หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 508-513
บทที่ 508 ธุรกิจรุ่งเรือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ตั้งขึ้นเพื่อให้คนกลุ่มใหญ่สามารถส่งข้อความหากันได้ทันที มีลักษณะการใช้งานเหมือนห้องสนทนากลุ่ม พันธุ์กล้าสหพันธรัฐสามารถส่งข้อความธรรมดาและข้อความเสียงติดต่อกันได้
ตอนนี้ พันธุ์กล้าคนอื่นๆ ที่กระจายตัวอยู่ตามเกาะต่างๆ กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานในห้องสนทนากลุ่ม พวกเขาต้องจากบ้านมาอยู่ต่างถิ่น รายล้อมไปด้วยคนแปลกหน้า หลายคนสัมผัสได้ว่าผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ต้อนรับพวกตน ทำให้เหล่าพันธุ์กล้าสมานสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น
นอกจากจะถูกสถานการณ์บีบบังคับให้คอยร่วมมือกันแล้ว แม้กระบี่สำริดเขียวโบราณจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกตน ทว่าที่แห่งนี้ก็ยังมีอันตรายมากมายซุกซ่อนอยู่ในจุดที่ไม่อาจทราบได้ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา พันธุ์กล้าหลายคนได้เผชิญกับอันตรายหลากหลายระดับ บางส่วนมาจากภารกิจ บางส่วนก็มาจากผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาล
ห้องสนทนากลุ่มนี้จึงเป็นช่องทางสำคัญให้ทุกคนได้ติดต่อสื่อสารกัน พวกเขาสามารถร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเจอภัยอันตรายได้ แต่ในตอนนี้ เหล่าพันธุ์กล้ากำลังสนทนาเรื่องแต้มการรบกันอยู่
ข้อความของหลี่อี้ทำให้หลายคนประหลาดใจ แต้มการรบที่นางได้มาถือว่ามากโข นางหามาได้ถึงหกร้อยแต้ม หลายคนมองว่าเป็นเรื่องเกินจริง เพราะภารกิจของสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นยากและท้าทายมากแต่แต้มที่ได้กลับน้อยจนน่าเศร้า
พันธุ์กล้าหลายคนเริ่มเอ่ยถามอย่างสุภาพ หวังเป่าเล่อแอบแค่นเสียงทางจมูก รู้สึกขมขื่นกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ยังฟังบทสนทนาต่อ เขาอยากรู้ว่าหลี่อี้หาแต้มการรบมาได้อย่างไร
หลี่อี้ต้องการให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้วจึงรู้สึกพึงพอใจในตนเองเป็นอย่างมาก นางเอ่ยขึ้นในห้องสนทนากลุ่มอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เหล่าสหายเต๋า ข้าอยากให้พวกเจ้าจำไว้หนึ่งอย่าง…ระดับการฝึกตนจำเป็นอย่างมากในการหาแต้มการรบ แต่การใช้สมองนั้นสำคัญยิ่งกว่า ข้าสงสัยจริงว่าสหายเต๋าหวังเป่าเล่อที่มีระดับการฝึกตนสูงสุดในหมู่พวกเรารวบรวมแต้มการรบไปได้เท่าใดแล้ว”
ทุกคนเงียบไปเมื่อได้ยินหลี่อี้เอ่ยถึงหวังเป่าเล่อ ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่ง คนที่รู้เรื่องบนดาวอังคารจะรู้ดีว่าทั้งสองนั้นไม่ถูกกัน ความบาดหมางนี้เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่การแย่งชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี จากนั้นก็ลุกลามไปจนกระทั่งหลี่อี้ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงและโดนขับไล่ออกจากดาวอังคาร ความเกลียดชังฝังรากลึกในใจคนทั้งสอง ไร้วี่แววจะยุติได้ในเร็วๆ นี้
นอกจากนั้น สถานะของหลี่อี้ไม่คืบหน้าไปไหนหลังจากโดนเตะออกจากดาวอังคาร ส่วนหวังเป่าเล่อได้รับแต่งตั้งเลื่อนขั้นขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วจนตอนนี้เป็นขุนนางระดับสองชั้นรองแล้ว หากตอนนี้ทั้งสองอยู่ในสหพันธรัฐ หลี่อี้คงไม่กล้าพูดขึ้นมาเช่นนี้ต่อให้ในใจจะก่นด่าสาปแช่งอีกฝ่ายหนักหนาเพียงใดก็ตาม เนื่องจากระดับการฝึกตนและยศถาบรรดาศักดิ์ของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันมากโข
แต่ตำแหน่งต่างๆ ในสหพันธรัฐไม่มีผลในสำนักวังเต๋าไพศาล ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สำคัญ หลี่อี้ได้รวบรวมกลุ่มคนที่ต้องการยืนหยัดต่อต้านหวังเป่าเล่อขึ้น ทำให้นางกล้าเย้ยหวังเป่าเล่อซึ่งๆ หน้าในห้องสนทนากลุ่ม
หวังเป่าเล่อเหลือบตามอง ใจหนึ่งก็อยากจะตอบโต้ไป แต่พอเห็นแต้มการรบที่ตนหามาได้ ประกอบกับนึกขึ้นได้ถึงหนี้สินที่ยังติดค้างอยู่ ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ก่อนจะถอนหายใจและปิดห้องสนทนากลุ่มไป
ไม่ จะยอมให้หลี่อี้ที่หน้าอกใหญ่แต่สมองน้อยมาเย้ยหยันข้าไม่ได้! หวังเป่าเล่อทุกข์ใจ เริ่มครุ่นคิด ผ่านไปสักพัก เขาก็เดินไปยังแผ่นหินรับภารกิจและจ้องมองอย่างละเอียด เขาเริ่มจำภารกิจส่วนใหญ่บนแผ่นหินด้วยความจำอันยอดเยี่ยมที่ได้มาจากการจำตัวอักขระ จากนั้นก็เริ่มวิเคราะห์
การกระทำเช่นนี้ใช้ความพยายามอย่างมาก ทว่าคำพูดของหลี่อี้ทำให้เขาเดือดขึ้นมาจึงลงมือทำไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก สองวันผ่านไป เส้นเลือดสีแดงผุดขึ้นเต็มดวงตาของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมลมหายใจที่ถี่เร็วขึ้นเล็กน้อย
ภารกิจส่วนใหญ่ที่ให้แต้มการรบสูงมีเพียงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่สามารถรับได้ ซึ่งมีจำนวนมากที่ทำคนเดียวไม่ได้…ต้องตั้งกลุ่มออกไปปฏิบัติภารกิจ
ทว่าถึงภารกิจเหล่านี้จะได้แต้มการรบมาก แต่จำนวนภารกิจก็มีน้อยมากเมื่อเทียบกับภารกิจของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น… หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็ก จากการวิเคราะห์จัดหมวดหมู่ทำให้เขาทราบว่ามีภารกิจถึงร้อยละเจ็ดสิบที่เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่แต้มการรบที่ได้นั้นก็ถือว่าน้อยมาก
ข้าควรจะเล็งกลุ่มผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น…ในเมื่อตอนนี้ข้ามีทรัพยากรจำกัด คงต้องหาช่องทางอื่นในการหาแต้มการรบ…ไม่ได้มีกฎว่าต้องหาแต้มการรบจากภารกิจเพียงอย่างเดียวสักหน่อย… นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงผิดแปลกออกไป แผนการเริ่มเด่นชัดขึ้นในหัว เขาวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่นานดวงตาก็ฉายแววมุ่งมั่น ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น พลันเรือวิญญาณที่สามารถลุยทะเลเพลิงได้ก็มาปรากฏตรงหน้า
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองศึกษาเรือวิญญาณอย่างละเอียด เขาหลอมเรือวิญญาณขึ้นมาเองกับมือ จึงรู้ว่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นสามารถขึ้นขับได้ หมายความว่านอกจากตนจะใช้เรือลำนี้ลุยทะเลเพลิงได้แล้ว ยังสามารถให้คนอื่นยืมไปใช้ได้ด้วย!
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในสามารถดำทะเลเพลิงได้อยู่แล้ว สมบัติเวทชิ้นนี้จึงไม่มีประโยชน์กับพวกเขานัก ไม่เหมือนผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นไม่สามารถลงไปในทะเลเพลิงได้ ทำให้รับได้แค่ภารกิจบนพื้นดินเท่านั้น อีกทั้งยังต้องแข่งกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ด้วย แต่รางวัลที่ได้รับมานั้นกลับน้อยเสียจนน่าใจหาย
ทว่า…ถ้าพวกเขาสามารถลงทะเลเพลิงได้ ก็จะสามารถทำภารกิจได้มากขึ้น อย่างภารกิจล่าหนูเพลิงวิญญาณ…ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในก็สามารถทำได้เช่นกัน ที่พวกเขาไม่ทำกันเป็นเพราะไม่สามารถลงไปในทะเลเพลิงได้นั่นเอง
จวบจนปัจจุบัน มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่สามารถลงทะเลเพลิงได้ ทำให้ภารกิจในทะเลเพลิงทั้งหมดอยู่ในกำมือของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้อย่างหนัก รู้สึกว่าตนควรจะยุติธรรมกับคนอื่นให้มากกว่านี้ เขาควรจะสร้างเรือวิญญาณเพิ่ม จากนั้นก็…ให้ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นในสำนักวังเต๋าไพศาลเช่า!
