็ไม่คิดจะหยุดการฝึกฝนแต่อย่างใด
แต่หลายเดือนต่อมา หลิ่วหมิงค้นพบว่าแม้เขาจะปรุงโอสถเหมือนเดิม แต่ไม่ว่าอัตราความสำเร็จหรือการยกระดับคุณภาพโอสถกลับช้าลงอย่างชัดเจน
หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว เขาก็คาดเดาได้ว่าคงเผชิญกับปัญหาคอขวดเข้าแล้ว หากฝึกฝนเช่นนี้ต่อไปจะเปลืองแรงเสียเวลาเปล่าๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจวางเรื่องโอสถผลึกเย็นไว้ก่อน และเริ่มลองปรุงโอสถจินหยวนตามที่บันทึกไว้ในตำรา
หลังจากมีประสบการณ์การปรุงโอสถผลึกเย็นก่อนหน้ามาแล้ว ขั้นตอนการปรุงโอสถจินหยวนในครั้งนี้จึงราบรื่นขึ้นมามาก เนื่องจากเป็นโอสถระดับของเหลวเหมือนกัน วิธีการปรุงจึงคล้ายกันเล็กน้อย
ผ่านไปเก้าเดือน โอสถจินหยวนระดับธรรมดาที่มีลายจิตวิญญาณสีทองจางๆ หนึ่งเส้นอยู่บนพื้นผิว ก็ถูกปรุงออกมา
หลิ่วหมิงจ้องมองโอสถสีทองอร่ามในมือด้วยสีหน้าลังเล
เนื่องจากโอสถจินหยวนใช้แก่นผลึกของปีศาจอสูรเป็นวัตถุดิบหลัก ในระหว่างการหลอมแก่นผลึกของปีศาจอสูรค่อนข้างใช้เวลามาก การปรุงโอสถหนึ่งเตาต้องใช้เวลาราวๆ สามวัน เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ของมันน้อยกว่าโอสถผลึกเย็นมาก
และอัตราความสำเร็จในการปรุงโอสถจินหยวน ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณภาพแก่นบริสุทธิ์ของอสูรจินหยวนมาก
เขาซื้อแก่นบริสุทธิ์จินหยวนมาทั้งหมดห้าชุด สี่ในห้าชุดเป็นแก่นบริสุทธิ์ของปีศาจจินหยวนระดับของเหลวขั้นต้น ส่วนอีกชุดเป็นระดับของเหลวขั้นกลาง
ผลลัพธ์เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้ในก่อนหน้า โอสถจินหยวนที่ปรุงจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นกลาง มีอัตราความสำเร็จราวๆ สามส่วนขึ้นไป หลังจากฝึกฝนซ้ำๆ หลายครั้งก็สูงขึ้นห้าหกส่วน
และโอสถที่ปรุงขึ้นมาจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นต้น ก็มีอัตราความสำเร็จไม่ถึงหนึ่งส่วน หลังผ่านการฝึกฝนมากว่าครึ่งปี อัตราความสำเร็จก็ยังคงวนอยู่ที่สองสามส่วนเท่านั้น
นอกจากนี้ ระดับของโอสถจินหยวนที่ปรุงมาจากแก่นบริสุทธิ์ต่างระดับกัน ก็มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
โอสถจิตหยวนที่ปรุงจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นต้น แม้จะกลายเป็นโอสถ แต่ก็เป็นโอสถระดับต่ำที่มีความบริสุทธิ์แค่สามสี่ส่วน ซึ่งปรุงเป็นโอสถระดับกลางที่มีความบริสุทธิ์ห้าหกส่วนได้เป็นครั้งคราว
และโอสถที่ปรุงจากแก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นกลาง โดยทั่วไปมีความบริสุทธิ์ประมาณห้าหกส่วน และยังปรุงเป็นโอสถระดับสูงได้เป็นครั้งคราว
ดูท่าหากจะปรุงโอสถระดับของเหลวที่มีความบริสุทธิ์สูง วัตถุดิบที่ใช้ก็มีความสำคัญเช่นกัน และจะเพิ่มต้นทุนวัตถุดิบด้วย แต่ก็อย่างไรก็ตาม มันยังคงเพิ่มมูลค่าของโอสถเป็นอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้ว โอสถระดับสูงไม่ค่อยมีขายในตลาด ผู้คนต่างก็อยากได้
หลังจากหลิ่งหมิงคิดเช่นนี้แล้ว ก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเก็บโอสถสีทองเข้าไปทันที หลังจากเหยียดแขนทั้งสองออกไปเล็กน้อย ก็ลุกขึ้นเดินไปทางแมงป่องกระดูกกับหัวบิน
หน้ากำแพงหมอกด้านหนึ่ง หัวบินที่มีไอดำพวยพุ่งรอบตัวกำลังพ่นเปลวไฟสีเขียวโจมตีด้านหน้าไม่หยุด
ไม่รู้ว่ากำแพงหมอกในห้องว่างเปล่าลึกลับเป็นชั้นจำกัดแบบใดกัน แต่ภายใต้การโจมอย่างต่อเนื่องของเปลวไฟสีเขียว ก็มีคลื่นพลังเวทแผ่กระจายบนพื้นผิวอย่างรุนแรง และกลายเป็นชั้นระลอกคลื่นกลางอากาศ จากนั้นก็แผ่ขยายออกไปรอบด้าน
พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา หัวบินก็ส่ายหัวกลางอากาศหนึ่งที ดวงตาสีแดงเป็นประกาย แสงสีเขียวระยิบระยับบนพื้นผิว เส้นผมบนหัวตั้งตรงขึ้นมา และพุ่งยิงใส่กำแพงหมอกตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากมีเสียงดัง “ปังๆ!” ก็ปรากฏรูเล็กๆ บนกำแพงหมอกสีเทาเป็นจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่ามันแหลมคมกว่าก่อนเข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับเล็กน้อย แต่ไม่นานรูจำนวนมากก็ผสานกลับมาดังเดิม
“ทำได้ไม่เลว!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวชมเชยเบาๆ
หัวบินได้ยินก็บินวนรอบตัวหลิ่วหมิงด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้
หัวบินในตอนนี้ไม่เพียงแต่มีเสียงคล้ายเด็กน้อย แม้แต่นิสัยก็ใกล้เคียงเล็กน้อย
เขาโบกมือบ่งบอกให้มันฝึกฝนต่อ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปทางแมงป่องกระดูก
“นายท่าน…” แมงป่องกระดูกแตกต่างจากหัวบิน พอมันเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็กระโดดขึ้นบนไหล่ของเขาในทันที จากนั้นก็ใช้ก้ามทั้งคู่ถูกเสื้อของเขา
สำหรับท่าทีสนิมสนมของแมงป่องกระดูกนั้น หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด หลังจากยื่นมือไปลูบหลังเย็นๆ ของมันแล้ว ก็สั่งให้มันแสดงผลลัพธ์การฝึกฝนในระยะนี้ให้ดูหน่อย
แมงป่องกระดูกกระโดดลงจากหลังหลิ่วหมิงในทันที แสงสีเงินเปล่งประกายบนตัว ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นมาสิบกว่าจั้งราวกับว่าถูกเป่าลม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ร่นถอยออกไปสองก้าว และตั้งหลักมองดูอย่างละเอียด
ไอดำบนตัวแมงป่องกระดูกยักษ์พวยพุ่ง ลวดลายสีเงินบนตัวเปล่งประกายไม่หยุด หัวมังกรบนหางตะขอแวววาวพร่ามัวกลายเป็นแสงสีม่วงจางๆ จนเกือบมองไม่เห็น
ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงดังกระชั้นชิดกลางอากาศ “ฟิ้วๆ!”
ความเร็วในการโจมตีของหางตะขอ เข้าสู่ระดับที่คาดไม่ถึงแล้ว!
พอเสียงดังแหลมหยุดลง หัวมังกรสีม่วงตรงหลังของแมงป่องกระดูกถึงปรากฏออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะหันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็โบกก้ามทั้งคู่ และสะบัดไปทางกำแพงหมอกท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่ง
“โครมคราม!”
พื้นผิวกำแพงหมอกพวยพุ่งอย่างรุนแรง มีไอดำระยิบระยับปะปนอยู่ในนั้น
เมื่อไอหมอกค่อยๆ หยุดพวยพุ่ง ก็มีรอยเว้าลึกหลายจั้งปรากฏบนกำแพงหมอก จากนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นกลับคืนสถาพเดิม ประจักษ์ชัดว่าไอดำมีผลในการฟื้นคืนสภาพเดิมของมัน
“ทำได้ดี! หยุดได้ละ!” หลังจากหลิ่วหมิงเห็นว่าวิธีการโจมตีของแมงป่องกระดูกมีความรุดหน้าอีกครั้ง เขาก็โบกมือแสดงท่าทีให้มันหยุดทำการโจมตี
หลัวโหวเคยพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างห้องว่างเปล่าลึกลับกับผนึกปีศาจโบราณ หากทำลายห้องว่างเปล่านี้โดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรบ้าง
แมงป่องกระดูกได้ยินก็เก็บไอดำเข้าไป จากนั้นก็ลดขนาดลงจนมีขนาดไม่กี่ชุ่น และเคลื่อนไหวไปอยู่บนไหล่ของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และลูบก้ามยักษ์แมงป่องกระดูกเบาๆ จากนั้นก็ให้มันฝึกฝนต่อ
หลังจากเขาใช้จิตสั่งหัวบินเช่นเดียวกันแล้ว ก็หมุนตัวกลับมานั่งขัดสมาธิลงหน้าเตาหลอม และทำการปรุงโอสถต่อ
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว หลิ่วหมิงก็ปรุงโอสถจินหยวนเป็นเวลาสามปีแล้ว
ขณะนี้เขากุมเคล็ดลับการปรุงโอสถจินหยวนได้พอประมาณแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพหรืออัตราความสำเร็จต่างก็สูงขึ้นเป็นทวี เขาสามารถใช้แก่นบริสุทธิ์ระดับของเหลวขั้นกลางหลอมโอสถระดับสูงได้เป็นครั้งคราว
หลิ่วหมิงค่อนข้างพอใจกับสิ่งนี้มาก
แม้โอสถจินหยวนจะเป็นแค่โอสถฟื้นฟูพลังเวท แต่ผลลัพธ์การฟื้นฟูก็ไม่ใช่สิ่งที่โอสถระดับกลางกับหินจิตวิญญาณจะสามารถเทียบได้
ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็นต้องฟื้นฟูพลังเวทอย่างเร่งด่วน โอสถนี้สามารถฟื้นฟูได้เร็วขึ้นหนึ่งส่วน อาจจะตัดสินชัยชนะในการต่อสู้ จนถึงความเป็นความตายในระหว่างการต่อสู้ก็เป็นได้
และภายในระยะเวลาหนึ่งมื้อข้าว โอสถจินหยวนธรรมดาหนึ่งเม็ด พอที่จะเสริมพลังเวทให้เขาได้กว่าครึ่งหนึ่ง
และขณะนี้ การฝึกฝนปรุงโอสถชนิดนี้ ก็มาถึงคอขวดแล้วเช่นกัน ไม่ว่าหลังจากนั้นอีกหลายเดือนเขาจะฝึกฝนแค่ไหน กลับยกระดับวิชานี้ได้น้อยมาก
วันนี้ หลังจากเขาหยุดปรุงโอสถอีกครั้ง และค้นพบว่าไม่มีการยกระดับใดๆ แล้ว เขาก็ละทิ้งแผนการปรุงโอสถทันที
เขาชี้ไปที่เตาหลอมเบาๆ ทันใดนั้นแสงสีเงินตรงหน้าก็ดับลง และลอยขึ้นกลางอากาศ หลังจากหมุนวนติ้วๆ มันก็ลดขนาดลงเหลือชุ่นกว่าๆ และพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อ
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็หายวับไปอยู่ตรงหน้าศิลาหุนเทียนอย่างรวดเร็ว
ยังมีเวลาหนึ่งถึงสองปีก่อนที่จะไปจากห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนี้ ตอนนี้เขาควรจะใช้ประโยชน์จาก ‘ดวงตามายาปีศาจ’ แล้ว
ของสิ่งนี้สามารถเลียนแบบเหตุการณ์การต่อสู้อย่างดุเดือดกับศัตรูตัวฉกาจที่เคยเผชิญมา หากเข้าไปฝึกฝนให้มากๆ ล่ะก็ อาจจะทำให้ความสามารถในการต่อสู้จริงของเขาเพิ่มขึ้นมาก็ได้
เพราะพลังของผู้ฝึกฝนคนหนึ่งจะเป็นเช่นใดนั้น ไม่อาจดูแค่ระดับการฝึกฝนได้ ยังต้องดูความสามารถในการตอบสนองในขณะที่ทำการต่อสู้ด้วย
หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจแล้ว ก็ยื่นมือไปแตะภาพดวงตาตั้งตรงสีดำบนศิลาหุนเทียนเบาๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และส่งพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย
ขณะที่ศิลาหุนเทียนสั่นสะเทือนเบาๆ นั้น ดวงตาตั้งตรงสีดำก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต เผยให้เห็นลูกตาสีเงินของมัน
ดวงตานี้ค่อยๆ ขยับไปมา จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้า
หลังจากมีประสบการณ์ในครั้งก่อนแล้ว หลิ่วหมิงก็จ้องมองไปที่ลูกตาสีดำทันที ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง “ตู้ม!” ในจิตรับรู้ของเขา ภาพรอบด้านพร่ามัว และตัวเขาก็มาปรากฏตัวในถ้ำที่ผนึกหัวปีศาจยักษ์ไว้บนแท่นบูชาแห่งนั้น
และห่างจากตรงหน้าเขาไปไม่ไกล ย่อมเป็นสายตาอันโหดเหี้ยมที่จ้องมองเขาอยู่ ซึ่งก็คือหลานสี่ที่กลายร่างเป็นปีศาจ และมีลวดลายสีดำปกคลุมเต็มตัวนั่นเอง!
