ยอดหญิงสกุลเสิ่น ตอนพิเศษ 5.1-5.2

ตอนพิเศษ 5-1 เซี่ยหมิงผู่ (ปลาย)

 

 


 


ที่บ้านตระกูลหลิวซึ่งเป็นตระกูลทางแม่ของเซี่ยหมิงผู่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ไอหยา หลานชายของตัวเองไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังเป็นถึงข้าหลวงใหญ่แห่งเจียงหนาน นี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างที่สุด เจ้าบ้านสกุลหลิวพาลูกชายสองคนไปต้อนรับในวันถัดมา เซี่ยหมิงผู่ออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยความกระตือรือร้น ตระกูลท่านตาดูแลพวกเขาสองพี่น้องอย่างดีมาตลอด เซี่ยหมิงผู่ไม่ใช้คนลืมบุญคุณคน


 


 


เจ้าบ้านสกุลหลิวเห็นหลานชายมีใบหน้าเหมือนลูกสาวของเขาอยู่สองส่วน ดวงตาก็เปียกซึม ตบไหล่ของเขาอย่างตื่นเต้น “ดี ดี เจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ดี ข่าวดี ข่าวดี แม่ของเจ้าในปรภพจะได้นอนตายตาหลับ”


 


 


เซี่ยม่านผู่ประคองแขนของท่านตา ยิ้มอย่างอบอุ่น “ท่านตาและท่านน้าทั้งสองรีบนั่งลงเถิด ข้าพอมีบุญอยู่บ้างถึงได้พบคนที่ยิ่งใหญ่ แต่ข้าก็มีชีวิตที่สุขสบายดี ยายหนูม่านเอ๋อร์เองก็สบายดี ตอนนี้นางโตเป็นสาวแล้ว อีกเดี๋ยวท่านตาและท่านน้าก็จะได้พบนางแล้ว”


 


 


“ดีแล้ว ดีแล้วที่พวกเจ้าสองพี่น้องสบายดี คนแก่อย่างข้าก็วางใจ” ท่านเจ้าบ้านสกุลหลิวตื้นตันยิ่งนัก แต่ก็รู้อะไรเป็นอะไรจึงไม่ได้เอ่ยถึงสกุลเซี่ย ไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว


 


 


ท่านน้าทั้งสองแห่งสกุลหลิวเองก็มองหลานชายด้วยสายตาแรงกล้า มีท่าทีอึดอัดอยู่บ้าง ก็ใช่ ที่สกุลหลิวเองก็เป็นสกุลขุนนาง พวกเขาเองก็กว้างขวางรู้จักคนไปทั่ว แต่ได้เป็นขุนนางตำแหน่งสูงทั้งที่อายุยังน้อย แน่นอนว่าความกดดันจากผู้บังคับบัญชาก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะรับไว้ได้


 


 


เซี่ยหมิงผู่เล่าเรื่องประสบการณ์สองสามปีมานี้อย่างง่ายๆ สามพ่อลูกสกุลหลิวชื่นชมไม่ขาดปาก โดยเฉพาะท่านน้ารอง เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก “รัชศกยงเซวียนที่สิบเจ็ดข้าอยู่เมืองหลวง และได้ยินคนพูดว่าจอหงวนคนใหม่ชื่อเซี่ยหมิงผู่ ตอนนี้ข้ายังคิดอยู่เลยว่าทำไมถึงบังเอิญนัก ทำไมข้าไม่สืบข่าวให้มากกว่านี้นะ” หากเขาสืบข่าวต่อไป พวกเขาคงจะได้พบกันตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว


 


 


เซี่ยหมิงผู่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ก็ยังไม่สายนี่ขอรับ!”


 


 


“ใช่ใช่ใช่ ยังไม่สาย ยังไม่สาย” ท่านน้ารองสกุลหลิวหัวเราะเก้อ เมื่อคิดว่าเขามีหลานชายเป็นข้าหลวงใหญ่ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงอยู่นั่นเอง


 


 


ยามเที่ยง เซี่ยหมิงผู่จัดงานเลี้ยงให้กับท่านตาและท่านน้าทั้งสอง ยกสุราอย่างขยันขันแข็งด้วยท่าทีเคารพนบน้อม ไม่เหมือนท่าทีของขุนนางผู้ใหญ่ที่ชอบดูถูกผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย ท่านเจ้าบ้านสกุลหลิวยังดี แต่ท่านน้าสกุลหลิวทั้งสองกลับปลื้มปิติเป็นอย่างมาก ดื่มสุราเสียจนเมามาย


 


 


ยามที่กำลังจะกลับ เจ้าบ้านสกุลหลิวยังลังเลและถามขึ้นมาว่า “เสี่ยวผู่ ทางสกุลเซี่ย….”