หวังเป่าเล่อคิดว่าไม่ควรตั้งราคาแพงเกินไป สักสองชั่วโมงต่อหนึ่งแต้มก็น่าจะพอ จากประสบการณ์ในทะเลเพลิงและความสามารถของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่ตนประเมินนั้น ชายหนุ่มคิดว่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นน่าจะอยู่ในทะเลเพลิงได้สูงสุดสองชั่วโมงด้วยเรือวิญญาณ
หากใช้ศิลาวิญญาณ ก็อาจช่วยเพิ่มระยะเวลาให้อยู่ใต้ทะเลได้มากขึ้น หวังเป่าเล่อคำนวณแล้วว่าธุรกิจนี้จะสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำให้ตนเอง
พวกเขาต้องเซ็นสัญญา หากทำเรือวิญญาณเสียหายต้องชดเชยตามนั้น! ชายหนุ่มตื่นเต้นเมื่อคิดดังนั้น ตอนนี้เขาถังแตก มีเรือวิญญาณแค่ลำเดียว ถ้าอยากได้ค่าเช่าเพิ่ม ยิ่งมีเรือหลายลำยิ่งดี
สงสัยต้องเอาอาวุธเวทไปจำนำเพิ่มอีก หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงติดต่อไปหาผู้ฝึกตนอ้วนจากสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที ชายอ้วนดีใจใหญ่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายอยากนำอาวุธเวทมาจำนำเพิ่ม เขาใช้อาวุธเวทของหวังเป่าเล่อมาสักพักและพบว่าคุณภาพค่อนข้างดีเลยทีเดียวจึงตอบตกลงทันทีที่อีกฝ่ายเสนอ แต่ชายอ้วนก็รับอาวุธเวทจำนวนมากไม่ได้ จึงติดต่อไปหาคนอื่นๆ หวังเป่าเล่อจำนำอาวุธเวทสองชิ้น ได้แต้มการรบเพียงพอที่จะสร้างเรือวิญญาณสองลำ
ความพยายามของเขาส่งผล ไม่นานก็หลอมเรือวิญญาณได้เพิ่ม หลังจากนั้นก็ใช้สถานะผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในลงประกาศไว้บนแผ่นหินรับภารกิจ
“เรือศักดิ์สิทธิ์ลงทะเลเพลิงได้ให้เช่า!”
“จะระดับการฝึกตนใดก็ท่องลึกลงไปในทะเลเพลิงได้ด้วยเรือลำนี้ ไม่ได้ขาย แต่ให้เช่า ใช้แต้มการรบไม่กี่แต้มก็เช่าลงทะเลได้สองชั่วโมง มีจำนวนจำกัด รีบติดต่อทันทีถ้าอยากใช้บริการ!”
หลังจากลงประกาศไป ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ายังโฆษณาไม่พอ จึงรีบติดต่อโจวเปี่ยวและผู้ฝึกตนบนเกาะเพลิงเขียวคนอื่นๆ พวกเขาต่างเคารพยำเกรงหวังเป่าเล่อ พอได้ฟังคำสั่ง เหล่าผู้ฝึกตนก็ออกจากเกาะ มุ่งหน้าไปยังเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็เป่าวประกาศโฆษณาธุรกิจเรือลุยทะเลเพลิงของหวังเป่าเล่อ
เตรียมการพร้อมทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอว่าจะได้เสียงตอบรับมาว่าอย่างไร วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง เรือวิญญาณมีสามลำ ข้าได้แต้มการรบเต็มที่สามแต้มทุกๆ สองชั่วโมง ในวันหนึ่งข้าจะหาแต้มการรบได้สูงสุดสามสิบหกแต้ม เดือนหนึ่งได้มากกว่าพันแต้ม ข้าจะได้เงินทุนคืนมาในสามเดือน!
เสียดายที่มีทุนไม่พอ ไม่อย่างนั้นคงจะหาแต้มได้เยอะกว่านี้! หวังเป่าเล่อสุขใจกับตัวเลขที่คำนวณได้ เขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตาคอยอย่างตื่นเต้นปนกังวล
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ค่อยได้เห็นประกาศเหมือนที่เขาเพิ่งลงไป ทำให้ทันทีที่ลงประกาศให้เช่าเรือ ก็มีคนมากมายให้ความสนใจ…
บทที่ 509 ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้!
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนที่เห็นประกาศส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในไม่กี่คนที่ได้อ่านประกาศ ทว่าแทบทุกคนมีท่าทีไม่พอใจเมื่อได้เห็นชื่อคนลงประกาศ
“แผนสร้างชื่อเสียง!”
“มนุษย์ชั้นต่ำจากอารยธรรมด้อยพัฒนาไม่สามารถหาแต้มการรบได้ด้วยตนเองเลยต้องทำเช่นนี้ น่าขันสิ้นดี!”
“เราไม่เห็นจะรู้จักวัตถุเวทที่ช่วยให้ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นลงทะเลเพลิงได้เลยสักนิด เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำนี่กล้าโพนทะนาไปทั่ว ถึงจะมีกลยุทธ์อะไรซ่อนอยู่ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เรือศักดิ์สิทธิ์นี่จะพาผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นไปตายในทะเลเพลิง!”
ความเห็นมากมายคล้ายๆ กันเคล้าเสียงหัวเราะเยาะเย้ยผุดขึ้นหลังจากหวังเป่าเล่อลงประกาศไป แม้แต่พวกโจวเปี่ยวยังแอบยิ้มเย้ยหยันเพราะไม่เชื่อว่าเรือของหวังเป่าเล่อจะสามารถใช้การได้จริง พวกเขาถูกบังคับให้ออกจากเกาะเพลิงเขียวมาที่นี่ ถ้ามีเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนคงจะอยากช่วยชายหนุ่มมากกว่านี้ แต่ตอนนี้พวกเขาได้แต่รีบก้มหัวงุดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากรอบกาย ทำให้ต้องล้มเลิกเรื่องโฆษณาให้เช่าเรือไป
เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครเข้ามาถามไถ่เกี่ยวกับประกาศของหวังเป่าเล่อ พวกโจวเปี่ยวไม่กล้ากลับเกาะเพลิงเขียว ได้แต่จำใจอยู่เกาะหลักต่อไป คิดว่าจะรอสักพักให้หวังเป่าเล่อล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อนแล้วค่อยกลับ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อเริ่มฝึกวิชาขณะรอโดยมุ่งเน้นที่กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ด้วยระดับการฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นทำให้ชายหนุ่มฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นแรกไปได้อย่างราบรื่น
อย่างไรเสีย จากแก่นในสามแก่นที่เขามี หนึ่งในนั้นเป็นแก่นในอัสนี ชายหนุ่มจึงมีพลังอัสนีอันแกร่งกล้าอยู่แล้ว ส่งผลให้ฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็สำเร็จวิชาขั้นแรกของกระบวนเวทได้
เมื่อเขานั่งลงขัดสมาธิ เส้นสายฟ้ามากมายก็พลันปรากฏรอบตัว ภายในกายมีสายฟ้าขนาดเล็กหลายสายแล่นไปมา ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะมีสายฟ้าไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา
แก่นในอัสนีช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายและปราณวิญญาณในร่างด้วย กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงช่วยให้พลังปราณในร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น เป็นเหมือนการรวบรวมพลังที่กระจัดกระจายให้กลายเป็นแก่นเหนียวแน่น
ทำให้แม้ว่าชายหนุ่มจะมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น แต่ความสามารถในการสู้รบของเขากลับเหนือชั้นไปกว่านั้นมาก หวังเป่าเล่อไม่ได้ละเลยการฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืด การฝึกวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณเป็นไปได้อย่างเชื่องช้าเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและไม่มีเป้าหมายให้ซ้อมมือ แต่ด้วยความรู้ด้านศาสตร์มืดที่ได้ศึกษามาในมิติมืดทำให้การฝึกวิชาเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง
หวังเป่าเล่อแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เขาอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้เห็นว่าตนเองเก่งขึ้นเรื่อยๆ
ด้านเหลียงหลงนั้น ในที่สุดก็เป็นอิสระจากตาข่ายผลึกแก้วที่สิ้นอิทธิ์ฤทธิ์ แม้ในใจจะคุกรุ่นไปด้วยเพลิงแค้น แต่ก็ได้เรียนรู้บทเรียนแล้วจึงเลือกที่จะเก็บความปรารถนาอยากแก้แค้นไว้ภายใน วิธีการต่างๆ ของหวังเป่าเล่อทำให้เขาตระหนักว่าตนกำลังต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามอยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ ชายหนุ่มเข้าไปพักในถ้ำที่พักบนยอดเขารอง จากนั้นก็เริ่มฝึกวิชาไปพร้อมกับวางแผนแก้แค้น
เวลาล่วงเลยผ่านไป หวังเป่าเล่อไม่ได้มีคู่แข่งโดยตรงในสำนักวังเต๋าไพศาลทำให้ชีวิตเป็นไปอย่างสงบสุข มีเพียงความบาดหมางระหว่างฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อและฝ่ายเฟิ่งชิวหรันเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเริ่มคุ้นเคยกับสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้น แม้จะมีผู้ฝึกตนหลายคนที่ยังดูถูกสหพันธรัฐและเหล่าพันธุ์กล้าอยู่ พวกเขาก็หาวิธีสานสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลได้ ทุกคนเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของตนเองได้ในที่สุด
ภารกิจถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นกัน มีการรับส่งภารกิจมากมายในทุกๆ วัน เหล่าพันธุ์กล้าเองก็ไม่ต่าง หลังจากลงหลักปักฐานในสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาก็มุ่งทำภารกิจเช่นกัน ด้วยแต้มการรบของหลี่อี้ที่นำหน้าผู้อื่น ห้องสนทนากลุ่มจึงเริ่มเต็มไปด้วยบรรยากาศการแข่งขัน กลายเป็นพื้นที่ให้คนมาโอ้อวดว่าตนหาแต้มการรบมาได้เท่าใดแล้ว…
เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเห็นประกาศของหวังเป่าเล่อ ทว่าพวกเขาต่างลังเลใจ หากผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นลงทะเลเพลิงไปจะต้องตายเป็นแน่ ถ้าเรือของหวังเป่าเล่อมีข้อบกพร่องและเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างอยู่ใต้ทะเล พวกเขาคงไม่สามารถจัดการกับหายนะที่ตามมาได้
เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่ออารมณ์ดีได้ไม่นาน เมื่อวันคืนผ่านไปและพบว่าไม่มีใครมาเช่าเรือเลย เขาก็เริ่มเป็นกังวล
แต่นึกกังวลไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา หวังเป่าเล่อสืบหาเหตุผลและพบว่าตนยังไม่น่าเชื่อถือพอทำให้ไม่มีใครมาเช่าเรือ เขาคิดจะข่มขู่ให้พวกโจวเปี่ยวลงทะเลไปเป็นตัวอย่าง แต่จั่วอี้ฟานก็โผล่มายืมเรือวิญญาณเสียก่อน
จั่วอี้ฟานไม่ได้มาคนเดียว เขาเหมือนจะตกลงกับกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงมาก่อน พวกเขารับภารกิจพร้อมกันและใช้แต้มการรบอันน้อยนิดที่มีขอเช่าเรือวิญญาณ
ชายหนุ่มซึ้งใจมากกับการกระทำของพวกเขาจึงให้ยืมเรือวิญญาณไปฟรีๆ เพื่อนทั้งสามขับเรือลงทะเลเพลิงไปด้วยความเชื่อใจในตัวหวังเป่าเล่อ!