เนื่องจากข้อจำกัดของดวงตามายาปีศาจ ภาพมายาที่สร้างขึ้นมาจึงเป็นแค่ฉากการต่อสู้ที่เขาจดจำได้อย่างลึกซึ้งเท่านั้น ตอนนี้หลิ่วหมิงมีตัวเลือกสองตัวคือ ราชาปีศาจสมุทรกับปีศาจหลานสี่
การฝึกฝนของราชาปีศาจสมุทรบรรลุถึงระดับแก่นแท้แล้ว ซึ่งห่างจากระดับของเขาไปมาก ตอนนั้นก็ไม่ได้ถือว่าพวกเขาทั้งสองทำการแลกมือกัน หลิ่วหมิงเพียงแค่ทำให้ตัวอ่อนกระบี่ระเบิด ถึงรับมือเขาไว้ได้
เมื่อเทียบกันแล้ว แม้การต่อสู้กับปีศาจหลานสี่จะผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ และฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ใช้อาวุธจิตวิญญาณใดๆ เพียงแค่อาศัยร่างที่กลายเป็นปีศาจกับความเร็ว ก็โจมตีเขาจนพ่ายแพ้ได้ สำหรับหลิ่วหมิงที่มีพลังเวทกับกายเนื้อที่แข็งขึ้นมาไม่น้อยแล้ว หลานสี่เป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมพอดี
และพลังของหลานสี่หลังจากกลายร่างเป็นปีศาจ เกรงว่าต่อให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางถึงขั้นปลายโดยทั่วไปเผชิญหน้ากับเขา ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัสก็อาจตายได้
ตอนที่ 520 หล่อหลอมประสบการณ์ในแดนมายา
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงเห็นปีศาจหลานสี่ปรากฏตัวออกมา เขาก็พุ่งถอยไปด้านหลังอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกัน พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง
เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังขึ้นมา!
มังกรหมอกดำพุ่งออกจากร่าง หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็แยกออกเป็นสองตัว และพอกลุ่มไอดำบนศีรษะหมุนตัวติ้วๆ มันก็กลายเป็นพยัคฆ์หมอกดำขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ทรายทองคำร่วงก็ม้วนตัวออกไป และกลายเป็นหมอกทรายปกป้องตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว
ปีศาจหลานสี่น่ากลัวแค่ไหนในใจหลิ่วหมิงย่อมรู้อย่างชัดเจน เกรงว่าอาจจะเสียชีวิตได้หากไม่ระมัดระวังเพียงเล็กน้อย
ครู่ต่อมา มีคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลังของเขา กรงเล็บปีศาจสีดำขนาดจั้งกว่าๆ ยื่นออกจากอากาศด้านหลังอย่างน่าประหลาดใจ และคว้ามายังจุดสำคัญของเขา
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา หมอกทรายรอบตัวก็มีแสงสีทองหมุนวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นกำปั้นยักษ์สีทองที่มีขนาดสองสามจั้ง และพุ่งออกไปรับกรงเล็บปีศาจสีดำ
และในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถหันหลังกลับมาได้ เท้าข้างหนึ่งถีบตัวกลางอากาศอย่างรุนแรง ร่างของเขาหยุดถอยในทันที และพุ่งออกไปด้านหน้า
“ตู้ม!”
พอกำปั้นสีทองด้านหลังปะทะกับกรงเล็บปีศาจสีดำ มันก็สลายตัวท่ามกลางเสียงระเบิด และกลายเป็นทรายทองคำปกคลุมเต็มฟ้าอีกครั้ง
และกรงเล็บปีศาจสีดำก็มีไอดำพวยพุ่งอยู่รอบด้าน จากนั้นร่างของหลานสี่ก็ปรากฏออกมา
ตอนนี้หลิ่วหมิงอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง พอกระตุ้นท่ามือ ทรายสีทองที่ปกคลุมต็มฟ้าก็หมุนตัวติ้วๆ และม้วนตัวเข้าหาหลานสี่โดยตรง
และร่างของหลานสี่ก็สลายตัวท่ามกลางเสียงที่ดังอู้อี้ ที่แท้มันก็เป็นแค่เงาร่างปลอมเท่านั้น
ครู่ต่อมา ห่างจากหน้าหลิ่วหมิงไปหลายจั้ง พอมีเสียงดัง “ฟู่!” เงาร่างสีดำก็ปรากฏออกมา ซึ่งก็คือร่างเดิมของหลานสี่นั่นเอง
พอเขาปรากฏตัว แขนทั้งสองก็พร่ามัว กรงเล็บแหลมคมสีดำคู่หนึ่งที่มีขนาดจั้งกว่าๆ พุ่งออกจากหมอกดำในฉับพลัน และคว้ามาทางหลิ่วหมิงราวกับสายฟ้าแลบ
ภายใต้ความตกใจ หลิ่วหมิงไม่ทันได้เรียกทรายทองคำร่วงให้กลับมาป้องกันตัว พอสะบัดแขนเสื้อ มือทั้งสองต่างก็กำมุกพลังวารีไว้ข้างละเม็ด เกล็ดสีแดงโผล่ขึ้นบนแขนทั้งสองเป็นชั้นๆ และเมื่อเขาส่งเสียงคำรามออกมา มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำก็กระโจนเข้าหาหลานสี่พร้อมกัน
“ฟุ่บ!” “ฟุ่บ!”
ฉากบนอากาศตรงหน้าหลิ่วหมิง กรงเล็บสีดำข้างหนึ่งของหลานสี่จับคอมังกรไว้แน่น ส่วนอีกข้างก็คว้าพยัคฆ์หมอกไว้เช่นกัน
มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำประคองตัวได้เพียงครู่เดียว ก็ถูกกรงเล็บปีศาจขยี้จนสลายไป และกลายเป็นหมอกดำกระจายไปทั่วทิศ
ขณะเดียวกัน ร่างของปีศาจหลานสี่ก็เคลื่อนไหวในฉับพลัน พริบตาเดียว ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงได้เตรียมการไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาเผยแววเฉียบขาดออกมา กำปั้นทั้งสองชกไปทางหลานสี่ทันที
“ฟู่!”
หลานสี่เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา จากนั้นร่างของเขาก็บิดเบี้ยวหายไปทันที
หลิ่วหมิงร้องทุกข์อยู่ในใจ สุดท้ายยังไม่ทันได้หมุนตัวกลับไป ก็รู้สึกว่าอากาศบริเวณรอบๆ หนาแน่นขึ้นมาราวกับเหล็กบริสุทธิ์
จากนั้นก็มีเงาร่างมาปรากฏตรงหน้าเขา พริบตาเดียว หลานสี่ก็มาอยู่ห่างจากเขาเพียงลัดมือเดียว และพอมีภาพพร่ามัวตรงหน้า ความรู้สึกเจ็บบนไหล่ทั้งสองก็ประดังเข้ามาอย่างรุนแรง
แขนทั้งสองของเขาถูกหลานสี่ฉีกขาดจนโลหิตกระเด็นออกไป
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ ขณะที่ยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ก็รู้สึกเย็นที่คอจนต้องทะยานขึ้นฟ้าในทันที และฉากบริเวณรอบๆ ก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็จมดิ่งเข้าไปในความมืด
พอมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ในสมองของหลิ่วหมิง เขาก็ลืมตาทั้งคู่ในทันที และค้นพบว่าตนเองกลับมาอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาแล้ว
ขณะนี้สีหน้าของเขาซีดขาวมาก มือข้างหนึ่งกดอยู่บนศิลาหุนเทียนตรงหน้า แต่ความอ่อนแอถูกส่งออกมาจากสมองอยู่ไม่หยุด ประจักษ์ชัดว่าการเปิดดวงตามายาปีศาจ ทำให้เขาสูญหายพลังจิตไปไม่น้อย
เขาหดแขนกลับมา และเดินไปนั่งขัดสมาธิตรงมุมหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง ด้านหนึ่งฟื้นฟูพลังจิต อีกด้านก็นึกถึงฉากที่ต่อสู้กับปีศาจหลานสี่
เทียบกับดวงตามายาปีศาจที่หลัวโหวเปิดให้เขาต่อสู้กับปีศาจหลานสี่ในครั้งก่อน จนเขาเกือบจะถูกฆ่าตายในพริบตาแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ครั้งนี้ทะลวงระดับของเหลวขั้นปลาย จนพลังเวทและพลังกายเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้เขายืนหยัดได้นานขึ้นสองสามอึดใจ
แน่นอน! หลิ่วหมิงย่อมไม่พอใจเพียงแค่นี้ ในสมองของเขาปรากฏภาพการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา และเขาก็พิจารณาทุกรายละเอียดและความสะเพร่าในนั้นอย่างละเอียด
เพราะการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่ง เพียงแค่มีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อย่างเบาก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็อาจจะเสียชีวิตในการต่อสู้ทันที
หลังจากเขานั่งสมาธิอยู่เช่นนี้ จนไปผ่านไปสองวัน ก็รู้สึกว่าพลังจิตฟื้นขึ้นมามาก
ตอนนี้เขาวางแผนอย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีแผนใหม่สำหรับวิธีการต่อสู้
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเสร็จ ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็เดินไปยังศิลาหุนเทียนอีกครั้ง
……
หนึ่งเดือนผ่านไป
บนพื้นราบเรียบแห่งหนึ่ง เงาร่างสีเขียวกำลังกระโดดไปมาบนเสาหินสีขาวเทาขนาดสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว
ห่างจากด้านหลังของเขาไปสิบกว่าจั้ง เงาร่างสีดำก็ตามติดมาอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนเงาร่างสีดำจะไม่สนใจเสาหินตรงหน้า ระหว่างที่สะบัดแขน เสาหินจำนวนมากก็ถูกโจมตีจนแตกกระจาย
ชั่วเวลานั้น มีเสียงดังโครมครามดังขึ้นในป่าหินอย่างต่อเนื่อง เศษหินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ
การแลกมือสิบกว่าครั้งในก่อนหน้า สามารถพูดได้ว่าหลิ่วหมิงได้ใช้วิธีการจนหมดสิ้นแล้ว
ทั้งสองก็คือหลิ่วหมิงกับหลานสี่นั่นเอง
แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาขี่กระบี่ ทรายทองคำร่วง หรือว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็ไม่อาจทำร้ายหลานสี่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งมุกพลังวารีกับเกล็ดสีแดงรวมพลังกันโจมตี ก็เพียงแค่พอที่จะต้านทานการโจมตีของกรงเล็บปีศาจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ครั้งนี้เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ลองดูว่าสามารถหลบหนีได้นานแค่ไหน
เพราะในระหว่างการต่อสู้ หากสู้ไม่ชนะก็ต้องหนี ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้
ลำพังแค่ความเร็ว แม้หลิ่วหมิงจะรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลานสี่ แต่อาศัยพื้นที่ซับซ้อนของป่าหิน ทำการเคลื่อนไหวหลบหลีกอย่างรวดเร็ว จึงรักษาระยะห่างระหว่างเขากับหลานสี่ได้หลายสิบจั้ง
แต่หลังจากออกจากป่าหินแล้ว ก็ขาดสิ่งที่ใช้บดบังสายตา ทำให้ระยะห่างของทั้งสองค่อยๆ ลดน้อยลง
ในขณะที่ทั้งสองอยู่ห่างกันไม่เกินสิบกว่าจั้งนั้น หลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าก็หยุดลงอย่างกระทันหัน และหันตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน กระบี่เล็กสีแดงก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ
เกิดเสียงดังก้องฟ้าในทันที กระบี่เล็กสีแดงส่งเสียงดังกังวานออกมา จากนั้นก็ขยายใหญ่ตามลม จนกลายเป็นรุ้งกระบี่สีแดงที่มีขนาดสองสามจั้ง และพุ่งเข้าหาหลานสี่พร้อมกับฝุ่นทรายที่ม้วนตัวขึ้นมา
ปีศาจหลานสี่เพียงแค่บิดตัวเล็กน้อย สายรุ้งสีแดงก็แฉลบผ่านข้างตัวไป ซึ่งทำลายได้แค่ไอปีศาจบนตัวเขาเล็กน้อยเท่านั้น แต่พริบตาเดียว ไอปีศาจก็กลับมาผสานกันดังเดิม
ครู่ต่อมา ร่างของหลานสี่ก็ปรากฏอยู่ห่างออกไปสองสามจั้ง
ขณะนี้ หลิ่วหมิงจะกระตุ้นกระบี่จิตวิญญาณให้กลับมาก็ไม่ทันแล้ว
เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองประกบเข้าด้วยกัน และกัดลิ้นพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาจำนวนมาก มันกลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมมุกกลมๆ สีดำไว้ในพริบตา
แสงโลหิตเปล่งประกายบนผิวมุกกลมๆ ค่ายกลยี่สิบกว่าหลังปรากฏออกมาอย่างพร่ามัว
ไอดำทะลักออกจากแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็โยนมุกพลังวารีไปด้านหลังอย่างรุนแรง
พอมีเสียงระเบิดดังขึ้น มุกกลมๆ ก็กลายเป็นแสงสีดำพร่ามัว และพุ่งออกไปด้านหลัง
หลานสี่เห็นเช่นนี้ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา และคว้าไปยังแสงสีดำที่กลายร่างมาจากมุกพลังวารี
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ แววตาก็ดูเฉียบขาดขึ้นมา และเปลี่ยนท่ามือในทันที
มุกพลังวารีสั่นสะเทือนเบาๆ กลุ่มแสงที่สร้างขึ้นมาก็ระเบิดตัวกลางอากาศ ก่อให้เกิดไอน้ำสีดำอันพวยพุ่ง และม้วนตัวหลานสี่ที่ไม่ทันได้ป้องกันเข้าไปในนั้น
หลังจากมีเสียงแผดร้องภายในไอน้ำสีดำ ปีศาจหลานสี่ก็พุ่งออกมา ตอนนี้เขามีบาดแผลเต็มตัว ขณะเดียวกัน ฝ่ามือที่ยื่นออกมาในก่อนหน้านั้น ก็มีโลหิตไหลอยู่ตลอดเวลา
แต่ครู่ต่อมา ไอปีศาจสีดำก็พุ่งออกจากบาดแผลบนตัวเขา ชั่วเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ มันก็สมานกันดังเดิม
แต่การกระทำนี้เห็นได้ชัดว่าปีศาจหลานสี่ถูกกระตุ้นจนโมโหถึงขีดสุด
ดวงตาสีดำทั้งคู่ของเขาเป็นประกาย และคำรามเสียงออกมา จากนั้นก็พุ่งไปด้านหน้าติดต่อกัน และกระพริบหายไปทันที
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเหนือศีรษะ จากนั้นกรงเล็บปีศาจสีดำก็คว้าลงมาท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้อง
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขารีบทำท่ามืออย่างรีบเร่ง จากนั้นโล่เล็กสีดำก็พุ่งออกจากร่างของเขา และหมุนติ้วๆ กลายเป็นโล่กระดูกขนาดใหญ่
หัวกะโหลกทั้งเก้าปรากฏขึ้นบนโล่พร้อมกัน หลังจากส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา มันก็พุ่งใส่กรงเล็บยักษ์กลางอากาศ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงพุ่งถอยไปด้านหลังอีกครั้ง
“เพล้ง!”
