ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 511-514

ตอนที่ 511 ธารน้ำพุเหลือง

 

ตู๋กูซิงหลันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จีเฉวียนจะทิ้งดาบหักครึ่งเล่ม กับแหวนวงนี้เอาไว้ให้กับนาง 


 


 


นางหยิบแหวนขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เก็บเอาไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้ากลางดึกที่มีเมฆลอยอึมครึมไปหมด มือก็กำเป็นหมัดแนบแน่น ปลายเล็บจิกลงไปในเนื้อ 


 


 


พวกเทพไท้บนสวรรค์ แค้นนี้ไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน! 


 


 


……………………… 


 


 


 


 


 


นางคุกเข่าอยู่ในป่าทึบด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ใช้มือขุดหลุมทำเป็นสุสานแห่งหนึ่ง ฝังดาบที่หักครึ่งของจีเฉวียนลงไป 


 


 


และเพราะใช้มือขุดดิน ทำให้นิ้วทั้งสิบของนางถลอกจนเลือดไหล 


 


 


แต่ว่านางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด พอฝังดาบลงไปแล้วก็กอบดินทีละกำทีละกำ จนมันพอกพูนขึ้นมา ค่อยๆทำจนเสร็จเรียบร้อย 


 


 


นางไม่อยากให้เขาตายจากไปตัวเปล่า ดังนั้นจึงฝังดาบหักครึ่งเล่มนี่ลงไปถือเป็นสิ่งของร่วมกลบฝัง 


 


 


จากนั้นก็หาหินขนาดใหญ่มาก้อนหนึ่ง ใช้กริชแกะสลักเป็นป้าย 


 


 


สลักเป็นคำว่า ‘สุสานของจีเฉวียนผู้เป็นที่รัก’ ลงชื่อ ‘ซิงซิง’ 


 


 


จากนั้นนางก็คุกเข่าอยู่ที่ข้างๆสุสานของจีเฉวียน ใช้เลือดของตนเองเขียนยันต์ขึ้นมา ท่องคาถาส่งวิญญาณสู่สันติสุขตลอดทั้งคืน 


 


 


แต่ว่าเมื่อนางไม่อาจสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของจีเฉวียน 


 


 


คาถาส่งวิญญาณสู่สันติสุขนี้ย่อมไม่เกิดผล 


 


 


แต่ทั้งๆที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ ตู๋กูซิงหลันก็ยังคงทำต่อไป 


 


 


อาจเป็นเพราะ…..เขาคือร่างแบ่งภาคของอาจารย์ ดังนั้นแม้แต่วิญญาณของเขาก็อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาจารย์ด้วยเช่นกัน 


 


 


แต่ว่าในสายตาของตู๋กูซิงหลัน เขาก็คือจีเฉวียน คือคนที่นางชอบ คือชายที่นางรักผู้นั้น 


 


 


เขาคือจีเฉวียนที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้านี้ 


 


 


………………… 


 


 


 


 


 


กระทั่งเมื่อถึงยามที่ฟ้าสางจนสว่างไสว นางก็ก้มลงจูบที่ป้ายสุสานครั้งหนึ่ง ค่อยพาจู๋จู๋และติ๊งต๊องจากไปพร้อมกัน 


 


 


เป้าหมายของนางในตอนนี้ย่อมเป็น ธารน้ำพุเหลือง  


 


 


นั่นเป็นสถานที่ที่ทั้งอันตรายและเต็มไปด้วยโอกาส 


 


 


นางจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จึงจะสามารถสังหารเหล่าเทพสวรรค์เพื่อแก้แค้นให้กับอาจารย์และจีเฉวียน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเคยไปที่ธารน้ำพุเหลืองครั้งหนึ่ง เป็นซื่อมั่วพานางไป 


 


 


เส้นทางสู่ธารน้ำพุเหลืองนั้นเต็มไปด้วยอันตราย จำเป็นต้องใช้ฝีมือเป็นพิเศษจึงจะเปิดออกได้ 


 


 


และครั้งนี้ พอในใจของนางตั้งมั่นจะไปที่นั่น อยู่ๆข้างกายก็พลันปรากฏดอกพลับพลึงแดงดอกหนึ่งขึ้นมา 


 


 


“เสินฟาง?” ตู๋กูซิงหลันเกือบจะลืมคนผู้นี้ไปเสียแล้ว 


 


 


ดอกพลับพลึงแดงดอกนั้นไม่ได้ให้คำตอบใดๆกับนาง เพียงแต่ย้ายมานำทางอยู่ด้านหน้า จากนั้นก็เริ่มนำทางนางไปสู่เส้นทางที่รกชันอย่างยิ่งไปเรื่อยๆ 


 


 


ทั้งๆที่เป็นยามกลางวันแสกๆแต่ว่ากลับมีไอหยินเข้มข้น นางเดินตามดอกไม้ดอกนั้นไปยังเส้นทางที่มีไอหยินรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร รอบกายก็เปลี่ยนเป็นสายหมอกหนา ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยว่า ท่ามกลางสายหมอกเหล่านี้มีดวงวิญญาณผู้ตายอยู่ 


 


 


ร่างกายของจู๋จู๋ใหญ่เกินไปจนเกะกะไม่สะดวก ตู๋กูซิงหลันจึงวาดยันต์จำแลงกายขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ทำให้มันเปลี่ยนเป็นงูสีแดงตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือเกาะอยู่บนหัวไหล่ของนาง 


 


 


ติ๊งต๊องเดินตามนางมาที่ข้างกายอย่างว่าง่าย มันตามติดชนิดที่ก้าวต่อก้าวเลยทีเดียว 


 


 


สถานที่แห่งนี้มีอันตรายมาก และเพราะพี่สาวตัวน้อยเอาแต่ติดตามดอกไม้ดอกนั้นมา เดินไปเรื่อยๆจนมาถึงพื้นที่ที่เวิ้งว้างแห่งหนึ่ง 


 


 


รอบกายมีแต่เหล่าผีที่พึ่งตายได้ไม่นาน แต่ละตนแม้ตายแล้ว แต่ก็พากันเดินไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกันอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างคอยชักเชิดไปตลอดทาง 


 


 


ธารน้ำพุเหลือง เป็นช่องทางที่เปิดรับแต่ผู้ตายเท่านั้น ฟังว่าคนเป็นไม่อาจผ่านเข้าไปได้ 


 


 


แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น 


 


 


นางไม่ได้สนใจเหล่าวิญญาณข้างกายที่พึ่งตายมาไม่นาน เอาแต่ติดตามดอกไม้ดอกนั้นไปเรื่อยๆ 


 


 


เนิ่นนาน หมอกหนาก็ค่อยจางลง ที่ด้านหน้าพลันปรากฏสีแดงฉานไปทั้งแถบ 


 


 


สีแดงที่เข้มข้นดุจเลือดเหล่านั้นผุดขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของนาง 


 


 


เป็นดอกพลับพลึงแดง ที่ผุดขึ้นเป็นเส้นทางอันคดเคี้ยวจากผืนดินสีหมึกที่มีไอหยินเข้มข้น ท่ามกลางสายหมอกจางๆเส้นทางนี้ทอดยาวออกไปคล้ายไร้จุดสิ้นสุด 