 


 


เซี่ยหมิงผู่ยิ้มเล็กน้อย “ท่านตาวางใจ ข้าคิดเอาไว้แล้วขอรับ” ตอนนี้เขาได้เปรียบอยู่ทุกประตู จะกลัวอะไรอีก สกุลเซี่ย เฮอะเฮอะ หากพวกเขารู้ตัวก็แล้วไป แต่หากยังไม่รู้ ก็อย่าโทษที่เขาต้องลงมือสั่งสอนเขาด้วยมือของตัวเองล่ะ


 


 


นายหญิงสกุลหลิวและสะใภ้ทั้งสองที่เข้าไปข้างในคฤหาสน์เพื่อถวายความเคารพองค์หญิงนั้นตื่นตระหนก แม้จะบอกว่าเป็นหลานสะใภ้ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นองค์หญิง สตรีสูงศักดิ์ในราชวงศ์ พวกนางเข้าพบแน่นอนว่าต้องคุกเข่าก้มหัวให้


 


 


พวกนางเดินตามนางกำนัลเข้าไปด้านใน ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย แม้แต่นางข้าหลวงข้างกายขององค์หญิงก็ดูสูงส่งกว่าเหล่าหญิงสาวในตระกูลขุนนางที่พวกนางเคยพบมามาก แล้วองค์หญิงเล่าจะเป็นอย่างไร พวกนางไม่กล้าที่จะคิดเลย


 


 


“หม่อมฉันถวายบังคมองค์หญิง” นายหญิงสกุลหลิวเห็นว่าหญิงสาววัยรุ่นหน้าตางดงามนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็ไม่กล้าที่จะมองขึ้นไปอีกครั้ง ก้มศีษะลงคำนับที่พื้น สะใภ้ทั้งสองที่อยู่ด้านหลังก็รีบคุกเข่าตามแม่สามีโดยไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีก


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่ารีบลุกขึ้นเถิด” นายหญิงสกุลหลิวรู้สึกว่าหัวเข่ายังไม่แตะพื้นก็มีคนประคองนางลุกขึ้น หญิงสาวที่ประคองนางขึ้นมานั้นยิ่มให้พลางเอ่ยว่า “ท่านยาย พี่สะใภ้ขอให้ท่านลุกขึ้นมาเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


นายหญิงสกุลหลิวชะงัก จากนั้นก็ร้องขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ม่านเอ๋อร์ เจ้าคือม่านเอ๋อร์ใช่มั้ย!” โดยไม่สนใจว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าองค์หญิงหรือไม่ น้ำตาของนางไหลหลั่ง มือสั่นเทาลูบไล้ใบหน้าของเซี่ยม่านเอ๋อร์ที่เหมือนลูกสาวในยามเยาว์ของนาง


 


 


เซี่ยม่านเอ๋อร์ยิ้มจนตาหยี ปลอบโยนท่านยายของตัวเอง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าเสียใจไปเลย ม่านเอ๋อร์สบายดี หลายปีมานี้หลานเติบโตมาอย่างดี ไม่ต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย” นางพูดจริงๆ นางที่เติบโตขึ้นมาข้างกายของคุณหนู แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสาวใช้ แต่เรื่องกินอยู่ไม่มีขาดตกบกพร่อง ทั้งยังได้รับการศึกษาอยู่ในระดับเยี่ยมยอด ไม่ด้อยไปกว่าตอนที่นางอยู่ที่สกุลเซี่ยเลยแม้แต่น้อย “ท่านยาย ม่านเอ๋อร์ดีใจนักที่ได้พบท่าน อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ”


 


 


“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่เสียใจ พวกเราไม่เสียใจเลย ยายดีใจยิ่งนัก!” นายหญิงสกุลหลิวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา และหันไปขออภัยองค์หญิง “หม่อมฉันเสียมารยาท ขายหน้าต่อหน้าองค์หญิงแล้ว”


 


 


องค์หญิงสามยิ้มเรียบๆ “ครอบครัวพบหน้าเป็นเรื่องน่ายินดี ข้าเข้าใจได้ ม่านเอ๋อร์ เจ้ารับรองฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินทั้งสองให้ดีเถิด ข้าขอตัวก่อน” นางเดินนำคนของตัวเองออกไปอย่างเข้าใจดี แต่ให้ลูกชายอยู่ก่อน


 


 


เมื่อองค์หญิงไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยท่านน้าสะใภ้สกุลหลิวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “โอย ตกใจเสียแทบแย่” สะใภ้รองสกุลหลิวปาดเหงื่อบนศีรษะ ขาของนางอ่อนแรง แม้ฮูหยินใหญ่สกุลหลิวจะไม่พูดอะไร แต่ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงพอๆ กับฮูหยินรอง


 


 


“ราชวงศ์น่าเกรงขาม และนั่นคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์” นายหญิงสกุลหลิวมองลูกสะใภ้ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้


 


 