เงาหัวกะโหลกจำนวนมากเปล่งประกายและดับลงในพริบตา หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก กรงเล็บปีศาจสีดำอีกข้างพุ่งทะลุเข้ามาจากด้านหลัง
ในใจเขารู้สึกหนักอึ้งทันที พอหันหน้ากลับไปดู ก็ค้นพบว่าปีศาจหลานสี่มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลัง และภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาอันโหดเหี้ยมของฝ่ายตรงข้าม เขาก็สูญเสียการรับรู้ในเวลาต่อมา
……
แปดเดือนต่อมา ยังคงอยู่ในป่าหินแห่งนี้
อากาศที่อยู่สูงขึ้นไปจากเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งสิบกว่าจั้ง ลูกกลมๆ สีทองขนาดสองสามจั้งกำลังหมุนตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังออกมา ไอหมอกสีดำพุ่งทะลักออกจากลูกกลมๆ สีทองเป็นจำนวนมาก
ทันใดนั้น ลูกกลมๆ สีทองก็ระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นทรายทองคำปกคลุมเต็มฟ้า
มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำปรากฏออกมา แต่พริบตาเดียวก็สลายไป
หลังจากไอหมอกดำสลายไปแล้ว ก็มีเงาร่างคนสองคนร่วงลงมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงกับหลานสี่นั่นเอง
ขณะนี้หลิ่วหมิงมีสีหน้าซีดขาวไร้ซึ่งโลหิต และมีรูขนาดฉื่อกว่าๆ บริเวณหน้าอก มีไอปีศาจสีดำลอยวนอยู่บริเวณรูบาดแผล
เขาฝืนความเจ็บปวดลืมตาข้างหนึ่งมองหลานสี่ที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ และไร้ซึ่งความรู้สึกอยู่กลางอากาศ จากนั้นมุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้นมาเล็กน้อย
ครู่ต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับด้วยสีหน้าซีดขาว
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงสังหารปีศาจหลานสี่ได้หลังจากต่อสู้มาเจ็ดสิบกว่าครั้ง แม้จะเป็นการตายตกไปพร้อมกัน ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์จริง แต่เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว ย่อมถือว่าก้าวหน้าขึ้นมาเป็นอย่างมาก
เพราะพลังของหลานสี่หลังจากกลายร่างเป็นปีศาจแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางถึงขั้นปลายโดยทั่วไป ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทำให้เขาตายไปพร้อมกันเหมือนกับหลิ่วหมิงได้
แน่นอน! นี่ก็หมายความว่าพลังที่แท้จริงของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางถึงปลายโดยทั่วไปมากนัก ที่เขาสามารถทำได้ขนาดนี้ เพราะว่าผ่านการต่อสู้มาหลากหลายครั้ง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เทียบกับความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาก่อนที่จะเข้าสู่การฝึกฝนในแดนมายาแล้ว ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางถึงขั้นปลายไม่อาจพูดได้ แต่หากเผชิญกับคู่ต่อสู้ระดับผลึกขั้นต้นโดยทั่วไป คงจะมีความมั่นใจเจ็ดถึงแปดในการสังหารฝ่ายตรงข้ามได้
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ จากนั้นก็เดินไปยังมุมหนึ่งของห้องว่างเปล่า และนั่งหลับตาเข้าสมาธิต่อ
ตอนที่ 521 การเพิ่มทวีของพลังที่แท้จริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หนึ่งปีผ่านไป
บนเนินเขาสีดำราวกับหมึกลูกหนึ่ง
หลิ่วหมิงจ้องมองปีศาจหลานสี่ที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งแขนของเขาได้ขาดไปข้างหนึ่ง และมีโลหิตไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา
และตัวหลิ่วหมิงเองก็มีใบหน้าซีดขาว ดูเหมือนจะสูญเสียพลังเวทไปมาก มีรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นอยู่บริเวณหน้าท้อง แต่กลับมีจุดแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว และไม่มีโลหิตไหลออกมาสักหยด
สองสามอึดใจในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิวใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อให้หลานสี่ที่ตามมาทำการโจมตี
ขณะที่มือข้างหนึ่งของปีศาจหลานสี่เสียบไปที่ท้องของเขานั้น เขากลับใช้พลังป้องกันของเกล็ดสีแดงกับเคล็ดวิชาหดกระดูก พยายามบิดตัวจนพ้นจุดสำคัญไปได้ และใช้กระบี่จิตวิญญาณฟันออกไปในพริบตา
ระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ บวกกับใช้กายเนื้ออันแข็งแกร่งดึงดูดแขนของฝ่ายตรงข้ามไว้ ต่อให้หลานสี่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงกระบี่นี้ได้ สุดท้ายแขนข้างหนึ่งก็ของเขาก็ถูกฟันจนขาด
แต่หากหลิ่วหมิงไม่รีบพุ่งถอยออกไป และนำยันต์ที่เตรียมไว้มาแปะรูเลือดบนท้องล่ะก็ เกรงว่าคงยืนหยัดไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้ว
วิธีการโจมตีด้วยหลังชนฝาในขณะที่ไร้ทางหนีนี้ เป็นวิธีที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาได้เมื่อไม่นาน และหลังผ่านการต่อสู้จริงมาหลายครั้ง ถึงประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านั้นเขาใช้วิธีการเดียวกันหลายครั้ง เป็นเพราะหลบหลีกไม่ทัน ฉากถูกแทงหน้าอกจึงยังคงปรากฏอย่างชัดแจ้ง
และจากประสบการณ์แลกมือในก่อนหน้านั้น เขารู้ดีว่าหลังจากหลานสี่กลายร่างเป็นปีศาจแล้ว เพียงแค่ไม่ถูกแทงทะลุผ่านศีรษะและจุดสำคัญของร่างกาย เขาก็สามารถใช้ไอปีศาจในการซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง หากจะสร้างไอปีศาจจำนวนมากขึ้นมาใหม่ภายในระนะเวลาสั้นๆ นั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะนี้ ปีศาจหลานสี่ไม่ยอมสูญเสียไอปีศาจจำนวนมากเพื่อฟื้นฟูแขนขาอีก มันส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างอันโหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็โบกแขนเสื้อทันที ทรายสีทองจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมา มันหมุนติ้วๆ กลางอากาศ และกลายเป็นม่านแสงสีทองจำนวนมากบังอยู่ตรงหน้า ส่วนตัวเองก็เหาะไปยังเนินเขาสูงสิบกว่าจั้งที่อยู่ไม่ไกล พอร่างของเขาพร่ามัวแค่ทีเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้หลานสี่จะสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งจนพลังลดลงไปมาก แต่ม่านทรายสีทองแต่ละชั้นก็ยืนหยัดได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็กลายเป็นม่านทรายปกคลุมเต็มฟ้าก่อนที่จะสลายไป
ขณะเดียวกัน ร่างของหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงตีนเขา มุกพลังวารีทั้งสองถูกนำมาถูเข้าด้วยกัน จากนั้นก็รวมเป็นหนึ่งและหมุนวนอย่างต่อเนื่อง
หลังจากหลานสี่ทำลายม่านทรายได้แล้ว ก็เพียงแค่ใช้จิตกวาดลงมาเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งความเร็วมาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิงอีกครั้ง
ดูเหมือนจะช้าแต่กลับรวดเร็วมาก ขณะที่ร่างของหลานสี่ปรากฏออกมา หลิ่วหมิงก็โยนมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า
“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
มุกพลังวารีกลายเป็นเงาสีดำที่มีสภาพไม่สมบูรณ์และพุ่งยิงออกไป หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นเงาภูเขาสีดำลูกเล็กๆ ที่สูงเจ็ดแปดจั้งก่อนที่จะร่วงลงมา
ปีศาจหลานสี่เห็นเช่นนี้ เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อย ก็หลบภูเขาลูกเล็กๆ ไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากเกิดเสียงดังโครมคราม ก็มีหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกหลายจั้งปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ขณะที่หลานสี่หัวเราะอย่างเยือกเย็น และคิดจะกระโดดข้ามเขาลูกเล็กๆ เพื่อพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงนั้น
ดวงตาหลิ่วหมิงก็ดูเยือกเย็นขึ้นมา มือทั้งสองเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงเปล่งประกายออกจากเขาลูกเล็กในฉับพลัน มันกระพริบแค่ทีเดียวก็มาถึงบริเวณใต้ร่างของหลานสี่ และระเบิดออกมาในพริบตา ก่อให้เกิดคลื่นอัคคีขนาดใหญ่ปกคลุมร่างหลานสี่ไว้
ที่แท้ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงก็เสียบกระบี่บินสีแดงไว้ใต้พื้นดินบริเวณนั้นอย่างเงียบๆ ขณะนี้ถึงได้อาศัยมุกพลังวารีกำบังไว้ และกระตุ้นให้มันระเบิดออกมาโดยไม่คาดคิด
ภายใต้สถานการณ์ที่หลานสี่ไม่ทันได้ระวัง จึงทำได้เพียงแต่กระตุ้นไอปีศาจบนตัวออกไปต้านทานไว้ ทันใดนั้น แสงสีแดงกับไอปีศาจสีดำก็ผสมปนเปกันกลางอากาศ และกลายเป็นเสาเพลิงสีแดงดำอันน่าตกใจ ทั้งยังมีเสียงคำรามด้วยความโมโหดังออกมาจากในนั้น
หลิ่วหมิงกลับไม่คิดจะยั้งมือเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ร่ายคาถาอยู่นั้น มือข้างหนึ่งก็ชี้ไปทางอากาศ ทันใดนั้น เม็ดทรายสีทองที่เปล่งประกายระยิบระยับ ก็ปรากฏออกมาบริเวณรอบๆ เสาเพลิง ครู่เดียวก็กลายเป็นหมอกทราย และม้วนตัวออกไป
“ตู้ม!”
หลานสี่พุ่งออกจากเสาเพลิงในฉับพลัน และชกกำปั้นใส่หมอกทรายที่ม้วนตัวเข้ามาจนแตกกระจาย
แต่พอมีเสียงดัง “ฟู่!”
เงาร่างมนุษย์สีทองก็พลันปรากฏตัวด้านหลังของเขา และกอดเขาไว้แน่น มันคือนักรบเกราะทองคำที่กลายร่างมาจากยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนั่นเอง!
ขณะนี้มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”
หมอกทรายที่ถูกเขาโจมตีจนแตกกระจาย พลันพร่ามัวกลายเป็นสายโซ่สีทอง และพริบตาเดียวเดียวก็พันหลานสี่ไว้อย่างแน่นหนา
แม้หลานสี่จะพยายามดิ้นรนด้วยความตกใจ แต่ตอนนี้เขามีแขนเพียงข้างเดียวเท่านั้น และถูกนักรบเกราะทองคำกับสายโซ่ที่กลายมาจากทรายทองคำผูกมัดไว้สองชั้น จึงไม่สามารถดิ้นหลุดออกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาโบกมือข้างหนึ่งเรียกมุกพลังวารีกลับมา หลังจากจับมันไว้แน่นแล้ว ไอดำก็พวยพุ่งออกมารอบตัว และกลายเป็นมังกรพยัคฆ์หมอกดำ พอกำปั้นทั้งสองเคลื่อนไหว เงากำปั้นจำนวนมากก็โจมตีใส่หลานสี่ทันที
หลังจากเกิดเสียงดังติดต่อกัน ร่างของปีศาจหลานสี่ก็กระเด็นออกไปราวกับว่าวที่เชือกขาด
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ตะโกนเสียงต่ำออกมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง และมาปรากฏตัวตรงหน้าหลานสี่อย่างรวดเร็ว พอแขนข้างหนึ่งพร่ามัว กำปั้นที่จับมุกพลังวารีอยู่ ก็ทุบลงบนตัวของฝ่ายตรงข้ามจนกระเด็นออกไปในพริบตา และทิ้งมุกพลังวารีไว้ในร่างของฝ่ายตรงข้าม
ปีศาจหลานสี่แผดเสียงร้องแหลมออกมา แต่ขณะที่คิดจะตั้งหลักให้มั่นคงนั้น มุกพลังวารีที่อยู่ในร่างเขาก็ส่งเสียงดัง “ตู้ม!” และระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงสีดำ
แม้กายเนื้อของปีศาจหลานสี่จะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่พอเผชิญหน้ากับการโจมตีทั้งด้านนอกและด้านในเช่นนี้ ก็ต้องระเบิดตัวกลายเป็นสายฝนโลหิต และเสียชีวิตในพริบตา ส่วนไอปีศาจบริเวณนั้นก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ และเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
ถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เขามีชีวิตรอดหลังจากต่อสู้กับปีศาจหลานสี่มาร้อยกว่าครั้ง
แม้ว่าการต่อสู้อย่างดุเดือดในครั้งนี้ จะมีความโชคดีแฝงอยู่ไม่น้อย แต่ยังคงแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่า พลังของเขารุดหน้ากว่าก่อนหน้านั้นอย่างน่าตกใจ
หลังจากเขาหลับตาทั้งคู่ลง ก็มีเสียงดัง “หวึ่ง!” ในจิตรับรู้
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสองปีแล้ว
สองปีมานี้ หลิ่วหมิงอาศัยดวงตามายาปีศาจในการต่อสู้กับหลานสี่ไปสองร้อยกว่าครั้ง
จวบจนการต่อสู้ในสิบครั้งให้หลัง หลิ่วหมิงที่มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นมามากมาย ก็สามารถเอาชนะได้หนึ่งในสิบครั้ง และตายตกไปพร้อมกันสองครั้ง
ส่วนอีกเจ็ดครั้งที่เหลือ ก็ใช้วิธีการต่างๆ ต่อสู้กับปีศาจหลานสี่
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในสมองของเขาหวนนึกถึงจุดอ่อนและช่องโหว่ของการต่อสู้กับปีศาจหลานสี่ในก่อนหน้า
ทันใดนั้น พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนในห้องว่างเปล่าลึกลับ พอมีเสียง “หวึ่ง!” ดังขึ้นข้างหูทั้งสอง ดวงตาทั้งคู่ก็ดับมืดลง หลังจากรู้สึกเหมือนฟ้าดินหมุนเคว้งคว้างอยู่ครู่หนึ่ง ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวภายในห้องลับของถ้ำที่พัก
แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็ออกมาพร้อมกับเขา
ขณะนี้ ฟองอากาศลึกลับในทะเลจิตวิญญาณได้หายไปแล้ว และนาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนก็กลับด้านอีกครั้ง เม็ดทรายในนั้นก็ค่อยๆ ไหลลงอย่างช้าๆ
เขารับรู้ได้ถึงพลังเวทอันบริสุทธิ์ทะลักออกจากทะเลจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น เขาก็หลับตาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และทำการกำหนดลมหายใจ
แมงป่องกระดูกกับหัวบินที่อยู่ด้านข้าง ไม่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรอคอยอย่างเงียบๆ
หลังผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไป และค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในที่สุด
“นายท่าน!”