 


 


ดอกพลับพลึงแดงนี้ คือดอกไม้ที่ผลิบานอยู่ริมฝังของธารน้ำพุเหลือง ดึงดูดเหล่าดวงวิญญาณให้ไปตามธารน้ำพุเหลือง ข้ามสะพานไน่เหอ ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่ง จากนั้นก็ลืมเลือนเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น 


 


 


นี่คือเรื่องราวที่เล่าขานกันมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเดินไปเรื่อยๆครู่หนึ่ง ฝีเท้าก็พลันหยุดลง นางมองเห็นว่าด้านหน้าที่ไม่ไกลออกไป มีสะพานแห่งหนึ่งตั้งอยู่ 


 


 


สะพานแห่งนั้นคล้ายลอยอยู่บนความว่างเปล่า บนเสาสะพานมีดอกพลับพลึงแดงขึ้นดาษดื่นจนแดงฉานไปทั้งแถบ 


 


 


วิญญาณแต่ละดวงเดินข้ามสะพานไปเรื่อยๆ 


 


 


บางตนก็ข้ามไปอย่างราบรื่น แต่บางตนก็หล่นลงไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ราวกับว่าถูกบางสิ่งที่อยู่ใต้สะพานดูดกลืนลงไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง นางคือปรมจารย์นักพรต ย่อมต้องมองออกว่า ดวงวิญญาณที่ถูกกลืนกินลงไปเหล่านั้น มีร่างสีดำมืดตลอดตัว 


 


 


ปกติแล้วคนเช่นนี้ คือคนที่ชั่วช้าสามานย์ บาปกรรมที่ทำเอาไว้เมื่อตายแล้วก็ทับถมอยู่บนร่าง จนจิตวิญญาณกลายเป็นสีดำมืด 


 


 


ใต้สะพาน มองดูเผินๆเหมือนเป็นทะเลดอกไม้ แต่รอจนเมื่อวิญญาณสีดำเหล่านั้น ตกลงไปและถูกกลืนกินนั้น จึงจะเห็นว่าหากแหวกดอกไม้ที่อยู่ใต้สะพานออก สิ่งที่อยู่ข้างใต้ก็คือผืนน้ำสีดำดุจหมึก 


 


 


ในน้ำสีดำราวน้ำหมึกนั้นมีปลาสีดำตลอดร่างขนาดใหญ่โตอยู่หลายตัว แค่พวกมันอ้าปากขึ้นมาครั้งหนึ่งก็กลืนกินวิญญาณสีดำเหล่านั้นลงไปได้อย่างหมดสิ้น 


 


 


ที่ปลายสะพาน คล้ายมีคนคอยเฝ้าอยู่คนหนึ่ง เพียงแต่เพราะว่าอยู่ห่างกันมากเกินไป รอบด้านก็มีแต่หมอกลอยละล่อง ตู๋กูซิงหลันจึงไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน 


 


 


ได้แต่ฉุกคิดถึงชื่อที่เคยได้ยินจากคำเล่าลือสืบต่อกันมา ‘ท่านยายเมิ่ง’ 


 


 


สะพานไน่เหอ น้ำแกงยายเมิ่ง …..หากมองดูจากภาพตรงหน้าก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงเกินไปแล้ว 


 


 


ทั้งอาจารย์และจีเฉวียน….ต่างก็ต้องข้ามสะพานนี้ ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งหรือไม่? 


 


 


นางโคลงศีรษะ หากว่าสามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของพวกเขา ต่อให้ต้องทุมเทพลังทั้งหมดนางก็จะขอรั้งพวกเขาเอาไว้ให้ได้ 


 


 


คนเมื่อตายจิตวิญญาณพึงอยู่ แต่ว่าพวกเขาล่ะ…..แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังไม่รู้สึกถึงความคงอยู่แม้แต่น้อย 


 


 


……………………….. 


 


 


 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ตามอง สังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่พบว่ามีคนเป็นใดๆทั้งสิ้น 


 


 


ตอนที่นางติดตามอาจารย์มายังธารน้ำพุเหลืองนั้น เพียงแค่พริบตาเดียวก็มาถึงแล้ว และแน่นอนว่าไม่ได้เดินข้ามสะพานไป 


 


 


นางไม่แน่ใจว่าหากว่าคนเป็นข้ามสะพานนี้ไปแล้วจะตกลงไปหรือไม่ 


 


 


ในเมื่อไม่ได้อยากเสียเวลาไปเปล่าๆ ในที่สุดนางก็เดินขึ้นไปบนสะพานนั้น 


 


 


พอก้าวเท้าขึ้นไปก้าวหนึ่ง สะพานก็ไม่ได้มีปฏิกริยาใดๆ 


 


 


พื้นบนสะพานมีลวดลายซับซ้อน และแม้กระทั่งยามที่นางเดินไปจนถึงจุดสูงสุดของสะพาน ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสังเกตดูลวดลายเหล่านั้นอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าดูคล้ายกับอักขระของคาถาบางอย่าง 


 


 


ในขณะที่หยุดนิ่งอยู่นั้น ทันใดนั้นนางก็เห็นว่าดอกพลับพลึงแดงที่อยู่ตรงเสาสะพานมีความเคลื่อนไหว 


 


 


นางมิได้เคลื่อนไหววู่วาม หากแต่ยังคงยืนอยู่บนสะพานเช่นเดิม ส่วนติ๊งต๊องที่ยืนอย่างเรียบร้อยอยู่ด้านหลังของนางก็ตระเตรียมจะพ่นไฟออกมาแล้ว 


 


 


จะสนใจไปไยว่าเจ้าปลายักษ์ใต้สะพานนั่นมันเป็นตัวอะไร ขอเพียงพวกมันกล้าลงมือกับพี่สาวตัวน้อย ก็ต้องถูกย่างกลายเป็นเป็นปลาเผาไปก่อน! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสะพาน สายตาของนางมีแต่ความสงบนิ่ง มองเลยไปยังเงาร่างของคนที่อยู่ตรงหัวสะพาน 


 


 


ยามที่นางมองไป คนผู้นั้นก็กำลังมองมาที่นางพอดีเช่นกัน 


 


 


ท่ามกลางไอหมอกจางๆรอบกาย นางเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นสตรีผู้หนึ่ง สตรีที่สวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง แทบจะปกปิดร่างกายเอาไว้ทั้งหมด เผยเพียงดวงตาสีดำกลมโตคู่หนึ่งเท่านั้น 


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะถูกไอแห่งความตายเกาะกุมมาเนิ่นนาน แววตาคู่นั้นของนางจึงปราศจากชีวิตชีวา 


 


 


เพียงแค่ได้มองสบตา ก็เหมือนถูกลากลงไปในแดนแห่งความตาย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันแค่สบตาเพียงครู่เดียว ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายจากภายในที่กำจายออกมา 


 


 


“เจ้าเป็นคนเป็น ไม่เหมาะกับธารน้ำพุเหลือง กลับไปเสียเถอะ” ครู่ใหญ่ สตรีผู้นั้นถึงได้เอ่ยปากออกมา “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนเป็นควรจะมา” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ตอบคำ เพียงจ้องมองนางเขม็ง และก้าวเท้าออกไปอีกก้าวหนึ่ง 