นี่เป็นครั้งแรกในหลายปีที่มีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นลงไปในทะเลเพลิง แม้ไม่มีใครโพนทะนาเรื่องนี้ แต่ก็ดึงความสนใจจากใครได้หลายคน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนหนึ่งตามไปดูการเคลื่อนไหวของทั้งสามอย่างลับๆ ส่วนหวังเป่าเล่อก็เลิกฝึกวิชาและลงทะเลเพลิงไปด้วยเพื่อคอยคุ้มกันไม่ให้มีอันตรายใดเกิดขึ้น
การลงทะเลเพลิงครั้งแรกไม่ได้อะไรกลับมาสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ ขับเรือบินลงทะเลเพลิงไปเกือบทุกวัน มีหลายคนเห็นและสนใจมากขึ้น เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นสนทนาในกลุ่มผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาล
ในที่สุด ทั้งสามก็จับหนูเพลิงนรกได้หนึ่งตัวจากการร่วมแรงกัน หลายคนในสำนักวังเต๋าไพศาลตื่นตะลึงไปเมื่อได้ทราบข่าว ตามมาด้วยผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนหนึ่งมาขอเช่าเรือวิญญาณ
ผู้ฝึกตนคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่น เขาอยากได้เคล็ดวิชาแต่มีแต้มการรบไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจลองเสี่ยงเช่าเรือวิญญาณของหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าลงทะเลเพลิงไป
เมื่อลูกค้ารายแรกลงทะเลเพลิงไปได้โดยสวัสดิภาพ ลูกค้ารายที่สอง รายที่สามก็ตามมา…พวกจั่วอี้ฟานล้มเลิกเรื่องลงทะเล กลยุทธ์หาแต้มการรบของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงทะเลเลย ทั้งสามทำไปก็เพื่อช่วยหวังเป่าเล่อ
อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ ถือเป็นคนนอกในที่แห่งนี้ แม้บนดินจะปลอดภัย แต่พอลงทะเลไปก็ไม่แน่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น จะเลี่ยงไม่มีปัญหากับคนอื่นก็ทำไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยระดับการฝึกตนและสถานะในปัจจุบัน พวกเขาก็อาจจะเจอภัยอันตรายใหญ่หลวงก็เป็นได้
นอกจากนี้ การร่วมมือกันของทั้งสามก็ได้ผลประโยชน์กลับมาค่อนข้างดี แต่ละคนได้แต้มการรบไปประมาณสามสิบถึงห้าสิบแต้ม ถือว่ามากพอสมควรสำหรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ
การถอนตัวไปของทั้งสามไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่าเรือ ชื่อเสียงของธุรกิจเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ หลังจากมีผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลทยอยเข้ามาเช่าเรือวิญญาณ คนที่เคยลังเลก็เข้ามาลองใช้ พวกโจวเปี่ยวเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากพูดคุยกัน พวกเขาก็กัดฟันแน่นและเริ่มโฆษณาธุรกิจอย่างจริงจัง
หวังเป่าเล่อไปพบผู้ฝึกตนอ้วน หลังจากเจรจาให้ผลตอบแทนงามๆ ไป ผู้ฝึกตนอ้วนก็โฆษณาเรือวิญญาณให้ด้วยเช่นกัน ด้วยการร่วมมือกันจากหลายฝ่าย อุปสงค์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจจึงรุ่งเรืองขึ้นมาทันใด สองสัปดาห์ต่อมา จำนวนคนที่มารอเช่าเรือวิญญาณบนเกาะเพลิงเขียวก็เพิ่มมากขึ้น เรือแค่สามลำจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าอีกต่อไป
แต้มการรบสามสิบหกแต้มไหลเข้าบัญชีทุกวัน ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นตั้งหน้าลงทะเลเพลิงและหาแต้มการรบจากการทำภารกิจได้มากมาย ธุรกิจเช่าเรือเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น หลายคนยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการ หวังเป่าเล่อคิดสักพักก็ปฏิเสธไปหมด ผู้ฝึกตนอ้วนที่เขาเคยนำอาวุธเวทไปจำนำเห็นธุรกิจเป็นไปได้ดี ก็มาพบหวังเป่าเล่อและเสนอว่าจะให้แต้มการรบสองพันแต้มเป็นการลงทุนแลกกับส่วนแบ่งกำไรสองในสิบ
หลังจากต่อรองกันสักพัก เขาก็เพิ่มส่วนลงทุนไปเป็นสองพันห้าร้อยแต้มแลกกับส่วนแบ่งกำไรร้อยละสิบห้า พวกเขาจึงได้ข้อสรุป แต้มการรบกว่าสองพันแต้มโอนเข้าบัญชีของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มนำแต้มการรบไปลงทุนหลอมเรือวิญญาณเพิ่มด้วยความตื่นเต้น เขาลงทุนทุกอย่างที่มีและขยายกิจการเพิ่มเรือวิญญาณไปเป็นสิบลำ!
เรือสิบลำตอบความต้องการของตลาดได้ในที่สุด เขามีรายได้เพิ่มถึงสี่เท่า ทำแต้มการรบได้สูงถึงร้อยยี่สิบแต้มต่อวัน!
แต้มการรบที่เหลือจากแบ่งไปให้ผู้ฝึกตนอ้วนร้อยละสิบห้านั้นมากพอจะทำให้หวังเป่าเล่อสุขใจ แต้มการรบกว่าร้อยแต้มไหลเข้าบัญชีทุกวัน ไม่นานชายหนุ่มก็สร้างชื่อเสียงให้ตนเองในสำนักวังเต๋าไพศาลได้
หลี่อี้หยุดพูดคุยในห้องสนทนากลุ่ม และไม่ได้โอ้อวดแต้มการรบของตัวเองอีกต่อไป ธุรกิจเช่าเรือของหวังเป่าเล่อดำเนินไปได้สองสัปดาห์ จากนั้นในวันหนึ่ง…ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังฝึกวิชาอย่างสุขใจ ก็มีใครบางคนมารอพบเขาอยู่หน้าถ้ำที่พัก!
ใครคนนั้นทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจจนขนหัวลุก!
“เจ้า…ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ เจ้าเป็นคนหรือเป็นผีกัน”
บทที่ 510 เซี่ยไห่หยาง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้มาเยือนคือชายหนุ่มผมสั้นสูงตามค่าเฉลี่ย สวมเสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล ดูสดใสร่าเริง ดวงตาเล็กของเขาเป็นประกาย ดูเหมือนจะคิดคำนวณอยู่ตลอดเวลา
ผมสั้นลงเจลสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ มองดูไกลๆ เห็นเหมือนเป็นโคมไฟ และมันก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแม้แต่น้อย
เขายืนอยู่ด้านนอกถ้ำที่พัก กำลังฉีกยิ้มกว้าง จ้องมองหวังเป่าเล่อที่ตื่นตกใจอยู่ ผู้มาเยือนกระแอมกระไอขึ้น ยกมือลูบผม ก่อนจะยกมือคารวะเจ้าของถ้ำที่พัก
“ศิษย์พี่หวังเป่าเล่อ ไม่ได้เจอกันเสียนาน”
ทรงผมเป็นเอกลักษณ์และแววตาพ่อค้าบ่งบอกแน่ชัดว่าอีกฝ่ายคือ…คนที่หวังเป่าเล่อร่วมงานด้วยมาหลายต่อหลายครั้งในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เซี่ยไห่หยาง!
หวังเป่าเล่อสมองตื้อไปหมด เริ่มหลอนไปว่าตนไม่ได้อยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลแต่เป็นสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
เขานึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่กลับไปเยือนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เฉินอวี่ถงบอกมาว่าเซี่ยไห่หยางได้หายตัวไป แม้จะใช้เส้นสายทั้งหมดในสำนักที่มีช่วยค้นหาก็ไม่พบ หวังเป่าเล่อไม่คาดคิดเลยว่า…จะได้มาพบเซี่ยไห่หยางที่นี่!
เซี่ยไห่หยางยังมีรูปลักษณ์เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนแม้จะผ่านมานานหลายปี ภายใต้รอยยิ้มนั้นแฝงคราบนักธุรกิจไว้เช่นเคย ดวงตาของเขาเป็นประกาย ราวกับว่าได้ค้นพบข้อตกลงทางการค้าครั้งใหม่
ผ่านไปสักพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็คลายจากอาการตื่นตกใจ ชายหนุ่มมองเซี่ยไห่หยางอย่างระแวดระวังและพบว่าอีกฝ่ายมีระดับการฝึกตนเท่าเดิม ยังหยุดอยู่ที่ระดับการฝึกตนโบราณชั้นปลาย ชายหนุ่มส่ายศีรษะและยิ้มหยัน เซี่ยไห่หยางนั้นเป็นคนลึกลับยิ่งนัก มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะแอบลักลอบออกจากสำนักวังเต๋าไพศาลและเข้าไปแฝงตัวในสหพันธรัฐ
หวังเป่าเล่อทำได้แค่เดา แต่ก็อดถามออกไปไม่ได้
“เจ้า…ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอ ยกมือแตะผมมันเงาของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เรื่องนั้นเป็นความลับ…คือ ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างไรดี แต่จงจำไว้เถิด ศิษย์พี่เป่าเล่อ เหมือนที่ข้าเคยพูดในอดีต…หากที่ใดมีโอกาสทำธุรกิจ เซี่ยไห่หยางผู้นี้ก็จะไปที่นั่น! ในเมื่อศิษย์พี่เป่าเล่อดูมีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ ข้าก็ต้องคอยจับตาดูเป็นเรื่องธรรมดา”
หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก แม้ว่าจะพยายามเก็บงำความตื่นตกใจเอาไว้ แต่ก็ห้ามความรู้สึกไม่ให้แสดงออกผ่านทางสีหน้าไม่ได้ เซี่ยไห่หยางช่างเต็มไปด้วยปริศนา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวชายหนุ่ม…
หรือว่าเซี่ยไห่หยางจะเป็นคนสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างที่เขาคิด
หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็ก ไม่ได้พูดอะไรออกไป เซี่ยไห่หยางเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัวอีกฝ่าย เขาถอนหายใจ ยกกำปั้นขึ้นกุม ก่อนจะโค้งให้อีกครั้ง
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าไม่ต้องคิดอะไรมาก เซี่ยไห่หยางผู้นี้เป็นนักธุรกิจ เจ้าก็รู้ว่านักธุรกิจนั้นเป็นเช่นไร เราทำธุรกิจด้วยกันมาหลายครั้งแล้ว จงเชื่อใจในตัวข้า”
“ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อเยี่ยมเยือนศิษย์พี่เป่าเล่อและมาเพื่อทำธุรกิจกับเจ้าด้วย” เซี่ยไห่หยางผุดยิ้มบาง รอยยิ้มและตาหรี่เล็กของเขาไม่สามารถซ่อนคราบความเป็นนักธุรกิจเอาไว้ได้
“ธุรกิจอะไรหรือ” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เลิกคิดอะไรมากมาย เขารู้ดีว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะเค้นเอาคำตอบออกมาได้ ชายหนุ่มรู้จักเซี่ยไห่หยางมาหลายปี อีกฝ่ายนั้นทำตัวตามสูตรนักธุรกิจตลอด เขาจ้องมองเซี่ยไห่หยาง
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางผู้นี้มีลู่ทางในสำนักวังเต๋าไพศาล เหมือนที่ข้าเคยบอกเจ้า ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดหรือศิษย์สามัญ ไม่มีอะไรที่เซี่ยไห่หยางผู้นี้ไม่รู้ ไม่มีอะไรที่เซี่ยไห่หยางผู้นี้ทำไม่ได้!”