แมงป่องกระดูกกับหิวบินเห็นหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมา ก็ร้องเรียกด้วยความดีใจ
“ไม่มีอะไรแล้ว ครั้งนี้พวกเขาทั้งสองก็คงได้รับอะไรดีๆ ไม่น้อย เอาล่ะ! เข้ามาก่อนเถอะ!”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตบถุงหนังบนเอว และปล่อยแสงสีดำม้วนเอาแมงป่องกระดูกกับหัวบินเข้าไปในนั้น
หลังจากเขากำชับให้ทั้งสองฝึกฝนอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว ก็ใช้จิตกวาดดูภายในร่าง และรับรู้ถึงพลังเวทที่เหลืออยู่ครู่หนึ่ง แม้มันจะบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้านั้นมาก แต่ระดับการฝึกฝนก็ร่วงไปอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางอีกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ดูท่าเวลาต่อจากนี้ เขาต้องหาวิธีฟื้นฟูพลังเวทโดยเร็วถึงจะได้
ดีที่ว่าการปรุงโอสถผลึกเย็นของเขาได้เข้าสู่ระดับที่สูงมากแล้ว และเพียงแค่ทานโอสถนี้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถฟื้นฟูระดับการฝึกฝนได้ในเร็ววัน
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็สงบจิตสงบใจและพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยันต์เก็บของสองผืนก็มาปรากฏอยู่บนฝ่ามือ
เมื่อใช้จิตกวาดดูจะพบว่าหนึ่งในนั้นว่างเปล่า ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ใส่โอสถที่ปรุงขึ้นมาในห้องว่างเปล่าลึกลับ พอออกมาโลกภายนอกย่อมหายไปเป็นธรรมดา
ส่วนยันต์เก็บของอีกผืนใส่วัตถุดิบปรุงโอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนสองสามชุด ที่เขาได้เตรียมไว้ในก่อนหน้า และยังไม่ได้แตะต้องมันเลย
หลิ่วหมิงรีบลุกขึ้น และเดินไปยังห้องหินที่ใช้ปรุงโอสถในทันที
……
ภายในห้องหิน หลิ่วหมิงเทของเหลวสีเงินจางๆ ลงในเตาหลอมด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็พลิกมือโยนวัตถุดิบลงไปส่วนหนึ่ง และโบกแขนเสื้อปิดฝาเตาหลอม
เห็นได้ชัดว่าทุกการกระทำของเขาดูเยือกเย็นเป็นอย่างมาก เขากระทำเช่นนี้ในห้องว่างเปล่าลึกลับมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ดังนั้นย่อมช่ำชองเป็นธรรมดา
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ชี้นิ้วผ่านอากาศไปทางเตาหลอม ภายใต้แสงสีเงินที่เปล่งประกาย เปลวไปสีแดงก็ลุกไหม้ขึ้นมา และห่อหุ้มเตาหลอมไว้
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิดๆ กลิ่นโอสถจางๆ เริ่มโชยออกมา
หลิ่วหมิงสูดดมสองสามที ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา ดวงตาของเขาดูดีใจเป็นอย่างมาก
ผ่านไปราวๆ หนึ่งวัน กลิ่นโอสถก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อโอสถส่งกลิ่นหอมได้ที่แล้ว หลิ่วหมิงก็ตาเป็นประกาย และเปลี่ยนท่ามือในทันที จากนั้นเปลวไฟด้านล่างเตาหลอมก็ค่อยๆ ดับลง
“เปิด!”
เขาตะคอกเบาๆ และปล่อยพลังใส่เตาหลอม
พอเตาหลอมสีเงินสั่นสะเทือนสองสามที ฝาเตาหลอมก็ลอยขึ้นมาเอง จากนั้นควันสีขาวก็ลอยขึ้นเป็นเกลียว กลิ่นหอมจรุงใจลอยเข้ามาเตะจมูก
จะเห็นว่ามีโอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวางอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ
ตอนที่ 522 ขายโอสถ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงกวักมือ โอสถก็ค่อยๆ ตกลงในมือของเขาอย่างมั่นคง
เมื่อกวาดสายตาดู ก็ค้นพบว่าโอสถสองเม็ดนี้ไม่มีลายโอสถเลย จากประสบการณ์ปรุงโอสถผลึกเย็นที่ผ่านมาแล้ว มันคงจะมีความบริสุทธิ์ห้าถึงหกส่วน
ความเสียใจเล็กน้อยเกิดขึ้นในสายตาของหลิ่วหมิง เขาวางโอสถไว้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ พอโบกแขนเสื้อจัดการเศษโอสถในเตาหลอมจนสะอาดแล้ว ก็เริ่มปรุงโอสถรอบใหม่
หากมีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ จะต้องรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก สิ่งนี้เป็นถึงโอสถผลึกเย็น ลำพังแค่ปรุงมันออกมาได้หนึ่งเม็ด ก็ทำให้พวกเขาดีใจมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะรังเกียจที่มันมีคุณภาพไม่ดี
ยี่สิบกว่าวันผ่านไป หลิ่วหมิงใช้วัตถุดิบที่มีอยู่จนหมด สุดท้ายก็ปรุงโอสถผลึกเย็นได้สิบกว่าเม็ด และโอสถจินหยวนสามเม็ด
เขาจ้องมองโอสถแวววาวที่มีแสงจิตวิญญาณเปล่งประกายตรงหน้าด้วยความดีใจ โอสถผลึกเย็นเม็ดหนึ่งมีลายโอสถสีเงินอยู่หนึ่งเส้น มันคือโอสถธรรมดานั่นเอง
สามารถปรุงโอสถธรรมดาออกมาได้ หมายความว่าฝีมือการปรุงโอสถของเขาเข้าสู่ระดับที่ผู้คนในแผ่นดินจงเทียนเรียกกันว่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว
และเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถจำนวนหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็ไม่สามารถปรุงโอสถสองชนิดออกมาได้โดยง่าย
พอหลิ่วหมิงนึกถึงจุดนี้ ก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างอดไม่ได้ ในมือถือโอสถชื่นชมอยู่ แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงประโยชน์ใช้สอยของโอสถเหล่านี้
โอสถผลึกเย็นสิบกว่าเม็ด หากทานลงไปทั้งหมดและกลั่นเอาพลังล่ะก็ พลังเวทของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นมามาก จนกระทั่งฟื้นฟูสู่ระดับของเหลวขั้นปลายก็อาจเป็นไปได้
แต่หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว เขากลับระงับความคิดนี้ไว้ และตัดสินใจไม่ทานโอสถเหล่านี้ แต่กลับเตรียมนำพวกมันไปแลกหินจิตวิญญาณ จากนั้นค่อยซื้อวัตถุดิบจำนวนมากมาปรุงโอสถต่อ
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เพียงแค่ทำซ้ำไม่กี่ครั้ง โอสถเหล่านี้ก็จะแลกหินจิตวิญญาณมาให้เขาจำนวนมาก หลังจากนี้ต่อไปก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการขาดแคลนหินจิตวิญญาณอีก
โอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนล้วนเป็นของหายากของผู้ฝึกฝนระดับของเหลว เพียงแค่นำมันออกมา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาคนซื้อไม่ได้
แน่นอน! นี่เป็นเพราะว่าเขามีฟองอากาศลึกลับที่ทำให้พลังเวทบริสุทธิ์ ไม่ต้องกังวลระดับความบริสุทธิ์ของโอสถ หรือกังวลว่าหากทานมากเกินไป สิ่งปะปนที่อยู่ในนั้นจะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝน และการทะลวงคอขวดในภายหลังหรือไม่
หากเป็นผู้ฝึกฝนธรรมดา ต่อให้จะมีกำลังทรัพย์เช่นนี้ ก็ไม่อาจทานโอสถนี้ตามอำเภอใจได้
หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจแล้วก็วางโอสถลงไป และนำยันต์เก็บของออกมาเก็บโอสถ
เวลาต่อมา เขาไม่ได้ออกจากถ้ำในทันที แต่กลับเริ่มทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามอย่างละเอียด
เพราะโอสถอะไรพวกนี้เป็นแค่พลังเสริมจากภายนอกเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือยังต้องฝึกฝนพลังของตัวเอง
หนึ่งเดือนต่อมา
ภายในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิง คัมภีร์สีดำเปล่งประกาย และกลายเป็นกลุ่มแสงสีดำก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป
เขานำจิตออกจากทะเลจิตรับรู้ ใบหน้าดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก คิ้วทั้งสองขมวดขึ้นมา
ครั้งนี้หลิ่วหมิงใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่า ถึงเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามอย่างทะลุปรุโปร่ง
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สาม ฝึกฝนยากกว่าสองขั้นแรกมาก
ขั้นแรกต้องการแค่ปราณหยินทั่วไปก็ฝึกฝนสำเร็จแล้ว และขั้นที่สองก็ใช้พลังจากภายนอกจำนวนหนึ่งมาบ่มเพาะร่าง แต่ขั้นที่สามไม่เพียงแต่จะฝึกฝนช้า แต่พอฝึกฝนสู่ระดับกลาง จำต้องอาศัยลมแกร่งฟ้าดินในการล้างไขกระดูกและร่างกาย ถึงจะฝึกฝนถึงขั้นที่สมบูรณ์แบบได้
และถ้ำลมสวรรค์ที่ให้กำเนิดลมชนิดนี้ แม้จะมีผลดีต่อการบ่มเพาะและฝึกฝนวิชาธาตุลมเป็นอย่างมาก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ
ต่อให้นิกายยอดบริสุทธิ์จะมีอิทธิพลมากแค่ไหน ก็ได้แต่อาศัยชัยภูมิพิเศษบางแห่งในเขาหมื่นวิญญาณ สร้างขึ้นมาด้วยพลังอภินิหาริย์ได้แห่งเดียวเท่านั้น
แต่หากจะเข้าไปฝึกฝนในนั้น จะต้องใช้แต้มคุณูปการมากกว่าถ้ำห้าธาตุมาก และมีแค่ศิษย์สายในเท่านั้นที่มีคุณสมบัติใช้มัน
แม้พลังของลมแกร่งนี้จะบ่มเพาะร่างและล้างไขกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในลมก็มีพลังกัดกร่อนอย่างหนึ่ง ที่มีอันตรายต่อร่างกายของคนเป็นอย่างมาก พอกัดกร่อนนานเข้าก็จะมีภัยแฝงอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก่อนเข้าถ้ำลมสวรรค์ทุกครั้ง ยังต้องอาศัยเคล็ดวิชาลึกลับบางอย่างของผู้อาวุโสในนิกายคอยช่วยถึงจะลดภัยแฝงนี้ได้
พอหลิ่วหมิงอ่านถึงจุดนี้ ถึงเข้าใจในฉับพลัน
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้คนนอกนิกายจะได้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬไปฝึกฝน แต่หากไม่ใช่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ก็ไม่อาจฝึกฝนวิชานี้ไปถึงขั้นที่สูงได้
ไม่ใช่แค่วิชานี้เท่านั้น เกรงว่าเคล็ดวิชาระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็คงมีข้อจำกัดที่คล้ายกันในขณะฝึกฝน
และหากเขาจะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามจริงๆ ก็ต้องกลายเป็นศิษย์สายในให้ได้ก่อน ถ้าอย่างนั้นภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ ยกระดับพลังของตัวเองก่อน แล้วเข้าร่วมประลองใหญ่รอบสุดท้ายของนิกายหรือไม่ก็ไปบุกเจดีย์ชวีหลิง
สำหรับสถานการณ์ของหลิ่วหมิงในตอนนี้ สามารถทานโอสถผลึกเย็นเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนได้ ส่วนการยกระดับวิถีทางอื่นๆ จำต้องพิจารณาถึงการฝึกฝนเคล็ดวิชาสองสามอย่าง และปรับแต่งโล่เก้ากระโหลกให้กลายเป็นอาวุธเวท
เพียงแค่ปรับแต่งชั้นจำกัดที่สามสิบหกของโล่เก้ากะโหลกให้กลายเป็นรูปแบบอาวุธเวท พลังของเขาย่อมเพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย
ตามที่บรรยายไว้ใน ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ เขาได้ทยอยเตรียมวัสดุที่จำเป็นในการปรับแต่งชั้นจำกัดสุดท้ายมาพอประมาณแล้ว ส่วนวัสดุที่เหลือ คิดว่าเพียงแค่ใช้หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งซื้อจากตลาดในนิกายก็น่าจะได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ สองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ และต้องใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากถึงจะทำสำเร็จได้
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ลุกเดินออกจากถ้ำไปทันที
สองชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็ร่อนลงตรงปากทางเข้าตลาดในนิกาย จากนั้นชายหนุ่มชุดคลุมสีดำก็ปรากฏตัวออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
แต่เขาใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูกเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อผ้าบนตัวก็เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีดำ
หลิ่วหมิงมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ในตลาดด้วยความรู้สึกฮึกเหิมเล็กน้อย
แม้เขาจะเคยมาอยู่หลายครั้ง แต่ก่อนหน้านั้นล้วนมาซื้อของ ครั้งนี้มาขายของเป็นครั้งแรก ความรู้สึกจึงแตกต่างกัน
หลิ่วหมิงเดินมาถึงถนนทางด้านตะวันออกอย่างรวดเร็ว สำหรับสถานที่แห่งนี้แล้ว เขาค่อนข้างแปลกหน้าอยู่บ้าง ส่วนถนนทางทิศตะวันตกกับทิศใต้ เขาเคยไปมาแล้วหลายครั้ง คงจะมีคนจำนวนมากจำเขาได้ เพื่อป้องกันปัญหาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เขาจึงเลือกเดินไปไกลหน่อย ไปร้านค้าที่ไม่เคยคบค้าสมาคมกันมาก่อน จะได้ปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย
หลังจากเขาเดินวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็เดินเข้าไปในร้านค้าวัสดุธรรมดาหลังหนึ่ง
หญิงสาวชุดแดงอายุยี่สิบกว่าปีนั่งอยู่หลังตู้สินค้า รูปร่างอวบเล็กน้อย มีกระเล็กๆ บนใบหน้าสองสามจุด หน้าตาดูธรรมดา
“สหายผู้นี้ ต้องการซื้อสิ่งใดหรือ?”