 


 


ทันทีที่ก้าวเท้านี้ออกมา แววตาของอีกฝ่ายก็ทอประกายขุ่นเคืองขึ้นมาทันที แต่พอมองเห็นนางได้ชัดเจนขึ้น คำพูดที่อยู่บนริมฝีปากก็ต้องกลืนกลับลงไป  



 

 

 


ตอนที่ 512 ต้นฮว๋าย

 

สายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่นางด้วยความหวาดกลัวอยู่บ้าง 


 


 


จากนั้นสายตาคู่นั้นก็ไปหยุดอยู่ที่ดอกพลับพลึงแดงที่รั้งอยู่ข้างกายนาง ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ทั้งยังทวีความซับซ้อนสับสน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว ก็รู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าเบาหวิว อยู่ๆพื้นผิวบนสะพานที่สร้างจากแผ่นหินก็สลายหายไปราวกลีบดอกไม้ ร่างของจึงตกลงไปยังเบื้องล่าง 


 


 


พอก้มศีรษะลงมองดู ก็เห็นว่าดอกพลับพลึงแดงที่อยู่ใต้สะพานหายไปหมดแล้ว สิ่งที่อยู่แทนที่มีแต่ผืนน้ำหมึก กลางผืนน้ำมีฝูงปลาสีดำราวหมึกขนาดใหญ่หลายสิบตัวกำลังเงยหัวขึ้นมา อ้าปากกว้างยิงฟันราวกับกำลังรอคอยเหยื่ออันโอชะอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ปลาแต่ละตัวมีฟันคมยาวราวดาบที่เรียงราย ฟันแต่ซี่ทั้งแหลมคมและยาวราวกริชเล่มหนึ่ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสงบนิ่งอย่างยิ่ง ขณะที่ร่างกำลังตกลงไปนั้น ยันต์สีเหลืองหลายแผ่นก็ถูกเขวี้ยงออกมา เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นลำแสงสีทองสาดส่องลงไป 


 


 


ยันต์เหล่านั้นพุ่งเข้าหาร่างของปลายักษ์ เพียงพริบตาที่สัมผัสก็ลุกไหม้กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงิน 


 


 


ปลายักษ์เหล่านี้เป็นร่างจิต เป็นจิตวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ในธารน้ำพุเหลือง พวกมันกลืนกินวิญญานร้ายที่หล่นลงไปโดยเฉพาะ 


 


 


เกรงว่าบางทีแม้แต่คนเป็นเช่นตู๋กูซิงหลันที่บุกรุกเข้ามาในธารน้ำพุเหลือง พวกมันก็คงจะเคยกินมาบ้างแล้ว 


 


 


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ที่มาในครั้งนี้จะเป็นตัวร้ายกาจผู้หนึ่ง พอยันต์หลายผืนถูกซัดออกมา ปลายักษ์สิบกว่าตัวนั้นก็มอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี 


 


 


ปลายเท้าของนางสัมผัสกับผิวน้ำอย่างแผ่วเบา ร่างกายก็หยิบยืมกำลัง ดีดกลับขึ้นไปบนสะพานใหม่อีกครั้ง 


 


 


เหล่าวิญญาณคนตายที่อยู่ใกล้ต่างก็ชมดูจนเซื่องซึมไปแล้ว ต่างก็ตกตะลึงจนยืนค้างอยู่บนสะพาน 


 


 


วิญญาณคนตายเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนสวมใส่เสื้อผ้าของโลกปัจจุบันพอได้เห็นตู๋กูซิงหลันสร้างความวุ่นวายขึ้นมา ก็พากันหันไปมองดูนาง ในสมองของพวกเขาพลันปรากฏคำบางคำขึ้นมา ‘เทพธิดาแห่งชาติ’ 


 


 


เอ๋? นี่ นี่มันเยี่ยซิงหลันมิใช่หรือ? 


 


 


นางเองก็ตายไปแล้วเช่นกันหรือ? 


 


 


ฝูงชนต่างก็ไม่อยากจะเชื่อ จึงได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหาะลงไปตรงหน้าของหญิงสาวในชุดดำผู้หนึ่ง ระยะระหว่างทั้งสองห่างกันเพียงก้าวเดียวเท่านั้น 


 


 


สตรีในชุดดำผู้นั้นตัดสินใจก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาของนางมองเลยไปที่ด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน มองดูดวงไฟสีน้ำเงินใต้สะพานที่ยังไม่ทันได้มอดดับดี 


 


 


ท่าทางของนางไม่ได้มีความประหลาดใจใดๆ 


 


 


ในมือของนางมีตราประทับอยู่อันหนึ่ง ดวงวิญญาณทุกดวงที่เดินทางผ่านมา ล้วนต้องได้รับการประทับตราจากนาง 


 


 


“ท่านผู้นี้เมื่อเดินทางผ่านธารน้ำพุเหลือง ข้ามสะพานไน่เหอมา ต่อไปเบื้องหน้าก็คือธารทรายเหลือง ใต้ผืนทรายเหลืองคือขุมนรกที่ไร้สิ้นสุด การเดินทางนี้มีอันตรายนับพันนับหมื่น สมควรไตร่ตรองให้ดีก่อน” สตรีผู้นี้คล้ายไม่มีเจตนาเป็นศัตรูกับตน น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง ทั้งยังออกจะไม่แยแสอยู่บ้าง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูนางแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าบนหลังมือของนางมีลวดลายบางอย่าง เป็นดอกพลับพลึงแดง 


 


 


นางจึงมองดูให้ละเอียดกว่าเดิม ดอกไม้นี้เหมือนกับดอกไม้ที่อยู่บนร่างของเสินฟางไม่มีผิด 


 


 


เพียงแต่ตอนนี้ตนไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องของผู้อื่น ตู๋กูซิงหลันจึงเพียงผงกศีรษะ เดินผ่านแผ่นหลังของสตรีผู้นั้นไป 


 


 


สตรีในชุดดำผู้นั้นหันศีรษะกลับมา มองดูเงาหลังของตู๋กูซิงหลันอยู่ครู่หนึ่ง ในดวงตาทอประกายบางอย่าง 


 


 


……………….. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเดินต่อไปจนไม่รู้ว่านานเพียงใด แต่ว่าหมอกตรงหน้าก็จางลงเรื่อยๆ เส้นทางของพลับพลึงแดงที่คดเคี้ยวในที่สุดก็มาถึงจุดสิ้นสุด 


 


 


เบื้องหน้ามีสายลมพัด ในอากาศมีฝุ่นทรายสีเหลืองปะปน 


 


 


แห้งกร้านและหนาวเย็น 


 


 


ฟ้าดินไม่แบ่งแยกกลางวันและกลางคืน มีแต่ผืนทรายกว้างใหญ่ไพศาล ยามที่สายลมพัดผ่านใบหน้าก็บาดผิวจนเจ็บแสบ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพาติ๊งต๊องและจู๋จู๋มุ่งหน้าต่อไป ทรายใต้ฝ่าเท้าทั้งร่วนและเย็นเฉียบ 


 


 