“ที่ข้าพูดเมื่อครู่ก็รวมถึงในสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยเช่นกัน ต่อให้สิ่งที่เจ้าตามหาจะเป็นกางเกงชั้นในของผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน ขอแค่ให้ราคาเหมาะ เซี่ยไห่หยางผู้นี้ก็จะจัดหามาให้เจ้า!” เซี่ยไห่หยางยกมือขึ้นลูบผมมันเงาไปด้วยขณะพูดด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ เห็นได้ชัดเจนว่าเขามั่นใจในตัวเองมากเพียงใด
หวังเป่าเล่อปวดหัวขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาแอบถามตนเองในใจว่าจะเอากางเกงชั้นในของเฟิ่งชิวหรันไปทำอะไร…พลันภาพเฟิ่งชิวหรันก็ปรากฏขึ้นในหัว ชายหนุ่มขนลุกเกรียว จึงโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า!”
เซี่ยไห่หยางผุดยิ้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่าเช่นนั้น เขาหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเอียงหัวพูดกับหวังเป่าเล่อ
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ธุรกิจให้เช่าเรือของเจ้า…ดูจากความนิยมในปัจจุบันและความรู้เรื่องสำนักวังเต๋าไพศาลของข้าแล้ว ธุรกิจของเจ้าน่าจะเฟื่องฟูไปได้อีกหนึ่งเดือน แม้เจ้าอ้วนอวิ๋นเพียวจื่อจะหนุนหลังเจ้า แต่เจ้าก็ไม่น่าอยู่รอดถึงสามเดือนก่อนที่ทางสำนักจะเข้ามายึดกิจการไป!”
“ทางสำนักจะใช้กำลังขู่เข็ญ ทำให้เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขายไป เป็นเหตุให้…เจ้าต้องรีบสร้างรายได้ให้ได้มากและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!” เซี่ยไห่หยางกระซิบ เขาประเมินธุรกิจของหวังเป่าเล่อจากความรู้ที่มี
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้แล้วว่าธุรกิจของตนไม่น่าจะยั่งยืน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนอย่างที่เซี่ยไห่หยางพูด
“ว่าต่อ” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เพราะเหตุนี้เจ้าจึงต้องรีบใช้ธุรกิจของตัวเองหาแต้มการรบให้ได้มากที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุด นี่เป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะไม่สูญเสียอะไรไป…แต่จะทำเช่นนั้น เจ้าต้องหลอมเรือวิญญาณให้ได้มากและเร็วที่สุด!” ดวงตาของเซี่ยไห่หยางฉายแสงผิดแปลกไป เขาหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อยขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อ
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เชื่อข้า…ถ้าเจ้าเชื่อใจให้ข้าร่วมลงทุน กระบวนการหลอมเรือวิญญาณก็จะรวดเร็วขึ้น เจ้าจะหลอมเรือวิญญาณได้มากมายเลยเชียว!”
หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ได้ฟัง เพราะเซี่ยไห่หยางเพิ่งจะเผยแค่เพียงเสี้ยวหนึ่งให้ได้รู้ ไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องส่วนแบ่งเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มหรี่ตาเล็ก สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่
เซี่ยไห่หยางเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ทราบสถานการณ์แทบจะในทันที เขายกยิ้ม แอบคิดในใจว่าตนชอบทำธุรกิจกับคนฉลาดเป็นที่สุด หวังเป่าเล่อไม่ได้แค่เพียงฉลาด แต่ยังมีโอกาสจะเป็นลูกค้ารายยักษ์ได้ในอนาคต ชายผมมันเอียงหัวเข้าไปกระซิบ
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เราร่วมงานกันมาหลายครั้งแล้ว ข้าจะไม่ปิดบังอะไรจากเจ้า เซี่ยไห่หยางผู้นี้จะไม่ขอรับแต้มการรบแม้แต่แต้มเดียว ข้าจะร่วมลงทุนด้วยสามพันสามร้อยแต้ม หากต้องการวัตถุดิบอะไรให้บอกข้า ข้าจะให้ส่วนลด เจ้าจะประหยัดไปได้อย่างน้อยร้อยละสามสิบ เจ้าลองคำนวณดูจะรู้ว่าเป็นเจ้าเองที่ได้ประโยชน์ที่สุด
“เรื่องส่วนแบ่งของข้านั้น…ตอนที่ทางสำนักมายึดกิจการของเจ้า พวกเขาจะให้ค่าชดเชย ถ้าค่าชดเชยมีจำนวนไม่เกินหนึ่งหมื่นแต้ม ข้าจะขอรับไว้หมด แต่ข้าจะไม่รับแต้มที่เกินจากนั้นแม้แต่แต้มเดียว!
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางผู้นี้เป็นนักธุรกิจ ข้าเพียงจะหากำไรสักสามเท่าจากที่ลงทุนไปในเวลาไม่กี่เดือน ข้าไม่ได้ละโมบเลยสักนิด”
เซี่ยไห่หยางยกยิ้มขึ้น เขามองอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบ
หวังเป่าเล่อไม่ได้เก็บซ่อนแววตาพินิจพิเคราะห์ของตน ตอนนี้เขาขาดแคลนแต้มการรบมาก จากโครงสร้างธุรกิจนี้ หากมีเรือวิญญาณเพิ่มขึ้นมาหนึ่งลำ ตนก็จะได้แต้มการรบสามสิบหกแต้มเพิ่มขึ้นทุกวัน
เรือวิญญาณหนึ่งลำใช้แต้มการรบหลายร้อยแต้ม หากที่เซี่ยไห่หยางพูดไม่ใช่เรื่องโกหก เขาก็จะลดต้นทุนไปได้ร้อยละสามสิบ จากนั้นก็ขยายกิจการไปได้เป็นยี่สิบลำ รายได้ต่อวันก็จะเพิ่มขึ้นหลายร้อยแต้ม เดือนหนึ่งจะได้แต้มการรบสูงถึงหกพันแต้ม!
หวังเป่าเล่อพิจารณาตัวเลือกต่างๆ การเสี่ยงลงทุนในครั้งนี้จะสร้างรายได้ให้เขามากขึ้น เนื่องจากธุรกิจนี้หวังพึ่งการทับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ หากมีเวลาเพียงพอ กำไรที่ได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป จะหาแต้มการรบมากกว่าพันแต้มในหนึ่งวันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากเขาขยายขอบเขตการลงทุน อวิ๋นเพียวจื่อก็ต้องทำเช่นกันเพื่อรักษาดุลยภาพการลงทุนไว้ มิเช่นนั้นก็จะได้ผลตอบแทนน้อยลง…และเขายังสามารถใช้โอกาสนี้พัฒนาความสัมพันธ์กับชายอ้วนให้แน่นแฟ้นขึ้น
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคิดคือการที่เซี่ยไห่หยางไม่ขอรับส่วนแบ่งขณะธุรกิจยังดำเนินการอยู่ แต่จะรอรับค่าชดเชยจากทางสำนักแทน หมายความว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องการยึดธุรกิจได้ และธุรกิจของเขาก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อต้องการการลงทุนจากภายนอกเพิ่มเติมในตอนนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
“เซี่ยไห่หยาง ข้าจะไม่ขอให้เจ้าลงทุนมากกว่านี้ ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้าทั้งหมด แต่ข้าก็มีข้อเสนอของตัวเองเช่นกัน อย่างแรกคือเจ้าจะต้องรับปากเรื่องส่วนลด อย่างที่สอง…เจ้าจะต้องใช้เส้นสายที่มีชะลอเรื่องการยึดธุรกิจออกไป!
“อีกข้อก็คือ ข้าจะขายแค่สูตรการหลอมให้สำนัก ไม่ขายตัวเรือวิญญาณที่หลอมเสร็จแล้วให้!
“เราร่วมงานกันมาหลายหน ข้าเชื่อใจเจ้า อีกอย่าง ข้าชอบการทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา ถ้าเจ้ารับข้อเสนอของข้าได้ก็เป็นอันตกลง!”