เซี่ยม่านเอ่อร์กลับแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย “ท่านยาย ท่านน้าสะใภ้ ไม่ต้องกังวลแล้วเจ้าค่ะ! พี่สะใภ้เป็นคนดี ดูซี นี่คือหลานชายของข้า น่ารักหรือไม่” นางอุ้มหลานชายของมือของแม่นมเข้ามาอวดอย่างภาคภูมิใจ


 


 


“พี่ชายของเจ้ามีลูกชายแล้วหรือ ดูเด็กน้อยคนนี้ซี หน้าตาดีนัก ดูสมเกียรติ ดูหน้าผากเต็มแน่น เพียงเห็นก็รู้ว่าจะต้องมีอนาคตที่ดีแน่” นายหญิงสกุลหลิวยิ่งยินดีขึ้นไปอีก รับอวี้เอ๋อร์เข้ามาในอก รักเสียยิ่งกว่าอะไร


 


 


น้าสะใภ้ทั้งสองเองก็เออออ สะใภ้ใหญ่สกุลหลิวเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจ “ถ้ารู้ว่ามีหลานน้อยด้วย พวกเราจะได้เตรียมของมาแต่เนิ่นๆ ตอนนี้ไม่มีของอะไรมาเลย ทำให้เด็กน้อยของพวกเราน้อยใจเสียแล้ว”


 


 


นายหญิงสกุลหลิวเองก็พยักหน้า “นั่นน่ะสินะ” นางถอดกำไลหยกที่ตัวเองสวมมาเป็นสิบปีแล้วสวมให้กับเซี่ยม่านเอ๋อร์ “ม่านเอ๋อร์ ยายขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า ชั่วพริบตา เจ้าก็โตเป็นสาวแล้ว ส่วนของรับขวัญเด็กน้อย ยายจะนำมามอบให้ครั้งหน้า” นางพูดขึ้นด้วยความเสียใจ แต่ตอนนี้นางไม่มีของอะไรที่เหมาะที่จะมอบให้ทารกน้อย จึงทำเท่าที่ทำได้


 


 


น้าสะใภ้ทั้งสองเมื่อเห็นดังนั้น ก็มองสบตากัน แล้วพากันมอบเครื่องประดับล้ำค่าบนร่างของตัวเองให้เซี่ยม่านเอ๋อร์เป็นของขวัญวันแรกพบ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าสถานะของหลานสาวในตอนนี้ไม่ธรรมดา นางยังเป็นหลานสาวแท้ๆ ของแม่สามีอีกด้วย พวกนางล้วนแล้วแต่มีลูกสาว ต่อไปหากม่านเอ๋อร์ออกมาเยี่ยมเยียนใครจะดูหมิ่นได้ ผูกมิตรกับญาติอย่างไรก็เป็นผลดี


 


 


เซี่ยม่านเอ๋อร์รับของเหล่านั้นด้วยความยินดี “ม่านเอ๋อร์ขอบพระคุณท่านยายและท่านน้าสะใภ้ทั้งสองเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อคนสกุลหลิวออกจากจวนข้าหลวงใหญ่ไปแล้ว ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่ว คนทั่วทั้งเจียงหนานล้วนแล้วแต่รู้ว่าท่านข้าหลวงใหญ่วัยเยาว์ผู้นี้เป็นหลานชายเอกของสกุลเซี่ยที่ถูกโจรดักปล้นฆ่าเมื่อเก้าปีก่อน คุณชายใหญ่สกุลเซี่ยที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาคนนั้น! ตอนที่ท่านผู้นี้เกิดเรื่องทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกสงสารและเสียดายแทนสกุลเซี่ยกันทั้งนั้น


 


 


ตอนแรกพวกเขาเสียดาย แต่ตอนนี้พวกเขากลับอิจฉาสกุลเซี่ยเสียแล้ว ดูคนสกุลเซี่ยซี มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในตระกูลและเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย ได้แต่งงานกับองค์หญิง ทั้งยังได้เป็นขุนนางใหญ่มีศักดินาตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด อย่าว่าแต่เจียงหนานเลย ทั่วทั้งต้ายงก็มีบุคคลเช่นเข้าเพียงผู้เดียว


 


 


แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าตระกูลแม่อย่างสกุลหลิวได้เข้าไปคำนับแล้ว ทว่าสกุลเซี่ยยังไม่ขยับ ยังไม่ไปคำนับที่จวนข้าหลวงใหญ่ ท่านข้าหลวงใหญ่ก็ยังไม่กลับจวนสกุลเซี่ย ดังนั้นทุกคนจึงเกิดข้อกังขาอยู่ในใจ คนที่ฉลาดหน่อยก็นึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ลอบฆ่าเมื่อเก้าปีก่อน ในใจเริ่มรู้สึกยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น


 


 


ตระกูลชั้นสูงและคนในแวดวงขุนนางจะมีคนโง่สักกี่คนกัน เมื่อรวมกับท่าทีแบ่งพรรคแบ่งพวกของท่านข้าหลวงใหญ่ นำเหตุการณ์ต่างๆ มารวมกันก็เริ่มที่จะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมา ดังนั้นข่าวลือจึงเริ่มต้นขึ้น แม้จะไม่ได้ออกมาพูดชัดๆ แต่กลับพูดกันลับๆ ว่าคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยนั้นทั้งฉลาดทั้งเลอะเลือน ทำไมถึงปล่อยให้อนุภรรยาทำร้ายบุตรเอกได้ ทั้งที่เป็นลูกชายที่มีอนาคตสดใสเสียด้วย!