ภายในร้านค่อนข้างเงียบเหงา ไม่มีแขกเข้าร้าน พอหญิงชุดแดงเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงหันมองไปรอบๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหน้าตู้
“เถ้าแก่ผู้นี้ ที่นี่รับซื้อโอสถหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โอสถ? ปกติร้านเราก็รับซื้ออยู่บ้าง ไม่ทราบสหายจะขายโอสถชนิดใด?” หญิงชุดแดงพยักหน้าด้วยตาที่เป็นประกาย
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และควักยันต์เก็บของออกจากเอวมาผืนหนึ่ง จากนั้นก็หยิบกล่องหยกรูปสี่เหลี่ยมออกมายื่นให้หญิงสาว
หญิงชุดแดงรับกล่องหยกและเปิดฝามันออกมา มีโอสถขาวใสราวกับหยกวางอยู่ด้านในสามเม็ด กลิ่นหอมเตะจมูกโชยออกมา
นางเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ลำพังแค่กลิ่นหอมอันเข้มข้นของโอสถ ก็ยืนยันได้ว่าความบริสุทธิ์ของมันจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน
หลังจากดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นางก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาจึงเป็นประกายขึ้นมาทันที
“โอสถผลึกเย็น!” หญิงชุดแดงมองหลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงดูตื่นเต้นเล็กน้อย
“เถ้าแก่สายตาเฉียบแหลมมาก เป็นโอสถนี้จริงๆ ไม่ทราบว่าที่นี่รับซื้อหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
แม้ว่าโอสถผลึกเย็นจะพบเจอได้น้อย แต่เนื่องจากวัตถุดิบหลักเป็นผลผลึกเขียว มีกลิ่นหอมสดชื่น และมีไอเผ็ดร้อนเล็กน้อย ผู้ที่คุ้นเคยกับโอสถ จึงมองมันออกได้ในทันทีที่เห็น
”โอสถผลึกเย็นช่วยเพลิ่มพลังเวทของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวได้เป็นอย่างมาก ทั้งยังปรุงได้ยากยิ่งนัก เป็นโอสถเฉพาะที่หายาก ร้านเราย่อมรับซื้อแน่นอน” หญิงชุดแดงมองกล่องหยกอีกที และกล่าวด้วยแววตาร้อนแรงอย่างเปิดเผย
หลิ่วหมิงมองหญิงชุดแดงด้วยความแปลกใจ และรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ปกติแล้ว เวลาที่ร้านค้าโดยทั่วไปรับซื้อของนั้น ถึงแม้ว่าจะสนใจสินค้า แต่ก็จะหาข้ออ้างลดคุณค่าสิ่งของให้ต่ำลง เพื่อตีราคาที่ต่ำกว่า แต่ว่าหญิงชุดแดงกลับบอกจุดเด่นของโอสถผลึกเย็นอย่างละเอียด ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใดกัน
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ตอนนี้นางเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง และการฝึกฝนก็มาถึงคอขวดแล้ว จึงต้องการโอสถเพิ่มพูนพลังเวทเป็นการเร่งด่วน พอนางเห็นโอสถผลึกเขียว ย่อมกล่าวออกมาด้วยความดีใจ
นี่ก็เป็นเพราะนางมีอายุไม่มาก เล่ห์เหลี่ยมยังไม่แพรวพราว หากเป็นผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนล่ะก็ จะไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เถ้าแก่จะเสนอราคาเท่าใด หากเหมาะสมล่ะก็ ข้าจะขายเลย” หลิ่วหมิงใช้นิ้วแตะตู้เบาๆ และกล่าวออกมาราวกับไม่ค่อยใส่ใจมากนัก
หญิงชุดแดงได้ยินก็แสดงสีหน้าลังเล หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถึงบอกราคาออกมา
“หนึ่งหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ”
นางมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วกล่าวเสริมขึ้นมา
“ราคานี้สูงมากแล้ว อย่างที่รู้ว่าโอสถระดับของเหลวนั้น โดยทั่วไปใช้ไม่กี่พันหินจิตวิญญาณ ก็ซื้อมาได้หนึ่งเม็ดแล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินราคานี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สหายมาร้านเราเป็นครั้งแรก โอสถสามเม็ดนี้คิดราคาหนึ่งหมื่นหกพันหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน!” หญิงชุดแดงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เพื่อให้ได้โอสถผลึกเย็นมา นางจึงกัดฟันเพิ่มไปอีกหนึ่งพันหินจิตวิญญาณ
พอได้ยินราคาในตอนหลัง หลิ่วหมิงถึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ราคานี้สูงกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่น้อย
พอหญิงชุดแดงเห็นหลิ่วหมิงตกลงแล้ว นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็หยิบถุงผ้าแล้วผลักออกไป และเก็บกล่องหยกไว้กับตัวด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูด้านในถุงผ้า หลังจากมั่นใจว่าจำนวนหินจิตวิญญาณด้านในถูกต้องแล้ว เขาก็พยักหน้าและเก็บมันอย่างไม่เกรงใจ
ตอนที่ 523 เขาชังหมาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สหายผู้นี้ ข้าอยากถามว่ายังมีโอสถผลึกเย็นอยู่ในมือหรือไม่? หากมีก็ไม่สู้ขายให้ร้านข้าทั้งหมด เชื่อว่าในตลาดนี้คงไม่มีใครให้ราคาสูงเท่าร้านข้าแล้ว” หญิงชุดแดงจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาแวววาว และกล่าวด้วยความหวัง
“เถ้าแก่ล้อข้าเล่นแล้ว โอสถผลึกเย็นสามเม็ดนี้ ข้าต้องสูญเสียพลังจำนวนมากถึงได้มันมา หากไม่ใช่ว่าช่วงนี้ต้องใช้หินจิตวิญญาณล่ะก็ ข้าคงไม่ยอมขายอย่างแน่นอน” กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลิ่วหมิงกระตุก และเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ถ้าอย่างนั้นข้าคงเพ้อฝันไปหน่อย” หญิงชุดแดงกล่าวด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ข้าน้อยชื่อเยี่ยนหง หากต่อไปสหายมีโอสถอยากขาย ก็มาที่ร้านได้เลย จะต้องไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” หญิงชุดแดงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมขึ้นมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็ลาจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวหน้าร้านค้าอีกแห่งหนึ่ง……
สองชั่วยามต่อมา โอสถบนตัวเขาก็ไม่เหลือสักเม็ด และถูกแทนที่ด้วยหินจิตวิญญาณสองแสนกว่าหินจิตวิญญาณ
โอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนได้รับการตอบรับเหนือความคาดหมายของเขามาก
แค่โอสถธรรมดาก็ขายไปในราคาห้าหมื่นหินจิตวิญญาณอย่างน่าตกใจ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยาก เขาแบ่งขายโอสถเหล่านี้ตามร้านสองสามแห่ง ร้านละสามสี่เม็ด เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วยังคงมีเรื่องบางอย่างที่ไม่เป็นไปดั่งใจ
พอนึกถึงสีหน้าดีใจของเถ้าแก่ร้านที่รับซื้อโอสถธรรมดาจากเขา และน้ำเสียงเร่าร้อนที่ซักถามว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านใดเป็นผู้ปรุงโอสถนี้มา เขาก็รู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก
เขาวางแผนจะขายโอสถสองชนิดนี้เป็นจำนวนมาก แต่ดูจากสถานการณ์ในวันนี้ มันไม่เหมาะที่จะลงมือในตลาดของนิกายแล้ว
แผนในตอนนี้คงต้องเลือกตลาดนอกนิกายที่อยู่ห่างออกไปไกลหน่อย มิเช่นนี้พอเป็นจุดสนใจเข้า ผลลัพธ์คงหนักหนากว่าที่เขาคาดคิดนัก
หลิ่วหมิงเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้หินจิตวิญญาณในมือทั้งหมด ซื้อผลผลึกเขียวที่ใช้ในการปรุงโอสถผลึกเย็นกับวัตถุดิบเสริมอื่นๆ ส่วนแก่นบริสุทธิ์อสูรจินหยวนที่เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถจินหยวนยังหาซื้อไม่ได้ คงได้แต่ละทิ้งไปชั่วคราว
หลังจากเขาทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็ซื้อแผนที่อย่างละเอียดของพื้นที่บริเวณรอบๆ เขาหมื่นวิญญาณมาชุดหนึ่ง และกลับไปที่ถ้ำอย่างรวดเร็ว
เวลาในสิบกว่าวัน หลิ่วหมิงก็ปรุงโอสถผลึกเย็นมาได้สามสิบกว่าเม็ด และในนั้นก็มีสองเม็ดที่เข้าถึงโอสถธรรมดา
โอสถเหล่านี้ดูน่ายินดีมาก แต่หากจะแลกหินจิตวิญญาณล่ะก็ ยังต้องวางแผนกันอีกสักรอบ
หลิ่วหมิงนำแผนที่ที่ซื้อมาจากตลาดออกมาศึกษาอย่างละเอียด
เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ทางที่ดีที่สุดตลาดที่จะไปต้องไม่อยู่ไกลจนเกินไป แต่หากอยู่ใกล้นิกายยอดบริสุทธิ์จนเกินไป ก็อาจจะดึงดูดความสนใจได้ ทั้งหมดนี้มันช่างขัดแย้งกันยิ่งนัก
หลังจากเขาคิดพิจารณาอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบแล้ว ก็คิดวิธีหนึ่งออกมาได้
ครึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็ร่อนลงหน้าหอลี้ลับอย่างเงียบๆ พอมีเงาร่างปรากฏออกมา หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวหน้าประตูหอแล้ว
เขาเอามือข้างหนึ่งลูบปากกระบอกแขนเสื้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผู้คนในหอลี้ลับนอกยังคงเป็นเหมือนดังแต่ก่อน
หลิ่วหมิงปะปนอยู่ในระหว่างศิษย์ที่เดินไปมา และเงยหน้าดูภารกิจบนป้ายประกาศ
ภารกิจบนป้ายประกาศนอกยังคงเป็นภารกิจธรรมดาที่มีหินจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทนเป็นหลัก ซึ่งไม่เข้าตาเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ที่เขามาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อแต้มคุณูปการ
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และยกป้ายประจำตัวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล พอแสงสีขาวเปล่งประกาย แสงแวววาวลำหนึ่งก็กระพริบออกจากป้ายประกาศ และตกลงบนแผ่นป้ายในมือเขา
ภารกิจนิกายในครั้งนี้ เป็นตระกูลหนึ่งที่สังกัดนิกายยอดบริสุทธิ์ ช่วยคนในตระกูลกำจัดปีศาจร้ายสองตัวที่โผล่มาบริเวณนั้นอย่างกะทันหัน ตามที่ประเมินไว้ในภารกิจ ปีศาจสองตัวนี้คงจะมีการฝึกฝนราวๆ ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นกลาง
หลิ่วหมิงมองป้ายบนมือทีหนึ่ง และเดินไปยังแท่นหินด้านข้าง หลังจากสอบถามผู้ดำเนินการไปสองสามประโยคแล้ว ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องโถงด้วยสีหน้าสงบ
ชายหนุ่มกำยำล่ำสัน สวมชุดศิษย์สายนอกที่อยู่บริเวณนั้น มองดูแผ่นหลังหลิ่วหมิงที่เดินออกไปไกลๆ อย่างอดไม่ได้
เมื่อครู่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า ภารกิจที่หลิ่วหมิงรับไปคือการขับไล่ปีศาจบนเขาชังหมานซึ่งอยู่ห่างจากนิกายไปไกลมาก
ภารกิจนี้อยู่บนป้ายประกาศหลายวันแล้ว ไม่เพียงแต่จะอยู่ไกลเท่านั้น แม้การเผชิญหน้ากับปีศาจระดับของเหลวยังได้ค่าตอบแทนแค่แปดหมื่นหินจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนสอบถามเลย คิดไม่ถึงว่าศิษย์สายนอกร่วมนิกายจะรับภารกิจนี้
ชายหนุ่มส่ายหน้า และละทิ้งเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ละสายตามามองบนป้ายประกาศด้วยสีหน้าครุ่นคิด
……
หลายวันต่อมา หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวก็ขี่เมฆมาถึงหน้าประตูวิหารส่งตัวหลังหนึ่ง
วิหารสร้างอยู่บนไหล่เขา เห็นได้ขัดว่ามันค่อนข้างกว้างขวางมาก มีขนาดราวๆ สิบกว่าหมู่
ภายในห้องโถง มีค่ายกลส่งตัวหลายสิบหลัง ทั้งยังเปล่งประกายสีต่างๆ ออกมา มีทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ข้างค่ายกลส่งตัวแต่ละหลังต่างก็มีป้ายชื่อตั้งอยู่ บนป้ายเขียนชื่อสถานที่ต่างๆ ที่อยู่บริเวณนิกายยอดบริสุทธิ์
ข้างค่ายแต่ละหลังยังมีศิษย์ดำเนินการที่สวมชุดสีฟ้าขาวยืนอยู่หนึ่งคน และยังมีคนเข้าๆ ออกๆ จากค่ายกลส่งตัวอยู่ตลอดเวลา
สิ่งนี้ทำให้เกิดเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด แสงหลากสีเปล่งประกายเป็นระลอกๆ แลดูโออ่ายิ่งใหญ่มาก