บทที่ 511 รายได้ก้อนโต!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซี่ยไห่หยางนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด พอคิดคำนวณเสร็จ เขาก็จ้องอีกฝ่ายกลับก่อนจะหัวเราะขึ้น
“เอาตามนั้นก็ได้ เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เซี่ยไห่หยางยื่นมือขวาไปทางหวังเป่าเล่อขณะที่พูด
“ตกลง!” หวังเป่าเล่อหัวเราะรื่นเริงพร้อมยื่นมือขวาออกไปจับมือกับอีกฝ่าย ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต่ออีกครู่หนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้ถามถึงภูมิหลังของเซี่ยไห่หยางและอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับตนเอง เหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจกันไปโดยปริยาย
เซี่ยไห่หยางโอนแต้มการรบที่จะใช้ลงทุนเข้าแผ่นหยกสำนักของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ลุกขึ้นยกมือคารวะหวังเป่าเล่อก่อนจะกลับออกไป
ภาพแผ่นหลังเซี่ยไห่หยางและแสงที่ตกกระทบกับผมมันเงาทำให้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศลึกลับซับซ้อนที่แผ่ออกมา
ดูแล้วเซี่ยไห่หยางก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร พูดให้ชัดเจนคือเขาเป็นกลางกับทุกฝ่าย ก็เหมือนที่เจ้านั่นพูดกับทุกคนว่าตัวเอง…เป็นนักธุรกิจ หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง คิดในหัวว่าทำเช่นนี้คงจะดีกว่า ยิ่งตนไม่ได้มีเส้นสายใดๆ ภายในสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยแล้ว ขอแค่จ่ายเซี่ยไห่หยางอย่างเหมาะสมก็จะได้ตามที่ตนประสงค์ เขาจึงคิดว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
หลังจากส่งเซี่ยไห่หยางเสร็จ หวังเป่าเล่อก็กลับเข้าถ้ำที่พักและคำนวณแต้มการรบที่มี ดวงตาของเขาเป็นประกาย เริ่มจัดแจงซื้อวัตถุดิบเพื่อหลอมเรือวิญญาณในทันที
ด้วยส่วนลดจากเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มสามารถสร้างเรือวิญญาณได้สามสิบห้าลำภายในไม่กี่วัน!
กองทัพเรือสามสิบห้าลำเปลี่ยนเกาะเพลิงเขียวเป็นท่าเรือ มีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมาต่อแถวรอเช่าเรือทุกวันไม่ขาดสาย ธุรกิจของหวังเป่าเล่อเฟื่องฟูขึ้นภายในเวลาสั้นๆ ข่าวคราวแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนัก ส่งผลให้มีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมาเช่าเรือมากขึ้น
อย่างไรเสียหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ตั้งค่าเช่าเรือวิญญาณสูงจนเกินไป อีกทั้งรายได้ที่เหล่าผู้ฝึกตนหาได้ ส่วนใหญ่มีมูลค่าสูงกว่าค่าเช่าเรือถึงสิบเท่า ทำให้เรือวิญญาณทั้งสามสิบห้าลำเป็นที่นิยมมาก
โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมาลองใช้ และพบว่าเรือวิญญาณนั้นใช้ได้ดีกว่าการพึ่งพาเพียงระดับการฝึกตนของตัวเอง เรือวิญญาณช่วยให้พวกเขาดำลึกลงไปในจุดที่ไม่เคยไปถึง ทำให้เรือวิญญาณเป็นที่ต้องการสูงยิ่งขึ้น
หวังเป่าเล่อได้แต้มการรบสี่ร้อยกว่าแต้มทุกวันจากธุรกิจอันรุ่งเรือง แม้จะแบ่งส่วนหนึ่งไปให้อวิ๋นเพียวจื่อ ชายหนุ่มก็ยังเหลือแต้มการรบอยู่สามร้อยกว่าแต้ม ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมากทีเดียวภายในสำนักวังเต๋าไพศาล
การจะหาให้ได้สามร้อยแต้ม ศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักวังเต๋าไพศาลต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน และนั่นก็เป็นในกรณีที่โชคดีพอ แต่ถ้าโชคไม่ดี ผ่านไปเดือนหนึ่งก็อาจจะหาไม่ได้มากเท่านั้น ทว่าหวังเป่าเล่อกลับสามารถหาได้ภายในวันเดียว!
ดังนั้นแม้ชายหนุ่มจะตื่นตะลึงกับรายได้ที่ตนหามาได้ แต่เขาก็รู้สึกเหมือนตนไม่ได้ทำธุรกิจ แต่ไปปล้นมาเสียมากกว่า…
แต่ข้าก็ยังจนอยู่เลย… แม้จะตื่นเต้น แต่ชายหนุ่มก็มองแต้มการรบของตัวเองด้วยความเศร้าหมอง มองเผินๆ จะเหมือนว่าเขาได้แต้มเป็นกอบเป็นกำ แต่จริงๆ แล้วโครงสร้างธุรกิจเช่นนี้ต้องคอยลงทุนอยู่ตลอด ทำให้ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีแต้มสะสมเพียงประมาณสองพันแต้มเท่านั้น
คงจะต้องเลิกลงทุน มิเช่นนั้นรายได้ทั้งหมดก็จะเป็นเพียงภาพมายาอันหอมหวาน หวังเป่าเล่อว้าวุ่นอยู่ในใจ พอคำนวณดูแล้วก็พบว่าหากเลิกลงทุน ตนจะสามารถรวบรวมแต้มการรบได้ประมาณหนึ่งหมื่นแต้มภายในหนึ่งเดือน
น่าจะไม่ต่ำไปกว่านี้ หากไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ธุรกิจก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเพิ่มการลงทุน!
เซี่ยไห่หยางบอกว่าธุรกิจนี้น่าจะอยู่ไปได้ประมาณสองถึงสามเดือน แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่เขาประเมิน ข้าไม่ควรจะไปเชื่อคำพูดเขามาก แค่อยู่รอดไปได้หนึ่งเดือนก็พอใจแล้ว ทุกวันหลังจากนั้นถือเป็นโชคดี!
ข้าต้องถอนทุนที่ใช้หลอมเรือวิญญาณไปคืน ถ้าในช่วงนี้ข้าหลอมเรือวิญญาณเพิ่ม ก็อาจจะหาแต้มจากมันได้ไม่มาก แต่ก็ไม่น่าจะขาดทุนตอนที่ขายเรือเลหลังไป!
วิธีนี้น่าจะเป็นหนทางเดียวในการที่จะกอบโกยแต้มให้ได้มากที่สุดในเวลาอันจำกัดนี้! คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเลใจที่จะนำแต้มไปลงทุนเพิ่ม เขาใช้แต้มการรบที่หาได้ไปซื้อวัตถุดิบมาเพิ่มเพื่อหลอมเรือวิญญาณ
ตามหลักแล้วอวิ๋นเพียวจื่อเป็นผู้ร่วมลงทุนรายแรกของชายหนุ่มซึ่งถือหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งของธุรกิจ เซี่ยไห่หยางเป็นผู้ร่วมลงทุนคนที่สอง แต่ไม่ได้ขอรับส่วนแบ่งจากการดำเนินการ ดังนั้นว่ากันตามจริงแล้ว ส่วนแบ่งที่อวิ๋นเพียวจื่อได้รับนั้นนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
แต่ตอนนี้ในเมื่อหวังเป่าเล่อตัดสินใจนำแต้มของตัวเองไปลงทุน สถานการณ์ทั้งหมดจึงเปลี่ยนไป ตามหลักแล้ว อวิ๋นเพียวจื่อจะต้องนำแต้มมาลงทุนเพิ่มหากอยากรักษาส่วนแบ่งร้อยละห้าสิบไว้
หลังจากครุ่นคิดสักพัก หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้บอกอะไรอวิ๋นเพียวจื่อมาก รวมถึงไม่ได้ขอให้อีกฝ่ายลงทุนเพิ่ม เขาใช้แต้มของตนเองในการลงทุนเพิ่ม ทำให้แม้ธุรกิจจะมีรายได้มากขึ้น แต่อวิ๋นเพียวจื่อก็ยังได้รับส่วนแบ่งเท่าเดิม
หลังจากคำนวณแต้มที่ได้จากการลงทุน อวิ๋นเพียวจื่อก็ตกตะลึงไป เขาเดินทางมายังเกาะเพลิงเขียวเพื่อพบหวังเป่าเล่อหลังจากได้ทราบสถานการณ์ทั้งหมด
ชายอ้วนยกมือคารวะหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหยิบอาวุธเวทที่อีกฝ่ายนำมาจำนำออกมาคืนให้โดยไม่ลังเลใจ
“น้องเป่าเล่อ เราเป็นเพื่อนกัน เจ้าใจกว้างกับข้ามาก ข้าเองก็ไม่ควรจะใจแคบเช่นกัน!” อวิ๋นเพียวจื่อหัวเราะ รู้สึกสนิทใจกับหวังเป่าเล่อมากกว่าเดิม
หวังเป่าเล่อเผยยิ้ม ค่อนข้างแปลกใจที่เจ้าอ้วนอวิ๋นเอาอาวุธเวทมาคืนให้ เขาคิดว่ามิตรภาพครั้งนี้น่าจะมีค่ามาก อวิ๋นเพียวจื่อหยิบสุราออกมาสองสามขวดขณะพูดคุยกันอย่างเปิดใจ ทั้งคู่ดื่มกันสักพักก่อนที่อวิ๋นเพียวจื่อจะกลับออกไป ขณะเหาะอยู่กลางอากาศ เขาก็หยุดก้มมองเกาะเพลิงเขียวพร้อมกับครุ่นคิด
น้องเป่าเล่อของข้าไม่ใช่คนธรรมดา…แต้มที่หามาได้นั้นถือว่ามากเลยทีเดียว แต่เขากลับลงทุนเพิ่มโดยไม่ลังเลและไม่กลัวว่าจะขาดทุน คนเช่นเขาถือว่าไม่ธรรมดาเลย…!
หวังเป่าเล่อเองก็คิดถึงการมาเยือนของอวิ๋นเพียวจื่อเช่นกัน วิธีการรับมือกับสิ่งต่างๆ ของชายอ้วนทำให้เขารู้สึกสบายใจและผุดคิดถึงคำกล่าวในอัตชีวประวัติขึ้นมา
“มิตรภาพของผู้ใหญ่เกิดจากการมีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน โดยผลกำไรจะช่วยให้ผูกสัมพันธ์กันได้เร็วขึ้น!”