 


 


แม้จะมีหลักฐานแล้วว่าท่านข้าหลวงใหญ่คนใหม่เป็นบุตรชายคนโตสกุลเซี่ย เซี่ยหมิงผู่ แต่แรงต่อต้านก็ไม่ได้น้อยลงเลย เพราะเป็นขุนนางตระกูลสูงทั้งๆ ที่อายุยังน้อยใครเล่าจะยอมเชื่อฟัง โดยเฉพาะพวกขุนนางไม่เอาไหน ต่อหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพียงหมุนตัวก็ไม่เผาผี สร้างความวุ่นวายให้กับเซี่ยหมิงผู่ไม่น้อย


 


 


แต่เซี่ยหมิงผู่เป็นคนที่ใครจะมาล้อเล่นได้หรือ หากไม่มีฝีมือดีพอฮ่องเต้จะให้เขาเป็นถึงข้าหลวงใหญ่แห่งเจียงหนานหรืออย่างไร เขาจะกลายเป็นราชบุตรเขยคนโปรดได้อย่างไร! นอกจากเขาจะเป็นข้าหลวงใหญ่ เขายังเป็นราชบุตรเขย มีทหารองครักษ์ขององค์หญิงอยู่ข้างกาย เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็สะดวก


 


 


สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘หนึ่งผู้มีอำนาจพิฆาตสิบนักรบ’ เมื่อท่าทีของเซี่ยหมิงผู่เริ่มเด็ดขาดมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะขอผัดผ่อนอย่างไรก็ไร้ผล เจ้าทำงานไม่ดี ก็เปลี่ยนเอาคนที่ทำได้เข้ามาแทน เจ้าไม่เชื่อฟัง ก็เปลี่ยนเอาคนที่เชื่อฟังเข้ามาแทน เพราะเขาเป็นขุนนางยศสูงที่สุดในเจียงหนาน ทุกอย่างล้วนต้องเป็นไปตามแต่ที่เขาจะพูด


 


 


ทำไม เจ้าจะหาทางรายงานไปถึงเมืองหลวงหรืออย่างไร สมองของเจ้ามีปัญหาหรือ เจ้าจะไปรายงานกับใคร คนที่อยู่เบื้องหลังของเขาแข็งแกร่งนักหรือ เขาคนนั้น เซี่ยหมิงผู้เป็นถึงเขยรักของฝ่าบาททั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับคนสนิทของฮ่องเต้อย่างผิงอ๋องด้วย เจ้าจะรายงานเรื่องเขาไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรืออย่างไร


 


 


แต่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือน เซี่ยหมิงผู่ก็จัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เจียงหนานจนราบรื่น บัดนี้ขุนนางที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากเห็นฝีมือของเขาแล้วก็ซื่อสัตย์ขึ้นมาและเคารพเขากันทุกครั้ง


 


 


เซี่ยจิ้นอันรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเซี่ยหมิงผู่จะเข้ามาเยี่ยมเยียน ทว่ากลับได้ยินว่าสกุลหลิวได้ผลประโยชน์ไม่น้อย แต่เขากลับได้อยู่วงนอก คนอื่นมองเขาเหมือนเขาเป็นคนโง่ เหล่าสหายเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์กันมานานก็ตบไหล่เขายามที่ดื่มสุราด้วยกัน “พี่จิ้นอัน ท่านนี่มีความสุขอยู่ในมือแต่กลับไม่รู้ ท่านพี่มีลูกที่มีอนาคตไกลขนาดนี้…เฮ้อ พี่จิ้นอันต้องคิดให้มากๆ หน่อยนะ”


 


 


คิดอะไร มีอะไรให้คิดอีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตัวเขายังเป็นพ่อ และเขาเป็นลูก หรือว่าตัวเขาที่เป็นพ่อจะต้องวิงวอนร้องขอเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ออกว่าเขามีอะไรให้เคียดแค้นเพียงนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าปีก่อนก็เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น หรือคิดว่าเขาเป็นคนที่ทำร้ายเขา อย่างไรเสียสกุลเซี่ยก็เลี้ยงเขามาสิบสี่ปี เขาจะทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักญาติพี่น้องเช่นนี้ได้หรือ


