ท่านเทพมาแล้ว 51-58
51 ไปเดินเล่นกันไหม?
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่ห่างออกไป เห็นเพียงทางช้างเผือกอยู่ตรงหน้า แต่เห็นประตูสวรรค์แดนใต้อย่างคลุมเครือ ที่ขอบฟ้ามีเสียงดนตรีเส้า กับเสียงขับขานของหงส์ตัวผู้ดังมาไม่ขาดสาย ที่แท้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถึงสวรรค์แล้ว
ดังนั้นนางจึงเก็บความกังวลไป ให้ลู่ยาซ่อนกายเดินนำไปก่อน ตนเองก็ลงที่ประตูสวรรค์แดนใต้ ปลุกหลินเจี้ยนหรู ก่อนก้าวเท้ากลับไปยังหอวิหคแดง
ขณะที่พวกเขารีบไปปฏิบัติหน้าที่ ในวังมังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งที่ห่างออกไปหมื่นลี้ หงส์ไฟผู้งดงามกำลังถือผ้าเช็ดหน้าร้องไห้อย่างโศกเศร้า เถียนเจ๋อผู้เป็นราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งตบโต๊ะชาด้านข้างที่ทำจากปะการังแหลกเป็นผุยผง!
“ไปหามา! ถึงแม้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องหาฆาตกรที่ฆ่าองค์ชายให้เจอ!”
มีเซียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างลู่ยาช่วยเหลือ มู่จิ่วกับหลินเจี้ยนหรูย่อมไม่ไปทำงานสายเป็นธรรมดา
ถึงแม้สติจะยังไม่ค่อยคืนกลับมาดีนัก แต่การลาดตระเวนตลอดคืนก็ไม่เป็นปัญหา
หลินจี้ยนหรูฟื้นมาก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องที่ตนถูกช่วย เพื่อปิดบังเรื่องลู่ยาไว้ มู่จิ่วจึงแบมือแสดงออกไปว่านางก็ไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นเทพแห่งทะเลช่วยพวกเขาไว้ก็เป็นได้ หลินเจี้ยนหรูพึมพำกับตัวเองอยู่นาน สติสัมปชัญญะไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวให้ลึกลงไปอีกได้ไหว ดังนั้นจึงไม่ถามมากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีดอกบัวกลีบม่วงที่สุดท้ายก็เก็บกลับมาได้อยู่ด้วย
หลินเจี้ยนหรูรู้สึกผิดต่อมู่จิ่วอย่างมาก ยิ่งเศร้าใจขึ้นอีกเมื่อตนบุ่มบ่ามเข้าไปจนเป็นสาเหตุทำให้นางตกลงไปในน้ำ ทั้งยังรู้สึกขอบคุณ เพราะถ้าไม่มีการช่วยเหลือของนาง เกรงว่าตนเองคงจะไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ และคงไม่สามารถเก็บพืชเซียนเพิ่มพลังนี้มาได้
“บุญคุณของเจ้า ข้าไม่รู้จะตอบแทนคืนอย่างไรดี” เขาพูด
“ไม่ต้องหรอก” มู่จิ่วโบกมือ “สำหรับข้าแล้วไม่เป็นไรจริงๆ เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดต่างก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย”
“แม้บุญคุณเท่าหยดน้ำก็ต้องใช้คืนกลับทบเท่าทวี เจ้าปฏิบัติต่อข้ามากขนาดนี้ บุญคุณหนักดุจขุนเขา” หลินเจี้ยนหรูขมวดคิ้วมองนาง เม้มปากก่อนพูด “ข้าคนแซ่หลินถึงแม้จะไร้ความสามารถ แต่เรื่องบุญคุณต้องทดแทนข้าเข้าใจนัก ข้าหวังว่าวันข้างหน้าจะมีสักวันที่ข้าช่วยเจ้าทำอะไรบางอย่างได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย ถึงแม้จะแค่ทำธุระให้เจ้าก็ยังดี”
มู่จิ่วไม่อยากให้เขากดดันขนาดนี้ จึงรีบพูดปลอบใจอย่างเต็มที่
ยังดีที่เขาไม่ใช่คนหัวรั้นขนาดนั้น ได้ยินนางพูดจบก็ปล่อยวางเรื่องเหล่านั้นลง
วัดถัดมามู่จิ่วนอนหลับเต็มอิ่ม
ตอนบ่ายก็นำพืชเซียนไปที่ภูเขาสูงแถวประตูสวรรค์แดนใต้กับหลินเจี้ยนหรู ให้เขากินดอกบัวกลีบม่วงลงไป จากนั้นก็ช่วยเขาปรับลมปราณให้เป็นปกติ
รากฐานของเขาแข็งแกร่ง ถึงแม้ครั้งแรกที่กินพืชเซียนเข้าไปพลังจะตีกลับอยู่บ้าง แต่ก็ยังสามารถทนได้ มู่จิ่วประมือกับเขาสองกระบวนท่า แต่ก่อนดาบหนึ่งเขาอย่างมากก็แทงต้นไม้ได้หนึ่งหรือสองต้น มาวันนี้กลับใช้มือเปล่าหักต้นไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบเรียงแถวกันหลายต้นลงได้
จากนั้นลองกระบี่ ก็ยังพอถูไถไปได้
มู่จิ่วปลาบปลื้มใจอย่างมาก รอจนเขาเลื่อนขั้น บุญกุศลของนางคงเพิ่มขึ้นไม่น้อยแล้วกระมัง?
ภายหลังเสี่ยวซิงเพิ่งรู้เรื่องที่นางไปพบเจออันตรายที่เกาะเป่ยอี๋ ก็ร้องไห้อยู่ทั้งวัน ทั้งเช้าค่ำอาฝูไม่เห็นนาง ก็มาเกาะติดนางอยู่นานทีเดียว
หลังอาหารเย็นลู่ยาเรียกนางเข้ามาในเขตพลัง เอาหนังสือเล่มหนึ่งให้ “เอาหนังสือเล่มนี้ไปให้คนแซ่หลินคนนั้นของเจ้าศึกษา ตั้งใจหน่อย ภายในสองเดือนจะเลื่อนขั้นได้”
ถึงแม้เขาไม่อาจรับปากนางรับหลินเจี้ยนหรูเป็นศิษย์ได้ แต่การที่นางทำนู่นทำนี่อย่างลับๆ ทำให้เขายิ่งปวดหัว เหมือนอย่างคราวนี้ หากเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว เขาจะไปหาคนที่เหมาะสมจะอำพรางตัวเขาได้จากที่ไหนอีก? นี่เป็นผลร้ายต่อเขาหรอกไม่ใช่หรือ? คิดไปคิดมา จึงทำได้เพียงประนีประนอมให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้นางออกไปก่อเรื่องอะไรอีก
มู่จิ่วกลับไม่พอใจกับคำเรียกขานของเขา ทำไมต้องเรียกคนแซ่หลินของนาง? หลินเจี้ยนหรูเป็นศิษย์ของสำนักแรกพยับชัดๆ ไปเป็นของนางตอนไหน?
แต่คนขี้งกอย่างเขารับปากจะช่วยชี้แนะหลินเจี้ยนหรู นางก็ดีใจแล้ว
นางพูด “ข้าจะไปพูดกับเขา รอจนเขาเลื่อนขั้นแล้ว เดี๋ยวค่อยให้เขาเลี้ยงข้าวเจ้า”
ลู่ยาสีหน้าคล้ำลงเล็กน้อย
แม่จอมจุ้น นี่ช่วยเขาจนถึงเรื่องตอบแทนบุญคุณแล้วหรือ?
ตอนมู่จิ่วส่งหนังสือให้หลินเจี้ยนหรู แน่นอนว่านางต้องเล่นลิ้นนิดหน่อย นี่คือความหวังดีของลู่ยา นางไม่สามารถลบล้างความดีความชอบของเขา ทว่าก็ไม่อาจพูดออกไปตรงๆ ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นการแพร่งพรายการซ่อนตัวของเขาออกไป
ดังนั้นนางจึงพูดแบบนี้ “นี่คือของซึ่งนักพรตเต๋าอาวุโสที่ข้ารู้จักแถวตีนเขาเคยให้มา แต่ตอนนั้นข้านำกลับมาก็ใช้ไม่ได้แล้ว เขาให้ข้ามอบให้คนที่มีวาสนา ข้าจึงนำมาให้เจ้า”
หลินเจี้ยนหรูยินดีที่ได้รับความใส่ใจ “ให้ข้า?”
มู่จิ่วตัดสินใจยกยอลู่ยา “ตอนนั้นนักพรตเต๋าอาวุโสท่านนี้ได้บอกข้าไว้ ให้ตั้งใจทำตามหนังสือนี่ ดูจากสถานการณ์ของเจ้าแล้ว สักราวครึ่งปีก็คงเลื่อนขั้นได้” ลู่ยาบอกว่าอย่างมากสองเดือนก็สามารถผ่านด่านเคราะห์เลื่อนขั้นได้ แต่นางรู้สึกว่าเป็นการคุยโวเกินไป ไม่มีทางที่จะเร็วขนาดนี้ เพื่อเป็นการรับรองอานุภาพของหนังสือเล่มนี้ นางบอกเกินไปสักสามเดือนน่าจะปลอดภัยกว่า
หลินเจี้ยนหรูรับมาทั้งสองมือ พลิกไปมาก่อนเก็บเข้าไปในอก แล้วพูดขึ้นว่า “ปกติเวลาที่ไม่ได้เข้างาน เจ้าทำอะไรรึ?”
“ข้า?” มู่จิ่วเอียงคอคิด “อาบแดด ฝึกกระบี่ จากนั้นก็พาอาฝูไปเดินเล่นรอบๆ อะไรแบบนั้น”
อยู่บนสวรรค์ยังสามารถทำอะไรได้อีก? ไม่เหมือนตอนอยู่หงชาง สามารถวิ่งไปทั่วภูเขา ไม่มีเรื่องอะไรก็เรียกปีศาจมาเต้นระบำให้นางดู
หลินเจี้ยนหรูยิ้มพูด “ข้าคิดจะลาพักไปเดินเล่นเมืองมนุษย์ ไม่รู้ว่าเจ้ามีเวลาหรือไม่?”
ไปโลกมนุษย์? มู่จิ่วอึ้ง
เขาพูดต่ออีก “ข้าได้ยินมาว่าสามวันหลังจากนี้จะเป็นเทศกาลซ่างซื่อ ของโลกมนุษย์ เป็นเวลาที่ทิวทัศน์บนโลกมนุษย์งามที่สุด ชายหนุ่มหญิงสาวในเมืองไปเที่ยวชมริมแม่น้ำได้ หนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงานสามารถล้อมวงร้องเพลงเต้นรำ คึกคักอย่างมาก พอดีข้าคิดว่าจะไปซื้อของใช้เสียหน่อย ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็ไปดูด้วยกันได้”
ทุกเดือนพวกเขามีวันหยุดสองวัน ปกติต้องหยุดตามลำดับ แต่ถ้ามีเรื่องก็สามารถขอลาหยุดได้
จะว่าไปเดือนนี้นางยังไม่ได้หยุดพัก ไปเดินเล่นก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
แต่นางละทิ้งคนในบ้านมากมายไปเดินเล่น แบบนี้จะดีหรือ?
นางถาม “เจ้าไปโลกมนุษย์ไหน? ไปราชวงศ์ใด?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นราชวงศ์ปัจจุบัน ยุคกษัตริย์ซุ่ยสี่แห่งราชวงศ์หนิง” หลินเจี้ยนหรูได้ยินคำพูดนี้ก็อึ้งไป “ยังมีราชวงศ์ไหนได้อีก?”
มู่จิ่วจึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เซียนแต่ละคนไม่ใช่จะเดินทางข้ามเวลากันได้ตามใจ แต่ก่อนหลิวหยางเคยพานางกับพวกเหล่าศิษย์พี่ไปยัง จงกู่[3] จิ้นกู่[4] จิ้นไต้[5] และเวลาอื่นๆ จักรวาลคู่ขนานก็ไปมาแล้วราวหนึ่งหรือสองครั้ง
อย่างเช่น ความฝันในหอแดงที่ลู่ยาต่อว่าไว้นั้นนางก็นำมาจากห้วงเวลาในชาติก่อนของนาง แต่ห้วงเวลาคู่ขนานของชาติที่แล้วนั้นยังมีอีกหลายห้วงเวลา ถึงแม้พัฒนาการของยุคกับผู้คนในประวัติศาสตร์นั้นๆ จะไม่เหมือนกัน แต่โดยคร่าวๆ วิวัฒนาการก็ใกล้เคียงกัน วัฒนธรรมก็คล้ายๆ กัน
ตอนนั้นหลิวหยางพาพวกเขาไปก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จนนางคิดว่าเทพเซียนทุกคนจะสามารถเดินทางเข้าออกแต่ละห้วงเวลาได้ตามใจนึก
“อ้อ” นางลูบผมที่ทิ้งตัวลงมาบนหน้าอก “ข้ากลับลืมไปเลย”
แต่จะว่าไป ทำไมหลิวหยางในความทรงจำของนางเหมือนไม่ใช่จินเซียนธรรมดาเสียแล้ว?