หลังจากส่งอวิ๋นเพียวจื่อเสร็จ หวังเป่าเล่อก็นำแต้มทั้งหมดไปลงทุน เขาใช้แต้มที่หามาได้ทุกวันไปซื้อวัตถุดิบและหลอมเรือวิญญาณเพิ่มเรื่อยๆ ห้าวันต่อมา ชายหนุ่มก็มีเรือวิญญาณเพิ่มเป็นห้าสิบหกลำ!
รายได้ในวันหนึ่งหลังหักส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็นหกร้อยแต้ม
จากนั้นชายหนุ่มก็หลอมเรือวิญญาณเพิ่มอีกสี่ลำเป็นทั้งหมดหกสิบลำ ก่อนจะหยุดพักการหลอมและคอยเก็บสะสมแต้มการรบหกร้อยแต้มทุกวัน
หวังเป่าเล่อเก็บสะสมแต้มไปเรื่อยๆ ผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็สามารถรวบรวมได้แปดพันกว่าแต้ม ธุรกิจเองก็รุ่งเรืองไปได้เดือนหนึ่งตามการคำนวณของตน
ยังไม่ต้องรีบส่งเคล็ดวิชากลับไป ทยอยส่งทีละเคล็ดวิชาไม่ได้ประโยชน์อะไร รอสะสมแต้มให้ได้มากกว่านี้แล้วส่งกลับไปทีเดียวสิบเคล็ดวิชาให้ต้วนมู่น้อยตกใจเล่นดีกว่า หลังจากนั้น ทุกวันที่ธุรกิจยังไปต่อได้ก็ถือว่าเป็นโชคดีแล้ว! ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบ เขาติดต่อไปหาเซี่ยไห่หยางเรื่อยๆ เพื่อคอยฟังข่าวภายในสำนัก หลังจากเงียบปากไปได้เดือนหนึ่ง หลี่อี้ก็ส่งข้อความอวดดีเข้าไปในห้องสนทนากลุ่มอีกครั้ง
“สหายเต๋าทั้งหลาย ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเจ้ามีแต้มการรบกันอยู่เท่าใด แต่ข้ารวบรวมมาได้สองพันแต้มแล้ว ตอนนี้กำลังจะส่งเคล็ดวิชากลับไปให้สหพันธรัฐ!”
ข้อความของหลี่อี้ทำให้เหล่าพันธุ์กล้าในห้องสนทนากลุ่มแตกตื่น ข้อความมากมายปรากฏขึ้นราวสายน้ำไหลหลาก
“ส่งเคล็ดวิชากลับหรือ”
“เร็วมาก! หลี่อี้ เจ้าใช้วิธีใดถึงหาแต้มการรบมาได้ถึงสองพันแต้ม”
“ไม่น่าเชื่อ! ข้าคิดว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นคนแรกที่ส่งเคล็ดวิชากลับสหพันธรัฐเสียอีก กลับกลายเป็นหลี่อี้แทนเสียอย่างนั้น!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจ หลี่อี้ที่อยู่ในเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลก็เริ่มลำพองใจ พอแลกแต้มการรบไปหนึ่งพันแต้ม วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เปิดออก และนางก็ส่งกระบวนเวทไพศาลกลับไปยังสหพันธรัฐ!
บทที่ 512 ข้าก็ทำได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในขณะที่ทำการเคลื่อนย้าย นอกจากเหล่าพันธุ์กล้าจะตื่นตกใจกันใหญ่แล้ว เฟิ่งชิวหรันแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเองก็คอยจับตาดูอยู่เช่นกัน นางเป็นกังวลไม่น้อยเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่พันธุ์กล้าได้ส่งเคล็ดวิชากลับไปยังสหพันธรัฐ
แต่คนที่เป็นกังวลหนักที่สุดคือ…ต้วนมู่ฉี!
ดาวพุธในปัจจุบันมีการคุ้มกันแน่นหนาตั้งแต่กลุ่มพันธุ์กล้าออกจากสหพันธรัฐไปเมื่อหลายเดือนก่อน แม้แต่หลี่ซิงเหวินยังเดินทางมาคุ้มกันด้วยตนเอง
มีแสงจ้าปรากฏออกมาจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธขณะที่หลี่อี้เปิดการเชื่อมต่อวงแหวนปราณในสำนักวังเต๋าไพศาล ที่ผ่านมามีการติดต่อพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ดังนั้นพอหลี่ซิงเหวินเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ชายชราก็เริ่มเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ต่างก็จับจ้องสถานการณ์ไม่วางตา
ทั้งวงแหวนปราณระบบสุริยะและระเบิดต้านทานวิญญาณต่างมีพร้อมใช้งาน ต้วนมู่ฉีทราบสถานการณ์หลังจากนั้นไม่นาน แม้จะอยู่บนโลก เขาก็สามารถใช้วัตถุเวทสร้างร่างมายาขึ้นบนดาวพุธได้
ขณะที่บรรยากาศตึงเครียดปกคลุมทั้งสหพันธรัฐ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เปิดออกอย่างสมบูรณ์ ลำแสงยาวหลายพันเมตรปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่น แต่ครั้งนี้ลำแสงที่ว่านี้มีขนาดเล็กกว่าตอนส่งพันธุ์กล้าร้อยคนออกไป
หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีหรี่ตา พวกเขาไม่ได้อนุญาตให้ดำเนินการเคลื่อนย้ายในทันที แต่เลือกรอดูสถานการณ์ก่อน
แม้วงแหวนปราณจะสามารถใช้ส่งสิ่งของได้ทั้งสองทิศทาง แต่ก็ต้องได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝั่งก่อน ตัวอย่างเช่น การเปิดวงแหวนปราณจะต้องได้รับการยินยอมจากฝั่งดาวพุธก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้ อาจมีวิธีที่สามารถดำเนินการเคลื่อนย้ายได้โดยไม่ต้องรอผ่านการยินยอม แต่ก็จะต้องยอมจ่ายราคาแพง
“ที่ส่งกลับมาเหมือนจะไม่ใช่คน แต่เป็นแผ่นหยก!” นัยน์ตาของหลี่ซิงเหวินสว่างวาบ เขาสามารถมองผ่านลำแสงในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและเห็นของที่กำลังจะส่งกลับมาเป็นภาพมายารางๆ
หลังจากยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันได้แล้ว ต้วนมู่ฉีก็ถกกับหลี่ซิงเหวินเล็กน้อยก่อนจะให้การอนุมัติ หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว ลำแสงเบื้องหน้าก็ฉายแสงจ้ากว่าเดิม จนสามารถมองเห็นแผ่นหยกมายาที่อยู่ภายในได้ชัดเจน ภายในพริบตาเดียวแสงสว่างก็เริ่มจางสีลงขณะที่เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น แผ่นหยกออกเดินทางผ่านวงแหวนปราณท่ามกลางสายตาทุกคน
หลี่ซิงเหวินยกมือขวาขึ้นคว้าแผ่นหยกที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบดูด้วยจิตสัมผัสวิญญาณ เขาก็หัวเราะอย่างรื่นเริง
“เคล็ดวิชา! หลี่อี้จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าส่งเคล็ดวิชากลับมา!”
ท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจ หลี่ซิงเหวินก็แอบงุนงงอยู่เล็กน้อย เขาคิดไว้ว่าหวังเป่าเล่อควรจะเป็นคนแรกที่ส่งเคล็ดวิชากลับมา
ต้วนมู่ฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ คว้าแผ่นหยกไป ไม่รอให้หลี่ซิงเหวินได้เปิดดู แม้ร่างที่ปรากฏอยู่จะเป็นเพียงภาพมายา แต่ด้วยระดับการฝึกตนของเขาทำให้สามารถเปิดแผ่นหยกอ่านดูได้ พอเห็นข้อความ ‘กระบวนเวทไพศาล’ ต้วนมู่ฉีก็เงยหน้ามองฟ้า หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี
“เยี่ยมมาก หลี่อี้!” ร่างจริงบนโลกออกจากการถือสันโดษด้วยความตื่นเต้น เขารีบออกคำสั่งให้ประกาศเรื่องนี้ไปทั่วสหพันธรัฐ หลังจากสูดหายใจลึก ก็ออกคำสั่งเพิ่มไปอีกหนึ่งคำสั่ง
“เปิดระบบจัดอันดับผลงานของพันธุ์กล้าที่เตรียมเอาไว้ได้ เราต้องประกาศให้ทุกคนในสหพันธรัฐรู้ว่าพันธุ์กล้าได้สร้างความดีความชอบให้สหพันธรัฐมากเพียงใด!”
เมื่อต้วนมู่ฉีออกคำสั่ง ระบบทั้งหมดในสหพันธรัฐก็เริ่มดำเนินการ อันดับผลงานของสหพันธรัฐเชื่อมต่อกับทั้งระบบสุริยะ ก่อนจะฉายขึ้นบนสื่อและโฆษณาทุกรูปแบบพร้อมกัน ประกาศชัดให้ฝูงชนกว่าร้อยละเก้าสิบได้รับรู้!
ในอันดับปรากฏรายชื่อหนึ่งร้อยชื่อไล่เรียงกันลงไป มีเลขศูนย์อยู่ด้านหลังทุกชื่อ
ทว่าหลังจากอันดับรายชื่อปรากฏสู่สายตาผู้คน รายชื่อทั้งร้อยนามก็พลันเลือนราง ทันใดนั้นชื่อสีทองนามหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านบนสุด!
นามนั่นคือหลี่อี้ และตัวเลขด้านหลังชื่อก็แปรเปลี่ยนจากศูนย์ไปเป็นหนึ่ง!