 


 


เซี่ยจิ้นอันยิ่งอยู่ยิ่งโกรธ มิหนำซ้ำจ้าวซื่อยังใส่ไฟ ดังเช่น “คุณชายใหญ่ได้เป็นขุนนางแล้วลืมบิดา” ยิ่งทำให้ไฟแค้นของเซี่ยจิ้นอันโหมกระหน่ำขึ้นไปอีก โกรธเสียจนเดินดุ่มๆ ไปจนถึงจวนข้าหลวงใหญ่

 

 

 


ตอนพิเศษ 5-2 เซี่ยหมิงผู่ (ปลาย)

 

เซี่ยเยียนเอ๋อร์กลับวิตก “ท่านแม่ ถ้าท่านพ่อและพี่ใหญ่ทะเลาะกันจะทำอย่างไร” นางสวมเสื้อผ้าสวยงดงาม ประดับเครื่องประดับงดงามเพื่อรอประกาศเรียกตัวเข้าพบองค์หญิงพี่สะใภ้ที่ไม่มาเสียที แต่กลับได้ยินมาว่าน้องสาวที่เกิดจากภรรยาเอกที่ควรจะตายเพราะปล้นฆ่าเมื่อปีนั้นกลับเข้ากันได้ดีกับลูกพี่ลูกน้องหญิงจากสกุลหลิว เด็กสาวสกุลหลิวที่ชื่อหลิวเย่ซึ่งนางดูถูกมาตลอดกำลังจะมีข่าวมงคล ทำเอานางโกรธเสียจนเกือบจะร้องไห้โฮ


 


 


จ้าวซื่อกลับส่งเสียง ฮึ “ถึงจะทะเลาะกันอย่างไรก็เป็นเรื่องของพ่อลูกเขา” จ้าวซื่อยุยงเซี่ยจิ้นอันให้โกรธก็เป็นเพราะจุดประสงค์นี้ ทะเลาะซี ทะเลาะกันเลยก็ดี อย่างไรก็เป็นพ่อลูกกัน เซี่ยหมิงผู่จะจับบิดาส่งเข้าคุกเชียวหรือ


 


 


จ้าวซื่อคิดในแง่ดียิ่งนัก แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าเซี่ยจิ้นอันจะไม่ได้เข้าแม้แต่ประตูใหญ่จวนข้าหลวงใหญ่ องครักษ์ที่หน้าประตูได้รับคำสั่งเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ห้ามให้เข้ามา ทำไมหรือ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นบิดาของท่านข้าหลวงใหญ่ของเราหรือ อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย บิดามารดาของใต้เท้าของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว มีน้องสาวเพียงคนเดียว ไหนเลยจะมีบิดา แอบอ้างเป็นบิดาของท่านข้าหลวงนั้นมีโทษหนัก อย่างนั้นก็เท่ากับเดินไปเข้าคุกมิใช่หรือ


 


 


เซี่ยจิ้นอันพ่ายแพ้กลับมาอย่างรวดเร็ว เท้าข้างหนึ่งเพิ่งจะย่ำกลับมาถึงจวน พ่อบ้านของจวนข้าหลวงใหญ่ก็รายงานอยู่หน้าจวน “ขอให้เจ้าบ้านสกุลเซี่ยให้สัญญาต่อนายท่านเซี่ย แซ่เซี่ยเหมือนกัน ก่อเรื่องขึ้นมาจะไม่งาม”


 


 


สีหน้าของเซี่ยเหยียนฮว๋าหมองคล้ำลง ออกไปส่งพ่อบ้านแห่งจวนข้าหลวงใหญ่อย่างนอบน้อมแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าลูกชายคนโตไปหนึ่งฉาด


 


 


ผิดหวัง เขาผิดหวังจริงๆ ก่อนหน้านี้ลูกชายใหญ่ของเขายังอยู่ดี ทำไมยิ่งอยู่ยิ่งกลายเป็นแบบนี้ไปได้


 


 


ยิ่งชื่อเสียงและฝีมือของเซี่ยหมิงผู่ขจรไปไกล เซี่ยนเหยียนฮว๋าก็ยิ่งจมสู่ความเสียใจอยู่ทุกวัน แม้ว่าตระกูลเซี่ยของพวกเขาจะเป็นตระกูลขุนนาง เมื่ออยู่ในเจียงหนานก็ยังถือว่าไม่เลว แต่เมื่ออยู่ในต้ายง ก็ไม่ได้ถือว่ามีความสำคัญอะไร สกุลเซี่ยของพวกเขาเกือบจะได้เป็นตระกูลใหญ่ของต้ายง หลานชายของเขา หลานชายที่เป็นท่านข้าหลวงใหญ่ของเขา! ตอนนี้ถูกลูกชายที่เลอะเลือนของเขาทำพังหมด ตอนนี้เขายังไม่รู้ตัว หากปล่อยให้เขากระเสือกกระสนก่อเรื่องเช่นนี้ ต่อไปหลานชายของเขาคงหาเรื่องแก้แค้นแน่


 


 


เซี่ยเหยียนฮว๋าเสียใจอย่างสุดซึ้ง!