รอบกายมีแต่วิญญาณคนตายมากมาย ทั้งยังมีเรื่องแปลกประหลาดอยู่บ้าง 


 


 


ในผืนทรายมีสัตว์ประหลาดปรากฏกายขึ้นอยู่ตลอดเวลา พวกมันคอยดักจับวิญญาณที่ผ่านทางมากิน 


 


 


มีแต่วิญญาณที่ยามมีชีวิตอยู่ประกอบกุศลสร้างผลบุญเอาไว้มาก ทำให้บนร่างมีรัศมีแห่งความดีโอบล้อมจึงจะสามารถผ่านพ้นไปได้ 


 


 


ธรรมชาติย่อมมีการปรับสมดุลในตนเอง ทุกวันนี้เมื่อโลกปัจจุบันมีจำนวนประชากรเพิ่มพูน ในธารน้ำพุเหลืองก็กำเนิดปีศาจต่างๆขึ้นมา 


 


 


พวกมันจะเลือกกินแต่เฉพาะวิญญาณบาป ไม่ให้โอกาสวิญญาณเหล่านั้นได้ไปผุดไปเกิดอีก เช่นนี้จึงจะเป็นการรักษาสมดุลในธรรมชาติสืบไป 


 


 


ยามที่อยู่บนสะพานหิน ก็ได้กวาดล้างเหล่าคนที่ยามมีชีวิตอยู่ประกอบกรรมชั่วช้าสามานย์ไปบ้างแล้ว ยามนี้เมื่ออยู่ในทะเลทรายเหลือง ก็ยังมีการเลือกเฟ้นอีกครั้ง 


 


 


ใต้เท้าของตู๋กูซิงหลันมักมีเหล่าตัวประหลาด ทั้งหนอนประหลาด ปีศาจตะขาบผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ 


 


 


ดาบยักษ์ของนางถูกทะลวงป็นรูใหญ่ จึงเก็บเอาไว้ในถุงเฉียนคุน พอตอนนี้บังเอิญเจอะเจอตัวประหลาดเหล่านั้น จึงได้แต่ระดมหมัดเท้าออกมา 


 


 


พอพวกมันถูกต่อยตีจนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปหลายสิบตัว ก็ไม่มีตัวประหลาดตนใดกล้าลงมือกับนางง่ายๆอีกต่อไป 


 


 


แต่ว่าวิญญาณคนตายเหล่านั้นเสมือนได้เจอขาใหญ่เข้าแล้ว ต่างก็พากันติดตามมาที่ด้านหลังของนางหวังจะได้รับความคุ้มครอง 


 


 


ตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็เคยได้ยินว่าว่าเทพธิดาของประชาชนผู้นี้เป็นผู้มีใจเมตตาการุณอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่า นางจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แม้ต้องเผชิญกับเหล่าสัตว์ปีศาจก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า 


 


 


ในบรรดาวิญญาณเหล่านั้น ย่อมมีแฟนคลับของนางปะปนอยู่ด้วย พวกเขาเห็นแล้วทางหนึ่งก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบ อีกทางหนึ่งก็รู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีเข้าแล้ว ยามมีชีวิตอยู่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับตัวจริง พอตายแล้วกลับได้พบเจอโดยบังเอิญ นี่ยังไม่นับว่าน่าประทับใจอย่างยิ่งหรอกหรือ 


 


 


………………………. 


 


 


 


 


 


เพียงชั่วครู่เดียว รอบข้างของตู๋กูซิงหลันก็เต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณ แต่ละตนวนเวียนอยู่รอบกาย แต่ละสายตาเปี่ยมไปด้วยประกายของความเคารพนับถือ 


 


 


คนเช่นนาง ไม่ว่าไปที่ใดก็กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คน 


 


 


แม้แต่ในทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองที่เป็นเส้นแบ่งของความเป็นความตาย นางก็ยังเป็นดวงเดือนในหมู่ดาวของผู้คนทั้งหลายอยู่ดี 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้คิดจะเดินทางผ่านทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองออกไป ก่อนหน้านี้ตอนที่นางติดตามอาจารย์มา อาจารย์เคยสั่งให้นางรอเขา 


 


 


นางจึงก็เคยหยุดเท้าอยู่ที่เพิงพักเท้าแห่งหนึ่ง  


 


 


ตู๋กูซิงหลันต้องการจะตามหาเพิงพักแห่งนั้นให้เจอ เพื่อรออาจารย์อยู่ที่นั่น 


 


 


แต่ว่านางวนเวียนอยู่ในนี้รอบใหญ่แล้วก็ยังเสาะหาที่พักแห่งนั้นไม่พบ 


 


 


เดิมทีนางต่อสู้กับซือเป่ยจนได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ทั้งยังเจ็บปวดทุกข์ใจเพราะการ ‘ตาย’ ของอาจารย์และจีเฉวียน ตอนนี้พอวนเวียนอยู่ในทะเลทรายรอบหนึ่งก็ต้องรู้สึกอ่อนล้าอย่างถึงที่สุด 


 


 


ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองก็เหมือนจะอึมครึมขึ้นมา 


 


 


ไม่ไกลจากที่ที่นางอยู่ มีต้นไม้ต้นหนึ่งปรากฏขึ้น 


 


 


ต้นฮว๋าย 


 


 


ต้นฮว๋ายสะสมไอหยิน จึงดึงดูดวิญญาณและภูติผีปีศาจ แต่ว่าในตอนนี้ ที่ใต้ต้นฮว๋ายต้นนั้นกลับไม่มีวิญญาณใดอยู่แม้แต่ตนเดียว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าว เหล่าวิญญาณที่รายล้อมนางอยู่ก็คล้ายกับว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พวกเขาพากันหวาดกลัวขึ้นมา 


 


 


จากนั้นก็พากันถอยห่างออกไปจนไกล 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเรียกหา นางเดินตรงเข้าหาต้นฮว๋าย พึ่งจะเดินไปได้สองก้าวก็หันหน้ากลับมา เอ่ยกับเหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านหลังว่า 


 


 


“ชาติหน้าพอเกิดใหม่แล้วจงเป็นคนดี ตั้งจิตให้บริสุทธิ์อยู่ในเมตตาธรรม เช่นนี้ตนย่อมได้รับผลบุญตอบแทน” 


 


 


บาปบุญมีกรรมตามสนอง แม้ว่าก่อนตายจะยังไม่ได้รับผลกรรม แต่ยามตายไปแล้วย่อมหนีไม่พ้นต้องรับโทษทัณฑ์อยู่ดี 


 


 


เหล่าวิญญาณทั้งหลายพากันพยักหน้า แต่ละตนต่างก็ขอบคุณตนเองที่ยามมีชีวิตอยู่ไม่ได้กระทำความชั่ว จึงได้มีโอกาสคงอยู่ต่อไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสั่งสอนจบแล้ว ก็หันร่างเดินตรงไปยังต้นฮว๋าย 


 


 


พึ่งจะเข้าใกล้ นางก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินที่แข็งแกร่ง พลังหยินนั่น…..ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง 


 


 


หยกสรรพชีวิต? 