…………………………………………………
ดนตรีเส้า คือ ศิลปะชั้นสูงของจีนโบราณ มักบรรเลงในพระราชวัง เป็นศาสตร์ที่รวมกวี ดนตรี และศิลปะการร่ายรำเข้าไว้ด้วยกัน
เทศกาลซ่างซื่อ เป็นเทศกาลรำลึกถึงกษัตริย์ของจีนโบราณ ต่อมากลายเป็นเทศกาลสำหรับหญิงสาว
จงกู่ หมายถึง ราวๆ ศตวรรษที่ 3 ถึง 9
จิ้นกู่ หมายถึง ช่วงราชวงค์ซ่ง หยวน หมิง ชิง ถึงกลางศตวรรษที่ 19
จิ้นไต้ หมายถึง ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ประมาณค.ศ. 1840 ถึงปีค.ศ. 1919
52 จอมวางแผน
หลินเจี้ยนหรูไม่ใส่ใจอะไร ยังคงยิ้มมองนาง “เช่นนั้นเจ้าไปไหม?”
มู่จิ่วไม่ได้ตอบรับและปฏิเสธ พอเขาถามมาอย่างรบเร้านางจึงตอบ “ข้าไปถามหัวหน้าหลิวก่อนค่อยว่ากัน”
มู่จิ่วไปยื่นเรื่องลาพักกับหลิวจวิ้น
หลิวจวิ้นรับรองใบยื่นลาพักไปพลาง เหล่มองนางไปพลาง “ไปทำอะไร?”
“ไปเดินเล่นโลกมนุษย์!” นางตอบไปตามตรง
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง นิ่งไปครู่หนึ่ง พลันพูดขึ้นมาอีก “เจ้าไปโลกมนุษย์รึ?”
“อืม หากท่านยินยอม” มู่จิ่วมองเขา
ตอนนี้หลิวจวิ้นที่แต่ไหนแต่ไรทำอะไรรวดเร็วรุนแรงขมวดคิ้ว และระหว่างคิ้วยังซ่อนอะไรบางอย่างไว้เบื้องหลัง
มู่จิ่วประเมินเขาอย่างใคร่รู้ เห็นเพียงเขาพลันเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ถ้าเจ้าไปโลกมนุษย์ ช่วยข้าจัดการธุระสักหน่อย”
มู่จิ่วรู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่เดิมนางเพียงมาลองเสี่ยงดวงดู เมื่อเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่านางต้องไปโลกมนุษย์จริงๆ แล้วหรือ?
นางจึงพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าใต้เท้าต้องการให้ข้าทำอะไร?”
“เจ้าช่วยไปเผาอะไรบางอย่างที่ศาลเจ้าลั่วเสินให้เขา จากนั้นก็เพิ่มน้ำมันหอมสักหลายร้อยชั่ง” สายตาทั้งสองของเขายังคงมองพื้น น้ำเสียงถึงแม้จะสงบราบเรียบ แต่สีหน้ากลับจริงจัง เขาหยิบเอากล่องหยกใส่เหรียญออกมาจากลิ้นชัก “ในนี้เพียงพอที่จะซื้อสักห้าร้อยชั่ง ลงชื่อให้ลงชื่อป่ายเหอ ป่ายจากคำว่าซ่งป่าย เหอจากคำว่าหวงเหอ”
น้ำมันหอมห้าร้อยชั่ง? ดูไม่ออกเลยว่าเขาจะใจกว้างเหมือนกัน!
แต่ ‘กระดาษ’ ที่จะให้เผาก็เป็นกระดาษจริงๆ หลิวจวิ้นสะบัดพู่กันเขียนอะไรหลายประโยคบนกระดาษ จากนั้นก็ปิดผนึกซอง ลงตราประทับเซียนส่งให้นาง “อย่าทำหาย และก็อย่าเปิด นำไปเผาต่อหน้าแท่นบูชาก็พอแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าเขายังมีเรื่องร้องขอลั่วเสิน ยังมี ‘ป่ายเหอ’ นี่อีก ช่างน่าสนใจเสียจริง!
มู่จิ่วนำของมาดูก่อนเก็บไป “ข้าน้อยจะทำแทนหัวหน้าให้สำเร็จ”
หลิวจวิ้นเงยหน้าขึ้นมองนาง “เรื่องนี้เจ้ารู้ด้วยตัวเองก็ดีแล้ว”
มู่จิ่วยืนตรงตอบรับ “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
นางช่างโชคดีเสียจริง ยากนักที่เขาจะวางใจให้นางทำธุระ!
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มู่เสี่ยวซิงกับอาฝูกังวลนู่นกังวลนี่ มู่จิ่วจึงไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะไปโลกมนุษย์ บอกเพียงแค่ว่าไปทำธุระกับหลินเจี้ยนหรูหน่อย ยังไงหลิวจวิ้นรู้ว่านางไปไหน ไม่ต้องกลัวว่านางจะกลับมาไม่ได้ และทางจากสวรรค์ไปโลกมนุษย์เป็นเส้นทางสายหลักเปิดกว้าง พวกเขาก็ไปอย่างเปิดเผย ไม่น่ามีความเสี่ยงอะไร
แน่นอนว่าอย่างไรก็ไปเดินเล่น นางจึงรวบผมอย่างง่ายๆ พร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นกระโปรงสีเขียวอ่อนที่ใส่ไม่บ่อยนัก
โต๊ะเครื่องแป้งวางอยู่ข้างนอก ตอนทำผมลู่ยาก็เห็นเข้า เขาพิงหัวเตียงมองนางก่อนถาม “เจ้าจะไปไหน?”
มู่จิ่วมองเขาผ่านกระจก “ไปเดินเล่นเดี๋ยวก็กลับ”
ลู่ยาไม่โง่ วันนี้นางไม่ไปทำงาน ซ้ำยังแต่งตัวเหมือนกับนกยูงรำแพน ไม่แน่ว่าอาจจะออกไปเล่นไร้สาระกับคนแซ่หลิน
ไม่อยากจะสนใจนางแล้ว
นางเลือกคนแบบนี้มาเป็นคู่ครอง อันที่จริงก็ไม่คู่ควรจะมาคุยเล่นกับเขาแล้ว
แต่สายตานั้นกลับไม่หยุดมองไปยังใบหน้าของนาง มองครานี้ไม่รู้ทำไมน้ำกรดในท้องกลับตีขึ้นมากะทันหัน
…ดูสิ ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก รู้อยู่ชัดๆ ว่าตัวเองหน้าตาจิ้มลิ้ม ดังนั้นจึงตั้งใจแต่งหน้าบางๆ ทำให้ดูใสซื่อบริสุทธิ์ รู้อยู่ชัดๆ ว่าผมตัวเองดกดำเงางามเลยจงใจไม่ปักปิ่น รู้ดีว่าตัวเองผิวขาว ยังจงใจใส่เสื้อสีเขียวขับเน้นให้ยิ่งดูขาวขึ้นไปอีก…สีขาวเข้าคู่กับสีเขียว ทำไมนางไม่เปลี่ยนเป็นต้นหอมไปเสียเลยล่ะ?
ช่างเป็นผู้หญิงจอมวางแผนจริงๆ
เขาเหลือบมองนางเสร็จก็อ่านหนังสือต่อ
ไม่นานนางก็ลุกขึ้น เก็บของใส่กำไลข้อมือก่อนออกจากห้องไป
ลู่ยาเหลือบมองนางก่อนละสายตากลับมา
จะว่าไปแล้ว นางเข้าหาเขาก่อนเช่นนี้ดีแล้วหรือ?
หากคนแซ่หลินเป็นคนโง่เอาแต่ได้ที่รังแกนาง ถึงตอนนั้นนางร้องไห้กลับมาก็ไม่สบายใจไม่ใช่หรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นของลัทธิฉ่านไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ พ่อของคนแซ่หลินนั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร ยังแอบไปมีอะไรข้างนอกแล้วให้กำเนิดเขาที่เป็นบุตรนอกสมรส หากลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น….
ถึงตอนนั้นเขาคงแบกรับไม่ไหว
ดังนั้นกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ เขาควรจะระวังเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเอาไว้ เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้อยู่ในบ้านนี้อย่างสบายใจ
คิดถึงตรงนี้เขาก็วางหนังสือลง สวมรองเท้ามุ่งไปยังประตู
เดินมาถึงม่านก็หยุดลง …เขาเป็นเทพเซียนระดับสูง ตามสะกดรอยดูคนอื่นจู๋จี๋กันดูเหมือนจะไม่ดีนัก…
“อาฝู กินข้าว”
ตอนนี้เองที่มู่เสี่ยวซิงนำเอาเนื้อจานใหญ่เข้ามา อาฝูอยู่ในรังได้ยินก็รีบหมุนตัวเดินออกไปอย่างดีใจ
ลู่ยาคิดขึ้นได้ ดวงตาทั้งคู่ฉับพลันส่องประกาย
อาฝูกินอาหารเช้าไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีเท้าอีกคู่เบื้องหน้า
เงยหน้าขึ้นดูเห็นเป็นลู่ยานั่งยองๆอยู่ข้างหน้า ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ มองเขาอย่างสนิทสนมและเป็นมิตร
นี่ทำให้อาฝูตกใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนี้ซ่อนใบมีดนับสิบไว้
เช้าขนาดนี้ ลู่ยาจ้องเขาทำไมนะ?
อาฝูมองดูเนื้อในจาน หรือว่าอิจฉาเขาที่ได้กินอาหารเช้าคนแรก?
คิดแล้วก็ยื่นอุ้งเท้าผลักจานเนื้อไปทางลู่ยา เป็นคนบ้านเดียวกัน เขาไม่ถือสาหากจะแบ่งให้กิน
ลู่ยาสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นใจพลางตบศีรษะอาฝูเบาๆ มองดูมู่จิ่วที่กำลังทำธุระกับมู่เสี่ยวซิง ใช้เสียงเบาคุยกับเขา “เห็นไหม? นางจะออกไปข้างนอก วันนี้เจ้าเพียงแค่ติดตามนางไม่ห่างแม้แต่หนึ่งชุ่นจนนางกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าจะตบรางวัลให้เจ้ากินตับมังกรไขกระดูกหงส์สิบชั่ง”
พูดแล้วเขาก็แบมือออกมา กลางฝ่ามือพลันมีตับมังกรไขกระดูกหงส์หนึ่งจานใหญ่ลอยอยู่
อาฝูพลันเบิกตาทั้งสองข้าง ตับมังกรไขกระดูกหงส์เป็นอาหารเพิ่มพลังชั้นดี! ที่สำคัญเขาได้กลิ่นหอมของมันแล้ว…
อาฝูรีบถูอุ้งเท้ากับขาเขา จากนั้นวิ่งตามมู่จิ่วออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด อุ้งเท้าทั้งสี่กอดขาซ้ายของนางไว้แน่น ถึงตายก็ไม่ยอมปล่อย
มู่จิ่วกำลังจะไป ไหนเลยจะรู้ว่าจะโดนอาฝูเกาะติด ลองแกะออกก็ไม่ได้ รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
ลู่ยาเดินช้าๆ เข้ามาพูด “เด็กคนนี้ขึ้นสวรรค์มาก็ถูกเจ้ากักขังไว้ที่ค่ายทหาร อยากจะติดตามไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ถ้าเจ้าไม่รับปากมันก็ไร้ความเป็นมนุษย์ไปแล้ว”
พูดจบเขาก็แลกสายตากับอาฝูทีหนึ่ง อาฝูร้องหงิงๆ ทำทีเป็นน่าสงสาร
ถึงแม้ไม่ได้เป็นเพราะตับมังกรไขกระดูกหงส์ เขาก็ยินดีที่จะติดตามมู่จิ่ว
มู่จิ่วไร้คำพูดแล้ว “เขาสะดุดตานัก จะพาไปอย่างไร? คนเห็นเข้าคงจะล้อมวงข้า!”
หญิงสาวคนหนึ่งพาเสือขาวไป ไม่ทำคนเขากลัวตายหรือ? อีกอย่างที่นางไปนั้นเป็นโลกมนุษย์ มนุษย์เหล่านั้นไหนเลยจะเคยเจอเสือ? พาเขาไปนางไม่ต้องคิดจะเดินแล้ว เหมือนพาเขาไปฝึกวิ่งหนีเอาชีวิตรอดมากกว่า
“นี่ไม่ง่ายนัก” ลู่ยายื่นมือไปลูบศีรษะอาฝู ทันใดนั้นเสือน้อยก็กลายเป็นแผ่นแป้งเสือ…เป็นแผ่นแป้งเสือจริงๆ ขนาดประมาณเหรียญทองแดงบางๆ ด้านหน้ามีรูปเสือตัวน้อยอยู่ อาฝูร้องคำราม แผ่นแป้งแห้งนั้นก็งอตัวขึ้นมา “เจ้าพามันไปแบบนี้ ก็จะไม่มีคนสนใจเจ้าแล้ว”
มู่จิ่วหยิบเอาอาฝูที่เปลี่ยนเป็นแผ่นแป้งเล็กๆ มาดูก็ไร้คำพูด
แต่ถ้าเขาไม่มีความเห็นอะไร นางก็ไม่มีความเห็นเหมือนกัน
ไปก็ไป!