 


 


เซี่ยจิ้นซง เซี่ยจิ้นเหนียน และเซี่ยจิ้นหรงก็นึกตำหนิพี่ชายใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าหลานชายยิ่งสนับสนุนสกุลหลิว แต่ไม่หาไม่ถามถึงสกุลเซี่ย พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากยิ่งขึ้น ความจริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าปีก่อนไม่ใช่อุบัติเหตุ จะต้องเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้ใหญ่แซ่จ้าวแน่ เป็นเพราะหากสองพี่น้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คือจ้าวซื่อและลูกๆ!


 


 


พี่ใหญ่ไม่เพียงไม่จัดการจ้าวซื่อเพื่อคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวผู่ กลับได้ยินว่าจ้าวซื่อยุยงพี่ใหญ่ให้ไปยังจวนข้าหลวงใหญ่ มันช่าง…มันช่างไม่สมเหตุสมผลเสียเลย!


 


 


สะใภ้รอง สะใภ้สาม สะใภ้สี่ของสกุลเซี่ยก็คงจะไม่พอใจแน่ๆ เสี่ยวผู่เป็นหลานชายคนใหญ่สุด พวกนางล้วนแล้วแต่มีบุตรธิดาทั้งนั้น หากมีอำนาจอยู่ในมือก็คงจะมีประโยชน์มาก! แล้วตอนนี้ล่ะ ทุกอย่างล้วนต้องโทษจ้าวซื่อที่แสนร้ายกาจคนนั้น พวกนางไม่กล้าที่จะกล่าวโทษเซี่ยจิ้นอัน ดังนั้นจึงย้ายความโกรธไปลงที่จ้าวซื่อแทน


 


 


หลังจากที่เซี่ยเหยียนฮว๋าโกรธแล้วก็ช่วยลูกชายคนโตเก็บกวาดเรื่องยุ่งยาก หลายวันมานี้เขาเริ่มจะมองออก หลานชายของเขาเป็นคนดุดัน ไม่มีเรื่องใดที่เขาจะไม่กล้าทำ ไหนเลยจะเอาแต่จ้องมองสกุลเซี่ยโดยไม่ทำอะไรเลย ใช้โอกาสตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ปรามลูกชายคนโต รีบจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นหากเขาต้องตายไป ลูกชายคงทำลายสกุลเซี่ยจนย่อยยับแน่ เช่นนั้นเขาคงตายตาไม่หลับ


 


 


เซี่ยเหยียนฮว๋าส่งจดหมายไปที่จวนข้าหลวงใหญ่ เซี่ยหมิงผู่ถือจดหมายหมิ่นๆ ในมือ แล้วหัวเราะ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านปู่ และปฏิบัติต่อเขาอย่างดี ก็คงต้องไว้หน้าบ้าง


 


 


เซี่ยเหยียนฮว๋านำลูกชายทั้งสี่คนไปยังจวนข้าหลวงใหญ่ ก่อนจะมายังออกคำสั่งให้ลูกชายคนโตเงียบเอาไว้ ไม่อนุญาตให้เขาพูด มิเช่นนั้นจะลงโทษเขาตามกฎของบ้าน เซี่ยจิ้นอันจำต้องพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี


 


 


เซี่ยเหยียนฮว๋ามองสีหน้าเคร่งขรึมของหลานชายคนโต ในใจก็รู้สึกต่างๆ นานา นี่คือหลานชายเขาอย่างชัดเจน เขากลับต้องคุกเข่า นอกจากคุกเข่า เขายังต้องค่อมตัวโค้งให้ สุดท้ายเขาก็สะบัดชายเสื้อแล้วกัดฟัน “เสี่ยวผู่!”


 


 


“ท่านปู่ทำอะไร ไม่มีเหตุผลเลยที่จะให้ผู้อาวุโสคุกเข่าเคารพหลานชาย” เข่าของเซี่ยเหยียนฮว๋ากำลังจะโค้งลงพื้นเซี่ยหมิงผู่ก็ประคองเขาเอาไว้


 


 


เพียงแค่ประโยคธรรมๆ เช่นนี้ เซี่ยเหยียนฮว๋าก็ตาแดง “เสี่ยวผู่ เป็นเพราะปู่ทำตัวไม่ดีกับเจ้า” เป็นเพราะเขาไม่คุ้มครองหลานชายให้ดี


 


 


เซี่ยหมิงผู่กลับพูดเสียงเรียบ “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่านปู่” อย่าว่าแต่ท่านปู่ เขาเองก็ยังถูกสีหน้าที่ฉาบความเป็นคนดีของจ้าวซื่อหลอกลวงเอาด้วยมิใช่หรือ