หลิ่วหมิงมาที่นี่เป็นครั้งแรก พอเป็นฉากเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นิกายยอดบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกสมบูรณ์แบบและครบครัน ซึ่งนิกายเล็กๆ อย่างนิกายปีศาจไม่อาจเทียบได้
เขาเดินอยู่ในวิหารหนึ่งรอบ ไม่นานก็หาค่ายกลส่งตัวเล็กๆ หลังหนึ่งเจอ
“ศิษย์พี่ผู้นี้ จะใช้ค่ายกลส่งตัวหรือ?” พอศิษย์ดำเนินการข้างค่ายกลเห็นหลิ่วหมิงที่สวมชุดศิษย์สายนอก ก็ถามด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงพยักหน้า และนำป้ายประจำตัวออกมา พอโบกมันเบาๆ ก็ปรากฏสถานที่ที่จะไปทำภารกิจนิกาย
ค่ายกลส่งตัวในสถานที่แห่งนี้ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหมดเพียงแค่เสียแต้มคุณูปการตามที่กำหนด ก็สามารถใช้ได้แล้ว แต่หากไปทำภารกิจของนิกาย ก็สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องเสียแต้มคุณูปการ
ศิษย์ดำเนินการมองดูสถานที่บนป้ายแล้วพยักหน้า จากนั้นก็หยิบป้ายหยกออกมาปล่อยพลังลงบนค่ายกล
หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เข้าไปในค่ายกล ศิษย์ดำเนินการเห็นเช่นนี้ ก็ปล่อยพลังใส่อีกรอบ
แสงสีขาวเปล่งประกายบนค่ายกลส่งตัวทันที และส่งเสียงดังหวึ่งๆ เบาๆ
ร่างหลิ่วหมิงโงนเงนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระพริบหายไปในค่ายกล
ครู่ต่อมา หลังจากแสงสีขาวเปล่งประกายผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงเห็นทุกสิ่งตรงหน้าชัดเจน ร่างของเขาก็มาอยู่ในวิหารมืดครึ้มหลังหนึ่งแล้ว
มันเหมือนกับวิหารส่งตัวของนิกายยอดบริสุทธิ์ สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นจากหินขนาดใหญ่เช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่าสิบเท่าขึ้นไป
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ลวดลายจิตวิญญาณบนผนังรอบด้านมีพลังจิตวิญญาณแผ่ออกมาลางๆ
ภายในวิหารมีชายวัยกลางคนสวมชุดนิกายยอดบริสุทธิ์นั่งอยู่ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็แผ่กลิ่นไอระดับของเหลวออกมา แม้จะเห็นหลิ่วหมิงถูกส่งเข้ามา ก็เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าเย็นชา
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ข้าน้อยเป็นศิษย์สาขาห่านฟ้า ขอถามศิษย์พี่หน่อยว่าที่นี่อยู่ห่างจากเขาชังหมานไกลเท่าใด และจะไปที่นั่นได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงเดินออกจากค่ายกลส่งตัว และกุมมือคารวะชายวัยกลางคนก่อนถามขึ้นมา
“ไปทางตะวันตก ห่างจากที่นี่สามหมื่นลี้”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูเหมือนทนความรำคาญไม่ได้ แต่ก็ยังตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลิ่วหมิงเองก็ไม่ใส่ใจ หลังจากถามไปอีกสองคำถาม และได้คำตอบแล้ว ก็กล่าวขอบคุณชายวัยกลางคนก่อนจะเดินออกไปจากวิหารหินสีดำ
พอเดินออกจากวิหาร หลิ่วหมิงก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย
วิหารหินสีดำแห่งนี้สร้างขึ้นบนยอดเขาสูงตระหง่าน บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยภูเขาเขียวที่ทอดตัวยาวเหยียด
พูดได้ว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเขาเขียวขจี พืชพันธุ์เขียวชอุ่ม พูดอีกอย่างได้ว่าเป็นสถานที่เวิ้งว้างไร้ซึ่งผู้คน เต็มไปด้วยป่าเขาเปล่าเปลี่ยวก็ได้
หากอยู่สถานที่แห่งนี้นานเข้า ไม่ว่าใครก็มีท่าทีเมินเฉยอย่างถึงขีดสุด
หลิ่วหมิงรู้สึกเห็นใจศิษย์ดำเนินการที่ถูกส่งให้มาประจำอยู่ที่นี่โดยฉับพลัน
เขาส่ายศีรษะ และทะยานไปทางทิศตะวันตกทันที
หลายวันผ่านไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงบริเวณเทือกเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ก่อนมาที่นี่ เขาได้หาอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้ตามความเคยชินของเขา ชื่อของเขาชังหมานมีความหมายว่าป่าเถื่อนอยู่ด้วย ช่างสมกับชื่อยิ่งนัก
สถานที่แห่งนี้นอกจากจะมีทัศนียภาพไม่เลวแล้ว สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาล้วนเป็นป่าเถื่อนวังเวงไปทั้งแถบ ไม่เพียงแต่จะมีปราณจิตวิญญาณเบาบางเท่านั้น แหล่งแร่และพืชจิตวิญญาณที่มีลักษณะพิเศษก็ไม่มีเลย
และตลอดการเดินทาง แม้แต่กำแพงเมืองของมนุษย์ก็พบเจอได้น้อยมาก ช่างเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ที่เหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงยังมีตระกูลผู้ฝึกฝนอยู่ แต่รอทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วค่อยว่ากัน
ไม่นาน เขาก็มาถึงหน้ายอดเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง
บนยอดเขามีไอหมอกสีเหลืองล่องลอยอยู่ตลอดเวลา ประจักษ์ชัดว่าเป็นค่ายกลมายาขนาดใหญ่ที่ปกป้องยอดเขาไว้ มันจึงบดบังฉากที่อยู่เบื้องหลัง
แต่ด้วยสายตาระดับหลิ่วหมิง ยังพอมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในนั้นได้อย่างรำไร
“คงเป็นที่นี่ล่ะมั้ง!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ลูกเปลวไฟขนาดใหญ่ลูกหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า และระเบิดตัวกลางอากาศ
ผ่านไปไม่นาน มีจุดสีดำเปล่งประกายบนยอดเขา มันก็คืออินทรียักษ์ที่กำลังบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
และบนหลังของอินทรีมีชายหนุ่มชุดเหลืองสองคนที่มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณยืนอยู่บนนั้น
พอเห็นหลิ่วหมิง ทั้งสองก็สบตากันทีหนึ่ง แววตาดูระมัดระวังเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็กุมมือคารวะแล้วถามขึ้นมา
“ไม่ทราบผู้อาวุโสมีชื่อแซ่ว่าอย่างไร มีธุระสำคัญอันใดที่ป้อมตระกูลสวี่ของพวกเรา?”
“ข้าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ รับคำสั่งจากทางนิกายให้มาเยี่ยมเยียน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“นิกายยอดบริสุทธิ์?…… ผู้อาวุโสมีหลักฐานการเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์หรือไม่?” ชายหนุ่มสองคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าหน่อยรีบโค้งตัวคารวะ และกล่าวอย่างนอบน้อม
หลังจากออกจากสถานที่ส่งตัว หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนมาใส่ชุดธรรมดาเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ รูปร่างหน้าตาก็ดูธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่แปลกที่ทั้งสองจะสงสัย
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ดวงตาก็เป็นประกาย และยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็พลันมีเสียงราวกับฟ้าผ่าดังออกมา
“บังอาจ! ต่อหน้าฑูตนิกายยอดบริสุทธิ์ อย่าได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้า!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เมฆสีเหลืองก้อนหนึ่งก็ทะยานออกมาตรงหน้า ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่บนนั้น
ตอนที่ 524 ป้อมตระกูลสวี่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่กี่อึดใจก้อนเมฆสีเหลืองก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง
ผู้อาวุโสรูร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่บนก้อนเมฆ ใบหน้าดูน่าเกรงขามมาก ประจักษ์ชัดว่าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่ง หลังจากจ้องมองทั้งสองทีหนึ่งแล้ว ก็คารวะหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ท่านทูต ผู้น้อยเหล่านี้มีความรู้ตื้นเขิน หากล่วงเกินอันใดต้องขออภัยด้วย”
“ไม่เป็นไร ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ขอถามหน่อยว่า ท่านใช่ไคหยางที่เป็นหัวหน้าตระกูลสวี่หรือไม่?” เรื่องเล็กน้อยแค่นี้หลิ่วหมิงย่อมไม่ใส่ใจแต่อย่างใด
“ท่านทูตมีสายหลักแหลมยิ่งนัก ข้าก็คือหัวหน้าตระกูลสวี่” ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่มีใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา และรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เขาคิดไม่ออกว่าคนตรงหน้าดูสถานะเขาออกได้อย่างไร
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวกับน้ำเสียงตำหนิศิษย์ตระกูลสวี่ทั้งสอง ไหนเลยเขาจะคาดเดาสถานะของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
ส่วนสถานะศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ของเขา ฝ่ายตรงข้ามคงได้รับข่าวที่มีคนรับภารกิจที่ตระกูลสวี่ประกาศไป แม้กระทั่งอาจจะรู้รูปร่างของเขามาบ้างแล้ว มิเช่นนั้นไหนเลยจะออกหน้ามารับอย่างรวดเร็ว และง่ายดายเช่นนี้
ขณะนี้ ชายหนุ่มบนหลังอินทรีทั้งสองก็รีบทำการคารวะด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และภายใต้การออกคำสั่งของผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งสองก็ไปรายงานข่าวบนยอดเขาตรงด้านหลัง
ไม่นาน ชั้นจำกัดนอกยอดเขาก็สั่นสะเทือน และค่อยๆ เปิดทางออกมา
“เชิญท่านฑูตเข้าไปพูดคุยกันในป้อมก่อนเถอะ!” ซวี่ไคหยางเห็นเช่นนี้ ก็หยุดคำพูดทักทายปราศรัยทันที และผายมือเป็นการเชื้อเชิญอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงเองก็ไม่เกรงใจ หลังจากพยักหน้าแล้วก็เหาะตามไปทันที
หลังจากเหาะไปได้หลายสิบจั้ง แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายตรงหน้า เผยให้เห็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นป้อมโบราณสูงใหญ่แห่งหนึ่ง
พอมองออกไป ป้อมโบราณมีความสูงมากกว่าสามสิบจั้ง รอบด้านมีกลุ่มสิ่งก่อสร้างเป็นชั้นๆ ชั้นนอกสุดเป็นกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบยอดเขาส่วนใหญ่ไว้
“สถานที่ของตระกูลเราโกโรโกโสมาก ขอท่านทูตอย่าได้ถือสา” สวี่ไคหยางนำหลิ่วหมิงเหาะไปยังห้องด้านในของป้อมโบราณ ขณะเดียวกันก็กล่าวออกมา
“หัวหน้าตระกูลสวี่เกรงใจไปแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างราบเรียบ
ไม่นาน พอทั้งสองร่อนลงบนพื้น ก็มีผู้อาวุโสชุดเหลืองหลายท่านยืนรอต้อนรับแล้ว
“ท่านนี้คงเป็นท่านทูตจากนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ ข้าน้อยสวี่อวิ๋นเจิน เป็นผู้อาวุโสใหญ่ในตระกูล ครั้งนี้ไม่ได้ออกไปรับ ต้องขออภัยด้วย” คนที่พูดออกมานี้ เป็นผู้อาวุโสผอมแห้งที่มีหนวดและผมเป็นสีเหลือง ดูเหมือนว่าผู้คนที่อยู่ด้านหลัง จะให้เขาเป็นผู้นำ
“ทุกท่านเกรงใจไปแล้ว ข้าน้อยหลิ่วหมิง ได้รับคำสั่งจากนิกายให้มาทำภารกิจที่ตระกูลสวี่ไหว้วานให้สำเร็จ” หลิ่วหมิงมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง และกุมมือคารวะกลับด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็โยนป้ายประจำตัวออกไป
”ที่แท้ท่านทูตหลิ่วก็เป็นศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ อนาคตภายหน้าจะต้องกว้างไกล การบรรลุระดับผลึกก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว มาๆ ข้าน้อยจะแนะนำให้ท่านฑูตรู้จักสักหน่อย ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูลสวี่เรา” ผู้อาวุโสผอมแห้งรับป้ายมาสำรวจดูเล็กน้อย ทันใดนั้น ดวงตาเหลืองซีดก็เป็นประกายออกมา และหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าว