ทั้งสหพันธรัฐตื่นเต้นกันยกใหญ่ ต้วนมู่ฉีพึงพอใจมากหลังจากได้ประกาศอันดับผลงาน สำหรับเขาแล้ว อันดับผลงานนี้แสดงให้เห็นถึงความเที่ยงธรรมและผลงานที่พันธุ์กล้าแต่ละคนทำได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการปูทางความสำเร็จให้เหล่าพันธุ์กล้าทั้งร้อยคน
ท่ามกลางความประหลาดใจของทั้งสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อซึ่งอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณก็เบิกตากว้างขณะมองดูข้อความของหลี่อี้ในห้องสนทนากลุ่ม เขาไม่รู้ว่าทางสหพันธรัฐจะมีทีท่าอย่างไร แต่ก็นึกภาพออกว่าพวกเขาน่าจะกำลังประกาศชื่อหลี่อี้อย่างภาคภูมิใจอยู่
หวังเป่าเล่อไม่พอใจ ถ้าคนที่ส่งเคล็ดวิชากลับไปเป็นคนอื่นเขาคงจะไม่รู้สึกเช่นนี้ ชายหนุ่มคิดว่าหลี่อี้เป็นเพียงสาวสมองน้อยมีดีแค่หน้าอกโต จึงคิดไม่ออกว่านางไปหาแต้มการรบสองพันแต้มมาได้อย่างไร
นางตั้งใจจะทำตัวเด่นกว่าข้าหรือ หวังเป่าเล่อแค่นเสียงไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจการเคลื่อนย้ายที่ดำเนินการอยู่เท่าใดนัก เขามีแผนของตัวเอง เป็นแผนที่มุ่งเป้าไปที่ผลลัพธ์ในตอนท้าย
หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นคนมีหลักการ ไม่จำเป็นต้องไปสนใจอะไรนางมาก หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก กำลังจะเก็บแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ไป ทว่าตอนนั้นเองเสียงดูหมิ่นของหลี่อี้ก็ดังขึ้นในห้องสนทนากลุ่ม
“เหล่าสหายเต๋า สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของเรา ข้าเชื่อว่าทุกคนสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้! ไม่เหมือนใครบางคนที่มั่นอกมั่นใจในตัวเองมาก แม้จะมีระดับการฝึกตนสูง แต่ที่นี่คือสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่ใช่สหพันธรัฐ มีกฎเกณฑ์ไม่เหมือนกัน พอไม่มีสหพันธรัฐคอยช่วยก็กลับทำอะไรไม่ได้เลย!”
ทุกคนในห้องสนทนากลุ่มเงียบไปเมื่อหลี่อี้พูดขึ้น ทุกคนตระหนักดีว่า หลังจากเงียบปากไปหนึ่งเดือน กลับมาครั้งนี้นางก็เปิดฉากโจมตีหวังเป่าเล่ออย่างไม่อ้อมค้อม
หวังเป่าเล่อตั้งใจจะเก็บแผ่นหยกลงไป แต่พอได้ยินวาจาโอหังของหลี่อี้ เขาก็เลิกคิ้วสูง เริ่มเดือดดาลขึ้นมาทันใด ชายหนุ่มตาแข็งกร้าว ออกทะยานสู่ฟากฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลจากเกาะเพลิงเขียวในทันใด
เขาไปที่หอตำรากระบวนเวทไพศาลเป็นที่แรกเพื่อแลกกระบวนเวทสามวิชา ราคาวิชาละพันแต้ม จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในสำนักวังเต๋าไพศาล ใช้เวลาไม่นาน วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาลก็เปิดขึ้นอีกครั้ง!
วงแหวนปราณซึ่งเปิดขึ้นเป็นครั้งที่สองและห่างจากครั้งแรกไปไม่นานเรียกความสนใจจากสำนักวังเต๋าไพศาลได้ในทันใด ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่ดูแลวงแหวนปราณส่งเสียงตื่นตกใจเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อนำแผ่นหยกมาด้วยสามแผ่นและจ่ายแต้มการรบสามพันแต้มเพื่อเปิดวงแหวนปราณ
แต้มการรบสามพันแต้มถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก แม้แต่เฟิ่งชิวหรันยังตื่นตะลึงไปเมื่อได้ทราบ ยิ่งทางสหพันธรัฐยิ่งตื่นตะลึงเข้าไปใหญ่…
แสงจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธที่เพิ่งจะจางสีลงพลันสว่างขึ้นมาอีกครั้ง รอบนี้สว่างกว่าครั้งก่อนหลายเท่านัก หลี่ซิงเหวินที่เพิ่งจะโล่งอกไปต้องกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง ต้วนมู่ฉีเองก็เช่นกัน ร่างมายาของเขาปรากฏขึ้นอีกหลังจากที่เพิ่งสลายไปได้ไม่นาน
ขณะที่ทั้งสองกำลังจับจ้องสถานการณ์เบื้องหน้า ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น แสงจากการเคลื่อนย้ายสว่างเจิดจ้าจนต้วนมู่ฉีตะลึงไป
“หรือว่ารอบนี้ที่ส่งกลับมาจะเป็นคน” ทั้งสองตื่นตกใจ ขณะที่ทุกฝ่ายต่างคอยเฝ้าระวังอย่างรัดกุม พลันดวงตาของหลี่ซิงเหวินก็เบิกกว้าง
“ไม่ใช่คน…เป็นแผ่นหยก…สามแผ่น!”
“แผ่นหยกสามแผ่นหรือ” ต้วนมู่ฉีอึ้งไปก่อนจะรู้สึกสุขใจเกินบรรยาย หลังจากอนุมัติการเคลื่อนย้าย แสงก็ค่อยๆ จางลง แผ่นหยกสามแผ่นปรากฏขึ้นในวงแหวนปราณ ต้วนมู่ฉีไม่รอช้ารีบคว้าแผ่นหยกทั้งหมดมา หลังจากตรวจดู เขาก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าตอนที่หลี่อี้ส่งแผ่นหยกกลับมาเสียอีก หลี่ซิงเหวินที่อยู่ข้างๆ รีบตรวจดูเช่นกัน รอยยิ้มกว้างพลันผุดขึ้นบนใบหน้า
“กระบวนเวทสามวิชา ทั้งหมดมาจากหวังเป่าเล่อ เจ้าหนูนี่ใช้ได้จริงๆ!” กายาจริงของต้วนมู่ฉีบนโลกรีบประกาศข่าวออกไปด้วยความตื่นเต้น ไม่นานผู้คนในสหพันธรัฐก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าตื่นตะลึงบนอันดับผลงานของพันธุ์กล้าอีกครั้ง!
ตอนแรกชื่อหลี่อี้อยู่บนสุด แต่ตอนนี้ชื่อของหวังเป่าเล่อพลันเรืองแสงสีทองและขึ้นไปปรากฏแทนที่ ตัวเลขด้านหลังเปลี่ยนจากศูนย์เป็นสาม!
ทั้งสหพันธรัฐตื่นตะลึงไป ผู้คนมากมายตื่นเต้นกันยกใหญ่ ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็จบกระบวนการเคลื่อนย้ายและกลับไปยังเกาะเพลิงเขียวด้วยความภาคภูมิใจ เขาเปิดห้องสนทนากลุ่มขึ้นระหว่างทาง จากนั้นก็ส่งข้อความไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“บังเอิญจริง ข้าก็เพิ่งส่งกระบวนเวทกลับไปสามวิชาเช่นกัน เฮ้อ เกิดเป็นคนเก่งกาจนี่ช่างไร้เทียมทานเสียจริง”
ข้อความของหวังเป่าเล่อเป็นดังก้อนหินใหญ่ตกใส่บ่อน้ำนิ่ง สร้างความตื่นตะลึงให้ห้องสนทนาทั้งห้องในทันใด
บทที่ 513 บังคับซื้อต่อ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อเก็บแผ่นหยกไปด้วยความหยิ่งผยอง ไม่ได้สนใจความแตกตื่นในห้องสนทนากลุ่ม พอสังเกตดีแล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เขาก็ยกมือกุมหน้าอกด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ทำไมข้ารู้สึกปวดใจเช่นนี้…หกพันแต้ม! หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว แม้ว่าตนจะสามารถหาแต้มการรบหกพันได้ง่ายดายกว่าคนอื่นๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดในใจอยู่ดี
เพื่อสหพันธรัฐและอารยธรรมการฝึกตน ข้าจะให้การช่วยเหลืออย่างไม่ลังเลใจ! ชายหนุ่มทนรับความปวดใจและปลอบประโลมตนเอง แต่ไม่นานก็พบว่าไม่ค่อยจะได้ผลดีเท่าใดนัก เขาหันมองรอบๆ ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อพบว่าไม่มีใครอื่น
เพื่อทำตามความฝันให้สำเร็จ เพื่อขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ! พอคิดเช่นนั้น ความเจ็บปวดในใจก็คลายลงเล็กน้อย หวังเป่าเล่อกลับถึงเกาะเพลิงเขียว ผ่านไปครู่หนึ่งก็มองแต้มการรบสองพันแต้มที่เหลืออยู่ จากนั้นก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง
โชคดีที่ข้าข่มใจไว้ได้และส่งกระบวนเวทกลับไปแค่สามวิชา…ต้องสะสมแต้มการรบใหม่อีกครั้ง หวังว่าทางสำนักจะไม่รีบมายึดธุรกิจข้าวันรุ่งขึ้นนะ… ชายหนุ่มเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยกับแต้มการรบอันน้อยนิดของตนเอง
เหล่าพันธุ์กล้าในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าหวังเป่าเล่อกำลังเจ็บปวดใจอยู่ พวกเขาต่างอุทานตื่นตะลึงกันในห้องสนทนากลุ่ม หลี่อี้ยังคงนิ่งเงียบ แม้จะรู้เรื่องธุรกิจเรือวิญญาณอันรุ่งเรืองของอีกฝ่ายดี แต่นางก็ไม่เชื่อว่าชายหนุ่มจะสามารถส่งกระบวนเวทกลับไปได้ทีเดียวถึงสามวิชา
คิดรวมค่าเคลื่อนย้ายก็รวมเป็นหกพันแต้ม! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าอ้วนนั่นจะใจป้ำขนาดนี้! หลี่อี้กัดฟันแน่น เริ่มใช้เส้นสายที่ก่อตั้งขึ้นสำรวจหาความจริง ไม่นานก็พบว่าหวังเป่าเล่อส่งแผ่นหยกสามวิชาผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาลจริง พอทราบเช่นนั้น นางก็ถึงกับทรงตัวไม่อยู่
ไม่อยากจะเชื่อว่าอยู่ที่นี่เจ้าอ้วนนั่นก็ยังเหนือกว่าข้า! หลี่อี้หายใจถี่รัว นางกัดฟันแน่น เริ่มตระเตรียมแผนการรวบรวมแต้มการรบเพิ่ม นางอยากใช้โอกาสที่มายังสำนักวังเต๋าไพศาลในครั้งนี้เอาชนะหวังเป่าเล่อ
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป สิบวันต่อมา หวังเป่าเล่อยังคงรู้สึกเจ็บปวดในใจเป็นพักๆ กับแต้มการรบที่สูญเสียไป เขาสะสมแต้มการรบได้กลับมาแปดพันแต้ม จึงพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง
ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็สังหรณ์ใจว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เขาพบว่าสองสามวันที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งมาที่เกาะเพลิงเขียว พวกเขาไม่ได้มาเช่าเรือวิญญาณแต่กลับจดบันทึกและสำรวจสถานการณ์รอบๆ ขณะเดียวกัน เซี่ยไห่หยางก็ส่งข้อความเสียงมาหา
“เป่าเล่อ คนใหญ่คนโตในฝ่ายจัดการสำนักตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อต่อกิจการของเจ้าในเร็วๆ นี้ เตรียมตัวไว้ให้พร้อม…”
หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาทำใจไม่ได้แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่ก็รู้ว่าตนเองเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี การที่ธุรกิจซึ่งสามารถหาแต้มการรบได้ถึงสองหมื่นแต้มในหนึ่งเดือนอยู่รอดมานานขนาดนี้คงเพราะใครบางคนในสำนักทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อีกทั้งยังชี้ชัดว่ามันคงอยู่รอดไม่ได้นาน
อวิ๋นเพียวจื่อเองก็ส่งข้อความเสียงมาหาหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนว่าชายอ้วนจะมีอำนาจน้อยกว่าเซี่ยไห่หยางจึงติดต่อมาช้ากว่าถึงสองวัน อวิ๋นเพียวจื่อเพิ่งรู้เรื่องนี้ก่อนที่สำนักจะตัดสินเพียงหนึ่งชั่วโมง และรีบติดต่อมาหาหวังเป่าเล่อในทันที
หลังจากได้รับข้อความจากอวิ๋นเพียวจื่อเพียงไม่นาน หวังเป่าเล่อที่เตรียมใจไว้แล้วก็ได้รับการติดต่อจากทางสำนัก…
เป็นการติดต่อมาแจ้งเตือนไม่ใช่เพื่อเจรจา! หวังเป่าเล่อไม่มีโอกาสต่อรองใดๆ ต้องยอมทำตามคำสั่งแม้จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
ในข้อความแจ้งเตือนเขียนไว้เพียงว่า
“ให้หยุดดำเนินการธุรกิจเช่าเรือวิญญาณในทันที จากนั้นให้ส่งสูตรการหลอมเรือวิญญาณให้ทางสำนัก โดยทางสำนักจะชดเชยด้วยแต้มการรบจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันแต้ม!”