 


 


นางหรี่ดวงตาลง สาวเท้าเดินเข้าไปอีกหลายก้าว ต้นฮว๋ายเ**่ยวเฉาไปแล้ว กิ่งก้านทั้งเก่าและแห้งกรัง ไม่รู้ว่ามันผ่านวันคืนมาเนิ่นนานเท่าไร 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ใต้ต้นไม้ พลางยื่นมือออกไป ทันทีที่มือสัมผัสกับลำต้น ก็เห็นว่าต้นไม้สั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ 



 

 

 


ตอนที่ 513 ไม้คฑา

 

ฉับพลันต้นฮว๋ายที่เ**่ยวแห้งตายไปนานแล้วก็มีชีวิตขึ้นมา กิ่งก้านที่แห้งผาดผลิยอดใหม่ 


 


 


ลำต้นที่โค้งตกลงไปพลันเหยียดขึ้นตั้งตระหง่านอีกครั้ง เพียงครู่เดียวก็ผลิพุ่มแผ่กว้างอยู่เหนือศีรษะของนาง 


 


 


ดอกฮว๋ายฮวาสีขาวที่ผลิบานเป็นช่อชั้นอยู่เหนือพุ่มหนาค่อยๆปลิวลงมาทีละน้อย อากาศที่หนาวเย็นและแห้งผาดเพียงครู่เดียวก็อวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวา 


 


 


ติ๊งต๊องและจู๋จู๋เงยหน้าขึ้นไปมองดู ต้นฮว๋ายที่งอกงามอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้ สัตว์อสูรทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าช่างน่าแปลกประหลาดนัก 


 


 


มือของตู๋กูซิงหลันยังคงสัมผัสอยู่บนลำต้นของต้นฮว๋าย ชั่วขณะที่ต้นฮว๋ายกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นางพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่าง 


 


 


นางชื่นชอบต้นฮว๋ายมาตั้งแต่เด็กแล้ว อาจารย์เคยบอกว่าต้นไม้ชนิดนี้สามารถดึงดูดจิตวิญญาณและภูติผีได้ง่าย จึงไม่อนุญาตให้นางปลูกเอาไว้ในที่พักของตนเอง 


 


 


แต่ว่าในสวนของเขากลับมีต้นฮว๋ายอยู่เต็มไปหมด 


 


 


พอวันนี้ได้มาพบมันที่ทะเลทรายโดยบังเอิญ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าช่างผูกพันและคุ้นเคยอย่างยิ่ง 


 


 


ต้นฮว๋ายเหยียดกิ่งก้านขยายพุ่มออกไป ตรงจุดที่มือของนางสัมผัสเกิดเป็นลำแสงสีดำทอประกาย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง ปลายนิ้วขยับน้อยๆ ก็พบว่าตั้งแต่ปลายนิ้วถึงข้อมือจมลงไปในแกนกลางของลำต้น 


 


 


ปลายนิ้วของนางสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ เย็นฉ่ำซ่านเข้าไปจนถึงกระดูกแทบจะทำให้คนแข็งค้าง 


 


 


ทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งวางอยู่ในฝ่ามือของตน ตู๋กูซิงหลันดึงออกมาเบาๆ ก็พบว่านางดึงคฑาสีดำเข้มด้ามหนึ่งออกมาจากลำต้นที่ใหญ่โตของต้นฮว๋าย 


 


 


มองดูเผินๆก็เหมือนว่าทำมาจากกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง แต่พอสัมผัสดูกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโลหะ รูปทรงของมันดูโบราณ บนคฑามีอักขระซับซ้อนมากมาย เป็นอักขระที่ตู๋กูซิงหลันไม่เคยพบเห็นมาก่อน 


 


 


ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ลึกลับอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“นี่มัน….” จู๋จู๋ที่เกาะอยู่บนบ่าของนางพลันเอ่ยปากออกมา “เหมือนจะเป็นอักขระยันต์ในยุคบรรพกาล” 


 


 


“กะ กะ กะต๊าก เจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือยังไง?” ติ๊งต๊องทำสีหน้าสงสัย เจ้าตัวที่มีหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกรนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด 


 


 


เหมือนกับเจ้าอสูรน้อยวิญญาณทมิฬตนนั้น  


 


 


แต่จะว่าไปแล้ว….ก็เหมือนว่าไม่ได้เจอเจ้าวิญญาณทมิฬนั่นมาพักใหญ่แล้วนะ หรือเพราะว่ามันปากเปราะเสียจนถูกพี่สาวตัวน้อยเตะทิ้งไปแล้ว? 


 


 


หรือว่าถูกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่ากลืนลงไป? 


 


 


ในสมองของติ๊ิงต๊องผุดภาพวิญญาณทมิฬที่ดับอนาถในแบบต่างๆขึ้นมามากมาย จากนั้นมันก็เขยิบเข้าไปใกล้ๆตู๋กูซิงหลันอีกนิด 


 


 


ถึงแม้ว่าจะน่าเสียใจอยู่บ้าง แต่ว่าพอไม่มีเจ้าสัตว์อสูรปากคอเราะรายนั่น มันก็จะได้มีโอกาสยึดครองความรักเอ็นดูจากพี่สาวตัวน้อยเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว นี่ก็นับว่าไม่เลวเลยเหมือนกัน 


 


 


“สายเลือดมังกรของพวกเรา สืบทอดกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคบรรพกาล ในบันทึกของบรรพชนได้จารึกอักขระโบราณบางอย่างเอาไว้ เจ้ามันก็แค่ไก่ตัวหนึ่ง จะไปรู้เรื่องอะไร?” จู๋จู๋ดูถูกมันอย่างไม่มีเกรงใจ 


 


 


ติ๊งต๊อง “พวกเจ้ายังมีบันทึกของบรรพชนด้วยหรือ?” 


 


 


จู๋จู๋ “ไม่มีแล้วทำไม?” 


 


 


จู๋จู๋คร้านจะโต้เถียงกับติ๊งต๊องต่อไป มันขดร่างอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ฮ่องเต้หญิง ท่านต้องเชื่อข้านะ เผ่าพันธุ์มังกรของพวกเราย่อมไม่มีทางกล่าวเรื่องมุสา” 


 


 


ซื่อสัตย์เป็นอันดับแรก! 


 


 


ในมือของตู๋กูซิงหลันกุมคฑาทรงโบราณนั่นเอาไว้ ดวงตาของนางเป็นประกาย นางเองก็ถือเป็นหนอนหนังสือผู้หนึ่ง มีความเข้าใจในเรื่องยุคบรรพกาลอยู่บ้าง 


 


 


ยุคบรรพกาลนั้น ยังอยู่ก่อนยุคก่อนประวัติศาสตร์ไปอีกเนิ่นนาน 


 


 


จากเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาในปัจจุบัน ดินแดนในตอนนั้นบริบูณณ์ไปด้วยจิตวิญญาณที่สมบูรณ์พร้อม จนทำให้บังเกิดเทพเจ้าในบรรพกาลขึ้น…. 