นางถลึงตาใส่ลู่ยาทีหนึ่ง เอาอาฝูใส่กระเป๋าเล็ก ก่อนจะออกประตูไปไม่หันกลับมามอง
53 เล่าเรื่อง
มู่เสี่ยวซิงมองลู่ยาที่มีท่าทางเอาจริงเอาจัง อดไม่ได้ที่จะถาม “นางไปไหนรึ?”
ลู่ยาเอามือไพล่หลังเดินกลับห้อง “มิใช่เดินเล่นแถวนี้หรือ”
จะไปไหนได้อีก? หรือว่านางยังคิดจะไปนัดพบกันกับคนแซ่หลินนั่นที่เก้าทวีปสี่ทะเลกันเล่า
มู่จิ่วไปถึงประตูสวรรค์แดนใต้ หลินเจี้ยนหรูรออยู่ก่อนแล้ว ตอนเห็นนางก็ยิ้มน้อยๆ ดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
ประตูสวรรค์มีค่ายกลเคลื่อนย้ายเดินทางไปยังโลกมนุษย์ เพราะได้รับการอนุมัติมาแล้ว ดังนั้นจึงสามารถใช้ได้ หลังจากยื่นป้ายผ่านทางให้ทหารตรงปากประตู ทั้งสองคนเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงลั่วหยางแห่งราชวงศ์หนิง
นี่คือจักรวาลคู่ขนานของสมัยสุยถังซ่งหยวนที่มู่จิ่วเคยมีชีวิตอยู่ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์และชื่อสถานที่ต่างก็เหมือนกัน
ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิเขียวชอุ่ม เทศกาลซ่างซื่อเป็นงานใหญ่ของราชวงศ์หนิง เพียงแค่ยามเฉิน ริมแม่น้ำลั่วสุ่ยตอนนี้ก็มีชายหนุ่มหญิงสาวรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ คู่ๆ เต็มไปหมด
ประเพณีของราชวงศ์หนิงค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ปกติผู้หญิงในเรือนมีโอกาสน้อยมากที่จะออกมาข้างนอก
แต่เทศกาลซ่างซื่อเป็นช่วงที่อนุญาตให้พวกนางออกมาเที่ยวเล่น พูดคุยกับชายที่ยังไม่แต่งงานก็ไม่มีใครตำหนิ เหล่านักกวีนักดนตรีอิสระเล่นชีสุ่ยหลิวซาง อยู่ที่ลำห้วยริมแม่น้ำลั่วสุ่ย บ้างก็ใช้พิณแทนความในใจหรือแสดงออกถึงพรสวรรค์ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ตรงไปตรงมา ใช้วิธีเหยียบส้นเท้าหรือดึงผมเพื่อแสดงออกถึงความรัก แน่นนอนว่ามีวิธีที่ยิ่งตรงไปตรงมามากกว่านั้น แต่ไม่ควรนำมาพูดถึง
โดยสรุปคือ เทศกาลซ่างซื่อก็เปรียบเหมือนเทศกาลวาเลนไทน์ของชาติก่อน ทุกครั้งหลังจากผ่านเทศกาลนี้จะต้องมีข่าวที่ขัดต่อหลักศีลธรรมตามมา แต่ราชสำนักก็อับจนหนทาง เพราะแต่เดิมฮ่องเต้กับฮองเฮาก็รู้จักกันในเทศกาลซ่างซื่อ หากห้ามเทศกาลนี้ไป มิใช่จะเป็นการตบปากตัวเองหรือ
ดีที่ว่าหากเรื่องเสียหายเป็นของคนมีชื่อเสียง ก็แอบปิดเรื่องนี้อย่างลับๆ หากเป็นคนธรรมดา ก็จัดการเรื่องแต่งงานไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ดังนี้แล้วฮ่องเต้จึงเปิดตาข้างปิดตาข้าง ทุกคนใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข
มู่จิ่วเดินไปตามตลิ่งก็ได้ยินคำซุบซิบ
แน่นอนว่านอกจากคำซุบซิบแล้ว ระหว่างทางยังมีแผงขายของอยู่ไม่น้อย
มู่จิ่วเดินดู หันไปคุยกับหลินเจี้ยนหรูอยู่บ่อยครั้ง แต่หลินเจี้ยนหรูใจลอยตลอดทาง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
และฝีเท้าของเขาก็ไม่เคยหยุด เมื่อมาถึงสะพานจิ่วชวี พลันเงยหน้าขึ้นมา ชี้ไปที่ตรอกทางขวาพลางพูดว่า “พวกเราไปเดินข้างในกันดูหน่อย”
ตรอกนี้เป็นตรอกแคบๆ ปกติ ทางเดินปูด้วยหินเขียวโค้งๆ งอๆ สองข้างทางเป็นตึกไม้สองชั้นเล็กๆ ระหว่างตึกไม้กับทางเดินหินมีลำน้ำกว้างประมาณฉื่อหนึ่งที่สะท้อนเงาทิวทัศน์เก่าแก่ บนผนังบ้านขึ้นตะไคร้น้ำ ทั้งยังมีไม้เลื้อยเกาะแน่น รอบด้านยังสามารถมองเห็นดอกเบญจมาศกับดอกอิ๋งชุนด้วย
สองข้างทางมีเสื้อผ้าที่ตากไว้บนท่อลำไผ่ และมีเสียงหญิงสาวที่แต่งงานแล้วกำลังด่าทอเด็ก
หลินเจี้ยนหรูจิตใจไม่วอกแวก เดินไปหยุดลงหน้ากำแพงลานบ้านที่ค่อนข้างต่ำกลางตรอก
ในกำแพงลานบ้านมีหญิงชราผมขาวยุ่งเหยิงนั่งพลิกเสื้อผ้าหาหมัดอยู่ใต้แสงแดด เมื่อหาเจอแล้วก็หนีบเข้าปากเคี้ยวอย่างยินดี เสียงดังกรุบกรอบห่างออกไปไกลยังได้ยิน ในลานบ้านพลันมีแมวคาบปลาเค็มกระโดดออกมา หญิงชราตาไวนัก ถอดรองเท้าผ้าขาดๆ ไล่ตามไป “เจ้าเดรัจฉาน! เจ้าขโมยปลาเค็มข้า!”
มู่จิ่วไม่เข้าใจว่าหลินเจี้ยนหรูมาหยุดอยู่ที่นี่ทำไม เงยหน้าขึ้นมองเขา กลับเห็นความเจ็บปวดในดวงตาที่หลุบต่ำลง
ใจของนางกระตุกเล็กน้อย ถามว่า “เจ้ารู้จักนาง?”
หลินเจี้ยนหรูเม้มปากแน่น ไม่ยอมพูด
มู่จิ่วมองหญิงชราอย่างประเมิน หลังโค้งงอ ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก ที่จริงก็ไม่ต่างกับหญิงไม่สมประกอบในตลาดเลย
“นางเป็นแม่ของข้า” ตอนที่มู่จิ่วเลิกครุ่นคิดไปนั่นเอง หลินเจี้ยนหรูก็เปิดปากออกมา
“แม่ของเจ้า?” มู่จิ่วสับสน เขาอยู่มาสี่ร้อยปีแล้ว หญิงชราคนนี้ก็กำลังบำเพ็ญเป็นเซียนหรือ?
“นี่คือชาติถัดมาของนาง” หลินเจี้ยนหรูมองนางคราหนึ่ง เสียงเปลี่ยนไปทุ้มต่ำ รอยยิ้มสลดอยู่บ้าง “สนใจฟังข้าเล่าเรื่องไหม?”
มู่จิ่วไม่อาจบอกว่าไม่ฟัง จึงพยักหน้า
หลินเจี้ยนหรูพูด “แม่ของข้าเป็นบุตรสาวของพ่อค้าเกลือแห่งอาณาจักรจื่อจิวทางจิ่วโจวตะวันออก เมื่ออายุสิบห้าถูกปีศาจภูเขาทำให้ตกใจจนหมดสติไปหลายวัน ตาของข้าขอความช่วยเหลือจากสำนักแรกพยับให้ส่งคนลงเขามากำจัดปีศาจ หลินเซี่ยรับคำสั่งลงมา ผลคือเขาปกปิดเรื่องภรรยาของเขา หลอกลวงแม่ข้า จากนั้นก็มีข้า”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง จากนั้นยิ้มพลางพูดต่อ “ภายหลังตาของข้าทราบว่านางตั้งครรภ์ บีบบังคับแม่ข้าให้เปิดเผยชื่อฝ่ายชายออกมา นางไม่ยอม หอบเอาข้าในท้องขึ้นภูเขาไปหาหลินเซี่ย จึงได้รู้ว่าไม่เพียงเขาจะมีภรรยาอยู่แล้ว แต่ทั้งครอบครัวภรรยายังร้ายกาจมาก แม่ของข้าเหน็ดเหนื่อยและได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ จึงให้กำเนิดข้าก่อนกำหนด จากนั้นก็ถูกหลินเซี่ยวางยาพิษในถ้วยยา น่าสงสารที่นางตามหลินเซี่ยมาโดยไม่กล่าวโทษและไม่เสียใจเลย สุดท้ายตัวเองตายอย่างไรก็ยังไม่รู้”
“แต่หลินเซี่ยไม่หยุดเพียงเท่านี้”
เขามองหญิงชราที่ไล่ตีแมวอยู่ห่างออกไปไม่ไกล “เขาเกรงว่าวิญญาณของแม่ข้าที่ตายไปจะไปร้องเรียน ระหว่างทางไปสู่โลกแห่งความตายก็เรียกวิญญาณของนางมา ทำให้จิตต้นกำเนิดของนางบาดเจ็บ ทุกชาติภพจึงกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ ที่เจ้าเห็นตอนนี้คือนางในชาติที่สองหลังจากถูกหลินเซี่ยทำร้าย ชาติแรกเพราะสติไม่สมประกอบ ถูกลูกสาวทอดทิ้ง สุดท้ายตกแม่น้ำจมน้ำตาย”
“ชาตินี้พ่อแม่ของนางให้นางแต่งกับคนขายเนื้อ ก็ถูกคนขายเนื้อด่าทอกว่าครึ่งชีวิต จนถึงสิบปีก่อนคนขายเนื้อตายถึงได้หลีกเลี่ยงไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวได้ เพราะหลินเซี่ย ทุกชาติภพของนางเลยถูกกำหนดให้ลำบาก”
เสียงของเขาเหมือนกับโยนก้อนโคลนเข้าไปในน้ำ เปลี่ยนไปทุ้มต่ำและขุ่นมัว
ถึงแม้มู่จิ่วจะเคยพบเห็นเรื่องราวทำนองนี้มามาก แต่ครั้งนี้กลับเหมือนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกอยู่ภายในจิตใจเขา
“ทำให้เจ้ากลัวหรือ?” เขายิ้มแล้วหันศีรษะมา
มู่จิ่วรีบโบกมือ “แน่นอนว่าไม่!”
เขายิ้มอีก จากนั้นก็หยิบเอาถุงซึ่งเต็มไปด้วยเศษเงินขนาดเท่าเม็ดบัวออกมาจากห่อผ้า เดินเข้าไปวางไว้บนม้านั่งที่หญิงชราเคยนั่ง
กลับมาแล้วก็พูดต่อ “ห้าสิบปีก่อนข้าสืบหาร่องรอยของนาง แอบมาหานางครั้งหนึ่ง หลังกลับไปก็ถูกอาจารย์แม่อ้างเรื่องที่ข้าแอบลงเขามาอย่างลับๆ ตีขาซ้ายจนหัก ตั้งแต่ตอนนั้นข้าจึงได้สาบานไว้ว่า ข้าต้องออกจากสำนักแรกพยับ ออกจากตระกูลหลิน ดังนั้นถึงแม้ข้าจะบำเพ็ญได้แค่ขั้นจู้จี ข้าก็ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างจนได้ขึ้นมาบนสวรรค์”
“ข้าไม่เพียงแต่ต้องการเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเอง ขอแค่มีชีวิตอยู่ข้าจะต้องเปลี่ยนชะตาชีวิตของนางให้ได้ และทำให้ชาติต่อๆ ไปของนางไม่ต้องลำบาก ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่ของข้า ถ้าไม่ใช่ปีนั้นนางเสี่ยงชีวิตคลอดข้าก็คงไม่มีข้า แต่ตอนนี้นอกจากนานๆ จะมาดูนางทีแล้ว ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีก”
ถึงแม้บนใบหน้าของเขาจะประดับด้วยรอยยิ้มตลอด อารมณ์ก็ไม่มีการกระเพื่อมไหว แต่มู่จิ่วฟังแล้วจิตใจกลับหนักอึ้งนัก
แต่ก่อนนางเข้าใจไปว่าเขาก็เป็นลูกนอกสมรสทั่วๆ ไป กลับคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะซ่อนความขัดแย้งอันลึกซึ้งไว้
“เช่นนั้นเจ้าคิดได้หรือยังว่าจะทำอย่างไร?” นางถาม
เขาส่ายหน้า “ไม่ว่าอย่างไร รอจนข้าพลังเพียงพอเมื่อไหร่ เรื่องแรกที่ข้าจะทำคือช่วยนางซ่อมแซมจิตต้นกำเนิด ”
มู่จิ่วพยักหน้า
มีเพียงซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดเท่านั้นที่จะช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตในชาติหลังๆ ของนางได้
เขามีความตั้งใจที่แน่วแน่แบบนี้ นางกลับชื่นชมยิ่งนัก
…………………………………………
ชีสุ่ยหลิวซาง คล้ายประเพณีการละเล่นอย่างหนึ่ง ผู้คนจะรวมตัวกันอยู่ริมแม่น้ำสองฟาก จากนั้นปล่อยแก้วเหล้าให้ลอยไปตามกระแสน้ำ หากหยุดอยู่ตรงหน้าใครคนนั้นต้องดื่ม
สะพานจิ่วชวี เป็นสะพานที่มีลักษณะคดเคี้ยว คล้ายทางชมสวนของจีน
ดอกอิ๋งชุน หรือ Winter jasmine เป็นดอกไม้สีเหลือง ผลิบานรับฤดูใบไม้ผลิ
54 ข้าหน้าตาน่าเกลียด?