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือน คิดหนักกับค่าชดเชยที่ทางประตูบรรพชนให้มา เพราะจากข้อตกลงระหว่างชายหนุ่มกับเซี่ยไห่หยาง เขาจะต้องจ่ายให้อีกฝ่ายหนึ่งหมื่นแต้ม
นอกจากนี้ หลังจากคำนวณดูแล้วยังต้องให้อวิ๋นเพียวจื่ออีกสองพันแต้ม ซึ่งค่าชดเชยเหล่านี้จะต้องแบ่งสันปันส่วนไปก่อนที่เขาจะได้รับ หวังเป่าเล่อจึงผุดคิดว่าน่าจะมีเรื่องภายในอะไรสักอย่าง
แต่เขาก็รู้ว่าตนไม่ได้เสียเปรียบอะไรแม้จะมีเรื่องราวภายในเกิดขึ้น และหากโลภมากเกินไปอาจจะได้ผลลัพธ์ไม่ดีตามมาอีกด้วย พอคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่รีรอรีบหยุดกิจการและส่งสูตรหลอมไปในทันที วันต่อมา พอได้แต้มการรบหนึ่งหมื่นสองพันแต้มมา เขาก็รีบส่งไปให้เซี่ยไห่หยางหมื่นแต้มและอวิ๋นเพียวจื่ออีกสองพันแต้ม
ชายหนุ่มไม่ได้โวยวายอะไร อวิ๋นเพียวจื่อรู้สึกไม่ดีจึงส่งข้อความเสียงมาหา
“เป่าเล่อ เรื่องนี้…เฮ้อ เพราะเจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาล ถึงได้ค่าชดเชยน้อยเยี่ยงนี้ หลังจากแบ่งให้เซี่ยไห่หยางกับข้า เจ้าก็ไม่ได้อะไรเลย” อวิ๋นเพียวจื่อทราบเรื่องทั้งหมดจึงไม่ได้พยายามจะปิดบังอะไร เขาเอ่ยถึงเรื่องภายในที่ทุกคนน่าจะพอทราบกันดี
“ไม่เป็นไร ทุกคนเป็นเพื่อนข้า ข้าดีใจที่อย่างน้อยพวกเจ้าก็ได้ส่วนแบ่งไป” หวังเป่าเล่อหัวเราะ เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ชายหนุ่มคิดว่าแม้แต้มการรบจะสำคัญ แต่ความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นสำคัญกว่า
อวิ๋นเพียวจื่อเองก็ไม่ใช่คนเขลา เขาสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อพูดออกมาจากใจจริง ชายอ้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่ก็ยังนึกสงสารอยู่ หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็พูดขึ้น
“น้องเป่าเล่อ ถ้าเจ้าอยากขายเรือวิญญาณที่มี ข้าติดต่อคนให้เจ้าได้ หากเจ้าไม่รีบร้อนอะไร ข้าแนะนำว่าปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้ให้จะดีกว่า เราจะค่อยๆ ขายไปทีละลำเพื่อที่จะได้ขึ้นราคาได้ ถ้าเจ้ารีบร้อนขายไปทีเดียวหมด ราคาจะถูกกดให้ต่ำลง…”
หวังเป่าเล่อรอโอกาสนี้อยู่ แม้ตอนนี้จะเหมือนว่าเขามีแต้มการรบแค่แปดพันแต้ม แต่เรือวิญญาณที่ครอบครองอยู่มีค่ามากกว่านั้น
ต้นทุนเรือวิญญาณทั้งหมดอยู่ที่สองหมื่นแต้ม แต่ก็ไม่น่าจะขายที่ราคาทุน ชายหนุ่มยังสามารถหาแต้มการรบได้อีกหลายหมื่นแต้มแม้จะลดราคาไปถึงร้อยละหกสิบถึงเจ็ดสิบ
แต่หวังเป่าเล่อก็ขายเรือออกไปด้วยตนเองไม่ได้ ต้องให้เซี่ยไห่หยางหรืออวิ๋นเพียวจื่อช่วย ชายหนุ่มถกกับอวิ๋นเพียวจื่อด้วยความคาดหวัง หลังจากคุยกันเสร็จ เขาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไร้กังวล
“อวิ๋นเพียวจื่อ เซี่ยไห่หยางมีตำแหน่งอะไรในสำนักหรือ”
“อ๋อ เขาอยู่ฝ่ายผู้อาวุโสเฟิ่ง ถึงระดับการฝึกตนจะไม่ได้โดดเด่น แต่ก็มีเส้นสายกว้างขวาง ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล เชี่ยวชาญเรื่องการค้าขาย ข้าก็ไม่รู้อะไรมาก แต่คาดว่าเขาน่าจะสนิทกับคนใหญ่คนโตในสำนักสักคน ลือกันว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่ชื่อหลิน” หากเป็นในสถานการณ์อื่น อวิ๋นเพียวจื่อคงจะลังเล ไม่เปิดเผยรายละเอียดมากเช่นนี้
อย่างไรเสีย เรื่องดังกล่าวก็เกี่ยวข้องกับเรื่องภายในสำนักวังเต๋าไพศาล แต่หลังจากติดต่อกับหวังเป่าเล่ออยู่หลายครั้ง และนอกจากจะได้กำไรมามากมายแล้ว ชายอ้วนยังรู้สึกว่าตนติดค้างหวังเป่าเล่ออยู่ จึงเปิดเผยทุกอย่างที่รู้ออกไปหมด
หลังจากนั้น อวิ๋นเพียวจื่อก็อธิบายรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ภายในสำนักก่อนจะวางสายไป หวังเป่าเล่อนั่งไขว้ขาหลับตาทำสมาธิ เขาเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นแต้มการรบที่มี
ก่อนหน้านี้มีแต้มการรบหลายร้อยแต้มส่งตรงเข้าบัญชีทุกวัน เขาจึงใช้ชีวิตได้อย่างสำราญใจ แต่ตอนนี้ต้องกลับมาประหยัดอดออมอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงเริ่มนึกหาวิธีสะสมแต้มการรบใหม่
หลายวันผ่านไป เขาหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนลืมฝึกวิชา และเมื่อชายหนุ่มหันมองแผ่นหินรับภารกิจในถ้ำที่พัก ดวงตาของเขาก็ฉายแววมุ่งมั่นขึ้นมา
ช่างเถอะ มุ่งหน้าไปยังตัวกระบี่เพื่อหาตราประจำตัวน่าจะเป็นวิธีหาแต้มการรบที่ดีที่สุด อีกทั้งยังไม่มีใครมาแย่งเอาไปได้! คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เลือกรับภารกิจมา หลังจากเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย เขาก็ออกจากเกาะเพลิงเขียว เดินทางข้ามทะเลลาวามุ่งหน้าจากด้ามกระบี่ตรงไปยังตัวกระบี่ตามทิศทางที่ระบุไว้ในภารกิจ!
การเดินทางครั้งนี้ยาวไกลมาก หวังเป่าเล่อจึงเตรียมการมาอย่างดี ขณะกำลังเปลี่ยนทิศทาง แผ่นหยกแต้มการรบก็สั่นเตือน เขาหยิบออกมาดูด้วยความแปลกใจ ก่อนจะตื่นตะลึงเมื่อเห็นว่ามีแต้มการรบห้าร้อยแต้มโอนเข้ามาจากไหนก็ไม่ทราบ!
เกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มตรวจดูด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าเซี่ยไห่หยางเป็นคนโอนเข้ามา แต่นั่นยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้นอีก จึงตัดสินใจส่งข้อความเสียงไปถาม
“พี่เป่าเล่อ เจ้าได้รับแต้มแล้วหรือ พอดีข้ารับช่วงต่อกิจการมาเลยแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง ส่วนเหตุผล…เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น