จากนั้นเขากับสวี่ไคหยางก็เริ่มแนะนำผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น
ผู้อาวุโสตระกูลสวี่เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ผู้อาวุโสผอมแห้งมีระดับการฝึกฝนสูงสุด ซึ่งอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง ส่วนคนอื่นๆ รวมถึงสวี่ไคหยางล้วนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้น
แม้คนเหล่านี้จะมีท่าทีอ่อนโยน แต่พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่า นอกจากหัวหน้าตระกูลสวี่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีเลือดลมไม่คงที่ ทั้งยังมีไอดำโผล่ออกมาบนใบหน้าอย่างรำไร เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังจากพูดจากันเป็นพิธีรีตองแล้ว หลิ่วหมิงก็เดินเข้าไปในป้อมโบราณท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้อาวุโสเหล่านี้
หลังจากคนเหล่านี้แยกไปนั่งตามตำแหน่งแล้ว หญิงรับใช้ก็รีบยกชามาทันที
“นี่คือ ‘ชาน้ำค้างเหลือง’ เป็นผลิตผลพิเศษของเขาชังหมาน แม้จะไม่ใช่ชาระดับสูงอะไร แต่ก็ยังนับว่าหวานสดชื่นละมุนละไมยิ่งนัก รสอร่อยติดลิ้นนาน ท่านทูตลองจิบดู” หัวหน้าตระกูลสวี่นั่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ชา ค่อยๆ ดื่มก็ได้ แต่ในภารกิจนิกายบอกว่ามีปีศาจร้ายปรากฏตัวบริเวณนี้สองตัว ไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นเช่นไร?” หลิ่วหมิงยกชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากออกมา
พอคนตระกูลสวี่ที่อยู่ในที่นั้นได้ยินคำถามเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความอึดอัดใจ
“นึกไม่ถึงว่าท่านฑูตก็เป็นคนใจร้อนเช่นกัน ความจริงท่านไม่ถาม ข้าน้อยก็ต้องพูดอยู่ดี” ผู้อาวุโสผอมแห้งเห็นเช่นนี้ ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
”เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เดิมทีตระกูลสวี่เรามีสายแร่แห่งหนึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเขาชังหมาน ร้อยกว่าปีมานี้ก็ขุดหินแร่ทั่วไปตามปกติ และไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น แต่สองเดือนก่อน ขณะที่ศิษย์ในตระกูลสองคนรับคำสั่งไปตรวจตรานั้น กลับหายตัวไปในแหล่งแร่ พวกเราส่งคนไปหาอยู่หลายวันก็หาไม่พบ ตอนแรกก็คิดว่าพวกเขาคงไปสถานที่อื่น จึงไม่ได้ระมัดระวังมากนัก”
“แต่ว่าหลายวันต่อมา มีศิษย์รุ่นหลังในตระกูลหายตัวไปในเขตแร่อีกสองคน หนึ่งในนั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย เรื่องนี้จึงสะเทือนใจพวกเรามาก หลังจากตรวจหาไปหนึ่งรอบ ก็ค้นพบปีศาจระดับของเหลวขั้นกลางสองตัวที่อยู่ในส่วนลึกของหลุมแร่ มันฉวยโอกาสดูดพลังชีวิตของศิษย์เหล่านั้น ตระกูลสวี่ย่อมไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก จึงรวบรวมพลังคนจำนวนมากไปปราบปราม ตอนนั้นข้าก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย น่าเสียดายที่ปีศาจสองตัวนี้ร้ายกาจเกินไป พอแลกมือกับมัน พวกข้าต่างก็ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ พวกข้าได้รวมพลังกระตุ้นของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของตระกูล จึงสามารถหนีออกมาได้อย่างยากลำบาก” พอผู้อาวุโสผอมแห้งกล่าวถึงจุดนี้ คนตระกูลสวี่ต่างก็เผยสีหน้าจนปัญญาออกมา
หลิ่วหมิงยังคงมีสีหน้าปกติ และไม่เอ่ยปากแทรกแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าจะรอให้ผู้อาวุโสเล่าต่อ
“ปีศาจสองตัวยังคงครอบครองเขตแร่มาจนถึงวันนี้ พวกเราก็ได้แต่ปิดสายแร่ไว้ชั่วคราว เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ลำพังแค่พลังของพวกเราไม่อาจจัดการได้ จึงต้องเชิญท่านฑูตจากนิกายยอดบริสุทธิ์มาช่วย” ผู้อาวุโสผอมแห้งหัวเราะเยาะตนเองเล็กน้อย ในที่สุดก็ค่อยๆ พูดเรื่องที่ไหว้วานออกมา
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า ทุกท่านเจอปีศาจแค่สองตัวเท่านั้น เป็นได้หรือไม่ที่จะมีตัวที่สามด้วย?” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยปากถามในฉับพลัน
“คงเป็นไปไม่ได้ วันที่พวกเราแลกมือกับปีศาจสองตัวนั้น ก็หนีออกมาได้อย่างทุลักทุเล หากมันยังมีสหายอีกล่ะก็ พวกเราคงไม่อาจหลบหนีมาได้ถึงจะถูก” ผู้อาวุโสผอมแห้งนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
สวี่ไคหยางก็พยักหน้าอยู่ข้างๆ
หลิ่วหมิงเองก็คิดว่าที่พูดมามันก็มีเหตุผล
ตามที่เขาทราบมา ปีศาจโดยทั่วไปชอบดูดพลังชีวิตของมนุษย์ไปหล่อเลี้ยงตนเอง และศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งเทียบเท่ากับมนุษย์ธรรมดาหลายสิบคน หากปีศาจสองตัวนั้นยังมีสหายตัวอื่นๆ มันคงไม่ยอมปล่อยผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเหล่านี้ไปถึงจะถูก
“ไม่ทราบว่าปีศาจสองตัวนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร? ข้าเองก็พอจะนับว่ารู้จักปีศาจอยู่บ้าง ไม่แน่อาจจะคาดเดาที่มาของปีศาจนั้นได้” หลิ่วหมิงลูบคางแล้วกล่าวราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ถ้าจะพูดถึงความเข้าใจเกี่ยวกับปีศาจ นับว่าเขารู้จักไม่น้อยจริงๆ นิกายปีศาจในแต่ก่อน ก็เป็นนิกายที่ศึกษาหัวปีศาจเหล่านี้
ในคัมภีร์ ‘ภาพร้อยปีศาจย่ำราตรี’ ที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ ได้จัดรวมปีศาจไว้ร้อยแปดชนิด
“ขณะที่ปีศาจสองตัวทำการต่อสู้ สามารถขับหมอกปีศาจขนาดใหญ่ออกมาได้ มันเชี่ยวชาญการซ่อนร่องรอย และลอบโจมตีในภายหลัง พวกเราจึงมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัด” ผู้อาวุโสผอมแห้งได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่แดงเล็กน้อย
พอได้ยินเช่นนี้หลิ่วหมิงก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
ผู้อาวุโสตระกูลสวี่เหล่านี้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ต่อสู้กับปีศาจไม่ได้ไม่ว่า ยังไม่ทันมองเห็นรูปร่างของมัน ก็ถูกโจมตีจนต้องหนีเอาชีวิตรอดแล้ว ดูท่าคงมีประสบการณ์การต่อสู้ไม่มาก
“แม้ปีศาจมันจะร้ายกาจ แต่หากมีท่านฑูตลงมือพร้อมกับผู้อาวุโสเหล่านี้ จะต้องโจมตีพวกมันจนพ่ายแพ้ในคราเดียวอย่างแน่นอน ท่านฑูตวางใจเถอะ! แม้ตระกูลสวี่เราจะไม่สามารถเทียบกับตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ แต่ในคลังเก็บของยังมีแร่ธาตุหายากจำนวนหนึ่งที่ตกทอดมาจากสมัยก่อน หากท่านไม่รังเกียจล่ะก็ รอจัดการปีศาจร้ายสองตัวนี้ได้ ก็สามารถเลือกไปได้อย่างสองอย่าง” หัวหน้าตระกูลสวี่เห็นหลิ่วหมิงมีสีหน้าครุ่นคิดเช่นนี้ เขาจึงรีบกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และเข้าใจในทันที
ผู้อาวุโสตระกูลสวี่เหล่านี้ คงกลัวว่าเขาจะถอนตัวออกกลางคันหลังจากรู้ว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือร้ายกาจ
และสวี่ไคหยางในตอนนี้ก็ดูร้อนอกร้อนใจมาก
แม้ตระกูลสวี่จะอยู่ภายใต้ของนิกายยอดบริสุทธิ์ แต่ตระกูลก็ได้ตกต่ำมานานแล้ว ทรัพยากรก็มีจำกัดมาก พอเกิดเรื่องในครั้งนี้ขึ้น แม้จะขอความช่วยเหลือจากนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว แต่เนื่องจากจำเป็นต้องรักษาผู้บาดเจ็บในตระกูล จึงใช้จ่ายหินจิตวิญญาณในตระกูลไปไม่น้อย
ในเวลานั้นนำแปดหมื่นหินจิตวิญญาณออกมาเป็นค่าตอบแทนภารกิจ ช่างดูขัดสนเป็นอย่างมาก
หากว่าหลิ่วหมิงวางมือไม่ยอมยุ่งด้วย เกรงว่าคงไม่มีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนอื่นมาอีก
พอตอนนี้เห็นหลิ่วหมิงดูเหมือนจะมีท่าทีลังเล แม้หัวหน้าตระกูลสวี่ผู้นี้จะรู้สึกเจ็บปวดต่อวัสดุหลอมอาวุธที่มีอยู่ไม่มาก แต่ก็ได้แต่กัดฟันให้สัญญาไว้
“ทุกท่านวางใจเถอะ! ในเมื่อข้ารับภารกิจมาแล้ว ย่อมทำมันให้สำเร็จอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่อาจกลับไปอธิบายกับนิกายได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกายสองสามที แต่กลับกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
“วิเศษไปเลย! ท่านฑูตเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนก่อน เรื่องภารกิจยังไม่ต้องรีบร้อนในตอนนี้ พรุ่งนี้ค่อยยุ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย คืนนี้จะจัดงานเลี้ยง ขอท่านได้โปรดเป็นเกียรติรับคำเชื้อเชิญด้วย” ตอนนี้หัวหน้าตระกูลสวี่ถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แม้แต่ผู้อาวุโสผอมแห้งกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะรู้สึกโล่งใจด้วยเช่นกัน
หลิ่วหมิงเดินทางมาตลอดทาง และรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง จึงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด หลังจากกล่าวลากับผู้คนในที่นั้นแล้ว ก็เดินตามข้ารับใช้คนหนึ่งไปยังห้องรับรองที่ตระกูลสวี่เตรียมไว้ให้
ส่วนงานเลี้ยงย่อมถูกเขาปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงออกไปจากป้อมตระกูลสวี่พร้อมกับผู้อาวุโสตระกูลสวี่อีกคนที่มีท่าทีคล้ายกับบัณฑิตวัยกลางคน และมุ่งไปยังสายแร่ในเขาชังหมาน
ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลสวี่ต้องการรวบรวมคนให้ออกเดินทางไปพร้อมกัน แต่กลับถูกหลิ่วหมิงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
กะอีแค่ปีศาจระดับของเหลวขั้นกลางสองตัว เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลย
ตอนที่ 525 ปีศาจหน้าดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในขณะเดียวกัน ณ ห้องรับรองแห่งหนึ่งในป้อมตระกูลสวี่ หัวหน้าตระกูลสวี่กับผู้อาวุโสหลายท่านกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นี่ และกำลังหารืออะไรกันอยู่
“พี่ใหญ่ ท่านฑูตหลิ่วผู้นี้พาสวี่เย่ล่วงหน้าไปก่อน คงไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นหรอกนะ! อย่างที่รู้ว่าปีศาจสองตัวนั้นร้ายกาจมาก หากคนผู้นี้เป็นอะไรไป นิกายยอดบริสุทธิ์สอบสวนลงมา…..” สวี่ไคหยางพูดกับผู้อาวุโสผอมแห้งด้วยความกังวลใจ
“อันนี้……คงไม่หรอกมั้ง! ในเมื่อคนผู้นี้ถือดีเช่นนี้ คิดว่าคงจะมีฝีมืออยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น สวี่เย่ก็เป็นคนที่ระมัดระวังมาก พลังป้องกันของโล่เบญจดาราก็ค่อนข้างไม่ธรรมดา ต่อให้จะสู้กับปีศาจไม่ได้ ก็คงกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งลูบหนวดไปมา และค่อยๆ กล่าวออกมา
อาจเป็นเพราะคำปลอบใจของคนผู้นี้ได้ผล ผู้อาวุโสที่อยู่ที่นั่นต่างก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง ประจักษ์ชัดว่าก่อนหน้านั้นก็วิตกกังวลเช่นกัน
ผู้อาวุโสผอมแห้งยิ้มในใจอย่างขมขื่น ไหนเลยเขาจะไม่กังวลในเรื่องนี้
ก่อนหน้านั้นเขาเคยใช้จิตกวาดดู และค้นพบว่าหลิ่วหมิงผู้นั้น ก็เป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเหมือนกับเขาเท่านั้น
แต่ในเมื่อหลิ่วหมิงยืนกรานเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หากทำให้คนผู้นี้โมโหล่ะก็ คงไม่ดีเป็นแน่แท้