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนนี้หญิงชราตีแมวเสร็จแล้ว ในมือถือปลาครึ่งตัวที่แย่งจากปากแมวกลับมาด้วยพลางก่นด่า นางไม่รู้ว่าที่ประตูหน้ามีคนผ่านมา แต่กลับเห็นเงินอยู่บนม้านั่ง ดวงตาของนางพลันเบิกกว้าง มองดูซ้ายขวาไม่มีคน จึงรีบเก็บเงินเข้าไปในอกอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเข้าลานบ้านปิดประตูดังปัง
นางยังรู้ว่าเงินมีประโยชน์ต่อนาง
แต่นางกลับมองไม่เห็นลูกชายในชาติก่อนหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังดอกอิ๋งชุน
ในถนนตกอยู่ในความเงียบ หากฟังดีๆ จะมีเพียงเสียงของกิ่งดอกไม้ด้านหน้าพัดไหวไปตามลม
ในความเงียบงันนี้ หลินเจี้ยนหรูพลันหันหลังกลับมา ยิ้มให้กับนางท่ามกลางแสงสว่างจากด้านหลัง “ทำให้เจ้าเห็นเรื่องตลกแล้ว”
มู่จิ่วรีบพูด “พูดอะไรอย่างนั้น”
หลินเจี้ยนหรูพูดอีก “ตั้งแต่กินดอกบัวกลีบม่วงไป ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าจุดตันเถียนเต็มไปด้วยพละกำลัง ราวกับมีก้อนพลังกำลังก่อตัวขึ้น ส่วนหนังสือฝึกพลังที่เจ้าให้ข้ามา ข้าดูอย่างละเอียดและได้ลองฝึกตามแล้ว มีประโยชน์อย่างมากเลย ทั้งยังมีเคล็ดลับกระบวนท่าขั้นสูงอยู่หลายกระบวนท่า ดูเหมือนยังมีวิธีใช้ที่ยิ่งขั้นสูงไปอีก แต่พื้นฐานข้าไม่ดีเลยยากที่จะผ่านไปได้ ไม่รู้ว่าเจ้าสะดวกช่วยข้ามั้ย”
“ไม่มีปัญหา!” ได้ยินเรื่องที่เขาประสบมา นางยิ่งดีใจที่สามารถช่วยเขาได้ “กลับไปข้าจะช่วยเจ้าดู”
หลินเจี้ยนหรูยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า “งั้นพวกเราไปเดินเล่นกันเถอะ!”
ในตรอกยังคงเงียบงัน
ด้านนอกตรอกกลับเป็นภาพฤดูใบไม้ผลิอันสว่างไสวและเสียงหัวเราะมีความสุข
เด็กขายดอกไม้ที่ถนนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน ดูแล้วคงขายได้ไม่เลวนัก ทางนี้ขายยังไม่ทันหมด เหล่าน้องชายน้องสาวทางนั้นก็แบกมาอีกหลายตะกร้า ทิวทัศน์อันตระการตาพัดพาเอาความหนักอึ้งที่ปกคลุมใจของทั้งสองเมื่อครู่สลายไป พวกเขาเดินตามถนนสายยาว คนธรรมดาทั้งหลายที่เดินอยู่ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เรือประดับตกแต่งสวยงามที่ริมแม่น้ำมีมากมายกว่าปกติ
เดินไปได้ครึ่งทางก็กินอาหารกินเล่นอีก ทั้งสองคนซื้อว่าวบนสะพาน มาถึงพื้นสนามหญ้าริมตลิ่งก็ปล่อยว่าวขึ้นไปแข่งกับผู้อื่น
ไม่รู้เป็นเพราะได้รับความคึกคักจากคนรอบข้างหรือไม่ อารมณ์ของหลินเจี้ยนหรูค่อยๆ ดีขึ้น ดึงสายว่าวทั้งยิ้มทั้งวิ่งไม่ต่างอะไรกับเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่อยู่รอบๆ เลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปถึงตอนเที่ยงวัน พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยไปทางตะวันตก ถึงเวลาที่จะกลับบ้านแล้ว
มู่จิ่วเห็นหญิงสาวที่แต่งกายเป็นลั่วเสินอยู่บนเรือประดับตกแต่ง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทำเรื่องที่หลิวจวิ้นฝากไว้ “ใช่แล้ว ที่ไหนมีศาลเจ้าลั่วเสินบ้าง? ข้าอยากจะไปจุดธูปไหว้เสียหน่อย”
ลู่ยาเข้าใจไปจริงๆ ว่ามู่จิ่วเพียงแค่เดินเล่นอยู่ในสวรรค์เท่านั้น
ดังนั้นหลังจากที่นางออกไปได้สักหนึ่งหรือสองชั่วยามเขาจึงยังรู้สึกสบายใจอยู่ แต่เมื่อเที่ยงวันค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่เห็นนางกลับมา และกลิ่นอายของกระดิ่งที่เขาไม่ได้เจอมานานก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเรื่องไม่ค่อยดีเสียแล้ว!
เมื่อลองนับนิ้วทำนายดู ทั้งสวรรค์กลับไม่มีร่องรอยของนาง!
ที่แท้ไม่เพียงแต่นางจะแต่งตัวเป็นต้นหอม ยังอาศัยตอนที่เขาไม่รู้ตัวออกไปเดินเล่นไกลๆ อีก!
แต่นางไปนัดพบกันไม่น่าจะรีบร้อนอะไร เขาจะทำอย่างไรดี?
ห่างจากพลังของนาง ความโชคร้ายสามารถเจอเขาได้ทุกเมื่อ หากตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นล่ะก็คงเป็นเรื่องใหญ่!
ลู่ยาโกรธเล็กน้อย
ดังนั้นจึงไม่ได้กินข้าวเที่ยงมากนัก รีบกลับเข้าเขตพลังเพื่อสืบหาสถานที่ที่มู่จิ่วไป
มู่เสี่ยวซิงเห็นเขาทำตัวประหลาดนัก เล่นหอบเอาพัด ต่างหู มุกประดับ และของต่างๆ ที่มู่จิ่วใช้อยู่บ่อยๆ เข้าห้องไป ดูแล้วท่าทางราวกับจะทำเรื่องไม่ดีบางอย่าง จึงคิดจะแอบดูเสียหน่อย แต่ก็รู้ฐานะตนเองดีเลยไม่เข้าไปรบกวน ได้แต่เฝ้าเขาอยู่เงียบๆ ทั้งวันไม่ออกไปข้างนอก
นางอาศัยตอนที่อาฝูไม่อยู่เอารังของเขาไปซักล้างตากแดด และนำเอาลูกยางสองลูกที่เขาเล่นบ่อยๆ ไปล้างน้ำลายออก เห็นท้องฟ้าดูแล้วใกล้เที่ยง นางคิดจะออกไปจ่ายตลาดกลับมาทำอาหาร จะได้ถือโอกาสดูว่ามู่จิ่วกลับมาแล้วหรือยัง จากนั้นจึงหิ้วตะกร้าก้าวข้ามธรณีประตู แต่กลับเหยียบโดนอะไรบางอย่างเข้า มีเสียง ‘แกวก’ ดังมาจากนกใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งสยายปีกบินขึ้นไปกลางอากาศ
“ย่ามันเถอะ ใครกันตาถั่วนัก?! กล้าเหยียบเท้าข้า?!”
มู่เสี่ยวซิงตกใจ รีบชักเท้ากลับเข้าไปด้านใน
เมื่อดูดีๆ ที่แท้ก็เป็นนกต้าเผิงที่เบิกตากว้างอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่ประตูลานบ้านของพวกนางได้
แต่ไม่เพียงเสือที่กินกระต่าย นกต้าเผิงก็กินกระต่ายเหมือนกัน!
มู่เสี่ยวซิงได้สติกลับคืนมาก็รีบปิดประตูหนีอย่างลนลาน แม้แต่ตะกร้าก็ไม่เอา
ซ่างกวนสุ่นมองประตูลานบ้านที่เกือบจะชนเข้ากับจะงอยปากเขาอย่างมึนงง ขนศีรษะตั้งขึ้นพลางสยายปีกเข้าไปในลานบ้าน กงเล็บจับเอาแขนของมู่เสี่ยวซิงไว้ “ข้าหน้าตาหน้าเกลียดหรือ? ทำไมเห็นข้าแล้วต้องหนี?!”
มู่เสี่ยวซิงร้องไห้พลางพูด “ใครบอกว่าเจ้าน่าเกลียด? ชัดเจนว่าหน้าตาของเจ้างามล่มบ้านล่มเมือง!”
แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย!
ซ่างกวนสุ่นปล่อยนางลงพื้น ตัวเองก็หยุดอยู่ข้างนาง ลูบๆ ขนพลางจ้องนางแล้วถาม “กัวมู่จิ่วล่ะ? แล้วก็ยังมีเทพเซียนกระจอกใจทรามคนนั้นอีก? เรียกพวกเขาออกมา! ข้ามาหาเพื่อคิดบัญชี!”
มู่เสี่ยวซิงแม้จะไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่พญาอินทรีที่มีเรื่องกับมู่จิ่วและลู่ยาในเวลาเดียวกัน ก็เห็นจะมีแต่ไอ้ตัวขโมยกินจนถูกจับขังคุกตัวนั้น ตอนนี้ถ้าไม่ใช่นกแซ่ซ่างกวนนั่นจะเป็นใครไปได้อีก?
แต่ไหนแต่ไรมานางยังไม่เคยเจอนกที่ไร้ยางอายแบบนี้มาก่อน พ่ายแพ้มาชัดๆ ยังกล้าเรียกเขาออกมาคิดบัญชี ดังนั้นจึงพูดไปว่า “มู่จิ่วไม่อยู่ ส่วนเทพเซียนที่เจ้าพูดข้าไม่รู้จัก” ถึงแม้นางจะหวังให้ลู่ยาออกไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้จะให้เจ้านกหัวขโมยตรงหน้าเปิดเผยที่ซ่อนเขาได้อย่างไร?
แล้วเขาเข้ามาได้อย่างไรกัน?
ค่ายทหารสวรรค์เป็นถนนสาธารณะหรือ เขาคิดจะเข้ามาก็เข้ามาเลย?
“ไม่รู้จักอะไร? ข้าตามกลิ่นอายของเขามา!” ซ่างกวนชี้ไปที่ประตูห้องเบื้องหลังนางพลางร้องเรียก “รีบไปเรียกเขาออกมา! วันนี้ข้าต้องล้างอายให้ได้!”
“เทพเซียนอะไร? เจ้ากำลังโวยวายอะไร?”
ตอนนี้เอง ที่ประตูลานบ้านก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา หยางอวิ้นที่สวมชุดเครื่องแบบเพิ่งเลิกงานกลับมาตอนนี้พอดี กำลังเบิกตากว้างมองประเมินนกต้าเผิงขึ้นๆ ลงๆ “เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมาหาพวกข้าที่นี่!”
มู่เสี่ยวซิงเห็นนางกลับมา ตอนนี้สมองก็แทบจะระเบิด!
…วันนี้เป็นวันอะไรกันเนี่ย! ทำไมถึงต้องเป็นนางที่ได้ยินเข้า?
“ข้าซ่างกวนสุ่น องค์ชายเจ็ดตระกูลซ่างกวนแห่งเขาเนินอาราม เจ้าล่ะเป็นใคร?” ซ่างกวนสุ่นทำท่าหยิ่งยโสเหลือบมองนาง แม้แต่ฝุ่นอันบางเบาใต้ปีกก็ยังแสดงถึงความหยิ่งผยอง
“มู่เสี่ยวซิง นี่คือคนบ้านเจ้าอีกแล้วหรือ?” หยางอวิ้นชี้เสี่ยวซิง คิ้วเฉียงตาขวางพูด “ทำไมบ้านเจ้าถึงมีแต่คนแปลกๆ!?”
มู่เสี่ยวซิงไหนเลยจะกล้าต่อปากต่อคำกับนาง? รีบโบกมือพูด “เขาไม่ใช่คนบ้านข้า! ข้าไม่รู้จักเขา!”
“คนแปลกประหลาดอะไร? เจ้าว่าใครประหลาด?” ซ่างกวนสุ่นโกรธท่าทีของหยางอวิ้นอย่างมาก กระพือปีกเข้าไปใกล้นาง “นังหญิงโง่ ไม่เคยได้ยินเผ่าพันธุ์สูงศักดิ์หรือ? ไม่เคยได้ยินตระกูลซ่างกวนที่มีชื่อเสียงหรือไง?! มาว่าข้าประหลาด ข้ายังไม่บ่นว่าเจ้าหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเลย!”