 


 


แต่ว่าในภายหลังนั้นจิตวิญญาณทั้งหลายกระจัดกระจาย จนทำให้แม้แต่เทพบรรพกาลก็ยังต้องดับสูญไป 


 


 


ทุกวันนี้ เกรงว่าเทพต่างๆที่อยู่มาแต่ยุคบรรพกาลคงมิได้หลงเหลืออยู่สักตนเดียวแล้ว 


 


 


ต้นฮว๋ายต้นนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่มาแต่ยุคบรรพกาลอย่างนั้นนะหรือ? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมตนเองถึงได้พบเจอและดึงเอาคฑาที่มีอักขระบรรพกาลออกมาจากต้นฮว๋ายใหญ่ท่ามกลางทะเลทรายได้  


 


 


ไม้คฑาเมื่ออยู่ในมือของนาง ก็ทำให้นางบังเกิดความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ราวกับว่าเมื่อนานมาแล้ว นางก็เคยเป็นเจ้าของคฑานี่มาก่อน 


 


 


ชั่วขณะนั้นเอง ในสมองของนางพลันบังเกิดภาพบางอย่างขึ้นมา เป็นภาพที่เลือนลาง….. 


 


 


ขมับของนางเต้นดังตุ๊บๆ ชั่วขณะนั้นในสมองเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง 


 


 


มือของตู๋กูซิงหลันกุมไม้คฑาเอาไว้ เอนศีรษะลงไปพิงกับลำต้นของต้นฮว๋าย นางรู้สึกเหมือนกับว่าต้นฮว๋ายเองก็มีชีพจรอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ติ๊งต๊องเองก็อยู่ที่ข้างกายนางนั่งกกเสมือนเป็นแม่ไก่ตัวหนึ่ง 


 


 


ดวงตาไก่กุ๊กของมันมองออกไปรอบด้าน ด้วยความรู้สึกว่าที่นี่มีอันตรายอยู่เสมอ สายลมพัดหวิวหวิว ละอองทรายปลิวขึ้นไปบนฟ้าไม่มีหยุด และเพราะท้องฟ้าอึมครึมอยู่เสมอ ทำให้รอบด้านเหมือนจะมีตัวประหลาดผุดออกมาได้ทุกเมื่อ จนมันต้องจับตาดูด้วยแววตาเหน็บหนาวอยู่ตลอดเวลา 


 


 


ขอเพียงพี่สาวตัวน้อยพลั้งเผลอเพียงเล็กน้อย เจ้าพวกนั้นก็พร้อมที่จะกระโจนออกมาเขมือบนางกลืนลงไปได้ทุกเมื่อ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ กลีบสีขาวของดอกฮว๋ายฮวาที่ผลิบานอยู่เหนือศีรษะปลิวลงมา นางคิดจะพักผ่อนสักครู่ค่อยเสาะหาเพิงพักในทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองต่อไป 


 


 


ร่างกายอ่อนล้ามากแล้ว ศีรษะก็ปวดตุ๊บๆ หนังตาหนักลงเรื่อยๆ สองมือของนางแตกระแหงเพราะขุดสุสานจนเลือดไหลซิบๆมานานแล้ว 


 


 


ยามนี้เมื่อได้พิงเข้ากับต้นฮว๋าย ก็เกิดความรู้สึกถึงความปลอดภัยที่แสนจะคุ้นเคย จนอดที่จะปิดตาลงไม่ได้ 


 


 


พอพึ่งจะปิดตาลง ศิลาโลหิตที่ซื่อมั่วมอบให้นางก็เรืองแสงขึ้นมา 


 


 


แสงนั้นแผ่พุ่งออกมาจากในอกเสื้อของนาง สาดส่องลงไปบนต้นฮว๋ายที่อยู่ด้านหลังนาง ชั่วพริบตา ต้นฮว๋ายที่อยู่ด้านหลังก็พลันเรืองแสงขึ้นมาเช่นกัน 


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันจะได้มีปฏิกริยาใดๆ ร่างถูกดูดกลืนเข้าไปในลำแสงนั้น 


 


 


………………………. 


 


 


ร่างกายกำลังตกลงไป ตกลงไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย รอบกายมีแต่ความดำมืด ราวกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุด 


 


 


รอบด้านมีแต่ความหนาวเย็น ทั่วทั้งตัวเหมือนถูกห่อหุ้มอยู่ในแท่งน้ำแข็ง ความรู้สึกนี้ เหมือนกับความรู้สึกที่สัมผัสได้จากร่างของอาจารย์และจีเฉวียน 


 


 


คนทั้งสองมักมีร่างกายที่หนาวเย็นอยู่เสมอ แม้แต่เลือดที่ไหลออกมาก็เย็นเฉียบ 


 


 


ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตกลงไปเรื่อยๆนั้นเกิดขึ้นไม่รู้ว่านานถึงเมื่อไหร่ แต่ว่ามันเนิ่นนานมากจนตู๋กูซิงหลันชักจะคิดว่าตนเองคงจะชาจนหมดความรู้สึกไปแล้ว  


 


 


รอจนนางได้สติขึ้นมา ก็เห็นว่าที่ด้านนอกมีแสงสว่างส่องประกาย 


 


 


อยู่ในความมืดมิดมาเนิ่นนาน พออยู่ๆได้เห็นแสงสว่าง ก็รู้สึกเหมือนไม่คุ้นเคยขึ้นมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง ยกมือขึ้นบังแสงเอาไว้ สายตาของนางก็ออกจะพร่าเลือนอยู่บ้าง พอลุกขึ้นมานั่งได้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากภายนอก  


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ได้พระสติแล้ว” น้ำเสียงที่แสนจะคุ้นเคย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองลอดระหว่างนิ้วก็เห็นคนผู้หนึ่ง “ต้าชิง?” 


 


 


หลี่กงกงยินดีจนตกตะลึงพรึงเพริด น้ำตาไหลออกมาในทันที “ฝ่าบาท พระองค์ยังทรงจดจำชื่อของบ่าวได้ ….บ่าวรู้สึก….” 


 


 


เขาทางหนึ่งเช็ดน้ำตา ทางหนึ่งก็รีบสั่งให้เหล่านางกำนัลเร่งเข้ามาถวายการปรนนิบัติตู๋กูซิงหลันล้างหน้าเปลี่ยนชุด 


 


 


สมองของตู๋กูซิงหลันยังคงเจ็บร้าว นางนวดขมับอยู่ตลอด หลังล้างหน้าเปลี่ยนชุดแล้ว สายตาค่อยพอจะสู้แสงสว่างได้อีกครั้ง 


 


 


นางจึงค่อยกวาดตามองออกไปรอบๆอย่างละเอียด 


 


 


ที่นี่คือพระตำหนักตี้หัวกง ตำหนักบรรทมของจีเฉวียน 


 


 


เครื่องเรือนทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง….เพียงแต่ปราศจากเขาอีกต่อไป 


 


 


นางถูกดึงดูดเข้าไปในแสงสว่างของต้นฮว๋าย หลังจากนั้นก็กลับมาที่แผ่นดินต้าโจวในโลกโบราณ 


 


 


ก่อนหน้านี้อาจารย์ก็เคยบอกเอาไว้ว่า ที่ธารน้ำพุเหลืองมีช่องทางข้ามผ่านมิติ….บางทีต้นฮว๋ายต้นนั้นอาจจะเป็นพาหนะนำทาง…..แต่ว่าไม่รู้ทำไม ถึงได้ถูกนางเปิดขึ้นโดยบังเอิญ 