“ไคหยาง สั่งการลงไป เปิดชั้นจำกัดทั้งหมดของป้อมตระกูลสวี่ นอกจากนี้ให้ปล่อยอินทรีตาแดงทั้งหมดไประวังการเคลื่อนไหวในเขตขุดแร่ หากมีเหตุที่ไม่คาดคิด พวกเราก็ไม่อาจไม่สนใจสหายหลิ่วได้ จะต้องรีบไปช่วยทันที” ผู้อาวุโสผอมแห้งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับหัวหน้าตระกูลสวี่
“เช่นนี้ก็มีความมั่นใจขึ้นแล้ว” สวี่ไคหยางตอบรับด้วยความยินดียิ่ง และรีบสั่งการลงไปทันที
……
ขณะที่คนตระกูลสวี่เป็นกังวลอยู่นั้น หลิ่วหมิงทั้งสองก็มาถึงสายแร่ตระกูลสวี่ที่อยู่ทางด้านตะวันออกของเขาชังหมาน
สายแร่แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง ภูเขารอบๆ ล้วนมีร่องรอยของการขุดเจาะ บริเวณที่มองผ่าน ล้วนเป็นต้นไม้ที่ถูกทำลายกับเศษหินที่กองอยู่เต็มพื้น
ทั้งสองเดินอยู่ในหุบเขาราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว ก็มาถึงหน้าถ้ำเหมืองแร่ที่มีขนาดหลายจั้ง
ท่อนไม้กลมๆ ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งค้ำยันอยู่หน้าปากถ้ำอย่างลวกๆ พอมองเข้าไปด้านใน จะเห็นว่ามันมืดสลัวๆ เหมือนกับว่าจะลึกลงไปด้านล่าง
“สหายหลิ่ว ปีศาจสองตัวนั่นซ่อนอยู่ในส่วนลึกของถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้” สวี่เย่ที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตจ้องมองข้างในทีหนึ่ง และกระตุกหางตาขึ้นมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า และสาวเท้าเข้าไปด้านใน
“ปีศาจสองตัวนั้นลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก สหายจะต้องระวังตัวด้วย” บัณฑิตวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเตือนออกไป
“ไม่เป็นไร! ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร” หลิ่วหมิงหันมามองคนผู้นี้ทีหนึ่ง หลังจากยิ้มให้เล็กน้อยแล้ว ก็เดินเข้าไปทันที
ชายวัยกลางคนกัดฟัน และจับโล่เล็กๆ ไว้แน่น จากนั้นก็ตามเข้าไปทันที
ทางเดินในถ้ำคดเคี้ยวและขรุขระมาก มันลาดเอียงลงไปยังด้านล่าง
มีหินเรืองแสงเลี่ยมฝังอยู่ระหว่างทางเป็นระยะๆ ดังนั้นที่นี่จึงไม่ค่อยไม่มืดสลัวมาก แต่ทั้งสองล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว ก็ปล่อยจิตออกไปคลำหาเส้นทางได้
ทั้งสองเดินไปได้ราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งเค่อ ก็มาถึงพื้นดินที่ลึกลงไปหลายสิบจั้ง
“ภายใต้ถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ มีปราณหยินอยู่ไม่น้อย คงจะขุดหินธาตุหยินกันใช่หรือไม่?” ขณะที่เดินไปด้วย หลิ่วหมิงก็ปล่อยจิตกวาดดูรอบด้าน และรับรู้ได้ว่าอากาศในสถานที่แห่งนี้ มีปราณหยินแฝงอยู่บางส่วน จึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“สหายหลิ่วหลักแหลมมาก ไม่นานมานี้ได้ค้นพบสายแร่หินดำในส่วนลึกของถ้ำเหมืองแร่ ก่อนเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็กำลังทำการขุดอยู่” เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตวัยกลางคนรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาใช้จิตสำรวจดูรอบด้านไม่หยุด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่ปีศาจสองตัวนั่นจะครอบครองสายแร่ส่วนลึก” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และมองเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า จากนั้นก็ใช้มือตบผนังหินด้านหนึ่งเบาๆ
หลังจากทั้งสองเดินไปอีกซักพัก ตรงจุดสิ้นสุดทางเดินข้างหน้าก็กลายเป็นทางสามแยก
ภายใต้การนำทางของบัณฑิตวัยกลางคน ทั้งสองก็เดินไปทางขวา หลังจากวนไปหนึ่งรอบ เพดานถ้ำที่สูงหลายจั้งก็ค่อยๆ ลดลงเหลือจั้งกว่าๆ ปราณหยินรอบด้านก็หนาแน่นขึ้นมามาก
“ที่นี่เป็นอาณาเขตที่ปีศาจสองตัวนั้นเคลื่อนไหวแล้ว” บัณฑิตวัยกลางคนพูดเตือนไปหนึ่งประโยค ขณะเดียวก็หยิบยันต์สีเขียวหยกออกมาผืนหนึ่ง
แต่เขายังพูดไม่ทันจบหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างก็ขยับตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นไหล่ของชายวัยกลางคนก็ตึงขึ้นมาในฉับพลัน เท้าทั้งสองลอยขึ้นจากพื้น และพุ่งออกไปด้านหลังหลายจั้ง
ขณะเดียวกัน พายุเย็นสะท้านก็พัดระใบหน้าไป!
มือปีศาจสีดำที่ปรากฏออกมาอย่างเงียบๆ ดูเหมือนจะแฉลบผ่านร่างพวกเขาไป
“ฟู่!”
มือปีศาจลากเส้นสีดำกลางอากาศห้าเส้น และผนังถ้ำบริเวณนี้ก็ราวกับเป็นก้อนเต้าหู้ ซึ่งถูกข่วนเป็นรอยกรงเล็บลึกๆ ห้ารอย
“ขอบคุณพี่หลิ่ว”
บัณฑิตวัยกลางคนเพิ่งจะได้สติขึ้นมา เขากล่าวขอบคุณติดต่อกัน แต่ใบหน้าของเขากลับซีดขาว และแผ่นหลังก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
หากหลิ่วหมิงไม่ลากเขาออกไป ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวังตัวเช่นนี้ เขาคงถูกโจมตีจนเสียชีวิตไปแล้ว
หลิ่วหมิงทำราวกับไม่ได้ยิน และจ้องมองด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทางเดินตรงหน้า ไม่รู้ว่ามีไอหมอกดำหนาแน่นปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ภายในหมอกดำมีร่างพร่ามัวขนาดใหญ่ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ และกำลังจ้องมองหลิ่วหมิงทั้งสองอยู่
พอบัณฑิตวัยกลางคนเห็นเงาปีศาจในหมอกดำ ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เขารีบขยี้ยันต์ในมือจนแตกกระจาย ม่านแสงสีเขียวรูปไข่ไก่โผล่ออกมาจากตัว ขณะเดียวกัน เขาก็ร่ายคาถาจนทำให้โล่เล็กในมือขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า และลอยขึ้นมาบังอยู่ตรงหน้า
หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คมวายุสีเขียวขนาดฉื่อกว่าๆ จำนวนมากพุ่งยิงออกไป ขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็สะบัดแขนเสื้อ และกระบี่เล็กสีแดงก็ลอยออกมา
เงาร่างปีศาจสั่นไหวเล็กน้อย หมอกดำตรงหน้าพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็เกาะตัวเป็นกำแพงหมอกสีดำ
คมวายุจมหายไปในนั้นราวกับดินเหนียวจมลงในทะเล โดยไม่มีสุ้มเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย
กำแพงหมอกดำส่งเสียงดัง “ตู้ม!” และระเบิดตัวออกมา จากนั้นก็กลายเป็นหมอกดำม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิงทั้งสอง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สะบัดข้อมือทันที กระบี่เล็กสีแดงสั่นไหวเบาๆ ปลายกระบี่เปล่งแสงกระบี่สีแดงเจิดจ้าออกมา
“ไป!”
พอเขาส่งเสียงคำรามออกมา แสงกระบี่ลำหนึ่งที่ยาวสามสี่จั้งก็พุ่งออกจากกระบี่เล็ก และทะลุหมอกดำไปราวกับสายรุ้งที่พาดผ่านดวงอาทิตย์
“ฟิ้ว!”
แสงกระบี่ทะลุหมอกดำโดยไม่หยุดชะงัก และฟันใส่เงาปีศาจที่อยู่ด้านหลัง
ดูเหมือนว่าดวงตาแดงก่ำของเงาปีศาจจะเผยความหวาดกลัวออกมา มันพ่นหมอกดำเข้มข้นออกมาสองสามที จึงพอที่จะต้านทานแสงกระบี่สีแดงได้ชั่วคราว ส่วนตัวมันเองก็กลายเป็นพายุสีดำพุ่งออกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
แสงกระบี่ประสานไปมากับหมอกดำ ในที่สุดก็ดับสลายไปพร้อมกัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ไล่ตามไป
เงาปีศาจเพิ่งจะหนีออกไปได้สิบกว่าจั้ง ผนังถ้ำด้านหนึ่งก็พลันระเบิดออกมา ขณะเดียวกัน ไหมสีเขียวจำนวนมากก็พุ่งยิงออกมา และกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ปกคลุมไปยังเงาร่างปีศาจ
เงาปีศาจไม่ทันได้ระวัง และถ้ำเหมืองแร่ก็คับแคบจนไม่อาจหลบหลีกได้ จึงได้แต่ส่งเสียงร้องแหลมกระตุ้นหมอกดำรอบตัวให้ปกคลุมตนเองไว้ เพื่อต้านทานการโจมตี
“ฟู่!”
ตาข่ายสีเขียวกระพริบผ่านไป มันปกคลุมเงาปีศาจและไอดำรอบตัวมันไว้
มีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังมาจากผนังถ้ำ พอแสงสีดำเปล่งประกายออกมา อะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายศีรษะกลมๆ ก็พุ่งออกมา
มันคือหัวบินนั่นเอง!
หลังจากหลิ่วหมิงเข้ามาในถ้ำเหมืองแร่แล้ว ที่เขาดูเหมือนจะตบผนังถ้ำอย่างไม่ใส่ใจนั้น ที่แท้ก็ได้แอบปล่อยหัวบินกับแมงป่องกระดูกออกมา และแฝงตัวมาตลอดทาง
และมีผู้ช่วยระดับของเหลวขั้นปลายสองตัว เขาถึงไม่กลัวปีศาจสองตัวนี้
พอได้ยินเสียงร้องของหัวบิน หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา ขณะที่กำลังจะกระโดดเข้าไปหานั้น เขาก็ต้องขมวดคิ้วในฉับพลัน จากนั้นก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม
และในขณะเดียวกัน หมอกดำอีกกลุ่มก็ปรากฏตรงด้านหลังอย่างกะทันหัน และพุ่งทะลุภาพเงาร่างของเขาไป
“สหายหลิ่วระวัง นี่คือปีศาจอีกตัว!”
เหตุการณ์ในก่อนหน้านั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้บัณฑิตวัยกลางคนเพิ่งจะได้สติขึ้นมา พอเห็นหลิ่วหมิงหลบการโจมตีของเงาปีศาจอีกตัวได้ เขาก็หลุดปากตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้ และพอเขาโบกมือ แท่งแหลมๆ สีเงินก็โผล่ออกมา
แต่ผู้อาวุโสตระกูลสวี่ผู้นี้ยังไม่ทันได้ปล่อยอาวุธจิตวิญญาณออกไป หลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะสะบัดข้อมืออย่างไม่ใส่ใจ เงากระบี่ปรากฏออกมาอย่างแน่นขนัด และม้วนตัวออกไปราวกับเป็นเขาลูกเล็กๆ
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
แสงสีแดงจำนวนมากยิงทะลุหมอกดำ และแหวกมันออกมา เผยให้เห็นรูปร่างของปีศาจที่อยู่ด้านใน
มันมีใบหน้าสีดำ คมเขี้ยวยื่นออกมานอกปาก ดวงตาทั้งคู่ดุจดังกระดิ่งทองแดง บนตัวมีเส้นขนหนาๆ ปกคลุมไปทั่ว นิ้วมือนิ้วเท้าโค้งงอราวกับจมูกเหยี่ยว
“ที่แท้ก็เป็นปีศาจหน้าดำ” หลิ่วหมิงกวาดสายตาดู และพูดพึมพำออกมา
บนตัวปีศาจตัวนี้เต็มไปด้วยบาดแผล ประจักษ์ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด มีเพียงแค่หมอกดำลอยออกมาเท่านั้น
ปีศาจหน้าดำเบิกตาโพลงจ้องมองหลิ่วหมิง สีหน้าของมันดูหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทันใดนั้น มันก็หมุนตัวเพื่อจะหนีไปยังส่วนลึกของถ้ำ
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีแสงสีม่วงเปล่งประกายบนพื้นที่มันยืน ก้ามยักษ์คู่หนึ่งพุ่งทะลุดินขึ้นมา และหนีบขาทั้งสองของปีศาจอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ปีศาจหน้าดำตกใจจนหน้าถอดสี หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ขาทั้งสองก็พยายามดิ้นรน และกรงเล็บอัปลักษณ์อันแหลมคมก็คว้าไปยังก้ามยักษ์อย่างบ้าคลั่ง
แต่หลังจากมีเสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก้ามยักษ์สีเงินก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งบนพื้นผิวของมันก็ไม่มีร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้เลย
ครู่ต่อมา มีไอหมอกสีม่วงเข้มลอยออกจากก้ามยักษ์ พอมันสัมผัสกับเท้าทั้งสอง ผิวหนังและเลือดเนื้อของปีศาจหน้าดำก็เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว
ปีศาจหน้าดำส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา หมอกดำบนร่างพวยพุ่ง กรงเล็บทั้งคู่ขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ และโจมตีก้ามยักษ์อย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ยังคงทำอะไรก้ามยักษ์ไม่ได้เลย
ขณะนั้น มีเสียงดัง “ฟิ้ว!”
เงาแวววาวยิงเข้ามาจากด้านหลังปีศาจหน้าดำอย่างรวดเร็ว มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็แทงทะลุหัวของมัน
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น