หลายอวิ้นถูกกดดันจนถอยหลังไปไม่หยุด ใบหน้าโกรธแค้นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนตับหมู
55
“ยังมีเจ้าอีก! อะไรคือไม่รู้จักข้า? เจ้าไม่รู้จักข้า แต่กัวมู่จิ่วรู้จัก! เจ้าเซียนกระจอกนั่นก็รู้จัก! เจ้าเรียกพวกเขาออกมา!” ซ่างกวนสุ่นหมุนมาอีกด้าน ทันใดนั้นก็พุ่งมาทางมู่เสี่ยวซิง
มู่เสี่ยวซิงที่ถอยหลังจนติดกำแพงยังไม่ทันตอบ หยางอวิ้นก็พูดขึ้น “เทพเซียนกระจอกอะไร? คำพูดนี้ของเจ้าหมายถึงอะไรกัน?”
มู่เสี่ยวซิงรีบพูด “ไม่มีอะไร! อย่าฟังเขา…”
“ช่วงนี้กัวมู่จิ่วอยู่ด้วยกันกับเทพเซียนกระจอกแซ่ลู่ เจ้าไม่รู้หรือไง? โง่จริง!” จะงอยปากของซ่างกวนสุ่นเดี๋ยวหุบเดี๋ยวอ้า แต่ละประโยคราวกับทำให้คนโกรธจนตายได้
เสียงของเขาดังกว่ามู่เสี่ยวซิงมากนัก แต่ละตัวอักษรต่างก็เข้าหูหยางอวิ้นไปจนหมด
หยางอวิ้นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เหมือนกับลืมหายใจไปเสียด้วยซ้ำ!
“เจ้า เจ้าบอกว่ากัวมู่จิ่วซ่อนผู้ชายไว้ในเรือน?!“
เพราะตื่นตกใจมากไป แม้แต่มู่เสี่ยวซิงที่พยายามอ้าปากอธิบายนางก็มองไม่เห็น
ช่วงนี้นางเอาแต่จับตามองคนในลานบ้าน คิดแต่จะหาว่าใครเป็นคนลงมือวางยานาง ดังนั้นไม่ว่าความเคลื่อนไหวอะไรนางไม่ปล่อยผ่านไปแน่ นางเข้าใจไปว่าตนควบคุมทุกอย่างไว้อย่างเงียบๆ แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินจากปากนกตัวนี้ว่าในลานบ้านนี้ยังมีคนนอกอยู่อีก! เป็นเขาที่พูดมั่วซั่วหรือนางที่เข้าใจผิด?
“ไม่ผิด! คนแซ่ลู่เจ้าสำอางอยู่ที่นี่! ข้าหาเจอจากกลิ่นอายในลานบ้าน ข้ากล้ารับประกันเลยว่าระยะเวลาสั้นๆ นี้เขาต้องอยู่ด้วยกันกับกัวมู่จิ่วแน่ๆ!”
ซ่างกวนสุ่นกระพือปีกพูดเสียงดัง
หยางอวิ้นสูดลมหายใจเข้าไป ดวงตาจะหลุดออกมาจากเบ้าอยู่รอมร่อ
มู่เสี่ยวซิงโกรธจนคว้าเอาไม้กวาดจากใต้ระเบียงทางเดินขึ้นมาฟาดนก “ใครให้เจ้าพูดมั่วซั่ว!”
ซ่างกวนสุ่นถูกไล่ตีจนร้องเสียงดัง ในลานบ้านพลันอึกทึกครึกโครมขึ้น
ลู่ยาเพิ่งหาเจอว่ามู่จิ่วลงไปยังโลกมนุษย์ ยังไม่ทันหาตำแหน่งแน่ชัด พลันได้ยินเสียงดังอึกทึกมาจากในลานบ้าน ซ่างกวนสุ่น…คิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะยังตามมาถึงที่นี่?
พลังฤทธิ์ของเด็กสาวคนนั้นได้ผลอย่างมากจริงๆ นางไปแค่ค่รึ่งวันโชคร้ายก็มาเยือนเขาแล้ว!
แต่เขาก็ไม่กลัว เพราะใช้คาถาซ่อนกายและกางเขตพลังไว้แล้ว พวกนั้นหาเขาไม่พบหรอก ต่อให้แหกปากร้องดังกว่านี้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานก็เสียแรงเปล่า
เขากลับไปในห้องอย่างใจเย็น เตรียมเข้าไปในเขตพลัง บนศีรษะพลันมีเสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้น คล้อยหลังเสียงอสุนีบาตเพดานก็ถล่มลงมา เศษกระเบื้องร่วงลงมาทับร่าง ตามมาด้วยอสุนีบาตไม่หนักไม่เบาฟาดลงมายังเขาอีก เทพเซียนที่ซ่อนร่างไว้อย่างเขากลับโดนสายฟ้าสองสายฟาดจนปรากฏกายขึ้น!
คนทั้งสามในลานบ้านอึ้งงันไปเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้
หยางอวิ้นชี้ไปยังลู่ยาที่ผมขาวหน้าดำอยู่ภายใต้ซากกระเบื้อง พลางปิดปากร้องขึ้นมา! มู่เสี่ยวซิงยกมือขึ้นกุมศีรษะ ต้องกัดฟันแน่นจึงยังคงสติไว้ได้ไม่สลบไป! ส่วนซ่างกวนสุ่นก็กระพือปีกตรงไปหาเขา ร้องเสียงดังว่า “ใช่! เป็นเขา! เป็นเจ้าคนสำอางนี่แหละ! ให้ข้าจับเจ้าเสียดีๆ คราวนี้ข้าเอาอาวุธมาด้วย ดูสิว่าเจ้าจะหนีไปอยู่ไหนได้อีก!”
พูดจบร่างนกก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ง้างกรงเล็บที่ยาวออกเป็นสามเท่าพุ่งเข้าไปหาลู่ยา “วันนี้ข้าไม่ล้างแค้นคืนก็ไม่ใช่คนแซ่ซ่างกวนแล้ว!” พูดจบใต้ปีกก็พลันเหวี่ยงลูกตุ้มดาวตกออกมาทุ่มไปทางศีรษะลู่ยา
ลู่ยาคิดไม่ถึงเลยว่าโชคร้ายที่รอเขาอยู่คือซ่างกวนเจ้านกสมควรตายกับอสุนีบาตสองสายนั่น!
เขาตอนนี้เป็นเพียงซ่านเซียน หลังจากโดนอสุนีบาตจะซ่อนร่างต่อได้อย่างไร?
ขณะที่กำลังจะสร้างปราการเซียนขึ้นอีก ซ่างกวนสุ่นกลับไล่กวดเข้ามา!
และเจ้านกสมควรตายนี่แต่เดิมก็มีชื่อเสียงด้านพลังต่อสู้ วันนี้ไม่รู้ว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าเอาลูกตุ้มดาวตกนั่นมาจากไหน ตอนนี้หากคิดจะซ่อนตัวก็ไม่มีหนทางแล้ว
“ข้าจะไปฟ้องทัพสวรรค์! พวกเจ้ากล้าเก็บซ่อนคนนอกไว้ที่นี่!”
หยางอวิ้นชี้ลู่ยาซึ่งมองเห็นหน้าตาได้ไม่ชัดเจนพลางร้องโวยวาย นางอยากจะบ้าตาย! คิดไม่ถึงว่ากัวมู่จิ่วจะเก็บผู้ชายไว้ในเรือน ซ้ำยังเป็นซ่านเซียนที่พลังไม่เลว ด้านหน้าแบบหนึ่งเบื้องหลังอีกแบบหนึ่ง เจ้าคนหน้าไหว้หลังหลอก! นางต้องเปิดโปงมู่จิ่ว จะทำให้ฝ่ายนั้นอยู่ในทัพสวรรค์ไม่ได้!
นางถอยเท้าเดินออกไปข้างนอก
มู่เสี่ยวซิงได้สติกลับมาจากเสียงโวยวายของหยางอวิ้น แต่นางไหนเลยจะตามไปทัน?
ศาลเจ้าลั่วเสินที่หลินเจี้ยนหรูบอกอยู่ริมแม่น้ำลั่วสุ่ย เดินไปสามลี้ก็ถึงแล้ว
เป็นเพราะหลิวจวิ้นสั่งไว้ว่าห้ามคนอื่นรู้ ดังนั้นก่อนเข้าประตูมู่จิ่วจึงอ้างว่ามีเรื่องต้องอธิษฐาน จากนั้นจึงเข้าไปเติมน้ำมันเผากระดาษ
ในศาลเจ้ามีรูปปั้นของลั่วเสินตั้งอยู่ คิ้วสวยมวยสูง รูปร่างแบบบาง สะโอดสะองอย่างมาก
ลั่วเสินมี่เฟยเป็นบุตรสาวของฝูซี เป็นที่นับถือแถวแม่น้ำลั่วสุ่ย ไม่รู้ว่าหลิวจวิ้นมีเรื่องอะไรมาร้องขอให้นางช่วย? เป็นไปได้ไหมว่าเดิมทีเขาเป็นคนของที่นี่ เคยได้รับความเมตตาจากนาง? มู่จิ่วจินตนาการไม่หยุดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ถึงแม้ในใจจะคิดแบบนี้ นางก็ไม่มีกระทั่งความคิดที่จะเปิดกระดาษออกดู
เป็นคนต้องรักษาคำพูด ถึงแม้หลิวจวิ้นเป็นคนไม่ซื่อตรงนัก นางก็ไม่สามารถอ้างเหตุผลนี้มาทำผิดต่อเขา
จุดธูปเสร็จ หลินเจี้ยนหรูมือหนึ่งถือขนมแป้งทอดรออยู่ที่ประตู เขาส่งให้นางชิ้นหนึ่ง ทั้งสองคนกินขนมไปพลางเดินทางกลับบ้าน
พวกเขาบำเพ็ญเพียรยังไม่ถึงขั้นที่คิดจะหายตัวไปก็หายตัวได้ สถานที่มีคนเยอะไม่สะดวกสร้างเขตพลัง เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สงบอันไม่จำเป็น จึงทำได้เพียงออกนอกประตูเมืองเข้าไปในป่ารกทึบของเนินเขาเล็กๆ
แสงอาทิตย์ตกดินส่องทะลุผ่านต้นไม้เห็นเป็นเงาพร้อยบนพื้นหญ้า อากาศพัดพาเอากลิ่นสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิมา
มู่จิ่วหันกลับไปมองประตูเมืองที่อยู่ห่างออกไปไกลก่อนพูดขึ้น “ที่นี่เถอะ”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า เคลื่อนพลังลมปราณท่องคาถาเรียกค่ายกลพร้อมกันกับนาง
มู่จิ่วท่องคาถาไป จู่ๆ กลับเบิกตากว้าง
“เป็นอะไร?” หลินเจี้ยนหรูรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงหยุดท่องคาถา
“ในลมทำไมถึงมีกลิ่นสาบ?” นางดมกลิ่นอย่างสงสัย “เหมือนกับจะมีปีศาจออกมา”
หลินเจี้ยนหรูรีบชักกระบี่ออกมาพลางมองไปรอบๆ
แต่นอกจากเสียงลมพัดผ่านใบไม้ต้นไม้แล้ว รอบด้านก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีก
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับมู่จิ่ว แต่เพิ่งพูดจบ ดวงตาทั้งสองของนางพลันเบิกกว้าง และในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีหางจิ้งจอกสีแดงเพลิงโหนต้นไม้ลงมารัดคอเขาไว้แน่น ถึงแม้เขาจะมีกระบี่ในมือก็นำมาใช้ไม่ทัน!
“โชคดีนัก นั่งอยู่เฉยๆ ก็จับได้หนึ่งคน!”
หลินเจี้ยนหรูถูกหางจิ้งจอกจับขึ้นไปกลางอากาศ ยอดต้นไม้มีเสียงเย้ายวนลอยมาอย่างเกียจคร้าน
มู่จิ่วกระโดดขึ้นไปตามเสียงอย่างไม่ลังเล กระบี่ยาวตัดยอดต้นไม้ไปครึ่งหนึ่งตามแรงทะยาน สาวชุดแดงที่งอเข่าซ้ายอยู่บนกิ่งไม้เหมือนกับโดนสายฟ้าฟาดทำให้มึนงง อ้าปากกว้างอึ้งอยู่ตรงนั้น มือของนางมีหลินเจี้ยนหรูที่ถูกหางจิ้งจอกรัดคอไว้ ใบหน้าแดงเถือก
“นังปีศาจ! เจ้าอายุยืนมากนักใช่ไหม?”
มู่จิ่วฟาดฟันกระบี่ไปตัดหางจิ้งจอก ไม่คิดว่าการตอบสนองของอีกฝ่ายจะรวดเร็ว แค่ม้วนตัวไปกับพื้นก็กลิ้งไปถึงต้นไม้อีกต้นแล้ว
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า เจ้ามาทำร้ายข้าทำไม?” นางยืนอยู่บนกิ่งไม้ กอดลำต้นจ้องมู่จิ่ว
เมื่อจิ้งจอกคลายมือ หลินเจี้ยนหรูก็ร่วงลงมา เท้าของเขาเพิ่งจะแตะถึงพื้นก็ชักกระบี่ขึ้นฟันไปยังจิ้งจอกที่อยู่บนต้นไม้!