 


 


เซี่ยเหยียนฮว๋ามองหลานชายคนโต ความรู้สึกอ่อนไหวมากมาย เขาเองก็อดที่จะกังวลขึ้นมาไม่ได้ “เสี่ยวผู่ ปู่รู้ดี พวกเราสกุลเซี่ยติดหนี้พวกเจ้าสองพี่น้อง เจ้าต้องการให้พวกเราทำอย่างไร” คำพูดนี้ช่างออกมาได้น่าอึดอัดใจนัก


 


 


เซี่ยหมิงผู่ทักทายพ่อและอาทั้งสามอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงค่อยพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่พูดถึงเรื่องเมื่อเก้าปีก่อน พวกท่านก็คงทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนแรกข้าขอร้องให้คุณหนูพาข้ากลับมาแก้แค้นที่เจียงหนาน คุณหนูบอกกับข้าเช่นนี้ ท่านปู่ลองฟังดูว่ามีเหตุผลหรือไม่”


 


 


“คุณหนูดุด่าข้าก่อนไปหนึ่งยก ด่าที่ข้าไร้ความสามารถ นางบอกว่าความแค้นของตัวเองก็แก้แค้นเองซี นางบอกว่าข้าไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่หลักฐานอะไรก็ไม่ต้องไปหา ขอเพียงให้ข้าได้ตำแหน่งราชการ มีอำนาจอยู่ในมือ ให้ข้าได้มีตำแหน่งที่สูงกว่าสกุลเซี่ย ข้าไม่ต้องลงมือเองเลย แต่กลับจะมีคนลงโทษผู้ร้ายแทนข้าเอง ท่านปู่ ท่านว่ามีเหตุผลหรือไม่”


 


 


ใบหน้าของเซี่ยหมิงผู่มีรอยยิ้มบางๆ “น่าเสียดายที่ข้ารอมาถึงสองเดือน จ้าวซื่อและลูกๆ ของนางก็ยังคงอยู่ดีที่บ้านสกุลเซี่ย ท่านปู่ ข้านั้นผิดหวังยิ่งนัก!”


 


 


เมื่อสบดวงตาแหลมคมของหลานชายคนโต ใจของเซี่ยเหยียนฮว๋าก็สั่น ใบหน้าฉายแววลำบากใจ ทว่าเซี่ยจิ้นอันกลับขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกี่ยวกับมารดาและน้องชายน้องสาวของเจ้าอย่างไรกัน”


 


 


เซี่ยหมิงผู่ไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงมองเซี่ยเหยียนฮว๋า “ท่านปู่ ท่านลองบอกหน่อยซี อ้อ ใช่แล้ว คุณหนูยังบอกอีกว่า สุดท้ายแล้วการแก้แค้นนั้นไม่จำเป็นต้องทำร้ายศัตรูจนตาย ปล่อยให้นางมีชีวิตรอดเถิด มีชีวิตให้ยาวนาน มีชีวิตแบบที่ค่อยๆ ริบสิ่งของที่เป็นของนางทีละชิ้น ให้นางเห็นคนที่นางรักค่อยๆ ตกลงไปในนรก แต่นางต้องมีชีวิตอยู่ทั้งๆ ที่อยากตาย อย่างนั้นซีจึงจะมีความสุข”


 


 


น้ำเสียงของเซี่ยหมิงผู่ฟังดูอบอุ่น ท่าทีอ่อนน้อม ทว่าเซี่ยเหยียนฮว๋ากลับรู้สึกเย็นวาบ เป็นนานจึงค่อยพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “จ้าวซื่อวางแผนทำร้ายบุตรเอกต้องถูกส่งไปอยู่ในวัดนอกเมือง หมิงฉินถูกปลดออกจากตำแหน่งบุตรเอก ไม่สามารถรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปได้อีก”


 


 


สีหน้าของเซี่นจิ้นอันเปลี่ยนไปในทันที เมื่อกำลังจะวิ่งเต้นก็ถูกน้องชายทั้งสามกดตัวเอาไว้ไม่ให้หนี


 


 


เซี่ยหมิงผู่ปรายตามองพ่อของเขาแวบหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน หันกลับไปพูดกับท่านปู่ว่า “ท่านปู่ช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก” วินาทีต่อมาก็เปลี่ยนเรื่องโดยฉับพลัน “ข้าจำได้ว่าน้องเยียนเอ๋อร์อายุสิบห้าปีแล้ว ได้ยินว่ายังไม่ได้ดำเนินการเรื่องงานหมั้นงานแต่งใช่หรือไม่”


 


 


ใจของเซี่ยเหยียนฮว๋าสั่นเทา แต่จำต้องยอมรับเท่านั้น “ใช่แล้ว เยียนเอ๋อร์จะถึงวัยปักปิ่นในเดือนหน้าแล้ว”