 


 


“ฝ่าบาทสิ้นพระสติไปนานถึงห้าวันแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่นำพระองค์กลับมาจากเกาะร้างแห่งหนึ่ง ขอบคุณฟ้าดินคุ้มครอง ฝ่าบาท พระองค์ทรงปลอดภัยแล้ว” 



 

 

 


ตอนที่ 514 แข็งนอกอ่อนใน

 

หลี่กงกงกราบทูลต่อไป สองมือของเขาประคองพระราชพินัยกรรมที่จีเฉวียนทรงทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป ยามนี้ที่ด้านนอกของพระตำหนักตี้หัว มีหลงเซียวและเหล่าขุนนางใหญ่ที่จีเฉวียนทรงวางพระทัยรอเข้าเฝ้าอยู่ 


 


 


สมองของตู๋กูซิงหลันยังเจ็บระบม ถึงกับไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆชั่วขณะ ขนตายาวเป็นแพกระพริบถี่ๆ สายตาทอดลงไปที่พระราชพินัยกรรมฉบับนั้น 


 


 


เนื้อหาในพระราชพินัยกรรมเรียบง่ายอย่างยิ่ง ‘เมื่อเราสวรรคตแล้ว ขอส่งมอบราชสมบัติให้กับฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน ไทเฮาแห่งต้าโจว –ตู๋กูซิงหลัน จงเคารพนางเสมือนดังเป็นเรา’ 


 


 


พระราชพินัยกรรมถูกประกาศออกไปตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนกลับไปที่โลกปัจจุบัน ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน 


 


 


ช่วงเวลาครึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ก็คือช่วงเวลาที่นางอยู่ในเผ่ามังกรทมิฬที่ทะเลลึกไร้ก้น 


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันประคองพินัยกรรมของเขาเอาไว้ในมือ ก็รู้สึกว่าหนักอึ้งหาใดเปรียบ 


 


 


นี่เขาถึงกับ…..ตระเตรียมหนทางเอาไว้ให้นางตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


“ฮ่องเต้เฒ่าของแคว้นฉินก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ท่านอ๋องสิบเจ็ดอิ๋งฉีขอทูลถวายแผ่นดินต้าฉินทั้งหมดเอาไว้ใต้พระบารมีของฮ่องเต้หญิง…..” หลี่กงกงยืนก้มศีรษะอยู่ข้างๆกายนาง อธิบายวิธีที่จีเฉวียนทรงกำราบแคว้นฉินลงได้ออกมาอีกรอบอย่างรวบรัด 


 


 


“ในวันนี้สามแคว้นใหญ่ล้วนอยู่ภายใต้พระบัญชาของฝ่าบาทแล้ว….. ส่วนพวกแคว้นเล็กแคว้นน้อยพอเห็นแนวโน้มจากแคว้นใหญ่ ก็พากับมาขออ่อนน้อมด้วยเช่นกัน สามารถกล่าวได้ว่า ….ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นผู้นำของแผ่นดินทั้งหมด คือฮ่องเต้หญิงผู้อยู่สูงสุด” 


 


 


เรื่องที่นางกลายเป็นฮ่องเต้หญิง ตอนแรกตู๋กูซิงหลันกระทำลงไปเพียงเพราะว่าต้องการประชดจีเฉวียน ตอนที่โมโหขึ้นมาก็ออกปากยึดเอาแคว้นเหยียนเอาไว้…. 


 


 


แต่ว่านางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นประมุขของแผ่นดินทั้งหมด 


 


 


ฐานะยิ่งสูงส่ง ภาระบนบ่าก็ยิ่งหนักอึ้งตามไปด้วย 


 


 


หลี่กงกงเห็นนางเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ก็ได้แต่เฝ้าอยู่ข้างๆ ยามนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าปกติแสงอาทิตย์จะเบาบาง แต่ยามเที่ยงวันก็ยังคงรู้สึกร้อนเป็นพิเศษ 


 


 


แสงสีทองที่สาดส่องลงมาบนร่างของนาง ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก…..อย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“ฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสของเรา….ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว ใช่หรือไม่?” มือของตู๋กูซิงหลันยังคงกุมพระราชพินัยกรรมเอาไว้ดังเดิม ในหัวใจปวดร้าวอย่างยิ่ง ผ่านไปเนิ่นนานนางพึ่งจะถามประโยคนั้นออกมาได้เพียงประโยคเดียว 


 


 


คราวนี้ ศีรษะของหลี่กงกงถึงกับโค้งต่ำลงไปอีก 


 


 


เขาไม่กล้าตอบคำถามของนาง ฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ 


 


 


เพราะว่าแม้แต่หัวหน้าองครักษ์ลับหลงเซียวก็ยังไม่มีปัญญาเสาะหาฝ่าบาท ….ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว…..เกรงว่าฝ่าบาทก็คงจะ…. 


 


 


หลี่กงกงถอนหายใจลึกๆออกมา ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองก็รื้อน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“ขอฮ่องเต้หญิงโปรดทรงคลายความโทมนัส” หลี่กงกงอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ค่อยหันมาปลอบโยนนาง 


 


 


เขาพึ่งจะทูลจบ ก็ได้ยินเสียงขันทีด้านนอกกราบทูลว่า “แม่ทัพผู้พิชิตขอเข้าเฝ้า” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันม้วนเก็บพระราชพินัยกรรม วางไว้ที่ข้างหน้าต่าง มองออกไปดูต้นฮว๋ายสองต้นในตำหนักตี้หัว ค่อยกล่าวว่า “เชิญพี่ใหญ่เข้ามา” 


 


 


ไม่ถึงอึดใจ ก็เห็นตู๋กูจุนที่สวมใส่เกราะเงินตลอดร่างย่างเท้าก้าวเข้ามา 


 


 


เขาเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุสิบสอง อายุสิบสามก็พบกับความสำเร็จในหน้าที่การงาน เข่นฆ่าอยู่ในสมรภูมิมานานปี จึงเหมือนมีไอสังหารครอบคลุมทั่วร่างมานานแล้ว 


 


 


แม้ว่าจะเดินเข้ามาอย่างเรียบเรื่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกเสมือนกองกำลังนับพันนับหมื่นอยู่ด้านหลัง 


 


 


ทันทีที่เข้ามาในพระตำหนักตี้หัว ตู๋กูจุนก็เห็นน้องสาวของตนเองยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองออกไปด้านนอก 


 


 


ใบหน้าด้านข้างของนางหมดจดงดงาม โครงหน้าเรียบละมุนเสมือนดั่งเป็นตุ๊กตาเครื่องเคลือบ 


 


 


เพียงแต่หัวคิ้วถูกย้อมด้วยความเย็นชาอยู่หลายส่วน คนมองดูแล้วเสมือนกับว่าเติบโตขึ้นอย่างมากในชั่วข้ามคืน 


 


 


จริงสิ นางอายุสิบแปดแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ 


 


 


นับตั้งแต่ที่นางและน้องรองหายสาบสูญไป ก็ไม่มีวันใดที่เขาและท่านตาจะหยุดค้นหาคนที่ทะเลตะวันตก น้องรองนั้นหาไม่พบ ……แต่ว่าก็ยังโชคดีที่ในที่สุดก็เสาะหาน้องเล็กจนเจอ 