………………………………………
56
จิ้งจอกรีบหลบไป จากนั้นสะบัดหางด้านหลังออกมา ทันใดนั้นทั่วทั้งผืนฟ้าก็เห็นเพียงสีแดงเพลิง หางทั้งเก้าของจิ้งจอกพลันบดบังท้องฟ้า มุ่งโจมตีมาทางหลินเจี้ยนหรูเหมือนกระบี่อ่อนเก้าด้าม…นางเป็นจิ้งจอกเก้าหางนี่เอง!
จิ้งจอกเก้าหางอาศัยอยู่ที่ชิงชิว ไม่รู้ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? เพราะเป็นหนึ่งในสิบสัตว์เทพ พลังของจิ้งจอกเก้าหางจึงไม่อาจดูแคลน จิ้งจอกตัวนี้ดูแล้วอายุไม่มากนัก แต่หางทั้งเก้ากลับร้ายกาจยิ่ง ทุกท่วงท่ามุ่งโจมตีจุดสำคัญ ช่างทำให้คนรับมือได้ยากจริงๆ หลินเจี้ยนหรูโกรธที่ถูกลอบทำร้าย ดังนั้นเมื่อลงมือจึงใช้แรงทั้งหมด แต่ถึงแม้จะทำแบบนั้นก็ยังไม่อาจเหนือกว่าได้เลย
และจิ้งจอกเก้าหางนี่หลักแหลมนัก เขายิ่งอยากเอาชนะ นางก็ยิ่งไม่รีบร้อนต่อสู้ เพียงแค่อาศัยต้นไม้เป็นที่กำบังเท่านั้น
มู่จิ่วเห็นสถานการณ์แล้วก็ชักกระบี่ออกมาประจันหน้า ถึงแม้พลังของนางจะถูกผนึกไว้ แต่กระบวนท่ายังใช้ได้ดี ลงมือไปครั้งนี้ จิ้งจอกเก้าหางขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนที่ข้าต้องการฆ่าคือศิษย์ลัทธิฉ่าน เจ้าไม่ใช่คนของพวกเขาสักหน่อย ขึ้นมาทำอะไร!” พูดจบหางหนึ่งก็กวาดมาทางหน้านาง ไล่กวดจนนางต้องถอยหลังไปหลายก้าว
ลัทธิฉ่าน?
มู่จิ่วอึ้งไปครู่ก่อนยืนขึ้น มองรอบตัวไม่มีแม้รอยขีดข่วน จึงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างปราณี
นางเดินเข้าไปส่งเสียงถาม “เจ้ากับลัทธิฉ่านมีความแค้นอันใดต่อกัน?”
จิ้งจอกเก้าหางไม่สนใจนาง เอาแต่ไล่กวดหลินเจี้ยนหรูเล่น
หลินเจี้ยนหรูกินดอกบัวกลีบม่วงเข้าไป พลังจึงแก่กล้าขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ยังไม่นึกกลัวนาง แต่ไม่นานก็รู้สึกว่าออกจะเอาไม่อยู่ เขาเร่งรีบจะปราบให้สำเร็จเพราะไม่อยากโดนแหย่เล่นแล้ว ถึงแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่มองไปแล้วกลับกลายเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือของจิ้งจอกเก้าหาง
มู่จิ่วพุ่งเข้าไปอีก ร่ายแหสวรรค์ตาข่ายกระบี่ออกมาห่อตัวหลินเจี้ยนหรูกับนางไว้จนกลายเป็นพลังกลุ่มหนึ่ง หลายปีมานี้นางทุ่มเทกับการฝึกวิชากระบี่ วิชาที่กล้าแกร่งที่สุดก็คือแหสวรรค์ตาข่ายกระบี่นี้ เมื่อค่ายกลกระบี่ปรากฏสู่โลกภายนอกก็เหมือนกับคลื่นแม่น้ำมหาสมุทรกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด จิ้งจอกเก้าหางลองโจมตีดูหลายครั้งก็ไม่เกิดผล จึงถอยกลับไปยืนนิ่ง พูดอย่างโกรธขึ้งว่า “เจ้ามายุ่งเรื่องนี้ทำไม?!”
มู่จิ่วพูด “ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาไปล่วงเกินอะไรเจ้า?”
แน่นอนว่าคนของลัทธิฉ่านไปล่วงเกินผู้อื่นมามากเหลือเกิน นางก็นับเป็นหนึ่งในนั้น แต่อย่างไรก็ไม่ถึงกับเจอศิษย์ลัทธิฉ่านคนหนึ่งก็เข้าไปฆ่าทันทีหรอก?
จิ้งจอกเก้าหางเค้นเสียงก่อนตอบ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“เจ้าต้องการฆ่าเขาก็ย่อมเกี่ยวกับข้า” มู่จิ่วตอบกลับ “พวกเราต่างก็เป็นคนของทัพทหารสวรรค์ หากเจ้าฆ่าเขา สวรรค์ย่อมต้องไม่ปล่อยเจ้าไป แต่ถ้าเจ้าพูดออกมา ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะช่วยอะไรเจ้าได้”
“พวกเจ้า?” จิ้งจอกเก้าหางแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง สะบัดแขนเสื้อกว้างไปเบื้องหน้า เหลือบมองนางพลางพูด “ช่างขี้โม้โอ้อวดนัก พวกเจ้าคนหนึ่งอยู่ขั้นหยวนอิง คนหนึ่งอยู่ขั้นจู้จี เกรงว่าแม้แต่ปีศาจอายุพันปีก็ไร้ทางต่อกรแล้ว กลับกล้าคุยโวว่าจะช่วยเหลือข้า ขอบใจล่ะ!” นางกวาดดวงตาหงส์มอง ท่าทางชดช้อยแบบนี้ช่างทำให้คนลุ่มหลงนัก
มู่จิ่วอับจนหนทาง พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
“ทิ้งเขาไว้” จิ้งจอกเก้าหางยื่นมือกางเล็บสีแดงสดออกมา ชี้ไปทางหลินเจี้ยนหรูด้วยกริยาอ่อนช้อยราวกับไร้กระดูก
“ไม่ได้!” มู่จิ่วตัดบท
จิ้งจอกเก้าหางมองนางขึ้นๆ ลงๆ “ทำไมเจ้าต้องช่วยเขาขนาดนี้? หรือเขาจะเป็นยอดดวงใจของเจ้า?”
มู่จิ่วเกือบจะหัวทิ่มลงไป “เขาเป็นสหายร่วมงานของข้า!”
“อ้อ” จิ้งจอกเก้าหางยังคงเหลือบมองนาง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ ทันใดนั้นก็แหงนหน้าขึ้นหัวเราะคิกคัก “ข้ามู่หรงหลิวเย่ อยู่มาสามหมื่นปียังไม่เคยเจอคนที่โง่ขนาดนี้มาก่อน นี่ไม่ใช่เรื่องของนางชัดๆ ยังเอาตัวเข้ามาพัวพันอีก ดูไปแล้วหากข้าไม่จัดการเจ้าเสียหน่อย เจ้าคงไม่ได้รับบทเรียน”
ขณะพูดไปสายตาของนางก็เย็นเยียบขึ้น เหมือนน้ำแข็งจ้องมายังมู่จิ่ว
หลินเจี้ยนหรูเห็นสถานการณ์แล้วก็ดึงมู่จิ่วไปไว้ข้างหลัง กดเสียงต่ำพูด “หากเจ้าต้องการฆ่าก็มาลงที่ข้า อย่าทำร้ายนาง!”
“เจ้ารีบร้อนอะไรนักหนา?” จิ้งจอกเก้าหางพูดอย่างเกียจคร้าน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยพลางเดินรอบตัวพวกเขา “ตอนแรกข้าคิดจะพาเจ้าไปคนเดียว แต่ในเมื่อนางอยากไปตายเป็นเพื่อนเจ้าขนาดนี้ ข้าก็ทำได้เพียงให้นางสมใจปรารถนา ข้าจะให้พวกเจ้าไปอยู่เป็นคู่นกหยวนยาง[1]ด้วยกันในปรโลก พวกเจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าแล้วกัน”
พูดจบก็ไม่ให้โอกาสพวกเขาตอบกลับ นางพลันยกมือขึ้นมารวมพลังลมปราณ ทันใดนั้นหางจิ้งจอกก็พลันยาวขึ้น ก่อนพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งสองเหมือนสะพานโค้ง
มู่จิ่วเตรียมพร้อมอยู่ตลอด สายตาเห็นหางจิ้งจอกยาวเหยียดตามมาด้วยลมปราณแข็งกล้าขนาดล้มภูเขาพลิกทะเล และเกือบเวลาเดียวกันนางก็ฟาดฟันกระบี่ออกไป
แต่คราวนี้ฝั่งตรงข้ามมีใจยึดมั่นว่าต้องชนะ แต่ละกระบวนท่าต่างก็ไม่ออมแรงให้ หากมู่จิ่วไม่โดนผนึกพลังไว้คงยังพอสามารถรับมือได้ ทว่าวันนี้เป็นเพียงแค่หยวนอิงจึงหมดหนทาง พลังถูกจำกัดไว้ แม้มีกระบวนท่าแต่กลับไม่มีแรงจะสำแดงออกไป
นางไร้กำลัง หลินเจี้ยนหรูยิ่งจนปัญญา กระบวนท่าที่ร่ายรำออกไปราวกับวัวปั้นด้วยดินลงไปในมหาสมุทร ไม่มีผลอะไรเลย
มู่จิ่วค่อนข้างร้อนใจ หากจิ้งจอกเก้าหางต้องการฆ่ากันจริง เช่นนั้นอย่างไรนางก็คงปกป้องเขาไม่ไหว ในภูเขากันดารแห่งนี้ก็ไม่มีใครมาช่วย หรือวันนี้มีแต่ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จแล้วจริงๆ?
“โฮกกก…”
ขณะกำลังกังวลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคำรามกราดเกรี้ยวสะเทือนแก้วหูดังขึ้น ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งก็กระโดดออกมาจากตัวนาง กลายร่างเป็นเสือทรงพลังขนาดสามจั้ง พุ่งเข้าไปยังหางของจิ้งจอก กัดเอาหางที่มุ่งมาทางมู่จิ่วจนจมเขี้ยว!
พลังลมปราณที่โอบล้อมรอบกายพลันถอยออกไป เหลือเพียงเสือหนึ่งตัวกำลังโรมรันกับจิ้งจอกกลางอากาศ
“อาฝู!”
มู่จิ่วตกใจจนเบิกตาโต!
นางกลับลืมไปว่าลู่ยาให้พาเขาออกมาด้วย!
แต่สิ่งที่ทำให้นางนึกไม่ถึงคือ เสือน้อยน่ารักที่ปกติคอยเกาะแกะนางกับมู่เสี่ยวซิงเพื่อขอเนื้อกิน กลับระเบิดพลังออกมาได้ทรงอานุภาพขนาดนี้ เขาที่กัดหางต่อสู้จิ้งจอกเหมือนกับทหารกล้าบุกทะลวงข้าศึกกลางฟ้า ไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัว แต่ยังมีกลยุทธ์กระบวนท่า ไหนเลยจะยังเป็นเสือเร่ร่อนที่ถูกคนเขาไล่ล่าจนจนมุมอย่างตอนนั้นอีก?
นี่ฝึกฝนอยู่เพียงสองเดือน ลู่ยากลับฝึกเขาได้ร้ายกาจขนาดนี้?
หรือว่าจะเป็นพลังแฝงจากเผ่าพันธุ์เทพสงคราม?
“เสือขาว?”
จิ้งจอกเก้าหางเห็นคู่ประมืออย่างชัดเจนแล้วก็สะดุ้งไป จากนั้นเก็บพลังกลับเข้ามา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่กับพวกเขาได้?”
จิ้งจอกเก้าหางข้างกายหนี่ว์วาก็มาจากชิงชิว นางกับป๋ายเจ๋อ เถิงเส๋อ เสือขาว เสวียนอู (เต่างูดำ) และอื่นๆ เผ่าพันธุ์สิบสัตว์เทพต่างก็เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันมานับหมื่นหมื่นปี แน่นอนว่ารุ่นลูกหลานต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีมารุ่นต่อรุ่น เห็นเสือขาวปกป้องมู่จิ่ว นางก็ไม่อาจไม่เก็บพลังกลับคืนมา
อาฝูร้อง ‘โฮก’ ครั้งหนึ่งก็ไม่สนใจนางอีก พลันกลับร่างเป็นเสือขาวน้อยขนาดสองฉื่อ หมอบออดอ้อนอยู่ที่เท้ามู่จิ่ว
ท่าทางเกียจคร้านนั้นราวกับบอกจิ้งจอกเก้าหางว่า นี่คือคนที่เขาต้องการปกป้อง ไม่ว่าใครก็มิอาจทำร้ายนางได้
มู่จิ่วลูบศีรษะเขาอย่างดีอกดีใจ จากนั้นก็อุ้มขึ้นมาหอมหนึ่งที ก่อนมองจิ้งจอกเก้าหาง “เจ้าคิดจะรามือหรือยัง?”
“เจ้าเป็นใคร?” จิ้งจอกเก้าหางจ้องนาง “ทำไมถึงควบคุมเสือขาวได้?”