 


 


ได้ยินเซี่ยหมิงผู่เอ่ยขึ้นว่า “ท่านปู่ ข้าจำได้ว่าบุตรเอกของสกุลเหยายังไม่มีงานมงคล สกุลเซี่ยและสกุลเหยาถือว่าเข้ากันได้ดีเสมอมา ท่านปู่คิดว่างานแต่งงานครั้งนี้เป็นอย่างไร” ความหมายของคำพูดของเขาก็คือต้องการจะให้เซี่ยเยียนเอ๋อร์แต่งงานกับบุตรเอกสกุลเหยานั่นเอง


 


 


สีหน้าของเซี่ยเหยียนฮว๋าแลดูแย่มาก เซี่ยหมิงผู่กลับทำเหมือนมองไม่เห็น ใบหน้ายังยิ้มน้อยๆ แล้วรอเงียบๆ


 


 


“เจ้าสัตว์นรก เยียนเอ๋อร์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้านะ!” เซี่ยจิ้นอันหลุดพ้นจากการเกาะกุม จ้องมองเซี่ยหมิงผู่ด้วยสายตาโกรธเคือง ใครจะไม่รู้บ้างว่าบุตรเอกของสกุลเหยาเป็นคนขี้โรค หลังจากคลอดออกมาแล้วก็อยู่แต่ในเรือน เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ มาจนถึงอายุสิบหก ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดจนถึงเมื่อไหร่ หากเยียนเอ๋อร์แต่งออกไป จะต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว อย่างนี้ก็เท่ากับทำลายชีวิตนางทั้งชีวิตหรือ จิตใจของเจ้าลูกชั่วคนนี้ทำไมถึงได้โหดร้ายนัก


 


 


“เก้าปีก่อน ม่านเอ๋อร์ยังอายุแค่ห้าปี และนางยังเป็นธิดาเอกเพียงคนเดียวด้วย” เซี่ยหมิงผู่มองบิดาด้วยสายตาเย็นเยียบ แม้แต่เด็กห้าขวบก็ยังไม่ปล่อย ตอนนี้กลับมาพูดเรื่องเมตตาธรรมกับเขา น่าหัวเราะไปหน่อยหรือเปล่า


 


 


“ดี! การแต่งงานครั้งนี้เหมาะสมนัก! ” เซี่ยเหยียนฮว๋ากัดฟันพูด หากไม่ตอบรับจะให้ทำอย่างไร เยียนเอ๋อร์ก็ต้องตกที่นั่งลำบากกว่านี้แน่


 


 


เซี่ยหมิงผู่ยิ้ม “ขอบพระคุณท่านปู่ที่รอบคอบ รอให้จัดการให้เรียบร้อย หลานจะพาองค์หญิงและน้องสาวกลับสกุลเซี่ยไปไหว้ท่านแม่”


 


 


คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องนัก เมื่ออำนาจอยู่ในมือ ตัวเขาเองก็ไม่ต้องลงมือเลย สกุลเซี่ยก็จัดการเรื่องทุกอย่างตรงหน้าให้เขาเอง เก้าปีก่อน คุณหนูยังเด็กกว่าเขาอยู่เล็กน้อยกลับมองเห็นทุกอย่างทะลุรุโปร่ง ช่างน่าชื่นชมเหลือเกิน!


 


 


แต่ว่า เซี่ยหมิงฉินคล้ายยังทุกข์ไม่พอ ไม่มีสถานะบุตรเอกของตระกูล ไม่มีสถานะเจ้าบ้านคนถัดไปก็พอแล้วหรือ ไม่ ยังไม่พอ ยังไม่พอที่จะทำให้จ้าวซื่ออกแตกตาย


 


 


วันต่อมา สกุลเซี่ยก็ส่งจ้าวซื่อไปยังวัดเพราะความผิดในฐานปองร้ายบุตรเอก สามวันหลังจากนั้น ลูกสาวที่นางทุ่มเททุกอย่างให้อย่างเซี่ยเยียนเอ๋อร์ก็หมั้นหมายกับบุตรชายเอกของสกุลเหยา หลังจากผ่านไปหกวัน เซี่ยหมิงฉินที่จ้าวซื่อทำทุกอย่างให้ก็ตกบันไดจากการทะเลาะเบาะแว้งในหอนางโลม ศีรษะบาดเจ็บ กลายเป็นคนปัญญาอ่อน


 


 


จ้าวซื่อที่อยู่ที่วัด เมื่อได้ยินข่าวของบุตรธิดา ก็กลายเป็นบ้า


 


 


แล้วในตอนนี้ เซี่ยหมิงผู่กลับพาภรรยาและน้องสาวไปไหว้ป้ายวิญญาณของมารดาที่แท้จริงในโถงบรรพบุรุษสกุลเซี่ย 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)