 


 


จนถึงตอนนี้ตู๋กูจุนก็ยังไม่ลืมว่า ตอนที่เจอนางนั้น มือของนางมีแต่เลือดเต็มไปหมด 


 


 


นิ้วทั้งสิบแตกเละเทะ ปากแผลมีแต่ดินโคลน แห้งกรัง 


 


 


นางรับบาดเจ็บภายใน ชีพจรหัวใจบอบช้ำ จนไม่รู้ว่านางไปประสบกับเหตุการณ์เช่นไรมา 


 


 


ยามนี้หัวคิ้วของนางแฝงความเย็นชา ยามที่นางหันกลับมามองนั้น คนที่เป็นผู้นำอย่างตู๋กูจุนยังถึงกับรู้สึกว่าวางมือไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่จ้องมองนางอย่างตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง 


 


 


ยามที่ตู๋กูซิงหลันเห็นใบหน้าของเขา ในสมองก็ปราฏภาพของซือเป่ยขึ้นมาทันที 


 


 


หากมิใช่รู้อย่างชัดเจนอยู่ก่อนว่า คนผู้นี้คือพี่ใหญ่ตัวจริงอย่างแน่แท้ เกรงว่านางก็อาจจะยกหมัดต่อยออกไปก่อนแล้ว 


 


 


นางจับจ้องมองดูตู๋กูจุน มองดูอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ค่อยกดความรู้สึกหุนหันนั้นลงไป 


 


 


บังคับตนเองให้เยือกเย็นเข้าไว้ ส่งเสียงออกไปคำหนึ่งว่า “พี่ใหญ่” 


 


 


ตู๋กูจุนหลั่งน้ำตาออกมาในทันที ครึ่งเดือนก่อน ที่ทะเลตะวันตกมีปีศาจอาละวาด เมืองริมทะเลทั้งหมดของแคว้นเหยียนพังทลายลง….. 


 


 


ยามที่พวกเขาบุกไปถึงทะเลตะวันตก ฮ่องเต้หญิงทรงขี่สัตว์อสูรที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกร ในมือถือดาบยักษ์ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั่นอย่างดุเดือด 


 


 


เจ้าสัตว์ประหลาดในทะเลตะวันตกตัวนั้นทำให้เกิดคลื่นทะเลขึ้นมาบนฝั่ง แทบจะทำลายแคว้นเหยียนไปเกือบครึ่งหนึ่ง 


 


 


หากมิใช่ว่าฮ่องเต้หญิงทรงออกศึกกำราบมันด้วยตนเอง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีคนตายไปอีกสักเท่าไหร่ 


 


 


“อืม” ตู๋กูจุนพยายามอดกลั้นความอ่อนไหวที่ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งเอาไว้ เขากระแอมออกมาครั้งหนึ่ง เดินเรื่อยๆมาถึงตรงหน้านาง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเสียจนอยากจะกอดน้องสาวของตนเองเอาไว้ 


 


 


แต่ว่าตอนนี้นางกลายเป็นประมุขของแผ่นดินทั้งหมดไปแล้ว หากเขาทำเช่นนั้นออกจะเป็นการผิดกาลเทศะ ไม่เคารพเบื้องสูง คงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร 


 


 


ดังนั้นเขาจึงได้แต่ดึงมือที่ยื่นออกมากลับมา 


 


 


“ตื่นแล้วก็ดี ตื่นแล้วก็ดี” เขาพูดออกมาซ้ำกัน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแฝงความโล่งใจที่ผ่านพ้นเภทภัยครั้งใหญ่มาได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปหา เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปโอบกอดเขาเอง เอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว” 


 


 


พี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่ ซือเป่ยก็คือซือเป่ย ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน นางไม่อาจเกลียดชังญาติสนิทของตนเองเพียงเพราะเคียดแค้นซือเป่ย 


 


 


ได้แต่บอกว่าระหว่างพี่ใหญ่และซือเป่ย บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกันบางประการ 


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่อาจารย์กับซือเป่ยต่อสู้กัน นางได้ยินซือเป่ยเอ่ยถึงพี่ชายของเขาอยู่หลายครั้ง….ซือหนาน 


 


 


ผู้ที่ทรยศต่อเผ่าสวรรค์มาเป็นกำลังให้กับอาจารย์ 


 


 


บางทีพี่ใหญ่กับซือหนานอาจจะเกี่ยวข้องกัน? 


 


 


ด้วยความเฉลียวฉลาดของตู๋กูซิงหลัน นางย่อมสามารถเชื่อมโยงคนทั้งสองเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


อาจารย์จากไปอย่างกระทันหัน แม้แต่เรื่องราวที่ก่อนหน้าของเขานางก็ยังไม่ทันได้เข้าใจชัดเจน เขาไม่เคยเล่าให้มากความ นางก็ไม่เคยถามให้มากเรื่อง ตอนนี้จึงเหลือแต่ความเสียดายอย่างที่สุด 


 


 


เดิมทีนางคิดจะไปรออาจารย์ที่ธารน้ำพุเหลือง ….แต่ว่ากลับถูกส่งกลับมาที่โลกโบราณนี้อย่างไม่ตั้งใจ แต่ว่าในเมื่อกลับมาแล้ว นางก็จะต้องปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของตนเองให้ดี และทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น…. 


 


 


สักวันหนึ่งนางจะขึ้นไปสังหารเหล่าเทพบนสวรรค์ แก้แค้นให้กับอาจารย์และจีเฉวียน 


 


 


ความแค้น ยิ่งต้องกักเก็บเอาไว้ในใจ มันก็จะผลิหน่อแตกกอขึ้นมา 


 


 


หากว่านางไม่มีพละกำลังเพียงพอที่จะต่อสู้ สุดท้ายก็ต้องถูกโจมตีจนแหลกอยู่ดี 


 


 


…………….. 


 


 


แค่เพียงได้รับอ้อมกอด ก็ทำให้ตู๋กูจุนที่เป็นบุรุษกำยำสูงเกือบสองเมตรต้องน้ำตาคลอหน่วย 


 


 


เขาพลิกมือโอบกอดตู๋กูซิงหลันเช่นกัน จากนั้นก็ตบไหล่ของนางเบาๆ คนที่แข็งนอกอ่อนในอย่างเขามักแสดงออกแต่เพียงเท่านี้ 


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสองคลายกอดกัน 


 


 


“พี่รองกับชือหลียังอยู่ดีหรือไม่?” ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบันที่ตู๋กูซิงหลันกังวลมากที่สุดก็คือสองคนนี้ 


 


 


ถ้อยคำไร้สาระไม่พึงต้องเอ่ยถึง นางเลือกมุ่งประเด็นไปยังสิ่งที่ค้างคาในใจ 


 


 


สีหน้าของตู๋กูจุนหนักอึ้ง เขายื่นมือมาลูบไล้เส้นผมของนางเบาๆ “เจ้าพึ่งจะฟื้น พักผ่อนให้ดีเสียก่อน พี่ใหญ่จะค่อยๆเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)