………………………………………………
57
โดยทั่วไปสัตว์วิเศษทั้งหลายต่างก็มีความทระนงในตนเอง หากไม่มีความสามารถหรือตำแหน่งที่สูงส่ง ก็ไม่สามารถเลี้ยงดูพวกมันไว้ได้ เด็กสาวด้านหน้านี้บำเพ็ญเพียรถึงเพียงขั้นหยวนอิง แต่กลับควบคุมเสือขาวให้เชื่องได้เช่นนี้? ต้องรู้ไว้ว่ากำลังของเสือขาวดูแล้วดุดันกว่านางเยอะนัก!
ในใจของนางเต็มไปด้วยความสงสัย สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย” มู่จิ่วยิ้มเยาะ
จิ้งจอกเก้าหางนิ่งไป เหลือบมองนางคราหนึ่ง มองคราวนี้กลับลดความเป็นศัตรูลงบ้างแล้ว
นางเดินไปในร่มเงาไม้ของใต้ต้นสน ก่อนพูด “เมื่อเดือนก่อน ลูกจิ้งจอกขาวที่ชิงชิวล้มตายไปสองตัวต่อเนื่องกัน ผ้าคลุมมังกรหลากสีที่คอยปกป้องพวกเขาก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด แต่ที่เกิดเหตุมีคนเจอป้ายทองแดงลายนกเสวียนของศิษย์ลัทธิฉ่าน”
“และต้นเดือนนี้ น้องชายข้าที่เพิ่งเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ถูกพบว่าตายอยู่ที่ริมน้ำ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชิงชิวเห็นศิษย์ลัทธิฉ่านล่อลวงเขาไปที่แม่น้ำ ตอนที่พวกเราพบเขา จิตจิ้งจอกของเขาไม่รู้ไปไหนแล้ว หากไม่มีสิ่งนี้จิตต้นกำเนิดก็ไม่อาจกลับคืนร่าง ทุกวันนี้แม้แต่วิญญาณก็หาไม่พบ!”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งของนางก็กวาดมองหลินเจี้ยนหรูคราหนึ่ง “พวกเราชิงชิวกับลัทธิฉ่านเป็นดั่งน้ำบ่อและน้ำคลอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน ไม่เคยติดต่อมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน ไม่รู้ทำไมไท่ซ่างเหล่าจวินถึงเกลียดพวกเราขนาดนี้ ปล่อยให้ลูกศิษย์กล้าเอามือสกปรกมาแปดเปื้อนเผ่าพันธุ์จิ้งจอกไม่ว่า แต่ยังสังหารคนของเผ่าพันธุ์เราอีก!”
“ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ลัทธิฉ่านค่อยๆ มีอำนาจอิทธิพลมากขึ้น แต่ชิงชิวไม่ใช่พวกที่จะรอให้คนมาทำร้ายฝ่ายเดียว เจ้ากล้าเอาชีวิตพวกเรา ข้าก็สามารถทุ่มเททุกสิ่งที่ข้ามีเพื่อถอนรากถอนโคนลัทธิฉ่าน!”
“ศิษย์ลัทธิฉ่านสังหารคนที่ชิงชิว?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง
เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง? ถึงแม้พวกเขาจะทำตัวกร่างวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะถึงขนาดสังหารใคร จิ้งจอกแห่งชิงชิวคือเผ่าพันธุ์เทพ พวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? แล้ววิถีของสำนักคุณธรรมที่พวกเขากล่าวอ้างกันเล่า?
จิ้งจอกเก้าหางยิ้มพูด “ข้าจำเป็นต้องสร้างเรื่องหลอกลวงพวกเจ้าด้วยหรือ?”
มู่จิ่วไร้คำพูด
ไท่ซ่างเหล่าจวินถึงแม้จะมีอำนาจ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้คนใต้บังคับบัญชารนหาที่ตายเช่นนี้ได้ หรือคนเหล่านั้นจะออกนอกลู่นอกทางเอง?
คิดถึงคืนนั้นที่อาฝูเกือบถูกคนของวิมานหลีเฮิ่นจับเอา เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่พวกเขาก่อเรื่องไปทั่ว แท้จริงแล้วต้องการทำอะไรกันแน่? อีกอย่างชิงชิวยังมีผ้าคลุมมังกรหลากสีของลูกจิ้งจอกและจิตจิ้งจอกเก้าหางที่หายไปอีก…อา ทำไมถึงเป็นเรื่องของวิเศษหายไปอีกแล้ว?
ที่เขาเนินอารามก็เป็นเพราะของวิเศษหายจึงนำไปสู่การตายของปีศาจงูเขียว แต่จนถึงทุกวันนี้ฆาตกรก็ยังเป็นปริศนา หรือว่าสองคดีนี้จะมีจุดร่วมกัน?
ใจของนางตื่นตระหนกเล็กน้อย มองไปทางหลินเจี้ยนหรู เขากำลังขมวดคิ้วแน่นราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
เกิดเรื่องต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน หลิวจวิ้นยังเพียงบอกปัดว่าไม่ใช่เรื่องของนาง?
ใช่ แน่นอนว่าเรื่องขโมยเล็กน้อยนี่ไม่เกี่ยวกับนาง แต่เรื่องนี้ก็ควรจะมีคำตอบให้แก่คนนอก แม้แต่คนโง่อย่างนางยังดูออกว่าผิดปกติ คนอื่นจะไม่สงสัยบ้างหรือ? วันนี้ได้ยินเพียงว่าปิดคดีแล้ว ทว่าผลเป็นอย่างไรมู่จิ่วและพวกเขากลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย!
หรือที่ตอนนั้นเขาเลือกที่จะจัดการคดีอย่างเงียบๆ เป็นเพราะรู้ว่าเบื้องหลังคดีนี้คือคนของลัทธิฉ่าน?
มีเพียงคนของลัทธิฉ่านที่เขาไม่กล้าล่วงเกิน และมีเพียงเพราะรู้ว่าศิษย์ลัทธิฉ่านทำชั่วเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาจำใจต้องแอบจัดการเรื่องที่พวกนั้นทำอย่างลับๆ ไท่ซ่างเหล่าจวินมีอำนาจไปทั่วทั้งสวรรค์ ในวังโตวลวี่ก็มีลูกศิษย์ระดับสูงของไท่ซ่างเหล่าจวินอยู่ไม่น้อย ด้วยความสามารถของพวกเขา การที่จะหลบซ่อนจากกระจกฟ้าดินเป็นเรื่องง่ายนัก!
มู่จิ่วพลันตาสว่าง
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงชิงชิวได้อย่างไร?”
ถึงแม้นางจะไม่เคยไปชิงชิว แต่คิดดูก็รู้ว่าที่ของพวกเขาจะต้องมีด่านผ่านทางหลายชั้น พวกศิษย์ลัทธิฉ่านทำอย่างไรถึงได้เข้าไปสังหารจิ้งจอกวัยเยาว์ได้ง่ายดายอย่างนั้น?
“ชิงชิวมีทางเข้าสองทาง ทางหนึ่งตรงไปยังวังจิ้งจอกของพวกเรา อีกทางหนึ่งให้ประชาชนเข้าออก ทางที่ไปวังจิ้งจอกเป็นธรรมดาที่จะต้องมีเขตพลังและปราการเซียนอยู่มาก แต่เขตพลังของอีกทางหนึ่งกลับให้ทำเรื่องผ่านทางกับหน่วยอารักขาเท่านั้น พวกศิษย์ชั่วช้ารู้เรื่องนี้ดีแล้วถึงก่อเรื่อง!”
มู่หรงหลิวเย่ใบหน้าเย็นชา เค้นเสียงร้องเย้ยหยัน
มู่จิ่วเข้าใจแล้วจึงถาม “เมื่อกี้เจ้าเพิ่งพูดว่าวังจิ้งจอกของพวกเจ้า หรือเจ้าจะเป็นองค์หญิงแห่งชิงชิว?”
หรือจิ้งจอกที่โดนขโมยจิตจิ้งจอกไปจะเป็นองค์ชายแห่งชิงชิว?
สวรรค์ ลัทธิฉ่านไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!
ถึงแม้ชิงชิวจะเปรียบกับสวรรค์ไม่ได้ แต่ตำแหน่งของพวกเขาในหกภพก็สูงส่งพอกัน
พวกเขาแต่ละรุ่นล้วนดีเลิศ และมีข้อกำหนดเข้มงวดกับการขยายเผ่าพันธุ์ของชนรุ่นหลังสูงมาก สามหรือห้าหมื่นปีจึงออกลูกสาวลูกชายหนึ่งตัว ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์ที่ติดมากับตัวหรือด้านการเลี้ยงดูก็หาที่ติไม่ได้ หากพวกเขาออกมาทั้งเผ่าพันธุ์ เกรงว่าทั้งหกภพคงจะยืนไม่ติด นี่ไท่ซ่างเหล่าจวินเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว หรือว่าลูกศิษย์ของเขาใช้ชีวิตสบายเกินไปกัน?
ถึงแม้ชิงชิวจะทำลายลัทธิฉ่านไปครึ่งหนึ่ง อวี้ตี้ก็ไม่กล้าประหารพวกเขาทั้งเผ่าพันธุ์ด้วยซ้ำ!
“ข้าคือบุตรีคนที่สามของตระกูลมู่หรงแห่งชิงชิว องค์หญิงหลานเยวี่ย” ดวงตาของมู่หรงหลิวเย่ยังคงเย็นชา แต่เทียบกับตอนแรกแล้วก็มีความเป็นมิตรมากขึ้น
มู่จิ่วรีบประสานมือ นางเป็นองค์หญิงของเผ่าพันธุ์เทพ อีกทั้งยังมีความแค้น การปะทะกันเมื่อครู่ก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้ว
เพียงแต่คิดว่าสวรรค์มีท่าทีแบบนี้ นางรู้สึกผิดหวังจริงๆ แต่เดิมคิดว่าอวี้ตี้ซึ่งเป็นกษัตริย์ของสามโลก ทำเรื่องใดก็ควรมีความยุติธรรมตรงไปตรงมา และเข้าใจไปว่าแม้ลัทธิฉ่านจะมีอำนาจสูงส่ง ในใจพวกเขาก็ยังมีความเที่ยงธรรมอยู่ แต่วันนี้ดูแล้วไม่ใช่แบบที่คิดไว้ ลัทธิฉ่านทำผิดต่อชิงชิว ถึงแม้จะไม่ทราบสาเหตุ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คือขาดคุณธรรมอยู่ดี
นางไม่ได้ทำคดี แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่คนในหน่วยที่มีหน้าที่จับผู้กระทำผิดกับพวกหน่วยดูแลความสงบของโลกเซียน พวกเขาทำแบบนี้ถือเป็นการผิดต่อคนที่เลือกเขามา รวมถึงสรรพสัตว์ที่จุดธูปเทียนบูชาพวกเขาด้วย
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงได้แจ้งเรื่องนี้ต่อสวรรค์หรือยัง?” นางถาม ไม่ว่าอย่างไรสวรรค์ก็มีอำนาจเข้าไปจัดการเรื่อง
“แจ้งเรื่องต่อสวรรค์?” มู่หรงหลิวเย่ยิ้มเยาะ ยกแขนขึ้นมา ผ้าไหมสีแดงบนแขนสะบัดอยู่กลางอากาศก่อให้เกิดเป็นเส้นโค้งดึงดูดสายตา “ธรณีประตูสวรรค์สูงเกินไป พวกเราข้ามไม่ไหว รอจนสังหารพอแล้วก็มีคนไปแจ้งเรื่องเองนั่นแหละ”
สีหน้าของนางสงบราบเรียบ เอ้อระเหยลอยชาย พูดเรื่องสังหารคนออกมาได้ราวกับเป็นเรื่องกินผักกาดขาว
มู่จิ่วขมวดคิ้วมองนาง “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมาที่นี่? ที่นี่เป็นโลกมนุษย์นะ”
หรือว่าแม้แต่คนธรรมดานางก็สังหารหมด?
“เรื่องนี้พูดไปก็ยาวนัก” มู่หรงหลิวเย่พูด “หลายวันก่อนข้ากับเหล่าพี่น้องไปที่คุนหลุน ระหว่างทางตอนผ่านเป่ยอี๋พบกับเทพเซียนชั้นล่างของศิษย์ลัทธิฉ่านเข้า พวกเราสังหารพวกเขาหนึ่งคน ทำให้บาดเจ็บอีกหนึ่ง คนบาดเจ็บที่หนีไปนั้นข้าตามรอยมาถึงที่นี่ คิดไม่ถึงว่ากลับเจอพวกเจ้า! แต่อย่างไรก็เหมือนกัน ยังไงเขาก็เป็นคนของลัทธิฉ่าน”
สายตาที่นางมองหลินเจี้ยนหรูมีกระแสความลังเลเจืออยู่ ไม่รู้ว่าทำไม แต่วินาทีถัดมา ผ้าไหมแดงบนข้อศอกนางก็ชี้ตรงเข้ามา
หลินเจี้ยนหรูถูกกดดันจนถอยไป สีหน้าขึ้งเครียด ไอสังหารลอยอยู่ในอากาศรอบด้าน
“เป่ยอี๋?”
มู่จิ่วกลับสะดุดใจสองตัวอักษรนี้
………………………………………………
58
วันนั้นนางกับหลินเจี้ยนหรูเก็บดอกบัวกลีบม่วงอยู่ที่บ่อน้ำบนเกาะเป่ยอี๋ แน่ชัดว่ามีคนกำลังสู้กันอยู่กลางอากาศ ถ้าเช่นนี้ตอนนั้นผู้ที่เริ่มทำร้ายพวกนางก่อนก็คือพวกเขา? มิน่าล่ะลู่ยาถึงบอกว่าจิ้งจอกจากชิงชิวกำลังรบกับคนอื่นอย่างดุเดือด นางเกือบจะโดนเสียงอสูรของพวกนางทำร้ายจนตายแล้ว!
โลกช่างกลมเหลือเกิน
มู่จิ่วทนไม่ไหวเหลือบตามองนาง
แต่มาเอาความตอนนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว
นางคิดครู่หนึ่งก่อนพูด “เจ้าสังหารคนแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ลัทธิฉ่านมากมายขนาดนี้ เจ้าจะสังหารหมดได้อย่างไร?”
อีกอย่างคือตำแหน่งของไท่ซ่างเหล่าจวินบนสวรรค์ หากพลาดท่าถูกเขาจับได้คาหนังคาเขาก็จะถูกกำจัด หากเจ้าพูดว่าเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์เทพสงครามข้างกายหนี่ว์วา ไท่ซ่างเหล่าจวินก็เป็นศิษย์ของหงจวินจู่ซือศิษย์พี่ใหญ่หนี่ว์วา เป็นศิษย์หลานของนาง! ยิ่งไม่มีหลักฐาน หากสวรรค์ต้องการคุ้มครองฝ่ายคนผิด ต่อให้ใช้คนทั้งเผ่าพันธุ์ก็ไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมได้
“สังหารไม่หมดแล้วกลัวอะไร?” จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะ “ข้าอายุยืนยาวนัก ด่านเคราะห์ที่ใกล้ที่สุดคือสามหมื่นปีหลังจากนี้ เวลาสามหมื่นปียังไงข้าก็สามารถสังหารเขาได้พอสมควรมิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นชิงชิวของข้าไม่ใช่ว่าจะหยามได้ ถึงแม้ไท่ซ่างเหล่าจวินจะร้ายกาจ แต่ด้วยกำลังทั้งหมดของชิงชิวก็ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรเขาไม่ได้!”
ช่างเป็นจิ้งจอกที่ดื้อด้านนัก
มู่จิ่วไร้คำพูด
นางพูด “เจ้าพูดว่าจิตจิ้งจอกที่โดนขโมยไปมีวิญญาณต้นกำเนิดของน้องชายเจ้าอยู่ ทำไม่เจ้าไม่หาวิธีนำมันกลับมาช่วยเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน?”
จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียงเยาะเย้ย “ข้าไปขอจากพวกเขา พวกเขาจะยอมรับหรือ? หากจะยอมคงไม่วางแผนเข้ามาสังหารคนเสียดิบดีหรอก!”
มู่จิ่วไร้คำพูดโต้กลับ
พูดแบบนี้ก็ไม่ผิด ในเมื่อพวกเขาลงมือสำเร็จไปแล้วย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่ยอมรับ อีกอย่างศิษย์ลัทธิฉ่านมีมากขนาดนี้ พวกนางจะไปหาตัวคนผิดจากไหน? มู่จิ่วขมวดคิ้ว “เจ้าก็ควรลองดู หากทำให้พวกเขาเดือดร้อนแล้วฝ่ายนั้นบังอาจกวาดล้างชิงชิวจะทำอย่างไร? คนที่เสียหายมิใช่พวกเจ้าหรอกหรือ?”
“เจ้าวางใจ รอจนข้าสังหารจนมากพอ พวกเขาก็จะนั่งไม่ติดแล้ว!” จิ้งจอกเก้าหางยิ้มเยาะ จากนั้นมองอาฝูที่หมอบอยู่ใต้เท้านางก่อนพูด “เห็นแก่เสือขาว วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน แต่ภายหลังดีที่สุดคือพวกเจ้าควรรู้ตัวเสียหน่อย ข้าใจอ่อน แต่ชิงชิวคนอื่นนั้นไม่จำเป็นต้องใจอ่อน! โดยเฉพาะพี่ชายคนรองของข้า เขาเอ็นดูน้องสี่มากที่สุด”
พูดจบก็เหลือบมองมู่จิ่วคราหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนร่างเป็นเมฆแดงลอยไป
มู่จิ่วตามนางไปสองก้าว คิดจะให้นางอยู่ต่อ แต่นางไหนเลยจะยังเหลือร่องรอยไว้?
ทางด้านหอวิหคแดง ตอนนี้ในลานบ้านเต็มไปด้วยผู้คนเพราะเรื่องที่ซ่างกวนสุ่นก่อไว้
หลังจากหยางอวิ้นพบลู่ยาก็รีบไปหน่วยจัดการเรื่องทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งตกใจจนเร่งตามมาที่นี่ จางเหยี่ยนซิงจวินก็ตกอกตกใจ พลันรู้สึกรับมือไม่ไหวอยู่บ้าง จึงเชิญหลิวจวิ้นมาด้วย ต่อมาอวี๋เสี่ยวเหลียนกับอิ่นเสวี่ยรั่วเลิกงานกลับมา เห็นเรือนของมู่จิ่วถล่ม และใต้ซากปรักหักพังยังมีเทพเซียนชายอีก แต่ละคนต่างก็ตกใจราวกับถูกสายฟ้าฟาด ยืนค้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ!
ลู่ยากลับสงบใจได้แล้ว ถึงยังไงก็หนีไม่พ้น เขาไม่สนใจว่าจะมีคนมากเท่าไหร่มาห้อมล้อมตน
“ไม่ทราบว่าสหายเซียนท่านนี้มีนามว่าอะไร?”
จางเหยี่ยนซิงจวินที่ยังคงตกใจจนถึงตอนนี้ ในที่สุดสติก็กลับคืนมา หาเสียงตัวเองเจอ
ไม่เฉพาะเขาเท่านั้น ทุกคนต่างตกใจจนพูดไม่ออกกันหมดแล้ว
โดยปกติถึงแม้กัวมู่จิ่วเป็นคนไม่มีไหวพริบ ทั้งประจบประแจงไม่เป็นและไม่มีเส้นสาย แต่ตัวตนกลับธรรมดาสามัญยิ่งนัก แม้ทั้งหอวิหคแดงจะมีเรื่องน้อยใหญ่เกิดขึ้นไม่หยุด ทว่าเกิดเยอะที่สุดคือที่ลานจื่อหลิงของพวกนาง หลายเดือนที่ผ่านมาพวกนางก่อเรื่องอะไรบ้าง? แต่กลับไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องที่กัวมู่จิ่วเป็นผู้ก่อเลย
ดังนั้นจางเหยี่ยนซิงจวินและเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างคิดไม่ถึงว่านางจะซ่อนผู้ชายไว้ในเรือน…
นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่งเชียวนะ ทิ้งเรื่องกฏของค่ายทหารสวรรค์ไปก่อน พูดเพียงแค่การกระทำแบบนี้ของนางเหมาะสมหรือไม่?
และหลังจากที่ผู้ชายคนนี้ร่ายคาถาจัดแจงตัวเองให้สะอาดเรียบร้อย ดูไปแล้วช่างโดดเด่นนัก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างสูงสง่าหรือใบหน้างดงาม บนสวรรค์หรือพื้นดินเห็นจะมีไม่กี่คนที่สามารถเทียบเทียมได้ กัวมู่จิ่วที่ดูไปแล้วแข็งกระด้างไม่เป็นกุลสตรี หรือว่าภายในใจกับภายนอกต่างกันลิบลับ เป็นปีศาจน้อยที่ภายนอกดูสงบเสงี่ยมแต่ในใจกลับร้อนแรงงั้นหรือนี่?
สวรรค์!
ใบหน้าของจางเหยี่ยนซิงจวินเริ่มร้อนเห่อ
“ลู่หยา”
ลู่ยายื่นเท้าเขี่ยเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งจากระเบียงทางเดินออกมานั่ง ดวงตากวาดมองไปยังพวกเขา สุดท้ายหยุดอยู่ที่ร่างของซ่างกวนสุ่น
ก่อนที่เขาจะคิดวิชาลับมากำราบกระดิ่งได้เขาต้องติดตามมู่จิ่ว ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือดิ้นรนหาทางให้ได้อยู่ต่อและปกปิดตำแหน่งฐานะไว้ให้ได้ แต่เขากลับไม่กลัวคนเบื้องหน้าเหล่านี้ พวกนั้นต่างก็ไม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่เขาซ่อนไว้ กลัวก็แต่จะเจอพวกของไท่ซ่างเหล่าจวิน ถึงพวกเขาไม่อาจเดาได้ว่าเขาคือลู่ยา แต่ในใจแน่นอนว่าต้องสงสัย
ลู่ยากวาดตามองครั้งนี้ ซ่างกวนสุ่นตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สายตานั้นของลู่ยาช่างน่ากลัวเสียจริง…เป็นนักพรตนั่นที่ถามเขาหรอก ลู่ยามองเขาทำไม? คนเหล่านี้ไม่ใช่เขาที่เรียกมาเสียหน่อย? และเขาไม่รู้ด้วยว่าลู่ยาซ่อนตัวจากทุกคนอยู่ที่นี่ สายฟ้านั่นก็ไม่ใช่เขาเป็นคนทำ แล้วนี่จะโทษเขาได้อย่างไร?
แต่ถึงแม้เขาจะคิดว่าตนเองไม่ผิด ทว่ายังเขยิบเข้าไปด้านหลังมู่เสี่ยวซิงอย่างไม่รู้ตัวเนื้อรู้ตัว
โดนลู่ยาจับไว้ในมือที่โลกมนุษย์ตอนนั้น เขายังมีเงาทะมึนติดค้างในใจอยู่เลย
ที่จริงแล้วเขาซ่อนตนเองอยู่รอบๆ มาได้สองสามวันแล้ว เพียงแค่ไม่กล้าออกมา เมื่อครู่หากไม่เป็นเพราะเจ้ากระต่ายเหยียบเท้าเขาจนเปิดเผยตัวจากที่ซ่อน ก็ไม่แน่ว่าเขาจะแสดงตัวออกมา
“ลู่หยา?”
นี่แสดงว่าเทพเซียนท่านนี้ไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน
อย่างน้อยในขั้นเทพเซียนพื้นฐานคงมีคนรู้จักไม่มาก
จางเหยี่ยนซิงจวินได้ยินก็ขมวดคิ้ว เจ้าหนุ่มตรงหน้านี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีท่าทางเหนือสามัญ ไม่อาจทำให้คนมองข้ามได้ ถึงแม้จะตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูกลับไม่เห็นความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ท่าทางไม่ยี่หระเหมือนทั้งเก้าทวีปเป็นของเขาทั้งหมด เขากล้าหาญถึงขนาดทำเหมือนกับการปรากฏตัวที่นี่เป็นแค่การมาตรวจตราของพลทหารเท่านั้น…สรุปคือดูแล้วชาติตระกูลคงไม่แย่นัก
แต่เขาเหมือนไม่เคยได้ยินว่าเซียนตระกูลไหนมีซ่านเซียนชื่อลู่หยามาก่อน…
เขาอยู่ในวงราชการนี้มาหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าในใจสงสัย แต่เพื่อเหลือทางหนีทีไล่ จึงนอบน้อมไว้ก่อนสักสามส่วน “ไม่ทราบว่าสหายเซียนแซ่ลู่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? แล้วเจ้ากับกัวมู่จิ่วมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?”
“ยังต้องพูดอีกหรือ? ย่อมต้องเป็นชู้รักน่ะสิ!” หยางอวิ้นชี้ลู่ยาพลางโวยวายขึ้นมา “คราวก่อนต้องเป็นเขาแน่ๆ ที่ลงมือวางยาข้า! กัวมู่จิ่วกับเขารวมหัวกัน ปล่อยให้เขาทำร้ายคน! พวกเจ้ารีบไล่กัวมู่จิ่วกับพวกเขาทั้งหมดออกไปจากสวรรค์เร็วเข้า…”
เพียงลู่ยามองไปอย่างเย็นชา คำพูดตอนท้ายของหยางอวิ้นก็อ่อนลง
“ชู้รัก?” ซ่างกวนสุ่นได้ยินคำนี้ อดไม่ได้โผล่ศีรษะออกมาจากหลังเสี่ยวซิง “ข้าดูแล้วเจ้าสิเหมือนเป็น***! เจ้าพวกตาไม่มีแวว กัวมู่จิ่วพูดไว้ว่านางแค่รับเขาไว้ที่นี่เท่านั้น!” อย่าโทษที่เขาพูดมาก แต่เดิมเขาต้องการหาเรื่องให้ลู่ยา ผลคือผู้หญิงคนนี้ทำให้เรื่องเสียหมด แล้วเขาจะไม่โกรธนางได้อย่างไร
หยางอวิ้นถูกนกทำให้สำลัก ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว พูดไม่ออกสักคำ
ตอนนี้เองจางเหยี่ยนซิงจวินถึงหันความสนใจกลับมาที่ซ่างกวนสุ่น “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น